ประชาไท | Prachatai.info |
- ภาพชุด: ทหารเล็งปืนบนรางรถไฟฟ้าเหนือวัดปทุมวนาราม 19-20 พ.ค. 53
- ความเคลื่อนไหว 26 พ.ค. 2553
- ตำรวจเริ่มใช้แผน 'พิทักษ์เมืองพฤษภา 53' ตรวจเข้มทั่วกรุง
- 'ปทีป' ยื้อหมายจับ 'พธม.' คดีก่อการร้ายยึดสนามบิน อ้างให้ฝ่าย กม.พิจารณาอีกรอบ
- คิกออฟแคมเปญเชิงสัญลักษณ์ "วันอาทิตย์สีแดง"
- นักวิชาการอเมริกันชี้อย่าหมกมุ่นแค่ "ปีศาจทักษิณ"
- ยอดผุ้เสียชีวิตจากการสลายชุมนุมเมษา-พฤษภา พุ่ง 88 รายแล้ว
- ศอฉ.สั่งห้ามเผยแพร่สิ่งพิมพ์เสื้อแดง
- ประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม
- ชาวเมืองอิตาลีค้านป้ายโฆษณา 'ฮิตเลอร์สีชมพู'
- ปัญหาของรัฐบาลอภิสิทธิ์: การรักษาความสงบหรือการทำลายศัตรูทางการเมือง?
- ผิดไหม ถ้าผมจะไม่รัก “สยาม”
- บันทึกนาทีดับชีวิตช่างภาพอิตาลี จากการสลายการชุมนุมโดยทหาร
- นักข่าวพลเมือง : ผญบ.ปาแดกรือดะ บันนังสตา วอนคุ้มครองความปลอดภัยในการเดินทางแก่ชาวบ้าน
- สนง.ทรัพย์สินฯ งดเก็บค่าเช่า 3 เดือน ครม.อนุมัติช่วยไฟไหม้ 5 หมื่นกู้ 1 ล้านไม่ต้องค้ำ
ภาพชุด: ทหารเล็งปืนบนรางรถไฟฟ้าเหนือวัดปทุมวนาราม 19-20 พ.ค. 53 Posted: 26 May 2010 11:50 AM PDT ผู้สื่อข่าวอาสาสมัครส่งภาพเหตุการณ์ 19-20 พ.ค. ที่วัดปทุมวนารามมาให้เผยแพร่ ตะลึงมีผู้เสียชีวิตคาวัดกว่า 6 ราย พบติดสติ๊กเกอร์แบบเดียวกับทหารที่เข้ามาสลายการชุมนุมเมื่อ 19 พ.ค. ด้านทหารประ ศอฉ. ยังไม่ยอมรับ ลั่นทหารอยู่แค่ BTS สยาม ด้านกรรมการสิทธิ์ป้องหลักฐานยังไม่ชัดระบุไม่ได้ว่าทหารยิง <!--break--> เหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค. 53
เหตุการณ์วันที่ 20 พ.ค. 53
สื่ออาสาสมัครส่งภาพทหารเล็งปืนเหนือวัดปทุมวนาราม ขณะที่ภาพในเช้าวันที่ 20 พ.ค. หลังจากที่ตำรวจเข้าไปรับผู้ชุมนุมที่อยู่ภายใน ยังปรากฏภาพทหารยืนประจำการอยู่บนรางรถไฟฟ้า ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสยามอยู่ โดยผลจากการยิงเมื่อคืนทำให้มีประชาชนเสียชีวิต 6 ราย โดยศพอยู่ภายในวัดปทุมวนาราม ทั้งนี้จากการตรวจสอบภาพถ่าย พบว่ากองกำลังบริเวณสถานีรถไฟฟ้าสยามและรางรถไฟฟ้าที่ปรากฏในภาพ ตรวจสอบพบเป็นทหารที่เข้ามาปฏิบัติการกระชับพื้นที่เมื่อ 19 พ.ค. จริง สังเกตจากสติ๊กเกอร์สะท้อนแสงสีชมพู ที่ติดบริเวณหมวกเหล็ก ซึ่งเป็นสติ๊กเกอร์แบบเดียวกับที่ใช้ในหน่วยทหารที่ปฏิบัติการในวันดังกล่าว
ทหารยันอยู่แค่สถานีรถไฟฟ้าสยาม ไม่ได้เข้าไปในพื้นที่
กรรมการสิทธิลั่นหลักฐานไม่ชัด ระบุไม่ได้ว่าทหารยิง
สุเทพเตือนสื่อนำเสนอข่าว อาจตกเป็นเครื่องมือผู้ก่อการร้าย ขณะที่มีรายงานว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในการประชุม ศอฉ. เมื่อ 25 พ.ค. แสดงความเป็นห่วงถึงเหตุการณ์มีผู้เสียชีวิต 6 ศพจากการถูกยิงในวัดปทุมวนาราม โดยอยากให้ฝ่ายที่รับผิดชอบได้เตรียมข้อมูลข้อเท็จจริงได้ชี้แจง เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหวที่สามารถนำไปขยายผลได้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
Posted: 26 May 2010 10:33 AM PDT <!--break--> "สุรชัย-แดงสยาม"พร้อมตั้งเวทีหลังเลิกพ.ร.ก. ตร.คุมเข้มแกนนำนปช.นครศรีฯ "ส.ว.สหรัฐ" เตรียมเยือนเกาหลีใต้-ไทย-พม่า ดูสถานการณ์ขัดแย้งในเอเชีย แถลงการณ์ระบุว่า การที่เกาหลีเหนือยิงตอร์ปิโด รวมทั้งการเกิดความไม่สงบในไทย และสถานการณ์ในพม่า ตอกย้ำความจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องเพิ่มพันธะกรณีต่อภูมิภาคนี้ ขณะเดียวกันเขาได้กล่าวหาจีนว่าล้มเหลวที่จะแสดงความเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบต่อความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ ถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ กับชาติพันธมิตรและหุ้นส่วนต่างๆ จะร่วมเรียกร้องให้จีนแสดงความรับผิดชอบ เพื่อปรับปรุงเสถียรภาพและความรุ่งเรืองของภูมิภาคเอเชีย นายเวบบ์กล่าวว่า อิทธิพลของจีนเติบโตอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั่วเอเชีย แต่น่าเสียดายว่าพฤติกรรมของจีนไม่ได้แสดงความรับผิดชอบ ที่เป็นที่คาดหวังจากผู้นำระดับภูมิภาคหรือระดับโลก เขาซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากรัฐเวอร์จิเนียแสดงความวิตกด้วยว่า ความพยายามทางการฑูตของสหรัฐในเอเชียมีเงินทุนไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นภัยต่อความสามารถของสหรัฐฯ ที่จะปกป้องผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้ แถลงการณ์ระบุด้วยว่า เอเชียตะวันออกกำลังประสบกับความสับสนอลหม่านอย่างมาก ในช่วงเดียวกับที่จีนกำลังขยายอิทธิพลอย่างมาก หากสหรัฐฯ จริงใจที่จะสร้างนโยบายทางการฑูตในเชิงรุกแบบฉลาด สหรัฐต้องเริ่มด้วยการจัดหาเครื่องมือและทรัพยากรที่จำเป็นให้กับบรรดานักการทูตของตน โฆษก ก.ท่องเที่ยว-กีฬา โต้ "เฟสต้า"ผ่านสื่อ จวกให้ข่าวทำลายน้ำใจ ท้ายุบแยก 2 กระทวงเลยดีกว่า นายวัชระกล่าวต่อว่า ตนขอความเป็นธรรมให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาว่า ทั้งตัวรัฐมนตรี ผู้บริหาร สไตล์การทำงานอาจจะต่างกัน เอกชนอาจจะชอบหรือพึงพอใจในการทำงานหรือบุคลิกหรือรูปแบบการทำงานแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ตนอยากเรียกร้องให้มองที่ผลลัพธ์ ของการทำงานมากว่า อย่างใน 1 ปีที่ผ่านมาในอดีต ด้านของ นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ปฏิบัติหน้ารัฐมนตรี ที่สามารถพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งว่าทำงานได้ผล แน่นอนว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะต้องวัดกันที่ตัวเลขของนักท่องเที่ยว นายวัชระกล่าวอีกว่า เราเองในฐานะของกระทรวงเราต้องฟังทุกฝ่ายที่เป็นองค์ประกิอบรวมของการท่องเที่ยว ไม่เฉพาะแค่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง เนื่องจากองค์มีทั้งที่มีกฎหมายรองรับและไม่มีกฎหมายรองรับในเรื่องของห้างที่ต่างๆ รวมถึงเราคงไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการของใครคนใดคนหนึ่งเพื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ ซึ่งขณะนี้เรามีภาระที่หนักหนามากพออยู่แล้ว เรามาช่วยกันทำงานดีกว่า ดีกว่ามานั่งให้ข่าวในลักษณะที่ทำลายน้ำใจกัน นายวัชระกล่าวเสริมว่า สำหรับข้อเสนอที่จะยุบกระทรวงการท่องเที่ยวตนเห็นด้วยว่า ถ้าอยากจะยุบภาระกิจของกระทรวงการท่องเที่ยวควรจะยุบแยกไปเลย จากที่ท่องเที่ยวและกีฬาให้แยกออกเป็น 2 กระทรวงดีกว่า "ปณิธาน" เผย 29 พ.ค.นี้ รัฐบาล เชิญสื่อ-ทูตต่างประเทศ ฟังแจงแนวทางหลังม็อบ นายปณิธาน กล่าวด้วยว่า ในวันนั้นนายกฯจะรับทราบแนวทางและข้อแนะนำของต่างประเทศ รวมทั้งจะเป็นสิ่งสำคัญที่ต่างประเทศจะเข้าใจและยอมรับประเทศไทยเพื่อที่จะได้มีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของต่างประเทศอีกครั้ง ในวันเดียวกันนี้ เวลา 10.00 น.นายอีริค จี จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าพบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยใช้เวลาหารือสองชั่วโมง ทั้งนี้ นายสุเทพปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เรื่องนี้โดยกล่าวเพียงสั้นๆว่า ให้สัมภาษณ์วันละครั้งพอแล้ว เมื่อถามว่าผลการหารือกับนายอีริค จี จอห์น เป็นเช่นใด นายสุเทพ กล่าวว่า ดี ศาลออกหมายจับ "อริสมันต์" คดีหมิ่น "อภิสิทธิ์" แต่ปรากฏว่า นายอริสมันต์ จำเลย ซึ่งขณะนี้ยังหลบหนีหมายจับคดี ฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ไม่ได้เดินทางมาศาล ขณะที่นายวาสุเทพ ศรีโสดา ทนายความของนายอริสมันต์ ก็ไม่ได้เดินทางมาศาลเช่นกันโดยไม่ได้แจ้งขัดข้อง ศาลจึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับนายอริสมันต์ จำเลย เพื่อมาพิจารณา ก่อนหน้านี้นัดสอบคำให้การครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา นายวาสุเทพ ศรีโสดา ทนายความของนายอริสมันต์ ได้ยื่นคำร้องขอศาลเลื่อนนัด พร้อมแถลงหากศาลนัดสอบคำให้การ ยืนยันจะนำตัวจำเลยมาศาลได้ โดยทนายความจำเลยได้แถลงเตรียมพยานนำสืบต่อสู้คดีไว้รวม 5 ปาก ใช้เวลา 2 นัด ซึ่งศาลได้กำชับให้ทนายความนำตัวจำเลยมาศาลตามกำหนดนัด ไม่เช่นนั้นจะออกหมายจับตัวจำเลยมาพิจารณาคดี โดยศาลได้กำหนดนัดสืบพยานโจทก์ไว้แล้ววันที่ 25 , 28- 29 มิ.ย.นี้ และสืบพยานจำเลยวันที่ 5-6 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น. ศาลอนุญาตกองปราบฯ ควบคุมตัว 5 แกนนำ นปช. เพิ่มอีก 7 วัน พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และดำเนินการทั้งหลาย เพื่อใม่ให้เกิดเหตุร้ายแรง หรือเพื่อให้เกิดการร่วมมือในการระงับเหตุร้ายแรง ซึ่งจะครบกำหนด 7 วัน ในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ แต่การดำเนินการยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากเหตุการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงยังไม่ระงับไป ซึ่งผู้ถูกควบคุมเป็นบุคคลระดับแกนนำ หากได้รับการปล่อยตัวอาจออกไปก่อเหตุฉุกเฉินร้ายแรงขึ้นได้อีก ความจำเป็นดังกล่าวจึงขออนุญาตควบคุมตัวต่อไปมีกำหนด 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคมถึง 1 มิถุนายนนี้ โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า มีความจำเป็นต้องควบคุมตัวต่อ จึงอนุญาตให้ขยายเวลาควบคุมตัวตามที่ร้องขอ มท.1 เผยจับ นปช.อีสาน 80 คน อุบลฯ มากสุด ตั้ง กก.สอบผู้ว่าฯ ปล่อยม็อบเผาศาลากลางหวังสร้างใหม่ เมื่อถามว่ามีคำสั่งให้ผู้ว่าฯ ดำเนินการปิดวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดงภายในสัปดาห์นี้ นายชวรัตน์ กล่าวว่า ตนไม่ได้สั่ง เพราะเป็นหน้าที่ของข้าราชการประจำ ขณะนี้รอให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย รายงานว่ามีการปิดสถานีวิทยุชุมนุมที่มีการปุกระดมหรือยัง เมื่อถามว่าการปิดวิทยุชุมชนไม่ได้ เท่ากับว่าเก้าอี้ผู้ว่าฯยังไม่ปลอดภัยใช่หรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่า การสั่งปิดต้องขึ้นอยู่กับเนื้อหาของวิทยุชุมชนว่ามีเนื้อหาปลุกระดมหรือไม่ หากมีเพียงการเผยแพร่ข่าวสาร หรือเปิดเพลงเพื่อความบันเทิงก็สามารถเปิดได้ เพราะกระทรวงมหาดไทยสนับสนุนวิทยุชุมชนอยู่แล้ว เพื่อให้ข้อมูล หากเป็นวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดง แต่เปิดเพลงหรือนำเสนอเรื่องความบันเทิงเท่านั้น ก็สามารถที่จะดำเนินการต่อได้ เพราะถือว่าผ่อนคลายความเครียดให้กับประชาชน เมื่อถามว่า นับจากนี้หากมีการเผาศาลากลางจังหวัดอีก ผู้ว่าฯ ก็จะถูกเรียกตัวมาช่วยราชการที่กระทรวงอีกหรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่า “ครับ คิดว่าถ้าย้ายมาแล้วมีผลงานเป็นที่พอใจของกระทรวง หากถึงช่วงโยกย้ายข้าราชการ ก็ยังมีโอกาสย้ายไปที่ไหนก็แล้วแต่ แต่อาจจะไม่ใช้ย้ายกลับพื้นที่เดิม อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ที่ถูกขอตัวมาช่วยราชการ ก็ยังดำรงตำแหน่งยังไม่ขาดจากการเป็นผู้ว่าฯ” เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าผู้ว่าฯ บางรายปล่อยปละละเลยให้มีการเผาศาลากลาง เพื่อต้องการสร้างศาลากลางจังหวัดแห่งใหม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องว่ากันไป หากเป็นจริงก็ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ก่อนที่จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัย เพราะศาลากลางจังหวัดไม่ได้สร้างด้วยเงินหนึ่งบาท หรือสองบาท แต่สร้างด้วยเงินเป็นร้อยๆ ล้าน ตร.กองปราบบุกอายัดตัว "ลูกน้องเสธ.แดง" ถึงเตียง รพ.วชิระ ก่อนส่งรักษาต่อ รพ.ตำรวจ เมื่อไปถึงพบว่านายจรัญ นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลดังกล่าวเนื่องจากถูกยิงที่ขาซ้ายและแขนขวาได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ปะทะกันเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดย พ.ต.ต.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ พงส.(สบ2) บก.ป. ได้นำหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ 117/53 วันที่ 21 พ.ค.53 ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปขออายัดตัวก่อนจะส่งไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลตำรวจ สำหรับนายจรัญ นั้นเคยถูกตำรวจ บก.ป.จับกุมพร้อมกับ พล.ต.ขัตติยะ ว่าที่ ร.ต.สุรภัศ จันทิมา นายมงคล สารพัน นายจักรชลัส คงสุวรรณ นายเริงฤทธิ์ ตุ้มทองคำ นายสุวิทย์ คีรีรักษ์ หลังให้การช่วยเหลือนายพรวัฒน์ ทองสมบูรณ์ หรือ “เคทอง” หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ยังถูกตำรวจกองปราบปรามตรวจค้นรถตู้ที่ทั้งหมดใช้เป็นพาหนะพบอาวุธปืน อีกหลายกระบอกจึงถูกดำเนินคดีในความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ และร่วมกันให้การช่วยเหลือซ่อนเร้นนายพรวัฒน์ ต่อมาศาลอนุญาตให้ประกันตัวออกมาต่อสู้คดี ระหว่างนั้นก็เข้าร่วมการชุมนุมจนถูกยิงได้รับบาดเจ็บ และถูกออกหมายฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ดังกล่าว แฉ "ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง" โดนเด่งเหตุแก้ปัญหาช้า แถมมีเปลี่ยนข้อหาพกพาอาวุธให้ "นปช." เมื่อถามว่า กรณีที่ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง ไม่ควบคุมการสอบสวนสำนวนการสอบสวน ตามประกาศ ศอฉ.อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ ใช่กรณีที่ปล่อยให้คนเสื้อแดงนำยางรถยนต์เข้ามาใน กทม.และมีการเปลี่ยนข้อหาพกพาอาวุธให้กับกลุ่มคนเสื้อแดง ใช่หรือไม่ พล.ต.ต.สาโรจน์ กล่าวว่า คงไม่ใช่กรณีนี้เพียงอย่างเดียว เรื่องที่มีการเปลี่ยนข้อหานั้นไม่น่าจะใช่ แต่ในการจับกุมคนเสื้อแดงที่พกพาอาวุธในวันนั้น ตนทราบว่าทางพนักงานสอบสวนของโรงพักเพียงแค่เปรียบเทียบปรับแล้วปล่อยตัวไป จึงเรียกผกก.มาชี้แจง ซึ่งได้ความว่าไม่ทราบเรื่อง ซึ่งถือว่าไม่ไม่ควบคุมการสอบสวนสำนวนการสอบสวน ตามประกาศ ศอฉ. แต่อย่างไรก็ตามได้มีการดำเนินคดีกับกลุ่มคนเสื้อแดงกลุ่มดังกล่าวไปตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว ที่มาเรียบเรียงจาก: มติชนออนไลน์, เนชั่นทันข่าว สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ตำรวจเริ่มใช้แผน 'พิทักษ์เมืองพฤษภา 53' ตรวจเข้มทั่วกรุง Posted: 26 May 2010 09:04 AM PDT ทหารเข้าที่ตั้ง เหลือบางจุด ตำรวจใช้แผนพิทักษ์เมืองพฤษภา53 ตั้งด่านกำลังผสม 5 จุด ประตุน้ำ เพลินจิต ศาลาแดง ปทุมวัน ราชประสงค์ ตั้ง 24 จุดตรวจทั่วกรุงฯ เตรียมหน่วยเคลื่อนที่เร็วพร้อมอาวุธครบมือ <!--break--> 26 พ.ค.53 พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก บช.น. กล่าวว่า ตั้งแต่เวลา 18.00 น.ของวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมากองกำลังทหารที่มาปฏิบัติหน้าที่ส่วนใหญ่ได้เริ่มถอนกำลังกลับสู่ที่ตั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้ บช.น. จัดทำแผนปฏิบัติการ เรียกว่า “แผนพิทักษ์เมืองพฤษภา53” เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยพื้นที่ รวมทั้งการสืบสวนหาข่าวป้องกันเหตุ พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า แผนดังกล่าวเริ่มวันที่ 23 พ.ค. ร่วมกับตำรวจภูธร 1,2 และ7บช.ก. หน่วยแพทย์ และศอฉ. เพราะการข่าวมีแนวโน้มอาจจะก่อความวุ่นวายในทั้งกทม.และต่างจังหวัด และทำร้ายบุคคลสำคัญต่างๆ โดยแผนดังกล่ว กำหนดแนวทางปฏิบัติไว้ดังนี้ 1.ตั้งจุดตรวจ สน. และบก. ตลอด 24 ชั่วโมงจัดชุดสายตรวจตระเวนเคลื่อนที่เร็ว ให้พกอาวุธปืนลูกยาว ปืนเอ็ม 16 หรือปืนประจำกายเพื่อป้องกันตัวเองและทรัพย์สิน 2.ให้หัวหน้าจุดตรวจเคร่งครัดจับกุมผู้ที่จงใจฝ่าฝืนการประกาศเคอร์ฟิว 3.ชุดเคลื่อนเร็วให้ออกตรวจเป็นชุดขนาดใหญ่เรียกว่า ชุดอนาคอนด้า เน้นตรวจตามตรวจจุดต่างๆ ปฏิบัติการช่วงสามทุ่มถึงตีห้าระดับบก. 9 ชุดๆละ 33 นาย และสน. 88 ชุดๆ ละ 5 นาย 4.ช่วงที่ยังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่มีสถานการณ์ร้ายแรง พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. สั่งการให้ทุก สน. ห้ามไม่ให้มีการชุมนุมจัดกิจกรรมทางการเมือง หรืองานความ มั่นคงในพื้นที่สาธารณะโดยเด็ดขาด ถ้าเริ่มมีข่าวหรือก่อตัว ผกก.ต้องเจรจาต่อรองให้ยกเลิก หากยังฝ่าฝืนก็ดำเนินการจับกุมทันที 5.บก.อคฝ.ยกเลิกภารกิจควบคุมฝูงชน 2 กองร้อย ให้เปลี่ยนเป็นชุดเคลื่อนที่เร็วกองร้อยละ 12 ชุดๆ ละ 10 นายพร้อมรถจยย. 5 คัน อาวุธครบมือประจำจุดพิเศษ 12 จุด เช่น แหล่งคมนาคม รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน และพื้นที่สุ่มเสี่ยงเคยเกิดเหตุได้แก่ บริเวณดินแดง อนุสาวรีย์ชัยฯ บ่อนไก่ เป็นต้น 6.รถสายตรวจ บก.สปพ. กำหนดให้ปรับแผนออกตรวจตามเส้นทาง ถนนวิภาวดีรังสิต พหลโยธิน ดินแดงและถนนราชปรารภ และจุดจอดรถสังเกตการณ์ 6 จุดที่อนุสาวรีย์ชัยฯ สามเหลี่ยมดินแดง เซ็นทรัลลาดพร้าว แยกรัชโยธิน หน้าห้างฟอร์จูนฯถนนรัชดาฯ และวังสระประทุม รวมทั้งสถานทูต พล.ต.ต.ปิยะกล่าวต่อว่า 7.ส่วนบก.ป. และบก.ทท. ออกตรวจตระเวนถนนเพชรบุรี สุขุมวิท สีลม และถนนพระราม 3, 4 และ 9 ส่วน บก.จร.ควบคุมพื้นที่สูงบนทางด่วนลอยฟ้า ทางพิเศษโทลล์เวย์ 8.บก.สส.เฝ้าระวังพื้นที่เคยชุมนุมอาจจะมีการซุกซ่อนกลุ่มผู้ชุมนุมหรืออาวุธต่างๆ 9.เตรียมรถดับเพลิงระงับเหตุวินาศกรรมหรือวางเพลิง โดยมอบให้สน.กำหนดผู้ประสานงานกับ กทม. และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงต่างๆนอกจากนี้ บช.น. ยังวางจุดตรวจร่วมอีก 21 จุดทั่ว กทม.และรปภ.สถานที่สำคัญ บ้านบุคคลสำคัญ อีก 24 จุด
ที่มา: เว็บไซต์ไทยรัฐ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
'ปทีป' ยื้อหมายจับ 'พธม.' คดีก่อการร้ายยึดสนามบิน อ้างให้ฝ่าย กม.พิจารณาอีกรอบ Posted: 26 May 2010 07:59 AM PDT <!--break--> มติชนออนไลน์รายงานว่าเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) รายงานข่าวแจ้งว่า มีความคืบหน้าในการขออนุมัติหมายจับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)จากกรณียึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง ที่คณะพนักงานสอบสวนของ ตร. เคยออกหมายเรียกแกนนำ พธม. 36 คนในข้อหาฐานความผิดก่อการร้าย ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รรท.ผบ.ตร.) ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้ช่วยผบ.ตร.(กม.1) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนไปสอบสวนเพิ่มเติม หลังจากเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ที่ผ่านมา พล.ต.ท.สมยศ ได้ทำหนังสือ พล.ต.อ.ปทีป ว่าขออนุมัติหมายจับ พธม.ในกรณียึดสนามบิน จำนวน 112 คน แต่ได้รับหนังสือส่งกลับจากพล.ต.อ.ปทีป ให้สอบสวนเพิ่มเติมในวันเดียวกัน ทั้งนี้พนักงานสอบสวนได้ขนสำนวนไปขอหมายจับถึงศาลอาญาแล้วแต่เมื่อ พล.ต.อ.ปทีป สั่งการ จึงต้องเดินทางกลับ ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม พล.ต.ท.สมยศ ได้ทำหนังสือถึง พล.ต.อ.ปทีป อีกครั้งรายงานความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวน ตลอดจนสรุปพยานหลักฐานและข้อกล่าวหาของผู้ที่จะขอความเห็นชอบจับกุมแต่ละราย เพื่อยืนยันขออนุมัติหมายจับ พธม. ทั้ง 112 ราย ล่าสุดวันนี้(26 พฤษภาคม) พล.ต.ท.สมยศ ได้รับ หนังสือตอบรับจากพล.ต.อ.ปทีป ลงวันที่ 12 พฤษภาคม ใจความว่า สำนวนคดีนี้ให้ส่งให้ พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดีพิจารณาอีกครั้ง พล.ต.ท.สมยศ จึงแทงเรื่องลงไปที่ พล.ต.ท.เจตน์ ตามคำสั่งพล.ต.อ.ปทีป ทำให้ยังสามารถขออนุมัติหมายจับ กลุ่ม พธม.ได้ ทั้งที่พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนว่าควรอนุมัติออกหมายจับตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม ที่ผ่านมาแล้ว
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
คิกออฟแคมเปญเชิงสัญลักษณ์ "วันอาทิตย์สีแดง" Posted: 26 May 2010 07:44 AM PDT "สมบัติ บุญงามอนงค์" หรือ "บก. ลายจุด" ผู้ที่เคยเสนอให้ใช้สีแดงรณรงค์ไม่รับร่าง รธน 50 เปิดแคมเปญเชิงสัญลักษณ์อีกครั้ง สวมเสื้อแดงวันอาทิตย์ ย้ำเตือนเจตจำนงค์ในการต่อสู้ของคนเสื้อแดง
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
นักวิชาการอเมริกันชี้อย่าหมกมุ่นแค่ "ปีศาจทักษิณ" Posted: 26 May 2010 07:10 AM PDT <!--break--> "ชาร์ลส์ คายส์" ศาสตราจารย์เกียรติคุณทางด้านมานุษยวิทยาและนานาชาติศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทำการศึกษาเรื่องเมืองไทย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องชาวบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาอย่างยาวนาน ได้เขียนบทความชื่อ "ดีลลิ่ง วิธ ′เดอะ เดวิล′, เดอะ เร้ดส์ แอนด์ ลุคกิ้ง วิธอิน" (ความสัมพันธ์กับ "ปีศาจ", คนเสื้อแดง และการมองย้อนกลับเข้ามาภายใน) ลงในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ฉบับวันที่ 26 พฤษภาคม มติชนออนไลน์ สรุปความและนำมาเผยแพร่ดังต่อไปนี้ การก่อร่างสร้างปีศาจ เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่กรุงเทพมหานคร จนนำมาสู่การเผาอาคารทางธุรกิจที่มีความสำคัญหลายแห่งโดยผู้ชุมนุม ส่งผลให้ชาวกทม.จำนวนมาก และผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั่วประเทศ ต่างชี้นิ้วว่าตัวการที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็คือ คนเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีนามว่า ทักษิณ ชินวัตร ในสายตาคนเหล่านั้น ทักษิณกลายเป็นปีศาจที่มีตัวตน ผู้ก่อให้เกิดความโชคร้ายและปัญหาสังคมต่าง ๆ นานา พวกเขาเชื่อว่าหากอดีตผู้นำประเทศรายนี้ถูกเขี่ยพ้นออกไปจากการเมืองไทย สังคมไทยก็จะกลับคืนสู่ความสงบและความสามัคคี แน่นอนว่าทักษิณได้ใช้ความร่ำรวยและอิทธิพลของตนเองในการสนับสนุนการชุมนุมทั้งที่สันติและรุนแรงของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่หากรัฐบาลอภิสิทธิ์และคนอื่น ๆ ที่จะมีส่วนร่วมในนโยบายปรองดองแห่งชาติ ยังคงเห็นว่าทักษิณเป็นเพียงตัวการเดียวของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็จะประสบกับความผิดพลาดในเชิงยุทธวิธี และหนทางสู่ความปรองดองก็จะประสบกับทางตัน ขณะที่ความขัดแย้งในสังคมก็จะยังดำเนินต่อไป สาเหตุอื่น ๆ ของความขัดแย้งในสังคมไทย วิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลเสียอย่างหนักต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ของไทย เพราะในปัจจุบัน ครัวเรือนของชาวอีสานต้องพึ่งพิงรายได้ที่ส่งมาจากสมาชิกของครอบครัวซึ่งประกอบอาชีพในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ มีแรงงานชายจากภาคอีสานนับแสนคนออกไปรับจ้างทำงานในต่างประเทศ วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2550 จึงส่งผลเสียหายอย่างหนักต่อครอบครัวของชาวบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งปัจจุบัน สมาชิกจำนวนมากของครอบครัวเหล่านี้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กหนุ่ม ได้กลายเป็นประชากรที่ตกงาน เด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้นี่เอง ที่เป็นทรัพยากรสำคัญของกลุ่มกองกำลังคนเสื้อแดง ซึ่งมีส่วนจุดไฟเผาอาคารสำคัญในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด รวมทั้งยังกล้าเผชิญหน้ากับกองกำลังของรัฐบาล ดูเหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์จะไม่ได้ตระหนักถึงกลุ่มเด็กหนุ่มเหล่านี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาคือกลุ่มคนว่างงานในภาคส่วนเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ ดังนั้น พวกเขาจึงไร้ตัวตนจากการเก็บสถิติของรัฐ แต่หากรัฐบาลไทยไม่แก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจให้แก่คนกลุ่มนี้ ความเกลียดชังและความไม่พอใจของพวกเขาก็จะดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากทักษิณหรือไม่ก็ตาม สาเหตุสำคัญของความขัดแย้งในสังคมไทยประการต่อก็คือ ความแตกแยกอย่างลึกซึ้งในสังคม อันเกิดจากเส้นแบ่งในเรื่องชนชั้นและชาติพันธุ์-ภูมิภาค กลุ่มคนเสื้อแดงมีอยู่อย่างหนาแน่นในภาคอีสานและภาคเหนือ เพราะคนเหล่านี้ตระหนักว่าตนเองถูกใส่ร้ายป้ายสีตลอดมาจากเหล่าคนชั้นกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ การใส่ร้ายป้ายสีดังกล่าวมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน คนในภาคอีสานและเหนือมักถูกมองจากคนไทยในส่วนกลางว่าเป็น "ลาว" เมื่อครั้งที่พวกเขาเพิ่งถูกควบรวมเข้ามาใน "รัฐ-ชาติ" ไทย แม้ว่าต่อมานโยบายการศึกษาและสื่อสารมวลชนที่มีฐานอยู่ในกรุงเทพฯ จะบ่งชี้ว่าคนจากภูมิภาคเหล่านี้เป็น "ไทย" ทว่าภาพลักษณ์ด้านลบอันเก่าแก่ที่เห็นว่าคนเหนือและอีสานมี "ความเป็นไทย" น้อยกว่าคนกรุงเทพฯ ก็ยังคงดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ภาพลักษณ์ด้านลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพด้านลบของคนอีสาน ปรากฏอยู่อย่างสม่ำเสมอในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ไทย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนอีสานถูกใส่ร้ายป้ายสีครั้งแล้วครั้งเล่าโดยสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมซึ่งฝักใฝ่การเมืองสีหนึ่ง, หนังสือพิมพ์ในกทม. และเว็บล็อกตลอดจนเฟซบุ๊กจำนวนมาก ว่าพวกเขาโง่เหมือน "ควาย" เป็นต้น ความคิดจำนวนมากที่ถูกนำเสนอในสื่อยังเชื่อว่าชาวบ้านเหล่านี้เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร และไม่ตระหนักว่าตนเองกำลังโดนดูถูกเหยียดหยาม แต่ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือ ชาวบ้านเหล่านี้ตระหนักว่าตนเองกำลังถูกใส่ร้ายป้ายสี และภาวะที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องดังกล่าวได้กลายเป็นปัจจัยหลักสำคัญประการหนึ่งของความขัดแย้งในสังคมไทย ขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์พยายามไล่ปิดสถานีวิทยุชุมชนและเว็บไซต์ที่สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง โดยให้เหตุผลว่าสื่อเหล่านั้นยั่วยุให้เกิดความรุนแรงและความเกลียดชัง แต่รัฐบาลกลับไม่เข้าไปควบคุมสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบางช่อง และสื่ออื่น ๆ ที่เร่ขายความเกลียดชังต่อคนบางกลุ่ม ตั้งแต่ คนเสื้อแดง คนมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งคนเขมรในภาคอีสานและประเทศกัมพูชา แม้รัฐบาลจะไม่สามารถและไม่ควรจะพยายามเข้าไปควบคุมเนื้อหาของสื่อ แต่รัฐบาลสามารถดำเนินคดีกับสื่อทั้งสองฝ่ายที่ยั่วยุให้ผู้คนเกลียดชังกันได้ นอกจากนี้รัฐบาลยังสามารถสร้างนโยบายการลงโทษทางสังคมผ่านการส่งเสริมสนับสนุนสื่อคุณภาพที่มีความเป็นอิสระ และคว่ำบาตรสื่อของกลุ่มการเมืองใดก็ตามที่ยังคงมีส่วนทำให้ความแตกแยกระหว่างคนไทยแพร่กระจายออกไปมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงที่จะใช้ถ้อยคำซึ่งมีส่วนในการยั่วยุอารมณ์เสียเอง เช่น คำว่า "ผู้ก่อการร้าย" เป็นต้น "หมดเวลา" คนในภาครัฐบาลและส่วนอื่น ๆ ที่จะมีเข้ามาเกี่ยวข้องกับนโยบายปรองดองแห่งชาติต้องการรับความช่วยเหลือจากทุกฝ่าย เท่าที่พวกเขาจะสามารถรับได้ เพราะเมื่อกระสุนปืนถูกยิงออกไป ประเทศไทยก็ย่อมตกอยู่ในภาวะระอุคุกรุ่นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ชาวกรุงเทพฯจำนวนมากรู้สึกโกรธแค้นเดือดดาลกับบาดแผลที่เกิดขึ้นกับนครหลวงของพวกตนในช่วง 2 เดือนกว่าที่ผ่านมา พวกเขาเรียกร้องให้มีการลงโทษผู้มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งผู้มีส่วนร่วมสนับสนุนการกระทำดังกล่าว ขณะเดียวกัน กลุ่มคนเสื้อแดงก็มีความโกรธเคืองที่ถูกเก็บงำไว้อย่างลึกซึ้ง เกี่ยวกับความตายและการได้รับบาดเจ็บของเพื่อนตลอดจนญาติพี่น้องของพวกเขา จนนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการแก้แค้น ในสภาวะเช่นนี้ หลักธรรมทางพุทธศาสนาที่สอนให้คนรู้จักระงับความโกรธได้สูญหายไปจากสังคมไทย และจะยิ่งอันตรายมากขึ้น ถ้าคนไทยบางส่วนเลือกเดินไปบนเส้นทางเดียวกับกลุ่ม "เขมรแดง" ซึ่งบิดเบือนอุดมคติทางพุทธศาสนาเรื่องการตัดทอนกิเลสตัณหา ให้กลายเป็นการขาดแคลนอารมณ์ความรู้สึกอันน่าหวาดกลัว เมื่ออุดมคติดังกล่าวถูกนำไปพัวพันกับปฏิบัติการแห่งความรุนแรง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยจะต้องกลับไปรื้อฟื้นหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่สอนให้เรารู้จักข่มระงับกิเลสตัณหาอันเร่าร้อนของตนเอง จึง "หมดเวลา" ที่คนไทยจะยังคงแตกแยกกัน กระทั่งเกิดแผลกลัดหนองอยู่ภายในตัวตน แม้ผู้นำของกลุ่มการเมืองคู่ขัดแย้งในประเทศไทย ซึ่งแสวงหาแต่บทลงโทษและการแก้แค้น อาจจะเห็นต่างกับข้อเสนอนี้ แต่เราสามารถคาดหวังได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะให้ความสนใจต่อเสียงร่ำไห้ที่ดังออกมาจากหัวใจของผู้คน แล้วหันเหตนเองไปสู้การทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเต็มไปด้วยความอดทน เพื่อจะแก้ไขสาเหตุต่าง ๆ แห่งความขัดแย้งของประเทศ ซึ่งถูกนำไปใช้หาประโยชน์ใส่ตัวโดยเหล่าผู้นำที่ประพฤติตนผิดศีลธรรมหรือไร้ศีลธรรม
ที่มา: มติชนออนไลน์
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ยอดผุ้เสียชีวิตจากการสลายชุมนุมเมษา-พฤษภา พุ่ง 88 รายแล้ว Posted: 26 May 2010 06:28 AM PDT <!--break--> วานนี้ (25 พ.ค.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รมว.สาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้สรุปตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุรุนแรงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. ถึงปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 88 ราย บาดเจ็บ 1,885 คน โดยยังมีผู้บาดเจ็บที่นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 217 คน ในจำนวนนี้อยู่ในห้องไอซียู 17 คน สำหรับมาตรการต่อจากนี้กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งเยียวยาฟื้นฟูจิตใจผู้ได้ รับผลกระทบจากการชุมนุมในพื้นที่กรุงเทพฯ 7 เขต ประมาณ 30 ชุมชน และพื้นที่ต่างจังหวัดอีก 24 จังหวัด โดยจะเข้าไปดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยในวันนี้ (26 พ.ค.) จะเปิดศูนย์ฟื้นฟูจิตใจผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมขึ้นที่กระทรวงสาธารณสุข โดยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นอกจากนี้จะเปิดสายด่วนฟื้นฟูสุขภาพจิต 1323 เพื่อให้ประชาชนโทรศัพท์เข้ามาปรึกษา ดูรายละเอียดที่ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ศอฉ.สั่งห้ามเผยแพร่สิ่งพิมพ์เสื้อแดง Posted: 26 May 2010 06:19 AM PDT <!--break--> 26 พ.ค. 53 เวลา 16.00 น. ได้มีการประชุมศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการศอฉ. พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าร่วมประชุม โดยในที่ประชุมได้มีการรายงานความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งการสื่อสารผ่านทางทวิตเตอร์ การส่งข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือ และความเคลื่อนไหวของทีมทนายความที่ยื่นอุทธรณ์ในข้อหาก่อการร้าย ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานไปปฏิบัติตามภารกิจที่ ศอฉ.มอบหมาย บุกค้นโรงพิมพ์หนุนเสื้อแดง-เจ้าของโวยรัฐคุกคามสื่อ วานนี้ (25 พ.ค. 53) เวลา 12.00 น. นายสรรเสริญ ปาลวัฒน์วิไชย ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ดีเอสไอ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ปปท. และตำรวจคอมมานโด บช.ปส. พร้อมอาวุธครบมือ นำหมายค้น ศอฉ. ตาม พ.ร.บ. ฉุกเฉิน เลขที่ อสพ. (ศอฉ.) 30/2553 ลงวันที่ 24 พ.ค. 2553 เข้าตรวจค้นบริษัทฟองทอง เอ็นเตอร์ไพรส์ เลขที่ 33/1450 ถนนโชคชัย 4 ซอย 54 แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. ซึ่ง เป็นโรงพิมพ์ของหนังสือพิมพ์ไทยเรดนิวส์ พบนายภักดี ธนะปุระ อายุ 59 ปี และนางพจีสวาท ธนะปุระ อายุ 55 ปี สองสามีภรรยา แสดงตัวเป็นเจ้าของ พาเข้าตรวจค้น ใช้เวลา 3 ชั่วโมง เบื้องต้นพบสติกเกอร์ข้อความ "ยุบสภา" "อภิสิทธิ์ ฆาตกร" หนังสือพิมพ์ไทยเรดนิวส์ แผ่นเพลท และเอกสารจำนวนหนึ่ง จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน จากการสอบสวนทราบว่า สองสามีภรรยาเป็นอดีตนักเรียนนอกจบที่ฝรั่งเศส และ เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง PTV จากนั้นได้เชิญทั้งสองไปสอบสวนต่อที่ดีเอสไอ ด้านนายภักดี ธนะปุระ กล่าวว่า ตนรับจ้างพิมพ์ หนังสือพิมพ์ไทยเรดนิวส์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น พิมพ์มาตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 42 และไม่ได้เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงแต่อย่างใด แปลกใจเหมือนกันว่าทำอยู่ดีๆถึงมีกองกำลังติดอาวุธเข้ามาตรวจค้นในบริษัททั้งที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และพิมพ์หนังสือพิมพ์วางขายตามท้องตลาด ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมาย ตนไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายหรือสถานที่ซ่องสุมกำลังแต่อย่างใด ไม่ ทราบเหมือนกันว่ารัฐบาลใช้อำนาจเกินควรหรือไม่ ตน เป็นนักวิชาการที่ออกความคิดเห็นในระบบประชาธิปไตย ถ้าพรรคประชาธิปัตย์คิดว่าตัวเองเป็นรัฐบาลแล้วจะกลั่นแกล้งผู้อื่นก็ไม่ว่ากัน เพราะว่าถ้าจะกลั่นแกล้งนั้นง่ายนิดเดียว ตนจึงอยากถามว่าสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลนั้นอยู่ที่ไหน บริษัทของตนเปิดเป็นโรงพิมพ์ ซึ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ไทยเรดนิวส์ ดังนั้น การตรวจค้นในครั้งนี้ ถือเป็นการคุกคามสื่อเช่นกัน ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: สำนักข่าวไทย, ไทยรัฐ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
Posted: 26 May 2010 06:05 AM PDT <!--break--> กระบวนการพัฒนาประเทศของไทยนับแต่ก่อนและหลังมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สะท้อนให้เห็นว่า ดุลยภาพของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้ถูกมองแยกส่วนกับการพัฒนาการเมืองจนกลายเป็นปัจจัยหลักที่ปิดกั้นกดทับความแตกต่างหลากหลายทางความคิดและอัตลักษณ์ รวมทั้งโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและโอกาสทางสังคม อันเป็นหัวใจหลักของการสร้างระบอบประชาธิปไตยในชุมชนท้องถิ่น ประชาสังคม และกลุ่มต่างๆ สาเหตุของปัญหาดังกล่าวเกิดจากโครงสร้างสังคมการเมืองไทยที่ยังมีปัญหาต่างๆ เช่น การรวมศูนย์อำนาจ ระบบอุปถัมภ์ การพึ่งพิงระบบราชการที่ไม่เป็นของประชาชน บทบาทของทหารในการเมือง ธุรกิจการเมืองและผลประโยชน์ทับซ้อน ประกอบกับโอกาสในการให้ประชาชนมีส่วนร่วมกำหนดตัดสินใจอย่างแท้จริงมีน้อย กระบวนการตรวจสอบไม่สร้างสรรค์ ขาดกลไกในการจัดการความขัดแย้ง รวมทั้งขาดสื่อที่จะเป็นพื้นที่สาธารณะให้ทุกฝ่ายร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างปราศจากอคติ ส่งผลให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ถูกบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหลายฉบับที่ออกโดยอำนาจรัฐซึ่งมาจากชนชั้นนำและชนชั้นกลางบางกลุ่มโดยมิได้คำนึงถึงเสียงของคนทุกฝ่ายในสังคม จึงไม่อาจก่อให้เกิดการแปรสิทธิไปสู่การปฏิบัติได้อย่างจริงจังมากนัก ตลอดจนการกล่าวถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างเกินจริงของสังคมการเมืองไทยจนทำให้บดบังปัญหาอื่นๆ เช่น ปัญหาการรวมศูนย์อำนาจ ปัญหาการดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ผิดพลาด ปัญหาในเรื่องความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและความเสมอภาคทางสังคม เป็นต้น ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดจากการไม่ยอมรับซึ่งกันและกันระหว่างชนชั้นกลางในเมืองกับคนราก หญ้าในต่างจังหวัด สะท้อนให้เห็นมุมมองต่อสังคมการเมืองที่ถูกตัดตอนโดยขาดการมองในเชิงพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมอันเป็นปมปัญหาสำคัญของการเมืองไทย หากพิจารณายุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศไทยจะเห็นได้ว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ผ่านมาในอดีตได้ดึงทรัพยากรจากชนบทต่างจังหวัด จากชาวนา ชาวไร่ เกษตรกร ทั้งในรูปแบบของทรัพยากรธรรมชาติ ภาษี เงินทุน ทรัพยากรมนุษย์ ฯลฯ เข้ามาพัฒนาเมือง พัฒนาภาคอุตสาหกรรม และสร้างความทันสมัย (modernization) สะดวกสบายให้กับชนชั้นกลางในเมือง ในขณะเดียวกันยุทธศาสตร์การพัฒนาที่รวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ก็ได้สร้างอำนาจในการกำหนดนโยบายหรือ “กำหนดชะตากรรมแห่งการพัฒนา” ให้กับชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองมากกว่าคนชนบทต่างจังหวัดอีกด้วย ส่งผลให้ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองได้กำหนดตัดสินใจและคิดแทน คนในชนบทต่างจังหวัดเสมอมา รวมกระทั่ง “การกำหนดตัดสินใจและคิดแทนทางการเมือง” ผลผลิตของกระบวนการนี้จึงออกมาในรูปของการไม่ยอมรับคะแนนเสียงของคนในชนบทต่างจังหวัดที่ถูกส่งผ่านการเลือกตั้งผู้แทนของพวกเขา เข้ามาทำหน้าที่พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ในระบบการเมืองตาม ครรลองของระบอบประชาธิปไตย สะท้อนให้เห็นจากการก่อกำเนิด “วาทกรรมการซื้อเสียง” โดยชนชั้นกลางในเมือง นักวิชาการ และสื่อมวลชนส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ ผลผลิตในรูปแบบของการไม่ยอมรับฟังเสียงเรียกร้องของคนด้อยสิทธิ คนชายขอบ คนด้อยโอกาส คนยากจนจากกระบวนการพัฒนาในชนบทต่างจังหวัด รวมทั้งคนจนเมืองได้ถูกส่งผ่านการเมืองภาคประชาชนในรูปแบบของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมหรือม็อบซึ่งมาทวงสิทธิในการพัฒนา ก็ถูกชนชั้นกลางส่วนหนึ่งทำลายความชอบธรรมด้วย “วาทกรรมม็อบเติมเงิน” หรือม็อบที่ถูกจ้างมาสร้างความเดือดร้อนให้ชนชั้นกลางในเมือง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะการเคลื่อนไหวดังกล่าว “กระทบต่อความทันสมัยและความสะดวกสบายของชนชั้นกลางในเมือง” ที่ต้องดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการจราจร การจับจ่ายซื้อของในย่านช้อปปิ้งกลางใจเมือง สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นความไม่ลงรอยกันระหว่างชนชั้นกลางใน เมืองกับคนรากหญ้าในชนบทต่างจังหวัดอันเนื่องมาจากยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ผิดพลาด ขาดการสร้างจิตสำนึกสาธารณะและการยอมรับความเป็นเจ้าของร่วมกันของสังคม ตลอดจนเคารพในสิทธิหน้าที่และพื้นที่ซึ่งกันและกัน เหตุการณ์เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 สะท้อนให้เห็นว่า โครงสร้างสังคมการเมืองส่วนล่างได้เกิด ความเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตอย่างมากมาย อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงและการขยายตัวของสังคมประชาธิปไตยนี้กลับเกิดขึ้นอย่างกลายพันธุ์ เนื่องจากที่ผ่านมารัฐไทยขาดกระบวนการสร้างความเป็นพลเมืองให้ราษฎรและประชาชนเข้มแข็งด้วยโอกาสในการเข้าถึงทุน สื่อ การศึกษาที่เป็นธรรมและมีคุณภาพ จึงส่งผลให้ราษฎรและประชาชนขาดจิตสำนึกในความเป็นพลเมือง ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม การตอบโต้อำนาจรัฐจึงแสดงออกในรูปแบบของการใช้ความรุนแรงทางการเมืองและกระบวนการนอกกฎหมายเมื่อพวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากอำนาจรัฐ เช่น การบุกตรวจค้นโรงพยาบาล การกดแตรรถเพื่อรบกวนสิทธิของบุคคลอื่นในเวลาเคลื่อนขบวนการชุมนุม การเผาธนาคาร โรงแรม โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า สถานีโทรทัศน์ สำนักงานหนังสือพิมพ์ ยางรถยนต์ หน่วยงานราชการ อาคารสถานที่ต่างๆ รวมทั้งปล้นสะดมร้านค้า และร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น หรืออาจเรียกสภาวะประชาธิปไตยที่กลายพันธุ์เช่นนี้ว่า “มวลชนาธิปไตย” ภายหลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าว ความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจสังคมและโอกาสระหว่างชนชั้นกลางในเมืองกับคนรากหญ้าในชนบทต่างจังหวัด ความเป็นสองมาตรฐานของการใช้อำนาจรัฐ สื่อกระแสหลักที่ไม่เป็นพื้นที่สาธารณะ ได้ตอกย้ำให้การ “แบ่งแยกและแตกต่าง” ไกลเกินกว่าประเด็นทางการเมืองเฉพาะตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่กลายเป็นความบาดลึกในสังคมการเมืองไทยที่ลึกซึ้งและชัดเจนยิ่งขึ้น จนมีการกล่าวกันว่าเป็น “ประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม” ภาพสะท้อนให้เห็นได้ชัดจากการที่ชนชั้นกลางในเมืองผูกขาดความชอบธรรมทางการเมืองและการใช้สื่อกระแสหลักยิ่งปรากฏอย่างชัดเจนในกรณีการไว้อาลัยและประณามการกระทำต่อสถานที่อันเป็นความทันสมัย ความสะดวกสบาย การช้อปปิ้งและยกระดับรสนิยม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ร่วมสมัยของวัยรุ่นและชนชั้นกลางในเมือง เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โรงภาพยนตร์สยาม และห้างสรรพสินค้าเซ็นเตอร์วัน เป็นต้น รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมทำความสะอาดที่อิงกับ “การตลาดทางการเมือง” ของกรุงเทพมหานคร (we care) ซึ่งมีคนเข้าร่วมจำนวนมาก ประกอบด้วยชนชั้นกลางในเมืองและวัยรุ่นยุคสังคมออนไลน์ที่เติบโต มาพร้อมๆ กับกระแสทุนนิยม การตลาด และสื่อยุคโลกาภิวัตน์ ขณะที่ระบบการศึกษาไทยยัง “ขาดการสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดและการคิดอย่างรอบด้าน” ให้กับวัยรุ่นยุคใหม่ในสังคมเมืองเหล่านี้ ในแง่สื่อกระแสหลัก การนำเสนอข้อมูลข่าวสาร การแต่งเพลง มิวสิควิดีโอสร้างอารมณ์ความรู้สึก การทำสกู๊ปภาพความเสียหายและผลกระทบจากการเผาสถานที่ต่างๆ ของชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ มากกว่าการทำสกู๊ปเรื่องราวของผู้บาดเจ็บผู้เสียชีวิตจากความรุนแรงทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดในระบอบประชาธิไตยไทยอันเนื่องจากการเข้าสลายการชุมนุม สะท้อนให้เห็นว่า สื่อกระแสหลักไม่ได้เป็นพื้นที่สาธารณะให้กับคนทุกกลุ่ม หากแต่เป็นพื้นที่ให้กับชนชั้นกลางในเมือง รัฐบาล ทหาร ปัญญาชนฝ่ายอำนาจรัฐ มากกว่าเป็นพื้นที่ให้กับคนรากหญ้าในชนบทต่างจังหวัด ปัญญาชนกระแสรอง และชนชั้นกลางอีกส่วนหนึ่งที่กำลังถูกอำนาจรัฐปิดกั้นกดทับสื่อกระแสรองของกลุ่มตนอยู่ในเวลาเดียวกัน การขาดโลกสาธารณะเช่นนี้ จะยิ่งส่งผลให้เกิดกระแสตีกลับโดยการเลือกรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ผ่านทางสื่อกระแสรองเฉพาะกลุ่มตนเอง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งกลุ่มที่มีความคิดทางการเมืองแตกต่างกันจะยิ่ง “ต่างมีโลกของตนเอง” มากขึ้น เมื่อกลุ่มคนที่มีความคิดต่างกัน “ขาดโลกสาธารณะ” หรือไม่มีพื้นที่สาธารณะร่วมกัน จะยิ่งส่งผลให้โอกาสในการปรองดอง สมานฉันท์ สามัคคี เป็นไปได้ยากยิ่ง ในทางกลับกัน การแบ่งแยกและแตกต่างจะยิ่งทวีความซับซ้อนในลักษณะปฏิบัติการใช้ความรุนแรงแบบใต้ดินมากยิ่งขึ้น
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ชาวเมืองอิตาลีค้านป้ายโฆษณา 'ฮิตเลอร์สีชมพู' Posted: 26 May 2010 05:04 AM PDT ป้ายโฆษณาบริษัทเสื้อผ้ามาพร้อมคำขวัญ "เปลี่ยนสไตล์คุณ อย่าตามผู้นำ" กับรูปฮิตเลอร์สวมชุดสีชมพู มีรูปหัวใจแทนสวัสดิกะ กลุ่มอดีตผู้ต้านนาซีคัดค้าน บอกล่วงเกินผู้เคยต่อสู้กับฟาสซิสม์ <!--break-->
บริษัทเสื้อผ้าของอิตาลี ทำป้ายโฆษณาเป็นรูปฮิตเลอร์ในชุดฟอร์มนาซีสีชมพู และมีผ้าคาดแขนเป็นรูปหัวใจแทนที่จะเป็นรูปสัญลักษณ์สวัสดิกะ โดยป้ายโฆษณาตัวนี้เป็นของบริษัท "นิวฟอร์ม" ตัวป้ายตั้งอยู่ในปาเลอโม ประเทศอิตาลี และมีประโยคที่เขียนว่า "เปลี่ยนสไตล์คุณ อย่าตามผู้นำ" (Change your style, don't follow your leader) แต่ทางสมาคมนักสู้ต่อต้านนาซีในช่วงสงคราม ของท้องถิ่นนั้นกลับเห็นว่าโฆษณาชิ้นนี้เป็นการล่วงเกินผู้ที่เคยต่อสู้กับลัทธิฟาสซิสม์มาก่อน ทางสมาคมต้านนาซีจึงเขียนจดหมายถึงนายกเทศมนตรีเพื่อให้มีการปลดป้ายนี้ลงโดยทันที โดยทางโฆษกของสมาคมบอกว่าป้ายโฆษณาชิ้นนี้ละเมิดหลักการประชาธิปไตย "พวกเราไม่เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ราชการอนุญาตให้ร้านค้าแสดงป้ายโฆษณาเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเราขอเรียกร้องให้ปลดป้ายออกไปโดยทันที" ข้อความส่วนหนึ่งของจดหมายต่อนายกเทศมนตรีระบุไว้ ขณะที่ตัวแทนบริษัทโฆษณาผู้ออกแบบป้าย 'ฮิตเลอร์สีชมพู' กล่าวกับสื่ออิตาลีว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคือต้องการล้อเลียนฮิตเลอร์ ไม่ได้จงใจทำให้การก่ออาชญากรรมของเขาดูรุนแรงน้อยลง และต้องการสนับสนุนให้คนหนุ่มสาวเลือกสไตล์และมีมุมมองชีวิตของตนเองโดยไม่รับอิทธิพลจากคนอื่น ทางตัวแทนผู้จัดทำป้ายโฆษณาบอกอีกว่าจากการที่มีข้อถกเถียงในเรื่องนี้เกิดขึ้น พวกเขาจึงจะเปลี่ยนจากรูปฮิตเลอร์เป็นอดีตผู้นำคอมมิวนิสท์ของจีนคือเหมาเจ๋อตุงแทน ที่มา: 'Pink Hitler' advertisement upsets Sicilians, BBC สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ปัญหาของรัฐบาลอภิสิทธิ์: การรักษาความสงบหรือการทำลายศัตรูทางการเมือง? Posted: 26 May 2010 04:40 AM PDT <!--break--> ท่ามกลางฝุ่นตระหลบอบอวลที่ยังไม่จางหายไปเสียทีเดียวจากเหตุการณ์พฤษภาอำมหิตที่ผ่านมา สังคมไทยมีการโต้เถียงกันอย่างถึงพริกถึงขิง ฝ่ายหนึ่งก่นด่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ ส่วนอีกฝ่ายถามหาความรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เช่น เจ้าของร้านค้าและเจ้าของบ้านที่ถูกพระเพลิงผลาญ การต้องสูดดมก๊าซพิษจากการเผายาง การต้องอยู่อย่างไม่มีน้ำไฟใช้เกือบสัปดาห์ ไปจนถึงความพินาศย่อยยับทั้งเศรษฐกิจและภาพพจน์ของประเทศ แน่นอน ผู้ที่วางเพลิง ผู้ที่ปล้นร้านค้า ผู้ที่สร้างความเสียหาย ย่อมสมควรถูกจับตัวมาดำเนินคดีและลงโทษตามกฎหมาย ในเรื่องนี้มักจะมีผู้โต้แย้งว่า แล้วทีความผิดของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ไปยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบิน เหตุใดจึงไม่มีการลงโทษ การที่กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้เอง จึงทำให้มีผู้กระทำผิดตามอย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนกลายเป็นปัญหาบานปลายราวกับบ้านเมืองไม่มีขื่อแปหรือกติกาอย่างที่เป็นอยู่ แต่ยกเรื่องนั้นไว้ก่อน ในบทความนี้ ผู้เขียนต้องการวิจารณ์รัฐบาลอภิสิทธิ์เกี่ยวกับวิธีการสลายม็อบ ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหายามวิกฤต โดยเปรียบเทียบกับหลักปฏิบัติของสากล โดยเฉพาะประเทศทางตะวันตก (แน่นอน จะให้เทียบกับพม่าก็คงคล้ายกันเกินไปจนไม่มีประโยชน์ที่จะเปรียบเทียบ) ผู้เขียนเคยวิจารณ์รัฐบาลอภิสิทธิ์เกี่ยวกับวิธีการสลายม็อบมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เมษายนเลือด พ.ศ. 2552 หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ฝ่ายเสื้อแดงก็ประกาศอย่างชัดเจนและรัฐบาลก็แสดงท่าทีรับรู้ว่า ฝ่ายเสื้อแดงจะกลับมาชุมนุมอีกแน่นอน นั่นหมายความว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์มีเวลาเตรียมตัวมาตลอด 1 ปีเต็ม ก่อนที่ฝ่ายเสื้อแดงจะกลับมาชุมนุมในปีนี้ ดังที่ผู้เขียนเคยวิจารณ์รัฐบาลอภิสิทธิ์มาแล้วในครั้งนั้นว่า ไม่มีรัฐบาลอารยะประเทศไหนที่สลายม็อบด้วยอาวุธสงคราม (ยกเว้นที่กองกำลังผสมหลายฝ่ายที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำกระทำต่อม็อบชาวอิรัก) หากรัฐบาลในประเทศนั้นยังถือว่าผู้ชุมนุมเป็นพลเมืองภายใต้อาณัติของตน รัฐบาลย่อมไม่ปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยอาวุธสงคราม แต่จะใช้การปราบปรามจลาจลด้วยโล่ กระบอง ดันม็อบ แยกม็อบเป็นกลุ่มย่อย ๆ ใช้กระบองฟาดหัวร้างข้างแตก จับใส่กุญแจมือ ยัดขึ้นรถ แล้วเอาไปตั้งข้อหา โดยมีเครื่องมือเสริมคือรถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย กระสุนยาง ส่วนเครื่องเสียง LRAD นั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าควรนำมาใช้ปราบจลาจลหรือถือเป็นอาวุธสงครามอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ หากต้องการให้ความสงบเกิดขึ้นอย่างแท้จริง รัฐบาลย่อมไม่พึงกระทำการใด ๆ ในอันที่จะยั่วยุให้ม็อบอารมณ์เดือดพล่านก้าวร้าวเกินกว่าที่เป็นอยู่ รัฐบาลไม่ควรสร้างปัญหาให้บานปลายมากไปกว่าปัญหาที่ม็อบเรียกร้อง อาทิ หากรัฐบาลสหรัฐฯ จะจัดประชุมองค์การการค้าโลก ก็ต้องมีม็อบที่จะมาชุมนุมคัดค้าน WTO ด้วยเหตุผลต่าง ๆ รัฐบาลสหรัฐฯ อาจออกมาวิจารณ์ม็อบได้ว่าต่อต้านการค้าเสรี ไม่สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ไม่เคยปรากฏว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ไปกล่าวหาว่าม็อบจะมาล้มล้างตำแหน่งประธานาธิบดี เป็นต้น ผู้เขียนขอย้ำอีกครั้งว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์มีเวลาหนึ่งปีเต็ม ๆ ในการรับมือกับผู้ชุมนุม นปช. ทั้งยังมีบทเรียนมาแล้วจากการประชุมที่พัทยา ซึ่งม็อบสามารถบุกเข้าไปถึงโรงแรมที่จัดการประชุมได้อย่างเหลือเชื่อ ในปัจจุบันนี้ ผู้นำที่ทันสมัยไม่ตกยุคทุกคนย่อมทราบดีว่า การจัดประชุมระหว่างประเทศเกือบทุกครั้งมักมีการชุมนุมประท้วงเสมอ ยกเว้นในประเทศที่ห้ามการชุมนุมไปเลย เช่น สิงคโปร์ ตามหลักปฏิบัติสากลนั้น ฝ่ายรัฐบาลมักตั้งกองกำลังตำรวจปราบจลาจลไว้รอบสถานที่ประชุม โดยมีการเว้นระยะไม่ให้ม็อบเข้าไปใกล้สถานที่ประชุมเกินกี่ร้อยเมตรก็ว่ากันไป แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ในตอนนั้นนำทหารเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่กลับปล่อยให้มีกลุ่มคนชุดน้ำเงินเดินเข้าออกในกลุ่มทหาร (เรื่องนี้มีหลักฐานเป็นภาพถ่ายของผู้สื่อข่าวมากมาย) ปล่อยให้มีการปะทะกันระหว่างคนเสื้อแดงกับคนชุดน้ำเงิน แล้วก็ปล่อยให้ม็อบเข้ามาถึงสถานที่ประชุมได้โดยไม่มีการขัดขวาง เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ไม่แปลกเลยที่ผู้แทนจากต่างประเทศที่เข้าร่วมประชุมด้วยจะกลับไปวิจารณ์การรักษาความปลอดภัยของรัฐบาลไทยอย่างเสียหาย หลังจากนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ใช้วิธีการที่ไม่มีประเทศอารยะประเทศไหนในโลกใช้มาสลายม็อบเดือนเมษายนปีที่แล้ว กล่าวคือ ใช้ทหารถือเอ็ม-16 ยิง (ขึ้นฟ้า ตามคำกล่าวของรัฐบาล) และวิ่งดาหน้าใส่ผู้ชุมนุมตอนตีสี่ตีห้า ทำให้ผู้ชุมนุมตกใจจนเกิดความบ้าคลั่งขึ้นมา เกิดเหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวนไปทั่วกรุง ไม่ทราบว่ามีใครในรัฐบาล กองทัพและตำรวจ เคยศึกษาจิตวิทยามวลชนมาบ้างหรือไม่? หากไม่เคยมีการศึกษาเรื่องนี้กันเลย ผู้บัญชาการกองทัพและผู้บัญชาการตำรวจก็ควรเร่งให้การศึกษาเรื่องนี้ทั้งต่อระดับผู้บังคับบัญชาและผู้ปฏิบัติงานโดยด่วน งบประมาณที่ได้รับเพิ่มขึ้นทุกปีนั้นน่าจะเพียงพอต่อการศึกษาเรื่องสำคัญขนาดนี้ ปัญหาการชุมนุมของเสื้อแดงในปีนี้นั้น อันที่จริง รัฐบาลไม่ควรปล่อยให้คนเสื้อแดงตั้งค่ายชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ด้วยซ้ำ รัฐบาลควรจะมีสายข่าวเข้าไปอยู่ในที่ชุมนุม ไม่ใช่เพื่อปลุกปั่นยุยง แต่เพื่อสืบให้รู้ล่วงหน้าว่าผู้ชุมนุมจะเคลื่อนไหวอย่างไร รัฐบาลจะได้ก้าวล่วงหน้าหนึ่งก้าวเสมอ รัฐบาลไม่ควรปล่อยให้ผู้ชุมนุมปิดเส้นทางจราจรในย่านธุรกิจที่สำคัญขนาดนี้ น่าจะผลักดันและสลายผู้ชุมนุมออกไปตั้งแต่แรก ด้วยการใช้รถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตาและตำรวจปราบจลาจล เหมือนดังที่อังกฤษสลายการชุมนุมของผู้ประท้วงการประชุม G20 ในย่านดาวน์ทาวน์เมื่อ ค.ศ. 2009 และเยอรมนีสลายการชุมนุมในวันกรรมกรสากลเมื่อ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐบาลอภิสิทธิ์มักจะอ้างว่า กรมตำรวจไม่ให้ความร่วมมือ แต่นี่เป็นปัญหาของใคร? ในเมื่ออภิสิทธิ์กินเงินเดือนนายกรัฐมนตรีจากภาษีประชาชนอยู่ทุกเดือน แต่อ้างว่าทำโน่นทำนี่ไม่ได้ แม้กระทั่งแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ทำไม่ได้ หรือจะให้ประชาชนออกมาช่วยตั้งให้แทนทำงานให้แทน? การที่กรมตำรวจไม่ให้ความร่วมมือ นั่นคือปัญหาของนายกรัฐมนตรี ถ้าในกองทัพมีทหารแตงโม นั่นคือปัญหาของผู้บัญชาการทหารบก ถ้าในกรมตำรวจมีตำรวจมะเขือเทศ นั่นคือปัญหาของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ซึ่งบังเอิญไม่มี) ในเมื่อบุคคลเหล่านี้รับเงินเดือนทุกเดือน ก็ต้องแก้ปัญหาให้ได้ จะมาโวยวายไม่รับผิดชอบ แล้วจะให้มันเป็นปัญหาของใคร? เช่นเดียวกับเมื่อผู้ถือหุ้นบริษัทจ้างซีอีโอมาทำงานบริหาร หากบริษัทเกิดปัญหา ซีอีโอก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่อ้างว่าพนักงานบริษัทไม่ให้ความร่วมมือ เพราะการที่พนักงานไม่ให้ความร่วมมือ นั่นแหละคือปัญหาของซีอีโอที่ต้องแก้ไขให้ได้ ถ้าแก้ไขไม่ได้ ก็ต้องลาออกหรือถูกไล่ออกไป จะมาหลอกกินเงินเดือนฟรี ๆ อยู่ได้อย่างไร? การที่รัฐบาลขาดประสิทธิภาพจนปล่อยให้ผู้ชุมนุมตั้งค่ายชุมนุมอยู่ที่สี่แยกราชประสงค์ได้ รัฐบาลก็ควรประเมินได้ว่า ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเท่าไร ก็ยิ่งสลายการชุมนุมได้ยากเท่านั้น แทนที่รัฐบาลจะมุ่งหน้านำความสงบและระเบียบคืนสู่สังคม รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับขยายความขัดแย้งให้บานปลายออกไปอีก โดยดึงประเด็นการก่อการร้ายและการล้มล้างสถาบันเข้ามา ในขณะที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเรามีปัญหาการลอบสังหารเจ้าหน้าที่และประชาชน การวางระเบิด ภัยสยองต่าง ๆ รัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมาต่างยืนยันที่จะเรียกผู้ก่อปัญหาว่า “ผู้ก่อความไม่สงบ” แต่ยังไม่ทันมีหลักฐานชัดเจน รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็เรียกผู้ชุมนุมว่า “ผู้ก่อการร้าย” เสียแล้ว แถมยังสร้างความสับสนให้สังคม วันหนึ่งบอกว่าผู้ชุมนุมเป็นผู้ก่อการร้าย อีกวันหนึ่งบอกว่าผู้ชุมนุมเป็นประชาชนบริสุทธิ์ แต่มีผู้ก่อการร้ายแฝงตัว อีกวันหนึ่งบอกว่า ไม่มีผู้ก่อการร้าย แต่มีกองกำลังติดอาวุธ สรุปว่ารัฐบาลจะเอาอย่างไรกันแน่? สายข่าวของรัฐบาลทำงานอย่างไรและเชื่อถือได้หรือไม่? รัฐบาลควรสืบสวนและตกลงกันให้ดีก่อนว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร แล้วค่อยออกมาบอกประชาชนจะดีไหม? เพราะเรื่องก่อการร้ายไม่ใช่เล่น ๆ เรื่องนี้นอกจากทำลายภาพพจน์ของประเทศไทยแล้ว ยังทำให้ประเทศมีความสั่นคลอนด้านอธิปไตย เนื่องจากอาจกลายเป็นข้ออ้างให้กองกำลังผสมหลายฝ่ายที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำหรือกองกำลังรักษาความสงบของสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงภายในประเทศได้ ภายหลังจากสลายการชุมนุมอย่างไม่ถูกต้องตามหลักสากลจนมีผู้เสียชีวิตไปจำนวนมากแล้ว รัฐบาลยังสร้างความงุนงงให้สังคมด้วยการโชว์หลักฐานเป็นอาวุธสงครามจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลอ้างว่าเป็นของผู้ชุมนุม เรื่องนี้เป็นที่น่าสงสัย เพราะหากผู้ชุมนุมมีอาวุธมากมายจริง เหตุใดจึงไม่มีการต่อสู้กับทหารมากกว่านี้? เราจะข้ามประเด็นนี้ไป แต่อยากเรียกร้องต่อรัฐบาลว่า รัฐบาลควรมีการตรวจสอบเส้นทางการซื้อขายอาวุธเหล่านี้ให้ดี อาวุธสงครามแบบนี้หาได้ง่ายในประเทศไทยขนาดนี้เชียวหรือ? นี่ประเทศไทยกลายเป็นประเทศมาเฟียที่หาซื้ออาวุธสงครามได้ง่ายราวกับซื้อตามร้านขายของชำไปแล้วหรือ? และหากอาวุธเหล่านี้รั่วไหลมาจากกองทัพจริงอย่างที่บางคนกล่าวอ้าง ผู้บัญชาการกองทัพก็ควรตรวจสอบการเบิกจ่ายอาวุธนี้และค้นหาตัวผู้กระทำผิดออกมา หากผู้บัญชาการกองทัพไม่จัดการเรื่องนี้ จะให้ใครเข้าไปจัดการ? ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ยังไม่ทันสลายการชุมนุมเป็นที่เรียบร้อย รัฐบาลก็ประกาศแล้วว่า คนเสื้อแดงจะลงใต้ดิน รัฐบาลทราบได้อย่างไร? รัฐบาลคงไม่ได้ถือว่า ข้อเขียนตามผนังห้องน้ำสาธารณะเป็นการประกาศลงใต้ดินของคนเสื้อแดงกระมัง? หรือรัฐบาลรู้สึกว่า เนื่องจากคนเสื้อแดงไม่มีสื่อของตัวเองเหลืออยู่แล้ว ก็เลยช่วยสงเคราะห์ประกาศอย่างเป็นทางการให้แทนเสียเลย? การที่รัฐบาลปลุกปั่นประเด็นก่อการร้ายขึ้นมาอย่างไม่มีหลักฐานชัดเจน ทำให้ประเทศไทยเสียภาพพจน์ในเวทีต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะเดินทางไปประชุมหรือพบปะหารือกับผู้นำประเทศอื่นอย่างมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร หากประเทศของตนมีผู้ก่อการร้ายหรือกองกำลังติดอาวุธเต็มไปหมด (ตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง) ประเทศไทยจะรักษาสถานะการเป็นประเทศที่น่าลงทุนได้อย่างไร? จะรักษาสถานะการเป็นประเทศที่น่าท่องเที่ยวได้อย่างไร? การที่รัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการผู้ชุมนุม ไม่มีประสิทธิภาพในการหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ (เช่น ผู้ก่อการร้ายที่กล่าวอ้างว่ามี แต่จับไม่ได้สักคน) ไม่มีประสิทธิภาพจัดการกับการซื้อขายอาวุธหรือการรั่วไหลของอาวุธจากกองทัพ นี่หมายความว่ารัฐไทยกลายเป็นรัฐกล้วยหรือรัฐล้มเหลวไปแล้วหรือ? ความล้มเหลวนี้เป็นความล้มเหลวของประเทศหรือของรัฐบาลอภิสิทธิ์กันแน่? การชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้มีข้อเรียกร้องอย่างชัดเจนยิ่ง นั่นคือ การยุบสภา แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใด จู่ ๆ ศอฉ. ภายใต้รัฐบาลนี้ก็จุดประเด็นการล้มล้างสถาบันขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ ศอฉ. และรัฐบาลกลับไม่สามารถแสดงหลักฐานที่ชัดเจนได้ จนดูเหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์สร้างหลักตรรกะบิดเบือนขึ้นมาว่า ใครวิจารณ์รัฐบาลอภิสิทธิ์ ผู้นั้นต่อต้านสถาบัน ทำให้เกิดคำถามว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์กำลังดึงสถาบันอันสูงสุดมาใช้เป็นเครื่องมือทำลายศัตรูทางการเมืองของตนหรือเปล่า? ผู้เขียนคิดว่า รากเหง้าในการบริหารงานในภาวะวิกฤตของรัฐบาลอภิสิทธิ์นั้น นอกจากความไม่มีประสิทธิภาพแล้ว รากปัญหาที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือ ดูเหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้มุ่งมั่นตั้งใจจะรักษาความสงบและระเบียบในบ้านเมืองมากเท่ากับตั้งหน้าตั้งตาหาทางทำลายศัตรูทางการเมืองของตน แต่แม้กระทั่งความตั้งใจข้อหลังนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ทำได้ไม่มีประสิทธิภาพเอาเสียเลย พรรคประชาธิปัตย์อาจได้คะแนนเสียงมากขึ้นเล็กน้อยในกรุงเทพฯและภาคใต้ แต่คงอีกนานหลายสิบปีกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะสามารถลงไปเดินได้เต็มเท้าในภาคเหนือและภาคอีสาน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยในการเล่นการเมืองระยะยาว อีกทั้งนักการเมืองที่ดูจะมีภาพพจน์ดีที่สุดในพรรค กล่าวคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็กลับกลายเป็นนักการเมืองที่มีภาพพจน์ฉาวโฉ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพียงเพราะต้องการจะทำลายศัตรูทางการเมืองของตน ลงท้ายรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ทำลายทั้งพรรคการเมืองของตัวเองและทำลายประเทศไทยให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปพร้อมกัน สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
Posted: 26 May 2010 04:31 AM PDT <!--break--> ก่อนอื่นผมขอออกตัวก่อนเลยนะครับ ว่าบันทึกนี้ผมไม่ได้มีเจตนาจะกระทบ เสียดสี หรือมีเจตนาใน แง่ร้ายหรือแง่ลบต่อกิจกรรม "ฟื้นฟูกรุงเทพ" ที่หลายคนได้ร่วมจิตอาสากันไปเก็บกวาดทำความสะอาด "พื้นที่ของพวกเค้า" ด้วยความรักและผูกพัน ผมเป็นเด็กบ้านนอกครับ แต่ได้เข้ามาอยู่อาศัยในกรุงเทพได้สิบกว่าปีแล้ว แต่ถ้าถามว่าผมรักกรุงเทพหรือเปล่า ผมก็คงตอบได้ไม่เต็มปากนัก ผมเข้ามาเรียนที่กรุงเทพ เพราะที่ต่างจังหวัดบ้านผมไม่มีมหาวิทยาลัยดีดีให้ผมเรียน ตอนนี้ผมทำงานอยู่ที่กรุงเทพ เพราะที่ต่างจังหวัดบ้านผมไม่ได้มีงานมากพอที่จะให้ผม "เลือก" ทำ นั่นคือเหตุผล ที่วันนี้ผมยังคงยืนอยู่ในเมืองหลวงของประเทศไทยที่ชื่อกรุงเทพมหานคร
ในหลายวันที่ผ่านมา กรุงเทพต้องเผชิญกับความเลวร้าย การวางระเบิด การเผาทำลายสถานที่ต่าง ๆ อันสืบเนื่องมาจากการสลายการชุมนุมของ นปช. ที่ราชประสงค์
ภายหลังเหตุการณ์เลวร้ายและควันไฟเริ่มจางลง.. หลายๆ คนบอกว่าเจ็บปวดเหลือเกินที่เห็นโรงหนังสยาม ลิโด้ ถูกเผาทำลาย เพราะมีความผูกพันกันอย่างยิ่งยวดในฐานะที่เป็นโรงหนังเก่าแก่ที่ฉายหนังนอกกระแสแห่งหนึ่งของกรุงเทพ (หรืออาจจะของประเทศไทย) หลาย ๆ คนบอกว่าสะเทือนใจที่เห็นห้างสรรพสินค้าเซนทรัลเวิลด์อันเพียบพร้อมไปด้วยความทันสมัย เป็นที่จับจ่ายซื้อของสุดฮิป เป็นจุดพบปะกันโดยเฉพาะลานเบียร์ในฤดูหนาวและช่วงที่มีการแข่งขันฟุตบอลต่างประเทศ กลายเป็นเพียงเศษซากจากกองเพลิงแห่งความเกลียดชัง ถึงขนาดประจานสาปแช่งเหล่า "ผู้ก่อการร้ายเสื้อแดง" ที่กระทำการดังกล่าว บางสิ่งบางอย่างที่เค้าผูกพัน คุ้นเคย มันถูกทำลายลงไปในชั่วพริบตา จากน้ำมือของ "ผู้ก่อการร้ายเสื้อแดง" ที่ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ในเมืองอันเป็นที่รักของพวกเขา ผม..ก็รู้สึกเสียใจและรู้สึกสลดหดหู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกันครับ ผมเสียใจ..ที่การเคลื่อนไหวภาคประชาชนได้ถูกผลักออกไปจากแนวทางสันติวิถี ผมเสียใจ..ที่รัฐบาลเลือกใช้วิธีการใช้กำลังทางทหารและอาวุธในการสลายการชุมนุม ผมเสียใจ..ที่ชีวิตของผู้คนได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ต่อรองทางการเมือง ผมเสียใจ..กับหลายคนที่ต้องเสียหายเดือดร้อน สูญเสียทรัพย์สิน และได้รับผลกระทบถึงการประกอบอาชีพการงานจากเหตุจลาจลในวันนั้น ผมเสียใจ..กับผู้บริสุทธิ์ที่ต้องสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุแห่งความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ ผมเสียใจ..กับหลายต่อหลายครอบครัวที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก..ญาติพี่น้อง.. และยิ่งไปกว่านั้น..ผมเสียใจ..ที่เห็นผู้คนจำนวนมากในสังคมเมืองศิวิไลซ์ที่ผมอยู่ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง การดูถูกเหยียดหยาม และเปล่งเสียงถึงผู้คนที่มาจากต่างถิ่นต่างที่ ด้วยถ้อยสรรพนำเนียงว่า ไอ้โง่ ไอ้ควายแดง ไอ้พวกไพร่สถุล ฆ่ามันให้หมด ฆ่ามันให้ตายซะ ฯลฯ "ผมไม่เชื่อ..ว่าทุกคนที่ตายเป็นผู้ก่อการร้าย..ว่าทุกคนที่ตายสมควรตาย" ผมไม่ได้อยากตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่า เฮ้ยย..นี่มันมีคนตายนะ มีผู้บริสุทธิ์ที่ตาย และสมควรที่จะต้องมีใครซักคนที่รับผิดชอบนะเว้ยย.. ถ้าเพียงแต่เสียงนั้นมันดังขึ้นซักหน่อย..ดังกว่าเสียงที่พร่ำบอกว่า มารักกันเถอะ มาปรองดองกันเถอะ มากวาดถนนกันเถอะ คิดถึงสยาม คิดถึงเซนทรัลเวิลด์ ก็คงไม่เกิดบทความนี้ขึ้นบนโลกแล้ว ผมเพียงอยากจะบอกว่า บางครั้ง..พวกเราหลงลืมอะไรไปรึเปล่า.. เสียงเรียกร้องอะไรบางอย่าง ดังก้องสะท้านราชประสงค์ แต่กลับแผ่วเบาเหลือเกินในใจของผู้คนหลายคนในเมืองที่ผมอยู่ เสียงที่เรียกร้องความไม่เป็นธรรม เสียงที่เรียกร้องโอกาส เสียงที่เรียกร้องความเสมอภาคและเท่าเทียม ดังก้องอยู่ในพื้นที่ที่พวกเค้าไม่คุ้นเคย เมืองที่เค้าไม่รู้จัก ความหรูหราทันสมัยที่พวกเค้าไม่อาจฝันใฝ่ แต่น่าแปลกใจ ที่เสียงเรียกร้องนั้นไม่ได้ดังเข้าไปในใจของบรรดาผู้คนในเมืองที่เค้าคิดว่าน่าจะช่วยเหลือเค้าได้..ไม่แม้แต่จะเสียเวลาที่จะรับฟัง
แม้กระทั่ง..เสียงแห่งความตายของพวกเค้า..ก็ยังแผ่วเบาและเลือนลาง... ..เสมือนไม่เคยเกิดขึ้น..เสมือนเป็นสิ่งที่สมควรเกิดขึ้น.. ...
ผมขอสารภาพตรง ๆ ว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่นักที่กับโรงหนังสยาม ลิโด้ สยามสแควร์ ก้อผมไม่เคยได้ไปดูหนังที่นั่นซักเท่าไหร่นี่นา ส่วนใหญ่ถ้าอยากดูหนังดีดีซักเรื่อง ผมคงจะไปหาซื้อดีวีดีหรือโหลดมาดูที่บ้านมากกว่า ซึ่งผมก็ไม่ได้ไปซื้อที่สยามอีกนั่นล่ะ (ถ้าไปเผา House RCA ผมอาจจะเสียใจมากกว่านี้นิดนึง ฮา.. ) สิบกว่าปีที่อยู่ที่กรุงเทพ ผมไปที่นั่นทุกครั้งผมก้อยังเป็นไอ้บ้านนอกแปลกหน้าอยู่ทุกครั้ง.. ผมยิ่งแทบจะไม่เสียใจเลยที่ CTW ถูกเผา เพราะผมไม่ได้ไปซื้อของอะไรที่นั่น อย่างมากก็นัดเพื่อนเดินเล่น ถ่ายรูป หาเบียร์กิน แล้วก้อเป็นความผิดของผมเองที่บรรดาราคาข้าวของในทำให้นั้นผมก็ไม่มีปัญญาจะซื้อซะด้วย..
ก็ผมไม่มีความผูกพันกับมันเท่าไหร่นัก..
เช่นเดียวกันกับหลายๆ คน ในสังคมเมืองนี้ ที่ไม่ได้ผูกพันเอากับความทุกข์ยากของผู้คน ไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในความแตกต่างและความไม่เท่าเทียมที่ดำรงอยู่ "ความแตกต่าง" ไม่มีอะไรมากไปกว่าการไปชื่นชมความสวยงามและวิถีชีวิตหลอกๆ ของปายและ อัมพวา การเปิดคาราวานนำของไปบริจาคให้กับเด็กๆ ชาวเขาในดินแดนทุรกันดาร การออกบริจาคทานแก่ผู้ด้อยโอกาสเพื่อความอิ่มใจของตน โดยละเลยการมองถึงสาเหตุที่มาจริงๆ ของปัญหาในระดับโครงสร้าง ผมเข้าใจครับ..นั่นเพราะเราอาจเกิดมาในเมืองที่แตกต่างกัน..ในสถานะที่แตกต่างกัน..
แต่ที่ผมไม่เข้าใจ..คือ..แม้กระทั่งความตายของเพื่อนมนุษย์..มันก็ยังมีเส้นแบ่งแห่ง "ความต่าง"
..คุณค่าของชีวิตมนุษย์..มันมีความต่างกันได้อย่างไร..มันไร้ค่ากันได้อย่างไร.. ... ..ผมคงไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมเก็บกวาดถนน.. ... ปล. โปรดอย่าขับไล่ผมออกจากกรุงเทพเลยนะครับ เพราะผมก็ไม่ได้อยากอยู่หรอก เพียงแต่ผมยังไม่มีที่ไป.. แค่นั้นเอง.. สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
บันทึกนาทีดับชีวิตช่างภาพอิตาลี จากการสลายการชุมนุมโดยทหาร Posted: 26 May 2010 04:20 AM PDT ทิโล ทิลเก้ ผู้สื่อข่าวของสปีเกล เล่าถึงประสบการณ์การสลายการชุมนุมวันที่ 19 พ.ค. ที่เป็นเหตุทำให้เพื่อนของเขาคือช่างภาพชาวอิตาลี ฟาบิโอ โปเลนกิ เสียชีวิต <!--break--> *แปลจาก : "ดับชีวิตในกรุงเทพฯ : ในวันที่ทหารไทยเคลื่อนพลเข้ามา" (The Day the Thai Army Moved In) โดย ทิโล เทลเก้ Der Spiegel http://www.spiegel.de/international/world/0,1518,696422,00.html ภาพถ่าย ฟาบิโอ โปเลนกิ (ที่มา: AFP) "กำแพงไฟที่ก่อขึ้นจากการเผายางเป็นสิ่งที่กันผู้ชุมนุมออกจากทหาร กลุ่มควันหนาทึบลอยปกคลุมท้องถนนขณะที่ทหารค่อย ๆ เคลื่อนพลเข้ามาเรื่อย ๆ มีกระสุนพุ่งผ่านตามทาง เป็นสไนเปอร์ที่ยิงมาจากตึกสูงและจากทหารที่รุกคืบผ่านควันไฟ" ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวสปีเกล ทิโล เทลเก้ อยู่ในกรุงเทพฯ ในวันที่ทหารไทยเคลื่อนพลเข้าสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง มันเป็นวันสุดท้ายที่เขาได้ทำงานร่วมกับเพื่อนและผู้ร่วมงาน คือฟาบิโอ โปเลนกิ ผู้ที่เสียชีวิตจากแผลกระสุนปืน เมื่อมีเฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่เหนือใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อช่วงหกโมงเช้าของวันพุธที่แล้ว (19 พ.ค.) ผมรู้ว่าไม่นานหลังจากนั้นทหารจะต้องบุกเข้าโจมตีแน่ ๆ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนกลัวว่าจะเกิดขึ้นมาหลายสัปดาห์แล้ว ผมสงสัยอยู่ว่ารัฐบาลจะยอมให้อะไร ๆ เลยเถิดมาขนาดนี้หรือไม่ มีผู้หญิงและเด็กมากมายในย่านของผู้ชุมนุมนี้ ทหารจะยอมเสี่ยงให้มีการนองเลือดจริงหรือ การประกาศ พรก. ฉุกเฉินฯ ได้รับชัยชนะมาตลอด 6 สัปดาห์ในเมืองหลวงของไทย โดยมีรัฐบาลรอยัลลิสท์ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และทหารที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่แล้วมาจากจังหวัดที่ยากจนทางตอนเหนือของไทย มีผู้เสียชีวิตราว 70 รายจากการต่อสู้บนท้องถนนและมากกว่า 1,700 รายได้รับบาดเจ็บ สื่อที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลอย่างบางกอกโพสท์เรียกเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่าเป็น "อนาธิปไตย" ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามบอกว่านี่คือ "สงครามกลางเมือง" พอถึงตอน 8 โมงเช้า ผมก็เข้ามาถึงในเขตสีแดง (Red Zone) ขนาดสามตารางกิโลเมตรรอบราชประสงค์ โดยมีทหารคอยล้อมอยู่ทุกทิศทาง ในวันนั้นก็เหมื่อนวันก่อนหน้านี้ที่สามารถเล็ดลอดเข้าไปในพื้นที่ชุมนุมได้โดยง่าย ซึ่งผมเคยเข้าไปก่อนหน้านี้แล้วหลายครั้งช่วงเดือนที่ผ่านมา เบื้องหลังแนวกั้นไม้ไผ่และล้อยางรถยนต์ กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงก็ตั้งเต้นท์และตั้งเวที แต่ในเช้าวันนั้นบรรยากาศแบบงานเฉลิมฉลองประชาปฏิวัติก็สูญสลายไป กำแพงไฟที่ก่อขึ้นจากการเผายางเป็นสิ่งที่กันผู้ชุมนุมออกจากทหาร กลุ่มควันหนาทึบลอยปกคลุมท้องถนนขณะที่ทหารค่อย ๆ เคลื่อนพลเข้ามาเรื่อย ๆ มีกระสุนพุ่งผ่านตามทาง เป็นสไนเปอร์ที่ยิงมาจากตึกสูงและจากทหารที่รุกคืบผ่านควันไฟ ส่วนพวกเราที่เป็นนักข่าวก็ต้องคอยหลบโดยกดตัวเองเข้ากับกำแพงเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยิง มีรถกระบะหน่วยพยาบาลแล่นอย่างรวดเร็วเพื่อพาตัวผู้ได้รับบาดเจ็บออกจากพื้นที่ไป "กลุ่มควันดำลอยอยู่ในอากาศ เราเห็นเพียงภาพราง ๆ ของอนุสาวรีย์ ท้องถนนกลายเป็นสมรภูมิ ก่อนหน้านี้ผมเคยนั่งอยู่หลังกำแพงเล็ก ๆ เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง เพื่อหลบห่ากระสุนของทหาร พวกเขายิงทันทีที่เห็นคนมีหนังสติ๊ก" "เขาบอกว่าต้องการให้ทักษิณกลับมา แต่มากกว่านั้นอดุลย์อยากให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ใช่แต่ชนชั้นนำที่มีอำนาจอีกต่อไป แต่มีการกระจายความมั่งคั่งไปสู่ส่วนอื่น" เมืองใหญ่ที่พังพาบ ในเย็นก่อนวันที่ 19 พวกเราเดินด้วยกันไปในเมืองจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด พวกเราเจอกันที่ถนนดินแดงใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยฯ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความภาคภูมิใจของไทยจากการขยายดินแดนเมื่อ 69 ปีที่แล้ว ในตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในใจกลางเมืองใหญ่ที่พังพาบ ที่แสดงให้เห็นว่าประเทศกำลังอยู่ในความวุ่นวาย กลุ่มควันดำลอยอยู่ในอากาศ เราเห็นเพียงภาพราง ๆ ของอนุสาวรีย์ ท้องถนนกลายเป็นสมรภูมิ ก่อนหน้านี้ผมเคยนั่งอยู่หลังกำแพงเล็ก ๆ เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง เพื่อหลบห่ากระสุนของทหาร พวกเขายิงทันทีที่เห็นคนมีหนังสติ๊ก ไม่ไกลจากที่ชุมนุมของเสื้อแดงมีวัดปทุมวนารามตั้งอยู่ ซึ่งได้จัดให้เป็นเขตปลอดภัยสำหรับเด็กและผู้หญิงในช่วงที่ทหารโจมตี ในที่นั้นเราได้พบกับอดุลย์ ชานตะวัน ผู้ชุมนุมต้านรัฐบาลอายุ 42 ปี จากหมู่บ้านแห่งหนึ่งในอิสาน ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวที่เริ่มมีกลุ่มต้านรัฐบาลขึ้นที่นั่น อดุลย์ บอกพวกเราว่าเขาทำงานเป็นแรงงานเก็บเกี่ยวข้าวและอ้อย ซึ่งได้เงินราว 150-200 บาทต่อวัน เขามาที่กรุงเทพตั้งแต่เริ่มชุมนุมเมื่อ 2 เดือนก่อน เขาบอกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ควรลาออกเพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและได้รับการสนับสนุนจากกองทัพที่ทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นฮีโร่ของคนจน เขาบอกว่าต้องการให้ทักษิณกลับมา แต่มากกว่านั้นอดุลย์อยากให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ใช่แต่ชนชั้นนำที่มีอำนาจอีกต่อไป แต่มีการกระจายความมั่งคั่งไปสู่ส่วนอื่น อดุลย์บอกไม่เคยคิดมาก่อนว่ารัฐบาลจะทำการปราบปรามประชาชนของตนเองอย่างเหี้ยมโหดขนาดนี้ เขาบอกว่าเขาพร้อมยอมสู้ตายเพื่ออุดมการณ์ของเขา "ซึ่งส่วนใหญ่แล้วพวกเขาไม่ได้ยึดถือทักษิณเป็นหลัก แต่พวกเขาเป็นห่วงเรื่องความอยุติธรรมในประเทศ มีหลายคนมากที่ฝันถึงการมีชีวิตในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่านี้ ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมรัฐบาลถึงบอกว่าเสื้อแดงถูกซื้อโดยทักษิณ ไม่มีใครยอมมาถูกยิงเพื่อเงินไม่กี่บาทหรอก" "ผมมองการต่อสู้ที่กำลังต่างกันและดูไร้เหตุผลนี้มาตลอดหลายวัน คนที่เป็นวัยรุ่นนั่งหลบอยู่หลังกระสอบทรายและยิงทหารด้วยหนังสติ๊กกับบั้งไฟ ทหารยิงกลับด้วยปืนลูกซองแบบปั้ม ปืนสไนเปอร์และปืน M-16" ฝันถึงการมีชีวิตในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่านี้ พอวันต่อมาเราตามหาอรุณ ก็ไม่เจอเขาอีก เกิดความโกลาหลไปทั่วทุกที่ ฟาบิโอ กับผมเห็นทหารอยู่หลังม่านควันกำลังเคลื่อนเข้ามาหาเราเรื่อย ๆ แล้วพวกเราก็ได้ยินเสียงปืนหลายนัดขึ้นเรื่อย ๆ มีสไนเปอร์จากอีกฟากหนึ่งของถนนกำลังเล็งเป้าพวกเรา การสังหารหมู่เริ่มขึ้นแล้ว ผมไม่กล้าออกไปไกลกว่านี้ แต่ฟาบิโอก็วิ่งออกไป ฝ่าข้ามถนนที่มีการยิงเป็นระยะทางราว 50 เมตร เพื่อหาที่หลบในเต็นท์กาชาดที่ถูกทิ้งร้าง นี่เป็นจุดเริ่มต้นของพื้นที่ปลอดคนที่ตั่งอยู่ระหว่างเรากับทหารที่รุกคืบเข้ามา ผมเห็นหมวกกันน็อคสีฟ้าของเขาที่เขียนว่า "สื่อ" (press) เขากำลังโบกมือบอกให้ผมไปหา แต่ที่นั่นดูอันตรายสำหรับผม ตั้งแต่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น ผมพบว่าทหารไทยนั้นดูเหมือนกองกำลังมือสมัครเล่น ถ้าพวกเขาสลายการชุมนุมบนท้องถนนแต่ช่วงต้น ๆ ความขัดแย้งก็คงไม่ขยายบานปลายขนาดนี้ พอทหารพยายามสลายการชุมนุม พวกเขาก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก พวกเขาใช้กระสุนจริงกับผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่แทบไม่มีอาวุธอะไรเลย ผมมองการต่อสู้ที่กำลังต่างกันและดูไร้เหตุผลนี้มาตลอดหลายวัน คนที่เป็นวัยรุ่นนั่งหลบอยู่หลังกระสอบทรายและยิงทหารด้วยหนังสติ๊กกับบั้งไฟ ทหารยิงกลับด้วยปืนลูกซองแบบปั้ม ปืนสไนเปอร์และปืน M-16 ในที่ชุมนุมของพวกเขา เสื้อแดงจัดแสดงภาพของเหยื่อที่ถูกยิงที่หัว พวกเขาต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่ามีสไนเปอร์จากที่สูงที่ยิงผู้ชุมนุม รวมถึงพล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล ทหารขบถที่เป็นคนที่สุดโต่งในหมู่ผู้ชุมนุม เขาก็ถูกยิงที่หัวในวันที่ 18 พ.ค. และเสียชีวิตไม่นานหลังจากนั้น รัฐบาลยังคงบอกว่าพวกเขาไม่ได้มีส่วนอะไรกับการ 'คิดบัญชี' และบอกว่าผู้ชุมนุมยิงกันเอง ซึ่งไม่จริงเลย มากกว่า 2 ปีที่ผ่านมาที่ผมรายงานเรื่องเสื้อแดง ผมแทบไม่เคยเห็นอาวุธปืนเลย ยกเว้นการ์ดบางคนเท่านั้นที่มีปืนลูกโม่ ในเช้านั้นมีทหารคนแรกฝ่าม่านควันมาได้ จากจุดที่ผมยืนอยู่มันยากจะเห็นอะไรได้ชัดเจน แต่คุณก็สามารถได้ยินเสียงปืนพุ่งผ่านอากาศได้ มันมาจากสไนเปอร์ที่เคลื่อนพลไปตามจุดต่าง ๆ จากอาคารหนึ่งไปอีกอาคารหนึ่ง มีบางคนที่ยืนอยู่เหนือหัวเราตรง ๆ ตอนนั้นผมไม่เห็นฟาบิโออีกแล้ว "ในช่วงเย็นวันนั้นรัฐบาลก็ออกมาควบคุมสถานการณ์ กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองโลกาวินาศ และเพื่อนผม ฟาบิโอ ก็เสียชีวิตลงแล้ว" เมื่อพวกเขายิงช่างภาพอิตาลี ในช่วง 11.53 น. ผมพยายามโทรหาฟาบิโอ โทรศัพท์ของเขาเข้าสู่การตอบรับอันโนมัติซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะสัญญาณที่นั่นติด ๆ ดับ ๆ ฝั่งตรงข้ามกับวัด หน้าโรงพยาบาลตำรวจ มีผู้สื่อข่าวจำนวนหนึ่งกำลังรอรถพยาบาลที่มาพร้อมกับผู้บาดเจ็บ มีพยาบาลคอยรับลงทะเบียนผู้บาดเจ็บบนบอร์ด พอถึง 12.07 น. ก็มีชื่อผู้ลงทะเบียนรับการรักษา 14 รายแล้ว ผู้สื่อข่าวต่างประเทศคนหนึ่งยืนอยู่ข้างผม เขาบอกว่ามีชาวอิตาเลี่ยนถูกยิง เข้าตรงที่หัวใจ ตั้งแต่ชั่วโมงกว่าที่แล้ว เขาบอกว่าเขาถ่ายภาพไว้และทราบชื่อว่า ฟาบิโอ โปเลนกิ ในช่วงบ่ายวันนั้นควันไฟพวยพุ่งอยู่เหนือเมือง เสื้อแดงที่กำลังหนีจุดไฟเผาทุกอย่าง ตั้งแต่ศูนย์การค้าเซนทรัลเวิร์ล ตลาดหลักทรัพย์ และโรงภาพยนตร์ Imax มีคนขโมยของในซูเปอร์มาร์เก็ตและตู้เอทีเอ็ม พอผมกลับถึงบ้านก็มีการเผายางรถตามท้องถนน ในช่วงเย็นวันนั้นรัฐบาลก็ออกมาควบคุมสถานการณ์ กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองโลกาวินาศ และเพื่อนผม ฟาบิโอ ก็เสียชีวิตลงแล้ว สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
นักข่าวพลเมือง : ผญบ.ปาแดกรือดะ บันนังสตา วอนคุ้มครองความปลอดภัยในการเดินทางแก่ชาวบ้าน Posted: 26 May 2010 03:56 AM PDT <!--break--> เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 53 ที่ผ่านมา นายมะแซมิง บือแน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ตำบลตลี่งชัน อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ได้ทำจดหมายร้องเรียน ความคุ้มครองความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่งผลผลิตทางการเกษตร ถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา โดยเนื้อหาของจดหมายร้องเรียนมีรายละเอียดดังนี้…
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
สนง.ทรัพย์สินฯ งดเก็บค่าเช่า 3 เดือน ครม.อนุมัติช่วยไฟไหม้ 5 หมื่นกู้ 1 ล้านไม่ต้องค้ำ Posted: 26 May 2010 02:47 AM PDT สนง.ทรัพย์สินฯ งดเก็บค่าเช่า 3 เดือน ช่วยผู้ค้า 5,573 ราย ในพื้นที่ที่ถูกกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุม ด้าน ครม.อนุมัติช่วยไฟไหม้ 5 หมื่นกู้ 1 ล้านไม่ต้องค้ำประกัน <!--break-->
สนง.ทรัพย์สินฯ งดเก็บค่าเช่า 3 เดือน ช่วยผู้ค้า 5,573 ราย นอกจากนี้ จะให้ความช่วยเหลือในการซ่อมแซมอาคารบริเวณภายนอกที่เสียหายให้กลับคืนสภาพเดิมโดยเร็วที่สุด ซึ่งมีสถานที่เช่าที่ได้รับความเสียหายรวม 58 แห่ง และหากสถานที่เช่าของผู้เช่ารายใดถูกเพลิงไหม้เสียหายจนใช้งานไม่ได้ ซึ่งตามปกติสัญญาเช่า จะถูกระงับลงทันที แต่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ สำนักงานทรัพย์สินฯ เห็นควรยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ โดยให้สิทธิคงไว้ตามสัญญาเช่าเดิม รวมทั้งจัดหาสถานที่ชั่วคราวให้ขายสินค้า ส่วนผู้เช่ารายใหญ่หรือที่มีสัญญาเช่าพิเศษ สำนักงานทรัพย์สินฯ จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นกรณี ทั้งนี้ สำนักงานทรัพย์สินฯ จะมีหนังสือแจ้งผู้เช่าทราบถึงความช่วยเหลือ และหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อโดยตรงได้ที่กองบริการลูกค้า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โทรศัพท์ 02-6873370-72 ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 8.00 – 16.00 น. ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคมนี้ เป็นต้นไป ทั้งนี้ที่ประชุม ครม.เมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สำนักงานจัดการทรัพย์สิจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์พิจารณาแนวทางการจัดหาสถานที่ค้าขายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ย่านราชประสงค์ สยามสแควร์ และย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ครม.ช่วยเบื้องต้นไฟไหม้ให้รายละ 5 หมื่น ร้านค้าให้กู้ 1 ล้านไม่ต้องค้ำประกัน 1.เงินช่วยเหลือเบื้องต้นจะมอบให้รายละ 5 หมื่นบาท ซึ่งเป็นไปตามที่มีการประชุมไปเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2.การช่วยเหลือเรื่องพื้นที่ค้าขายนั้นแบ่งเป็นกลุ่มแรก คือกลุ่มสยามสแควร์ นั้นทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เตรียมแผนการณ์รองรับไว้เรียบร้อยแล้ว โดยจะเปิดให้มีการขายชั่วคราว โดยมีสิ่งปลูกสร้างกึ่งชั่วคราว กึ่งถาวรในพื้นที่สยามสแควร์ ซึ่งมีระยะเวลาเป็นปี โดยรัฐบาลจะให้เงินสนับสนุนทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการทำอาคารนี้ขึ้นในพื้นที่ 2 ซอยของสยามสแควร์ ซึ่งจะทำให้ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่ต้องเก็บค่าเช่าจากผู้ค้าขาย ซึ่งเป็นข้อยุติที่ชัดเจน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในกลุ่มของเซ็นทรัลเวิลด์นั้นอยู่ในระหว่างการเจรจาว่าหากทางกลุ่มนี้ทั้งหมดจะย้ายไปขายที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ชั่วคราวเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยกลุ่มเซ็นทรัลฯ จะไปเจรจากับการรถไฟแห่งประเทศไทย ในเงื่อนไขที่จะให้เปิดขายเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งได้มอบหมายให้ทางกระทรวงคมนาคมไปดูเรื่องความเป็นไปได้ หากเป็นไปไม่ได้หรือตกลงกันไม่ได้ กลุ่มของเซ็นทรัลเวิลด์ และกลุ่มของเซ็นเตอร์วัน จะมีแนวทางที่รัฐบาลหรือ กทม.จะไปหาพื้นที่บริเวณใกล้เคียงแล้วใช้วิธีเดียวกับที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใช้แก้ปัญหาที่สยามสแควร์ น่าจะได้ข้อยุติที่ค่อนข้างเร็ว เพราะในช่วงบ่ายวันที่ 25 พฤษภาคม คณะกรรมการเยียวยาชุดที่มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่ได้รับการขยายมาดูแลเรื่องนี้ด้วยก็จะเร่งหาข้อยุติ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับการช่วยเหลือเรื่องเงินทุนนั้น มาตรการเดิมที่กระทรวงการคลังมีอยู่แล้วเรื่องการสนับสนุนเงินกู้ผ่านธนาคารเอสเอ็มอี ได้ปรับเงื่อนไขเรื่องการยืดเวลาเรื่องหนี้และเรื่องของดอกเบี้ย ที่จะเก็บในอัตราร้อยละ 3 โดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จะมาช่วยการชดเชยของรัฐบาลให้ดอกเบี้ยลงมาเหลือร้อยละ 3 กรณีที่ไม่มีหลักประกันเลย นอกจากนั้นเฉพาะกลุ่มที่ถูกไฟไหม้และไม่มีที่ค้าขายวงเงิน 1 ล้านบาทนั้น 3 แสนบาทแรกจะเป็นเงินกู้ที่ไม่มีดอกเบี้ยเลยและไม่ต้องชำระเงินต้นเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งจะเท่ากับว่ามีเงินทุน 3 แสนบาทไปทำงานได้อีก 1 ปี นายอภิสิทธ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ได้มอบหมายให้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปเปิดบัญชีสำหรับรับบริจาคจากประชาชนควบคู่ไปกับการกำหนดกฎเกณฑ์ ระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับการช่วยเหลือว่าผู้ที่เข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือนั้นจะเป็นใครอย่างไร ส่วนผู้ประกอบการที่มีปัญหาในเรื่องการค้าขายตลอด 2 เดือนตั้งแต่มีการชุมนุมที่เวทีผ่านฟ้าลีลาสเป็นต้นมานั้นได้มีการอนุมัติหลักการเรื่องการช่วยเหลือลูกจ้าง โดยคนที่ตกงานที่อยู่ในระบบประกันสังคมจะได้รับการช่วยเหลือจากระบบประกันสังคมอยู่แล้วและจะมีการจ่ายเงินสมทบอีกส่วนหนึ่งจากภาครัฐเป็นกรณีพิเศษ ส่วนในกรณีของบุคคลที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม นั้นจะได้รับเงินช่วยเหลือเช่นเดียวกับที่เราสมทบกลุ่มที่อยู่ในระบบประกันสังคม โดยจะมีการสอบทานตัวเลขครั้งสุดท้ายอีกครั้ง แต่เบื้องต้นน่าจะประมาณ 7,500 บาท ตามเกณฑ์ที่จะทำให้นำไปสู่การมีรายได้ขั้นต่ำ 15,000 บาท ส่วนของผู้ประกอบการณ์รายย่อยที่มีปัญหาต้องปิดกิจการหรือค้าขายไม่ได้ในช่วงการชุมนุม โดยรัฐบาลจะไปเจรจาให้ผู้ให้เช่าไม่เก็บค่าเช่า 1 เดือนแล้วรัฐบาลจะไปเจรจากับผู้ให้เช่าว่าจะชดเชยช่วยเหลือกันอย่างไร เมื่อถามถึงจำนวนเงินในแผนมาตรการการเยียวยา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่สามารถคำนวนได้ อย่างเรื่องค่าเช่า ค่าชดเชย ค่าเงินเดือนต่างๆ อย่างที่จุฬาลงกรณ์ก็ต้องใช้ประมาณ 90 ล้านบาท หรือเงินชดเชยเงินเดือนก็ประมาณ 400 ล้านบาท จึงต้องคำนวณและประเมินให้รอบคอบก่อน ปล่อยกู้ไม่เกิน 1 ล้านไม่ต้องมีหลักประกัน-คนค้ำประกัน ที่ประชุมได้เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์วงเงินปล่อยสินใหม่ เป็นวงเงินรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ไม่ต้องมีหลักประกันและผู้ค้ำประกัน ขยายระยะเวลาการชำระเงินต้น เพิ่มขึ้นจาก 1 ปี เป็น 3 ปี ส่วนระยะเวลาการกู้เงิน ขยายเพิ่มจาก 5 ปีเป็น 6 ปี โดยผู้ประกอบการที่ร้านค้าถูกเพลิงเผาไหม้จะได้รับการปลอดดอกเบี้ย 0% ในวงเงิน 300,000 บาทแรก เงินกู้ที่เหลือ 700,000 บาท จะเสียดอกเบี้ยต่ำในอัตรา 3% ส่วนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ แต่ร้านค้าไม่ได้ถูกเผาไหม้จะได้รับสิทธิการช่วยเหลือด้านสินเชื่อวงเงินเท่ากัน แต่คิดอัตราดอกเบี้ย 3% ของวงเงินกู้ทั้งก้อนคือ 1 ล้านบาท นายกรณ์ กล่าวว่า ส่วนข้อเสนอเรื่องการจัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้ประสบปัญหา ที่ประชุม ครม. ได้มอบหมายให้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พิจารณารายละเอียดเพิ่มเติม ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้ฝากข้อเสนอไว้ว่า หากมีการจัดตั้งกองทุนเกิดขึ้นจริง ผู้ที่บริจาคเงินเข้ามา สามารถนำไปใช้คำนวณเป็นค่าใช้จ่ายหักลดหย่อนภาษีส่วนบุคคลได้ ส่วนผู้ประกอบการที่ได้รับการคุ้มครองจากการประกันภัย และได้รับสินไหมทดแทน จะไม่ถูกหักภาษี เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับสิทธิการชดเชยอย่างเต็มที่ ส่วนการช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบ จะมีการสรุปรายละเอียดที่ชัดเจนอีกครั้ง โดยคณะกรรมการช่วยเหลือชุดที่มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เรียกประชุมใน ทั้งนี้เบื้องต้นที่ประชุม ครม.ได้เห็นชอบหลักการที่จะให้มีการจ่ายเงินสมทบเพิ่มเติมให้กับลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันตนที่ได้รับสิทธิการชดเชยการว่างงาน ตามกฎหมายของกระทรวงแรงงาน เดือนละประมาณ 7,500 บาท ไม่เกิน 6 เดือน เพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่ง อาทิ หากลูกจ้างได้รับสิทธิชดเชยจำนวน 1 เดือน ได้รับเงิน 7,500 บาท รัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบให้อีก 7,500 บาท ส่วนลูกจ้างที่อยู่นอกระบบประกันตนที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่งแผงลอยที่สูญเสียรายได้ก็จะได้รับสิทธิการขอรับความช่วยเหลือจำนวน 7,500 บาท เช่นกัน แต่ในส่วนการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการนำตัวเลขการจ่ายเงินเดือนพนักงานมาคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายหักลดหย่อยภาษี ได้ 2 เท่า ที่ประชุมไม่เห็นชอบ อย่างไรก็ตาม รายละเอียดการช่วยผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด ต้องรอฟังความชัดเจนจากคณะกรรมการฯ ชุดของนายกอร์ปศักดิ์ อีกครั้ง นายกรณ์ กล่าวว่า ส่วนการช่วยเหลือเรื่องประกันภัย ให้กับผู้ประกอบการ ที่ประชุม ได้มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัย (คปภ.) ไปพิจารณารายละเอียดมาเสนออีกครั้ง “ปณิธาน” ฟุ้งเอกชนติดต่อขอบริจาคเงิน 1. ถ้าสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจได้รับการฟื้นฟูโดยเร็ว เศรษฐกิจของประเทศจะฟื้นตัวตาม “นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้กำชับในที่ประชุมครม. ว่าจะต้องนำคนที่ไว้ใจได้มาเป็นผู้บริหารจัดการเงินช่วยเหลือก้อนนี้ เพื่อไม่ให้เป็นที่กังวลต่อสังคม และสามารถเดินหน้าบริหารจัดการได้เหมือนสมัยรัฐบาลพล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกฯ ที่มีระบบการบริหารจัดการที่ดี” นายปณิธานกล่าว ที่มา: เว็บไซต์ฐานเศรษฐกิจ, มติชนออนไลน์ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น