โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai.info

ประชาไท | Prachatai.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

บทความจากเดอะการ์เดี้ยน: ความวุ่นวายในไทยอาจส่งผลสั่นคลอนทั่วภูมิภาค

Posted: 15 May 2010 01:33 PM PDT

ไซมอน ทิสดัล จากนสพ.เดอะการ์เดี้ยนของอังกฤษ ตั้งข้อสังเกตความขัดแย้งในกรุงเทพฯ ครั้งนี้มีนัยยะเกินกว่าจะเป็นเพียงปัญหาภายใน

<!--break-->

แปลจาก: Thailand's unrest may unsettle region
http://www.guardian.co.uk/commentisfree/2010/may/14/thailands-unrest-may-unsettle-region


ไซมอน ทิสดัล 
นสพ.เดอะการ์เดี้ยน

14 พฤษภาคม 2553

หากเปลี่ยนสถานที่การปะทะจากกรุงเทพฯ ไปเป็นใจกลางกรุงปารีสแล้ว นักวิเคราะห์นานาประเทศคงจะตื่นตัวกันยกใหญ่ และคงพากันใช้คำใหญ่อย่างการปฏิวัติ การต่อสู้ทางชนชั้น อนาคตของพันธะสัญญาทางสังคม แนวโน้มความหายนะทางเศรษฐกิจ หรือจุดจบแห่งประชาธิปไตย เพื่อบรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และตอนนี้นานาประเทศก็คงจะลงแรงกดดันให้ความสงบเรียบร้อยกลับคืนมา

ความวุ่นวายครั้งล่าสุดในไทยเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่ไม่ได้รับความสนใจจากทั่วโลกมากนัก และไม่ถูกมองว่าเป็นสถานการณ์ขัดแย้งที่อาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในระดับโลก แต่คงจะต้องมีการประเมินกันใหม่ในช่วงเวลานี้ ที่ไทยเสี่ยงจะถลำตัวสู่ความรุนแรงที่ควบคุมไม่อยู่ หรืออาจจมดิ่งเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมือง

การดำรงอยู่ของประชาธิปไตยในไทยมีความสำคัญในฐานะประเทศตัวอย่างสำหรับเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย อันประสบความขัดแย้งเรื่องชนต่างชาติพันธุ์ มีปัญหาเรื่องการไม่เคารพสิทธิพลเมืองและสิทธิมนุษยชน โดยรัฐบาลใช้แนวทางอำนาจนิยมในบางกรณี และการยกให้ไทยเป็นตัวอย่างประเทศประชาธิปไตยนั้น มีผลสำคัญยิ่งต่อพม่า ที่มีนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการเหี้ยมโหดของทหาร นอกจากนี้ การพิทักษ์รักษาประชาธิปไตยในไทยก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับอังกฤษหรือประเทศตะวันตกอื่นๆ ด้วย ประเทศเหล่านี้มองดูภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนคอมมิวนิสต์มากขึ้นทุกวัน ด้วยความหวั่นเกรงว่าประเทศสำคัญในภูมิภาคนี้ อย่างอินโดเซีย อันมีประชากรชาวมุสลิมมากที่สุดในโลก จะยึดมั่นต่อประชาธิปไตยแบบโลกตะวันตกไปได้อีกนานเท่าไหร่ หากประเทศรอบข้างพากันหันหลังให้กับระบบนี้

ฝ่ายเสื้อแดงซึ่งเป็นขบวนการสนับสนุนทักษิณ และมีแนวร่วมคือคนจนเมือง กับชาวชนบท กำลังปะทะกับกลุ่มอำนาจซึ่งประกอบด้วย พวกอีลีตทั้งสายการเมืองและการทหาร พวกเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และพวกกระฏุมพีเศรษฐีใหม่

ความขัดแย้งทางการเมืองและการเข่นฆ่าพร่าชีวิตครั้งนี้ มีนัยยะสำคัญเกินกว่าที่จะเป็นปัญหาเฉพาะแต่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น ความเป็นจริงนั้นสลับซับซ้อนกว่าแก่นเรื่องที่ว่า นี่เป็นความขัดแย้งระหว่างคนรวยกับคนจน ซึ่งบางครั้งก็เน้นย้ำกันจนเกินควร

มหาเศรษฐีที่ชื่อทักษิณ ชินวัตรนั้นไม่ได้เป็นโรบิน ฮู้ด สมัยที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็แปดเปื้อนจากการใช้มาตรการรุนแรงกวาดล้างยาเสพติด การทุจริตคอร์รัปชั่นในหมู่ผู้มีอำนาจ และการใช้กำลังทหารอย่างโหดเหี้ยมในภาคใต้ของไทย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันอยู่ตอนนี้ ต่างก็ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชนชาวไทย นั่นก็คือมวลชนคนส่วนใหญ่ที่ได้รับส่วนแบ่งน้อยมาก หรือไม่ได้เลย จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

นายอภิสิทธิ์​ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับการศึกษาจากโรงเรียนอีตันนั้น เป็นเช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราว์น คือเข้ารับตำแหน่งโดยไม่ได้ชนะเลือกตั้งในฐานะผู้นำพรรคเสียงข้างมาก ฉะนั้นเขาจึงขาดความชอบธรรมที่จะได้มาจากผลการเลือกตั้งของประชาชน หากเขาไม่สามารถยุติการปะทะกันโดยไม่ให้เสียเลือดเสียเนื้อไปมากกว่านี้ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีตัวอย่างซ้ำซากว่าเขาก็ไม่สามารถทำได้ ก็น่าจะเป็นข้อสรุปชัดเจนว่าเขาต้องลาออก

อันที่จริงเขาก็ควรจะตัดสินใจทำอย่างนั้น ผู้มีปัญญาน่าเชื่อถือในกรุงเทพเสนอว่า ทางออกอยู่ที่การเจรจาระดับชาติ และการเลือกตั้งในเร็ววันนี้ โลกใบนี้มีผู้นำซึ่งเป็นนักเรียนเก่าอีตันประเภทได้ขึ้นเป็นผู้นำใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมมากเกินพอแล้ว มาตรการอย่างหนึ่งที่อาจช่วยให้กระบวนการดังกล่าวเดินหน้าไปได้ และช่วยยุติการสู้รบด้วย คือการประกาศนิรโทษกรรมที่ครอบคลุมไปถึงตัวนายทักษิณ และบรรดาผู้นำทหารมือเปื้อนเลือดที่อาจถูกฝ่ายเสื้อแดงตามเช็คบัญชีภายหลัง ส่วนอีกแนวโน้มหนึ่งคืออาจมีการก่อปฏิวัติอีกครั้ง ซึ่งมีสิทธิทำให้ไทยกลายเป็นเผด็จการทหารแบบเดียวกับพม่าไปได้

ผลกระทบของวิกฤติครั้งนี้ต่อเศรษฐกิจไทยมีความสำคัญอย่างแน่นอนในระดับนานาชาติ กลุ่มแรกที่จะถูกกระทบคือนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษหรือยุโรป ซึ่งก็เริ่มจะไม่ไปเที่ยวไทยแล้ว ตอนนี้พวกตัวเลขต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ ดรรชนีบ่งชี้ความเชื่อถือของผู้บริโภคหรือนักลงทุน ต่างก็เลวร้ายลงไปมาก ทั้งๆ ที่เมื่อไม่นานมานี้ไทยเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่เศรษฐกิจยังคงขยายตัวต่อไปได้ พอเกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซา คนยากคนจนในไทยก็จะต้องแบกรับภาระนี้ไว้หนักกว่าใครเพื่อนตามเคย ซึ่งรังแต่จะทำให้ความเหลื่อมล้ำทางสังคมฝังรอยลึกลงไปอีก

หากความไม่เท่าเทียมทางสังคมที่เพิ่มมากขึ้น การล่วงละเมิดต่อสิทธิพลเมือง และสิทธิมนุษยชน หรือการทำลายสถาบันประชาธิปไตยต่างก็เป็นเหตุผลที่ยังคงขาดน้ำหนักในสายตาของนานาชาติ ในการเข้าไปมีบทบาทช่วยคลี่คลายสถานการณ์ ก็อาจต้องคำนึงถึงอีกประเด็นหนึ่งซึ่งมีน้ำหนักแน่นอน นั่นก็คือความมั่นคง
ภาคใต้ของไทยเป็นพื้นที่ซึ่งมีประวัติการก่อกบฏแบ่งแยกดินแดน อันประกอบด้วยชาวมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ที่ปฏิเสธความชอบธรรมของการปกครองโดยตรงจากผู้นำในกรุงเทพ มีหลักฐานชี้ว่ากลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอัลไคด้าในอินโดนีเซียกับมาเลเซียเคยพยายามฉกฉวยโอกาสกระพือความขัดแย้งนี้มาแล้ว

หากรัฐบาลส่วนกลางล่มสลายลง หรือตกอยู่ในภาวะอัมพาตปกครองไม่ได้ไปเรื่อยๆ ก็เท่ากับเป็นการเปิดไฟเขียวให้กับความขัดแย้งแบ่งขั้วด้านอื่นๆ ด้วย นานาชาติคงไม่อยากได้ของขวัญอีกชิ้นที่ไม่พึงปรารถนา นั่นคือแนวรบอีกพื้นที่หนึ่งกับกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จนท.มูลนิธิฯ ชี้คนตายมากกว่าตัวเลขที่รัฐรายงานแต่นำออกมาไม่ได้

Posted: 15 May 2010 01:25 PM PDT

เจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยเผยมีร่างผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 14 รายที่ราชปรารภ ยังเก็บศพไม่ได้ ขณะที่ระหว่างเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ เจ้าหน้าที่รายหนึ่งเสียชีวิต 

<!--break-->

ศูนย์เอราวัณ สำนักงานแพทย์ กรุงเทพมหานคร รายงานเมื่อเวลา 19.30  น  รวมวันที่ 14   -15 พ .ค  สรุปรายงานผู้บาดเจ็บ172  ราย เสียชีวิต   22  ราย  มีผู้บาดเจ็บต่างชาติ4 ราย ได้แก่ ชาวแคนาดา 1ราย  ชาวโปแลด์ 1ราย ชาวพม่า 1   ราย ชาวไลบีเลีย 1 ราย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ปอเต็กตึ๊กรายหนึ่งซึ่งบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เขาไม่สามารถเข้าไปเก็บร่างผู้เสียชีวิตผู้ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บบริเวณ ราชปรารภ ตามซอยแถบนั้น  จาการปะทะที่คาดว่ามีไม่ต่ำกว่า  14 ราย

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง  เจ้าหน้าที่รายหนึ่ง ประจำหน่วยกู้ชีพฉุกเฉิน  ประจำศูนย์เอราวัณ  ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากกว่าที่รายงาน แต่ไม่สามารถรายงานได้

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ เมื่อเวลา 18.00 น.บริเวณย่านบ่อนไก่ ถนนพระราม 4 สถานการณ์การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและกลุ่ม ผุ้ชุมนุม นปช.ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงมีเสียงปืนและเสียงระเบิดรวมทั้งเสียงระเบิดของอาวุธสงคราม เอ็ม 79 ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันกลุ่มผู้ชุมนุมได้ทยอยมาสมทบเพิ่มมากขึ้นจำนวนหลายร้อยคน ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารพยายามตรึงกำลังควบคุมสถานการณ์ต่างให้อยุ่ในความสงบ

เจ้าหน้าที่ป่อเต๊กตึ๊กช่วยผู้บาดเจ็บตาย
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า กลุ่มผู้ชุมนุมที่เดินทางมาสบทบในบริเวณย่านบ่อนได่ ได้มีการประกาศเจตนารมย์อย่างชัดเจนว่าจะขอสู้กับเจ้าหน้าที่ด้วยมือเปล่าและกำลังรอคำสั่งจากแกนนำ นปช.ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ซึ่งเชื่อว่าจะต้องมีการเผาทำลายสถานราชการหลายหน่วยงานเพื่อเป็นการตอบโต้รัฐบาลขณะนี้รอเพียงการประกาศของแกนนำจากแยกราชประสงค์เท่านั้นทุกอย่างก็พร้อมจะดำเนินการในทันที 

มีรายงานด้วยว่า ในช่วงที่เกิดมีการเผชิญหน้าปะทะกันอยู่นี้ปรากฏว่าได้มีเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งผู้หนึ่งที่พยายามจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากการปะทะแต่กลับถูกกระสุนปืนลึกลับยิงเข้าใส่บริเวณศีรษะจนเสียชีวิตอยู่กลางถนนพระราม 4 ซึ่งขณะนี้ยังมีอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า ผู้เสียชีวิตรายนี้ถูกอาวุธจากการยิงของหน่วยสไนเปอร์หรือถูกยิงในลักษณะใด

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เสื้อแดงปทุมจี้รัฐยุติการสั่งการทำร้ายประชาชน ขู่ปิดถนน-สถานที่ราชการสำคัญ

Posted: 15 May 2010 01:10 PM PDT

<!--break-->

(17.25 น.) ผู้สื่อข่าวสปริงนิวส์รายงานว่า กลุ่ม นปช.จังหวัดปทุมธานีได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 เมื่อเวลา 16.00 น.ให้รัฐบาลยุติการสั่งการกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหารยุติการกระชับพื้นที่และการสั่งทำร้ายประชาชน ไม่เช่นนั้นจะไปปิดล้อมสถานที่ราชการและถนนในจังหวัดปทุมธานี เพื่อสกัดไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาในจังหวัด และได้ยื่นเงื่อนไขด้วยว่า หากไม่ทำตามภายใน 1 ชั่วโมงจะดำเนินการตามคำแถลงดังกล่าว

"ผู้นำกลุ่มต่างๆ ในองค์กรศูนย์ลำลูกกาเพื่อประชาชน จ.ปทุมธานี ได้เห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันให้ปฎิบัติการดังต่อไปนี้ หากรัฐบาลยังสั่งให้ทหารยิงประชาชนอยู่ ทางองค์กรศูนย์ลำลูกกาเพื่อประชาชน จ.ปทุมธานี จะรวมตัวกันปิดถนน และศูนย์ราชการสำคัญๆ ต่างๆ ของจังหวัดปทุมธานี เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการสั่งการทำร้ายประชาชนโดยพลัน ถ้ายังไม่หยุดการกระทำ พวกเราพี่น้องประชาชนจังหวัดปทุมธานี จะดำเนินการขัดขวางไม่ให้ทหารข้ามาใจจังหวัดปทุมธานีโดยเด็ดขาด" แถลงการณ์ระบุ

ส่วนสถานการณ์ที่สถานีวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง ซอยลำลูกกา 69 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี และกลุ่ม นปช.จังหวัดปทุมธานีได้ทยอยมารวมตัวกันกว่า 300 คนแล้ว หลังสถานีได้ประกาศเรียกสมาชิก นอกจากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการนำเอายางรถยนต์มากองและราดน้ำมันทิ้งเอาไว้ ในส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งด้านห่างปากซอยไปราว 300 เมตร

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่ายังไม่มีการแจ้งจากกลุ่ม นปช.จังหวัดปทุมธานีว่าจะเดินทางไปปิดถนนหรือสถานที่ราชการแห่งไหน ทั้งนี้คาดการณ์ว่ากลุ่มผู้ชุมนุนอาจเดินทางไปปิดเส้นทางคลองหลวง ธัญบุรี หรือลำลูกกา เพราะเป็นเส้นทางหลักเข้าสู่กรุงเทพฯ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านอยู่ นอกจากนี้ทางสถานนี้วิทยุประกาศระดมขนยางรถยนต์เข้าไปในกรุงเทพฯ ด้วย แต่ไม่รู้เวลาใด

ทั้งนี้ จังหวัดปทุมธานีเป็น 1 ใน 15 จังหวัด ที่ถูกประกาศใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ดีเอสไอแจงตัวอย่างศาลพิพากษาจำคุก 27 ผู้ชุมนุม คนละ 6 เดือน ย้ำโทษหนักขึ้นเรื่อยๆ

Posted: 15 May 2010 01:03 PM PDT

ดีเอสไอแถลงที่ผ่านมาดำเนินคดีกับผู้ร่วมชุมนุมแล้ว 3 ครั้ง เตือนอย่าเข้าร่วมการชุมนุม เพราะเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ชี้โทษหนักขึ้นตามลำดับ 

<!--break-->

(15 พ.ค.) ที่กรมทหาราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) เมื่อเวลา 18.00 น. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะโฆษกกระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่า การดำเนินคดีกับผู้เข้าร่วมการชุมนุมซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ศาลแขวงปทุมวัน ได้มีคำพิพากษาลงโทษผู้กระทำผิดทั้งหมด 27 คน ที่เข้าร่วมการชุมนุมโดยผิดกฎหมาย ซึ่งจำเลยทั้ง 27 คนกับพวกอีกจำนวนมากซึ่งยังไม่สามารถจำกุมได้ บังอาจร่วมกันชุมนุมมั่วสุม กีดขวางทางจราจรทำให้ไม่อาจสัญจรได้ตามปกติ ส่งเสียงโห่ร้องขับไล่ ขว้างปาสิ่งของ โดยศาลมีคำพิพากษาลงโทษบทหนักที่สุดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 18 ให้จำคุก 1 ปี แต่เนื่องจากจำเลยทั้ง 27 คน รับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือ จำคุก 6 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ ซึ่งหากผู้ต้องหาต้องการจะยื่นอุทธรณ์สามารถยื่นได้ภายใน 30 วัน

นายธาริต ระบุว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้กระทำความผิด ผู้เข้าร่วมการชุมนุมทั้ง 3 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งที่มีการจับกุมแล้วได้ฟ้องต่อศาล ศาลได้ลงโทษผู้กระทำผิดทุกครั้ง โดยโทษมีลักษณะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จากครั้งแรกที่คลองหลวง ศาลได้ลงโทษจำคุก 15 วัน แล้วเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง ครั้งที่ 2 ที่อนุสรณ์สถาน ศาลได้ลงโทษจำคุก 20 วัน และเปลี่ยนโทษเป็นกักขัง ครั้งที่ 3 ที่คลองเตย ศาลได้ลงโทษจำคุก 6 เดือน โดยไม่เปลี่ยนโทษเป็นกักขัง และไม่รอการลงโทษ ฉะนั้น ทุกคนไม่ควรเข้าร่วมการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย และควรตักเตือนคนใกล้ชิดในครอบครัวไม่ควรเข้าร่วมการชุมนุมดังกล่าว หากยังเข้าร่วมการชุมนุมขอให้เลิกการเข้าร่วมการชุมนุม เพราะเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย และศาลได้ลงโทษหนักขึ้นตามลำดับ

ด้านความคืบหน้าการดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผอ.ศอฉ. จากกรณีขอคืนพื้นที่การชุมนุมสะพานผ่านฟ้า เมื่อวันที่ 10 เมษายน ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตนั้น นายธาริต กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อเท็จจริง สอบญาตของผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งอาจจะต้องส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะความผิดที่กล่าวหาเป็นความผิดต่อการดำรงหน้าที่ ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘อนันต์’ เหยื่อ 10 เมษา เสียชีวิตแล้ว

Posted: 15 May 2010 12:58 PM PDT

<!--break-->

                                             ภาพจาก: เว็บคนเหมือนกัน

15 พ.ค.53 นายอนันต์ สิริกุลวาณิชย์ หนึ่งในคนเสื้อแดงซึ่งถูกยิงด้วยเอ็ม 16 ที่ลำคอในเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่10 เม.ย.53 และได้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลกลางได้เสียชีวิตลงแล้ว ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดพลับพลาไชย ศาลา 4 และมีกำหนดการฌาปนกิจในวันอังคารที่ 18 พ.ค.นี้  

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

TIME: กรุงเทพระทึก รอพบบทสุดท้ายของการประท้วง

Posted: 15 May 2010 12:36 PM PDT

โรเบิร์ต ฮอร์น ผู้สื่อข่าวนิตยสารไทม์ รายงานสถานการณ์ในกรุงเทพฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

<!--break-->

 

แปลจาก Bangkok Braces for a Protest's Denouement, Robert Horn
http://www.time.com/time/world/article/0,8599,1989395,00.html?xid=rss-topstories-polar

 

อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หนึ่งในแกนนำของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลไทย หรือที่เรียกกันว่า “กลุ่มเสื้อแดง” เป็นบุคคลที่สร้างความหวาดกลัวมานับครั้งไม่ถ้วน เขาเคยเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมเผากรุงเทพฯ มาแล้วหลายครั้ง เมื่อไม่นานมานี้ เขาก็ประกาศบนเวทีประท้วงที่ราชประสงค์ ท้าทายให้ตำรวจเข้ามาจับได้เลย และเมื่อปีที่แล้ว อริสมันต์ก็นำกลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้าสถานที่ประชุม “อาเซียนซัมมิท” ในโรงแรมแห่งหนึ่งที่พัทยา ส่งผลให้ผู้นำของจีน ญี่ปุ่น และชาติต่างๆ ต้องรีบหนีกันด้วยความหวาดกลัว อย่างไรก็ตาม เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กลับเป็นอริสมันต์เองที่ต้องเป็นฝ่ายหวาดกลัว

อริสมันต์จ้องมองไปรอบๆ หลังคาตึกสูงต่างๆ ในเขตราชประสงค์ โดยใส่เสื้อเกราะกันกระสุนและห้อมล้อมไปด้วยหน่วยรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงนับพันๆ คนได้ยึดพื้นที่ราชประสงค์มาเป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้ว ทำให้เขตธุรกิจของกรุงเทพฯ ต้องปิดตัวลงตามไปด้วย กลุ่มผู้ชุมนุมกำลังเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกและให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ โดยผู้ชุมนุมจำนวนมากเป็นผู้สนับสนุนของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกรัฐประหารออกไปในปี 2549 และปัจจุบันต้องลี้ภัยจากโทษจำคุกจากคดีคอร์รัปชั่น “มีพลแม่นปืนอยู่บนนั้น” อริสมันต์กล่าว ขณะที่กวาดสายตาไปตามยอดตึกต่างๆ อย่างหวาดระแวง “ผมจำเป็นต้องกลัวนะ แต่ไม่ใช่กลัวความปลอดภัยของตัวเอง ผมต้องรับผิดชอบต่อประชาชนเหล่านี้” อริสมันต์กล่าวพร้อมกับชี้ไปที่กลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งลดจำนวนลงจาก 100,000 คนก่อนหน้านี้ มาเหลือเพียงต่ำกว่า 10,000 คน

แต่ก็ใช่ว่าอริสมันต์นั้นจะหวาดกลัวไปเองโดยไร้เหตุผล ไม่ถึง 24 ชม.ก่อนหน้านั้น แกนนำคนเสื้อแดงอีกคนหนึ่งถูกพลแม่นปืนยิงเข้าที่ศีรษะจนอาการสาหัสขณะที่กำลังให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวบริเวณรอบนอกของพื้นที่ชุมนุม พลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล หรือที่รู้จักกันในนาม “เสธ. แดง” เป็นนายทหารนอกแถวผู้หนึ่งซึ่งเข้าร่วมกลุ่มเสื้อแดง และดูแลจัดการหน่วยรักษาความปลอดภัยภายในพื้นที่การประท้วง เสธ. แดง ยังถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วยระเบิด M79 กว่า 20 ครั้งรอบกรุงเทพฯ ในเวลา 2 เดือนที่ผ่านมาอีกด้วย แต่ เสธ.แดง ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวมาตลอด พลตรี ขัตติยะ ยังคงรักษาตัวในโรงพยาบาลในอาการโคม่า

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปฏิเสธความรับผิดชอบต่อการซุ่มยิงที่เกิดขึ้น และมีบางคนในกรุงเทพฯ สงสัยว่า การลอบสังหารดังกล่าวอาจมาจากความขัดแย้งระหว่างพลตรีขัตติยะกับแกนนำเสื้อแดงคนอื่นๆ แต่กำลังทหารนับพันๆ นายก็เข้าล้อมกรอบพื้นที่ชุมนุมอยู่ และกลุ่มเสื้อแดงก็พบเห็นพลแม่นปืนทุกหนแห่ง

“บนโน้น!” ผู้ชุมนุมคนหนึ่งตะโกนขึ้น และชี้ขึ้นไปที่รางรถไฟฟ้าที่อยู่เหนือพื้นที่ประท้วง “มีทหารอยู่บนโน้น!” อีกคนตะโกนขึ้นบ้าง ถึงแม้ยังไม่มีทหารคนใดที่ปรากฏตัวออกมาให้เห็น ต่อมาไม่นานกลุ่มผู้ชุมนุมนับสิบๆคนก็ชี้ขึ้นไปข้างบน บางคนเริ่มยิงพลุบั้งไฟเข้าใส่รางรถไฟฟ้า เสียงพลุระเบิดทำให้หน่วยรักษาความปลอดภัยรีบวิ่งขึ้นไปคุ้มกันจตุพร พรหมพันธ์ ซึ่งเป็นแกนนำเสื้อแดงอีกคนหนึ่ง ขณะที่กำลังปราศรัยอยู่บนเวที หน่วยการ์ดนำตัวจตุพรเข้าไปหลังเวที โดยมีการ์ดเสื้อแดงคนหนึ่งยืนเฝ้าระวัง ถือปืนไรเฟิลหุ้มด้วยผ้าขนหนูสีขาว

ถนนในบริเวณโดยรอบก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้นเกิดเหตุปะทะกันในกรุงเทพฯ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 16 คน บาดเจ็บกว่า 160 คน จากความพยายามของเจ้าหน้าที่ทหารในการโอบล้อมพื้นที่ชุมนุม โดยมุ่งหมายที่จะกดดันกลุ่มผู้ชุมนุมโดยไม่ต้องเข้าสลายด้วยกำลังอาวุธ ข้อเสนอสันติภาพของนายอภิสิทธิ์ที่ให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ได้ถูกปฏิเสธโดยกลุ่มผู้ชุมนุม และในตอนนี้ นายอภิสิทธิ์เรียกร้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมยุติการประท้วงที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศถึง 2 พันล้านดอลล่าร์แล้ว แต่กลุ่มเสื้อแดงยังคงปฏิเสธที่จะล่าถอย และในตลอดทั้งวันก็ได้เผารถบัส โยนระเบิดควัน และยิงพลุทำเองใส่ทหารซึ่งส่วนใหญ่ตอบโต้ด้วยกระสุนยาง แก๊สน้ำตา แต่ในบางครั้งก็มีกระสุนจริงด้วย (อีกฝ่ายหนึ่งมีอาวุธปืนเช่นกัน)

ฝ่ายทหารยังถูกโจมตีจากด้านหลังโดยผู้อาศัยในสลัมท่าเรือคลองเตยนับร้อยคนอีกด้วย กลุ่มคนได้รุกเข้ามาบนถนน พร้อมยิงดอกไม้ไฟและกระสุนจากหนังยางเข้าใส่ทหาร ทางฝั่งกองทัพก็เปิดเพลงลูกทุ่งจากเครื่องเสียงบนรถบรรทุกและพยายามผ่อนคลายสถานการณ์ด้วยการประกาศว่าทหารไม่มีเจตนาร้ายต่อประชาชน แต่เมื่อกลุ่มคนจากคลองเตยเดินรุกเข้าเรื่อยๆ ทหารกลับใช้กระสุนยางระดมยิงเข้าใส่ฝูงชน ทำให้คนนับร้อยต่างแตกตื่น ต้องก้มลงและวิ่งเข้าหาที่กำบังตามข้างทางทันที มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 3 คน มอเตอร์ไซด์รับจ้างคนหนึ่งถูกยิงเข้าที่ขากรรไกร เลือดของเขาสาดกระจายไปตามถนนพระรามสี่จนเหือดแห้งไปภายใต้แสงแดดจ้า

ต่อมาไม่นานม็อบก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง โดยมีคนขับมอเตอร์ไซด์คนหนึ่งถือธงชาติไทยขับนำหน้าสู่แนวทหาร ผู้ชุมนุมที่เหลือใช้หินและดอกไม้ไฟขว้างปาใส่ทหาร และตะโกนด่าทอไปยังแนวทหาร เมื่ออารมณ์ของผู้ชุมนุมเดือดขึ้น ก็เริ่มส่งเสียงพร้อมกันว่า “ไอ้เหี้ย! ไอ้เหี้ย! ไอ้เหี้ย!” อย่างไรก็ตาม กลุ่มทหารยังคงอยู่ในความสงบ

ทหารหนุ่มนายหนึ่งจากขอนแก่นส่ายศีรษะขณะเฝ้าดูกลุ่มผู้ชุมนุม กลุ่มเสื้อแดงมีฐานกำลังที่แข็งแกร่งในขอนแก่น และผู้ชุมนุมบางส่วนก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาจากจังหวัดดังกล่าว เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่จะต้องต่อสู้กับเพื่อนบ้านด้วยกัน ทหารนายนี้ซึ่งขอไม่แสดงชื่อจริงได้แต่ยิ้ม และหันหนีไปทางอื่น “ทั้งหมดนี่มันไม่ถูกต้องเลย” เขากล่าว “ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศของผมแล้วตอนนี้

เมื่อความมืดปกคลุมพื้นที่ ระเบิด M79 ก็ถล่มเข้าใส่เขตประตูน้ำ อันเป็นย่านคนทำงานทางทิศเหนือของบริเวณที่ชุมนุมหลัก กลุ่มผู้ประท้วงได้รวมตัวกันในบริเวณดังกล่าวเพื่อต่อต้านแนวทหาร มีการจุดกองไฟบนถนนและขว้างปาก้อนหิน ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้ยิงระเบิด M79 แต่เมื่อกรุงเทพฯ เข้าสู่ค่ำคืนอันตึงเครียด ผู้คนต่างสงสัยว่าเมื่อใดทหารจะบุกเข้าสลายการชุมนุมในที่สุด และจะมีผู้เสียชีวิตกี่คนเมื่อเกิดการบุกเข้าจริงๆ ขณะเดียวกัน กองเพลิงยังคงลุกไหม้ต่อไปและเสียงปืนยังกังวานไปทั่วตามท้องถนน.

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เครือข่ายคนรุ่นใหม่ไม่ทิ้งประเทศชาติ สนับสนุนรัฐใช้อำนาจเต็มที่

Posted: 15 May 2010 12:00 PM PDT

<!--break-->

แถลงการณ์กลุ่มแนวร่วมนักเรียนนักศึกษาไทยในประเทศและต่างแดน
และเครือข่ายคนรุ่นใหม่ไม่ทิ้งประเทศชาติ ฉบับที่ 3/2553
วันที่ 15 พฤษภาคม 2553
เรื่อง: เรียกร้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมและสนับสนุนให้รัฐบาลใช้อำนาจรัฐอย่างเข้มแข็ง

สืบเนื่องมาจาก การที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธ์ เวชาชีวะ เสนอทางออกของประเทศโดยการเสนอ แผนการปรองดอง หรือ โรดแม็พ เพื่อสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นและหาทางออกให้แก่ประเทศ ซึ่งทุกฝ่ายต่างให้การสนับสนุนในแผนดังกล่าวที่นายกรัฐมนตรี เสนอหยิบยื่นให้กลุ่มคนเสื้อแดง โดยที่แผนโรดแม็พดังกล่าวรัฐบาลยอมที่จะลดเวลาทำงานของตัวเองจาก 18 เดือนให้เหลือเพียงแค่ 4 เดือน โดยจะให้มีการจัดเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 14 พ.ย. 2553 แต่ต้องแลกกับการที่กลุ่มนปช.ต้องยุติการชุมนุมทันที แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นโดยเฉพาะท่าทีของแกนนำกลุ่มนปช. กลุ่มนปช.มิได้จริงใจที่จะเข้าร่วมแผนปรองดองนี้ และมีความคิดที่จะล้มแผนปรองดองนี้อย่างชัดเจน จนเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องเข้าสลายการชุมนุม ภาพที่ปรากฎจากสื่อต่างๆไม่ว่าทั้งในและต่างประเทศไม่สามารถปฎิเสธได้เลยว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น มิใช่การชุมนุมตามหลักสากล ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุม มีกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายแฝงอยู่ข้างใน และพร้อมที่จะท้าทายอำนาจรัฐในทุกรูปแบบ ซึ่งเห็นได้จาก เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 และการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นยังไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมและมนุษยธรรมอีกด้วยดังจะเห็นได้จากกรณีบุกรุกโรงพยาบาลจุฬาฯในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553 ที่ผ่านมาซึ่งถือว่าผิดต่อหลักการสากลของอนุสนธิสัญญาเจนีวาว่าด้วยการรักษาพยาบาลยามศึกสงคราม และจากการเข้ามาตรวจสอบขององกรค์ Physical for Human Right (PHR) ชี้ชัดว่าการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดงในกรณีบุกโรงพยาบาลนั้นเป็นการละเมิดหลักตามสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง จากพฤติกรรมทั้งหลายทั้งปวงของกลุ่มผู้ชุมนุมเหล่านี้ แสดงให้เห็นได้ชัดว่า เป็นลักษณะการก่อการร้ายที่มุ่งหมายทำลายล้างหลักกฏหมาย หลักนิติรัฐ และหลักมนุษยธรรมอย่างชัดแจ้งพวกเราในฐานะกลุ่ม แนวร่วมนักเรียนนักศึกษาไทยในประเทศและต่างแดน และเครือข่ายคนรุ่นใหม่ไม่ทิ้งประเทศชาติที่ได้เฝ้าติดตาม สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. หรือกลุ่มคนเสื้อแดงมาโดยตลอด จึงทราบดีว่าที่ผ่านมาการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงได้สร้างความเดือดร้อนและความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองในหลายด้าน ถึงเวลาแล้วที่รัฐจะต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดจัดการกับผู้ก่อการร้ายเหล่านี้เพื่อความมั่นคงของประเทศ และนำพาความสงบสุขกลับคืนสู่ประเทศโดยเร็ว ในฐานะที่พวกเราเป็นพลเมืองไทยกลุ่มหนึ่ง มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เราขอใช้สิทธิที่จะแสดงจุดยืนทางการเมืองของเราดังต่อไปนี้

1.เราขอเรียกร้องให้กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ยุติการชุมนุมโดยทันที เนื่องจากการชุมนุมที่มีกองกำลิงติดอาวุธก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตของพี่น้องผู้บริสุทธิ์มากมาย และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคลอื่น อีกทั้งยังก่อให้ความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวเป็นมูลค่ามหาศาล
2.เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าจัดการกับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ซึ่งแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันการสูญเสียและเป็นอันตรายต่อกลุ่มผู้ชุมนุมเองหรือประชาชนผู้บริสุทธิ์
3.เราขอสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาล และกองทัพในการจับกุมแกนนำและเข้าปราบปรามกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)โดยสันติวีธีและถูกต้องตามหลักสากล
4.เราขอประณามการนำเสนอข่าวที่บิดเบือน เสนอข่าวสารข้อมูลอันเป็นเท็จของแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง อีกทั้ง การพยายามใส่ร้ายป้ายสีการทำงานของภาครัฐว่า "เป็นเผด็จการทหารซึ่งเข่นฆ่าประชาชน" ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในกลุ่มผู้ชุมนุม อันเป็นการยั่วยุปลุกปั่นทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าใจผิดและโกรธแค้นเจ้าหน้าที่รัฐ จนอาจจะลุกลามจนทำให้สองฝ่ายเกิดการปะทะกัน และอาจจะนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
5.เราขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและข้าราชการ ปฏิบัติหน้าที่ของอย่างเต็มความสามารถ และเป็นหูเป็นตาให้กับรัฐบาล
6.เราขอให้กลุ่มองค์กรต่างๆที่จะเข้ามาตรวจสอบการทำงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มองค์กรทางด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและต่างประเทศใด้เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
และหาข้อมูลจากทุกฝ่ายก่อนที่จะออกแถลงการณ์ใดๆ เพื่อที่จะป้องกันการบิดเบือนข้อมูลจากกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด
7.เราขอประณามการทำร้าย เข่นฆ่า ทหารรวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ ของกลุ่มบุคคลหนึ่งบุคคลใด จากภาพที่สื่อนำเสนอไม่ว่าจากในประเทศและต่างประเทศ เห็นได้ชัดเจนว่า ทหารเป็นฝ่ายถูกกระทำก่อน และจึงตามมาด้วยการตอบโต้ของฝ่ายทหาร เพื่อที่จะป้องกันตนเอง ซึ่งเป็นไปตามหลักการและระเบียบของสากล จึงเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
8.เราขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนทุกแขนงตระหนักในหน้าที่และนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา และขอให้กำลังใจสื่อในการปฎิบัติหน้าที่ที่จะนำความจริงสู่สายตาประชาชนอย่างเต็มที่

ด้วยจิตสำนึกรักในผืนแผ่นดินที่ให้กำเนิด
กลุ่มนักเรียนนักศึกษาไทยในประเทศและต่างแดน (WTSA)
เครือข่ายคนรุ่นใหม่ไม่ทิ้งประเทศชาติ
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สันติประชาธรรมวอนสื่อทำความเข้าใจผู้ชุมนุม สังคมต้องการแผนปรองดองอันแน่วแน่

Posted: 15 May 2010 11:11 AM PDT

<!--break-->

15 พ.ค. 53 กลุ่มสันติประชาธรรม ออกแถลงการณ์ ลงวันที่ 14 พ.ค. เรียกร้องสื่อกระแสหลักเข้าใจผู้ชุมนุม ตั้งคำถาม ทำไมแค่พิธีกรรมสุเทพมอบตัว รับบาลจึงไม่ทำ แต่ฉวยโอกาสล้มปรองดอง หวังบีบกองทัพจัดการผู้ชุมนุม  โดยแถลงการณ์มีบทวิเคราะห์และรายละเอียด ดังนี้

0 0 0

 

แถลงการณ์
กลุ่มสันติประชาธรรม 
Santi prachatham Communigue

(๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓)

สังคมต้องการเจตน์จำนงอันแน่วแน่ และแผนปรองดองแห่งชาติ 

  
เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง  ที่ความพยายามที่จะประนีประนอม  ระหว่างรัฐบาลและแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติการเมือง ที่ดำรงอยู่ในขณะนี้  ต้องพังทลายลงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย  เงามืดของความรุนแรง  การนองเลือด  กำลังก่อตัวเข้าปกคลุมพื้นที่ของผู้ชุมนุมอย่างน่ากลัว  ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงการขาดเอกภาพในหมู่แกนนำ นปช.   แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการขาดเจตน์จำนงอันแน่วแน่ของฝ่ายรัฐบาล  ที่จะแก้ปัญหาด้วยแนวทางประชาธิปไตย-เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ  และสันติวิธี 
  
เมื่อแกนนำ นปช. ปฏิเสธ  ที่จะสลายการชุมนุมในทันทีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เสนอเงื่อนไขให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน และยุบสภาระหว่างวันที่ 16-30 กันยายนได้ทำให้ภาพพจน์ของนปช. กลายเป็นฝ่ายที่บิดพริ้วข้อตกลง ต้องการให้เกิดการแตกหัก  พร้อมจะเอามวลชนเข้าแลก  บ้างก็ว่าเพื่อฟื้นฟูผลประโยชน์ของอดีต นรม. ทักษิณ  บ้างก็ว่า นปช. เป็นพวกได้คืบ  จะเอาศอก  รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ อุตส่าห์เข้ารายงานตัวต่อกรมสอบสอนคดีพิเศษ หรือ DSI แล้ว  นปช.ก็ยังไม่พอใจ  กลับเปลี่ยนเงื่อนไขให้นายสุเทพเข้ามอบตัวต่อตำรวจแทน  สำหรับผู้ที่ไม่ชอบมวลชนคนเสื้อแดง   ปฏิกิริยาดังกล่าวของ นปช. ย่อมตีความเป็นอื่นไม่ได้ 
  
แต่หากวิเคราะห์ข้อเรียกร้องที่ให้นายสุเทพเข้ามอบตัวต่อตำรวจแทน DSI  ก็จะพบว่าข้อเรียกร้องดังกล่าว  แยกไม่ออกจากความแค้นเคืองต่อเหตุการณ์ 10 เมษา  ที่ยังฝังแน่นอยู่ในสำนึกของมวลชนคนเสื้อแดง ที่จนกระทั่งบัดนี้  ก็ไม่มีแม้แต่คำกล่าวขอโทษจากนายอภิสิทธิ์  เสมือนว่าการตายและบาดเจ็บจำนวนมากในวันนั้น  เกิดขึ้นกับชีวิตของพลเมืองที่ไร้ค่าของประเทศนี้  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สังคมไทย โดยเฉพาะสื่อมวลชนกระแสหลัก  ปฏิบัติต่อความตายของคนเสื้อแดงนั้น  แตกต่างราวฟ้ากับดินกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับมวลชนเสื้อเหลือง  เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551  นี่คือภาวะ “สองมาตรฐาน” อีกประการหนึ่ง  ที่สังคมใช้กับคนเสื้อแดง
 
ฉะนั้น  ก่อนที่จะประกาศให้มวลชนแยกย้ายกันกลับบ้าน  แกนนำ นปช. จำเป็นต้องแสดงให้มวลชนของตนเห็นว่า   เมื่อได้สิ่งที่ต้องประสงค์คือการยุบสภาและเลือกตั้งแล้ว  พวกเขาจะไม่เดินข้ามศพมวลชนของตนไปอย่างรวดเร็ว  แต่พวกเขาต้องการความยุติธรรมเพื่อยืนยันสิทธิในชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บเฉกเช่นประชาชนชาวไทยทุกผู้ทุกนามจะพึงมีโดยเสมอเหมือนกัน
 
นอกจากนี้  เมื่อแกนนำ นปช. ประกาศรับแผนปรองดองของรัฐบาล   ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่มวลชนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อย  ที่เจ็บแค้นอย่างมากต่อเหตุการณ์ 10 เมษายน นี่คือสิ่งที่สื่อกระแสหลังมองไม่เห็นและไม่เข้าใจ 
  
จริงอยู่ ไม่ว่านายสุเทพ  จะมอบตัวกับ DSI หรือตำรวจ  ทุกฝ่ายรู้ดีว่านายสุเทพ  จะไม่มีวันถูกจับกุมคุมขัง  ตราบเท่าที่พรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นรัฐบาลอยู่  แต่อย่างน้อยประชาชนเสื้อแดง  ก็มีความรู้สึกที่ดีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่า DSI ในยุคของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ข้อเรียกร้องให้นายสุเทพ  เข้ามอบตัวต่อตำรวจจึงเป็นเสมือนพิธีกรรม  ว่าการดำเนินคดีต่อผู้มีส่วนในอาชญากรรมเมื่อวันที่ 10 เมษายน ได้เริ่มขึ้นแล้ว  เป็นพิธีกรรมเพื่อลดกระแสความไม่พอใจของมวลชนเสื้อแดงที่แกนนำ “สายพิราบ” นำตัดสินใจจะยุติการชุมนุม 
  
ปัญหาคือ รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์  ยอมรับพิธีกรรมง่าย ๆ เช่นว่านี้ไม่ได้เชียวหรือ  ทำไมจึงปล่อยให้ประเด็นปลีกย่อยเช่นนี้  มาทำลายเป้าหมายทางการเมือง  ที่สำคัญกว่าหลายเท่า ได้อย่างง่ายดาย  ทำไมเจตน์จำนงที่จะให้เกิดการปรองดองแห่งชาติ  ของนายอภิสิทธิ์จึงอ่อนแอได้อย่างไม่น่าเชื่อ  หรือจริง ๆ แล้วนายอภิสิทธิ์ไม่เคยเชื่อในแผนปรองดองแห่งชาติของตนจริง ๆ เลย  แต่เป็นเพียงกลอุบาย  เพื่อซื้อเวลาให้กับพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลต่อไปเท่านั้น 
  
สิ่งนี้สอดคล้องกับความเข้าใจทั่วไปว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์  ปรารถนาที่จะให้มีการใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างเด็ดขาด  แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากกองทัพและเจ้าหน้าที่ตำรวจ  จึงต้องหันมาใช้แผนปรองดองแห่งชาติ  แต่เมื่อแกนนำ นปช. พลาดท่าเสียทีทางการเมือง สูญเสียความชอบธรรมในสายตาสาธารณชน (โดยมีสื่อกระแสหลักเป็นตัวหนุนช่วย) นายอภิสิทธิ์ก็พร้อมที่จะบอกยกเลิกสัญญาในทันที 
  
ฉะนั้น  กลุ่มสันติประชาธรรม  จึงขอยื่นข้อเรียกร้องต่อทั้งฝ่าย นปช. และรัฐบาลดังนี้
 
1.       แกนนำ นปช. ที่เป็นฝ่ายช่วงชิงและยึดกุมการนำอยู่ในขณะนี้  ต้องพยายามอย่างถึงที่สุดที่รักษาชีวิตของผู้ชุมนุมให้ได้  โดยจะต้องยุติการชุมนุมโดยเร็วที่สุด  แม้ว่าแกนนำบางส่วนของ นปช. จะไม่ได้รับการประกันตัวตามวิถีทางประชาธิปไตยก็ตาม
 
2.       รัฐบาลจะต้องมีความอดกลั้นและความมุ่งมั่น  ที่จะแก้ปัญหาด้วยแนวทางสันติวิธีให้มากขึ้น นายอภิสิทธิ์ต้องไม่ใช้เรื่องการปรองดอง  เพียงเพื่อสร้างภาพพจน์และซื้อเวลาให้กับตนเอง  รัฐบาลจะต้องยุติความพยายามใช้กำลังเข้าสลายและปราบปรามผู้ชุมนุม
 
3.       รัฐบาลจะต้องยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน  เพื่อเป็นหลักประกันว่าแกนนำและมวลชนของ นปช. จะต้องได้รับการปฏิบัติทางกฎหมายตามวิถีทางประชาธิปไตยโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแบบ “สองมาตรฐาน”โดยเด็ดขาด
 
ผู้คนทั่วโลก  กำลังเฝ้าดูว่าความล้มเหลวของแนวทางการเมืองในขณะนี้  จะนำไปสู่ความตายอีกกี่ศพ  บาดเจ็บอีกกี่พันคน คนจำนวนไม่น้อยอาจสะใจหรือไม่รู้สึกรู้สมกับความตายของคนเสื้อแดง  แต่บรรดาผู้ที่เรียกร้องให้มีการปราบปรามประชาชน  โปรดตระหนักด้วยว่าคนจำนวนมหาศาล  จะยิ่งรู้สึกเคียดแค้นกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น  ความเคียดแค้นนี้จะสั่งสมและซ้ำเติมสังคมไทยจนยากที่จะเยียวยาได้  ความคับแค้นนี้จะไม่มีวันสลายตัวไปได้  ตราบเท่าที่สังคมนี้ยังปฏิบัติต่อประชาชนเสื้อแดงด้วย “สองมาตรฐาน” ต่อไป
 
นายอภิสิทธิ์ต้องตระหนักว่าลำพังแค่เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ตนก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นผู้นำต่อไป  แต่สมควรลาออกและประกาศยุบสภาในทันทีภายหลังเหตุการณ์นั้นแล้ว  หากนายอภิสิทธิ์ตัดสินใจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมอีกครั้งหนึ่ง  และมีผู้บาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้นอีก  นายอภิสิทธิ์จะเป็นผู้นำพลเรือนคนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง  ที่จะถูกประณามและถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ร่วมกับเผด็จการทั้งหลายทั้งปวงในบ้านนี้เมืองนี้ 

 
"ถ้ายึดมั่นในหลักประชาธรรมแล้ว
ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี...
การใช้อาวุธขู่เข็ญประหัตประหารกันเพื่อประชาธรรมนั้น
แม้จะสำเร็จ อาจจะได้ผลลัพธ์เพียงชั่วครู่ชั่วยาม
จะไม่ได้ประชาธรรมถาวร
เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้อาวุธแล้ว
อีกฝ่ายหนึ่งแพ้  ก็ย่อมคิดใช้อาวุธโต้ตอบ
เมื่ออาวุธปะทะกันแล้ว จะรักษาประชาธรรมไว้ได้อย่างไร"

(ป๋วย อึ๊งภากรณ์ “บันทึกประชาธรรมไทยโดยสันติวิธี” 2515)

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กลุ่มสันติใต้ แถลง รัฐบาลอภิสิทธิ์หมดความชอบธรรมแล้ว

Posted: 15 May 2010 10:58 AM PDT

<!--break-->

15 พ.ค. 53 เครือข่ายนักวิชาการภาคใต้ออกแถลงการณ์ " รัฐบาลอภิสิทธิ์หมดความชอบธรรมแล้วโดยสิ้นเชิง" โดดยมีรายละเอียด ดังนี้

0 0 0

แถลงการณ์
รัฐบาลอภิสิทธิ์หมดความชอบธรรมแล้วโดยสิ้นเชิง
 

            เหตุการณ์การสลายการชุมนุมโดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 เป็นต้นมานั้น รัฐบาลใช้แนวทางอำนาจนิยมจนประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง   กระทั่งล่าสุดในระหว่างวันที่ 13-15 พฤษภาคม 2553 นี้ได้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากและกำลังทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

            พวกเราเห็นว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ หมดความชอบธรรมแล้วโดยสิ้นเชิงจากการเป็นรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากการสังหารประชาชนเยี่ยงอนารยชน จึงขอเรียกร้องดังนี้

            1. รัฐบาลต้องยุติการสลายการชุมนุมโดยทันที   ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทั้งวิธีการบนดินและใต้ดิน

            2. รัฐบาลต้องยกเลิก พรก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทันทีในทุกพื้นที่

            3. รัฐบาลต้องยุติการบิดเบือน ปิดกั้นข้อมูลข่าวสารทุกรูปแบบ เช่น การควบคุมการนำเสนอข่าวสารทางโทรทัศน์ทุกช่อง หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ ฯลฯ

            4. รัฐบาลต้องประกาศยุบสภาโดยทันที  เพื่อคืนอำนาจอธิปไตยและการตัดสินใจให้กับประชาชน

            5. ในระหว่างเตรียมการเลือกตั้งใหม่ รัฐบาลรักษาการจะต้องไม่ใช่รัฐบาลชุดปัจจุบัน   แต่ต้องมีตัวแทนจากทุกพรรคการเมืองที่มี ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อทำหน้าที่ดูแลการเลือกตั้ง โดยไม่ตัดสินใจโครงการสำคัญอื่นใด รวมทั้งยุติการดำเนินคดีทางการเมือง จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่

            แนวทางทั้งหมดนี้ต้องดำเนินการโดยทันที เพื่อเป็นทางออกต่อปัญหาขั้นวิกฤติของสังคมไทย.

                                                                                 เสาร์ที่ 15 พฤษภาคม 2553

สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้
ทวีศักดิ์ เผือกสม
สุรพล สงฆ์รักษ์
|จิรวัฒน์ แสงทอง
วิทยา อาภรณ์
พุทธพล มงคลวรวรรณ
ธนภาษ เดชพาวุฒิกุล
อภิชาติ จันทร์แดง
โชคชัย วงศ์ตานี
จีรพล เกตุจุมพล
กมลทิพย์ จ่างกมล
ปราการ กลิ่นฟุ้ง
พิเชษฐ์ ปานดำ
รัตนาภรณ์ แจ้งใจดี
บัณฑิตา อย่างดี
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ผู้สื่อข่าว France 24 ยังมีชีวิต อาการปลอดภัยแล้ว ย้ายไปรักษาที่ BNH

Posted: 15 May 2010 10:30 AM PDT

เนลสัน แรนด์ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ France 24 ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกระสุนปืนอาการสาหัส เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่าน ขณะนี้อยู่ขั้นปลอดภัย สามารถพูดคุยกับญาติได้ ย้ายไป BNH แล้วเมื่อบ่ายของวันที่ 15 พ.ค.

<!--break-->

ทั้งนี้ตลอดทั้งวันของวันที่ 15 พ.ค. มีข่าวลือเกี่ยวกับผู้สื่อข่าวรายนี้ว่าเสียชีวิตลงแล้ว  ประชาไทได้สอบถามจากเพื่อนรายหนึ่งของเนลสัน เมื่อเวลา 23.50 น. ของวันที่ 15 พ.ค. โดยเพื่อนของเขาเปิดเผยกับประชาไทว่า เนลสันมีอาการดีขึ้นแล้ว หลังจากที่ผ่านช่วงวิกฤตเนื่องจากเสียเลือดมาก และต้องผ่าตัดนานกว่า 4 ชั่วโมง ขณะนี้เขาพูดคุยได้ และทำการย้ายการรักษาไปที่โรงพยาบาล บางกอกเนิร์สซิงโฮม หรือ บีเอ็นเอช ซอยคอนแวนต์ ถ.สีลม เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา

ด้าน ศ.นพ.อดิศร ภัทราดูรย์ ผู้อำนวยการ รพ.จุฬาลงกรณ์ กล่าวเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ว่าทางแพทย์ได้ให้การ รักษานักข่าวคนดังกล่าวจนปลอดภัยแล้ว และ ในวันนี้ได้ส่งต่อไปรักษาที่รพ.บีเอ็นเอช ซึ่งก่อนส่งต่อไปนั้นผู้ป่วย ยังพูดคุยได้และรู้สึกตัวดี และไม่มีภาวะอาการที่เป็นอันตราย

เนลสัน แรนด์ ถูกยิงที่มือ ขา และท้อง อาการสาหัส ขณะที่เขาบันทึกภาพเหตุการณ์ทหารปราบปรามคนเสื้อแดง ที่บริเวณสวนลุมไนท์ บาร์ซาร์ ภาพเหตุการณ์หลังจากทีเขาถูกยิงบันทึกไว้ได้โดยผู้สื่อข่าว CNN ซึ่งฉายให้เห็นว่าเขานอนลงที่ริมรั้วของสวนลุมพินี และยกมือขึ้นร้องขอความช่วยเหลือ จากนั้นฝ่ายประชาชนที่เข้าร่วมการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาวิ่งเข้าไปหามเขาออกมาและนำส่งโรงพยาบาลจฬาลงกรณ์ในที่สุด

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ข่าวเหตุปะทะจากสื่อนอก15 พ.ค.

Posted: 15 May 2010 09:33 AM PDT

เหวงบอกไม่ต้องการสงครามกลางเมือง นักวิชาการออสเตรเลียชี้ ยิ่งทหารปราบยิ่งฝังรากความรุนแรง ควรรับฟังผู้ชุมนุม ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวกับรอยเตอร์ ผู้ชุมนุมถูกปราบอยู่ฝ่ายเดียว

<!--break-->

15 พ.ค. 2553 - เมื่อช่วงเย็นสำนักข่าว AP รายงานสถานการณ์การปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมและทหารในไทยว่า เป็นการการปะทะกันใจกลางเมืองหลวงติดต่อกันเป็นัวนที่ 3 แล้ว และเหตุระเบิดกับการต่อสู้กันทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 17 ราย และมีผู้บาดเจ็บราว 160 ราย

โดยในวันนี้ (15) ทหารมีการวางรั้วลวดหนามกั้นถนนที่นำไปสู่แยกราชปรารภ และมีการแขวนป้ายห้ามเข้าว่า "เขตใช้กระสุนจริง"

AP รายงานอีกว่าแม้ทหารจะพยายามบอกว่าพวกเขาไม่ได้ยิงเพื่อสังหารประชาชน แต่ก็มีผู้ชุมนุมบางส่วนช่วยกันลากศพของประชาชน 3 คนใกล้กับอนุสาวรีย์ชียฯ และบอกกับช่างภาพของ AP ว่าพลแม่นปืนระยะไกล (สไนเปอร์) ของฝ่ายทหารเป็นผู้ยิงสามคนนี้ที่ศรีษะ

จตุพร พรหมพันธ์ กล่าวว่า สถานการณ์ตอนนี้เข้าใกล้สงครามกลางเมืองไปทุกขณะ "พวกเราคงต้องสู้ต่อไป แกนนำไม่ควรคิดจะหนีในขณะที่พี่น้องของเราพร้อมจะสู้"

ด้านเลขาธิการสหประชาชาติ (UN) บังคีมูน กล่าวถึงสถานการณ์ว่า อยากให้ทั้งสองฝ่าย "ทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงและการสูญเสียชีวิต"

ไทเรลล์ ฮาร์เบอร์กอน นักรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย กล่าวว่าเขารู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ที่มีการปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรง จะยิ่งทำให้วัฒนธรรมความรุนแรงหยั่งรากลึกในประเทศไทย

ไทเรลล์ บอกอีกว่า การประท้วงนี้มาจากความรู้สึกไม่พอใจของคนส่วนมากที่อยู่ชายขอบทางการเมือง รู้สึกว่าถูกกีดกั้นออกจากการบริหารบ้านเมือง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่แต่ในมือชนชั้นนำ

"หากมีคนที่ยอมรับฟังผู้ชุมนุม ... ประชาชนยอมออกมาเสี่ยงชีวิตเพราะว่าพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาทำมากกว่าเพื่อตัวเอง แต่เพื่อสังคมไทย เพื่อลูกเพื่อหลานของพวกเขาด้วย" ไทเรลล์กล่าว

ด้าน เหวง โตจิราการ หนึ่งในแกนนำได้เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศหยุดยิงและสั่งถอยทหาร "เพราะเราไม่ต้องการสงครามกลางเมือง หากสงครามกลางเมืองเกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่ามันจะต้องใช้เวลาไปอีกกี่ปีกว่าจะจบ"

ส่วน Reuters รายงานเหตุปะทะว่า ที่ถนนพระราม 4 มีทหารจำนวนมากหลบอยู่หลังกระสอบทราย ยิงกระสุนจริงใส่ผู้ชุมนุม ขณะที่ผู้ชุมนุมอีกหลายร้อยรายตอบโต้ด้วยการขว้างปาระเบิดขวด ก้อนหิน และบั้งไฟ

ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่า การต่อสู้เป็นไปอยู่ฝ่ายเดียว คือฝ่ายทหารที่มีอาวุธปืนกลจะสามารถหลบสิ่งของที่ผู้ชุมนุมขว้างปามาได้ แล้วยิงใส่ผู้ชุมนุม

 

 

ที่มา : Clashes, blasts for 3rd day in besieged Bangkok, AP
http://news.yahoo.com/s/ap/20100515/ap_on_re_as/as_thailand_politics

Fighting spreads in Thai capital, Reuters
http://news.yahoo.com/s/nm/20100515/wl_nm/us_thailand

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เครือข่ายสันติวิธี เรียกร้องทุกฝ่ายหยุดฆ่ากัน หยุดสงครามกลางเมือง

Posted: 15 May 2010 09:06 AM PDT

<!--break-->

เมื่อเวลา 16.00 น. อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์, พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล, นายไพโรจน์ พลเพชร, ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล, พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ, นายจอน อึ้งภากรณ์, นส.สารี อ๋องสมหวัง,นายนิมิตร เทียนอุดม,นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา , นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ, นายต่อพงษ์ เสลานนท์ และตัวแทนกลุ่มสันติวิธี ได้แถลงข่าว ณ เสาชิงช้า หน้าวัดสุทัศน์

เครือข่ายสันติวิธี เรียกร้องทุกฝ่ายหยุดฆ่ากัน หยุดสงครามกลางเมือง
หยุดเอาชีวิตประชาชนเพื่อแลกกับการบรรลุเป้าหมายทางการเมือง
ทุกฝ่ายกำลังพาประเทศไทยไปที่ไหน

ขณะนี้ สถานการณ์การความขัดแย้ง ความรุนแรง การใช้อาวุธจากทั้งฝ่ายทหาร และแนวร่วมของผู้ชุมนุม ทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตของประชาชน จำนวนมากถึง ๑๗ ศพ และบาดเจ็บไม่น้อยกว่า ๑๕๐ คน รวมทั้งมีการปะทะกันตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มที่จะรุนแรงเพิ่มขึ้น

เครือ ข่ายสันติวิธีและกลุ่มประชาชน ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย หยุดฆ่ากัน หยุดสงครามกลางเมือง หยุดเอาชีวิตประชาชนเพื่อแลกกับการบรรลุเป้าหมายทางการเมืองและพาประเทศไป สู่หายนะ ซึ่งไม่สามารถจะเยียยาได้ และในฐานะพลเมืองที่มีสิทธิที่จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย ขอเรียกร้องทุกฝ่ายดังนี้

๑. ขอให้รัฐบาลถอนกำลังทหารออกจาก พื้นที่ต่าง ๆ และขอให้แกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุมอย่างชัดเจนปราศจากเงื่อนไข โดยทันที

๒. ขอให้ผู้อยู่เบื้องหลังกองกำลังไม่ ทราบฝ่ายทุกฝ่าย หยุดทำร้ายประชาชน และหยุดทำลายสังคมเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

๓. ขอให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับ กระบวนการยุติธรรมเริ่มเก็บหลักฐานที่จะนำไปสู่การค้นหาความจริงในเหตุการณ์ ทุกจุด ทุกเหตุการณ์ เพราะเราเชื่อว่าการเปิดเผยความจริงเท่านั้นทำให้ความขัดแย้งลดลง

                                                                                          เครือข่ายสันติวิธี ๑๕ พ.ค.๒๕๕๓

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ขัอสังเกตจากคำแถลงของท่านนายกฯ

Posted: 15 May 2010 08:53 AM PDT

<!--break-->

เมื่อค่ำวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 20:30 น. ท่านนายกฯ ได้แถลงเกี่ยวกับความไม่สงบภายในประเทศ ผมมีความเห็นดังนี้ครับ

1. ท่านว่า: ทหารยังไม่ได้บุกเข้าไปสลาย แต่เพียงตั้งด่านและถูกกองกำลังติดอาวุธ ผู้ก่อการร้ายสกัดกั้น ยิงปืน M79 เข้าใส่ ทหารเลยต้องป้องกันตนเองและตอบโต้

ผมว่า: แต่ที่ล้มตายเกือบ 20 คน และบาดเจ็บอีกเกือบ 200 คน ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นฝ่ายประชาชน ถ้ามีผู้ก่อการร้ายติดอาวุธเช่นทหาร ป่านนี้ทหารคงตายไปมากมาย จะกล้าตั้งด่านยืนอยู่ในที่แจ้งหรือครับ

 2. ท่านว่า: รัฐบาลไม่อาจถอยได้ ทำเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ คืนความปกติสุข

ผมว่า: ผมเห็นด้วยครับ แต่ไม่ใช่ด้วยการใช้กำลัง ดุสิตโพลเพิ่งเปิดเผยว่า 53% ของประชาชนอยากให้รัฐบาลเจรจา ไม่ได้อยากให้รัฐบาลใช้กำลังอาวุธนะครับ

3. ท่านว่า: ให้ยุติการชุมนุม ไม่ให้ผู้เห็นต่างจากรัฐบาลเข้าพื้นที่ พร้อมกระชับวงล้อม และการตัดการส่งเสบียง

ผมว่า: ถ้าสงสัยว่าในที่ชุมนุมมีอาวุธ ก็ขอความร่วมมือผู้ชุมนุม จัดคณะตำรวจ คนกลาง ทั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ทูตานุทูต ฯลฯ ลงไปขอตรวจค้น เพื่อความโปร่งใส  ไม่ใช่ไปกล่าวให้เข้าใจผิดไปว่าผู้ชุมนุมมีผู้ก่อการร้ายแฝงอยู่แล้วละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญของผู้ชุมนุมนะครับ

4. ท่านว่า: จะยุติการชุมนุมโดยให้มีการสูญเสียน้อยที่สุด

ผมว่า: ผมมีคำถามว่า น้อยที่สุดของท่านนี่กี่คนครับ ตอนนี้ยอดตายก็ 22 และยอดเจ็บก็เกือบ 200 ไปแล้ว ท่านว่าตัวเลขควรอยู่ที่เท่าไหร่ ถ้าเกิดความเสียหายมาก ท่านจะรับผิดชอบอย่างไรครับ

 ท่านครับ แต่แรกผมก็ไม่เห็นด้วยกับคำเรียกร้องของพวกผู้ชุมนุมหรอกครับ กลัวเป็นการเห็นแก่กฎหมู่ แต่สถานการณ์มาถึงวันนี้ ผมว่าเราควรเลือกตั้งใหม่ในทันทีนะครับ กกต. ก็ว่าเสียเงินเพียง 2,000 ล้าน ยังก่อให้เกิดการหมุนเวียนเงินจากการหาเสียง (ไม่ใช่ซื้อเสียง) อีกนับแสนล้านบาท ไม่ทำให้เกิดประโยชน์สุขต่อประชาชนส่วนใหญ่ และไม่เป็นการคืนความสงบสุขให้แก่ประเทศชาติมากกว่าหรือครับ

 ท่านครับ ท่านอาจมองคนอื่นเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ในอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็ยังสู้เหนียวแน่น แสดงชัดว่าพวกเขาไม่ได้ถูกใครจ้างมา พวกเขาคงเชื่อว่ากำลังปกป้องประเทศชาติและประชาธิปไตยอยู่เหมือนกับที่ท่านพูด แต่พวกเขาไม่มีโอกาสได้พูดเช่นท่าน

ในทางตรงกันข้าม ถ้าท่านฆ่าพวกเขามาก ๆ เข้า ญาติมิตรของพวกเขาก็จะเสียใจและแค้นใจอีกมาก ถึงวันนั้น อย่าว่าแต่รัฐบาลของท่านเลยครับ สถาบันชาติของเราก็ยังอาจอยู่ไม่ได้ แล้วอย่างอื่นจะอยู่ได้อย่างไรครับ ท่านถอยด้วยการยุบสภายังไม่สายที่จะกู้ชื่อท่านนะครับ จะไม่มีใครเข้าใจว่าท่านกลัวการเลือกตั้ง

น่าเสียดายนะครับ ประเทศไทยของเราไม่มีความขัดแย้งทางชนชาติ เพราะเกือบทั้งหมดเป็นคนไทย แทบไม่มีความขัดแย้งทางศาสนา เพราะ 95% เป็นไทยพุทธ ไม่มีความขัดแย้งทางลัทธิการเมือง เพราะพรรคคอมมิวนิสต์ก็ไม่มีแล้ว แต่เพียงเพราะเห็นต่างกันแค่นี้ ต้องฆ่าแกงกัน พูดกันดี ๆ ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรครับ

ผมขอเรียนว่าผมไม่ได้อยู่ตรงข้ามกับท่าน ไม่เคยไปชุมนุมขับไล่ท่าน ไม่เคยรู้จักหรือติดต่อกับท่านอดีตนายกฯ   ผมเขียนมาเพราะเป็นห่วงท่านในฐานะผู้นำรัฐนาวาและห่วงบ้านเมือง และในท้ายนี้ ผมขอฝากสิ่งที่ผมท่องมาโดยตลอดสมัยเรียนวิชาทหารมาให้ท่านด้วยว่า:

“ชาติของเรา เป็นไทยอยู่ได้ จนถึงตัวเราคนหนึ่งนี้ ก็เพราะบรรพบุรุษของเรา ได้เอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิต และความลำบากยากเข็ญเข้าแลกไว้ เราต้องรักษาชาติ เราต้องบำรุงชาติ เราต้องสละชีพเพื่อชาติ”

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘มาร์ค’ ลั่นไม่ยอมให้กองกำลังติดอาวุธยึดกรุงเทพฯ เป็นตัวประกัน ยันเดินหน้าต่อ

Posted: 15 May 2010 08:24 AM PDT

มาร์ค ยัน ศอฉ.ทำดีที่สุดแล้ว ปัดเหตุสูญเสียใส่ “กองกำลังติดอาวุธ” ทำเจ้าหน้าที่ ประชาชน ผู้ชุมนุมด้วยกันเองเจ็บ ไม่เกี่ยวทหาร วอนทุกองค์กรร่วมกดดันให้ยุติการชุมนุมเพื่อหยุดการสูญเสีย

<!--break-->

เวลาประมาณ 20.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ระบุว่า เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นที่น่าเสียใจ และรัฐบาลไม่ต้องการเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับทุกคน ในช่วงค่ำที่ผ่านม เจ้าหน้าที่ได้อธิบายให้ประชาชนรับทราบถึงเหตุการณ์ที่แท้จริงแล้ว ขอถือโอกาสเรียนอีกครั้งว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนร่วม เพื่อนำความปกติสุขคืนสู่สังคม

นายกฯ กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้เบื้องต้นเป็นการชุมนุมเรียกร้องทางการเมือง และได้พยายามแสวงหาคำตอบในการคลี่คลายปัญหาต่างๆ รวมถึงเสนอแผนการปรองดองที่จะเป็นคำตอบให้ทุกเรื่อง แต่ก็ถูกปฏิเสธไปอย่างน่าเสียดาย อีกทั้งขณะนี้การชุมนุมเกิดขึ้นคู่ขนานกับกองกำลังติดอาวุธ มีการใช้อาวุธสงครามกระทำต่อเจ้าหน้าที่ ประชาชนทั่วไป แม้กระทั่งกับผู้ชุมนุมด้วยกันเอง ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐประสบความยากลำบากในการจัดการมาโดยตลอด นอกจากนี้เห็นได้ชัดว่าการปฏิเสธแผนปองดองเป็นเพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มเล็กๆ ที่ต้องการเห็นความรุนแรง ต้องการเดินไปสู่แผนสงครามกลางเมือง การสูญเสีย นำสิ่งเหล่านี้กลับมากดดันรัฐบาล และเป็นเรื่องไม่น่ายอมรับได้ที่จะเอาชีวิตคนมาเป็นเรื่องกดดันรัฐบาล ทำให้เกิดปัญหา สภาพการบังคับใช้กฎหมายที่ทำได้ไม่เต็มที่ และอีกด้านนำความสูญเสียมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง

เจ้าหน้าที่พยายามจะทำให้เหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติ การชุมนุมยุติลง เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด โดยการกระชับวงล้อมพื้นที่การชุมนุม ซึ่งจำเป็นต้องตั้งด่านบริเวณรอบๆ ยังไม่ได้เข้าไปในที่ชุมุนุม แต่กลับปรากฏว่าในการตั้งด่าน มีการใช้กำลังอาวุธก่อการร้ายผสมกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปโจมตี สกัดกั้นการปฏิบัติ เมื่อมีการใช้อาวุธกระทำต่อเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นต้องป้องกันตนเองและตอบโต้ และได้รับการยืนยันชัดเจนว่ามีกฎเกณฑ์ การสูญเสียที่เกิดขึ้นก็เกิดได้จากหลายกรณีดังที่ได้มีการชี้แจงไปแล้ว

“อยากยืนยันว่า สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการขณะนี้เป็นสิ่งที่มีความจำเป็น เราไม่สามารถปล่อยให้บ้านเมืองตกอยู่ในมือผู้ไม่เคารพกฎหมาย พูดง่ายๆ ว่าไม่สามรถปล่อยให้จับคนกรุงเทพฯ ศูนย์กลางของประเทศเป็นตัวประกันได้” อภิสิทธิ์กล่าวและยืนยันอีกว่า รัฐบาลจำเป็นต้องเดินหน้า ไม่อาจถอยได้ เพราะรัฐบาลกำลังทำในสิ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ให้บ้านเมืองนี้เป็นนิติรัฐอย่างแท้จริง

“เมื่อมีการสูญเสีย รัฐบาลยืนยันชัดเจนถึงเจตนา และไม่ต้องการให้หยิบยกการสูญเสียไปบิดเบือนเพื่อสร้างความเกลียดชังระหว่างเจ้าหน้าที่หรือรัฐบาลกับประชาชน เพราะนั่นไม่ใช่ข้อเท็จริง และไม่ใช่เจตนาของรัฐบาล” อภิสิทธิ์กล่าว 

นายกฯ กล่าวอีกว่า แนวทางนี้เป็นแนวทางเดียวที่จะนำความปกติสูขกลับมา แนวทางของ ศอฉ.ก็เหมาะสมที่สุด แต่เมื่อเกิดความสูญเสียก็ทำให้ประชาชนกระทบกระเทือนใจ แต่ยืนยันว่าเพื่อให้สูญเสียน้อยที่สุด วิธีการเดียวคือต้องทำให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุม ตราบที่ยังมีการชุมนุม ผู้ก่อการร้ายยังปฏิบัติการต่อไป นำความสูญเสียให้เกิดขึ้นกับประชาชนบ้าง ผู้ชุมนุมบ้าง เจ้าหน้าที่บ้าง ไม่จบไม่สิ้น ความเสี่ยงต่อประชาชนทั่วไปมีแต่จะเพิ่มขึ้นและรุนแรงมากขึ้น การใช้กำลังบีบบังคับให้รัฐบาลยอมรับไม่ใช่คำตอบ เพราะจะทำให้มีกองกำลังเกิดขึ้นอีกในอนาคตและความรุนแรงจะไม่จบไม่สิ้น

อภิสิทธิ์กล่าวทิ้งท้าย ขอให้มั่นใจว่าสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่เป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับสังคม เมื่อการชุมนุมสิ้นสุดลง ปัญหาทุกอย่างจะอยู่ในแผนปรองดอง และจะเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บทวิเคราะห์: ความพลาดอันใหญ่หลวงของเสื้อแดง: ความพลาดอันใหญ่หลวงของประเทศไทย

Posted: 15 May 2010 07:47 AM PDT

<!--break-->

แปลจาก Reds’ fatal flaw: Thailand’s fatal flaw
               http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2010/05/15/reds-fatal-flaw-thailands-fatal-flaw/

 

หลังจากการเริ่มชุมนุมของเสื้อแดงตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 เสื้อแดงได้แสดงออกถึงพลานุภาพทางความยืดหยุ่น และการจัดการ ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งสามารถรักษาการคงอยู่ในกรุงเทพฯ มาได้ยาวนานกว่าสองเดือน ทั้งยังสามารถกดดันให้ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าสู่โต๊ะเจรจา และฝ่าการปราบปรามที่ล้มเหลวเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผู้เข้าร่วมประท้วง และทหาร เสียชีวิตไปกว่า 20 คน เสื้อแดงได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถจะขยับฐานการต่อสู้ จากการรวมกลุ่มระดับรากหญ้า สู่การเมืองระดับชาติได้

ทว่า ในทางการถอยแล้ว เสื้อแดงกลับแสดงให้เห็นว่า ความสามารถทางด้านนี้กลับด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนี่อาจจะเป็นความพลาดอันใหญ่หลวงก็ได้

ไม่กี่วันหลังจากที่อภิสิทธิ์ยื่นข้อเสนอเรื่องการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2553 ความพยายามที่จะยุติวิกฤตการณ์ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะสัมฤทธิ์ผล ทางเสื้อแดงเองก็ใช้เวลาในการยอมรับ "โรด-แมพ" เสื้อแดงเองก็ยอมถอยออกมา มากกว่าที่จะแข็งขืนต่อข้อเสนอ แต่ข้อเสนอดังกล่าวก็พังทลายลงไปเนื่องด้วยข้อเรียกร้องที่ให้รองนายกฯ สุเทพ ไปมอบตัวเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผู้ที่ตายเมื่อวันที่ 10 เม.ย. อีกทั้งทางแกนนำเองยังข้องใจเกี่ยวกับวิธีการใช้กฎหมายกล่าวโทษข้อหาต่างๆ ของแกนนำอีกด้วย ทั้งการไม่ยอมอ่อนข้อของแกนนำ และการพูดถึงการส่งกำลังเสริมของเสื้อแดงจากต่างจังหวัด เรื่องราวทั้งหมดก็เริ่มปั่นป่วนจนเกินควบคุม นายกฯ อภิสิทธิ์ยกเลิกข้อเสนอที่จะเลือกตั้ง แล้วส่งทหารเข้าไปปราบปรามบุกเข้ายึด เวทีหลักที่ราชประสงค์ ซึ่งในขณะนี้ มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 16 คน บาดเจ็บอีกนับร้อย

ทั้งนี้ จำนวนผู้เสียชีวิต ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ฉะนั้น ตอนที่อภิสิทธิ์ยื่นข้อเสนอให้ ทำไมเสื้อแดงถึงไม่ยุติการชุมนุม? หากดูในทุกๆ ด้านแล้ว พรรคเพื่อไทย พันธมิตรหลักของเสื้อแดง ก็น่าจะชนะการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ถ้าได้เลือกตั้ง และถ้ายิ่งข่าวลือเกี่ยวกับโพลล์ภายในของพรรคนั้นเป็นความจริงและแม่นยำ เพื่อไทยจะชนะอย่างล้นหลาม คำถามคือ ทำไมไม่รอ เพราะอีกเพียงแค่ไม่กี่เดือน เสื้อแดงก็จะชนะแล้ว?

ในเวลาอันใกล้นี้ จะมีการกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกันในวงในของแกนนำเสื้อแดงที่เกิดขึ้นในช่วงเดือน พฤษภาคม 2553 ภาพความไม่ลงรอยกันระหว่าง แกนนำสายเหยี่ยว กับสายพิราบ ก็มีให้เห็น ทั้งยังมีข้อสังเกตจากทางรัฐบาล เกี่ยวกับบทบาทของทักษิณในการขัดขวางข้อเสนอ ซึ่งรายละเอียดของเรื่องนี้เป็นเรื่องสำหรับวันหน้า เมื่อฝุ่นที่ตลบอยู่ ณ ขณะนี้ได้จางลง

แต่สิ่งที่ถือได้ว่าเป็นหลักสำคัญในความล้มเหลวที่จะถอยของเสื้อแดง จวบจนถึงการฉีกโรดแมพด้วยกำลังความรุนแรง ทั้งหมดนี่คือ "ประเทศไทยกำลังสูญสิ้นศรัทธา ในประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง"

ข้อเสนอที่จะให้เลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนนั้นดูสมเหตุสมผล และยังดู "มากเสียเกินไป" สำหรับคนบางกลุ่มด้วย แต่ทว่า ข้อเสนอนี้ไม่มีค่าเลยในประเทศที่ความเคารพต่อการตัดสินทางการเลือกตั้ง ได้ระเหิดหายไปหมดแล้ว เสื้อแดงเองก็ไม่ได้ต้องการการเตือนความจำมากนักเพื่อที่จะมองเห็น "ความไม่จริงใจ" ของข้อเสนอของอภิสิทธิ์ ในเมื่อเดือนมีนาคม 2549 พรรคประชาธิปัตย์ โดยการนำของอภิสิทธิ์เองก็บอยคอตต์การเลือกตั้งที่ทักษิณกำหนดขึ้น เพราะรู้ดีว่าพรรคตัวเองจะแพ้ ซึ่งท้ายสุดแล้ว พรรคของทักษิณก็ได้เสียงสนับสนุนประมาณ 60 เปอร์เซนต์ของผลโหวตที่ออกมา แต่ผลโหวตเองก็ถูกตัดสินให้เป็นโมฆะด้วยว่าเป็นความผิดพลาดทางเทคนิค ซึ่งความผิดพลาดนี่เป็นที่ชวนสงสัยยิ่งนัก

และชัยชนะของทักษิณที่ควรจะเกิดขึ้นในท้ายปี 2549 ก็กลับถูกทำให้หายไปโดยการรัฐประหาร รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดก็ได้หายไป ในการเลือกตั้งหลังรัฐประหารในเดือนธันวาคม 2550 พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกเข้ามาเกือบกึ่งหนึ่งของสภาฯ แต่ทางเสื้อเหลือง โดยการสนับสนุนของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งนั้น เสื้อเหลืองได้กระทำการอันเป็นที่โจษจัน โดยการยึดสนามบิน และทำเนียบรัฐบาล ด้วยการสนับสนุนอย่างเปิดเผยจาก อภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ เสื้อเหลืองก็กดดันและพยายามที่จะโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีกรัฐบาลหนึ่ง ซึ่งท้ายสุดพวกเขาก็ได้สิ่งที่เขาต้องการเมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน และด้วยการสนับสนุนจากกองทัพ ในที่สุด อภิสิทธิ์ก็ปะติดปะต่อเสียงในสภา จนได้เป็นนายกฯ

เมื่อมองการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนกลายเป็น เหตุการณ์ลูกโซ่ของการไม่เลือกตั้ง ที่นำอภิสิทธิ์สู่อำนาจ สิ่งที่คิดได้ก็คือ ทำไมเสื้อแดงจึงจะเชื่อมั่นและศรัทธาในข้อเสนอการเลือกตั้งของอภิสิทธิ์ อีกทั้งยังมีกลุ่มอำนาจในรัฐบาลที่ยังรู้สึกฝืนใจอย่างยิ่งยวดที่จะรับการตัดสินของประชาชนในการเลือกตั้ง ฉะนั้น แกนนำเสื้อแดงจะไปสามารถหว่านล้อมให้ผู้ที่ยังแคลงใจได้อย่างไรว่า โรดแมพ นี้เป็นไปได้จริง อีกทั้งพวกเสื้อเหลืองก็ออกมาต่อต้านโรดแมพนี้อย่างเปิดเผย เสื้อแดงจะมั่นใจได้อย่างไร่ว่า จะไม่มีการล้มโรดแมพ?

และถึงให้เกิดการเลือกตั้งขึ้นจริงๆ ประวัติศาสตร์ช่วงสั้นๆ ที่ผ่านมาก็เป็นบทเรียนแล้วว่า อาจจะเกิดการแทรกแซงการเลือกตั้งได้ ไม่ว่าจะเป็นการแทรงแซงบนถนน หรือทางศาล เพื่อจะให้ผลการเลือกตั้งเป็นไปตามที่ตนเองพอใจ และยิ่งว่าทางเสื้อแดงเองก็ถูกป้ายสีว่าเป็น "ม็อบจัดจ้าง" ทีนี้จะให้ทางเสื้อแดงมั่นใจได้อย่างไรว่าคะแนนเสียงของพวกเขาจะไม่ถูกป้ายสีว่าเป็น "เสียงที่ซื้อมา"

จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า ความพลาดอันใหญ่หลวงของประเทศไทยก็คือการสิ้นศรัทธาในกระบวนการการเลือกตั้ง การสิ้นศรัทธานี้คือประตูที่เปิดให้พวกหัวรุนแรงใช้ความรุนแรงเป็นทางออก ความรุนแรงไม่ว่าจะสร้างโดยฝ่ายไหนก็เป็นที่น่ารังเกียจเดียดฉันท์อยู่เสมอ แต่ได้โปรดรับรู้และจำไว้ด้วยว่า ผู้ที่ต่อต้านการกระทำของเสื้อแดงอย่างออกหน้า ก็เป็นผู้เดียวกันกับที่ต่อต้านความชอบธรรมของเสียงคะแนนของเสื้อแดงมาโดยตลอด

 

 

หมายเหตุ: ประชาไทขอสงวนไม่แปลบางข้อความ
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น