โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai.info

ประชาไท | Prachatai.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

เที่ยงคืนไฟที่ราชประสงค์ยังไม่โดนตัด

Posted: 12 May 2010 10:59 AM PDT

<!--break-->

ผู้สื่อข่าวประชาไทรายงานจากพื้นที่ชุมนุมแยกราชประสงค์ เมื่อเวลาประมาณ 00.45 น. (13 พ.ค. 53) พบว่ายังไม่มีการตัดไฟและเวทีปราศรัยยังคงมีการปราศรัยปกติ

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา เวลา 18.20 น. (12 พ.ค.) ณ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์  พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษก ศอฉ. เปิดเผยว่าเมื่อเวลา 14.00 น.ของ วันนี้ได้มีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านสาธารณูปโภค ซึ่งได้ชี้แจงไปก่อนหน้านี้แล้วว่าจะมีการจำกัดเสรีการปฏิบัติของกลุ่มผู้ ชุมนุมในพื้นที่ ทั้งเรื่องการจราจร การขนส่ง การคมนาคม  ได้เริ่มวางแผนที่จะดำเนินการแล้ว  ส่วนใดที่มีความพร้อมก่อนก็จะกระทำก่อน  แต่ในส่วนของไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์  มีรายละเอียดปลีกย่อยมาก เพราะฉะนั้นก็มีข้อมูลในบางส่วนที่จะต้องลงรายละเอียด เช่น  หากตัดน้ำตัดไฟแล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน หรือประชาชน ผู้ที่ทำงานอยู่ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม ใครจะได้รับกระทบมากกว่ากัน  เพราะมีโทรศัพท์จากประชาชนเข้ามาสอบถามเรื่องนี้มากพอสมควรดังนั้น ในวันนี้จึงมีการนัดหมายประชุมกันอีกครั้งหนึ่งในเวลา 19.30 น. เพื่อจะลงรายละเอียดว่าถ้าสามารถดำเนินการได้เรื่องไฟฟ้า ประปา จะเป็นพื้นที่ส่วนใดบ้าง เพราะมีโรงพยาบาลหลายแห่งที่ได้รับผลกระทบ ส่วนผลการประชุมจะออกมาอย่างไร จะมีการประกาศของ ศอฉ. มาให้ทราบ  อย่างไรก็ตามมาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ นั้น ไม่ได้หมายความว่าในเวลาเที่ยงคืนนี้จะทำการตัดน้ำ ตัดไฟ ทันที  ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำหนดเอาไว้ว่าต้องยุติการชุมนุมภายในเวลา 24.00 น. ของวันที่ 12 พฤษภาคมนี้   

“ส่วนไหนที่มีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ในเรื่องการจำกัดเสรีการปฏิบัติก็ต้อง ดำเนินการเลย หมายความว่าเรื่องของการจราจร โทรศัพท์ มีการวางแผนกันแล้ว  และอะไรที่มีความสามารถในการดำเนินการได้ก็คงเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเร็วได้   อาจจะเป็นพรุ่งนี้  แต่ในส่วนของน้ำ ไฟ  มีข้อมูลในรายละเอียดมาก เช่น กลุ่มผู้ชุมนุมอาจจะใช้น้ำจากท่อดับเพลิง หรือมีการใช้เครื่องปั่นไฟ  ก็ต้องพิจารณารายละเอียดว่าเมื่อดำเนินการแล้วกลุ่มผู้ชุมนุมได้รับการกดดัน หรือไม่  หรือว่าประชาชนโดยทั่วไปได้รับผลกระทบมากกว่า แต่ถ้าหากดำเนินการได้ ดูข้อดี ข้อเสียแล้วจะเป็นส่วนไหนบ้าง  ต้องมีรายละเอียดที่ลงมากกว่านี้” โฆษก ศอฉ. กล่าว 

โฆษก ศอฉ. กล่าวต่อว่า  ในส่วนของเส้นทางวิ่งของรถโดยสารประจำทาง  จะมีการปรับแผนการเดินรถในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่การชุมนุม  อย่างรถแท๊กซี่อาจจะเข้าไปวิ่งไม่ได้แล้ว  ซึ่งเรื่องใดที่มีความพร้อมก็จะดำเนินการก่อนเลย  ทั้งนี้  ที่ประชุมศอฉ. ได้สั่งการอย่างชัดเจนว่าจะปิดพื้นที่บริเวณการชุมนุม  แต่ถ้าประชาชนที่จำเป็นต้องอาศัยหรือทำงานอยู่บริเวณนั้นและไม่มีพื้นที่ สำรอง  ขอให้ไปติดต่อด่านตำรวจ ทหาร ในบริเวณพื้นที่ที่จะเข้าสู่พื้นที่การชุมนุม  พร้อมแสดงหลักฐานเพื่อจะออกเอกสารอนุญาตให้เข้าในพื้นที่ชุมนุมได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า  มาตรการกดดันต่าง ๆ ศอฉ. มั่นใจหรือไม่ว่าจะเพิ่มแรงเสียดทานให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม  โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า เราก็พยายามอย่างดีที่สุด เท่าที่จะสามารถลดการชุมนุมในพื้นที่ลงได้  ส่วนที่เป็นห่วงเรื่องการก่อวินาศกรรมนั้น  ทุกอย่างต้องเพิ่มความระมัดระวัง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งการไปแล้ว เพราะได้มีการกระชับวงล้อมเข้ามา  หน่วยทหาร ตำรวจ ก็จะอยู่ใกล้พื้นที่การชุมนุมมากยิ่งขึ้น  จึงต้องระมัดระวังเรื่องการก่อเหตุวินาศกรรมทั้งหลาย ทั้งการยิงลูกระเบิด M79 ซึ่งที่ผ่านมาก็มีบทเรียนแล้ว 

ผู้สื่อข่าวถามว่า  ศอฉ.ได้หารือถึงกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมมีเครื่องปั่นไฟหรือไม่  โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า  ตรงนี้ที่หารือกันอาจจะเป็นเรื่องของการจำกัดไม่ให้มีการนำเชื้อเพลิงเข้าไป ในพื้นที่  อย่างไรก็ตามขณะนี้มีการตั้งด่านตำรวจ ทหาร 14 ด่าน และพยายามจะอุดช่องที่เป็นซอยทั้งหลายเพราะพื้นที่ราชประสงค์เข้าออกได้หลาย ทาง  และการบีบกระชับวงล้อมไม่ใช่คำนึงถึงเรื่องการบีบอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงด้วยว่าถ้าหากบีบเข้าไปใกล้มากเกินไป แล้วกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนที่ออกมาปะทะก็เหมือนการสลายการชุมนุม  ดังนั้นต้องดูปัจจัยหลายอย่าง  แต่เราก็พยายามที่จะสร้างแรงกดดันในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด  โดยที่ให้ได้รับผลกระทบจากประชาชนน้อยที่สุด  ส่วนตัวเลขผู้ชุมนุมเมื่อเวลา 18.00 น. มีประมาณ 6,000 คน  และขณะนี้เท่าที่ตรวจสอบยังไม่มีการนำมวลชนจากต่างจังหวัดเข้ามาสมทบเพิ่มขึ้น

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รวมบทกวี (มีเสียง) รำลึก 10 เมษา ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

Posted: 12 May 2010 10:51 AM PDT

<!--break-->

 
รวมบทกวี (มีเสียง) รำลึก 10 เมษายน 2553 ซึ่งมีการนำไปอ่านในกิจกรรมรำลึก ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดย วัฒน์ วรรลยางกูร, ไม้หนึ่ง ก.กุนที, ซะการีย์ยา อมตยา, กฤช เหลือลมัย, เดือนวาด พิมวนา, ประกาย ปรัชญา, ชัชชล อัจนากิตติ, ธิติ มีแต้ม, แก้วตา ธัมอิน, กานต์ ณ กานท์ ฯลฯ สามารถดาวน์โหลดไฟล์เสียงได้ด้านล่าง
 
 
      แดงชาติ

วัฒน์ วรรยางกูร
 
สายธารสีแดงแรงข้น                     จาก 24 มิถุนายน 2475
ผ่านระกำลำบากยากนานา                           ถึง 10 เมษา เพิ่งผ่านไป
สีแดงแห่งชาติประชาชน                 อย่าสับสนประวัติศาสตร์ชาติไฉน
แดงคือสถาบันสำคัญใน                             ธงไตรรงค์สะบัดชัดชู
ไตรรงค์ธงชาติ, ศาสน์ , กษัตริย์       พลิกประวัติศาสตร์การเมืองไทยให้
วันชาติถูกกลบล้างบแบบข้างๆคูๆ                  บอกให้รู้บิดเบือนสถาบัน 
สถาบันชาติคือประชาชน                 ถูกเหยียบป่นดูถูกหยามหยัน
โง่จนเจ็บอนาถาสารพัน                              ถูกฆ่าฟันล้มตายมาหลายยุค
            อำนาจของปวงชนไม่เคยเป็นใหญ่     ประชาธิปไตยจึงขลักขลุก
รัฐประหารจับประชามาขังคุก                       ล้มลุกแปดสิบปีที่เอือมระอา
            นี่แหละของจริงล้มล้างสถาบัน          ชาติประชาต่ำชั้นไม่มีค่า
อำมาตย์คนชั้นกลางถอยหลังล้า                   ดอกเตอร์กวีศิลปินบ้าแห่ตามกัน
            ปากรักชาติใจบอดใบ้ไม่เห็นชาติ      ผูกขาดปัญญาประเสริฐเลิศสวรรค์
ดูถูกคนยากจนแบ่งชนชั้น                           ปากเป็นมันเลียเศษข้าวศักดินา
            สาธารสีแดงแรงข้น                       จาก 24 มิถุนายน 2475
คารวะเลือดทุกหยาดชาติประชา                   แด่ 10 เมษานักสู้ธุลีดิน
            หากสถาบันชาติประชาอยู่ไม่ได้       ย่อมล่มไปทุกสถาบันพลันจบสิ้น
รักประชาร่วมฟันฟาดอำนาจทมิฬ                  สร้างไทยถิ่นเป็นประชาธิปไตย
 
 
 
เพียงแต่ยังไม่ได้ทาสี
ซะการีย์ยา อมตยา
 
บางอย่างบนเส้นทาง
ผมเดินไปเห็น บางสิ่งบนถนน
อะไรสักอย่าง ผมไม่เข้าใจ
ผมไม่เคยพบเห็น
มันดูประหลาดมาก
ผมพลันหวนคิด วันในวัยเยาว์
บางสิ่งที่ดูเหมือนจะเคยเกิด
แต่มันช่างรางเลือน
เหมือนสิ่งที่กำลังจะเกิด
และเคยเกิด
แต่ผมประกันได้เลย
ผมไม่รู้จักไอ้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้านั่น
อยู่อยู่ความปวดร้าวจู่โจมผม
ท้ายทอยของผมเหมือนมีระฆังพันใบ
ระรัวเสียงที่สวรรค์และนรกไม่เคยรังสรรค์
ผมจะบอกอย่างไรดี ผมอธิบายมันไม่ได้
เสียงก้องทำให้หัวผมแทบระเบิด
เหมือนระดับของเหลวในหูผมไหลทะลัก
ผมรู้สึกหัวของผมโตขึ้นโตขึ้นจนบดบังทัศนวิสัย
และกีดขวางการจราจรในบัดนั้น
อะไรบางอย่างที่เห็นกำลังหยั่งรากบนผิวถนน
ขณะเดียวกันก็เห็นผู้คนต่างจ้องมองมายังผม
สายตาทั้งหลายมีความตื่นตระหนกอย่างเหลือร้าย
ผมเห็นผมในดวงตาเหล่านั้น
มันกำลังหัวร่อสิ่งแปลกปลอม
แล้วลำตัวผมอุบัติด้วยกิ่งใบ
ชูช่อเสียดฟ้าทะมึนที่กำลังตั้งเค้าพายุ
บางคนอุทานว่า ต้นไม้ยักษ์!
ที่นี้ ผมจะทำอย่างไรดี มันช่างละอาย
ร่างกายผมกำลังประจานท่ามกลางการจราจร
ผมหนาว ผมสั่น ผมหนาว ผมสั่น
ผมอยากได้ผ้านวมมาคลุมกาย
พลเมืองผู้ภักดีทะยอยไปเปิดฝากระโปรงรถ
พลันเสียงเลื่อยไฟฟ้านับร้อยแผดคำราม
กลิ่นเบนซินชวนผมคลื่นไส้
ผมอยากหนีไปจากที่ตรงนั้น
แต่รากของผมลึกเกินกว่าจะผละไป
พวกเขาละล้าละลังและหวาดหวั่นที่จะสัมผัสผิวหนังผม
แต่พวกเขาก็ทำ
ผมพยายามกรีดร้องแต่เสียงผมไม่หลุดจากปาก
ผมอยากร้องไห้แต่น้ำตากลับไหลย้อนซึมเข้าสู่กิ่งก้าน
กระดูกแตกราวผนังกระจกถูกอัดด้วยแรงฟุตบอลของวัยหนุ่ม
เปลือกผมเละยุ่ย อย่างกับโจ๊กมื้อเช้า
สายพานคมเลื่อยชำแรกเข้าที่ข้อเท้าของผม
เลือดสีขาวไหลเป็นทางบนถนนที่จะนำผมกลับบ้าน
ผมนึกถึงวันแรกที่ผมมาเยือนโลก
ต่างกันเพียงดวงตามากมายกำลังปรีดิ์เปรม
ขณะที่ร่างของผมกำลังโงนเงน
ดูพวกเขาช่างหนักแน่นและแน่วแน่
ร่างผมโค่น กระแทกลงกลางถนน!
งานฉลองใหญ่เกิดขึ้นทั่วเมือง
พลุแตกเต็มฟ้ากลางราตรี
ดวงตาพวกเขาช่างอิ่มเอม
ขณะที่เพื่อนผู้มาก่อนผมได้รับอาภรณ์เป็นดวงไฟระยิบ
ร่างของผมถูกลิดกิ่งและใบออก
ลำต้นของผมถูกตัดและซอยเป็นซี่ซี่
พวกเขาบางกลุ่มต่อรองกันว่า จะเอาท่อนแขน หรือท่อนขาดี
อีกบางกลุ่มกระโดดไปบนหลังคารถ พลางชูกำปั้น
กร้าวประกาศว่า มันน่าจะเป็นเมรุอันวิจิตรตระการ
อีกบางกลุ่มแย้งว่า แต่ทั้งหมดนี้ คืออนาคตมหาราชวังสิบหลัง
แด่ราชโอรสผู้ทรงพิสมัยเสด็จประพาสทางไกล
และพึงพระราชหฤทัยในการดื่มฤดูกาล
นับแต่นั้นมาเรื่องราวของผมถูกเล่าขาน
กลายเป็นเทพองค์หนึ่งซึ่งศักดิ์สิทธิ์
เรื่องของผมอยู่ในชามเบรกฟัสต์
ละลายอยู่ในแก้วเอสเพรสโซ
อยู่ในหน้าโซไซตี้บางกอกโพสต์
อยู่ในฝ้ายถุงเท้าปิแอร์การ์แดง
อยู่ในเน็กไทยับยู่ยี่ลายช้างเผือก
อยู่ในเบสต์เซลเลอร์ ผมจะเป็นคนดี
อยู่ในช่อการะเกดฉบับเทียบเชิญ
อยู่ในฟ้าเดียวกันฉบับข้อมูลใหม่
อยู่ในมิชลินสี่ล้อรถประจำตำแหน่ง
อยู่ในพวงมาลัยทำมือของเด็กน้อย
อยู่ในบิลบอร์ดไทยเข้มแข็งข้างทางด่วน
อยู่ในพานพุ่มหน้าทางเข้าสำนักงานใหญ่
อยู่ในกรอบไม้สักทองอันเป็นที่สักการะ!
 
จากรวมเล่มบทกวี ‘ไม่มีหญิงสาวในบทกวี’ สำนักพิมพ์หนึ่ง
 
 
ปณิธาน “ไพร่”
กานต์ ณ กานท์
10 พฤษภาคม 2553
 
เกิดอย่างไพร่ - เราจึงตายอย่างไพร่?  
ตายบนแดนศิวิไลซ์อันขื่นขม
เกิด บนดิน - ตายบนดินทุกข์ระทม      
ทับถมอยู่กับดินทั้งวิญญาณ
เกิดอย่างไพร่จึงเข้าใจใดคือทุกข์      
ใดคือสุขใครสร้างไว้ - ใครล้างผลาญ
       ใครสู้พลีตัวเป็นงัวงาน          
สร้างทิพย์วิมานเปรอปรนใคร
เกิด อย่างไพร่ - เป็นไพร่ทั้งโคตรเหง้า      
หาค่ำกินเช้ามายาไส้
หา เดือนชนเดือนตะบันไป          
ยังต้องหาเลี้ยงนายอีกหลายคน
เกิด เป็นไพร่ - ไม่ได้เกิดเป็นข้า      
ลงแรงหาเลี้ยงมาจนปี้ป่น
ก้มหัวกลัวเกรงมากี่ชั่วคน          
เหลือ จะทุกข์เหลือจะทนให้หยามใจ
เกิดเป็นไพร่ - ไม่ได้เกิดเป็นทาส  
เพียง สองมือจึงประกาศความฝันใฝ่
เพียงสองตีนจึงทวงหาอธิปไตย      
กลับ คืนเป็นของไพร่ทั้งยากดี
เกิดเป็นไพร่ - ไม่ได้เกิดเป็นทาส  
จะทายท้าทุกอำนาจเคยกดขี่
กี่ กระบอกปืนมาจะต่อตี          
จะพลิกดินผืนนี้ให้ไพร่เดิน
เกิด เป็นไพร่ - จะขอตายอย่างไพร่
ไม่ร้องขอเกียรติ-ยศใดมาสรรเสริญ
เกิด อย่างไพร่ - ตายให้ไพร่ได้ก้าวเดิน
  
เป็นเชิงเทินทัพหน้าประชาชน
เกิดอย่างไพร่ - พี่น้องจึงตายเพื่อไพร่  
อีกแสนล้านอสงไขยทุกแห่งหน
ตายปลุกไพร่ ขึ้นเป็นไททุกผู้คน          
ลุกราวีอภิชนทุกชั้นไป
ขอ เดินตามปณิธานวีรชน      
จะราวีอภิชนทุกชาติไป!
 
- - - - - - -
ธิติ มีแต้ม
 
<แหงนหน้าขึ้นฟ้า (อาการ)>
 
ถ้าเห็นผมเป็นเป้านิ่ง อย่ายิงนะครับ ผมไม่อยากตาย ยังอยากรอดูพระอาทิตย์ขึ้น
เพื่อระลึกถึงเพื่อนเท่านั้น
 
อำพล ตติยรัตน์ กำลังจะเรียนจบ นิติศาสตร์ ม.ศรีปทุม
แต่คืนวันที่ ๑๐ เมษา เขา เขา เขา...
 
อู๊ด--อำพล
เป็นเพื่อน
ไม่ได้ฟั่นเฟือน
ใครอนุญาตให้ตาย
 
อู๊ด--อำพลเป็นคนหนุ่ม
เททุ่มชีวิตเผลอฉิบหาย
กระสุนทองทะลุกะโหลกกระจาย
แต่ล้างสาบวิญญาณร้ายไม่ได้เลย
 
สุนทรียะศาสตร์ก็ดี เพื่อชีวิตก็ดี
สันติวีธีมีให้เอื้อนเอ่ย
ส่วนอู๊ด--อำพล ยังไม่เคย
ร่ำเรียนวิวัฒนาการภาวนา
 
จะภาวนาจากอะไร
เพราะเขาไม่ใช่ลูกมหา
ที่ชอบจุดธูปขอพรเทวดา
หากเขาศึกษาจากการตาย.
 
แล้วเขาก็ได้เกิดใหม่
 
อู๊ด said
อาจเพราะ...
มนุษย์ไม่ใช่ศัตรูของเรา
พวกเขาคือพ่อ แม่ เพื่อน
ต่างสติ บ้างเลอะเลือน
เหมือนที่ทรัพยากร!
 
มนุษย์ไม่ใช่ศัตรูของเรา
ต้องเอาปัจจัยสี่สอน
อิ่มท้องก่อนห่มอาภรณ์
ต่อตั้งเสาเรือนและผลิตยา
 
มนุษย์ไม่ใช่ศัตรูของเรา
แต่พวก เขายังถูกคร่า
ด้วยเหล่าคุณธรรมค้ำฟ้า
บ้าสมมติเทพ!
 
 
                                                           
เดือนวาด พิมวนา-ประกาย ปรัชญา
 
 
ในดินแดนของการหมิ่นแคลนเหยียดหยาม
ดวงใจใครยินยอมเป็นส่วนหนึ่งของผู้ถูกเหยียด
ในดินแดนอันสิ้นไร้เสรีภาพ
ดวงใจใครยินยอมเป็นส่วนหนึ่งของผู้ถูกกักขัง
ในดินแดนอันไร้แล้วซึ่งความยุติธรรม
ดวงใจใครยินยอมเป็นส่วนหนึ่งของผู้ถูกกดขี่
ในดินแดนของความขัดแย้งซึ่งลุกลามบานปลาย
ดวงใจใครยินยอมเป็นส่วนหนึ่งของผู้ถูกเข่นฆ่า
เหล่าชีวิตนิรนามผู้ถูกมองข้าม
ความรักของเขาไม่มีใครเห็นคุณค่า
ความเกลียดของเขาไม่มีใครอนาทร
ความรู้สึกของเขาไม่มีใครรู้สา
ชีวิต..น้อยค่า สูญสิ้นราคาถึงปานนี้
ดวงใจใครบ้าง
ยินยอมเป็นส่วนหนึ่งของประชาชนผู้ทนทุกข์
ยินยอมเป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองชั้นสอง
ยินยอมเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ผู้คุดคู้อยู่ใต้ถุนสังคม
ข้าพเจ้า...ยินยอม
น้อมคารวะอาลัยรักแด่ผู้มอบชีวิตเพื่อประชาธิปไตยทุกท่าน
 
 
สิ่งที่ข้าฯ ไม่เคยพบ 
กฤช เหลือลมัย
 
ครั้งแล้วครั้งเล่าของโศกนาฏกรรม
ข้าฯ พบว่า  เพียงเพื่อจะตื่นให้ได้จากฝันร้าย,
มีชีวิตอยู่ต่อไปโดยปราศจากมิตรสหายที่มักคุ้น
ดื่มและอาบน้ำจากลำธารสายเก่า
อ่านหนังสือเล่มเดิมๆ
ท่องบทสวดต่อหน้ารูปเคารพที่เราเคยเชื่อถือศรัทธา
ข้าฯ ต้องเลือกที่จะทรงจำ และลืมเลือน...
โอ..แต่ข้าฯ จะทำได้อย่างไรเล่า ?
หญิงสาวแห่งแสงตะวัน  ชายหนุ่มแห่งหมู่ดาว
ผู้เฒ่าแห่งผืนนาแล้ง
นักรบแห่งที่ราบสูง  พลตระเวนแห่งเมืองหลวง
รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ..เรื่องเล่า
และคำสนทนาของเขาเหล่านั้นเคยมีอยู่จริง,
ที่การหลับใหลไม่ว่ายาวนานเพียงใดไม่อาจทำให้ลบเลือนไปได้...
...................
เรื่องที่ดีที่สุดสำหรับคนที่จำต้องดำเนินชีวิตต่อไปก็คือ
มันเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว
ที่ข้าฯ เพียรเสาะหา...
ข้าฯ เสาะหามวลไม้ที่แทงยอดลงต่ำ
พยัคฆ์ ที่เสพพืชผลผักหญ้าเป็นภักษาหาร
จงอางที่ไม่หวงไข่
เลือดที่เปลี่ยนสีไปตามน้ำ
น้ำที่ไม่เคยแยกสาย
แมงเม่าที่ไม่บินเข้ากองไฟ...
และข้าฯ เสาะหาไฟ - ไฟที่ไม่อาจเผาไหม้กำแพงคุก
ไม่อาจหลอมละลายโซ่ตรวนแห่งการจองจำ
ข้าฯ เสาะหาลม ที่ไม่พัดผืนธงหลากสีปลิวสะบัด
ดินที่ไม่ยอมกลบฝังหลุมศพเสรีชน
และผู้คนที่สยบยอมต่อความอยุติธรรม
ข้าฯ  เสาะหาผู้คนที่สยบยอมต่อความอยุติธรรม ! (ซ้ำ)
ไม่เคย...ข้าฯ ไม่เคยพบเลย...
นั่นอาจเป็นเรื่องดีที่สุด สำหรับคนที่จะต้องดำเนินชีวิตต่อไป
น้ำตาสำหรับเขาเหล่านั้นที่ล่องลอยไปข้าฯ ขอกลั่นมันเป็นหยาดหมึก บันทึกถึงโลกที่ทุกยุคทุกสมัยไม่เคยสิ้นไร้ผู้คนยินยอมถูกป่นกระดูก
หว่านโรยเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความกล้าหาญที่งอกงามอยู่ทั่วทุกมุมโลก
....................
ขณะฝันร้ายครั้งหน้ายังมาไม่ถึง..
ข้าฯ พลันรู้สึกว่าตื่นอยู่ในโลกอนาคตที่เต็มไปด้วยความหวัง
ซึ่งข้าฯ เห็นชัด ว่ามันอยู่ในดวงตาของท่านทั้งหลายในที่นี้...
 
 
 
ด้วยความปรารถนาดีจาก.... 
แก้วตา ธัมอิน
เพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์  10 เมษายน 2553 และอีกมากมาย
 
จะไม่มีใครตายในสงคราม
ชาวนาได้ตายผ่อนส่งไปก่อนเพี้ยกระโดดกับหนอนเจาะกอในนาข้าวซะอีก
หนุ่มสาวสูดดมสารพิษในโรงงานแลกกับค่าแรงถูกๆ
และเด็กๆ  สมองตายกลายเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทราตั้งแต่ก้าวขาเข้าโรงเรียนแล้ว 
แต่ถ้าเกิดมีใครรอดมาได้
เราขอรับรองว่าจะไม่มีใครตายในสงครามอย่างแน่นอน
นั่งลงสิแล้วแบมือรอรับสิ่งเราเลือกสรร
ท่านทั้งหลายจงเชื่อมั่นในสติปัญญาของเรา
พวยแก๊สที่เราใช้นั้นรวยรื่นดุจสายหมอกยามเช้า
ท่านที่ได้สัมผัสต้องหลั่งน้ำตาแห่งความปีติแล้วหวนคิดถึงเรือกสวนเรือนรังที่จากมา
กระสุนที่เราใช้ล้วนแต่สืบสันดานมาจากศรแห่งกามเทพ
บรรจงตอกตรึงยังหัวใจท่าน
แด่ความรักใคร่ปรองดอง 
ทุกท่าน! กรุณาอยู่ในความสงบ
ไม่น่าจะต้องมีใครตายในสงคราม
ทุกท่าน...
กรุณาอยู่ในความสงบ... เรียบร้อย
กลับบ้านไปเคี้ยวปกหนังสือธรรมะเป็นมื้อค่ำเถอะ
แล้วคืนนี้เราจะหลับฝัน
ถึงสันติภาพ 
 
 
 
 
ความสงสัย
ชัชชล อัจนากิตติ
โลกหนึ่งใบเท่ากับฟ้ากี่ผืน
ฟ้าหนึ่งผืนเท่ากับนกกี่ตัว? 
นกหนึ่งตัวเท่ากับกรงกี่กรง? 
กรงหนึ่งกรงเท่ากับรัฐกี่รัฐ? 
รัฐหนึ่งรัฐเท่ากับประชาชนกี่คน? 
ประชาชนหนึ่งคนเท่ากับเสียงกี่เสียง? 
เสียงหนึ่งเสียงเท่ากับปืนกี่กระบอก? 
ปืนหนึ่งกระบอกเท่ากับกระสุนกี่นัด? 
กระสุนหนึ่งนัดเท่ากับเลือดกี่หยด? 
เลือดหนึ่งหยดเท่ากับน้ำตากี่หยาด? 
น้ำตาหนึ่งหยาดเท่ากับความเศร้า ความแค้น และความสูญเสียของคนกี่คน? 
ความเศร้า ความแค้น และความสูญเสียของคนหนึ่งคนเท่ากับดอกไม้กี่ดอก? 
ดอกไม้หนึ่งดอกเท่ากับสันติกี่วิธี? 
สันติกี่วิธี? 
สันติกี่วิธี? 
สันติกี่วิธี? 
จึงจะเท่ากับความตายของคนหนึ่งคน! 

 
 
นิรนามจากใต้ถุนฐานสังคม
                                    ไม้หนึ่ง ก.กุนที
                                    11 เมษายน 2553
 
มีคนล้มหาย...ตายจาก !
อย่างตีนหนา หน้าบาง สมศักดิ์ศรี
ทับถมร่าง เรียงทอดสร้าง ทางเสรี
ฝันใฝ่ถึงสังคม...ที่ดีงาม

มีคนล้มหาย...ตายจาก !
โถมรื้อถอน เถื่อนซาก ทิวขวากหนาม
ล้วนเผ่าพันธุ์ กำพืดไพร่ ที่ไร้นาม
กี่กระสุนกรีดคำราม...ไม่ขามเกรง

คือคน...จากใต้ถุนฐานสังคม
อย่างยาวนาน ถูกกดข่ม ขี่ข่มเหง
ลุกฮือขึ้น เพื่อสิทธิ์เสียงของตัวเอง
หวังแสงทองของฟ้าใหม่...เปล่งชัยโย !!!

 
1. อ่านบทกวีโดย ประกาย ปรัชญา และเดือนวาด พิมวนา 
 
2. อ่านบทกวี ประกอบการถือ “กรอบรูปไม้สัก” โดย ซะการียา อมาตยา
http://www.mediafire.com/?k5mjzmdjwc3
 
3. อ่านบทกวี โดย ไม้หนึ่ง ก.กุนที 
 
4. อ่านบทกวี โดย วิภา ดาวมณี
http://www.mediafire.com/?jdf2yznrj2n
 
5. อ่านบทกวี “ความสงสัย” โดยชายชรา (ชัชชล)
http://www.mediafire.com/?gynnd2wltmz
 
6. อ่านบทกวีโดย กฤช เหลือลมัย
 
7. อ่านบทกวี "ด้วยความปรารถนาดีจาก..." แก้วตา ธัมอิน
 
8. อ่านบทกวี โดย วรพจน์ พันธุ์พงศ์

9. อ่านบทกวี โดย ธิติ มีแต้ม แด่ อำพล ตติยรัตน์ ผู้เสียชีวิต 10 เม.ย. ซึ่งกำลังจะเรียนจบคณะนิติศาสตร์ ม.ศรีปทุม
 
10. รุ่งโรจน์ วรรณศูทร อ่านเนื้อเพลงแปลไทยของวงพั้งก์ร็อคอเมริกา Anti-Flag
“You can kill the protester but you can not kill the protest”
 
11. อ่านบทกวี “แดงชาติ” โดย วัฒน์ วรรลยางกูร
 
12. อ่านบทกวีของเพียงคำ ประดับความ โดย เครือข่ายนิสิตนักศึกษาเพื่อความถูกต้อง (ก่อตั้งในเฟซบุ๊ค)
 
13. อ่านบทกวี “จำนวนผืนธงที่ถูกชักลงมาห่มคลุมอินทรีย์วัตถุ” ของพิพัฒน์ ใจบุญ โดย วาดรวี
 
14. อ่านบทกวี “ข่มขืน” ประกอบผ้าเช็ดหน้าสีขาว โดยเอกวัฒน์
 
15. อ่านบทกวี โดย เสกสรรค์ อานันทศิริเกียติ “แด่..คนึง ฉัตรเท” ผู้เสียชีวิต 10 เม.ย.
 

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เครือข่ายสันติวิธี เรียกร้อง นปช. ยุติการชุมนุม - รัฐบาลยกเลิกตัดน้ำตัดไฟที่ชุมนุม

Posted: 12 May 2010 09:27 AM PDT

เครือข่ายสันติวิธีออกแถลงการณ์เรียกให้แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การแห่งชาติ (นปช.)ยุติการชุมนุมโดยเร็วโดยปราศจากเงื่อนไข และรัฐบาลต้องยกเลิกการตัดน้ำตัดไฟโดยมีรายละเอียดดังนี้

<!--break-->

ตามที่นายกรัฐมนตรีได้เสนอกระบวนการปรองดองเพื่อเป็นการคลี่คลาย วิกฤตทางการเมืองเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2553 และหลายฝ่ายรวมทั้งเครือข่ายสันติวิธีได้แสดงความสนับสนุน  ซึ่งนปช.ได้ตอบรับที่จะเข้าร่วมกระบวนการปรองดองเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม นั้น

ต่อมาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม นปช. ได้แถลงยอมรับช่วงเวลาการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่รัฐบาลเสนอ และเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม นายกรัฐมนตรีประกาศให้ นปช. ยุติการชุมนุมโดยเร็ว ซึ่งจะเป็นแสดงถึงการยอมรับการปรองดองด้วยการกระทำ มิเพียงแต่ด้วยคำพูดเท่านั้น มิฉะนั้น จะใช้มาตรการของฝ่ายความมั่นคงเพื่อขอพื้นที่คืน 

เครือข่ายสันติวิธีเห็นว่าสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะคลี่คลายสู่การ ปรองดอง ได้กลับสู่ความตึงเครียดใหม่อีกครั้ง รวมทั้งมีความเสี่ยงต่อการใช้ความรุนแรงมากขึ้น เครือข่ายสันติวิธีจึงขอร้องให้ทุกฝ่ายพยายามอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงและ ป้องกันความรุนแรง และมีข้อคิดเห็นรวมทั้งข้อเสนอแนะ ดังนี้

1)  ขอให้แกนนำ นปช. ควรประกาศวันที่จะยุติการชุมนุมอย่างชัดเจนปราศจากเงื่อนไข และให้คำมั่นสัญญาที่จะปฏิบัติตามนั้น แล้วเข้ามอบตัวในทันที

2) ขอให้รัฐบาลไม่ดำเนินการตัดน้ำตัดไฟที่ชุมนุม เพราะทำให้เกิดความยุ่งยากในการดูแลความปลอดภัย รัฐบาลพึงตั้งอยู่ในขันติธรรม พึงละเว้นการดำเนินการที่นำไปสู่การเผชิญหน้ายิ่งขึ้นไปอีก และเดินหน้าตามกระบวนการปรองดองต่อไป

3)  การที่ นปช. เสนอให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เข้ามอบตัวรับทราบข้อกล่าวหา เพื่อแสดงความพร้อมในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วยเหตุผลและอารมณ์ความ รู้สึกต่างๆนั้น ก็เป็นเรื่องที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณพึงรับไว้พิจารณาเพื่อเห็นแก่กระบวนการปรองดอง

4)  ผู้มีอำนาจหน้าที่ไม่ควรคัดค้านคำขอประกันตัวของแกนนำ นปช. ในชั้นศาล เพราะการไม่ให้ประกันตัวและนำแกนนำไปคุมขัง ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการปรองดอง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงว่า นปช. อาจจัดการชุมนุมใน  สถานที่ต่าง ๆ โดยขาดแกนนำที่สามารถควบคุมการชุมนุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งล่อแหลมต่อการเกิดความรุนแรงมากขึ้นได้

5) ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งพรรคการเมือง ผู้สนับสนุน นปช. และสาธารณชน ควรเข้าร่วมการเรียกร้องให้ นปช. ประกาศวันที่จะยุติการชุมนุมโดยเร็ว เพื่อไม่ก่อผลกระทบที่เนิ่นนานและเกินจำเป็น โดยเฉพาะผลกระทบต่อการเปิดเรียนของนักเรียน ทั้งนี้ จะเป็นการถอยจากหุบเหวแห่งความรุนแรง  และก้าวสู่กระบวนการปรองดองที่อยู่แค่เอื้อมได้ทันท่วงที 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ดีสเตชั่นส่งสัญญาณออกฟรีทีวี ที่ จ.เชียงใหม่

Posted: 12 May 2010 08:49 AM PDT

<!--break-->

เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่าผู้ดำเนินรายการวิทยุชมชนของกลุ่มเสื้อแดงในเชียงใหม่ ได้แจ้งให้ประชาชนในตัวเมืองเชียงใหม่ สามารถจูนเครื่องโทรทัศน์ในย่าน ยูเอชเอฟ เลยช่อง 3 ไปนิดหนึ่งสามารถรับชม สถานีโทรทัศน์ดีสเตชั่น ซึ่งถ่ายทอดบรรยากาศการชุมนุมจากเวทีราชประสงค์มาให้ชาวบ้านสามารถรับชมได้ แม้แต่ใช้เสาหนวดกุ้งก็รับได้ ทางผู้สื่อข่าวได้ทดสอบลองจูนทีวีดูพบว่า สามารถจูนรับได้จริงภาพเสียงคมชัด เหมือนจานดาวเทียม แต่บางครั้งก็กระตุกไปบ้าง

อย่างไรก็ดี เมื่อได้สอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลับไม่มีใครกล้าออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ได้ โดยเจ้าหน้าที่คนหนึ่งให้ความเห็นว่า คลื่นโทรทัศน์ของดีเสตชั่น ที่สามารถออกอากาศได้เหมือนฟรีทีวีทั่วไป นั้น รูปแบบคล้ายกับทีวีชุมชุมการออกอากาศ ต่างไปจากทีวีดาวเทียม และการออกกาศในลักษณะฟรีทีวีแบบนี้ผิดกฎหมายแน่นอน

ส่วนการลิงก์ สัญญานคงจะส่งมาจากดาวเทียมแถวเพื่อนบ้าน หรือ อินเทอร์เน็ต ก่อนที่จะใช้เครื่อส่งออกอากาศขณาดเล็กไม่เกิน 2 กิโลวัต ราคาประมาณ 2 ถึง 4 ล้านบาท และเครื่องส่งต้องลักลอบนำเข้ามาจากต่างประเทศเท่านั้น คาดว่าจะติดไว้บนเสาอากาศของสถานีวิทยุชมชุมของกลุ่มเสื้อแดงในตัวเมือง เชียงใหม่ ซึ่งสามารถออกอากาศได้ครอบคลุมพื้นที่ในตัวเมืองและรอบตัวเมืองได้ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ อยู่ระหว่างการตรวจสอบที่มาการส่งสัญญาณของคลื่นดังกล่าวอยู่ว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไปกับฟรีทีวีของคนเสื้อแดง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“อำมาตย์ภาคประชาชน” เสนอปฏิรูปประเทศไทยบนกองศพวีรชนไพร่

Posted: 12 May 2010 08:32 AM PDT

<!--break-->

ถ้าความทรงจำยังมิลืมเลือน ราวหนึ่งเดือนที่ผ่านมา TPBS สภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มูลนิธิชุมชนไท และสภาองค์กรชุมชนแห่งประเทศไทย มีบุคคลสำคัญ อย่างนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับการแต่งตั้งจากอำนาจเผด็จการทหารคมช. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโน เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และนายสน รูปสูง ประธานสภาองค์กรชุมชนแห่งประเทศไทย ได้ออกมาเคลื่อนไหวให้ปฏิรูปประเทศไทย แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

และพวกเขาอ้างว่า พวกเขาเป็น “ภาคประชาชน” ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องทางการเมือง ?

เมื่อสามวันที่ผ่านมา นายประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส  นายบรรเจิด สิงคะเนติ มูลนิธิสถาบันเพื่อสังคมที่เป็นธรรม และนายไพโรจน์ พลเพชร คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน ได้ เสนอสมัชชาปฏิรูประเทศไทย เพื่อปฏิรูปประเทศไทย

พวกเขาอ้างว่า เนื่องจากที่ผ่านมาสังคมค่อนข้างสิ้นหวังกับนักการเมือง ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนแปลงกันขนานใหญ่ และในวันที่ 20 พฤษภาคม นี้เขาจะจัดเวทีใหญ่ มีนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ร่วมงานด้วย

และพวกเขาก็ชอบอ้างว่า พวกเขาเป็น “ภาคประชาชน” ผู้เป็นกลางทางการเมือง ?

แต่พวกเขาก็หาได้เป็นรากหญ้าตัวจริงไม่ พวกเขาไม่ได้ทำการผลิต ไม่ได้ใช้แรงงานทำมาหากิน พวกเขาไม่จบเพียงชั้นป.4 เหมือนมวลชนผู้ยากไร้ที่พวกเขาชอบเอ่ยอ้าง แต่พวกเขาทำโครงการ หางบประมาณ และ “สถาปนาตนเอง” เป็น “ผู้นำรากหญ้า” เป็น “ผู้นำภาคประชาชน” เป็น “ผู้นำภาคประชาสังคม” นั่นเอง โดยที่มวลชนผู้ยากไร้ก็ไม่ได้เลือกตั้งเขา

และ พวกเขาก็ไม่เคยเปิดเผยบัญชีทรัพสินย์ เหมือนนักการเมืองที่พวกเขาจงเกลียดจงชังว่าเชื่อถือไม่ได้ มีเล่ห์เหลี่ยมไม่ควรคบหาสมาคมด้วยยิ่งนัก

สำหรับผู้ที่สนใจการ เคลื่อนไหวอย่างเกาะติดการเมืองในห้วงสามสี่ปี่ที่ผ่านมา ก็จะเห็นได้ว่า พวกเขาทั้งหลายล้วน เป็นผู้สนับสนุนรัฐประหาร 19 กันยายน 49 เป็นผู้สนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลสุรยุทธ์ เป็นผู้ต่อต้านรัฐบาลทักษิณ เป็นผู้ต่อต้านรัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชาย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทั้งเปิดเผยและแนบเนียน ทั้งทางตรงและทางอ้อม

สรุปได้ว่า พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นเครือข่ายอำมาตย์ ทั้งสิ้น แม้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เป็นองคมนตรี ไม่ได้เป็นผู้นำกองทัพ ไม่ได้เป็นท่านตุลาการ

แต่พวกเขา เป็น “ภาคประชาชน” ที่ไม่ชอบประชาธิปไตย ไม่นิยมให้ผู้ปกครองผู้บริหารมาจากการเลือกตั้ง พวกเขาไม่ชอบให้ประชาชนเลือกพวกเขา แต่ชอบการแต่งตั้งจากชนชั้นนำ ชนชั้นสูง บางคนได้รับการแต่งตั้งจากคณะมนตรีความมั่งคงแห่งชาติ(คมช.) เป็นคตส. บางคนลงสมัครคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง

พวกเขายังคิดว่า “ประชาชนโง่ ถูกซื้อ” จึงเลือกผู้แทน ได้แต่นักการเมืองที่ไม่ดี ทำให้การเมืองไทยสกปรก

พวกเขาจึงมองว่า การเลือกตั้ง ไม่ใช่ประชาธิปไตย เนื่องเพราะ “คนดี มีคุณธรรม” อย่างพวกเขาไม่มีโอกาสได้รับการเลือกตั้งเป็นแน่

“ภาคประชาชน” ของพวกเขา จึงเห็นว่า คนเราไม่เท่ากัน คนจนยังโง่อยู่จะให้เท่ากับคนชั้นกลาง คนชั้นสูง ผู้มีการศึกษา ได้อย่างไรกัน

พวกเขาชวนกันเชื่อว่า หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง คนเราเท่ากัน ของระบอบประชาธิปไตย ใช้กับสังคมไทยไม่ได้ เพราะเรามีประชาธิปไตยแบบไทยๆไงท่านทั้งหลาย

“ภาคประชาชน” ของพวกเขา มีความรักชาติ ยิ่งชีพ ครั้งหนึ่ง พวกเขาจึงต้องทวงคืนเขาพระวิหาร เพราะพวกเขาเขมรปล้นไป เราคนไทยจึงยอมไม่ได้

“ภาคประชาชน” ของพวกเขา มีมาตรฐานยิ่งนัก ช่วงรัฐบาลสมชายต้องการให้ผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกจาก ทำเนียบ ออกจากสนามบิน พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างเอาการเอางานไม่ให้รัฐบาลสมชายใช้อาวุธปราบปรามผู้ ชุมนุม พวกเขาต้องการ “สิทธิมนุษยชน”

แต่เมื่อรัฐบาล อภิสิทธิ์ คนดีของพวกเขา “ขอพื้นที่คืน” โดยการใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปราบปรามคนเสื้อแดง ที่เรียกร้องประชาธิปไตยให้รัฐบาลยุบสภา และทำให้คนเสื้อแดงต้องถูกสังหารสูญเสียชีวิต 25 ชีวิต และบาดเจ็บนับพัน พวกเขาไม่ได้เรียกร้องต้องการ “สิทธิมนุษยชน” อีกแล้ว พวกเขาบอกว่า “ยุบสภาไม่ได้แก้ไขปัญหา สังคมไทยต้องปฏิรูปประเทศไทย” ซึ่งเป็นข้ออ้างหนึ่งของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ที่บอกต่อสังคมว่าได้คุยกับ ภาคประชาชนแล้วเช่นกัน

พวกเขาจึงเป็นส่วนหนึ่งทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ อย่างปฏิเสธไม่ได้

พวกเขาบอกว่า “แปรวิกฤตเป็นโอกาส” หรือว่า พวกเขา ”ฉวยโอกาสบนกองศพวีรชนไพร่” ผู้สละแม้กระทั่งชีวิตเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งสังคมต้องร่วมกันทวงถามหาความรับผิดชอบจากรัฐบาลและฆาตรกรสั่งฆ่า ประชาชนก็ต้องถูกลงโทษ มิใช่หรือ ?

พวกเขาทั้งหลายจึงเป็นได้เพียง “อำมาตย์ภาคประชาชน” นั่นเอง

ข้อเสนอการยกร่างจัดตั้งองค์การเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยเป็นองค์การมหาชนอิสระ ของพวกเขานั้น มีกำหนดระยะดำเนินงาน 5 ปี มีกรรมการไม่เกิน 21 คน ประกอบด้วยผู้มีความรู้หรือมีประสบการณ์ด้านพัฒนาประชาธิปไตย การพัฒนาสังคม และการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกภาคส่วนของสังคม

จะเป็นเช่น เดียวกับ องค์กรมหาชนทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือไม่ ? ซึ่งล้วนแต่มีคำถามและถูกวิจารณ์จากสังคมกันว่า เป็นองค์กรมียุทธศาสตร์คับแคบ มีแนวทางที่นิยมเผด็จการรวมศูนย์อำนาจ เสนอทางออกต่อชาวบ้านให้รู้จักพอเพียงพึ่งตนเอง การบริหารจัดการองค์กรที่ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ไม่มีส่วนร่วม ขัดกับหลักธรรมาภิบาลที่พวกเขาชอบอ้างอิงทั้งสิ้น

แต่กลับเป็น องค์กรที่พิจารณางบประมาณให้เฉพาะพรรคพวกที่เป็นพวกนิยมอำมาตย์ เอางบประมาณอุปถัมป์ผู้นำชาวบ้านบางคนให้เชื่องเชื่อฟังตน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ นำงบประมาณใช้เคลื่อนไหวขัดขวางระบอบประชาธิปไตย เล่นพรรคเล่นพวกไม่มีหลักการมีแต่หลักกู และใช้เงินงบประมาณที่เป็นภาษีประชาชนเพื่อครอบงำชาวบ้านให้ขึ้นตรงต่อ องค์กรมหาชนที่ชอบระบอบอำมาตยาธิปไตยมากกว่าสร้างสรรค์ประชาธิปไตย

สภาประชาชนปฎิรูปการเมืองที่พวกเขาเสนอมา ผู้เข้าร่วมก็คงเป็นเครือข่ายอุปถัมป์ค้ำชูของพวกเขา หน้าเดิมๆคนเก่าๆ ที่ทำมาหากินกับพวกเขาเสมอมา และห่างเหินคนในหมู่บ้านตนเอง เป็นผู้นำลอยจากฐานมวลชน เพราะต้องยุ่งกับการประชุมสัมมนากินกาแฟ โรงแรมหรู ค่าเบี้ยเลี้ยงคุ้ม ที่พักอย่างดีมีทั้งแอร์และน้ำอุ่น มีคาเฟ่ฟังเพลงยามค่ำคืน ไม่ใช่ตากแดดทนฝน นอนตากยุงเหมือนคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์

และก็คงล็อบบี้กัน เองภายในเลือกกันเองว่าจะเอาใครเป็นกรรมการ 21 คน ประชาชนนอกเครือข่ายอำมาตย์ไม่เกี่ยว ยิ่งประชาชนคนเสื้อแดง คงต้องถอยไปเลยไปไกลๆ แม้ว่าคนเสื้อแดงจะมีมวลมหาชนทั้งปริมาณและคุณภาพมากกว่ามวลชนพวกเขานับร้อย พันเท่าก็ตามเถิด

ส่วนผู้มีความรู้ด้านการพัฒนาประชาธิปไตยที่พวกเขา ว่า ก็คงจะกลายเป็นผู้มีความรู้ในการพัฒนาระบอบอำมาตยาธิปไตยให้เข้มแข็ง โกหกพกลม หลอกลวงโลกได้ทุกสมัยของสังคมมากกว่าการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างที่กล่าวอ้าง... แต่ที่แน่ๆ งบประมาณคงไหลมาเทมาจากรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นแน่

เพราะการปฏิรูปประเทศไทยครั้งนี้นำโดยรัฐบาลอำมาตย์ เครือข่ายอำมาตย์ และอำมาตย์ภาคประชาชน

คงต้องติดตามดูกันต่อไปว่า “ปฏิรูปประเทศไทยบนกองศพวีรชนไพร่” จะเป็นเช่นไร ?

และ “กาลเวลาจะพิสูจน์ผู้คนด้วยเช่นกัน”

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาล รธน.ขยายเวลาให้ประชาธิปัตย์แจงยุบพรรค 15 วัน

Posted: 12 May 2010 04:34 AM PDT

<!--break-->

12 พ.ค. 53 -  นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ แถลงผลการประชุมองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า ที่ประชุมได้พิจารณากรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ขอขยายเวลาการชี้แจงข้อกล่าว หาใช้เงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ ออกไปอีก 30 วัน นับจากวันที่ครบกำหนดชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยยื่นคำร้องมาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 

“ที่ประชุมพิจารณาแล้วอนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไปอีกเพียง 15 วัน นับจากวันที่ครบกำหนด หากไม่ยื่นภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าไม่ติดใจ พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้ถูกร้องรับทราบ” นายพสิษฐ์ กล่าว

นายพสิษฐ์ ยังยืนยันว่า การทำงานของศาลฯ มีมาตรฐานเดียว ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใด ก็จะให้ขยายเวลา 15 วัน เช่นกัน โดยองค์คณะจะไม่มีการประวิงเวลา หรือเร่งพิจารณาคดี แต่จะดำเนินการทำตามขั้นตอนความเหมาะสม และระยะเวลาการพิจารณาคดี จะนำไปเทียบเคียงกับพรรคพลังประชาชน ชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย ไม่ได้ เพราะทั้ง 3 พรรค มีข้อยุติมาจากศาลฎีกาแล้ว

นอกจากนี้ นายพสิษฐ์ กล่าวด้วยว่า ก่อนการพิจารณา นายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แถลงขอถอนตัวจากการพิจารณาดังกล่าว โดยอ้างว่า มีนามสกุลเดียวกับนายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ อาจถูกคัดค้านได้ ซึ่งที่ประชุมก็อนุญาตให้ถอนตัว  เมื่อถามว่า รู้สึกเป็นห่วงแรงกดดันที่จะเข้ามายังศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายพสิษฐ์ ย้ำว่า การทำงานของศาลรัฐธรรมนูญมีมาตรฐานเดียว และตอนนี้ก็ยังไม่มีแรงกดดันใด ๆ  แต่อนาคตไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม แรงกดดันต่าง ๆ จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่.

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

'สุขุมพันธ์' เผยทูตอียู ห่วงตัดน้ำ-ไฟ กระทบสถานทูต วอน 'กษิต' อย่าหาเรื่องทูตแทรกแซงการเมือง

Posted: 12 May 2010 04:29 AM PDT

ทูตอียูห่วงตัดน้ำ-ไฟม็อบ นปช.กระทบสถานทูต "สุขุมพันธ์" วอน "กษิต"อย่าสร้างปมเพิ่มหาว่าทูตแทรกการเมือง รพ.จุฬา-รพ.ตำรวจพร้อมรับมือมาตรการตัดน้ำ-ไฟ "กอร์ปศักดิ์" ระบุยกเลิกเงื่อนไขยุบสภาเหตุไม่ยุติชุมนุม

<!--break-->

12 พ.ค. 53 - นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า จากการเชิญ คณะทูตและเครือข่ายองค์กรสหประชาชาติประจำกรุงเทพฯ รวมถึง หอการค้า มาพบในวันนี้ ได้บรรยายสรุปและให้ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับสถานการณ์ในไทย โดยอธิบายถึงแผนปรองดอง 5 ประการ ยืนยันว่า การดำเนินการตามแผนไม่ขึ้นอยู่กับกลุ่มคนเสื้อแดงเท่า นั้น แต่ประชาชนโดยรวมต้องมีส่วนร่วมด้วย ซึ่งอย่างน้อยยังมีเวลา 5-6 เดือน ในการดำเนินการ พร้อมชี้แจงถึงการตัดน้ำ ตัดไฟ เพราะในบริเวณราชประสงค์ มีสถานทูตถึง 17 แห่ง โดยจะให้กระทบคน ส่วนใหญ่น้อยที่สุด พร้อมได้มีการปฏิเสธประเทศที่เสนอตัวขอเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยปัญหาให้ เพราะถือเป็นปัญหาภายในของไทย นอกจากนี้คณะทูตแต่ละประเทศต่างเห็นว่า มาตรการปรองดองเป็นทิศทางที่ดี ในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ในการชี้แจงมี นายเกียรติ สิทธิอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย ร่วมด้วย โดยมีการชี้แจงเรื่องการชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมที่แยกราช ประสงค์ ให้กับเอกชนของต่างชาติ

นอกจากนี้ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กล่าวว่า ได้ส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีต่างประเทศทั่วโลก เพื่อสรุปสถานการณ์ทางการเมืองของไทยในขณะนี้ว่า เป็นเรื่องของวิถีทางประชาธิปไตย เพื่อให้แต่ละประเทศ ได้รับทราบข้อเท็จจริงของปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ยังเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ ตนเองได้มีการเชิญทูตหลายประเทศมา เพื่อตำหนิและแสดงความไม่พอใจ กรณีที่มีทูตหลายประเทศ ไปปรากฎตัวที่เวทีการชุมนุม ของกลุ่มคนเสื้อแดงส่วนการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เรื่องการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของตนเองในวันนี้นั้น นายกษิต กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่งและไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อน หรือจะต้องเสียชีวิต หากไม่ได้เป็นรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยหวังว่า ภายใน 1-2 วัน จะมีการวางอาวุธและไปมอบตัวของแกนนำ

'สุขุมพันธ์' เผยทูตอียู ห่วงตัดน้ำ-ไฟ กระทบสถานทูต วอน 'กษิต' อย่าหาเรื่องทูตแทรกแซงการเมือง

ที่ศาลาว่าการ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 พ.ค.ภายหลังการร่วมรับประทานอาหารกับคณะทูตานุทูตในเครือสหภาพยุโรป (อียู) กว่า 10 ประเทศ ว่า ได้พูดคุยกันในหลายเรื่องโดยเฉพาะประเด็นการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่มีแนวโน้มว่ารัฐบาลจะใช้มาตรการตัดน้ำ-ไฟ เพื่อกดดันให้มีการยุติการชุมนุมในพื้นที่ราชประสงค์และโดยรอบ โดยคณะทูตานุทูตได้แสดงความห่วงใยในมาตรการดังกล่าว เพราะว่าพื้นที่โดยรอบชุมนุมนั้นเป็นที่ตั้งของสถานทูตสำคัญหลายแห่ง เช่น สถานทูตอังกฤษ สถานทูตสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้อาจจะกระทบการทำงานของเจ้าหน้าที่ นอกจากนั้นแล้วพื้นที่โดยรอบยังเป็นแหล่งที่พักอาศัยของนักท่องเที่ยวชาว ต่างชาติ เจ้าหน้าที่สถานทูตด้วย

ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ กล่าวว่าคณะทูตานุทูตได้ขอความเห็นใจจากกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ด้วยว่าการที่เจ้าหน้าที่สถานทูตไปพบปะบุคคลที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลนั้น ไม่ได้เป็นการแทรกแซงใดๆ ในเรื่องภายในประเทศ เพราะปกติสถานทูตแต่ละที่ก็จะมีการพบปะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลต่างๆ ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อย่านำประเด็นดังกล่าวมาเป็นปัญหา เพราะสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นฝ่ายค้าน คณะทูตจากหลายประเทศก็เข้าพบกับผู้บริหารพรรคได้ ถือเป็นเรื่องปกติ อย่าได้นำมาสร้างประเด็นปัญหาในช่วงที่สถานการณ์การเมืองมีความอ่อนไหว

"ขณะนี้ทราบว่าทางสถานทูตต่างๆ ได้เตรียมการแจ้งไปยังชาวต่างชาติสัญชาติต่างๆ เพื่อให้มารายงานตัวกับสถานทูต ในกรณีที่เกิดเหตุความวุ่นวาย ทางสถานทูตจะได้ติดต่อประสานงาน หรือแจ้งข่าวได้" ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าว

รพ.จุฬา-รพ.ตำรวจพร้อมรับมือมาตรการตัดน้ำ-ไฟ

ศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ ผอ.รพ.จุฬาลงกรณ์ กล่าวถึงมาตรการเตรียมพร้อม หลังรัฐบาลประกาศจะทำการตัดน้ำ ตัดไฟ บริเวณรอบสี่แยกราชประสงค์ ว่า ได้ตรวจสอบกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ พบว่าหม้อแปลงไฟฟ้าของโรงพยาบาลกับ บริเวณถนนราชประสงค์ ได้แยกออกจากกัน อีกทั้งโรงพยาบาลมีระบบสำรองไฟ และน้ำ จึงเชื่อว่าไม่มีปัญหาในการบริการประชาชน รวมถึงผู้บาดเจ็บได้ 

“การย้ายผู้ป่วยในโรงพยาบาลนั้น ขณะนี้ไม่มีความจำเป็น เนื่องจากตั้งแต่เกิดเหตุการณ์คนเสื้อแดงบุกโรงพยาบาลเมื่อคืนวันที่ 29 เม.ย. จนถึงขณะนี้ทางโรงพยาบาลยังไม่สามารถเปิดให้บริการผู้ป่วยในได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตามหากมีเหตุฉุกเฉินทางโรงพยาบาลพร้อมรองรับและเป็นโรงพยาบาลสนาม ดูแลผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บได้อย่างไม่มีปัญหา และคาดว่าหากมีการยุติชุมนุมทางโรงพยาบาลจะสามารถเปิดให้บริการได้เต็มรูป แบบ”ศ.นพ.อดิศร

พล.ต.ท.นท.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 200 เตียง โดยจะย้ายผู้ป่วยไปไว้ยังอาคารที่มีเครื่องปั่นไฟสำรองทั้งหมด ซึ่งจะสามารถใช้ได้ประมาณ 24 ชั่วโมงทั้งน้ำและไฟ โดยเป็นเครื่องระบบเติมน้ำมันดีเซล คาดว่าจะสามารถดูแลผู้ป่วยได้ไม่มีปัญหา เพราะปกติโรงพยาบาลจะมีเครื่องปั่นไฟสำรองอยู่แล้ว เพราะห้องผ่าตัดจะไม่สามารถปล่อยให้ไฟดับได้ 

"เพื่อไทย"อ้างกองทัพลำเลียงรถสายพาน100คันจากสระบุรี กรุยทางผ่าด่านเตรียมสลายม็อบแดงราชประสงค์

ด้าน พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 12 พ.ค. ว่า ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ได้ตรวจสอบพบความเคลื่อนไหวของกองทัพในการเริ่มกระบวนการสลายการชุมนุมของ ประชาชนคนเสื้ออแดงบริเวณสี่แยกราชประสงค์แล้ว ล่าสุดพบว่าในวันที่ 12 พ.ค.ได้มีการลำเลียงรถสายพานจำนวน 100 คัน จากค่ายอดิศร จ.สระบุรี ซึ่งคาดว่าจะถึงกรุงเทพมหาคร ในช่วงเย็นวันเดียวกัน เพื่อเตรียมไว้ใช้ในการกรุยทาง ผ่าด่านผู้ชุมนุม เปิดช่องให้กำลังทหารเข้าไปจัดการกับผู้ชุมนุม ซึ่งตนขอเรียกร้องให้กองทัพและรัฐบาลหยุดกระทำการเช่นนี้เสีย เพราะการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมบริเวณสี่แยกราชประสงค์จะทำให้เกิดความ เสียหายจำนวนมาก โดยเฉพาะชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งไม่ใช่หนทางในการปรองดองตามที่นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเสนอเลย

 

กอร์ปศักดิ์ระบุยกเลิกเงื่อนไขยุบสภาเหตุไม่ยุติชุมนุม

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีกล่าวกับทีวีไทยว่าการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงวันนี้ ยังไม่ยุติ และไม่มีการเจรจาใดๆเกิดขึ้นอีก ซึ่งถือว่าไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ดังนั้น การยุบสภาในวันที่ 14 พ.ย. ตามแผนปรองดองของรัฐบาลถือว่ายกเลิก

 

ที่มาข่าว: มติชนออนไลน์, สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น, เว็บไซต์ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

'ฮิวแมน ไรท์ วอทช์' ค้าน 'ไทย' ร่วมมนตรีสิทธิมนุษยชน UN

Posted: 12 May 2010 03:55 AM PDT

ฮิวแมน ไรท์ วอทช์ (Human Rights Watch) คัดค้านไม่ให้ไทยกับอีก 4 ประเทศเข้าเป็นสมาชิกคณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชนของยูเอ็น โดยชี้ว่าทั้งหมดล้วนมีประวัติละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านต่างๆ

<!--break-->

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 12 พ.ค.ว่า องค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนคัดค้านการเสนอชื่อประเทศไทย มาเลเซีย ยูกานดา แองโกล่า และลิเบีย เข้าเป็นสมาชิกคณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ  โดยระบุว่าทั้ง 5 ประเทศขาดคุณสมบัติที่เหมาะสมจะเป็นตัวแทนยูเอ็นในการจัดการและแก้ไขปัญหา สิทธิมนุษยชนต่างๆ เนื่องจากล้วนมีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ทั้งนี้ ตัวแทนองค์กรฮิวแมน ไรท์ วอทช์ (Human Rights Watch) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศขนาดใหญ่ที่เคลื่อนไหวด้านการปกป้องสิทธิมนุษย ชน เป็นแกนนำยื่นเรื่องคัดค้านตัวแทนจาก 5 ประเทศดังกล่าวที่สำนักงานใหญ่คณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชนฯในนครเจนีวาของ สวิตเซอร์แลนด์ และหวังว่าข้อเสนอดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังจากกลุ่มประเทศ สมาชิกยูเอ็น ก่อนถึงวันคัดเลือกอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีกำหนดเริ่มพิจารณาและลงมติเอกฉันท์ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.นี้.

ที่มา: ไทยรัฐ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สถานทูตไทยประจำลอนดอนพาคนไทยให้กำลังใจอภิสิทธิ์ถึงรัฐสภา

Posted: 12 May 2010 03:42 AM PDT

‘กิตติ วะสีนนท์’ ทูตไทยประจำลอนดอนพาคนไทยในอังกฤษ 14 คนเข้าให้กำลังใจอภิสิทธิ์ ตามโครงการพาคนไทยในต่างประเทศทัวร์ไทย มาร์คเชียร์ให้นำข้อมูลที่ถูกต้องไปเผยแพร่ในต่างประเทศ ด้านคณะคนไทยหนุนรัฐบาลยึดพื้นที่และสลายการชุมนุมโดยเร็ว มาร์คแจงอิดออดไม่ต้องการให้สูญเสียจึงใช้วิธีปรองดอง เพราะไม่ต้องการให้สูญเสีย

<!--break-->

ทูตพาชาวไทยในอังกฤษทัวร์ไทยและเข้าเยี่ยมอภิสิทธิ์

วันนี้ (12 พ.ค.) เวลา 13.00 น. นายกิตติ วะสีนนท์ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน นำชุมชนชาวไทยในสหราชอาณาจักรอังกฤษ จำนวน 14 คน เข้าเยี่ยมคารวะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 2 อาคารรัฐสภา 1

โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับผู้แทนชุมชนไทยในสหราชอาณาจักรฯ ที่เดินทางมาประเทศไทยตามโครงการที่จัดขึ้นโดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเทศไทยและอัตลักษณ์ของชาติ

 

มาร์คแนะให้เผยแพร่ข้อมูลสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเทศไทย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมต่อผู้จัดโครงการนี้และเห็นว่า เป็นโครงการที่มีประโยชน์สำหรับคนไทยที่เติบโตในต่างประเทศให้มีความเข้าใจ ที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเทศไทยและได้เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมไทยและขนบธรรมเนียม ประเพณีของชาวไทย ซึ่งคณะผู้แทนชุมชนต่างมีความประทับใจต่อการเดินทางมาครั้งนี้อย่างมากและจะ นำข้อมูลและประสบการณ์ที่ประทับใจที่ได้รับในการเดินทางมาประเทศไทยครั้งนี้ กลับไปเผยแพร่ให้แก่ชุมชนไทยในสหราชอาณาจักรและสาธารณชนอังกฤษผ่านช่องทางต่างๆให้มากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย เผยแพร่ เขียนบทความลงสื่อท้องถิ่น เพื่อช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเทศไทย โดยการเดินทางมาครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการได้มีโอกาสพบปะหารือกับบุคคลสำคัญในวงการต่างๆ และเยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ด้วย

 

หนุนสลายการชุมนุมโดยเร็ว มาร์คแจงจะใช้แผนปรองดองเพราะไม่ต้องการสูญเสีย

ระหว่างเข้าเยี่ยมคารวะในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เปิดโอกาสให้กลุ่มผู้แทนชาวไทยในสหราชอาณาจักร ซักถามเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ซึ่งหลายคนกล่าวว่า คนไทยในสหราชอาณาจักรได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองและเห็นใจรัฐบาลอย่างยิ่ง โดยส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นว่าอยากให้รัฐบาลยึดคืนพื้นที่และสลายการชุมนุมโดยเร็ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีทราบถึงความวิตกกังวล แต่เห็นว่า การสลายการชุมนุมที่ใช้ระยะเวลารวดเร็วจะมีแต่ทำให้เกิดความสูญเสียซึ่งรัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดขึ้น การดำเนินการของรัฐบาลนั้นอยู่ภายใต้หลักการที่ว่าผู้ชุมนุมเป็นคนไทยด้วยกันที่มีความเห็นไม่ตรงกันในทางการเมืองเท่านั้น จึงเป็นที่มาของแผนการปรองดองแห่งชาติ 5 ข้อของรัฐบาล

ในตอนท้าย ชุมชนชาวไทยแห่งราชอาณาจักรได้กล่าวชื่นชมและให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี และแสดงความพร้อมที่จะเป็นปากเสียงให้แก่คนไทยและรัฐบาลไทยต่อไป ณ สหราชอาณาจักร

 

เผยสถานทูตไทยลอนดอนเล่นบทหนุนมาร์คตลอด

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวประชาไทรายงานเพิ่มเติมว่า สถานทูตไทยประจำกรุงลอนดอน มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ในเวทีต่างประเทศ โดยระหว่างการเยือนประเทศอังกฤษเมื่อ 13-15 มี.ค. 52 ของนายอภิสิทธิ์ สถานทูตได้จัดกำหนดการให้นายอภิสิทธิ์กล่าวสุนทรพจน์และปาฐกถา โดยเมื่อ 13 มี.ค. นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวสุนทรพจน์หัวข้อ "การฟื้นฟูการร่วมมือและการผลักดันให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า" ที่แมนชั่นฮอล ซิตี้ กรุงลอนดอน

และเมื่อ 14 มี.ค. นายอภิสิทธิ์เดินทางไปมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด เพื่อกล่าวสุนทรพจน์เรื่อง "ความท้าทายของระบอบประชาธิปไตย" เพื่อชี้แจงว่ารัฐบาลไม่ได้เป็นรัฐบาลทหารหรือมีทหารอยู่เบื้องหลังการปกครอง โดยสถานทูตได้เกณฑ์นักศึกษาไทยในอังกฤษเข้าไปฟังปาฐกถา ในขณะที่ภายนอกของที่ประชุมมีคนเสื้อแดงอังกฤษชุมนุมประท้วงนายอภิสิทธิ์ ส่วนในห้องประชุมนายใจ อึ๊งภากรณ์ อดีตอาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งไปพำนักที่อังกฤษก็ลุกขึ้นอภิปรายนายอภิสิทธิ์

ปีต่อมา เมื่อวัน ที่ 28 ม.ค. 53 ที่ห้องประชุมบรูไน วิทยาลัยบูรพาและแอฟริกาศึกษา (SOAS) มหาวิทยาลัยลอนดอน และสถานทูตไทยประจำสหราชอาณาจักรและสมาคมนักเรียนไทย SOAS ได้จัดเวทีเสวนา “สถานการณ์การเมืองไทย: ความเป็นมาและอนาคต” (Thai Political Situation: Wherefrom and Whereto?)

โดยมีนักวิชาการจากไทยและอังกฤษ 4 คน เป็นผู้อภิปราย ได้แก่ ศ.เกียรติคุณ ดร.สุจิต บุญบงการ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อภิปรายเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองและบทบาทขององค์กรทางการเมืองต่างๆ ศ.ดร.ดังแคน แมคคาโก (Duncan McCargo) จากภาควิชารัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยลีดส์ อภิปรายเกี่ยวกับสถานการณ์ภาคใต้ ศ.ดร.ปีเตอร์ ไรแลนด์ (Peter Leyland) จากมหาวิทยาลัยมหานครลอนดอน (London Metropolitan University) จะอภิปรายประเด็นรัฐธรรมนูญและองค์กรภายใต้รัฐธรรมนูญ และ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า อภิปรายเรื่องทางออกจากวิกฤติการเมือง

โดยการอภิปรายเป็นไปอย่างเผ็ดร้อนเนื่องจากนายใจ อึ๊งภากรณ์ นำใบปลิวมาแจกและถูกเจ้าหน้าที่สถานทูตห้าม นอกจากนี้นายใจยังเข้าไปอภิปรายกับ ศ.ดร.บวรศักดิ์ ในที่ประชุม จน ศ.ดร.บวรศักดิ์ท้าให้อภิปรายเป็นภาษาไทยที่ไหนก็ได้ขอให้นัดวันเวลาสถานที่มา

 

ที่มาของข่าว

ชุมชนไทยในสหราชอาณาจักร เดินทางมาให้กำลังใจนายกฯ ณ รัฐสภา, ศูนย์สื่อทำเนียบรัฐบาล, 12 พ.ค. 53 http://media.thaigov.go.th/pageconfig/viewcontent/viewcontent1.asp?pageid=471&directory=1779&contents=44597

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เปิดโปรแกรมนายกฯเยือนอังกฤษ โฆษกเชิญ "ใจ" ร่วมฟังสุนทรพจน์ พร้อมโต้, ประชาไท, 12 มี.ค. 52, http://www.prachatai.net/journal/2009/03/20318

รายงานจากลอนดอน: ทูตไทยจัดถกการเมือง ‘สุจิต’ ชี้คนไทยยังต้องการ ปชต. แต่ต้องไปได้กับสถาบันกษัตริย์, 1 ก.พ. 53, http://www.prachatai.net/journal/2010/02/27557

รายงานจากลอนดอน (จบ) : ทูตไทยจัดถกการเมือง ‘เลย์แลนด์’:"ทำไม รธน. ไทยถึงทำงานไม่ได้ดี", 8 ก.พ. 53, http://www.prachatai.info/journal/2010/02/27660

เสื้อแดงคนไทยยูเคเปิดโปง นักวิชาการเหลืองที่ลอนดอน www.rednon.org/forum/index.php?topic=1409.0

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

'อำนวย-ธาริต' ชี้ 'สุเทพ' มอบตัวถูกแล้ว 'เพื่อไทย' ซัดแค่ปาหี่ ด้านญาติเหยื่อ 10 เม.ย. แจ้งความเอาผิดแล้ว

Posted: 12 May 2010 03:20 AM PDT

'อำนวย-ธาริต' ชี้ 'สุเทพ' มอบตัวถูกแล้ว ด้าน 'พรรคเพื่อไทย' ซัดแค่ปาหี่ เตือน 'ธาริต' อย่าดูแลเหนือชาวบ้านชี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้ใช้อำนาจจริง แต่ไม่มีสิทธิ์ยิงประชาชนต้องทำอย่างสุจริต ด้านญาติเหยื่อ 10 เม.ย. แจ้งความกองปราบ เอาผิด "นายกฯ-สุเทพ" แล้ว

<!--break-->

12 พ.ค. 53 - มติชนออนไลน์รายงานว่า พล.ต.ต.อำนวย กล่าวว่าจากกรณี  นายสุเทพเข้ารับทราบคำกล่าวโทษที่กรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น แกนนำนปช.บางคนประกาศไม่ยอมรับการรับทราบข้อกล่าวหา โดยบางคนบอกว่าเป็นปาหี่ ซึ่งที่เข้ามอบตัวเพราะต้องการให้แผนการปรองดองเดินไปได้และเข้าสู่กระบวน การยุติธรรม ซึ่งแกนนำ นปช.บอกว่า หากมอบตัวจะยุติการชุมนุมทันที แต่วันนี้กลับบอกว่าหากไม่มอบที่กองปราบจะไม่ยุติการชุมนุม ซึ่งขอเรียนว่า ตามมติคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่3/2553 วันที่ 16 เมษายน คดี 4 ลักษณะนี้เป็นคดีพิเศษ คือ 1.กรณีการก่อการร้าย 2.กรณีการขู่บังคับให้รัฐบาลกระทำการใดๆ 3.กรณีการทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ 4.กรณีกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการ  ซึ่งเมื่อเป็นคดีพิเศษแล้วจะกลับมาเป็นคดีธรรมดาไม่ได้   ซึ่งกรณีที่ญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 14 คนไปร้องที่ดีเอสไอให้ดำเนินคดีกับนายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) และรองสุเทพ จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 10 เมษายน กรณีนี้จึงเข้าข้อ 3 ซึ่งก็เข้าตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 มาตรา 21 เท่านั้น คดีนี้จึงถือเป็นคดีพิเศษ แม้จะแจ้งความที่ สน.หรือกองปราบ ก็ต้องสำนวนไปที่ดีเอสไอ ดำเนินการ การกล่าวโทษรองสุเทพ ในฐานะ ผอ.ศอฉ. ก็ไปรับทราบข้อกล่าวหานั้น

พล.ต.ต.อำนวย กล่าวอีกว่า อีกส่วนคือ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 250, 275และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 66 กรณีกล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือข้าราชการการเมืองอื่นกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวล กฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่กฎหมายอื่น จะต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการไต่สวน  ดังนั้นคดีนี้ดีเอสไอ ซึ่งคือตนด้วยจะรวบรวมข้อเท็จจริงส่งให้ ป.ป.ช.ต่อไป  ตาม 4 ลักษณะที่มีการตั้งขึ้น ซึ่งมาจาก 13 หน่วยงานหลักทั้ง ดีเอสไอ ตร. สำนักข่าวกรอง และหน่วยอื่นๆ ทำเป็นคณะที่จะสอบไม่ว่า นายกรัฐมนตรี รองสุเทพ หรือนปช.ถูกกล่าวหา ถือว่ามีมาตรฐานเดียวกน ทำเท่ากันไม่มีแบ่งชั้น แบ่งเกรด โดยสอบเบื้องต้นก่อนส่งให้ นปช.ไต่สวน ซึ่งเป็นกรณีคล้ายกับที่ นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีและพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ถูกกล่าวหาจากเหตุ 7 ตุลา  หาก ป.ป.ช.ไต่สวนมีความผิดชัดเจนก็จะส่งไปให้ ป.ป.ช.  โดยคดีเหล่านี้มี บช.น. 2 เรื่อง กองปราบ 3 เรื่อง แต่ทั้งหมดต้องส่งดีเอสไอดำเนินการ การบอกจะไปมอบที่กองปราบเป็นความคิดที่ผิด ไม่เข้าใจให้ถามตน  เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปมอบที่กองปราบ แต่ไปมอบที่ดีเอสไอ เพราะฉะนั้นเงื่อนไขว่าหากมอบตัวแล้ว นปช.ยุติการชุมนุมควรดำเนินได้แล้ว

“เรื่องกรณีรองสุเทพ ป.ป.ช. ก็ออกมาท้วงว่าให้ส่งมาที่ ป.ป.ช. เพื่อตั้งคณะกรรมการไต่สวนว่ามีมูลหรือไม่ หากมีมูลให้นำพยาน หลักฐานมาหักล้าง หากมีมูลก็แจ้งข้อกล่าวหาเช่น นายกฯสมชาย และพล.อ.ชวลิต ซึ่งต้องตรวจสอบว่าเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่ โดยที่รองสุเทพรับทราบข้อกล่าวหากรณีกล่าวหาว่าสั่งการให้ใช้อาวุธจริง ประทุษร้ายชีวิตต่อชีวิตและร่างกายประชาชน” รอง ผบช.น.กล่าว

เมื่อถามว่า แล้วที่ นปช. ท้วงติงว่าไม่มีการถ่ายรูป พิมพ์ลายนิ้วมือ ทำประวัติ เป็นอย่างไร พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า คณะกรรมการกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นทางผ่าน ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ต้องมีการพิสูจน์ก่อนว่ามีความผิดหรือไม่ ซึ่งต้องตรวจสอบก่อนว่า 1.ผู้ถูกกล่าวโทษเป็นข้าราชการการเมืองหรือไม่ 2.ผู้ถูกกล่าวโทษปฏิบัติหน้าที่มิชอบในการสั่งทำร้ายประชาชนหรือไม่ เพราะหากไม่เกี่ยวกับหน้าที่ส่ง ป.ป.ช.ไม่ได้

ด้านนายธาริตกล่าวว่า ขอย้ำว่าดีเอสไอไม่ได้ทำงานลำพัง ที่มีการยกระดับคดีสามัญเป็นคดีพิเศษขึ้น เพื่อให้โปร่งใสเป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ โดยตร. ดีเอสไอ อัยการสูงสุดและหน่วยอื่นๆรวมกันอีก 13 หน่วย ซึ่งที่กล่าวว่าตนเป็นหนึ่งในศอฉ. ขอเรียนว่า กรรมการในศอฉ.ก็ล้วนมาจากหน่วยบังคับกฎหมาย และหน่วยความมั่นคง ซึ่งตนก็เป็นหัวหน้าของดีเอสไอ ทางตร.ก็มี พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. เป็นหนึ่งในศอฉ.เช่นกัน ทหารก็เช่นเดียวกัน แต่เป็นคนละบทบามหน้าที่ ไม่มีประโยชน์ทับซ้อน การมอบตัวเจ้าหน้าที่ฝ่ายใดก็ตาม เมื่อกฎหมายกำหนดว่าดีเอสไอรับผิดชอบคดี ไปดีเอสไอก็ถูกต้องแล้ว เมื่อวานนี้ (11 พ.ค.)  พล.ต.ต.อำนวย และพล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. รับผิดชอบกองปราบปรามก็ไปด้วย

เมื่อถามอีกว่าทนาย นปช.บอกว่าต้องการมอบตัวแต่ติดเรื่องการประกันตัวเพราะมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้ติดขัดเรื่องประกันตัว เข้ามอบก่อน ในส่วนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน นั้น หากสถานการณ์ฉุกเฉินหมดไปแล้ว สิ้นไปแล้วก็แถลงต่อศาลว่าหมดไปแล้ว ไม่มีการชุมนุมแล้ว ก็สามารถเลิกได้ แต่เมื่อมีการชุมนุมอยู่จึงต้องคงต่อไป แต่ในเรื่องการประกันตัวนั้น หากพ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่มี ก็ไม่มีเหตุควบคุมตัวไว้ เว้นแต่คดีอาญาอื่นๆก็สู้กันต่อไปในชั้นศาล ซึ่งที่ผ่านมาศาลก็ให้ประกัน แต่ก็มีเงื่อนไข 1 2 3

นายธาริตกล่าวอีกว่า ทั้งดีเอสไอและบช.น. อยากให้นปช.ยุติการชุมนุมตามที่แจ้งกับสังคมไว้ อยากขอร้องและเรียกร้องเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปได้ และสังคมกลับคืนสู่ปกติ

เพื่อไทย ซัดปาหี่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ-ดีเอสไอ” เตือนอธิบดีดีเอสไออย่าดูแลเหนือชาวบ้าน ชี้พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้ใช้อำนาจจริง แต่ไม่มีสิทธิ์ยิงประชาชนต้องทำอย่างสุจริต

ด้านเว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า นายพีรพันธ์ พาลุสุข พร้อมด้วย พล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และนายเรืองเดช เหลืองบริบูรณ์ ทนายความของนายเกรียงไกร คำน้อย ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ร่วมกันแถลงข่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เดินทางไปพบกับอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อแสดงเจตจำนงเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหลังจากมีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษว่า ข่าวที่ออกมาเหมือนกับนายสุเทพ ทำทีต้องการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งที่อธิบดีดีเอสไอก็เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งจะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นได้อย่างไรว่า ดีเอสไอจะทำหน้าที่อย่างเป็นกลางและสุจริต

นายพีรพันธ์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอโรดแม็ปปรองดอง แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยคำขู่ว่าจะดำเนินคดีกับผู้ชุมนุม ตั้งข้อกล่าวหาแกนนำเป็นผู้ก่อการร้าย นายอภิสิทธิ์ ไม่ทำตัวเป็นนายกฯ แต่ทำตัวเหมือนเป็นคู่กรณีกับกลุ่ม นปช. จึงขอเรียกร้องให้นายกฯ มีจิตเมตตา ปฏิบัติด้วยความสุจริต เป็นกลาง และไม่เลือกปฏิบัติ เรื่องใดเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ก็ขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติ แม้ว่า พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินจะมอบอำนาจให้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะให้ไปฆ่าคนได้ การดำเนินการใดๆ ต้องสมควรแก่เหตุ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

ด้าน พล.ต.อ.วิรุฬ กล่าวว่า กรณีของนายเกรียงไกร ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกกระสุนปืนบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. บิดาของผู้ตายได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนที่ จ.ร้อยเอ็ด และพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ว่า นายกฯ และนายสุเทพ สั่งการให้ทหารสลายการชุมนุม ซึ่งมีการสอบสวนและสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว ต่อมาได้โอนคดีดังกล่าวไปให้ดีเอสไอ แต่นายสุเทพ ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา ก็ไม่ได้ไปให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนตามกระบวนการยุติธรรม แต่กลับเดินทางไปพบอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งไม่ได้เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหากับนายสุเทพ จึงไม่ได้เป็นไปตามหลัก จึงขอเรียกร้องให้นายกฯและนายสุเทพ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญาเหมือนกับคนทั่วไป เมื่อทำเช่นนี้ หากแกนนำ นปช.เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน แกนนำ นปช.ก็ควรได้รับสิทธิ์เช่นเดียวกัน

“แม้ว่า พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินจะบัญญัติให้ไม่ต้องรับผิดทางอาญา แพ่ง และทางวินัย แต่มาตรา 17 ได้ระบุถึงการกระทำที่ไม่ต้องรับผิดไว้ 3 ข้อ คือ ต้องทำการโดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่ทำเกินกว่าเหตุ และคนที่ชี้ว่าใครทำผิดต้องให้พนักงานสอบสวนดำเนินการส่งฟ้องอัยการ อัยการสั่งฟ้องก็ต้องเข้าสู่ศาล ซึ่งมีทั้ง 3 ศาล ผู้ปฏิบัติจะมาวินิฉัยเองไม่ได้ อยากเรียกร้องให้พนักงานสอบสวนมีความเป็นกลางด้วย" พล.ต.อ.วิรุฬ กล่าว และว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิต 29 คน บาดเจ็บกว่า 800 คน ก็พอแล้ว ครั้งนี้หากจะมีการสลายการชุมนุมอีก ก็ขอชีวิตทหารและตำรวจ ทำอย่างตรงไปตรงมา เท่าเทียมกัน

ขณะที่นาย เรืองเดช กล่าวว่า ขณะนี้คดีของนายเกรียงไกร ทางพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ชี้แจงว่า ได้ทำหนังสือเรียกร้องผู้ถูกกล่าวหา คือนายกฯและนายสุเทพแล้ว จึงของเรียกร้องให้ทั้ง 2 คน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในขั้นต้นอย่างถูกต้อง อย่าทำลับๆ ล่อๆ ว่า ทำแล้ว ที่ไปมอบตัวกับดีเอสไอ เป็นเพียงการโฆษณาตัวเองมากกว่า.

ญาติเหยื่อ 10 เม.ย. แจ้งความกองปราบ เอาผิด "นายกฯ-สุเทพ"
 
มติชนออนไลน์รายงานว่าเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 12 พฤษภาคม  ที่กอบบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายธนาภัทร เรืองพันธ์ เลขานุการส่วนตัว นางประทีป อึ้งทรงธรม ฮาตะ อดีต ส.ว.และอดีตแกนนำ นปช.รุ่น 2 ได้พานายบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ อายุ 52 ปี  นางนวล ฉายแม้น อายุ 45 ปี และนางจารุพร ภู่ทองชัยศรี อายุ 39 ปี ญาติของนายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์, นายจรูญ ฉายแม้น และนายวสันต์ ภู่ทองชัยศรี ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปะทะที่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน เข้าพบ พ.ต.อ.ศานิตย์ มหถาวร รอง ผบก.ป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีสั่งการให้ทหารเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงจนเป็นเหตุให้มีผู้ เสียชีวิต
 
นายบรรเจิด กล่าวว่า หวังว่ากองปราบปรามจะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริงเพราะมีอำนาจจับ กุมได้ทั่วประเทศ แม้ก่อนหน้านี้ตนเองเคยร้องทุกข์ไว้ทั้งที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) แต่เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากดีเอสไอเป็นหน่วยงานที่ขึ้นกับ ศอฉ. ตนเองเห็นว่ากองปราบปรามมีอำนาจดำเนินการได้เช่นกัน น่าจะเร่งรัดคดีและดำเนินการแทนได้
 
ด้าน พ.ต.อ.ศานิตย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 3 รายไว้ก่อน จากนั้นจะพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเสนอผู้บังคับบัญชาสั่งการต่อไป
 
  

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักข่าวพลเมือง: ชาวบ้านทับสะแกห่วงกรอบยุทธศาสตร์สภาพัฒน์ หวั่นไม่มีส่วนร่วม

Posted: 12 May 2010 02:06 AM PDT

<!--break-->

12 พ.ค. 53 - เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2553 มีการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การกำหนดวิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ โครงการวางผังอนุภาค กลุ่มจังหวัดเพชรบุรี  ประจวบคีรีขันธ์  สมุทรสงคราม  และสมุทรสาคร" ณ. ห้องประชุมแกรนด์บอลรูม ชั้น 2 โรงแรม ลองบีช ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี

นางสาวสุรีรัตน์  แต้ชูตระกูล แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "เราเป็นห่วงว่าหากใช้กรอบการพัฒนาตามแนวสภภาพัฒน์ เท่ากับกำหนดให้ตั้งแต่กุยบุรี เมือง ทับสะแก บางสะพาน บางสะพานน้อยเป็นเขตพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กและอุตสาหกรรมต่อเนื่องเช่นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ คลังก๊าซ คลังน้ำมัน เพื่อป้อนนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นแนวคิดการพัฒนาที่ชาวบ้านประจวบฯคัดค้านมาโดยตลอด จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งบานปลายไปใหญ่"

"ถึงแม้ผังอนุภาคจะเน้นการมีส่วนร่วมแต่หากยุทธศาสตร์การพัฒนาของสภาพัฒน์ ชาวบ้านไม่มีส่วนร่วม ก็จะยิ่งสร้างความขัดแย้งในสังคม ที่สภาพัฒน์ไม่เคยต้องรับผิดชอบอะไรเลย  เราเห็นว่าสภาพัฒน์ฯควรเปิดหู เปิดใจ เปิดโอกาสฟังชาวบ้านบ้าง โดยเฉพาะควรทำการประเมิลผลแนวทางการพัฒนาที่ผ่านไป10แผนแล้วว่าได้สร้างความสมดุลทางสิ่งแวดล้อม สร้างเป็นธรรม และก่อให้เกิดความยั่งยืนจริงหรือเปล่า หรือยิ่งพัฒนารวยยิ่งกระจุก จนยิ่งกระจาย โดยเฉพาะแนวคิดการพัฒนาเซาเทริน์ซีบอร์ดโดยใช้อุตสาหกรรมมลพิษสูงอย่างอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ เป็นยุทธศาสตร์หลักในการพัฒนาควรถูกทบทวนทั้งมติครม. แนวทางการส่งเสริมการลงทุน จะส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกไปทำไมในเมื่อไทยไม่มีวัตถุดิบ เทคโนโลยี และความรู้ ต้องนำเข้าทั้งสิ้น แถมยังเป็นภาระในการหาไฟฟ้าป้อนเพราะอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำใช้ไฟฟ้าเปลืองมาก อนาคตยังจะต้องถูกแบ๊คลิสจากปัญหาการปล่อยคาร์บอนไดออ๊อกไซด์สูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีก"

นางสาวสุรีรัตน์กล่าวต่อไปว่า  "การส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตเหล็กต้นน้ำ จึงเหมือนส่งเสริมให้เอาประเทศไทยเป็นกระโถนรองรับการที่ทิ้งขยะพิษอย่างถาวร ประเทศญี่ปุ่นเค้ากำลังมีนโยบายย้ายอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำออก แล้วใช้ความได้เปรียบจากข้อตกลงการค้าเสรี(FTA)หันมานำเข้าผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปแทน  ประเทศไทยควรทำนโยบายให้คนไทยรู้สึกว่ามีผู้บริหารประเทศที่ฉลาดบ้างก็จะดี หากสภาพัฒน์ฯไม่ดื้อ หันมาส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตอาหารจากเกษตรและประมง ต่อยอดผลิตภัณฑ์จากยางพารา พัฒนาพลังงานทดแทน ส่งเสริมการท่องเที่ยว เชิงนิเวศและสุขภาพ ยังจะสอดคล้องกับฐานทรัพยากร กระจายความเป็นธรรมจากการพัฒนา สร้างความสมานฉันท์ในสังคม ก่อให้เกิดความยั่งยืนมากกว่า และจะได้ความร่วมมือจากประชาชน"

 

 

(ร่าง)วิสัยทัศน์ของกลุ่มอนุภาค

การพัฒนาเมืองและชนบทอย่างสมดุลยั่งยืน

พลิกฟื้นสิ่งแวดล้อมเพื่อชนรุ่นหลัง

ผลักดันเป็นแหล่งผลิตอาหารคุณภาพ  และการท่องเที่ยวระดับสากล

เชื่อมโยงคมนาคมสะดวกทุกโครงข่าย

กระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม

บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของทุกภาคี


(ร่าง)ยุทธศาสตร์การพัฒนาอนุภาค

 

1. ยุทธศาสตร์การพัฒนาและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างสมดุล

เป็นการจัดระเบียบและกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เหมาะสมกับศักยภาพ และข้อจำกัดของพื้นที่  บนพื้นฐานในการรักษาสมดุลของสภาพแวดล้อม   รองรับการเติบโต และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชุมชนเมืองและและชนบท  โดยการพัฒนากลุ่มเมืองตามบทบาทและหน้าที่ของเมืองให้เชื่อมโยงเกื้อกูลกันทั้งในและระหว่างจังหวัด   มีการจัดเตรียมความพร้อมของพื้นที่เพื่อให้สามารถรองรับประเภทและขนาดของกิจกรรม  ที่สามารถผลักดันบทบาทของอนุภาคในด้านอุตสาหกรรมปลอดมลพิษ  การแปรรูปผลิตผลการเกษตร  อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการให้บริการ  ตลอดจนพลังงานทดแทนจากทรัพยากรท้องถิ่น    นอกจากนี้จะต้องดำเนินมาตรการเพื่อรักษาและบริหารจัดการพื้นที่เกษตร ป่า เขา ต้นน้ำ ลำธาร แม่น้ำ ลำคลอง ตลอดจนอ่างเก็บน้ำเพื่อดำรงไว้ซึ่งทรัพยากรน้ำที่มีคุณภาพ สำหรับใช้ในการเกษตร อุตสาหกรรม และการอุปโภคบริโภคอย่างยั่งยืน  ทั้งหมดนี้จะต้องดำเนินการบนกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน 

 

2. ยุทธศาสตร์อนุภาคสีเขียวเพื่อลดภาวะโลกร้อน

ยกระดับมาตรการในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้น ทั้งในระดับอนุภาคและระดับชุมชน เพื่อให้อนุภาคมีการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยที่ยังสามารถธำรงไว้ซึ่งทรัพยากรที่มีคุณค่า  โดยสร้างความแข็งแกร่งของการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนบก ชายฝั่งทะเล และทรัพยากรทางทะเล ตลอดจนแหล่งน้ำอย่างมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน  ทั้งในด้านการกำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เหมาะสมกับพื้นที่ การกำหนดประเภทและขนาดของกิจกรรมที่เหมาะสมกับแหล่งทรัพยากร  การปกป้องและฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่  เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานที่คุ้มค่า ลดการใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง  ส่งเสริมนวัตกรรมพลังงานทางเลือก  รวมถึงการปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในกลุ่มประชาชนทุกระดับ

3. ยุทธศาสตร์การพัฒนาอนุภาคเพื่อก้าวสู่ความเป็นครัวโลก

พัฒนาอนุภาคให้เป็นฐานอุตสาหกรรมเกษตร  อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารจากพืชเกษตรและประมง เพื่อรองรับการผลิตจากภาคเกษตรอย่างครบวงจร  โดยสนับสนุนและเพิ่มมูลค่าของการผลิตทั้งในระดับพื้นบ้านที่มีการผสมผสาน  และการผลิตเพื่อการส่งออก  เพื่อเป็นการขยายฐานทางเศรษฐกิจของอนุภาคในทุกระดับให้มีความมั่นคง มีเสถียรภาพ พึ่งตนเองได้  เพื่อลดผลกระทบจากเศรษฐกิจภายนอก  การเชื่อมโยงภาคเกษตรกรรมกับภาคอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ ทั้งกระบวนการผลิตและตลอดห่วงโซ่อุปทาน  ลดของเหลือทิ้งจากการแปรรูป  การจัดหาทรัพยากรน้ำและพลังงานในการผลิตอย่างพอเพียงและใช้อย่างคุ้มค่า  รวมทั้งสนับสนุนการเป็นแหล่งรวบรวมและขนส่งผลผลิตทางการเกษตรและสินค้าแปรรูปเพื่อส่งต่อไปยังตลาดผู้บริโภคภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศต่างๆ

 

4. ยุทธศาสตร์การพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบต่อเนื่อง

จากศักยภาพในด้านความหลากหลายของทรัพยากรการท่องเที่ยวในอนุภาค ควรมีการพัฒนากลุ่มเส้นทางท่องเที่ยวที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มทุกระดับ  จะทำให้สามารถกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของสภาพเศรษฐกิจ โดยการพัฒนานี้จะเน้นความเชื่อมโยงของเส้นทางท่องเที่ยวใน loop ต่างๆ  จากความสะดวกในการเดินทาง ความต่อเนื่องของแหล่งท่องเที่ยว  และรูปแบบของการท่องเที่ยว  เส้นทางท่องเที่ยวต่างๆจะเชื่อมโยงได้ทั้งภายในอนุภาคหรือระหว่างอนุภาค  โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางคมนาคม และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมารองรับ  ตลอดจนการพัฒนาศักยภาพในการท่องเที่ยวที่เหมาะสมกับความสามารถในการรองรับของแหล่งท่องเที่ยวนั้นๆ เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

 

5. ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและระบบคมนาคมขนส่งที่ทั่วถึง

จัดเตรียมความพร้อมของระบบโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ให้เพียงพอต่อความต้องการในปัจจุบันและสามารถรองรับการพัฒนาในอนาคต  และเพื่อรองรับการอยู่อาศัยและกิจกรรมเศรษฐกิจของอนุภาคทั้งในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว โดยการปรับปรุงโครงข่ายถนนให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าและผู้โดยสาร  พัฒนาระบบรางสำหรับการขนส่งมวลชนโดยการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่  การพัฒนาปรับปรุงท่าเรือชายฝั่งให้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้า ท่าเรือท่องเที่ยวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรชายฝั่ง  สร้างโอกาสให้พื้นที่อนุภาคสามารถเชื่อมโยงกับพื้นที่อนุภาคอื่นโดยเฉพาะอนุภาคกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พื้นที่ภาคใต้ และเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้โดยตรงโดยการเปิดการค้าชายแดน เพื่อขยายโอกาสการลงทุนใหม่ๆ

 

6. ยุทธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนจากฐานราก

การพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเข้มแข็งจากระดับชุมชน โดยให้ความสำคัญกับการสร้างกระบวนการเรียนรู้  การจัดเก็บองค์ความรู้  การถ่ายทอด และการต่อยอดองค์ความรู้ของชุมชน ทั้งด้านการผลิต ภูมิปัญญา  การจัดการทรัพยากรท้องถิ่น  มรดกทางศิลปวัฒนธรรม  สร้างและส่งเสริมระบบเครือข่ายเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน  โดยการสนับสนุนจากภาครัฐและท้องถิ่น  และนำกลไกชุมชนเพื่อขับเคลื่อนได้แก่ เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน  เครือข่ายสหกรณ์และกลุ่มออมทรัพย์ ตลอดจนการรวมกลุ่มทางสังคมต่างๆ  นอกจากนี้ ภาครัฐจะต้องสนับสนุนให้เกิดกระบวนการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

 

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“กษิต” รอด ไม่โดนฟันพ้นตำแหน่ง รมต.

Posted: 12 May 2010 01:42 AM PDT

<!--break-->

วันนี้ (12 พ.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นำโดย นายชัช ชลวร ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย กรณีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหาและพวก ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) ประกอบมาตรา 268และ266 (1) ที่ระบุว่า ห้ามมิให้ ส.ส.หรือ ส.ว.ใช้สถานะหรือตำแหน่ง ส.ส.และส.ว.เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงเพื่อ ผลประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกษิต สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ 

มติชนออนไลน์รายงานว่า คำร้องของนายเรืองไกรเห็นว่า นายกษิตได้ทำหนังสือเสนอแนวทางการทำงานในหน้าที่ราชการถึงนายกรัฐมนตรี เนื้อหาเข้าข่ายก้าวก่ายหรือแทรก แซงการพิจารณาคดีต่างๆ โดยอ้างถึงหนังสือลับมากและด่วนที่สุดที่ กต.1303/2555 ของกระทรวงการต่างประเทศ ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 ถึงนายกฯ ในเรื่องแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา นอกจากนี้ ยังอ้างถึงหนังสือกระทรวงการต่างประเทศ ลับมาก ด่วนที่สุดที่ กต.1302/2318 ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 โดยมีเนื้อหาข้อ 2.4 ระบุตอนหนึ่งว่าขอให้เร่งการพิจารณา คดีต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯที่ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งเห็นว่าไม่สามารถทำได้ เพราะการพิจารณาคดีต่างๆ เป็นอำนาจตุลาการ

นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้รับมอบหมายอ่านคำวินิจฉัยระบุว่า การดำเนินการของ นายกษิต ที่ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ทำตามอำนาจของกระทรวงการต่างประเทศตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 มาตรา 15 โดยภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ ที่ต้องวิเคราะห์สถานการณ์และเสนอแนะต่อรัฐบาล ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะประเทศที่มีปัญหาความสัมพันธ์กับไทย ดังนั้นการทำตามกฎหมายและดำเนินการภายใต้บทบัญญัติย่อมมิเป็นการก้าวก่าย ในเนื้อหาหรือการพิจารณาคดีของศาลให้ผิดไปจากกระบวนการของศาลได้ นอกจากนี้ตามรัฐธรรมนูญยังระบุให้การพิจารณาคดี เป็นดุลยพินิจโดยอิสระของตุลาการด้วย

“การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้องมิได้มีลักษณะในการก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ และไม่มีเค้ามูลว่าเป็นประโยชน์ของผู้ถูกร้องและผู้อื่นหรือพรรคการเมือง เพราะการเร่งรัดคดีเป็นหนึ่งในหลายแนวทางที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีหน้าที่เสนอแนะหาใช่เป็นการก้าวก่าย ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงเห็นว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกษิตไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ”

มติชนออนไลน์ยังรายงานด้วยว่า ด้านนายเรืองไกร กล่าวว่า  คำวินิจฉัยครั้งนี้จะได้เป็นบรรทัดฐานของรัฐบาลว่าสามารถทำอะไรได้อย่างไร คำตัดสินของศาลถือว่าเด็ดขาด และมีความชัดเจน ซึ่งนายกษิตก็ได้รับความเป็นธรรมในการทำหน้าที่ ทั้งนี้ตนและเพื่อนสมาชิกก็ต้องยอมรับกับคำตัดสินในครั้งนี้

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

31 องค์กรจี้รัฐหากจริงใจปรองดอง สุเทพต้องมอบตัวตำรวจ-พีเพิลแชลแนลต้องมีเสรีภาพ

Posted: 12 May 2010 01:35 AM PDT

<!--break-->

12 พ.ค. 53 - 31 องค์กรส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์จี้รัฐหากจริงใจปรองดอง สุเทพต้องมอบตัวตำรวจ-พีเพิลแชลแนลต้องมีเสรีภาพ

 

จดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์

องค์กรด้านกฎหมาย-ยุติธรรมและองค์กรสื่อสารมวลชน

รัฐจริงใจปรองดอง สุเทพต้องมอบตัวตำรวจ พีเพิลแชลแนลต้องมีเสรีภาพ

 

วิกฤตการเมืองไทย มีแนวโน้มสู่ความปรองดอง โดยรัฐบาลอภิสิทธิ์กำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2553   ภายหลังการยุบสภา เป็นคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศพึงปรารถนาอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องของแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)เพื่อให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะผู้อำนวยการศอฉ.เข้ามอบตัวกับทางตำรวจมิใช่ดีเอสไอ ในฐานะเป็นผู้ต้องหาที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจากญาติวีรชนไพร่ที่ต้องสูญเสียชีวิตจากคำสั่งบัญชาการปราบปรามผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงของนายสุเทพ  ตลอดทั้งนปช.ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์มีคำสั่งเปิดทีวีพีเพิลแชลนั่ลของคนเสื้อแดงด้วย

เราในฐานะกลุ่ม องค์กร  เครือข่ายภาคประชาชนที่มีจุดยืนเพื่อสิทธิเสรีภาพ  ความเสมอภาคและเพื่อประชาธิปไตย    มีความคิดเห็นและข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ และองค์กรที่เกี่ยวข้องดังนี้ คือ

1. เราขอเรียกร้องให้ องค์กรด้านกฎหมายและองค์กรด้านยุติธรรม  เช่น   สภาทนายความแห่งประเทศไทย  สมาคมทนายแห่งประเทศไทย  และองค์กรอื่นๆ ตลอดทั้งนักกฎหมาย ทนายความ นักวิชาการด้านกฎหมาย  ในฐานะที่มีภาระหน้าที่และเจตนารมณ์ในผดุงความยุติธรรมสังคมไทย  สร้างบรรทัดฐานที่เสมอภาคในกระบวนการยุติธรรม   ไม่ให้เกิดสองมาตรฐาน   ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการผลักดันให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมิใช่ดีเอสไอ  เนื่องจากตามหลักของกระบวนการยุติธรรมนั้นต้องมอบตัวคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น    ตลอดทั้งดีเอสไอ เป็นส่วนหนึ่งของศอฉ. หรือเป็นพวกเดียวกับนายสุเทพ  จึงไม่มีความชอบธรรมแต่อย่างใด และมิอาจจะไว้ใจให้ดำเนินคดีเพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อญาติวีรชนไพร่และสังคมไทยได้  

2.เราขอเรียกร้องให้องค์กรสื่อสารมวลชน   เช่น  สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ, สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย, สมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย เครือข่ายบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคเหนือ, เครือข่ายบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคอีสาน เครือข่ายบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคใต้ 

เครือข่ายบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคกลางและภาคตะวันออก  สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย   ตลอดทั้งนักข่าว  นักสื่อสารมวลชน นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน ผู้เคารพสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน  โดยเฉพาะเมื่อสี่วันที่ผ่านมา ได้นำเสนอวาระให้มีการปฎิรูปสื่อมวลชนในการปฏิรูปประเทศไทย  ต้องแสดงจริยธรรมของนักสื่อสารมวลชน มีความเป็นอิสระ เป็นกลาง มีความรับผิดชอบต่อสังคมไทย และถ้ามีความจริงใจต่อการปฏิรูปสื่ออย่างไม่ลำเอียง มีจิตใจที่เป็นธรรม ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้จากทุกกลุ่มไม่เพียงสื่อของรัฐ หรือสื่ออย่างASTV เท่านั้น   ต้องร่วมผลักดันให้รัฐบาลอภิสิทธิ์มีคำสั่งเปิดทีวีพีเพิลแชลนั่ลโดยทันที 

3. เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์   แสดงความจริงใจในแนวทางปรองดองอย่างไม่มีวาระซ่อนเร้น  ไม่มีเลห์เพทุบายต่อการชุมนุมของคนเสื้อแดง  และสร้างความยุติธรรมในกระบวนการด้านคดี  ตลอดทั้งให้เสรีภาพกับสื่อสารมวลชนทุกกลุ่ม  โดยการยอมรับข้อเรียกร้องของนปช.โดยทันที    มิใช่สร้างเงื่อนไขเพื่อการปราบปรามคนเสื้อแดงด้วยความรุนแรงอย่างที่ผ่านมาอีก             

1.  เครือข่ายองค์กรชุมชนแก้ปัญหาที่ดินภาคอีสาน  (คอป.อ.)

2.  เครือข่ายองค์กรชาวบ้านอนุรักษ์น้ำเซิน  (คอซ.)

3.  เครือข่ายองค์กรชาวบ้านลุ่มน้ำปาว (คอป.)

4.  เครือข่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภูค้อ-ภูกระแต  จังหวัดเลย

5.  เครือข่ายคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน (คอส.)

6.  แนวร่วมเกษตรกรภาคอีสาน (นกส.)

7.  เครือข่ายคนรุ่นใหม่ลุ่มน้ำโขง  จังหวัดอุบลราชธานี

8.  กลุ่มสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมอีสาน (กสส.)

9.  กลุ่มดงมูลเพื่อการพัฒนา  จังหวัดกาฬสินธุ์

10. เครือข่ายอนุรักษ์ภูผาเหล็ก  จังหวัดอุดรธานี

11. กลุ่มภูพานเพื่อการพัฒนา  จังหวัดสกลนคร

12. เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน  จังหวัดชัยภูมิ

13. กลุ่มประชาชนไทยแวงน้อย-แวงใหญ่  จังหวัดขอนแก่น

14. กลุ่มเยาวชนมิตรภาพ  จังหวัดขอนแก่น

15. กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์น้ำพรมตอนต้น  จังหวัดชัยภูมิ

16. กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์ลุ่มน้ำบัง  จังหวัดนครพนม

17. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ยโสธร  จังหวัดยโสธร

18. สหพันธ์เยาวชนอีสาน (สยส.)

19. แนวร่วมเกษตรกรภาคเหนือ (นกน.)

20. ชมรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือตอนล่าง

21. เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมพู  จังหวัดพิษณุโลก

22. เครือข่ายส่งเสริมสิทธิการจัดการทรัพยากรภาคเหนือตอนล่าง (คสปล.)

23. สหพันธ์เยาวชนคลองเตย (สยค.)

24. เครือข่ายองค์กรชุมชนคลองเตย

25. เครือข่ายชุมชนเมืองบ่อนไก่ กทม.

26. กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ

27. เครือข่ายอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนเขลาโคก  จังหวัดร้อยเอ็ด

28. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านนางรอง  จังหวัดบุรีรัมย์ 

29.กลุ่มคนรุ่นใหม่ภาคใต้

30.กลุ่มนักศึกษาภาคเหนือเพื่อประชาธิปไตย

31.ชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย

 

 

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"ชวรัตน์" ห่วง ร.ร.อีสาน สอดแทรกเนื้อหาหมิ่นสถาบัน/สั่งตั้งอาสาสมัครปกป้องสถาบัน 8.7แสนคนทั่วประเทศ

Posted: 12 May 2010 01:23 AM PDT

<!--break-->

 เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 พ.ค. นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ ข่าวแต่ละวันไม่เหมือนกัน ยิ่งกลุ่ม นปช.รียกร้องให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ เป็นเหมือนการฟื้นฝอยหาตะเข็บเล็กๆ น้อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ยังไม่จบ และเป็นเรื่องที่นำมาอ้างกันได้ ดังนั้นควรดูที่หลักการในแผนปรองดอง 5 ข้อที่นายกรัฐมนตรีประกาศไว้เป็นหลัก เพราะเป็นสิ่งที่ดูแล้วปฏิบัติได้ และมีการแลกเปลี่ยนกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีกระแสข่าว มี 38 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีบางโรงเรียนสอดแทรกเนื้อหาที่เป็นลบต่อสถาบันฯ จะมีการสั่งการตรวจสอบอย่างไร นายชวรัตน์ ตอบว่า ยังไม่ได้รับข่าวนี้ แต่ถ้าข่าวนี้จริง เป็นเรื่องน่าวิตก และจะกำชับให้ ผวจ.สั่งทางศึกษาจังหวัดให้เร่งตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธิการควรเข้าไปควบคุมให้มากกว่านี้ โดยกระทรวงมหาดไทยจะเข้าไปร่วมด้วยในนโยบายปกป้องสถาบันควบคู่กันไป 

เมื่อถามว่า มีการประเมินแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลว่า แกนนำกลุ่ม นปช.สายฮาร์ดคอร์ จะมีการลอบยิงกันเองเพื่อสร้างสถานการณ์ให้ยืดการชุมนุมออกไป นายชวรัตน์ตอบว่า ไม่ทราบ ตนไม่ได้ไปแถวนั้น เมื่อถามว่า หากแผนปรองดอง 5 ข้อไม่สำเร็จ รัฐบาลจะมีแผนการสำรองอื่นไว้ดำเนินการหรือไม่ นายชวรัตน์ตอบว่า นายกฯยังไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ระบุว่า ให้วันที่ 12 พ.ค.เป็นวันดีเดย์ของการยุติการชุมนุม และต้องดูว่าหากครบวันนี้แล้ว นายกฯจะมีการดำเนินการสั่งการอะไรต่อไป ส่วนจะมีการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมหรือไม่นั้น อยู่ที่นายกฯตัดสินใจ แต่กลัวว่าภายในสัปดาห์นี้จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น หวังว่าคงไม่มี

วันเดียวกัน นายชวรัตน์ กล่าวในการประชุมกระทรวงมหาดไทยว่า ขอกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ลงพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องของสิทธิและหน้าที่ของ พลเมือง ตามระบอบประชาธิปไตย รวมถึงการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเที่ยงตรง และยับยั้งการกระทำผิดให้ได้มากที่สุด เพื่อให้สังคมไทยกลับมาสู่ความสามัคคี โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย โดยกระทรวงมหาดไทยเดินหน้านโยบายบายปกป้องสถาบัน เพื่อเสริมสร้างความสมานฉันท์ และมอบหมายให้กรมการปกครองจัดทำโครงการอาสาสมัครป้องกันสถาบันขึ้น เพื่อเป็นพลังในการเฉลิมพระเกียรติ และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และสร้างความสามัคคีให้กับประชาชน

ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่า สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ดีขึ้น แผนการปรองดองยังไม่บรรลุเป้าหมาย ผวจ.จะต้องเข้มข้นในการเฝ้าระวังการบุกรุกสถานที่ราชการ อย่าประมาท โดยเฉพาะจังหวัดที่มีการตั้งเวทีปราศรัยใกล้ศาลากลางจังหวัดนั้น สามารถทำได้ตามสิทธิเสรีภาพ แต่ต้องระวัง หากมีการตั้งใกล้ศาลากลางจังหวัด ผวจ.ต้องพิจารณาทบทวน เพราะหากมีการเป่านกหวีดจากเวทีใหญ่ที่ราชประสงค์ ผู้ชุมนุมอาจบุกรุกเข้าศาลากลางจังหวัดได้ จะต้องสนธิกำลังเพื่อรักษาสถานที่ราชการ

ขณะที่นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีรายงานการขนมวลชนในต่างจังหวัด เข้ามาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ว่า ยังคงมีอยู่ แต่ประเมินตัวเลขได้ยาก เพราะมีประชาชนที่เดินทางเข้ามาร่วมชุมนุม ขณะเดียวกันก็มีผู้เดินทางกลับไป ซึ่งจากรายงานทราบว่า จำนวนผู้ชุมนุมลดลงไปกว่าเมื่อช่วงที่มีการนัดชุมนุมใหญ่ จึงไม่อยู่ในจุดที่น่าห่วงใย และแต่ละจังหวัดก็ไม่มีการเฝ้าระวังพื้นที่ใดเป็นพิเศษ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ศอฉ.ได้เชิญผวจ. 38 จังหวัดจากภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง มาร่วมประชุมที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.)

สั่งตั้งอาสาสมัคร 8.7แสนคนทั่วประเทศเป็นพลังปกป้องสถาบัน

มติชนออนไลน์ รายงานว่าในการประชุมกระทรวงมหาดไทย ผ่านระบบวีดีทัศน์ทางไกลผ่านดาวเทียม(วิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์) ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ วันที่ 12 พฤษภาคม นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ  ลงพื้นที่ ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน ในเรื่องของสิทธิ และหน้าที่ของพลเมือง ตามระบอบประชาธิปไตย รวมถึงการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิ ของผู้อื่น รวมทั้ง กำชับให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเที่ยงตรง และยับยั้งการกระทำผิดให้ได้มากที่สุด เพื่อให้สังคมไทย กลับมาสู่ความสามัคคี โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย

"กระทรวงมหาดไทย ยังคงเดินหน้านโยบายบายปกป้องสถาบัน เพื่อเสริมสร้างความสมานฉันท์ โดยจะไปร่วมกิจกรรมตามจังหวัดต่าง ๆ  ได้มอบหมายให้กรมการปกครอง จัดทำ โครงการอาสาสมัครป้องกันสถาบันขึ้น  เพื่อเป็นพลังในการเฉลิมพระเกียรติ และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และสร้างความสามัคคีให้กับประชาชน ขอให้จังหวัดดำเนินการ ให้มีอาสาสมัครปกป้องสถาบัน อำเภอละไม่น้อยกว่า 1,000 คน ทำให้เราจะมีอาสาสมัครฯ ประมาณ 878,000 คน ไว้เป็นพลังสำคัญในการปกป้องสถาบันต่อไป

ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่า สถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่ดีขึ้น แผนการปรองดองยังไม่บรรลุเป้าหมาย ผู้ว่า ฯจะต้องเข้มข้นในการเฝ้าระวังการบุกรุกสถานที่ราชการ อย่าประมาท โดยเฉพาะจังหวัดที่การตั้งเวทีปราศรัย ใกล้ศาลากลางจังหวัด นั้น สามารถทำได้ ตามสิทธิ์เสรีภาพ แต่ต้องระวังหากมีการตั้งใกล้อยู่อยู่ในศาลากลางจังหวัด  ผู้ว่าฯ ต้องพิจารณาทบทวน เพราะหากมีการเป่านกหวีดจากเวทีใหญ่ที่ราชประสงค์ ผู้ชุมนุมอาจบุกรุกเข้าศาลากลางจังหวัด ได้ ผู้ว่าฯ จะต้องสนธิกำลังเพื่อรักษาสถานที่ราชการ

นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า หากให้ผู้ว่าฯมั่นใจว่า หากท่านทำงานเพื่อประโยชน์ และเพื่อประเทศชาติกระทรวงมหาดไทยจะปกป้องดูแลท่าน ขออย่าได้หวั่นไหว ให้เดินหน้าทำงานในเรื่องที่เป็นประโยชน์ และเป็นเรื่องที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ในฐานะที่ตนเป็นคณะกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)มีข้อ สั่งการไปยังท่าน ให้ติดตามพฤติกรรมของวิทยุชุมชนในจังหวัด อย่าให้มีการพาดพิงสถาบัน และไม่ใช้มีการปลุกปั่นยั่วยุ หากผู้ว่าฯไม่ต้องการที่จะมีปัญหากับมวลชนในจังหวัด ให้แจ้งมายังศอฉ. และทางศอฉ. จะส่งหน่วยปราบปรามไปดูแลให้

ไอซีทีฉวยจังหวะการเมืองแรงตะลุยของบฯด้านไอทีซีเคียวริตี้กว่า 200 ล้านบาทไล่ล่าและสกัดกั้นเว็บไซต์หมิ่นสถาบัน 

 ด้านประชาชาติธุรกิจรายงานว่าแหล่งข่าวจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) เปิดเผย"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในรอบ1 ปีที่ผ่านมากระทรวงได้ใช้งบประมาณเพื่อพัฒนาด้านไอทีซีเคียวริตี้และการป้องกันภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก โดยนับตั้งแต่เดือน พ.ค.2552 มีการใช้งบฯกว่า196 ล้านบาท ทั้งการวางระบบ จ้างที่ปรึกษา จัดฝึกอบรมบุคลากร ซึ่งเฉพาะไตรมาสแรกของปีนี้มีการใช้งบฯไปแล้วกว่า81.4 ล้านบาท และขณะนี้กำลังเปิดขายซองเพื่อจัดซื้อจัดจ้างในโครงการรพัฒนาระบบการสืบสวนและพิสูจน์หลักฐานเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้วยราคากลาง43.96 ล้านบาทโดยมีกำหนดจะอีออกชั่นหาผู้ชนะการประมูลในวันที่10 มิ.ย.นี้

"ยอมรับว่า โครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงด้านไอทีซีเคียวริตี้ยังต้องการพัฒนา แต่ปัญหาที่กระทรวงต้องเจอในขณะนี้ คือการเบิกจ่ายงบประมาณไม่ทันตามกรอบเวลา เนื่องจากการวางระบบงานด้านซีเคียวริตี้มีความซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการติดตั้งพอสมควร เช่นเดียวกับการอบรมบุคลากรด้านนี้ ก็ต้องใช้เวลา จึงจะเกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำให้เสร็จ ๆ เพื่อให้เบิกเงินงบประมาณได้"

ที่สำคัญ คืองบประมาณในส่วนนี้มีหลายโครงการเป็นงบฯพิเศษ ที่ฝ่ายการเมืองเป็นผู้ขอไปยังสำนักงบประมาณ โดยอ้างถึงความจำเป็นในการปราบปรามเว็บไซต์หมิ่นสถาบัน จึงทำให้มีหลายโครงการมีความซ้ำซ้อนกับโครงการปกติ ที่กระทรวงได้ขอไปแล้ว โดยไม่จำเป็น แต่เนื่องจากการเมืองอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติ สำนักงบประมาณจึงอนุมัติให้เต็มที่ เพราะไม่อยากถูกกล่าวหาว่าไม่สนับสนุนการดำเนินการของรัฐด้านความมั่นคง

"เช่นก่อนหน้านี้ กระทรวงมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่สืบสวนและพิสูจน์หลักฐานทางไอที ซึ่งดำเนินการปิดเว็บบล็อกเว็บไซต์มอนิเตอร์ภัยทางความมั่นคงที่มาทางอินเทอร์เน็ต เป็นสารวัตรไซเบอร์อยู่แล้วต่อมาก็ได้มีการของบฯเพื่อตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังภัยคุกคามด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือISOC ขึ้นมาอีก67 ล้านบาท พร้อมค่าเช่ารายปีอีก6 ล้านบาท"

และเมื่อ ก.ย.2552 ก็ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อครุภัณฑ์สำหรับโครงการจัดตั้งศูนย์สืบสวนและพิสูจน์หลักฐานทางเทคโนโลยี วงเงิน39.94 ล้านบาท พร้อมจัดอบรมบุคลากรภายใต้โครงการนี้อีก2.95 ล้านบาท

แหล่งข่าวกล่าวว่า โครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบความมั่นคงปลอดภัยทางไอที ส่วนใหญ่เป็นการจัดจ้างด้วยวิธีการพิเศษ อาทิ เมื่อ19พ.ค.52 ได้ทำสัญญาจ้างดำเนินงานโครงการตรวจสอบและพัฒนาระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบไอซีทีกลางกับบมจ.กสท โทรคมนาคมมูลค่า2.5 ล้านบาท เมื่อ31 มี.ค.53 ได้ทำสัญญาจ้างดำเนินการโครงการพัฒนาระบบความมั่นคงและปลอดภัยทางไอที กับ บมจ.อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสิรช คอร์ปอเรชั่นวงเงิน53.4 ล้านบาท พร้อมทำสัญญาจ้างที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไอที และพัฒนาแนวทางรับมือกับภัยไอทีกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มูลค่า28 ล้านบาท เมื่อสิ้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา

"เวลานี้ งบประมาณปี2552 ของหลายโครงการยังไม่ได้เบิกจ่าย เพราะยังติดตั้งระบบไม่เสร็จตามทีโออาร์ แต่งบฯปี2553 ก็เร่งให้จัดซื้อจัดจ้าง แถมยังมีคำสั่งให้ของบประมาณในปี2554 เพิ่มอีก70 กว่าล้านบาท เพื่อดูแลเรื่องการป้องกันภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะ จึงเป็นที่น่ากังวลว่า เมื่อใกล้ถึงกำหนดต้องส่งคืนเงินงบประมาณจะรีบเร่งให้มีการจัดซื้อจัดจ้างโดยที่รัฐไม่ได้ประโยชน์สูงสุด"

 

ที่มาข่าว: เว็บไซต์ไทยรัฐ, มติชนออนไลน์, ประชาชาติธุรกิจ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศอฉ. แถลงตัด 'น้ำ-ไฟ-โทรศัพท์' ราชประสงค์เที่ยงคืนนี้ นปช.ลั่นให้รัฐเลือก 'สุเทพ' หรือประชาชน

Posted: 12 May 2010 01:02 AM PDT

<!--break-->

เมื่อเวลา 10.30 น. เวลา 10.50 น. ณ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11รอ.) พันเอก สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษกศอฉ. แถลงภายหลังการประชุมศอฉ. ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการศอฉ. เป็นประธานการประชุมดังนี้

โฆษกศอฉ. กล่าวว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่กลุ่มผู้ชุมนุมนปช. ได้เริ่มชุมนุมในพื้นที่ต่าง ๆ ศอฉ. ได้ปฏิบัติงานควบคู่กับรัฐบาลมาโดยตลอด พยายามทุกวิถีทางที่จะนำความสงบกลับมาสู่บ้านเมืองด้วยวิธีการในลักษณะของ การไม่ใช้กำลังเกินความจำเป็น มีการขอคืนพื้นที่บางส่วน มีการบังคับใช้กฎหมายโดยใช้มาตรการจากขั้นเบาไปหาหนัก และได้มีการชี้แจงกับกลุ่มผู้ชุมนุมและประชาชนทราบอยู่ตลอดเวลาว่า การชุมนุมดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย รัฐธรรมนูญไม่คุ้มครอง เนื่องจากเป็นการชุมนุมที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนกับประชาชนโดยทั่วไป ทำให้เจ้าหน้าที่ส่วนราชการต่าง ๆ ปฏิบัติภารกิจด้วยความยากลำบาก มีการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อยู่ตลอด และที่สำคัญคือมีกลุ่มก่อการร้าย มีกองกำลังติดอาวุธแฝงตัวปะปนอยู่ในพื้นที่การชุมนุม ซึ่งพื้นที่การชุมนุมที่ราชประสงค์ขณะนี้เป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย โดยศอฉ.ได้พยายามชี้แจงประชาชนมาโดยตลอด จวบจนกระทั่งนายกรัฐมนตรีได้ประกาศแผนปรองดองมีข้อความสำคัญ 5 ประการ ที่ในชั้นต้นเข้าใจว่าน่าจะได้รับการตอบรับจากแกนนำของกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งถือว่ามีสัญญาณที่ดีในระยะแรก ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ในที่สุดวันนี้สังคมได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมได้พยายามตั้งเงื่อนไขรายวัน บิดพลิ้วเรื่องต่าง ๆ เพียงเพื่อที่จะประวิงเวลาออกไป แม้ว่าส่วนต่าง ๆ ของศอฉ. หรือแม้กระทั่งรองนายกฯ สุเทพได้ไปรับทราบข้อกล่าวหาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษแล้วก็ตาม และในวันนี้ก็มีความชัดเจนมากขึ้นว่าแกนนำของกลุ่มนปช. ได้ประกาศชัดเจนว่าจะไม่ยอมรับการดำเนินการใด ๆ

ดังนั้น ในขั้นตอนต่อไป ช่วงเช้าที่ผ่านมาศอฉ. ได้มีการประชุมสรุปว่า มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการกดดันพื้นที่การชุมนุมอย่างเต็มรูปแบบ โดยเริ่มต้นตั้งแต่วิธีการที่ไม่ใช้กำลังก่อน ด้วยการกำหนดตัดน้ำไฟ สาธารณูปโภค โทรศัพท์ การเดินทางในลักษณะของการใช้การบริการสาธารณะ รถเมล์ รถไฟฟ้า เส้นทางน้ำในคลองแสนแสบ ในบริเวณพื้นที่ชุมนุมทั้งหมด จะมีการปิดเส้นทางเข้า - ออก เส้นทางการส่งกำลังบำรุงให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุม ซึ่งอาศัยอยู่ภายในบริเวณพื้นที่การชุมนุม หรือบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงอาจจะต้องได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจที่ตั้งด่านอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่การชุมนุม จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับท่านในการที่จะผ่านเข้า - ออก อาจจะต้องมีการทำเอกสารเป็นรายบุคคล โดยมาตรการต่าง ๆ ดังกล่าวจะเริ่มเร็วที่สุดตั้งแต่เที่ยงคืนวันนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะได้มีการเชิญหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการที่กำหนดมาหารือในรายละเอียดข้อปฏิบัติในวันนี้

โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ต้องขอเรียนถึงประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมในบริเวณพื้นที่ที่พัก อาศัยอยู่ แม้กระทั่งคณะทูตานุทูตต่าง ๆ ซึ่งมีสถานที่ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ชุมนุม หรือบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง ว่าอาจจะต้องประสบกับปัญหาความไม่สะดวก ไม่สบาย ในการใช้ชีวิตประจำวัน ศอฉ. จึงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ทันทีที่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับคืนสู่ปกติ ทั้งนี้ การชี้แจงข้อมูลรายละเอียดทั้งหมด จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบอีกครั้ง โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่ชุมนุมและใกล้เคียง ทั้งด้วยใบปลิว การส่งข้อความสั้นเข้าโทรศัพท์ การชี้แจงผ่านเครื่องขยายเสียง รถขยายเสียง วิทยุ และโทรทัศน์

พร้อมกันนี้ โฆษกศอฉ. กล่าวว่า ในเวลา 13.00 น. วันนี้จะมีการเชิญผู้ว่าราชการจังหวัด 38 จังหวัดมาชี้แจงทำความเข้าใจถึงแนวทางในการปฏิบัติเมื่อมีการกดดันพื้นที่ การชุมนุมบริเวณราชประสงค์ ที่อาจจะมีผลกระทบในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ซึ่งประเด็นการประชุม อาจจะประกอบด้วยเรื่องการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน เพื่อไม่ต้องการให้มีการเดินทางเข้ามาร่วมนื้นที่การชุมนุม มาตรการการปฏิบัติเพื่อดูแลความปลอดภัยภายในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ หากมีการกดดันพื้นที่การชุมนุมที่ราชประสงค์ ซึ่งจะมีผลเกี่ยวเนื่องกัน

" ต้องเรียนซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า มาตรการที่เราได้เริ่มต้นบังคับใช้กฎหมาย และกดดันพื้นที่การชุมนุมมอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่เที่ยงคืนวันนี้เป็นต้นไป นั้น เป็นความพยายามอย่างที่สุดแล้ว ที่จะหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสีย เพราะฉะนั้นมาตรการในขั้นต้น เรื่องของการตัดการส่งกำลังบำรุง ปิดเส้นทางการเข้าแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ จำกัดการใช้บริการสาธารณูปโภคทั้งหลาย ถือว่าเป็นมาตรการในขั้นเริ่มต้นของการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มรูปแบบใน วันนี้ มั่นใจว่าทางศอฉ. จะสามารถควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ส่วนมาตรการที่จะมีต่อไปหลังจากนี้ ยังขอไม่เรียนให้ทราบ ขอแจ้งในขั้นต้นก่อน" โฆษกศอฉ. กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อมีการดำเนินการเต็มรูปแบบแล้ว ในส่วนของอาวุธที่ยังไม่ได้คืนมา จะมีการดำเนินการอย่างไร โฆษกศอฉ. กล่าวว่า กระบวนการในการขอคืนอาวุธได้เคยชี้แจงติดต่อผ่านผู้ที่ประสานงานกับแกนนำ นปช. แล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง ซึ่งไม่เป็นไร เป็นหน้าที่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องติดตามนำอาวุธเหล่านั้นกลับมาคืนตาม กระบวนการที่ทางกองทัพได้แจ้งความไว้ ส่วนการปฏิบัติภารกิจในลักษณะของการกดดันพื้นที่การชุมนุมในขั้นต่อ ๆ ไปซึ่งจะต้องมีการใช้กำลังนั้น ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องก็ได้ประเมินสถานการณ์ และกำหนดสมมติฐานต่าง ๆ ต่อการที่กลุ่มก่อการร้ายจะนำอาวุธเหล่านั้นมาใช้ไว้เรียบร้อยแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า พื้นที่ที่จะมีการตัดน้ำตัดไฟ จะมีบริเวณใดบ้าง โฆษกศอฉ. กล่าวว่า รายละเอียดเรื่องอาณาบริเวณจะมีการประชุมหารือในวันนี้ แต่นี่คือหลักการ จะต้องไปดูในรายละเอียดของแต่ละแบบ เช่น เส้นทางทางน้ำในคลองแสนแสบก็อาจจะต้องปิดตั้งแต่ท่าสุขุมวิทท 15 เป็นต้นไป จนกระทั่งถึงท่าบ้านครัวเหนือ เป็นต้น ในส่วนของรถไฟฟ้าก็อาจจะต้องปิดตั้งแต่สถานีสยาม ไปจนถึงสถานีเพลินจิต ราชดำริ ชิดลม แต่ถ้าทางรถไฟฟ้าบอกว่าเป็นไปไม่ได้ จะต้องปิดทั้งเส้นทางก็คงจะต้องเป็นลักษณะนั้น เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในเรื่องการตัดน้ำตัดไฟ หมายความว่าบรรดาธุรกิจที่อยู่รอบ ๆ พื้นที่ราชประสงค์จะต้องได้รับผลกระทบด้วยใช่หรือไม่ โฆษกศอฉ. กล่าวว่า แน่นอนว่าต้องได้รับผลกระทบ แต่นี่คือสิ่งจำเป็นที่สุด และเราเชื่อมั่นว่าประชาชนในพื้นที่ได้เข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องทำอย่าง นั้น เพราะว่าเป็นวิธีการเดียวที่จะหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเสียเนื้อของกลุ่มผู้ ชุมนุม แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นจุดสุดท้าย ถ้ามาตรการที่เราได้ดำเนินการ พยายามที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอย่างที่สุดแล้ว นั้นไม่เป็นผล ก็คงต้องมีมาตรการที่เข้มข้นมากกว่านี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนที่ศอฉ. จะมีมตินี้ได้มีการประสานกับภาคธุรกิจในบริเวณนั้นบ้างหรือไม่ และมีการตอบรับอย่างไร โฆษกศอฉ. กล่าวว่า ได้มีการเคยเรียนให้ทราบคร่าว ๆ ไปแล้ว วันนี้คงมีการชี้แจงทำความเข้าใจเพิ่มเติม

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการประเมินหรือไม่ว่ามาตรการนี้จะใช้เวลาประมาณเท่าไร โฆษกศอฉ. กล่าวว่า เวลาคงตอบไม่ได้ แต่ขณะนี้สิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้กำหนดเวลาไว้คือกลุ่มผู้ชุมนุมจะต้องยุติ การชุมนุมแบบไม่มีเงื่อนไขภายในวันนี้ หมายความว่าเที่ยงคืนวันนี้จะเริ่มมีมาตรการ ส่วนจะใช้มาตรการนี้ไปนานแค่ไหนก็จะดูผลที่เกิดขึ้น แต่คงไม่เนิ่นนาน เพราะมีขีดจำกัดในเรื่องเวลาเปิดเทอมของเด็กนักเรียน ซึ่งมีผลต่อความปลอดภัยของเยาวชนของชาติอีกจำนวนมาก

โฆษกศอฉ. กล่าวด้วยว่า ประชาชนที่มีพื้นที่พักอาศัยหรือทำงานอยู่ในบริเวณย่านราชประสงค์ โดยในส่วนผู้ที่มีที่พักสำรอง เราก็อยากจะวิงวอนว่าจะขอความกรุณาให้ท่านออกจากพื้นที่ก่อน แต่ถ้าไม่มีที่พักสำรองจริง ๆ จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจที่อยู่ในด่านจะอำนวยความสะดวกออกเอกสารให้ เพื่อให้ท่านสามารถที่จะแสดงบัตรที่เจ้าหน้าที่กำหนดขึ้น ในการผ่านเข้า-ออก ทั้งนี้ ผลกระทบต้องมีแน่นอนในเรื่องของสาธารณูปโภคทั้งหลาย ซึ่งจะต้องแจ้งเตือนให้ทราบ แต่ผลกระทบที่ว่าก็คงจะไม่นาน เราคงไม่สามารถที่จะใช้มาตรการกดดันอย่างนี้ไปได้นานนัก เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมเองก็มีเครื่องปั่นไฟอยู่พอสมควร อย่างไรก็ตามเรื่องการปิดเส้นทางการเข้า-ออกแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ นอกเหนือจากผู้ที่อาศัยอยู่แถวนั้นและมีบัตรผ่านเข้า-ออกจากเจ้าหน้าที่แล้ว ก็คงทำให้พื้นที่การชุมนุมได้รับผลกดดันอยู่มากพอสมควร

อย่างไรก็ตาม โฆษก ศอฉ. กล่าวถึงมาตรการกดดันอย่างเต็มรูปแบบในพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มนปช.ว่า มาตรการดังกล่าวไม่ได้มีเฉพาะเรื่องของการตัดไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ยังมีเรื่องของน้ำประปา เรื่องการผ่านเข้าออก รวมถึงเรื่องการส่งกำลังบำรุง เช่น อาหาร น้ำ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีมีการตัดสัญญาณโทรศัพท์ในบริเวณพื้นที่การชุมนุมด้วย ซึ่งตรงนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้มีการหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับการ ดำเนินการอีกครั้ง ทั้งนี้ เราได้เรียนชี้แจงมาโดยตลอดว่าการชุมนุมขณะนี้นั้น เป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมายและมีกลุ่มก่อการร้ายแฝงตัวอยู่ เพราะฉะนั้น ศอฉ. มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดให้ยุติการชุมนุม ได้ เพื่อนำความสงบมาสู่บ้านเมืองโดยเร็วและเป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

"สิ่งต่าง ๆ ที่ได้เคยเรียนมาโดยตลอดว่าพื้นที่ไม่ปลอดภัยมีการก่อการร้ายอยู่ ขอให้ท่านออกจากพื้นที่ชุมนุม ขอให้ท่านยุติการชุมนุม เป็นสิ่งที่เราได้แจ้งเตือนมาโดยตลอดไม่ใช่เพิ่งทำวันนี้" โฆษก ศอฉ.กล่าว

ต่อข้อถามว่า การดำเนินการดังกล่าวของ ศอฉ.ได้มีการชี้แจงให้ทางสถานทูตได้รับทราบหรือยัง โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้รับทราบข้อมูลแล้ว และได้มีการติดต่อประสานงานขั้นต้นเรียบร้อยแล้ว ในส่วนกองทัพก็ได้มีการชี้แจงผ่านผู้ช่วยทูตทหารไปแล้วเช่นเดียวกัน

ต่อข้อถามว่า มาตรการกดดันพื้นที่การชุมนุมดังกล่าวของศอฉ.เป็นแนวความคิดของคนใดคนหนึ่ง หรือเป็นมติของที่ประชุม โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า เป็นมติของที่ประชุมฯ

ต่อข้อถามว่า แสดงว่าขณะนี้ฝ่ายกองทัพพร้อมแล้วที่จะใช้กำลังทหารในการขอพื้นที่คืน โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า เราพร้อมนานแล้ว แต่อย่างไรก็ตามตนก็ยังไม่อยากที่จะพูดถึงเรื่องการสลายการชุมนุม การบังคับใช้กฎหมายและกดดันพื้นที่แบบเต็มรูปแบบจะได้เริ่มต้นตั้งแต่เที่ยง คืนวันนี้เป็นต้นไป เพราะนายกรัฐมนตรีได้กำหนดวันเวลาที่ชัดเจนแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีทอดสะพานเพื่อความปรองดองอย่างที่สุดแล้ว และท่านก็เห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ทางแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมได้แสดงออกมานั้นเป็นเงื่อนไขรายวัน เช่น การมอบตัวกับดีเอสไอ การไปรับทราบข้อกล่าวหากับดีเอสไอก็บอกว่าไม่ได้ ต้องเป็นที่กองปราบปราม ด้วยเหตุที่ว่าดีเอสไอเป็นกรรมการคนหนึ่งใน ศอฉ. แล้วผบ.ตร.ไม่ได้เป็นกรรมการหรือ ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนรับทราบอยู่แล้ว ว่าเป็นเพียงเงื่อนไข ส่วนกรณีแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมจะขอเปิดพีทีวีนั้น นายกรัฐมนตรีก็ได้กำหนดไว้แล้วในรายละเอียดของการปรองดองว่า ถ้าแผนปรองดองนำเนินไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องมีการลงรายละเอียดกันว่าสถานีโทรทัศน์ทั้งหลายนั้น จะต้องยึดอยู่ในกรอบของการไม่ปลุกระดมหรือปลุกปั่นให้ประเทศชาติเกิดความแตก แยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่จาบจ้วงสถาบันอันเป็นที่รักและเคารพของพวกเรา รวมทั้งไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าจะมาคืนพีทีวีในขณะนี้ ทุกคนก็รับทราบว่าเป็นการโจมตี เป็นการกล่าวร้าย และเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงอยู่ตลอดเวลานั้น จึงเป็นไปไม่ได้ อันนี้คือเงื่อนไขรายวันซึ่งเรารอไม่ได้อีกแล้ว

ต่อข้อถามว่า การทอดระยะเวลามานานขนาดนี้เป็นการให้โอกาสแล้วใช่หรือไม่ โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า ถือว่าเป็นการพยายามอย่างที่สุดที่จะให้เกิดความสงบของบ้านเมืองโดยที่ไม่มี การสูญเสียในเรื่องของชีวิตและทรัพย์สิน ที่ผ่านมาไม่ใช่ไม่ทำ เราทำมาโดยตลอดแต่เป็นมาตรการที่อะลุ่มอล่วยและเป็นมาตรการที่ผ่อนปรนในบาง เรื่องควบคู่กันไปกับศอฉ.และรัฐบาล แต่วันหนึ่งที่มาตรการทั้งหลายเหล่านั้นสังคมได้รับทราบแล้วว่าไม่เพียงพอ ที่จะยุติสิ่งต่าง ๆ ได้ จึงต้องมีมาตรการที่เต็มรูปแบบ

ต่อข้อถามว่า ศอฉ.มั่นใจได้หรือไม่ว่าทุกอย่างจะสงบภายในสัปดาห์นี้ โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า ก็ต้องสงบ แต่ว่าในสัปดาห์หรือระยะเวลานั้นตนกำหนดไม่ได้ แต่อย่างที่เรียนให้ทราบว่าเวลาเปิดเทอมใกล้เข้ามาแล้ว และนายกรัฐมนตรีก็ได้ขีดเวลาที่ชัดเจนแล้วว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่กลุ่ม นปช.ต้องยุติการชุมนุมโดยไม่มีเงื่อนไข

ต่อข้อถามว่า ถ้ามีการตัดน้ำตัดไฟในส่วนของโรงพยาบาลที่อยู่ในบริเวณพื้นที่การชุมนุม ได้มีมาตรการรองรับอย่างไรบ้าง โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า จะมีการหารือในรายละเอียดกันอีกครั้ง

ต่อข้อถามว่า ทำไมถึงเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดมา 38 จังหวัดในการชี้แจงการดำเนินการของศอฉ. โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า ความจริงการเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นไม่ได้หมายความว่าจะเกิดความวุ่นวาย ขนาดนั้น เพียงแต่ว่า 38 จังหวัดได้รับการรายงานข้อมูลข่าวสารว่ามีการเคลื่อนไหวของเวทีคู่ขนาน และถึงแม้ว่าจำนวนผู้เคลื่อนไหวกลุ่มคนเสื้อแดงจะไม่มากก็ตาม แต่เราก็ต้องป้องกันโดยการชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ว่าราชการจังหวัดดัง กล่าวไว้ก่อน ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ดี 

"ณัฐวุฒิ"ยื่นคำขาดให้ รบ.เลือกระหว่าง"สุเทพ-ความปลอดภัยปชช.จำนวนมาก"

เมื่อ เวลา 12.39 น. วันที่ 12 พ.ค.  นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แถลงถึงกรณีที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)ประกาศมาตรการกดดัน ด้วยการตัดระบบสาธารณูปโภค ว่า เราขอประกาศท่าทีสุดท้ายอย่างชัดเจนว่า เราตอบรับวันเลือกตั้ง 14 พ.ย.และวันยุบสภาไปแล้ว มาตรการที่ได้มีการนำเสนอมานั้นเราก็ได้ตอบรับไปแล้ว แต่ติดค้างเรื่องเดียวคือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่งคง ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอน ถ้ามีการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องเมื่อไหร่เราก็ประกาศยุติ การชุมนุมทันที แต่ถ้านายสุเทพยังเล่นแง่ศรีธนญชัยเช่นนี้ ใช้อำนาจเล่นละครตบตาประชาชนแบบนี้เรารับไม่ได้ ยืนยันว่าถ้ารัฐบาลเลือกปกป้องนายสุเทพคนเดียวด้วยการจัดกำลังทหาร และตำรวจก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องตัดสินใจว่าเลือกอะไรระหว่างนายสุเทพกับ ความปลอดภัยของประชาชนจำนวนมาก เราตัดสินใจแล้วว่าเราจะปักหลักสู้อยู่ที่นี่จนกว่าจะได้รับความยุติธรรม ถ้าหากเราจะลงจากเวทีการต่อสู้โดยไม่อาจอธิบายกับคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตไป กว่า 21 ชีวิตได้ว่าจะทวงถามความยุติธรรมอย่างไรเราก็จะอยู่ที่นี่ เป็นไงเป็นกัน เรายินดีที่จะเอาอิสรภาพของเราเป็นเดิมพันเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมต่อไป เราจะรอพวกท่านอยู่ที่นี่ด้วยมือเปล่าๆ สันติวิธี นี่เป็นท่าทีสุดท้าย เราจะไม่แสดงท่าทีนี้อีก

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตุว่า การเรียกร้องให้นายสุเทพไปมอบตัวต่อกองปราบนั้นไม่มีความหมายอะไร เพราะนายสุเทพเป็นประธานก.ตร. คิดว่าการไปรายงานตัวที่ดีเอสไอของนายสุเทพน่าจะพอแล้ว แต่เราขอบอกว่าแตกต่างกันเพราะคดีนี้เป็นคดีอาญา มีอายุความ เมื่อนายสุเทพมอบตัวอายุความก็จะเดินหน้าทันที ถ้านายสุเทพจะดำเนินการอะไรก็ทำได้ในระยะเวลา 4 เดือนนี้ เพราะนายกรัฐมนตรีประกาศระยะเวลาการยุบสภาไปแล้วในเดือนก.ย. ดังนั้นการไปดีเอสไอที่ผ่านมาของนายสุเทพจึงไปในฐานะผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่ผู้ต้องหา

"ก่อแก้ว" ยัน "วีระ"ไม่มอบตัวแล้ว กองปราบจัดที่รอเก้อ

พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการกองปราบปราม(รรท. ผบก.ป.) กล่าวเมื่อวันที่ 12 พ.ค. ว่า ได้รับการประสานจากนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน พร้อมด้วยนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำนปช. จะขอมอบตัวที่กองปราบปราม ในเวลา 14.00 น.

อย่างไรก็ตาม ต่อมา นายก่อแก้วได้แถลงข่าวที่หลังเวทีราชประสงค์ยืนยันตนและนายวีระจะไม่ไปมอบ ตัว โดยนายวีระยังอยู่ในประเทศและไม่ได้เจรจากับรัฐบาลแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยอมรับว่าแกนนำเสื้อแดงยังมีความเป็นเอกภาพ แต่อาจมีความคิดเห็นต่างในบางเรื่อง

"เหวง"ปัด"วีระ"ออกนอกประเทศ ยันแกนนำแดงไม่แตก

วันที่ 12 พ.ค. นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวถึงกระแสข่าวแกนนำเสื้อแดงแตกคอกัน หลังหาข้อสรุปยุติม็อบไม่ได้ ว่า ยืนยันว่าแกนนำไม่ได้แตกกันอย่างที่เป็นข่าว ส่วนนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำเสื้อแดง ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศแต่อย่างใด เพียงแต่ไม่สบายเท่านั้น

บอกหากม็อบเลิก 24แกนนำพร้อมมอบตัว

นพ.เหวง กล่าวเพิ่มเติมถึงสถานการณ์การชุนนุมของคนเสื้อแดง ว่า หากยุติการชุมนุมแล้ว แกนนำทั้ง 24 คน รวมทั้งนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง พร้อมมอบตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ทนายนปช.ยันเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แกนนำมอบตัวทันที

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 พฤษภาคม นายคารม พลทะกลาง ทนายความกลุ่ม นปช. พร้อมคณะ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.วีรวิทย์ จันทร์จำเริญ รอง ผบก.น.1 (ฝ่ายสอบสวน) และพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 เพื่อสอบถามกรณีหมายจับแกนนำและบรรดา นปช. ที่ถูกออกหมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และคดีอาญา โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

ต่อมานายคารม เปิดเผยว่า วันนี้ได้รับการประสานจาก พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. เรื่องเข้ามอบตัว โดยอยากให้แกนนำทุกคนเข้ามอบตัว โดยหากจะมีการเข้ามอบตัวจริงๆน่าจะเป็นที่กองปราบ เพราะการเข้ามอบตัวเป็นไปตามหมาย ฉ.หรือตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งนอกจากนี้ ก็มีหมายเรื่องข้อหาก่อการร้าย ของดีเอสไอ ข้อหาล้มเจ้า ก็อยู่ในอำนาจสอบสวนของดีเอสไอ ซึ่งมีการแจ้งไปแล้ว แต่การสอบสวนพยาน หลักฐานคดีล้มเจ้ายังไม่ชัดเจน ประเด็นของพวกตนคือ แกนนำอยากมอบตัว หากชัดเจนในเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะสามารถควบคุมตัวได้ 7 วันตามมาตรา 12 จะทำอย่างไร ซึ่งที่จริงดีเอสไอ ซึ่งเป็น 1 ในกรรมการของ ศอฉ. ต้องชัดเจน ว่าหากมอบตัวแล้ว จะมีการขอเพิกถอนหมายตรงนี้ได้หรือไม่ เพราะจะเป็นการปรองดอง เพราะหากมอบตัวก็ประกันตัวไม่ได้ เพราะไม่ใช่อำนาจศาล แต่เป็นอำนาจของศอฉ.

นายคารมกล่าวอีกว่า เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาได้หารือกับทางนายธาริศ เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่าหากแกนนำทุกคนไปมอบตัวในทุกข้อหาที่ไม่ใช่ข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งกองปราบเป็นคนขอก็ต้องไปฝากขังที่ศาล ซึ่งพวกเราไม่ได้ห่วงอำนาจศาล แต่หากรัฐบาลต้องการปรองดองจริงๆ ก็ให้เพิกถอนและไปจบที่กองปราบเลยจะดีที่สุด ซึ่งหลังจากนี้จะไปเรียกแกนนำทุกคน ซึ่งประเด็นวันนี้คือ มีหลายข้อหา โดยเฉพาะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มี 37 คน รวมแกนนำด้วย หากมอบตัวการควบคุมตัวไม่ใช่เรือนจำ ไม่ใช่ศาล เพราะเหตุหมดแล้ว  ขณะนี้เราไม่กังวลเพราะคดีล้มเจ้าการสอบสวนยังไม่ไปถึงไหน แต่ข้อหาก่อการร้าย เป็นหนึ่งในคดีพิเศษ หากเรื่องนี้จบ ไม่ต้องไปที่ศาลก็รับได้ ส่วนจะมอบตัววันไหน เบื้องต้นก็ยังเป็นกำหนดเดิมคือ วันที่ 15 พฤษภาคม แต่ก็ยังไม่มีอะไรชัดเจน เพราะหากมีการมอบตัว แต่ไม่ได้รับการปล่อยตัวก็คิดว่าแกนนำคงไม่เข้ามอบ เพราะกังวลเรื่องนั้น และมีผลกระทบว่าคนที่ชุมนุมที่ราชประสงค์จะทำอย่างไร วันนี้หากไม่มีเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็เข้ามอบตัวเลย ส่วนที่มีข่าวว่าจะมีบางคนชิงเข้ามอบตัวก่อนนั้นก็ยังไม่มี หากมีการมอบตัวก็น่าจะพร้อมกัน โดยน่าจะไปที่กองปราบ โดยดีเอสไอก็มาที่กองปราบได้ ทั้งในส่วนคดีก่อการร้าย และล้มเจ้า ส่วนประเด็นนายสุเทพ ( นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี) ก็เป็นอีกเรื่อง

“ขณะนี้มีการออกหมายจับแกนนำในเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จำนวน 37 คน รวมแกนนำ หากรัฐบาลปรองดองก็ให้นโยบายกองปราบ ดีเอสไอไป ส่วนคดีอาญาก็มีอยู่แต่ยังไม่แน่นอน กรณีของนายสุเทพนั้น ตามที่นายจตุพร (พรหมพันธ์ แกนนำนปช.) พูดก็ถูกที่เป็นเหมือนการเล่นปาหี่ การเล่นละคร เหมือนไปสอบถามเท่านั้น เพราะไม่มีการพิมพ์นิ้วมือ ถ่ายรูปทำตามขั้นตอน ก่อนปล่อยตัวกลับ มันไม่มีขั้นตอนนั้น เพราะยังไม่มีคดี อย่างไรก็น่าจะโดนดำเนินคดี อยากให้นำไปสู่กระบวนการจริงๆดีกว่า หากมอบตัวไม่ถูกต้องก็ต้องเริ่มใหม่ เรื่องนี้ก็น่าคิด หากนายสุเทพอยากให้ปรองดองก็มอบให้ถูกต้องเลย ” นายคารมกล่าว

ที่มาข่าว: มติชนออนไลน์, กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น