โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai.info

ประชาไท | Prachatai.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

สถานการณ์แดงในภูมิภาค พร้อมพื้นที่ประกาศเขตฉุกเฉินน้องใหม่ "กาฬสินธุ์-มุกดาหาร"

Posted: 19 May 2010 12:53 PM PDT

แดงกาฬสินธุ์ประกาศยุติความเป็นคนไทย ตั้งโต๊ะรับคืนบัตรประชาชนเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้เพื่อความสงบ ที่มุกดาหารฮือเผาศาลากลางทั้งเก่า-ใหม่ แดงเชียงใหม่เผารถดับเพลิงเทศบาล ยิ่งวุ่นหนักหลังประกาศเคอร์ฟิว ส่วนอุดรฯ ทหารส่งหน่วยลาดตระเวนเขตเทศบาล

<!--break-->

 

เสื้อแดงกาฬสินธุ์ ตั้งโต๊ะรับคืนบัตรประชาชน สัญลักษณ์ในการต่อสู้เพื่อความสงบ

เดลินิวส์: เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 19 พ.ค. กลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งยังปักหลักตั้งเป็นเวทีคู่ขนานพร้อมกันถึง 3 เวที ทั้งนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงนำโดย นายประภาส ยงคะวิสัย แกนนำคนเสื้อแดงกาฬสินธุ์ ยังได้รวบรวมบัตรประชาชนคนเสื้อแดง เพื่อไปมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยอ้างว่า เป็นการต่อสู้ในเชิงสัญลักษณ์ จากผลการล้อมปราบประชาชนของรัฐบาลทำให้คนเสื้อแดงไม่ยอมรับความเป็นไทย เพราะไม่มีความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ทั้งนี้ ยังได้เรียกร้องให้ทั่วประเทศคืนบัตรประชาชน เพื่อร่วมกดดันรัฐบาลในการปฏิเสธความเป็นคนไทย เชื่อว่าหากรัฐบาลยุติความรุนแรงประกาศนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาบริหารประเทศ ก็จะทำให้ประเทศชาติกลับสู่ภาวะปกติได้

สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่กาฬสินธุ์ ขณะนี้เริ่มมีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติมากขึ้น เนื่องจากมีรายงานว่า กลุ่มคนเสื้อแดงที่อยู่จังหวัดข้างเคียงได้ทยอยเดินทางเข้าไปสมทบกันที่ศาลากลางจังหวัดมากขึ้น และเจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ตรวจยึดยางรถยนต์จำนวน 50 เส้น และน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะเตรียมก่อเหตุ ทั้งนี้ ยังมีรายงานว่า ยังมีทหารจากจังหวัดข้างเคียงได้เริ่มทยอยเข้าไปดูแลความปลอดภัย และคาดว่า จังหวัดกาฬสินธุ์อาจจะถูกประกาศเป็นจังหวัด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต่อไปด้วย

 

เสื้อแดงมุกดาหารเผาศาลากลางทั้งเก่า-ใหม่

มติชน: เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 19 พฤษภาคม กลุ่มคนเสื้อแดงมุกดาหาร ได้รวมตัวกันประมาณ 300 คน ที่ประตูด้านทิศตะวันตกของศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร จากนั้นได้นำยางรถยนต์ที่เตรียมมาวางกองบนถนน 2 กอง แล้วได้จุดไฟเผา โดยมีคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งคอยกั้นเป็นกำแพงไม่ยอมให้รถดับเพลิงของเทศบาลเมืองมุกดาหารเข้าไปทำการดับไฟ

ขณะที่ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาสาสมัครรักษาดินแดน(อส.) เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่บริเวณด้านในศาลากลางจังหวัด หลังจากนั้นได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงขับขี่รถสามล้อรับจ้างบรรทุกยางรถยนต์เข้ามาสมทบกับผู้ชุมนุมแล้วได้รวมตัวกันบุกพังประตูศาลากลางจังหวัดแล้วนำยางรถยนต์ไปวางกองไว้ที่บริเวณประตูทางเข้าอาคารศาลากลาง

โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนประมาณ 30 นาย ยืนขวางประตูไม่ให้กลุ่มคนเสื้อแดงบุกเข้าไปด้านในอาคารศาลากลางทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมไม่พอใจและเรียกร้องให้นายบุญส่ง เตชะมณีสถิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ออกมาพบมิฉะนั้น จะเผาศาลากลางจังหวัด แต่นายบุญส่งไม่ออกมาพบกลุ่มผู้ชุมนุม จึงได้จุดไฟเผายางรถยนต์ที่เตรียมไว้ทำให้ควันและเปลวไฟพัดเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจจนต้องถอยร่นและสลายกำลังไป

จากนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงจึงได้นำยางรถยนต์ไปกองไว้รอบศาลากลางแล้วจุดไฟเผา ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงอีกส่วนหนึ่งได้เข้าไปปล่อยน้ำและลมยางรถดับเพลิงที่จอดเตรียมปฏิบัติงานบริเวณด้านข้างศาลากลางจำนวน 4 คัน จนทำให้รถไม่สามารถใช้ดับเพลิงได้

รวมทั้งได้ใช้ก้อนหินและไม้ขว้างใส่กระจกหน้าต่างของศาลากลางจนแตกและนำยางรถยนต์เผาแล้วโยนเข้าไปด้านในศาลากลาง และกลุ่มผู้ชุมนุมอีกส่วนหนึ่งได้นำขวดน้ำพลาสติกไปรองน้ำมันจากรถดับเพลิงที่จอดอยู่แล้วนำมาโยนเข้าไปในศาลากลาง 

ระหว่างนั้นได้มีรถดับเพลิงเทศบาลเมืองมุกดาหารวิ่งเข้ามาเพื่อจะดับไฟ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมเห็นและได้วิ่งกรูกันเข้ามาทุบกระจกรถทำให้เจ้าหน้าที่รถดับเพลิงต้องวิ่งออกจากรถไปจนทำให้ไม่สามารถที่จะดับเพลิงได้ ทำให้ยังคงมีไฟลุกไหม้อาคารศาลากลางอยู่ตลอดเวลา

จากนั้นกลุ่มเสื้อแดงได้ระดมใช้รถสามล้อรับจ้างและรถยนต์บรรทุกยางรถยนต์เข้ามาจุดเผาศาลากลางหลังใหม่ที่อยู่ด้านหลังของศาลากลางหลังใหม่ ระหว่างนั้น นายปรัชญา จินต์จันทรวงศ์ ปลัดจังหวัด เดินทางมาพยายามขอร้องกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ให้เผาศาลากลางหลังใหม่อีก แต่ไม่มีใครเชื่อฟังทั้งยังโห่ไล่

ต่อมาได้มีรถดับเพลิงวิ่งเข้ามาในศาลากลางเพื่อจะฉีดน้ำดับไฟแต่ก็ถูกกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าขัดขวางทุบกระจกรถจนไม่สามารถฉีดน้ำดับไฟได้ โดยกลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็นวัยรุ่นและชายฉกรรจ์ยังได้นำท่อนไม้ ก้อนหิน ขว้างเข้าใส่กระจกอาคารจนแตกกระจายแล้วจุดไฟใส่ยางรถยนต์แล้วโยนเข้าไปในอาคารสร้างความตื่นตกใจให้กับข้าราชการที่กำลังทำงานอยู่ในศาลากลางวิ่งหนีออกจากศาลากลางอย่างอลหม่าน

 

ทหารนำกำลังเข้าสลายเสื้อแดง จับได้ 9 คน

มติชน: ต่อมาเวลา 17.00 น. พ.อ.กฤต ผิวเงิน ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 3 จังหวัดสกลนคร พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร เดินทางมาถึงศาลากลาง จากนั้นได้สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองมุกดาหาร ชุดควบคุมฝูงชน ตชด. อส.จ.มุกดาหาร ตั้งแถวเดินเข้าหากุล่มคนเสื้อแดงจนเกิดการปะทะกันขึ้นปรากฏว่า กลุ่มคนเสื้อแดงสู้ไม่ได้จึงได้ล่าถอยออกไปจากศาลากลางแต่เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวไว้ได้ 9 คน

จากนั้นจึงได้มีการระดมรถดับเพลิงจากเทศบาลทั่วทั้งจังหวัดมุกดาหารเข้ามาทำการดับไฟจนกระทั่งเวลา 18.00 น. ไฟจึงได้สงบลงจากการตรวจสอบเบื้องต้นปรากฏว่าศาลากลางหลังเก่าสูง 3 ชั้น ซึ่งเป็นที่ตั้งส่วนราชการที่สำคัญ อาทิ สำนักงานคลังจังหวัด สรรพากรเขตพื้นที่ พัฒนาชุมชนจังหวัด ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง ส่วนศาลากลางหลังใหม่ซึ่งมีห้องทำงานผู้ว่าราชการจังหวัดอยู่บนชั้น 4 ถูกไฟลุกลามไหม้จนถึงชั้น 4 

ต่อมาได้มีการสนธิกำลังของเจ้าหน้าที่ออกตั้งด่านตรวจทุกเส้นทางที่จะเข้ามาในเขตเทศบาลเมืองมุกดาหารเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มคนเสื้อแดงเข้ามาสร้างสถานการณ์ได้อีก

 

เชียงใหม่ป่วน แดงเผารถดับเพลิงเทศบาล

เนชั่น: ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.50 น.กลุ่มเสื้อแดงที่ชุมนุมอยู่บริเวณจวนผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ ได้ก่อเหตุเผารถดับเพลิง 2 คัน ของเทศบาลนครเชียงใหม่ ที่มาจอดหน้าโรงเรียนเชียงใหม่คริสต์เตียน เชิงสะพานนวรัฐ เพื่อมาดับเพลิงที่กำลังลุกใหม่ยางรถยนต์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงนำมาวางและจุดไฟเผาบริเวณสี่แยกเชิงสะพานนวรัฐ ฝั่งด้านหน้าโบสถ์คริสต์จักรที่ 1 เชียงใหม่

เมื่อรถดับเพลิงมาถึง กลุ่มเสื้อแดงได้กรูกันลากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมาซ้อม ก่อนไปเปิดฝาน้ำมันรถนำน้ำมันออกมาราดที่ห้องเครื่องและจุดไฟเผา จนชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ระแวกนั้นต้องช่วยกันเขนรถดับเพลิงที่ถูกไฟไหม้ให้ออกห่างจากตัวอาคารของโรงเรียนเชียงใหม่คริสต์เตียนเพราะเกรงว่าจะลุกลามติดตัวอาคารและบ้านเรือนประชาชนบริเวณดังกว่า โดยรถดับเพลิงเสียหายเพราะถูกเพลิงไหม้แล้ว 1 คัน

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า มีรายงานว่ามีกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบปาระเบิดใส่ห้างบิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาดอนจั่น ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

18.50 น.กลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงได้เคลื่อนพลไปที่บริเวณร้านไก่ย่างวนิดารสเลิศ ติดกับมิตรภาพ เขตเทศบาลนครขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านของ นายวิเชียร คุณกิตติ พ่อของนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากนั้นมีแผนจะเคลื่อนไปที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ขอนแก่น

ขณะที่ พล.ต.ต.ศักดา เตชะเกรียงไกร รักษาการ ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น เตรียมหารือ นายปราโมทย์ สัจจรักษ์ ผู้ว่าฯ ขอนแก่น ถึงการประกาศเคอร์ฟิว หลังสถานการณ์รุนแรง 

 

เชียงใหม่วุ่นหลังประกาศเคอร์ฟิว

เนชั่น: เวลา 20.50 น. หลังผู้ว่าราชการจังหวัด ประกาศเคอร์ฟิวแล้ว มีผู้ไม่หวังดีจุดไฟเผาหญ้าแห้งสองฝั่งริมถนนสายเลียบทางรถไฟ (โลคอลโรด) ด้านหลังหมู่บ้านปาล์มสปริง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เพลิงได้ลุกไหม้หญ้าฝั่งซ้ายมือหากมุ่งหน้าจากตัวเมืองไปทางอำเภอสารภี จ.เชียงใหม่ เป็นแนวยาวกว่า 1 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ระดมรถน้ำเร่งดับเกรงไฟจะขยายวงกว้าง

ก่อนหน้านี้ 19.50 น.มวลชมเสื้อแดงขี่จักรยานยนต์ประมาณ 50 คัน ปาระเบิดเพลิงและก้อนหินเข้าใส่สำนักงานบริษัท เชียงใหม่ คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งตั้งอยู่บนถนนมหิดล ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นกิจการของ นายคะแนน สุภา พ่อตานายเนวิน ชิดชอบ ส่งผลให้กระจกสำนักงานดังกล่าวแตก แต่ไม่มีผู้บาดเจ็บ นอกจากนี้ยังนำยางรถยนต์ประมาณ 5 เส้นไปวางกองไว้ด้านนอกรั้ว พร้อมขวดน้ำมัน 1 ขวด แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจพบเห็นเข้าระงับเหตุได้ทัน กลุ่มเสื้อแดงพากันหลบหนีไปได้

 

ระดมตำรวจ 200 คุมเข้มศาลากลางอยุธยา

เนชั่น: 19.17 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผบก.ภ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย พ.ต.อ.กรเอก เพชรไชยเวส รองผบก.ภ.พระนครศรีอยุธยา ได้นำกำลังตำรวจปราบจลาจล 200 นาย ไปรักษาความปลอดภัยบริเวณศูนย์ราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมกับกำลัง อ.ส.อีก 50 นาย โดยกระจายกำลังอยู่รอบบริเวณศูนย์ราชการฯ มีรถดับเพลิงของเทศบาลเมืองอโยธยา รถปั่นไฟของสำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดฯ มาจอดเตรียมพร้อม

วันเดียวกันมีกลุ่มคนเสื้อแดง จำนวนกว่า 100 คนเดินทางมายังศูนย์ราชการ โดยเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้เข้าไปภายในศูนย์ราชการ ซึ่งตัวแทนของผู้ชุมนุมได้ยื่นหนังสือให้กับ พล.ต.ต.จารุวัฒน์ โดยเป็นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดทำร้ายประชาชน หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับไป โดยยังมีกำลังตำรวจกระจายกันอยู่รอบศูนย์ราชการ ท่ามกลางข่าวลือว่าจะมีมือมืดมาก่อเหตุร้ายในเวลากลางคืน ขณะที่ทางศูนย์การค้าอยุธยาพาร์ค ซึ่งอยู่ใกล้กับศูนย์ราชการ ก็มีกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจและ รปภ.ของศูนย์การค้ากระจายอยู่ทั่วบริเวณห้าง แต่ก็ยังไม่พบว่ามีเหตุร้ายแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รถดับเพลิงเทศบาลเมืองอโยธยา อ.พระนครศรีอยุธยา มาจอดเตรียมการเอาไว้อยู่ที่ด้านหลังศูนย์ราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมกับมีกำลังตำรวจ 200 นายกระจายอยู่ทั่ว เพื่อป้องกันเหตุร้าย 

 

ลำปางประกาศยกระดับพื้นที่เขตสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง

เนชั่น: นายศุภกิจ บุญญฤทธิพงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ในฐานะ ผอ.กอรม.จว.ลำปาง ได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 จ.ลำปางจึงได้ออกคำสั่งที่ 930/2553 ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ห้ามบุคคล กลุ่มบุคคล เข้าไปชุมนุมเรียกร้องในบริเวณศูนย์ราชการจังหวัดลำปาง ซึ่งได้กำหนดเป็นพื้นที่หวงห้ามตามแผนรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดลำปาง ตั้งแต่เวลา 06.00-24.00 น. 

และประกาศในพื้นที่จังหวัดลำปางเป็นพื้นที่ในเขตประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ห้ามการชุมนุมหรือมั่วสุม ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย กีดขวางการจราจร กีดขวางทางเข้าออกอาคารสถานที่ อันขัดขวางการปฏิบัติงาน หรือการใช้ชีวิตโดยปกติสุขของประชาชน ประทุษร้าย ใช้กำลังทำให้ประชาชนเดือดร้อน เสียหาย เกรงกลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตร่างกายทรัพย์สิน ขัดขืนคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งการเกี่ยวกับการชุมนุมเพื่อความสงบ ไม่เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชน ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย เผยแพร่ หนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หรือสิ่งอื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว เจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิด กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ห้ามใช้รถจักรยานยนต์ หรือยานพาหนะอื่นใด กระทำการก่อให้เกิดความไม่สงบ ยั่วยุ สร้างความปั่นป่วน ก่อให้เกิดความวุ่นวาย กีดขวางเส้นทางสาธารณะ ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ หรือการดำเนินชีวิตโดยปกติสุขของประชาชน ทั้งนี้ ผู้ใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

รายงานข่าวแจ้งว่า สถานการณ์โดยทั่วไปในจังหวัดลำปาง ยังมีความสงบเรียบร้อยเป็นปกติ โดยบริเวณศูนย์ราชการ ศาลากลางจังหวัดลำปาง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยตามปกติ แต่ได้เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มขึ้นเป็น 100 นาย ซึ่งในขณะนี้ ยังไม่มีสัญญาณที่บ่งบอกว่าจะมีเหตุความวุ่นวาย

 

เสื้อแดงเชียงราย ใช้รถยนต์-จักรยานยนต์ตระเวณทั่วเมือง 

INN: กลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดเชียงราย ประมาณ 100 คน นำรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ติดธงแดงและธงชาติ พร้อมรถติดเครื่องขยายเสียง ขับขี่รถไปทั่วเมืองเชียงราย โดยอ้างว่าเป็นการแสดงพลังของคนเสื้อแดงเชียงราย ที่ต้องการให้รัฐบาลยุติการใช้กำลังกับทางกลุ่มแดง กทม.และให้หยุดฆ่าประชาชน พร้อมกันนี้แจ้งว่ากลุ่มเสื้อแดงเชียงรายจะมีการเคลื่อนไหวอย่างอิสระ แต่จะไม่ก่อเหตุรุนแรง 

ขณะที่ พ.ต.อ.มงคล สัมภาวะผล ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย ในฐานะผู้ปฎิบัติประกอบกำลังตำรวจในเขต อ.เมืองเชียงราย หน่วยเฉพาะกิจรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดเชียงราย ตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของ ศอฉ. ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 10 กองร้อย เฝ้าระวังสถานที่ราชการ และธนาคารในเขตเทศบาลนครเชียงราย อย่างแน่นหนา และจะมีการตรวจเข้มในทุกแยกไฟแดงโดยรอบ จวนผู้ว่าราชการจังหวัด ศาลาจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ ฯลฯ

 

เชียงรายเร่งประกาศเขตเคอร์ฟิวส์ในพื้นที่

INN: นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ในฐานะผู้อำนวยการหน่วยกำลังจังหวัดเชียงราย หน่วยเฉพาะกิจรักษาความความสงบเรียบร้อย จังหวัดเชียงราย หรือ ( ฉก.รส.จว.ชร. )ตามประกาศ พรก.ในสถานการฉุกเฉิน ที่มีความร้ายแรง ได้มีคำสั่งด่วนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกสถานีตำรวจในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะเขตอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นผู้ปฎิบัติ ให้ออกประกาศประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนกลับเข้าในเคหะสถาน หลังจาก ศอฉ. ได้ประกาศตามให้จังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในจังหวัดที่ต้องประกาศเป็นเขต เคอร์ฟิว 

โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรถติดเครื่องขยายเสียงออกประชาสัมพันธ์ไปทั่วเมือง ให้ร้านค้า ร้านอาหาร สถานประกอบการต่างๆ ปิดทำการทันทีหลังจากประกาศฉบับนี้ เพื่อให้เป็นไปตามประกาศเคอร์ฟิวส์ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ซึ่งผู้ใดทำการฝ่าฝืนให้ดำเนินการจับกุมทันทีโดยอาศัยช่วงเวลา 20.00-06.00 น. 

พร้อมกันนี้ทางเจ้าหน้าที่ แจ้งว่า ในเวลาดังกล่าว จะมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ออกทำการลาดตระเวนในเขตตัวเมืองชั้นใน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย โดยจะใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยสูงสุด

 

เสื้อแดงขอนแก่นเผาศาลากลาง-สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที

มติชน: เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 19 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จังหวัดขอนแก่น ถือท่อนไม้และเหล็กได้บุกเข้ายึดศาลากลางจังหวัด โดยได้ใช้ตะไลยิงเข้าศาลากลางหลายนัดอย่างต่อเนื่องและได้กระจายตัวกันยึดด้านหน้า ชั้น 1 และชั้น 2  เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถควบคุมฝูงชนได้ หลังจากนั้นก็ได้จุดไฟเผาศาลากลาง หลังจากนั้นก็ได้เคลื่อนขบวนไปสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีและดำเนินการจุดไฟเผาด้วยเช่นกัน

 

แดงอุบลฯ 2 พันคน ล้อมศาลากลาง ก่อนเผาวอดทั้งหลัง

มติชน: ที่ จ.อุบลราชธานี กลุ่มคนเสื้อแดงบุกบ้านนายวิฑูรย์ นามบุตร และนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ โดยใช้บั้งไฟยิงใส่บ้านนายสุทัศน์ เพื่อประท้วงที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ปราบปรามกลุ่มม็อบเสื้อแดง จากนั้นผู้ชุมนุมได้บุกศาลากลางจังหวัด แต่ถูกเจ้าหน้าที่ใช้ปืนยิงสกัด ทำให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ 3 คน 

เวลา 13.40 น. กลุ่ม นปช.อุบลฯ ร่วม 2,000 คน บุกล้อมศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานีนำยางล้อรถยนต์ไปวางบริเวณที่ประตูทางเข้าศาลากลางทั้ง 4 ด้าน ซึ่งมีนายชวน ศิรินันท์พร ผู้ว่าราชการจังหวัด ตำรวจและทหาร รักษาการอยู่ด้านหน้าศาลากลางฯ ก่อนจะใช้รถบรรทุกบุกพังรั้วเข้าไปแต่มีเสียงปืนยิงโต้ตอบ จากนั้นมีผู้นำร่างหญิงสาว 1 รายถูกยิงบาดเจ็บออกมา ทำให้กลุ่ม นปช.เกิดอารมณ์โกรธแค้น ปลุกระดมผู้ชุมนุมนำน้ำมันและยางรถยนต์ไปเผาบริเวณตัวอาคารศาลากลางจังหวัด รวมทั้งบริเวณด้านหน้าสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลฯ

ขณะที่นายชวนต้องถอยร่นไปอยู่ที่บริเวณอาคารของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้ปิดล้อมศาลากลางประมาณ 2 ชั่วโมงจนไฟลุกไหม้ศาลากลางทั้งหลัง โดยไม่มีรถดับเพลิงเข้ามาทำการควบคุมเพลิง และยังไหม้อาคารสื่อสารรวม เสียหายไป 2 หลัง

ส่วนที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุกลุ่ม นปช.บุกเผาศาลากลาง 6 คน ถูกอาวุธปืนยิง สาหัส 2 คน ได้แก่ น.ส.สินีนาถ ชมพูถุงเทศ โดยยิงที่ขาหนีบ นายวิรา ประภา โดนยิงที่หน้าท้อง ได้รับการผ่าตัดและยังอยู่ในห้องไอซียู ส่วนอีก 4 คน ถูกอาวุธปืนและไม่สาหัส ได้แก่ นายระวี ดำริ นายจิระศักดิ์ พรมโมราช นายสหชล ศรีใส นายวิชัย ช่วงยศ

 

ทหารส่งหน่วยลาดตระเวน เขตเทศบาลอุดรฯ

กรุงเทพธุรกิจ: 20.45 น.วันที่19 พ.ค. หลังจากที่ ศอฉ.ประกาศเคอร์ฟิวในเขต จ.อุดรธานีทางศูนย์วิทยุของ มณฑลทหารบกที่.24 ได้แจ้งมายังศูนย์วิทยุร่มโพธิ์ทอง สภ.เมือง จ.อุดรธานี ว่า จะมีการส่งกำลังลาดตระเวนในพื้นที่เขตเทศบาลนครอุดรธานี โดยใช้รถจักรยานยนต์ 2 คันๆ ละ 2 นายและติดอาวุธปืนยาวออกลาดตระเวน จึงขอให้ระวัง อาจจะมีการเข้าใจผิด เกิดเหตุปะทะกันเอง

โดยก่อนหน้านี้เวลา18.00 น.กำลังทหารจากกรมทหารราบที่ 13 จากบน.23 และตำรวจชุดควบคุมฝูงชนได้เข้าสลายการชุมนุม และสามารถควบคุมตัวกลุ่มผู้ชุมนุมไว้ได้ 44 คนโดยได้นำตัวขึ้นรถบัส นำตัวไปสอบสวนภายใน มทบ.24 ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมแยกย้ายเดินทางกลับ

นายอำนาจผการัตน์ ผวจ.อุดรธานี กล่าวว่า ผู้ชุมนุมที่ถูกควบคุมตัวทั้ง 44 คนขณะนี้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกส่วน กำลังทำการสอบสวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อจะทำการจับกุมผู้ชุมนุมที่ร่วมก่อเหตุเผาศาลากลาง เทศบาลนครอุดรธานี รถดับเพลิง และรถอื่นๆ ของทางราชการ ที่คาดว่ายังมีอีกหลายรายที่ร่วมรู้เห็น

 

"มหาสารคาม"วุ่นหนัก เสื้อแดงฮือพยายามเผาที่ว่าการอำเภอ

มติชน: ผู้สื่อข่าวจากมหาสารคามรายงานเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมว่า กลุ่ม นปช.เสื้อแดงกว่า 100 คน ได้พากันชุมนุมกันอยุ่ที่ถนนด้านข้างที่ว่าการอำเภอเมืองมหาสารคาม ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นมาโดยไม่สนใจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการประกาศเคอฟิวส์แต่อย่างใด จากการสอบถามผู้ชุมนุมบอกว่ามาด้วยใจไม่มีแกนนำ 

ต่อมาในเวลา 22.30 น. ผู้ชุมนุมซึ่งใส่ชุดดำกว่า 10 คนสวมหมวกกันน๊อคและผ้าปิดหน้าสีดำได้ขี่จักรยานยนต์ส่งเสียงดังไปมาในที่ชุมนุมและพยายามจะรุมทำร้ายสื่อมวลชนที่ถ่ายภาพ ต่อมาได้มีการเผายางรถยนต์ที่บริเวณเกาะกลางถนน ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.เมือง ซึ่งรักษาการอยุ่ภายในรั้วที่ว่าการอำเภอเมือง พร้อมรถดับเพลิงได้ฉีดน้ำออกไปดับไฟทำให้กลุ่มผุ้ชุมนุมอยุ่แสดงอาการไม่พอใจ ได้พยายามจะปีนรั้วบุกเข้าไปข้างใน และมีการจุดบั้งไฟ ข้าวงก้อนหิน และปะทัดเข้าใส่เจ้าหน้าที่เสียงดังสนั่น 

เจ้าหน้าที่ตำรวจตอบโต้โดยยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าเป็นระยะๆ พร้อมกับประกาศขอร้องไม่ให้บุกเข้ามา แต่ผุ้ชุมนุมส่วนใหญ่อยู่ในอาการเมาสุราก็พยายามที่จะบุกเข้าไปให้ได้ ขณะเดียวกัน มีมือมืดแอบเข้าไปจุดไฟเผาอาคารชั้นเดียวหลังเล็กที่ไม่ได้ใช้งานซึ่งอยู่ด้านหลังใกล้หอประชุมที่ว่าการอำเภอเมือง เจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันดับไฟทำให้อาคารได้รับความเสียหายเล็กน้อย สถานการณ์ยังตรึงเครียด คาดว่าคืนนี้ไม่มีทีท่าจะสงบลงได้ง่าย

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สถานการณ์ฉุกเฉินและเคอร์ฟิวส์ 24 จังหวัดทั่วไทย

Posted: 19 May 2010 12:38 PM PDT

ศอฉ.ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และประกาศห้ามออกนอกเคหะสถานตั้งแต่ 20.00 น. ถึง 6.00 น. ใน 24 จังหวัดทั่วไทย

<!--break-->

24 จังหวัดภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน และประกาศห้ามออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิวส์) (ศอฉ. ประกาศเพิ่มเติมเมื่อ 19 พ.ค. 53)

เมื่อวานนี้ (19 พ.ค.) ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ออกประกาศกฎหมายว่าด้วยการจำกัดสิทธิส่วนบุคคล โดยนายกรัฐมนตรี ได้ออกข้อกำหนดต่อไปนี้ 1. ห้ามมิให้บุคคลใดในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ออกนอกเคหะสถานตั้งแต่เวลา 20.00 น. วันที่ 19 พ.ค.53 ถึงเวลา 06.00 น. วันที่ 20 พ.ค.53

2.ให้พนักงานและเจ้าหน้าที่ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ปฏิบัติหน้าที่ในเขตพื้นที่ และระยะเวลาที่กำหนด และ 3. ให้ประชาชนที่อยู่ในเขตพื้นที่กลับเข้าสู่เคหะสถาน และไม่ออกมายังพื้นที่ที่กำหนด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ และได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการศอฉ.กำหนดพื้นที่ และรายละเอียดเพิ่มเติมตามสมควรแก่เหตุ

นอกจากนี้ยังได้ออกประกาศเคอร์ฟิวเพิ่มในจังหวัดที่ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นอกเหนือจาก กทม.ไดัแก่ นครปฐม ชลบุรี นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ขอนแก่น อุดรธานี ชัยภูมิ นครราชสีมา ศรีสะเกษ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน ลำปาง นครสวรรค์ กาฬสินธุ์ มุกดาหาร หนองบัวลำภู ร้อยเอ็ด สกลนคร อุบลราชธานี และมหาสารคาม รวม 24 จังหวัดทั่วประเทศ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

มท. สั่ง 38 จังหวัดจัดม็อบชนในพื้นที่เสื้อแดง

Posted: 19 May 2010 10:29 AM PDT

<!--break-->

19 พ.ค.  เว็บไซต์ไทยรัฐ รายงานว่า ศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงมหาดไทย (ศปก.มท.) รายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงในส่วนภูมิภาค สรุปได้ดังนี้ 1.เชียงราย 320 คน 2.อุตรดิตถ์ 200 คน 3.ขอนแก่น 1,020 คน 4.มุกดาหาร 700 คน 5.อุดรธานี 400 คน 6.ชัยภูมิ 20 คน 7.อุบลราชธานี 200 คน 8.นนทบุรี 500 คน 9.ชลบุรี 250 คน 10.เพชรบูรณ์ 30 คน 11.แพร่ 20 คน 12.ลำพูน 120 คน 13.พิษณุโลก 40 คน 14.เชียงราย 80 คน 15.กาฬสินธุ์ 100 คน 16.ยโสธร 250 คน 17.อำนาจเจริญ 100 คน 18.สกลนคร 150 คน 19.หนองคาย 200 คน 20.เลย 120 คน 21.จันทบุรี 50 คน 22.ลพบุรี 100 คน 

โดยผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด 38 จังหวัด ที่เป็นพื้นที่ที่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง โดยระบุว่า หากมีสถานการณ์การรวมตัวของนปช.ในพื้นที่ ให้จัดมวลชนแสดงพลังต่อต้านเพื่อความชอบธรรม และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และให้ดูแลสถานที่ราชการโดยเคร่งครัดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกรณีที่จะมีการเผาหรือสร้างความเสียหายต่อสถานที่ราชการ ให้บันทึกภาพเคลื่อนไหวและภาพนิ่งไว้เพื่อเป็นหลักฐาน และให้ผวจ.ทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุมในพื้นที่ว่า แกนนำผู้ชุมนุมได้ยุติการชุมนุมและเข้ามอบตัวแล้ว ขอให้ผู้ชุมนุมทำการชุมนุมโดยสงบ

 

................................
ที่มา : เว็บไซต์ไทยรัฐ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รัฐจะเอา "สงคราม" หรือ "สันติภาพ"

Posted: 19 May 2010 09:51 AM PDT

<!--break-->

การเข้าสลายการชุมนุมโดยอาศัยวาทกรรม เข้ากระชับวงล้อม ในวันที่19 พ.ค. 2553 นั้นหมายถึงการล้อมปราบ เหมือนเหตุการณ์ความรุนแรง ของรัฐเผด็จการ ในยุค 6 ตุลา 2519 เพราะราชประสงค์คือใจกลางเมืองหลวงสมัยใหม่ การที่แกนนำได้ยื่นข้อเรียกร้อง จะเข้ามอบตัวกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ของ นายจตุพร พรหมพันธ์ หนึ่งในแกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน เป็นสัญญาณในการแสวงหาการยุติความรุนแรงที่มีการเข้ามาขอกระชับวงล้อม ของ ศอฉ ซึ่งน่าจะทำให้บรรยากาศการใช้อาวุธของทหารลดลง หรือน่าจะทำให้ทหารกลับถอยร่นลงไปเพื่อเข้าสู่แนวทางการประนอมการต่อสู้ เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียของประชาชน หากมีการเกลี้ยกล่อมของหน่วยสันติวิธีของรัฐบาล ซึ่งในเมืองไทยยังไม่เคยนำมาใช้กับผู้ชุมนุมทางการเมืองเพื่อลดอุณหภูมิของผู้เป็นเดือดเป็นแค้นอยู่ในขณะนั้นให้ตั้งสติเพื่อ กำหนดท่าทีของผู้ชุมนุมได้

แต่ ศอฉ กลับเลือกปฏิบัติในแนวทางเข้าสลายปราบปรามอย่างต่อเนื่อง จะอ้างว่าเพราะผู้ชุมนุมมีอาวุธร้ายแรงนั้นเป็นเรื่องยิ่งทำให้เข้าใจว่า ศอฉ และทหาร คิดต่อผู้ชุมนุมว่าเป็น "ศัตรู" แทนที่จะเข้าใจว่าอาจจะเป็น "ผู้หลงผิด" เหมือนกับที่ให้พื้นที่ในการกลับใจ และช่วยให้เปิดทางการเจรจาต่อผู้ชุมนุมด้วย ดังนั้นการก่อการจราจลทั่วประเทศนั้น มีการเผาทำลายทรัพย์สิน27 แห่งทั่วประเทศ เพราะการเลือกใช้วิธีการที่ผิด ของ ศอฉ ไม่มีการลดลาวาศอกต่อผู้ชุมนุม ทำให้เรื่องปานปลายใหญ่โตยากที่จะควบคุมได้

และการที่ ศอฉ ประกาศเคอร์ฟิว หรือ การห้ามออกจากเคหสถาน หรือ เคอร์ฟิว (ฝรั่งเศส: couvre feu, อังกฤษ: curfew) หมายถึง คำสั่งของรัฐบาลให้ประชาชนกลับเคหสถานก่อนเวลาที่กำหนด อีกนัยหนึ่งคือการห้ามประชาชนออกจากเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด (มักเป็นเวลากลางคืน) ซึ่งเป็นการกำหนดขึ้นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือให้ความสะดวกต่อการปราบปรามกลุ่มเป้าหมาย

คำว่า "เคอร์ฟิว" หรือ การกำหนดเงื่อนเวลา นั้นยิ่งสร้างบรรยากาศ ศึกสงคราม ซึ่งเป็นวิธีการที่หาทางเยียวยาอาการป่วยของสังคมด้วยยาแรงนี้ ถ้าหาย คือ หาย ถ้า ไม่หาย ยิ่งมีผลกระทบมหาศาล และอาจเป็นไปได้ว่าแม้จะหายต่ออาการเจ็บป่วย แต่มีผลข้างเคียงแน่ๆ

ศอฉ. กับบทบาท บนเส้นทางการรักษาความสงบเรียบร้อยให้คืนกลับมานั้น โดยที่ยังมิได้ประเมินถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นและนี่เป็นครั้งแรกในเหตุการณ์การก่อการจราจลใหญ่ทั่วประเทศ ซื่งมุมมองที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ต่อ สังคมและประเทศชาตินั้น นับวันจะนำไปสู่สิ่งที่ไม่คาดฝัน หรือ อันตรายอาจจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ไม่ทราบได้ เราคงไม่อยากให้เมืองกรุงเทพฟ้าอมร เป็นดังสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเริ่มมีนักรัฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตกันให้แซด หากเรื่องของเรื่องนั้นมีรัฐบาลเป็นตัวสำคัญของเรื่อง การจะกล่าวถึงต้นตอของเหตุหนึ่งของปัญหา คือ การยุบสภา นั้นนับว่ายังเป็นยาดีที่จะแก้ปัญหาได้ตรงจุด ดังนั้นหากรัฐบาลสามารถพิจารณาในการตั้งต้นยุบสภา แลกำหนดการเลือกตั้ง ทางออกในการแก้วิกฤตในขณะนี้จึงเป็นโอกาสที่รัฐบาลจะทำคะแนนและสร้างความเป็นธรรมกับสังคม ประเทศชาติ

และสามารถทำให้ความโกธรแค้นของผู้ชุมนุมจางไปได้มาก จนนำไปสู่ความสงบสุขและสันติภาพ มาสร้างสันติภาพกันเถิด ดีกว่าเห็นสภาพสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด ดังนั้นกระแสทางคิดการรัฐประหารมันคือการเข้าสู่สงครามรอบใหม่และอาจสุดทางการปิดประเทศ รัฐ มีทางเลือกสองทาง คือ จะเอาสงคราม หรือ สันติภาพ

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักศึกษา-ประชาชนไทยในฝรั่งเศสวอนรัฐยุติการใช้กำลัง

Posted: 19 May 2010 09:31 AM PDT

<!--break-->

กลุ่มนักเรียนไทยและผู้พำนักอยู่ในฝรั่งเศส
เรื่อง ประกาศแสดงจุดยืน และเรียกร้องให้มีการยุติการใช้กำลัง

จากเหตุการณ์การปราบปรามผู้ชุมนุม กลุ่มคนเสื้อแดงที่ดำเนินมาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2553 โดยการนำของรัฐบาลและศูนย์อำนวยการการแก้ไขในสภาวะฉุกเฉิน (ศอฉ.) เราในฐานะนักเรียนไทยและผู้พำนักอยู่ในยุโรปได้ติดตามข่าวความเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นระยะ เรารู้สึกเสียใจและสลดใจ กับการทำร้ายทำลายชีวิตของคนไทยด้วยกันเอง จนถึงบัดนี้ ตามรายงานของศูนย์เอราวัณ มีผู้เสียชิวิตแล้ว 24 คน และได้รับบาดเจ็บ 160 คน ซึ่งมีทั้งผู้ชุมนุม และพลเรือน รวมถึงชาวต่างชาติ มาตรการทางทหารของรัฐบาลที่รุนแรงขึ้น ไม่ได้ก่อให้เกิดผลในทางที่ดี แต่ยิ่งทำให้เกิดความแตกแยกบาดลึกลงในสังคมมากลงไปอีก

เรายังเชื่อมั่นว่า แม้รัฐจะสามารถสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงได้ในขณะนี้ แต่ความคิดและแนวทางของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นจะยังคงอยู่ การใช้กำลังทางทหารไม่ใช้การแก้ปัญหาที่ถาวร ยิ่งจะทำให้เกิดความเกลียดชังกันมากชึ้นในสังคม ดังจะเห็นได้จากการที่ กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับคนเสื้อแดง มีการแสดงออกอย่างชัดเจนว่ารู้สึก -สะใจ- กับการเสียชีวิตของผู้ชุมนุม นั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงความแตกแยกของผู้คน โดยลึมไปว่า สุดท้ายแล้วเรานั้น ล้วนเป็น คนไทย ด้วยกัน

เราในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ขอแสดงจุดยืน ในการไม่ใช้กำลัง แล้วยกเลิกการใช้กระสุนจริง เราเชื่อว่า การแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีของทุกๆฝ่าย ทั้งรัฐบาลและกลุ่มคนเสื้อแดง ยังสามารถนำกลับมาใช้ได้ การเปิดเจรจา หรือวิธีการอันจะไม่ก่อให้เกิดความรุนแรงต่อทุกๆฝ่าย ยังมีโอกาสนำมาใช้เสมอ เราขอเรียกร้อง หยุดการใช้กำลังจากทุกฝ่ายที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตประชาชน ทั้งผู้บริสุทธิ์ เจ้าหน้าทีของรัฐ และกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อที่จะไม่ให้มีการสูญเสียชีวิตคนไทยด้วยกันไปมากกว่านี้
ลงชื่อ

1. นายภูมินทร์ บุตรอินทร์ นักศึกษา ปริญญาเอก สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีส สอง
2. คุณศิรเวท ศุขเนตร  Vice Honorary Consul of Consulat de Monaco
3. นายสุนทร แสงค้า นักเรียนวิศวกร Ecole Nationale Supérieure des Arts et Métiers
4. นายสุคนธ์ ปันอิน นักศึกษา BTS. Hôtellerie et Tourisme
5. นายสราวุฒิ ไชยนอก นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยี DUT Gestion Logistique et Transport IUT Alençon
6. นางสาวอรพรรณ ศรีวิพัฒน์ นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยี DUT GENIE CHIMIQUE ET GENIE DES PROCEDES
7. นางสาว เบญจพิศ นาเมืองรักษ์ นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยี  DUT Génie chimique génie des procédés
8. Madame Géraldine Marques, French Arts et Métiers ParisTech engineer in Thailand
9. นายศรัญญู ลิมป์วรอมร L3 Science pour l'ingénieur, Marseille, France
10. นางสาว วรัญญา ช่างแช่ม  นักเรียน Administration Economique et Sociale, France
11. นายบรรพต รสจันทน์ นักศึกษา ระดับ L3 Science pour l'ingénieur, มหาวิทยาลัย Marseille, France
12. นายเอกภพ เหมือนทิม  นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยี le Havre
13. นางสาวสุนิสา ชัยพร้อม นักศึกษา Administration Economiques et Sociale, มหาวิทยาลัย Lyon
14. นายวรเชษฐ์ อุทธา นักศึกษา L3 Informatique, มหาวิทยาลัย Marseille II
15. นายดุษฎี บุพการีพร นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยี IUT de Montpellier มหาวิทยาลัย Montpellier 2
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

30 องค์กรออกแถลงการณ์ “ยุบสภา” ยังเป็นแนวทางแก้วิกฤตการเมือง

Posted: 19 May 2010 09:14 AM PDT

<!--break-->

แถลงการณ์ “ยุบสภา”  ยังเป็นแนวทางแก้วิกฤตการเมือง
“รัฐประหาร”  ไม่ใช่ทางออก

 
โศกนาฎกรรมทางสังคมการเมืองไทยในครั้งนี้  มีแนวโน้มจะนำสู่ระบอบอำนาจนิยมเผด็จการสมบูรณ์เบ็ดเสร็จมากขึ้น ที่รัฐจะมีอำนาจเหนือประชาชนในทุกอณูของชีวิต  ประชาชนจะไร้ซึ่งสิทธิเสรีภาพพื้นฐาน อย่างที่ไม่ควรจะเป็น     ความขัดแย้งทางการเมือง  ก็จะทวีความรุนแรงจนยากที่จะเยียวยา ตราบใดที่สังคมไทยไม่หันมาทบทวนมูลเหตุรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในรอบสี่ปีที่ผ่านมา
 
เรา กลุ่ม องค์กรและเครือข่ายประชาธิปไตย   มีความคิดเห็นและข้อเรียกร้อง
 
1. เราขอยืนยันว่า การยุบสภา คืนอำนาจอธิปไตย  ยังคงเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤตการเมืองในครั้งนี้ ตามระบอบประชาธิปไตย  เพื่อแก้ไขปัญหาทางการมืองอย่างสันติวิธี  และประชาชนทุกสีทุกกลุ่มล้วนแต่มี “หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง” ในการเลือกผู้แทน ผู้บริหารปกครองประเทศ  อย่างมีวาระที่แน่นอนไม่ใช่ระบบผูกขาดอำนาจ    และเป็นระบบที่เคารพเสียงส่วนใหญ่ไม่ละเมิดเสียงส่วนน้อย   ประชาธิปไตยยังเป็นระบอบที่มีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลผู้บริหารผู้ปกครองประเทศได้อย่างเสรี   เป็นระบบที่ให้เสรีภาพกับสื่อ   เคารพสิทธิพื้นฐานของประชาชน  ตลอดทั้งเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
2. ความขัดแย้งทางการเมืองในครั้งนี้   ซึ่งได้นำความรุนแรงมาสู่สังคมไทยมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย  มีผู้สูญเสียชีวิตและบาดเจ็บในหลายครั้งหลายเหตุการณ์ เช่น  10  เมษายน  และ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สังคมไทยจึงควรร่วมกันเรียกร้องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ   สหประชาชาติ   เข้ามาดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งปวง เพื่อความโปร่งใส  อิสระ  เป็นกลาง และเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย  ตามหลักการ “ผู้กระทำผิด ต้องถูกลงโทษ”   “ ฆาตรกร  ต้องไม่ลอยนวล”
3. ความขัดแย้งทางการเมืองในครั้งนี้ สังคมไทยต้องร่วมกันเรียกร้องไม่ให้กองทัพฉวยโอกาสกระทำการรัฐประหาร ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ครั้งนี้ไม่ต่างจากการรัฐประหารต่อเนื่องจาก 19 กันยายน 2549 ก็ตาม  เนื่องเพราะรัฐประหารจะทำให้ปัญหาทางการเมืองมีความวิกฤตมากยิ่งขึ้น และไม่ใช่การแก้ไขปัญหาตามระบอบประชาธิปไตย แต่กลับทำให้สังคมไทยเป็นเผด็จการอำนาจนิยมมากยิ่งขึ้น
 
1.  เครือข่ายองค์กรชุมชนแก้ปัญหาที่ดินภาคอีสาน  (คอป.อ.)
2.  เครือข่ายองค์กรชาวบ้านอนุรักษ์น้ำเซิน  (คอซ.)
3.  เครือข่ายองค์กรชาวบ้านลุ่มน้ำปาว (คอป.)
4.  เครือข่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภูค้อ-ภูกระแต  จังหวัดเลย
5.  เครือข่ายคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน (คอส.)
6.  แนวร่วมเกษตรกรภาคอีสาน (นกส.)
7.  เครือข่ายคนรุ่นใหม่ลุ่มน้ำโขง  จังหวัดอุบลราชธานี
8.  กลุ่มสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมอีสาน (กสส.)
9.  กลุ่มดงมูลเพื่อการพัฒนา  จังหวัดกาฬสินธุ์
10. เครือข่ายอนุรักษ์ภูผาเหล็ก  จังหวัดอุดรธานี
11. กลุ่มภูพานเพื่อการพัฒนา  จังหวัดสกลนคร
12. เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน  จังหวัดชัยภูมิ
13. กลุ่มประชาชนไทยแวงน้อย-แวงใหญ่  จังหวัดขอนแก่น
14. กลุ่มเยาวชนมิตรภาพ  จังหวัดขอนแก่น
15. กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์น้ำพรมตอนต้น  จังหวัดชัยภูมิ
16. กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์ลุ่มน้ำบัง  จังหวัดนครพนม
17. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ยโสธร  จังหวัดยโสธร
18. สหพันธ์เยาวชนอีสาน (สยส.)
19. แนวร่วมเกษตรกรภาคเหนือ (นกน.)
20. ชมรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือตอนล่าง
21. เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมพู  จังหวัดพิษณุโลก
22. เครือข่ายส่งเสริมสิทธิการจัดการทรัพยากรภาคเหนือตอนล่าง (คสปล.)
23. สหพันธ์เยาวชนคลองเตย (สยค.)
24. เครือข่ายองค์กรชุมชนคลองเตย
25. เครือข่ายชุมชนเมืองบ่อนไก่ กทม.
26. กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ
27. เครือข่ายอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนเขลาโคก  จังหวัดร้อยเอ็ด
28. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านนางรอง  จังหวัดบุรีรัมย์ 
29. กลุ่มคนรุ่นใหม่ภาคใต้
30. กลุ่มนักศึกษาภาคเหนือเพื่อประชาธิปไตย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เสียงหวนไห้ ในวันสลายการชุมนุม 19 พ.ค.

Posted: 19 May 2010 09:07 AM PDT

<!--break-->

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘มาร์ค’ มั่นใจฝ่าปัญหาได้ ให้กำลังใจจนท. ดีเอสไอขู่วางเพลิง-ก่อการร้ายโทษประหาร

Posted: 19 May 2010 08:20 AM PDT

<!--break-->

22.00 น. ขอรายงานให้ทราบเหตุการณ์ตลอดทั้งวัน 2-3 วันที่ผ่านมา หลังศอฉ.มีมาตรการกระชับวงล้อมพื้นที่ชุมนุม ได้เกิดปฏิกริยาจากกลุ่มผู้ชุมนุม ผู้ก่อการร้าย เกิดเหตุการณ์วางเพลิง ปิดเส้นทางการจราจรหลายจุด ดังนั้น เป้าหมายของรัฐบาลให้เหตุการณ์ต่างๆ ยุติลงโดยเร็ว จึงตัดสินใจกระชับวงล้อมในช่วงเช้าตรู่ เจ้าหน้าที่ยังยึดหลักปฏิบัติสากล ต่อมาช่วงบ่าย แกนนำตัดสินใจยุติการชุมน เข้ามอบตัว เจ้าหน้าที่เดินหน้าอำนวยความสะดวกให้ประชาชนกลับภูมิลำเนา ตรวจพื้นที่ต่างๆ พบอาวุธจำนวนมาก

การยุติการชุมนุมทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ผู้ชุมนุมบ้าง ที่สำคัญ กลุ่มใช้อาวุธก่อการร้ายได้เดินหน้าสร้างความวุ่นวายความปั่นป่วน โดยเฉพาะการวางเพลิง เจ้าหน้าที่เร่งแก้ไขสถานการณ์ หลายจุดยังมีผู้มีอาวุธใช้อาวุธต่อผู้ที่จะเข้าไปช่วยเหลือ ทั้งการดับเพลิง ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ ขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทุกส่วนไม่ลดละความพยายามระงับเหตุ บางพื้นที่ที่ยังไม่เรียบร้อยก็พยายามคุ้มกันคนเข้าไปช่วยเหลือประชาชน ขอถือโอกาสนี้เป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะหน่วยดับเพลิงที่ต้องใช้ความกล้าหาญในหลายโอกาส และเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สะดวกมากขึ้นเราจึงจำเป็นต้องประกาศเคอร์ฟิวที่อาจกระทบกับประชาชนในการเดินทางบ้าง มาตรการนี้มีความจำเป็น ขอความร่วมมือกับประชาชนซึ่งส่วนใหญ่ปรารถนาจะเห็นความสงบสุขของบ้านเมือง
ศอฉ.กำลังดูแลผลกระทบต่างๆ และการเฝ้าระวังในคืนนี้ ได้กำชับตำรวจทุกพื้นที่ เฝ้าระวังสถานที่ที่อาจตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย ขณะเดียวกันพื้นที่ราชประสงค์ยังมีผู้ชุมนุมตกค้างจำนวนหนึ่ง มีการจัดทำแผนต่างๆ ในการส่งคนเหล่านี้สู่ภูมิลำเนาในวันพรุ่งนี้ ทั้งหมดเป้าหมายเดียวคือ นำความสงบสุขกลับคืนสู่บ้านเมือง บุคคลที่วางเพลิงจะมีโทษหนักและเชื่อมโยงกับการก่อการร้ายด้วย ขณะเดียวกันขอความร่วมมือกับประชาชนคือ ให้ความร่วมมือกับมาตรการที่ศอฉ.ประกาศ, หนทางในการระงับเหตุคือการประชาชนเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ ขอให้เฝ้าระวังตลอดทั้งคืนเท่าที่จะทำได้ ขอให้สบายใจว่ารัฐบาลมีความมั่นใจและแน่วแน่ว่าจะฝ่าฝันปัญหาต่างๆ ไปได้ นำบ้านเมืองสู่ความสงบ และฟื้นฟูบ้านเมืองต่อไปได้
ต่อมานายธาริต เพ็งดิษ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ขณะนี้มีกลุ่มบุคคลหนึ่งก่อเหตุวางเพลิง ซ้ำเติมความรุนแรงให้มากยิ่งขึ้น ดีเอสไอขอเรียนให้ผู้กระทำความผิดได้ทราบว่า ความผิดที่ทำไปแล้วหรือกำลังจะทำ ไม่ว่าฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ หรือการก่อการร้ายก็ตาม ทั้งสองความผิดนี้มีโทษรุนแรงมากถึงประหารชีวิต และสองฐานความผิดมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ขอเตือนผู้กำลังคิดทำสิ่งไม่ดีให้หยุดยั้งการกระทำ ที่สำคัญ ทหาร ตำรวจ ที่กำลังคลี่คลายสถานการณ์ หากพบคนร้ายวางเพลิงเผาทรัพย์ ปล้นสะดมภ์ จำเป็นต้องใช้อาวุธปืนสกัดกั้น ป้องกัน ขอให้ท่านได้เตือนญาติพี่น้อง แม้จะไปร่วมชุมนุมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด แล้วร่วมวางเพลิงเผาทรัพย์สถานที่ราชการ ก็ถือเป็นการร่วมกันทำความผิด ต้องรับโทษหนักด้วย
พ.ต.อ.ทรงพล วัฒนชัย รองโฆษก บชน.กล่าวว่า นายกฯ ได้กำชับ สตช. ระดมกำลังตั้งด่านตรวจป้องกันการก่อเหตุร้าย โดยใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด อีกเรื่องหนึ่งได้รับมอบหมายให้ สตช.นำมวลชนที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับบ้าน สตช.จะเตรียมรถไว้บริการที่สตช. ขณะนี้กำลังวางแผนอำนวยความสะดวก
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แพทย์ รพ.มงกุฎเผยมี 9 ศพในวัดปทุม

Posted: 19 May 2010 07:48 AM PDT

<!--break-->

 

22.55 น. ทีวีไทยสัมภาษณ์ นพ.ปิยลาภ วสุวัต ศัลยแพทย์กองอุบัติเหตุ รพ.พระมงกุฎ กล่าวว่า ที่วัดปทุมวนาราม มีผู้บาดเจ็บเจ็ดราย สมัครใจออกมารับการรักษาห้าราย ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากกาชาดว่ามีศพเก้าราย ยังเข้าไปเคลื่อนย้ายศพไม่ได้

22.50น. แหล่งข่าวรายงานว่า มีผู้เสียชีวิต 6 ศพ ห่อด้วยเสื่อวางอยู่ในศาลาวัด ขณะมีพระสงฆ์สวด โดยหนึ่งในนั้นเป็นเพศหญิง และมีผู้ระบุว่าเป็นหน่วยกาชาดที่อยู่ด้านวัดปทุมฯ ชื่อ 'เกด' อายุ 20 ปีเศษ ขณะนี้กำลังตามหาญาติ ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ถูกยิงแต่ไม่สามารถระบุได้ว่าโดนที่ส่วนใดเนื่องจากมีเสื่อห่อศพไว้

 

ศูนย์เอราวัณสรุปยอดเสียชีวิต 43 ราย เจ็บ 365 ราย
20.00น. ศูนย์เอราวัณสรุปข้อมูลตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. 53 ถึงเวลา 20.00น. มีผู้บาดเจ็บ 365 ราย เสียชีวิต 43 ราย
(เป็นพลเรือน 39 ราย ทหาร 2 นาย ชาวต่างชาติ 2 ราย) รวมทั้งหมด 408 ราย รับรักษาในหอผู้ป่วยทั่วไปจำนวน 111 ราย ห้อง ICU 15 ราย รับยากลับบ้าน 220 ราย (อยู่ระหว่างรอผลตรวจที่ รพ.ตำรวจ 14 ราย)

โดยแบ่งเป็นตั้งแต่วันที่ 14 จนถึงเวลา 15.00น.ของ 17 พ.ค. 53 (ซึ่ง ศอฉ.ประกาศให้ออกจากพื้นที่) มีผู้บาดเจ็บ 256 ราย เสียชีวิต 35 ราย รวมทั้งหมด 291 ราย (มีชาวต่างชาติบาดเจ็บ 7 ราย)

สรุปข้อมูลหลังเวลา 15.00น. ของวันที่ 17 จนถึงเวลา 06.00น. 19 พ.ค. 53 มีผู้บาดเจ็บ 51 ราย เสียชีวิต 2 ราย รวมทั้งหมด 53 ราย

สรุปข้อมูลวันที่ 19 พ.ค. 53 ตั้งแต่เวลา 06.01-ปัจจุบัน มีผู้บาดเจ็บ 58 ราย เสียชีวิต 6 ราย รวมทั้งหมด 64 ราย (เป็นชาวต่างชาติบาดเจ็บ 2 ราย ชาวแคนาดา 1 ราย ไม่ทราบสัญชาติ 1 และเสียชีวิต 1 รายชาวอิตาลี)

 

ลำดับ ชื่อ นามสกุล อายุ โรงพยาบาล ข้าราชการ/พลเรือน
1 นายเสน่ห์ นิลเหลือง 48 รพ.กล้วยน้ำไท1 พลเรือน
2 นายอินแปลง เทศวงศ์ 32 รพ.กล้วยน้ำไท1 พลเรือน
3 นายประจวบ ศิลาพันธ์ รพ.ตำรวจ พลเรือน
4 นายปิยะพงษ์ กิติวงศ์ 32 รพ.ตำรวจ พลเรือน
5 นายสมศักดิ์ ศิลารักษ์ 28 รพ.ตำรวจ พลเรือน
6 น.ส.สันทนา สรรพศรี 32 รพ.พญาไท 1 พลเรือน
7 ชายไทยไม่ทราบชื่อ รพ.พญาไท 1 พลเรือน
8 นายพัน คำกอง รพ.พญาไท 1 พลเรือน
9 นายมนูญ ท่าลาด 40 รพ. พญาไท 1 พลเรือน
10 นายชัยยันต์ วรรณจักร 20 รพ.พระมงกุฏเกล้า พลเรือน
11 ชายไทยไม่ทราบชื่อ รพ.ราชวิถี พลเรือน
12 นายธันวา วงศ์ศิริ 26 รพ.ราชวิถี พลเรือน
13 นายกิตติพันธ์ ขันทอง 26 รพ.ราชวิถี พลเรือน
14 นายทิพเนตร เจียมพล 32 รพ.ราชวิถี พลเรือน
15 นายสรไกร ศรีเมืองปุน 34 รพ.ราชวิถี พลเรือน
16 นายบุญทิ้ง ปานศิลา 25 รพ.รามาธิบดี พลเรือน
17 นายสุภชีพ จุลทรรศน์ 36 รพ.ราชวิถี พลเรือน
18 นายมานะ แสงประเสริฐศรี 25 รพ.เลิดสิน พลเรือน
19 นายอำพล ชื่นสี 25 รพ.รามาธิบดี พลเรือน
20 นายสมพันธ์ ศรีเทพ 25 รพ.รามาธิบดี พลเรือน
21 นายอุทัย อรอินทร์ 35 รพ.รามาธิบดี พลเรือน
22 ชายไม่ทราบชื่อ รพ.พญาไท 1 พลเรือน
23 นายวารินทร์ วงศ์สนิท 28 รพ.ราชวิถี พลเรือน
24 นายพรสวรรค์ นาคะไชย 23 รพ.เลิดสิน พลเรือน
25 นายสมชาย พระสุพรรณ 43 รพ.เลิดสิน พลเรือน
26 ชายไทยไม่ทราบชื่อ รพเจริญกรุงฯ พลเรือน
27 นายประจวบ ประจวบสุข 42 รพ.เจริญกรุงฯ พลเรือน
28 นายเกรียงไกร เลื่อนไธสง 25 รพ.เลิดสิน พลเรือน
29 นายวงศกร แปลงศรี 40 รพ.เลิดสิน พลเรือน
30 นายสุพรรณ ทุมทอง 49 รพ.รามาธิบดี พลเรือน
32 ชายไทยไม่ทราบชื่อ รพ.กล้วยน้ำไท1 พลเรือน
33 นายเฉลียว ดีรื่นรัมย์ 27 รพ.กล้วยน้ำไท1 พลเรือน
34 จ่าอากาศเอกพงศ์ชลิต พิทยานนทกาญจน์ 31 รพ.กรุงเทพคริสเตียน ทหาร
35 นายสุพจน์ ยะทิมา 37 รพ.ตำรวจ พลเรือน
36 นายสมพาน หลวงชม 35 รพ.ทหารผ่านศึก พลเรือน
37 นายออง ลวิน หรือมูฮัมหมัด อาลี 35 รพ.ทหารผ่านศึก ชาวพม่า
38 Mr.Polenchi Fadio รพ.ตำรวจ ชาวอิตาลี
39 นายถวิล คำมูล 36 รพ.รามาธิบดี พลเรือน
40 หญิงไม่ทราบชื่อ รพ.ราชวิถี พลเรือน
41 ชายไทยไม่ทราบชื่อ รพ.รามาธิบดี พลเรือน
42 นายธนโชติ ชุ่มเย็น รพ.ตำรวจ พลเรือน
43 ส.อ.อนุสิทธิ์ จันทร์แสนคอ 44 รพ.จุฬาฯ ทหาร

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เชียงใหม่: เกิดเหตุเผายางรถยนต์และสิ่งของหน้าสถานที่สำคัญหลายจุด

Posted: 19 May 2010 07:08 AM PDT

เกิดเหตุเผาสิ่งของและยางรถยนต์หลายจุดที่เชียงใหม่ มีการเผารถดับเพลิงที่เชิงสะพานนวรัฐได้ 2 คัน ขณะที่มีผู้เผาทำลายป้อมยามและประตูหน้าบ้านพักปลัดจังหวัดเชียงใหม่ และเกิดเหตุปาขวดน้ำมันและยางรถยนต์ใส่บริษัทพ่อตาเนวิน พร้อมจุดไฟ แต่ดับเพลิงได้ทัน

<!--break-->

คนเสื้อแดงกลุ่ม นปช.เชียงใหม่ ตั้งเวทีปราศรัยที่ลานจอดรถสถานีรถไฟเชียงใหม่ แกนนำปราศรัยเรียกร้องไม่ให้ผู้ชุมนุมไปเผาสิ่งของที่ไหน ขอให้มารวมกันฟังการปราศรัยที่นี่หากไม่เห็นด้วยกับการปราบปรามของทหาร และว่าถ้ามีคนเผาสิ่งของให้ตำรวจดำเนินคดีได้เลยเพราะไม่ใช่คนของกลุ่ม

ทหารประจำการที่หน้าธนาคารทหารไทย สาขาสันป่าข่อย ถ.เจริญเมือง เมื่อ 19 พ.ค. หลังเกิดเหตุมีผู้เผายางรถยนต์ด้านหน้าธนาคาร แต่ไม่มีความเสียหายกับอาคาร

ผู้สนับสนุนคนเสื้อแดง เผาสิ่งของและยางรถยนต์บริเวณเชิงสะพานนวรัฐ เมื่อ 19 พ.ค.

มีผู้เขียนข้อความบริภาษทหารและรัฐบาลหลายข้อความที่สะพานนวรัฐ

ผู้สนับสนุนคนเสื้อแดงเผารถดับเพลิง 2 คัน ที่เข้ามาใกล้เชิงสะพานนวรัฐ เมื่อ 19 พ.ค.

ทหารประจำการบริเวณบ้านพักปลัดจังหวัดเชียงใหม่ เชิงสะพานนวรัฐ หลังเกิดเหตุมีผู้เผายางรถยนต์ ประตู ป้อมยาม และโรงจอดรถของบ้านปลัดจังหวัด

ทหารประจำการบริเวณบ้านพักปลัดจังหวัดเชียงใหม่ เชิงสะพานนวรัฐ หลังเกิดเหตุมีผู้เผายางรถยนต์ ประตู ป้อมยาม และโรงจอดรถของบ้านปลัดจังหวัด

ภาพจากสะพานนวรัฐ ควันไฟที่เห็นเบื้องหน้าเกิดจากการเผารถดับเพลิง 2 คั

สัญญาณไฟจราจร บริเวณสี่แยกใกล้พุทธสถาน ถ.ท่าแพ จ.เชียงใหม่ ถูกทุบเสียหาย

 

ประชาชนที่สัญจรผ่าน ถ.ท่าแพ มุงดูซากกองยางรถยนต์ที่ถูกเผาเหลือแต่เถ้า บริเวณสี่แยกเชิงสะพานนวรัฐ ด้านพุทธสถาน เมื่อ 19 พ.ค.

ทหารและตำรวจพร้อมอาวุธปืนสงคราม โล่ และกระบองสนธิกำลังจาก ถ.ท่าแพ บริเวณวัดอุปคุตเดินมุ่งหน้ามาทางพุทธสถาน และบ้านพักปลัดจังหวัดเพื่อคุมสถานการณ์

ทหารยืนประจำการที่สะพานนวรัฐ ขณะที่เพลิงกำลังลุกไหม้รถดับเพลิง 2 คัน

หลังแนวทหารที่เชิงสะพานนวรัฐ ด้านบ้านพักปลัดจังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏว่าเกิดเหตุเผายางรถยนต์ที่สุดถนนท่าแพ ด้านหน้าของลานประตูท่าแพ โดยขณะที่มีการเผายางรถยนต์ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารเข้ามาคุมสถานการณ์ มีเพียงพนักงานร้านกาแฟบริเวณนั้นได้นำอุปกรณ์ดับเพลิงเข้ามาดับเพลิงแต่ไม่สำเร็จ ต้องรอให้เพลิงจากยางรถยนต์มอดไปเอง

 

วันนี้ (19 พ.ค. 53) ที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อเวลา 17.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากลุ่มผู้สนับสนุนคนเสื้อแดง ไม่ทราบสังกัด ได้นำยางรถยนต์มาจุดเผาไฟบริเวณหน้าธนาคารทหารไทย สาขาสันป่าข่อย ถ.เจริญเมือง ขณะนี้ยางรถยนต์ถูกเผามอดหมดแล้วเหลือแต่เถ้า ขณะที่มีทหารพร้อมอาวุธปืนประจำกาย 15 นาย มายืนรักษาการณ์แล้ว

ขณะที่เชิงสะพานนวรัฐ ฝั่ง ร.ร.เชียงใหม่คริสเตียนมีการเผายางรถยนต์ สิ่งของ และสิ่งกีดขวาง นอกจากนี้มีผู้จุดไฟเผารถดับเพลิงสองของเทศบาลนครเชียงใหม่ที่เข้ามาดับเพลิงบริเวณเชิงสะพานดังกล่าว โดยซากรถดับเพลิงจอดอยู่ใกล้กับ ร.ร.เชียงใหม่คริสเตียน

ขณะที่บริเวณสะพานมีข้อความบริภาษทหารและรัฐบาลหลายข้อความ ส่วนเชิงสะพานนวรัฐ ฝั่งจวนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่มีการเผายางรถยนต์ตรงสี่แยกตรงข้ามพุทธสถาน และทำลายสัญญาณไฟจราจร ตรงเชิงสะพานนวรัฐ ใกล้พุทธสถานอีก 1 แห่ง ขณะที่บ้านพักปลัดจังหวัดเชียงใหม่ถูกจุดไฟเผาประตูหน้าและป้อมยามได้รับความเสียหาย นอกจากนี้มีรายงานว่าที่จอดรถของบ้านพักปลัดจังหวัดก็ถูกเผาด้วยแต่ขณะนี้ทหารได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์บริเวณบ้านพักปลัดจังหวัดและเชิงสะพานนวรัฐแล้ว

ล่าสุดเวลา 19.00 น. มีรายงานว่ามีผู้ขับขี่รถจักรยายนต์หลายสิบคัน มาวนรอบลานประตูท่าแพ และต่อมาจุดไฟเผายางรถยนต์ 2 เส้นตรงสุด ถ.ท่าแพ ต่อกับลานประตูท่าแพ โดยผู้ก่อเหตุเมื่อจุดไฟเผาแล้ว ได้หลบหนีไป

ขณะที่ นปช.เชียงใหม่ ที่สถานีรถไฟผู้นำการชุมนุมประกาศในช่วงเย็นว่าได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจในเชียงใหม่แล้วว่าผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่นี่จะไม่ไปก่อเหตุที่ไหนแต่ขอให้มาชุมนุมแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการปราบปรามของทหารที่นี่และประกาศว่าถ้าพบใครก่อเหตุขอให้ตำรวจจับกุมได้เลย

นอกจากนี้ในเชียงใหม่ยังมีผู้ชุมนุม นปช. กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ชุมนุมอีก 1 จุด บริเวณสถานีวิทยุชุมชนของกลุ่มหลังวัดพระสิงห์ โดยมีการรักษาความปลอดภัยของการ์ดอย่างแน่นหนา และมีการนำไม้ไผ่และยางรถยนต์มาวางเป็นแนวป้องกัน

ขณะที่ ทยรัฐออนไลน์ รายงานว่ามีผู้ขับรถจักรยานยนต์ประมาณ 30 คัน บรรทุกยางรถยนต์และใช้น้ำมันบรรจุขวดเครื่องดื่ม ขว้างเข้าใส่บริษัท เชียงใหม่คอนสตรัคชั่น จำกัด ถ.มหิดล ต.สุเทพ อ.เมือง ซึ่งเป็นบริษัทของนายคะแนน สุภา มหาเศรษฐีเมืองเชียงใหม่ พ่อตาของนายเนวิน ชิดชอบ ทำให้กระจกบานใหญ่หน้าบริษัทแตกเสียหายหมดและเกิดเพลิงลุกไหม้ แต่โชคดีที่นายคะแนนและคนในบ้านทราบเรื่องการบุกเผา จึงเตรียมเครื่องมือดับเพลิงดับได้ทัน ซึ่งนายคะแนนให้สัมภาษณ์เพียงสั้นๆ ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมาตนไม่เกี่ยวข้องและไม่เคยเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตนเป็นคนเชียงใหม่ก็ต้องรักเชียงใหม่

อย่างไรก็ตามตำรวจได้นำกำลังเข้าดูแลความปลอดภัย เพื่อป้องกันเหตุจะเกิดขึ้นซ้ำสอง ส่วนในตัวเมืองเชียงใหม่ ยังเกิดเหตุลงมือเผายางรถยนต์ตามจุดต่างๆ ในตัวเมืองเชียงใหม่ ตำรวจร่วมกับฝ่ายทหารจัดกำลังรถจักรยานยนต์เคลื่อนที่เร็วพร้อมทั้งอาวุธ ตามไล่ล่าและป้องกันเหตุ

มีรายงานด้วยว่ามีการทุบทำลายทรัพย์สินของธนาคารกรุงเทพฯ ในตัวเมืองเชียงใหม่ด้วย แต่เบื้องต้นข่าวนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วัดปทุมฯ-สตช. ผู้ชุมนุมหลายพันติดค้าง 6-9 ศพในวัด เป็นหญิงหน่วยพยาบาล1

Posted: 19 May 2010 06:26 AM PDT

<!--break-->

 
18 พ.ค.53 20.20 น. แหล่งข่าวจากภายในวัดปทุมวนารามรายงานว่า ยังมีผู้ชุมนุมติดอยู่ภายในวัดประมาณ 1,000 กว่าคน มีเด็กและผู้หญิงบางส่วน มีคนแก่จำนวนมาก  ขณะนี้บรรยากาศในวัดค่อนข้างเงียบสงบ หลังจากเสียงปะทะกันสิ้นสุดไปเมื่อเวลาราว 19.00 น. ขณะนี้พระสงฆ์กำลังสวดมนต์ พระในวัดได้ทำข้าวต้มแจกผู้ชุมนุมแต่ปริมาณไม่พอ และยังคงขาดแคลนน้ำ ประกอบกับปัญหาควันจากเพลิงไหม้ตึกเซ็นทรัลเวิรลด์ค่อนข้างหนาแน่น  และสัญญาณโทรศัพท์ยังถูกตัดเป็นช่วงๆ ในช่วงเย็นยังพบเห็นผู้สื่อข่าวเพียง 5-6 คนเป็นชาวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมทั้งหมดได้เคลื่อนย้ายจากบริเวณหน้าวัดมาอยู่หลังวัดซึ่งเป็นเขตที่อยู่สงฆ์หมดแล้ว เนื่องจากเมื่อช่วยเย็นมีวัยรุ่นถูกยิงหน้าวัด 2 คน และถูกหามเข้ามาปฐมพยาบาลภายในวัด คนหนึ่งถูกยิงที่ขา อีกคนหนึ่งไม่มีรายงาน ขณะนี้ไม่ทราบว่าไปรักษาตัวที่ใด  และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอื่นๆ อีก 3-4 คน ผู้ชุมนุมเล่าว่าเป็นการยิงมาจากมุมสูง
เขากล่าวอีกว่า นอกจากนี้ภายในวัดยังเต็มไปด้วยข่าวลือ และความหวาดระแวงไม่ไว้ใจกัน เนื่องจากผู้ชุมนุมเชื่อว่าผู้ที่อยู่ในวัดมีทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ และฝ่ายรัฐบาลคอยหาข่าวอยู่ด้วย อีกทั้งการ์ดนปช.ยังขาดผู้นำ และเกิดความเห็นขัดแย้งกัน กลุ่มหนึ่งต้องการนำผู้ชุมนุมออกทางด้านหลังขณะที่กลุ่มหนึ่งเห็นว่าอยู่ภายในวัดปลอดภัยกว่า ขณะนี้ผู้ติดค้างเริ่มจับกลุ่มคุยกัน บางส่วนหาที่พักผ่อน ทั้งนี้ พระสงฆ์ได้เตือนผู้ชายไม่ให้ใส่เสื้อสีดำ เกรงว่าจะได้รับอันตราย

21.00 น. รายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ ศอฉ. ได้ขอให้เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม อนุญาตให้นำเด็กที่ปลบภัยอยู่ในวัดออกเพื่อเปิดทางให้เข้าเคลียพื้นที่ เจ้าอาวาสปฏิเสธ และยืนยันว่า ขณะนี้ทุกคนปลอดภัยอยู่แล้วในวัด

ด้านมาร์ค แมคคินนอน ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ทวีตในเวลาประมาณ 20.28 ว่า - เจ้าหน้าที่พยาบาลบอกว่า มี 7 คนเสียชีวิต 10 คนบาดเจ็บ ภายในวัดปทุมฯ ซึ่งควรจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คาดว่าตอนนี้คนประมาณ 1,500 - 2,000 คน ที่ตกอยู่ในความหวาดกลัว

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวภายในวัดปทุมฯ ระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 6 ศพ ห่อด้วยเสื่อวางอยู่ในศาลาวัด ขณะมีพระสงฆ์สวด โดยหนึ่งในนั้นเป็นเพศหญิง และมีผู้ระบุว่าเป็นหน่วยพยาบาลที่อยู่ด้านวัดปทุมฯ ชื่อ 'เกด' อายุ 20 ปีเศษ ขณะนี้กำลังตามหาญาติ ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ถูกยิงแต่ไม่สามารถระบุได้ว่าโดนที่ส่วนใดเนื่องจากมีเสื่อห่อศพไว้

ขณะที่เมื่อเวลา 22.55 น. ทีวีไทยสัมภาษณ์ นพ.ปิยลาภ วสุวัต ศัลยแพทย์กองอุบัติเหตุ รพ.พระมงกุฎ กล่าวว่า ที่วัดปทุมวนาราม มีผู้บาดเจ็บ 7 ราย สมัครใจออกมารับการรักษา 5 ราย ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากกาชาดว่ามีศพ 9 ราย ยังเข้าไปเคลื่อนย้ายศพไม่ได้

19.45 จากทวิตเตอร์ของมาร์ค แมคคินนอน ระบุ อย่างน้อย 5 บาดเจ็บอยู่รอบตัว ซึ่งเป็นจุดปฏิบัติการของหน่วยพยาบาลในสวนหลังวัดปทุมฯ หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อน,เพื่อนร่วมงาน..ยังคงมีการยิงต่อเนื่อง

ขณะที่ผู้ชุมนุมคนหนึ่งแจ้งว่า มีผู้ติดอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกราว 2,000 คน ซึ่งมีทั้งผู้หญิง เด็ก และคนแก่ ส่วนใหญ่จากภาคอีสานและภาคเหนือ ซึ่งเป็นกลุ่มที่หนีตายมาจากเหตุระเบิดและจลาจลตรงแยกราชประสงค์พากันปีนรั้วเข้าไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 50 นายคอยดูแลให้พักที่โรงยิม และต้มมาม่า รวมทั้งนำน้ำดื่มมาให้ผู้ชุมนุม สำหรับเสียงระเบิดและเสียงปืนนั้นสิ้นสุดลงประมาณ 18.00 น. นอกจากนี้ตำรวจยังแจ้งว่าพรุ่งนี้เช้าจะจัดรถของตำรวจนำผู้ชุมนุมไปส่งสถานีขนส่งหรือไม่ก็ภูมิลำเนา อย่างไรก็ตามผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ยังคงมีความกังวลว่ารัฐจะไม่นำไปส่งบ้านจริง เกรงจะได้รับอันตราย

อนึ่ง ในช่วงบ่ายถึงเย็นของวันนี้ที่เปิดโอกาสให้ผู้ชุมนุมเดินทางออกมาขึ้นรถที่ทางการจัดไว้จัดส่งที่บริเวณสนามศุภฯ นั้นมีผู้ที่สามารถออกมาขึ้นรถได้ราว 300-400 คนเท่านั้น เนื่องจากเดินออกมาก่อนที่จะเกิดเหตุวุ่นวายขึ้น แต่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ยังต้องหลบอยู่ตามสถานที่ต่างๆ บริเวณแยกราชประสงค์ เพราะยังคงมีเสียงปืน เสียงระเบิดอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถฝ่าออกมาได้

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วิดีโอคลิป: บรรยากาศราชประสงค์ หลังเส้นตายบ่ายสาม 17 พ.ค. ความสงบครั้งสุดท้ายก่อนจลาจล

Posted: 19 May 2010 06:15 AM PDT

<!--break-->

17 พ.ค. 53 ศอฉ. ประกาศเส้นตาย 15.00 น. ให้ผู้ชุมนุมออกจากที่ชุมนุมมีการติดต่อรับผู้หญิง เด็ก คนชรา คนป่วย หรือผู้ประสงค์จะยุติการชุมนุมออกจากพื้นที่

ก่อนที่จะมีการกระชับพื้นที่อย่างเข้มข้นหลังบ่ายสามโมง เราเดินสำรวจและพูดคุยกับผู้คนที่อยู่ในนั้นซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ ยอมละจากราชประสงค์ นี่เ็ป็นบรรยากาศความสงบครั้งสุดท้ายในบริเวณดังกล่าว

ก่อนที่ในวันรุ่งขึ้นทหารหลายกองร้อยพร้อมอาวุธครบมือ ได้เคลื่อนรถลำเลียงพลเข้าปิดล้อมและสลายการชุมนุม แกนนำประกาศมอบตัว ขอร้องให้ประชาชนสลายตัว แต่ได้รับการปฏิเสธ และเกิดเหตุจลาจลขึ้นหลายจุดทั่วประเทศ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เกษียร เตชะพีระ: ‘ในคืนวันอันมืดมิด’

Posted: 19 May 2010 06:14 AM PDT

<!--break-->

                         แถวรถเกราะขับเคลื่อนเกลื่อนถนน           แถวทหารชุมพลเดินดาหน้า
                กระบอกปืนยื่นยาวจ่อเข้ามา                                เสียงปืนแตกน้ำตาและความตาย
                ตาคู่นี้ไหวหวั่นสั่นสะท้าน                                      ตาคู่นั้นแดงฉานโฉดกระหาย
                ตาคู่นี้ปวดร้าวและเสียดาย                                   ตาคู่นั้นโหดร้ายและเลือดเย็น
                ปากถูกปิดเอ่ยอ้อนเสียงวอนขอ                          ปากที่สั่งเมินต่อความทุกข์เข็ญ
                ปากถูกปิดทวงถามตามประเด็น                           ปากที่สั่งกลับเห็นเป็นวุ่นวาย
                มือหยาบกร้านอานทุกข์จึงลุกสู้                            มือกุมปืนยื่นขู่ข้อกฎหมาย
                มือหยาบกร้านแค้นข้นจนลืมตาย                         มือกุมปืนส่องส่ายจะเหนี่ยวไก..... 

                ไม่ว่าจะเรียกว่า “กบฏ”, “สงครามประชาชน” หรือ “การลุกขึ้นสู้” ความเป็นจริงพื้นฐานของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็คือ พวกเขายอมตาย แต่ไม่ยอมให้คุณปกครอง
ในภาวะเช่นนี้ คุณมีทางเลือกไม่มาก หากไม่ฆ่าพวกเขาให้ตายราบคาบไป ก็ต้องปรับการปกครองให้รองรับความเรียกร้องต้องการของพวกเขาบ้างตามแต่จะเจรจาต่อรองกันได้
                รุ่นพี่ผู้ผ่านเหตุการณ์ทำนองนี้มาหลายครั้งเคยบอกว่าการเมืองไทยกล่าวให้ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องแค่นี้ คือมีคนหมดความกลัว ลุกขึ้นและบอกว่ากูไม่ยอมให้มึงข่มเหงรังแกอีกต่อไป เอาไงก็เอากันหากผู้ที่ลุกขึ้นมีจำนวนมากพอและเข้มแข็งพอจนงัดกันไม่ลงแล้ว ผู้มีอำนาจก็ค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะปรับตัว
 
                %%%%%
 
                            อดีตการฆ่าฟันที่ผ่านพ้น                                    บรรจบผลเป็นการฆ่าฟันใหม่
                แผ่นดินเคยฝังกลบศพปู่ใคร                                          ลูกหลานยังคลั่งไคล้ใคร่ฆ่ากัน
                คนเคยเชือดเลือดเขียนประวัติศาสตร์                          พลิกหน้าใหม่ยังวาดด้วยเลือดนั่น
                บทเรียนที่ใครใครรู้ไม่ทัน                                              ก็คือชีวิตนั้นราคาแพง
                จากต่อสู้สันติอหิงสา                                                      เมื่อแรงมาก็แรงไปไล่ยุทธแย่ง
                จากเลือกตั้งยุบสภามาเปลี่ยนแปลง                             กลายเป็นความรุนแรงจลาจล
                เลือดเข้าตาเร้ารุมจนคลุ้มคลั่ง                                       สิ้นสติยับยั้งยึดเหตุผล
                ผู้ปกครองท่องคำขวัญนำชน                                          เกียรติแห่งการฆ่าคนก้องกำจาย.....

 
                มีการเคลื่อนไหวก่อการร้ายต่อรัฐบาลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนเริ่มการชุมนุมของ นปช.รอบล่าสุดกรณีระเบิดป่วนเมืองและการยิงเอ็ม 79 นับร้อยครั้งนับแต่เดือนกุมภาพันธ์ศกนี้เป็นต้นมาจนมีผู้บาดเจ็บล้มตายทรัพย์สินเสียหายมากมายทำให้มิอาจเข้าใจเป็นอื่นไปได้ โดยเฉพาะเมื่อการก่อการร้ายดังกล่าวเกิดขึ้นควบขนานไปกับการชุมนุมของ นปช. ก็ยิ่งทำให้แยกแยะกลุ่มก่อการร้ายออกจากการชุมนุมทางการเมืองโดยสงบยากขึ้น
                การก่อการร้าย (Terrorism) หมายถึง[การใช้หรือข่มขู่ที่จะใช้ความรุนแรง (violence or threats of violence) + ต่อเป้าหมายพลเรือน (civilian targets)+ ซึ่งก่อให้เกิดความหวาดกลัวสยองขวัญในหมู่สาธารณชนทั่วไป (fear)+ เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง (political ends)]
                อาจสรุปย่อเพื่อความเข้าใจว่า [T = V+C+F+P]
                การก่อการร้ายย่อมบ่อนทำลายหลักนิติธรรม (the rule of law) โดยตรง ไม่มีระบอบเสรีประชาธิปไตยใดดำเนินงานการเมืองภายใต้เงาคุกคามของการก่อการร้ายได้ นอกจากนี้มันยังก่อปัญหามากว่าเพื่อต่อสู้เอาชนะการก่อการร้าย รัฐจะสามารถผูกมัดจำกัดตัวเองอยู่ภายในกรอบของกฎหมายได้หรือไม่?
                แน่นอนว่าในทางปฏิบัติ มันเป็นเรื่องยากและมักก่อให้เกิดปฏิกิริยาจากฝ่ายรัฐผู้รับผิดชอบด้านความมั่นคงในทำนอง “บ้ามาก็บ้าไป” อย่างเช่นการอุ้มหาย, ทรมานและยิงทิ้งผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายจังหวัดชายแดนภาคใต้ในสมัยรัฐบาลทักษิณ หรือการที่รัฐบาลบุชผู้ลูกเปิดไฟเขียวให้ซีไอเอและกองทัพอเมริกันใช้วิธีลักพาตัว, ทรมานและลอบสังหารผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายในประเทศต่าง ๆ เป็นต้น
                ทว่าในทางกลับกัน หากรัฐปกป้องหลักนิติธรรมจากการก่อการร้ายด้วยวิธีการที่ละเมิดกฎหมายเสียเองเช่นนี้ มันจะมิเป็นการบ่อนทำลายหลักนิติธรรมอันเป็นเป้าประสงค์แต่แรกของตนเองลงไปล่ะหรือ?
                รัฐจะปกป้องหลักนิติธรรมด้วยการบ่อนทำลายหลักนิติธรรมได้อย่างไร?
                หากรัฐต่อสู้ปราบปรามการก่อการร้ายโดยกลุ่ม (group terrorism) ด้วยการที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐ [ใช้ความรุนแรงหรือข่มขู่ว่าจะใช้ความรุนแรง (violence or threats of violence) ต่อพลเรือน (civilian targets)อันก่อให้เกิดความหวาดกลัวทั่วไปในหมู่มวลชน (fear) เพื่อบรรลุเป้าหมายการเมืองไม่ว่าจะเป็นการสลายการชุมนุมหรือ “ขอพื้นที่คืน” หรือ “กระชับพื้นที่” (political ends)]
                 ซึ่งก็คือ [V+C+F+P]แล้ว
                 มันจะมิกลายเป็นการก่อการร้ายโดยรัฐ (state terrorism) ไปหรือ?
                 และถ้ากระนั้น รัฐต่างอะไรในทางศีลธรรมจากกลุ่มก่อการร้ายเถื่อนเหล่านั้นเล่า?
                 การลอบสังหารเสธ.แดงและการที่ผู้บาดเจ็บล้มตายแทบทั้งหมดในปฏิบัติการกระชับพื้นที่ชุมนุมราชประสงค์ของ ศอฉ. หลายวันที่ผ่านมาล้วนเป็นพลเรือน ทำให้จำเป็นต้องตั้งคำถามเหล่านี้
                 อย่าลืมว่าข้อสรุปของการต่อสู้กับการก่อการร้ายในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยเองในอดีตก็คือไม่สามารถเอาชนะการก่อการร้ายโดยมาตรการความมั่นคงอย่างเดียวได้ หากต้องใช้มาตรการทางการเมืองเป็นหลักและประกอบด้วยมาตรการความมั่นคงเป็นรอง โดยขจัดเงื่อนไขทางทางการเมืองของการก่อการร้ายให้หมดสิ้นไป จนมวลชนที่เป็นฐานรองรับสนับสนุนการก่อการร้ายไม่เห็นประโยชน์หรือความจำเป็นของการก่อการร้ายอีก แล้วหันมาเดินหนทางต่อสู้ทางการเมืองแบบสันติวิธีแทน จากนี้จึงจะสามารถแยกปลา (กลุ่มก่อการร้าย) ออกจากน้ำ (มวลชน) และจัดการกับปลา (ยุติกลุ่มก่อการร้าย) ได้
                 ผมเห็นว่าปฏิบัติการกระชับพื้นที่/ขอพื้นที่คืนที่ราชประสงค์นับแต่ 13 พ.ค. ศกนี้เป็นต้นมาส่งผลตรงกันข้ามกับข้างต้น การส่งทหารติดอาวุธสงครามเบาประจำกายและรถเกราะไปตั้งด่านประจัญหน้ากับผู้ชุมนุมเรือนร้อยเรือนพันที่ส่วนใหญ่อย่างมากก็มีแค่ก้อนหิน หนังสติ๊ก น็อตเหล็ก ลูกแก้ว ไม้ ยางรถยนต์ ระเบิดเพลิง บั้งไฟ ประทัดยักษ์ รถมอเตอร์ไซค์ รถแท็กซี่นั้น
                 ยิ่งแปลกแยกผู้ชุมนุมจากฝ่ายเจ้าหน้าที่และรัฐบาลมากขึ้น
                 ยิ่งเพิ่มความเกลียดกลัวหวาดระแวงไม่ไว้ใจกันระหว่างสองฝ่ายมากขึ้น
                 และในทางกลับกันก็ยิ่งผลักพวกเขาไปแสวงหาความคุ้มกันใต้ร่มกำลังไฟของปืนและระเบิดเอ็ม ๗๙ ในมือกลุ่มก่อการร้ายมากขึ้น
                 ยิ่งทำให้ผู้ชุมนุมหันไปพึ่งพายกย่องกลุ่มก่อการร้ายเป็นอัศวินฮีโร่ผู้ปกป้องคุ้มครองพวกเขาจากเจ้าหน้าที่รัฐผู้ดูจะมุ่งร้ายหมายเอาชีวิตเขาเหนียวแน่นขึ้นอีก
                 นี่หรือที่รัฐบาลและศอฉ.ต้องการ?
%%%%%
 
                                  กัมปนาทเสียงปืนจึงครื้นครั่น                          คละคลุ้งควันฝุ่นตลบและศพหาม
                 ธารเลือดเฉกเชื้อไฟโชนไหม้ลาม                                   เปลวสงครามแรงลุกทุกแผ่นดิน
                 คนที่ขูดขูดไปใจครึกครื้น                                                 คนที่แค้นจับปืนจำโหดหิน
                 คนต่อคนเข่นฆ่าเป็นอาจินต์                                             ความเป็นคนค่อยสิ้นจากหัวใจ
                 หยาดน้ำตา                                                                        ทุกหยดถ้วนประมวลมาคงบ่าไหล
                 บนแผ่นดินดาลเดือดด้วยเลือดไฟ                                  ย่อมใจใครใจใครไม่คงทน
                 เกลียดมึงเกลียดมันเกลียดกันเกลื่อน                            กระหายเลือดเชือดเฉือนกันปี้ป่น
                 กลัวศัตรูกลัวตายและกลัวตน                                          สัตว์หรือคนคนหรือสัตว์อัศจรรย์…..
                 แล้วใครที่สวดอ้อนวอนพระเจ้า                                        ถึงญาติมิตรของเขาด้วยเสียขวัญ
                 ใครท้องกิ่วหิวอดหดหู่ครัน                                               ใครนอนกลัวตัวสั่นสุดข่มตา
                 ใครเฝ้าครุ่นคำนึงถึงลูกผัว                                               ใครร้องไห้เมื่อเสียหัวทหารกล้า
                 ประชาชนประชาชนธรรมดา                                            ผู้ไหล่บ่าแบกหาบบาปสงคราม.....
 
                 ในหลายปีที่ผ่านมา คนไทยฆ่ากันมากมายเกินไปแล้ว
                 หยุดฆ่าเถอะครับ ก่อนจะไม่มีประเทศไทยเหลือให้ลูกหลานเราได้อยู่กันต่อไป
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ใจ อึ๊งภากรณ์ : ความโกรธแค้นของประชาชนมีความชอบธรรม

Posted: 19 May 2010 04:33 AM PDT

<!--break-->

ความโกรธแค้นของประชาชนในที่สุดก็ระเบิดออกมา มีการเผาตึกราชการ ศาลากลางจังหวัด ธนาคาร ตลาดหลักทรัพย์ ห้างร้านขายสินค้าราคาแพง และสื่อที่ถือหางให้อำมาตย์ฯลฯ นอกจากนี้มีการปะทะสู้รบกับทหารด้วยทุกวิธี
 
ทั้งหมดนี้มีความชอบธรรม... เพราะอะไร?
 
1. รัฐบาลอภิสิทธิ์และกองทัพ ได้ใช้อาวุธสงคราม รถถัง ปืนกล สไนเปอร์ และหน่วยสังหาร เพื่อฆ่าประชาชนมือเปล่า ที่เรียกร้องประชาธิปไตย อย่างไม่เลือกหน้า และเขาทำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมษายนปีนี้ และก่อนหน้านั้นเมื่อเมษายนปีที่แล้ว เขามองประชาชนคนจนเหมือนเป็นฝุ่นใต้ตีน เหมือนเป็นผักเป็นปลา ยอดคนตายคงถึง 80 เป็นอย่างน้อย มีคนบาดเจ็บเป็นพันๆ

2. ความรุนแรงของรัฐอำมาตย์ในครั้งนี้ กระทำไปเพื่อให้รัฐบาลอภิสิทธิ์และพวกอำมาตย์ ที่ไม่เคยมาจากการเลือกตั้ง สามารถครองอำนาจต่อไป และหลีกเลี่ยงการเลือกตั้งให้นานที่สุด รัฐบาลนี้เป็นผลพวงจากการทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา และรัฐประหารเงียบของศาลสองครั้ง มันไม่มีความชอบธรรมที่จะครองอำนาจแต่อย่างใด

3. แกนนำเสื้อแดงพยายามหาทางเจรจามาตลอด พยายามประนีประนอมเพื่อให้หลีกเลี่ยงความรุนแรง พยายามขอร้องให้มีการหยุดยิงและเจรจา แต่รัฐบาลอำมาตย์ให้คำตอบด้วยกระสุนปืน

4. ในระบบประชาธิปไตย ประชาชนควรจะมีอำนาจอธิปไตยสูงสุด อำนาจสูงสุดไม่ควรจะอยู่ที่กองทัพ อภิสิทธิ์ชน และเครือข่ายวัง ดังนั้นการประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและการเลือกตั้งย่อมมีความชอบธรรมสูงสุด ไม่ว่าจะมีการปิดถนนในย่านห้างร้านราคาสูงหรือย่านโรงแรมห้าดาวเป็นเวลาสองเดือนก็ตาม 

5. พวก “องค์กรดัดจริตอ้างสันติวิธี” ไม่เคยออกมาหนุนช่วยความพยายามอันใหญ่หลวงของแกนนำ นปช. ในการควบคุมการประท้วงให้มีวินัยและอยู่ในกรอบสันติ ทั้งๆ ที่เสื้อแดงเผชิญหน้ากับความรุนแรงจากรัฐตลอด แทนที่องค์กรเหล่านี้จะกดดันและโจมตีรัฐ เพื่อให้เลิกใช้ความรุนแรง เขากลับโทษทั้งสองฝ่าย ซึ่งในรูปธรรมก็แค่ให้ความชอบธรรมกับจุดยืนของรัฐบาลที่ใช้ทหารกับประชาชนพร้อมกับเรียกร้องให้เสื้อแดงยุติการชุมนุมก่อนที่จะเจรจา
 
แต่ตอนนี้การชุมนุมทางการของ นปช. ยุติแล้วท่ามกลางการนองเลือดโดยรัฐบาล และผลคืออะไร? ไม่ใช่สันติภาพแน่นอน เพราะตราบใดที่ไม่มีความเป็นธรรมในสังคม จะไม่มีสันติภาพ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นศ.ใต้แถลงประณามการใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง

Posted: 19 May 2010 04:30 AM PDT

<!--break-->

แถลงการณ์
ประณามการใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง

 การแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่  ๓  จังหวัดชายแดนภาคใต้  ผ่านนโยบายสันติวิธี  เข้าใจ  เข้าถึง  พัฒนา  การใช้การเมืองนำการทหาร  ตลอดจนการสร้างความสมานฉันท์   ฯลฯ  ที่ไม่สามารถลบความหวาดระแวงที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐกับประชาชน (บางส่วน) ได้  ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากบาดแผลและความทรงจำอันเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์กรือเซะ และตากใบ  เมื่อปี  ๒๕๔๗  การบังคับให้สูญหายของทนายสมชาย นีละไพจิตร  การซ้อมทรมานที่เกิดขึ้นต่อครอบครัวของอีหม่าม  ยะผา  ฯลฯ  เหล่านี้ล้วนเป็นผลจากการดำเนินนโยบายของภาครัฐที่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาทั้งสิ้น

สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สนน.จชต.)  และเครือข่ายบัณฑิตอาสา พัฒนาสังคม จังหวัดชายแดนภาคใต้ (คบส.จชต.)   เกรงว่า  หากภาครัฐดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการ (นปช.)  อาจนำมาซึ่งปัญหาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและยากที่ยุติลง  เฉกเช่นเดียวกับความขัดแย้งในพื้นที่  ๓  จังหวัดชายแดนภาคใต้   

เครือข่ายภาคีเล็งเห็นว่าการชุมนุมโดยสงบ  สันติและปราศจากอาวุธ  เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  ภาครัฐไม่ควรอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติและความสงบสุขของประชาชน  เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้  “ความรุนแรง”  เพื่อปัญหาความขัดแย้ง 

และเครือข่ายภาคีขอแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมผ่านกระบวนการสันติวิธี  ขอประณามทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ   จนนำมาซึ่งความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน  และขอเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาความปัญหาดังนี้

๑. ภาครัฐต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นในการแสดงความจริงใจต่อการแก้ปัญหาด้วย “สันติวิธี” ผ่านการถอนกองกำลังทหารออกจากพื้นที่ชุมนุม

๒. รัฐต้องไม่แทรกแซงการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชนในทุกรูปแบบ  ขณะเดียวกัน  สื่อมวลชนต้องปฏิบัติหน้าที่ตามจรรยาบรรณของตนเองอย่างแท้จริง

๓. รัฐต้องให้ความสะดวกเรื่องสาธารณูปโภคแก่ผู้ชุมนุมโดยคำนึงถึงหลักมนุษยชน

เครือข่ายภาคีเชื่อว่า   ความจริงใจในการแก้ปัญหาและการรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย  ถือเป็นกุญแจดอกสำคัญอันจะนำมาซึ่งความสำเร็จในการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน

ด้วยจิตอาสาต้องการสร้างสันติภาพ

สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สนน.จชต.) 
เครือข่ายบัณฑิตอาสา พัฒนาสังคม จังหวัดชายแดนภาคใต้ (คบส.จชต.)

๑๘  พฤษภาคม  ๒๕๕๒
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น