ประชาไท | Prachatai3.info |
- องค์กรชุมชนไทใหญ่ค้านการผลักดันผู้ลี้ภัยกลับไปยังพื้นที่สงคราม
- โรเบิร์ท ฟิสก์ : ความจริงสีเลือดของสงครามกลางเมืองซีเรีย
- ชาวซาอุดิอาระเบียถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
- มีผู้นำระเบิดไปแขวนข้างรถยนต์ นพ.ตุลย์
- ร้อง ‘สาทิตย์’ สอบอุทยานฯ บุกเขาบรรทัด-วอนตั้งกระทู้จี้ ‘ยิ่งลักษณ์’ เดินตามนโยบาย
- ม็อบที่ดินเทือกเขาบรรทัดเดือด! ระดมปิดถนนเพชรเกษม
- กรมเจ้าท่ารุดเคลียร์พื้นที่ ‘ขุดลำพะเนียง’ ชาวบ้านยันต้องศึกษาข้อมูลก่อน
- Blognone: ไฟล์ล็อกหลักฐานคดีนายอำพล (อากง SMS)
- 1 ปี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ “สอบตก” แก้ปัญหาที่ดิน-โครงสร้างภาคเกษตร
- THAIPUBLICA: กสทช. ส่อล้มประมูลเบอร์สวยพันล้าน บ.มือถือเฮอีก
- กลุ่มสตรีใน 'โตโก' เตรียมประท้วง "งดเซ็กส์" หวังปลุกชายร่วมไล่ปธน.
- กวีประชาไท: อาดูร แด่ อากง
- กองทัพกัมพูชา-ไทย ร่วมฝึกทหารครั้งแรกในประวัติศาสตร์
- ไอซีทีจ่าย 120 ล้าน บล็อคเว็บโป๊ในแท็บเล็ต ป.1
- เพิ่มข้อหาแท็กซี่ไม่รับผู้โดยสาร จับ-ปรับทันที เริ่ม 1 ก.ย.นี้
องค์กรชุมชนไทใหญ่ค้านการผลักดันผู้ลี้ภัยกลับไปยังพื้นที่สงคราม Posted: 27 Aug 2012 02:39 PM PDT โดยออกแถลงการณ์เรียกร้องไม่ให้มีการผลักดันชุมชนผู้ลี้ภัยที่ชายแดนไทย-พม่าด้าน อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ กลับไปยังเมืองทา ในรัฐฉาน ชี้ในพื้นที่ยังมีการสู้รบ และเต็มไปด้วยกับระเบิด และผู้อพยพส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากเมืองทา แต่อพยพมาจากพื้นที่ต่างๆ ในภาคกลางของรัฐฉาน แผนที่ซึ่งแนบมากับแถลงการณ์ของชุมชนไทใหญ่ แสดงให้เห็นพื้นที่บ้านเมืองทา ซึ่งจะใช้เป็นสถานที่รองรับการผลักดันผู้อพยพชาวไทใหญ่บริเวณชายแดนไทย-พม่า ด้าน อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ โดยพบว่าในพื้นที่ยังคงเป็นที่ตั้งทางทหารของทั้งกองทัพพม่า กองทัพสหรัฐว้า และกองทัพรัฐฉาน
เมื่อวานนี้ (27 ส.ค.) องค์กรชุมชนไทใหญ่ ประกอบด้วย มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทยใหญ่ องค์กรสภาวะสิ่งแวดล้อมแห่งฉาน องค์กรเครือข่ายปฏิบัติงานสตรีฉาน องค์กรพลังเยาวชน และ กลุ่มประสานงานเยาวชน ได้เผยแพร่แถลงการณ์เรียกร้องไม่ให้ผลักดันผู้ลี้ภัยกลับในพื้นที่ที่ยังมีการสู้รบ สำหรับเนื้อหาระบุว่า "ชุมชนไทยใหญ่มีความเป็นห่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับกรณี มีการเตรียมการผลักดันให้ผู้อพยพ มากกว่า 500 คน ที่อาศัยอยู่ในค่ายอพยพ ชายแดนไทยภาคเหนือ ให้กลับไปในพื้นที่ที่ยังมีความขัดแย้ง" โดยในวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา สภาผู้อพยพนอร์เวย์ (Norwegian Refugee Council) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับสัญญาภายใต้โครงการการสนับสนุนให้เกิดสันติภาพในพม่า นำโดยประเทศนอร์เวย์ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นผู้อพยพในค่ายกุงจ่อ บริเวณชายแดนไทย-พม่า ด้าน อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ โดยขึ้นสำรวจทุกบ้าน เกี่ยวกับการยินดีกลับไปยังหมู่บ้านเมืองทา ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 20 กม. โดยสมัครใจ อย่างไรก็ตาม องค์กรชุมชนไทใหญ่เปิดเผยว่า สภาพหมู่บ้านที่จะผลักดันกลับนั้น แทบจะเป็นหมู่บ้านร้าง โดยจัดเตรียมพื้นที่ให้เป็นแปลงพื้นที่อยู่อาศัยผู้อพยพ ระหว่างการเจรจาหยุดยิงระหว่างกองกำลังกู้ชาติรัฐฉาน ตอนใต้ กับรัฐบาลพม่า ในแถลงการณ์ขององค์กรชุมชนไทใหญ่ระบุด้วยว่า ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554 กองทัพรัฐฉาน ได้ลงนามหยุดยิง และรัฐมนตรีว่าการกิจการรถไฟพม่าได้ให้สัญญาว่าจะยกพื้นที่หัวเมือง และเมืองทา ซึ่งอยู่ตรงข้าม จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.เชียงใหม่ให้กองทัพรัฐฉาน อย่างไรก็ตามยังมีการสู้รบระหว่างทหารไทใหญ่กับพม่าในหลายพื้นที่ และยังมีการสู้รบในพื้นที่เมืองทาด้วย ทั้งนี้ ผู้อพยพในค่ายกุงจ่อได้บอกกับผู้แทนชาวนอร์เวย์ในเดือนกรกฎาคมปี 2554 ว่า พวกเขายังไม่อยากกลับไปในพื้นที่เมืองทา เนื่องจากยังไม่ปลอดภัยจากทหารพม่า และกลุ่มอาสาสมัครที่อยู่ฝ่ายรัฐบาล และเป็นพื้นที่ที่ยังเต็มไปด้วยกับระเบิด และผู้อพยพส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่เมืองทา แต่ได้หนีอพยพมาจากอำเภอต่างๆ ในภาค กลางของรัฐฉาน โดยแถลงการณ์ขององค์กรชุมชนไทใหญ่ระบุว่า "การสำรวจวันนี้ ได้สร้างความแตกตื่นให้กับผู้อพยพในค่ายเป็นอย่างมากและกลัวจะถูกผลักดันกลับในเวลาอันสั้น ถึงแม้สภาผู้อพยพนอร์เวย์ มีโครงการพัฒนาและช่วยเหลือในพม่า แต่พวกเขายังไม่มีประสบการณ์การทำงาน กับผู้อพยพไทยใหญ่" จายเครือแสง จากองค์กรสภาวะเพื่อสิ่งแวดล้อมไทใหญ่กล่าวว่า “ชาวอพยพไม่ได้เป็นหนูทดลองของกระบวนการสร้างสันติภาพ” เขากล่าวด้วยว่า “แทนที่จะผลักดันผู้อพยพกลับ กองทุนนานาชาติที่สนับสนุนสันติภาพ ควรผลักดันให้รัฐบาลพม่า เจรจาให้เกิด สันติภาพที่ยั่งยืน” ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา องค์กรชุมชนรัฐฉาน ได้เรียกร้อง ให้รัฐบาลและกลุ่มสนับสนุนต่างๆ ที่สนับสนุนสันติภาพในพม่า ควรวางตัวเป็นกลางและไม่ควรผลักดันกลุ่มชาติพันธุ์ ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 2008 ของทหารพม่า ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
โรเบิร์ท ฟิสก์ : ความจริงสีเลือดของสงครามกลางเมืองซีเรีย Posted: 27 Aug 2012 02:04 PM PDT ผู้สื่อข่าวสายตะวันออกกลางเขี โรเบิร์ท ฟิสก์ ผู้สื่อข่าวสายตะวันออกกลางเขี โรเบิร์ทกล่าวในบทความว่า มีรายงานการสังหารหมู่ครั้งใหม่ "แน่นอนว่ากองทัพทั้งหลายต้ "แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับกองทั ฟิสก์เขียนในบทความว่า สิ่งที่รัฐบาลซีเรี "กลุ่มสหพันธมิตรในสงครามโลกครั "การเก็บกวาดให้สะอาดกลายเป็ บทความของฟิสก์เปิดเผยว่า ฝ่ายรัฐบาลที่ร่วมสู้ FSA บอกว่าพวกเขาสูญเสียคนไปแค่ 20 คน ขณะที่ทหารซีเรียเน้นว่าคนที่ "สถิติของสงครามในซีเรียจะยั แต่ฟิสก์ก็บอกว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ ฟิสก์กล่าวถึงกรณีนี้โดยโยงกั "ที่อัลจีเรียก็เรียกศัตรู แต่การพยายามสร้างภาพให้ ฟิสก์เปิดเผยในบทความอีกว่ากลุ่ "รัฐบาลบาชาร์ อัล-อัสซาด ต้องเผชิญกับศัตรูที่มีทรั
ที่มา Robert Fisk: The Syrian army would like to appear squeaky clean. It isn't, The Independent, 27-08-2012 http://www.independent.co.uk/ Robert Fisk: The bloody truth about Syria's uncivil war, The Independent, 26-08-201 http://www.independent.co.uk/ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ชาวซาอุดิอาระเบียถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ Posted: 27 Aug 2012 01:49 PM PDT ศาลไทยตัดสินจำคุกชาวซาอุดิอาระเบีย ฐานปล่อยข่าวลือในอินเทอร์เน็ต โดยสถานทูตเตรียมให้ทนายอุทธรณ์คำตัดสิน พร้อมเตือนพลเมืองซาอุดิอาระเบียให้ระวังการทำผิดกฎหมายไทยแล้ว เว็บไซต์ Emirates 247 รายงานว่า หนังสือพิมพ์ Alriyadh ตีพิมพ์เป็นภาษาอารบิกของซาอุดิอาระเบีย รายงานเมื่อวันจันทร์นี้ (27 ส.ค.) ว่า เจ้าหน้าที่ไทยตัดสินจำคุกชายชาวซาอุดิอาระเบีย ซึ่งพำนักอาศัยในกรุงเทพฯ เป็นเวลา 2 ปี ในข้อหาปล่อยข่าวลือทางอินเทอร์เน็ตพาดพิงถึงบุคคลสำคัญ หนังสือพิมพ์ซาอุดิอาระเบีย ระบุว่า สถานทูตซาอุดิอาระเบียในกรุงเทพ ได้ตั้งทนายเพื่ออุทธรณ์คำพิพากษาของชายซาอุดิอาระเบียคนดังกล่าว โดยเขาได้แต่งงานกับชาวไทยและมีลูก 3 คน หนังสือพิมพ์ดังกล่าวยังรายงานด้วยว่า สถานทูตซาอุดิอาระเบีย ยังถือโอกาสเตือนพลเมืองชาวซาอุดิอาระเบียในประเทศไทยให้ระวังการละเมิดกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการถูกดำเนินคดีอีก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
มีผู้นำระเบิดไปแขวนข้างรถยนต์ นพ.ตุลย์ Posted: 27 Aug 2012 01:44 PM PDT มีผู้นำระเบิดชนิดขว้างไปแขวนที่รถยนต์ของ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ด้านเจ้าตัวเข้าแจ้งความแล้ว พร้อมยืนยันว่าจะต่อต้านการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่อไป โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สำนักข่าวไทย รายงานเมื่อวานนี้ (27 ส.ค.) ว่า นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนําเสื้อหลากสี เข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจปทุมวัน หลังถูกคนร้ายไม่ทราบกลุ่ม นําระเบิด mk 2 ชนิดขว้าง มาแขวนไว้ที่กระจกรถยนต์ ขณะจอดไว้บนอาคารจอดรถชั้น 4 ของโรงพยาบาลจุฬา พร้อมเปิดเผยว่า หลังเลิกงานได้เตรียมตัวจะไปรับลูกที่โรงเรียน เมื่อมาถึงรถพบถุงกระดาษแขวนอยู่ที่กระจกมองข้างฝั่งคนขับ เปิดออกดูพบเป็นกระบอกทรงกลม ภายในมีระเบิด และสายไฟต่อวงจรแต่ดูแล้วไม่สมบูรณ์จึงโยนทิ้งเพราะคิดว่าเป็นของปลอม แต่เมื่อเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบจึงพบว่าเป็นระเบิดจริงจึงเข้าแจ้งความ เบื้องต้นเชื่อคนร้ายเพียงต้องการข่มขู่ ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ได้กังวลอะไร และยังยืนยันจะต่อต้านการกระทําที่ไม่เหมาะสมต่อไป โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ร้อง ‘สาทิตย์’ สอบอุทยานฯ บุกเขาบรรทัด-วอนตั้งกระทู้จี้ ‘ยิ่งลักษณ์’ เดินตามนโยบาย Posted: 27 Aug 2012 12:44 PM PDT เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ยื่นหนังสือร้องสาทิตย์ เลขาฯ กมธ.ที่ดินฯ สอบอุทยานบุกเขาบรรทัด วอนตั้งกระทู้ยิ่งลักษณ์จี้เดินตามคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เผยข่าวแว่วชุดปฏิบัติการขีดเส้นตายฟันยางตรัง-พัทลุงเรียบสิงหานี้ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ยื่นหนังสือกับนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เลขานุการกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร สอบอุทยานฯ ปราบชาวบ้านเทือกเขาบรรทัด ภาพโดย: บัณฑิตา อย่างดี 27 สิงหาคม 2555 - นายสมนึก พุฒนวล กรรมการเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 26 สิงหาคม 2555 เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ประมาณ 40 คน ได้เดินทางไปยื่นหนังสือที่บ้านของนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเลขานุการกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร นำปัญหาการละเมิดสิทธิชุมชนจากปฏิบัติการของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เข้าสู่กรรมาธิการฯ และลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน นายสมนึก เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ได้ขอให้นายสาทิตย์ ในฐานะฝ่ายค้านช่วยตั้งกระทู้ถามรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำเนินการตามคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ข้อ 5 นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และปัญหาการละเมิดสิทธิชุมชนจากปฏิบัติการของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าขัดกับนโยบายที่แถลงไว้หรือไม่ เผยข่าวแว่วชุดปฏิบัติการขีดเส้นตายฟันยางตรัง-พัทลุงเรียบเดือนสิงหา ด้านนายอานนท์ สีเพ็ญ ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรชุมชนรักเขาบรรทัด สมาชิกสมัชชาคนจน เปิดเผยว่า ตนได้ข่าวซึ่งยังไม่ได้กรองว่าเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะบุกฟันยางพาราชาวบ้านในแนวเทือกเขาบรรทัด ทั้งจังหวัดพัทลุง และตรัง ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2555 ดังนั้นในวันนี้ (27 สิงหาคม 2555) เครือข่ายองค์กรชุมชนรักเขาบรรทัดจึงเปิดแถลงข่าวถึงสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ฟันยางพาราของชาวบ้านแนวเทือกเขาบรรทัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุมชนดั้งเดิมที่ถูกอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัดประกาศทับที่ “ส่วนหนังสือที่จะยื่นถึงนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานฯ ในฐานะกรรมการของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชาคนจน ให้หยุด หรือชะลอการตัดฟันยางพาราของชาวบ้านเขาบรรทัด ผ่านนายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังนั้น ต้องหารือกับสมาชิกเครือข่ายก่อนว่าจะยื่นหรือไม่ยื่น ถ้ายื่นจะยื่นวันไหน อย่างไร ต้องประเมินก่อนว่ายื่นไปแล้วหวังผลได้หรือไม่” นายอานนท์ กล่าว ร้องกองทัพภาค 4 คุ้มกัน ‘โฉนดชุมชนเขาบรรทัด’ หวั่นชาวบ้านปะทะอุทยานฯ เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น.วันที่ 27 ส.ค.55 ที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 4 ค่ายวชิราวุธ ต.ปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ชาวบ้านเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ประมาณ 20 คน ได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึง พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ภาค 4 ขอให้ชะลอการรื้อถอนพืชผลเกษตร สิ่งปลูกสร้าง และคุ้มครองพื้นที่โฉนดชุมชน จากนโยบายปราบปรามผู้บุกรุกทำลายป่าในภาคใต้ ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช หนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาว่า สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.55 กรณีมีการอนุมัติงบประมาณจำนวน 50 ล้านบาทเพื่อปราบปรามผู้บุกรุกทำลายป่าในภาคใต้ ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช นำมาซึ่งการตัดฟันทำลายพืชผลอาสิน และสิ่งปลูกสร้าง โดยไม่มีการแยกแยะระหว่างผู้บุกรุกทำลายป่าไม้กับพื้นที่ทำกินของเกษตรกรซึ่งถูกประกาศเขตป่าอนุรักษ์ทับซ้อน และอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาภายใต้นโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ทั้งนี้เมื่อวันที่ 23 ส.ค.55 ได้มีปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งสนธิกำลังกว่า 1,500 นาย พร้อมอาวุธปืน มีดพร้า และเครื่องเลื่อยยนต์ เข้าไปตัดฟันทำลายต้นยางพารา และพืชผลเกษตรที่ ต.บ้านนา อ.ศรีนครินทร์ ต.ตะแพน อ.ศรีบรรพต และ อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ประมาณ 20 แปลง เนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ จากปฏิบัติการดังกล่าว ทำให้ชาวบ้านที่ทำกินและอยู่อาศัยบริเวณเทือกเขาบรรทัด จ.ตรัง จ.พัทลุง จ.นครศรีธรรมราช จ.สตูล และ จ.สงขลา เกิดความเจ็บแค้นไปกับชาวบ้านที่ถูกตัดฟันต้นยางพารา เนื่องจากผู้เสียหายเป็นเกษตรกรรายย่อย ซึ่งทำกินและอยู่อาศัยในชุมชนดั้งเดิม และมีที่ดินรายละไม่มาก ประกอบกับได้มีการปล่อยข่าวว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะสนธิกำลังเข้าตัดฟันต้นยางพาราในพื้นที่ต่างๆ ทำให้ชาวบ้านเกิดความหวาดผวาว่ากองกำลังดังกล่าวจะเข้ามาตัดฟันต้นยางพารา ชาวบ้านในหลายชุมชนเริ่มใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมในการปกป้องพื้นที่ จึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่าจะนำไปสู่การใช้ความรุนแรง และเป็นเงื่อนไขก่อให้เกิดปัญหาความมั่นคงตามมาในอนาคตอันใกล้ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ซึ่งเป็นสมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย มีสมาชิกใน จ.ตรัง จ.พัทลุง และจ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้รับผลกระทบเช่นกัน แม้รัฐบาลมีนโยบายโฉนดชุมชน มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2555 มารองรับการจัดทำโฉนดชุมชน แต่ไม่มีการคุ้มครองพื้นที่โฉนดชุมชน โดยเมื่อวันที่ 30 มี.ค.55 หัวหน้าเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า นำกำลังเข้าตัดฟันต้นยางพารา และพืชผลเกษตรในพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู รอยต่อ อ.นาโยง จ.ตรัง กับ อ.ศรีนครินทร์ จ.ดพัทลุง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน (ปจช.) เห็นชอบให้ดำเนินการโฉนดชุมชนแล้ว วันที่ 6 เม.ย.55 เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า นำกำลังเข้าทำการรื้อถอนทำลายสะพานไม้ ซึ่งใช้เป็นเส้นทางคมนาคม รวมทั้งข่มขู่ คุกคามชาวบ้านในพื้นที่ดำเนินการโฉนดชุมชนบ้านหาดสูง รอยต่อ ต.ปากแจ่ม อ.ห้วยยอด กับ ต.น้ำผุด อ.เมือง จ.ตรัง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สำนักงานโฉนดชุมชนมีหนังสือชะลอการรื้อถอนสะพาน อีกทั้งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด เข้าจับกุมและแจ้งความดำเนินคดีกับชาวบ้านในพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนบ้านตระ ต.ปะเหลียน อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ขณะนำหมากแห้งจากสวนออกไปขายหลายครั้ง “เจ้าหน้าที่อุทยานฯ มีการเตรียมการรื้อถอนพืชผลเกษตรและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่สมาชิกเครือข่ายฯ หลายชุมชน เครือข่ายฯ จึงข้อให้กองทัพภาคที่ 4 ตรวจสอบข้อเท็จจริง และผลักดันให้มีการชะลอการรื้อถอนพืชผลเกษตร และสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ดำเนินการโฉนดชุมชน และขอคุ้มครองชั่วคราวในพื้นที่ของสมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด จนกว่ารัฐบาลจะมีมติคณะรัฐมนตรีคุ้มครองพื้นที่โฉนดชุมชน” หนังสือดังกล่าว ระบุ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ม็อบที่ดินเทือกเขาบรรทัดเดือด! ระดมปิดถนนเพชรเกษม Posted: 27 Aug 2012 12:28 PM PDT ม็อบที่ดินเทือกเขาบรรทัดเดือดนัดระดมปิดถนนเพชรเกษมวันนี้ เปิดยุทธการรักษาแผ่นดิน เพื่อเจรจาหน่วยงานรัฐ หักดิบอุทยานฯ หยุดฟันยาง หลังบุกที่ว่าการอำเภอนาโยง-ศาลากลางฯ ตรัง ประกาศจะแก้ปัญหาด้วยอุปกรณ์ทำกินที่มีอยู่ เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 27 สิงหาคม 2555 ที่สนามหญ้าข้างศูนย์ประสานงานเครือข่ายองค์กรชุมชนรักเขาบรรทัด ตำบลละมอ อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง แนวร่วมปกป้องสิทธิที่ดินทำกินดั้งเดิมริมเทือกเขาบรรทัด จัดเวทีสาธารณะพูดคุยถึงนโยบายปราบปรามผู้บุกรุกทำลายป่าในภาคใต้ ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กับการที่ถูกประกาศทับชุมชนดั้งเดิม โดยมีชาวบ้านจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง กระบี่ และสตูล ร่วมประมาณ 300 คน เวลา 10.00 น. นายเกียรติก้อง เส็นฤทธิ์ ตัวแทนแนวร่วมปกป้องสิทธิที่ดินทำกินดั้งเดิมริมเทือกเขาบรรทัด เปิดแถลงข่าวโดยมีใจความว่า นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2555 เป็นต้นมา ชาวบ้านไม่น้อยกว่า 40 – 50 ราย ได้รับความเดือดร้อน ถูกรื้อถอน 200 – 300 ไร่ ค่าเสียหายกว่า 20 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่บริเวณริมเทือกเขาบรรทัด จังหวัดตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราช และสตูล แถมยังมีพื้นที่เป้าหมายอีกไม่ต่ำกว่า 100 แปลง ซึ่งต้องรื้อถอนตามแผนงานโครงการฯ ภายในวันที่ 30 สิงหาคม 2555 หรือ อย่างช้าไม่เกินเดือนกันยายน 2555 นายเกียรติก้อง กล่าวด้วยว่า กลุ่มผู้เดือดร้อนในหลายพื้นที่มีการประสานพลังเพื่อทวงสิทธิและปกป้องพื้นแผ่นดิน โดยจัดตั้งทีมเฉพาะกิจพร้อมร่วมกันกำหนดแผนงาน ภายใต้ชื่อว่า “แนวร่วมปกป้องสิทธิที่ดินทำกินดั้งเดิมริมเทือกเขาบรรทัด” เพื่อต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม โดยขอยืนยันว่า ที่ดินเป็นของชาวบ้านที่บรรพบุรุษได้ทำการบุกร้างถางพง มาก่อนการประกาศเป็นป่าอนุรักษ์ และมีสิทธิอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 และ 2550 ที่ยอมรับสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร “พวกเราขอให้ทางกรมอุทยานฯ ได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่โดยทันทีและขอเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 20 พฤษภาคม 25555 นโยบายการรื้อถอนต้นยางพาราในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ภาคใต้ และขอให้เรียกประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน เพื่อพิจารณาหาทางออกในเรื่องนี้โดยเร่งด่วน” นายเกียรติก้อง ระบุ ต่อมาเวลา 10.20 น. ชาวบ้านจังหวัดตรังที่ได้รับความเดือดร้อน จากนโยบายการรื้อถอนต้นยางพาราในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ภาคใต้ ของกรมอุทยานฯ ประมาณ 100 คน ได้เดินทางไปยังที่ว่าการอำเภอนาโยง และที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดตรัง เพื่อยื่นแถลงการณ์หยุดประพฤติตัวเยี่ยงโจร โค่นต้นยางคนจนของกรมอุทยานฯกับนายอำเภอนาโยง และนายอำเภอเมือง จังหวัดตรัง แถลงการณ์ดังกล่าวมีเนื้อหาว่า จากการที่เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้เข้าไปโค่นล้มต้นยางพาราของพี่น้องชาวบ้านใน อำเภอป่าพะยอม อำเภอศรีบรรพต และอำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง จำนวน 20 แปลง เนื้อที่ประมาณ 130 ไร่เศษ โดยการดำเนินการของกรมอุทยานแห่งชาติฯ เป็นการเข้าไปดำเนินการในช่วงเช้ามืด ใช้กำลังนับพันคนพร้อมอาวุธครบมือ โดยไม่ได้มีการบอกกล่าวให้ชาวบ้านได้รับรู้แต่ประการณ์ใด ทำให้เกิดความความวิตกกังวลต่อพวกเราชาวบ้านในจังหวัดตรัง ผู้ทำมาหากินโดยสุจริตและมีการปกป้องเรียกร้องสิทธิของเรามาโดยตลอด จนกระทั่งล่าสุด ได้มีการเจรจากับทางจังหวัดจนมีบันทึกข้อตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2555 และต่อมาได้มีคำสั่งจังหวัดตรัง ที่ 308/2555 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบดำเนินการพื้นที่สมาชิกเครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัดในเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่ – เขาย่า และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด ท้องที่จังหวัดตรัง เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงพื้นที่ที่ดินทำกินของสมาชิกเครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด หรือตามความเข้าใจของชาวบ้าน คือ เป็นคณะทำงานที่ไปตรวจสอบร่วมกันว่า เป็นที่ทำกินเดิมหรือเป็นการบุกรุกป่าใหม่ หากมีการบุกรุกใหม่ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากเป็นที่ทำกินเดิมก็ให้ทำกินตามปกติต่อไปจนกว่าคณะกรรมการระดับชาติจะได้มีแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างชัดเจน แต่ทางกรมอุทยานฯ ไม่ได้เคารพข้อตกลงและคำสั่งโดยมีการติดป้ายดำเนินคดี และป้ายสีทำแนวเขตที่จะเข้าไปตัดโค่น หลังจากมีบันทึกข้อตกลงและคำสั่ง พวกเราเห็นว่าการกระทำเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ เป็นการกระทำที่มีพฤติการณ์เยี่ยงโจร มาปล้นคน โดยอ้างเพียงกฎหมายของตน ไม่สนใจชีวิตความเป็นอยู่ของคนจน ไม่ต่างอะไรกับประเทศที่ปกครองด้วยรัฐบาลเผด็จการ “วันนี้พวกเราชาวบ้านผู้ประกอบอาชีพทำสวนยางพารา รวมตัวกันพร้อมมีดตัดยาง มีดพร้า ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ เพื่อร้องเรียนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะอนุกรรมการป้องกันปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าจังหวัดตรัง ประสานงานกับกรมอุทยานแห่งชาติฯ เพื่อยุติการตัดฟัน รื้อถอน ทำลาย โค่นต้นยางพารา ของชาวบ้านในท้องที่จังหวัดตรังทันที หากไม่มีการดำเนินการใดๆ เราจะร่วมชุมชนกับชาวบ้านอีก 4 จังหวัดเพื่อกำหนดมาตรการที่เข้มข้นกว่าเดิม” แถลงการณ์ ระบุ ต่อมาเมื่อเวลา 11.20 น. ชาวบ้านได้เดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดตรัง เพื่อยื่นแถลงการณ์ดังกล่าวกับผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง แต่ปรากฏว่าผู้ว่าฯ ไม่อยู่ และไม่มีใครลงมารับแถงการณ์ ชาวบ้านจึงส่งตัวแทนขึ้นไปยื่นแถลงการณ์กับนายสาธร นราวิสุทธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง นายสาธร บอกกับตัวแทนชาวบ้านว่า จังหวัดไม่มีอำนาจไปก้าวก่ายกรมอุทยานฯ แต่จะทำหนังสือไปยังปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อรายงานความเดือดร้อนของชาวบ้าน เพื่อประสานงานกับอธิบดีกรมอุทยานฯ ให้ชะลอการตัดฟันยางพาราของชาวบ้าน ด้านชาวบ้านอยากให้นายสาธร ลงไปพูดคุยกับชาวบ้านที่รวมตัวกันอยู่หน้าศาลากลาง แต่นายสาธร ปฏิเสธ ชาวบ้านจึงปักหลักหน้าศาลากลางบีบให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ลงมาพูดคุยกับชาวบ้านให้ได้ กระทั่งเวลา 12.41 น. นายไชยยศ ธงไชย รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ได้ลงมาพบกับชาวบ้าน พร้อมรับปากว่าจะนำปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านประชุมในระดับจังหวัดตรังและประสานงานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ปัญหา แต่ชาวบ้านไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ จากนั้นชาวบ้านสลายตัวในเวลา 13.00 น.แล้วกลับมารวมตัวกันที่เวที ซึ่งมีการปราศรัยจากชาวบ้านที่ประสบปัญหาที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ฟันยางพารา จากจังหวัดพัทลุง ตรัง กระบี่ นครศรีธรรมราช และสตูล จากนโยบายรื้อถอนยางพาราในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ภาคใต้ ของกรมอุทยานฯ โดยจี้ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 28 สิงหาคม 2555 ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี นโยบายรื้อถอนยางพาราในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ภาคใต้ ทั้งนี้ แนวร่วมปกป้องสิทธิที่ดินทำกินดั้งเดิมริมเทือกเขาบรรทัดมีการหารือและมีข้อตกลงร่วมกันว่า วันที่ 28 สิงหาคม 2555 นี้จะเปิดยุทธการรักษาแผ่นดินร่วมกันเคลื่อนพลใหญ่โดยให้ชาวบ้านในจังหวัดต่างๆ กลับไปรวบรวมกำลังคนให้มากที่สุด เตรียมจะปฏิบัติการณ์ปิดถนนเพชรเกษม เพื่อเจรจาต่อรองหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ให้อุทยานฯ หยุดฟันยาง ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
กรมเจ้าท่ารุดเคลียร์พื้นที่ ‘ขุดลำพะเนียง’ ชาวบ้านยันต้องศึกษาข้อมูลก่อน Posted: 27 Aug 2012 11:08 AM PDT ‘กรมเจ้าท่า’ ลงพื้นที่สอบถามข้อมูลและข้อร้องเรียน หลังชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูลุ่มน้ำลำพะเนียง ยื่นหนังสือให้มีการชะลอการขุดลอกลำน้ำพะเนียง จ.หนองบัวลำภู วานนี้ (27 ส.ค. 55) เวลาประมาณ 15.00 น. ที่ศาลาประชาคม บ.ธาตุหาญเทา ต.บ้านขาม อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี หรือ กรมเจ้าท่า และ ศูนย์พัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 8 จังหวัดขอนแก่น กระทรวงคมนาคม ได้ลงพื้นที่เพื่อสอบถามข้อมูลและข้อร้องเรียนของกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูลุ่มน้ำลำพะเนียง จ.หนองบัวลำภู ที่ยื่นหนังสือถึงนายจำรูญ ตั้งไพศาลกิจ อธิบดีกรมเจ้าท่า เพื่อให้มีการชะลอการขุดลอกลำน้ำพะเนียง จ.หนองบัวลำภู และให้กรมเจ้าท่าส่งเอกสารชี้แจงข้อมูลโครงการขุดลอกลำน้ำพะเนียง โดยมีชาวบ้านประมาณ 20 คน เข้าร่วมซักถาม และชี้แจงให้ข้อมูล สืบเนื่องจาก การที่กรมเจ้าท่ามีโครงการที่จะดำเนินการขุดลอกลำน้ำพะเนียง จ.หนองบัวลำภู โดยส่งเจ้าหน้าที่มาประสานงานกับผู้นำชุมชนว่าจะเข้ามาดำเนินการขุดลอกและขอประชุมประชาคมชาวบ้าน ขณะเดียวกันก็ได้นำรถแบ็คโฮเข้ามาเพื่อเตรียมพร้อมดำเนินการในพื้นที่ ด้านผู้นำชุมชนและกลุ่มชาวบ้านได้หารือกันว่าไม่ควรมีการการขุดลอกลำน้ำพะเนียงในช่วงเวลานี้ เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูการผลิตทำนาข้าว เกรงว่าหากมีการดำเนินการขุดลอกโดยเครื่องจักรขนาดใหญ่จะส่งผลกระทบต่อนาข้าวที่อยู่ข้างเคียง จึงได้ทำหนังสือชี้แจงไปยังกรมเจ้าท่าเพื่อขอให้ชะลอการขุดลอกออกไปก่อน พร้อมทั้งต้องการรับทราบการชี้แจงและเอกสารข้อมูลโครงการอย่างละเอียดก่อนที่จะเข้ามาดำเนินการขุดลอก นายสะพรั่ง ขุริมนต์ แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ลำพะเนียงฯ บ้านธาตุหาญเทา ต.บ้านขาม อ.เมืองหนองบัวลำภู กล่าวว่า ชาวบ้านได้ปรึกษาหารือกันแล้วว่าจะยังไม่ให้มีการดำเนินการขุดลอกในช่วงนี้ เนื่องจากเกรงว่ารถแบ็คโฮจะเหยียบย่ำนาข้าวที่พึ่งดำเสร็จ รวมทั้งชาวบ้านเองยังไม่รู้ข้อมูลใดๆ เลย อาทิเช่น แบบแปลนการขุดลอก ขุดกว้างเท่าไหร่ อย่างไร ต้องให้ชาวบ้านรู้ข้อมูลให้ละเอียดก่อน ไม่ใช่อยากจะมาประชุมแล้วขอลงประชามติขุดเลยไม่ได้ ชาวบ้านไม่ยอมแน่นอน “ช่วงนี้ขุดไม่ได้แน่นอนข้าวยังเขียวอยู่เลย โครงการคือโครงการอะไรเรายังไม่รู้เลย จะขุดกินที่นาหรือล้มต้นไม้ใหญ่กี่ต้นชาวบ้านยังไม่รู้เลย อยู่ดีดีจะเข้ามาขอประชามติแล้วลงขุดเลย ชาวบ้านไม่ยอมแน่นอน ต้องให้ชาวบ้านศึกษาข้อมูลก่อน แล้วจะตัดสินใจเอง” นายสะพรั่งกล่าว ด้านนายสมควร ปณะราช นายช่างและหัวหน้าผู้ควบคุมโครงการ กล่าวว่า ที่ลงมาพื้นที่ในวันนี้เนื่องจากที่มีข้อร้องเรียนของชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ลำพะเนียงฯ ให้ชะลอการขุดลอกออกไปก่อนพร้อมให้ชี้แจงข้อมูลโครงการโดยละเอียดก่อนการขุดลอก เนื่องจากเกรงผลกระทบที่จะเกิดจากการขุดลอก จึงต้องการมาสอบถามข้อเท็จจริงว่าเป็นเช่นไร ในส่วนโครงการเองตอนนี้ยังไม่มีแบบแปลนที่แน่นอน “เมื่อชาวบ้านคัดค้านการขุดลอกเราก็ต้องมาสอบถามข้อมูลก่อน ตอนนี้ยังไม่ได้ดำเนินการขุดลอก ซึ่งรถแบ็คโฮที่จอดในพื้นที่ทั้ง 4 คัน เราเตรียมไว้เพื่อเคลียร์พื้นที่สำรวจเท่านั้นเอง ส่วนข้อมูลที่ชาวบ้านขอเราก็จะไปจัดทำแล้วส่งให้ศึกษาต่อไป” นายสมควรกล่าว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
Blognone: ไฟล์ล็อกหลักฐานคดีนายอำพล (อากง SMS) Posted: 27 Aug 2012 10:38 AM PDT บล็อกนัน เว็บไซต์ด้านไอทีชื่อดังเปิดเอกสารข้อมูลการโทรของเบอร์มือถือที่เกี่ยวข้องกับคดีพร้อมตั้งข้อสังเกตมีการส่งข้อความจำนวนมากภายในเวลาไม่กี่นาที ขณะที่มีผู้อ่านแสดงความคิดเห็นโต้แย้งในท้ายบทความนี้หลายประเด็น จากการอ่านข้อมูลชุดเดียวกัน นับตั้งแต่รายงานรายละเอียดเกี่ยวกับคดีของนายอำพล (อากง SMS) มาตั้งแต่ต้น ประเด็นหนึ่งที่หลายคนใน Blognone ตั้งคำถามกันคือสุดท้ายแล้วไฟล์ล็อกที่ใช้เป็นหลักฐานนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ผมเองเคยเห็นไฟล์ล็อกนี้หลังจากเขียนบทความครั้งแรกๆ และสามารถติดต่อทีมทนายของนายอำพลได้ แต่เนื่องจากคดีในตอนนั้นยังไม่สิ้นสุด โดยยังคงอยู่ระหว่างการเตรียมการยื่นอุทธรณ์ผมเองจึงยังไม่ได้ขอให้ทีมทนาย เปิดเผยสู่สาธารณะ (เช่นเดียวกับเอกสารความเห็นจาก SR Labs ที่ผมเองก็เคยเห็นก่อนหน้านี้) มาถึงตอนนี้หลังจากทีมทนายเปิดเผยเอกสารจาก SR Labs ผมจึงอีเมลไปขอเอกสารไฟล์ล็อกที่ใช้เป็นหลักฐานในคดีนี้มาลงในเว็บ เพื่อให้ผู้ที่ติดตามได้เห็นว่าหลักฐานที่ใช้ฟ้องร้องในคดีนี้ จริงๆ มีหน้าตาเป็นอย่างไร เนื่องจากไฟล์ล็อกเป็นล็อกของการใช้งานของหมายเลข -3615 ที่ใช้ส่ง SMS และหมายเลข -4627 ของนายอำพล ทำให้มีหมายเลขอื่นๆ เข้ามาในไฟล์ด้วยจำนวนมาก ผมเลือกที่จะเซ็นเซอร์หมายเลขอื่นๆ ออกทั้งหมด เพิ่มเติมอีกหมายเลขเดียวคือ -5599 ของนายสมเกียรตื ครองวัฒนสุข ผู้ได้รับ SMS ที่ใช้ฟ้องร้องในคดีนี้ โดยมีบางส่วนของเอกสารที่ถูกปากกาเน้นคำป้ายแต่ทำให้กลายเป็นสีดำเมื่อถ่ายเอกสาร จะเซ็นเซอร์เลขทิ้งอีกครั้งโดยไม่สนใจว่าเลขภายในเป็นอะไรป้องกันการกู้คืนหมายเลขจากภาพ อีกส่วนหนึ่งที่เซ็นเซอร์ออกไปคือลายเซ็นของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ป้องกันการเอาภาพเหล่านี้ไปปลอมแปลงลายเซ็น ไฟล์ล็อกแบ่งออกเป็นสามชุด ชุดแรกคือล็อกของหมายเลข -3615 ที่ไม่มีเลข IMEI กำกับ ชุดที่สองคือหมายเลข -3615 ที่มีหมายเลข IMEI กำกับ และชุดที่สามคือไฟล์ล็อกของหมายเลข -4627 จากทรู บรรทัดที่เน้นในล็อกของหมายเลข -3615 คือล็อกที่ส่งไปยังหมายเลข -5599 ของนายสมเกียรติ ส่วนบรรทัดที่เน้นในล็อกของหมายเลข -4627 คือช่วงเวลาก่อนและหลังที่หมายเลข -3615 จะเปิดใช้งาน เรื่องที่น่าสังเกตจากล็อก คือ ข้อความนั้นถูกส่งด้วยความเร็วสูง เช่นวันที่ 22 นั้นมีข้อความถูกส่งออกไป 8 ข้อความในสองนาทีกว่าๆ อีกส่วนคือในล็อกของหมายเลข -4627 ของนายอำพลนั้นมีล็อกการรับ SMS จำนวนมาก แต่ไม่มีล็อกการส่ง SMS ออกไปแต่อย่างใด เอกสารชุดสุดท้ายคือเอกสารส่งหลักฐานไปตรวจพิสูจน์ ซึ่งผลการตรวจพิสูจน์คือเครื่องเสียหายไม่สามารถตรวจสอบการใช้งานใดๆ ได้ รวมถึงไม่สามารถตรวจสอบหมายเลข IMEI ว่าได้ว่าถูกแก้ไขไปหรือไม่ สำหรับบทความทั้งหมดเกี่ยวกับคุณอำพลบน Blognone ผมรวบรวมไว้เป็นสรุปนะครับ เพราะคาดว่าจะไม่มีประเด็นอื่นแล้ว หลังจากคุณอำพลเสียชีวิตและได้เปิดเผยหลักฐานออกมาแล้วเช่นนี้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
1 ปี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ “สอบตก” แก้ปัญหาที่ดิน-โครงสร้างภาคเกษตร Posted: 27 Aug 2012 08:59 AM PDT ชาวบ้านเครือข่ายปฏิรูปที่ดินจวกข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาไม่คืบ แถมในพื้นที่ปัญหาขัดแย้งระอุ เกษตรกรย้ำ “รับจำนำข้าว-พักชำระหนี้-บัตรเครดิตเกษตรกร” ไม่ตรงเป้าการแก้ปัญหา นักวิชาการเผยตัวเลขความเหลื่อมล้ำ คน 10 % ครอบครองพื้นที่มีโฉนด 80 % วันนี้ (27 ส.ค.55) เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย นำโดย นางอำนวย สังข์ช่วย ชาวบ้านหาดสูง สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ซึ่งประสบปัญหาที่ดินทำกินทับซ้อนเขตป่า ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า แถลงข่าวครบรอบ 1 ปี การทำงานของรัฐบาลกับนโยบายแก้ไขปัญหาที่ดินและคนจน ที่สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ระบุว่า นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 ส.ค.54 ที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แถลงนโยบายที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติต่อสภาว่าจะปฏิรูปการจัดการที่ดิน โดยให้มีการกระจายสิทธิที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน รวมถึงจะผลักดันกฎหมายในการรับรองสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร ที่ดิน น้ำ ป่าไม้ และทะเล อย่างไรก็ตาม ระยะเวลา 1 ปีผ่านไป การบริหารงานของรัฐบาลในเรื่องดังกล่าวกลับไม่มีความคืบหน้า ส่งผลให้เกษตรกรเกือบ 800,000 ครอบครัวยังอยู่ในภาวะไร้ที่ดินทำกิน เกษตรกรเกือบ 2 ล้านครองครัวอยู่ในภาวะมีที่ดินไม่เพียงพอ ที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ถูกปล่อยท้องร้างถึง 48 ล้านไร่ ในขณะที่เกษตรกรกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ประสบปัญหาหนี้สิน และที่ดินของเกษตรกรกว่า 38 ล้านไร่ อยู่ในสภาพหนี้ NPL และกำลังจะถูกขายทอดตลาด ประกอบกับปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำและต้นทุนการผลิตสูงในปัจจุบัน ทำให้เกษตรกรทั่วประเทศกว่า 4 ล้านครอบครัว อยู่ในภาวะไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ ผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร การแทรกแซงราคายางพารา โครงการรับจำนำมันสำปะหลัง และโครงการรับจำนำข้าว กำลังตกเป็นข่าวและถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเอื้อประโยชน์ให้กับคนเพียงบางกลุ่ม ในขณะที่เกษตรกรอาจจะได้รับผลประโยชน์ในระยะสั้น ซึ่งไม่สามารถยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรได้จริงสมกับเม็ดเงินที่รัฐบาลกำลังทุ่มลงไป ขณะที่ข้อเสนอของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยให้รัฐบาลปฏิรูปโครงสร้างที่ดินและโครงสร้างภาคเกษตร ด้วยแนวทางโฉนดชุมชน การใช้กลไกภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า และการแก้ไขปัญหาเกษตรกรไร้ที่ดินด้วยแนวทางธนาคารที่ดิน กลับไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลแต่อย่างใด “สะท้อนให้เห็นว่า ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลให้ความสำคัญกับนโยบายสร้างความนิยม ซึ่งให้ผลตอบแทนกับเกษตรกรเพียงในระยะสั้น แต่ละเลยการปฏิรูปโครงสร้างภาคเกษตร การลดความเหลื่อมล้ำด้านที่ดิน และการยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของเกษตรกรอย่างยั่งยืน” นางอำนวย กล่าว สำหรับข้อเสนอของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย นางอำนวยกล่าวว่า รัฐบาลควรปรับปรุงนโยบาย และการดำเนินงานของรัฐบาลในปีที่ 2 ด้วยการตระหนักในความเดือดร้อนของเกษตรกร และดำเนินนโยบายเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ตามนโยบายที่ได้เคยแถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมาอย่างเร่งด่วน เพื่อยืนยันและเป็นหลักประกันกับเกษตรกรทั่วประเทศว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุดนี้มีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาทางโครงสร้างที่ถูกสั่งสมมาอย่างยาวนาน ให้สมกับคำแถลงนโยบายอันเป็นความหวังของเกษตรกร ทั้งนี้ ในเวทีเสวนาวิชาการ “1 ปี รัฐบาลกับการแก้ไขปัญหาที่ดินและโครงสร้างภาคเกษตร คืบหน้าหรือถอยหลัง” จัดโดยเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย และกลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน โดยมีนักวิชาการและตัวแทนชาวบ้านร่วมนำเสนอข้อมูลและประเมินการทำงานของรัฐบาลในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา มีความเห็นให้รัฐบาลสอบตกในการแก้ปัญหา น.ส.พงษ์ทิพย์ สำราญจิตต์ กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน กล่าวว่า รัฐบาลสอบตกในประเด็นการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน เนื่องจากช่วง 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลยังไม่ได้ทำในสิ่งที่เขียนไว้อย่างสวยหรูในถ้อยแถลงต่อรัฐสภาเลยแม้แต่ข้อเดียว โดยเฉพาะการปฏิรูปและการกระจายการถือครองที่ดิน ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญในการแก้ปัญหาปากท้อง รวมทั้งการแก้ปัญหาโครงสร้างภาคการเกษตรด้วย ชาวบ้านร้องข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาไม่คืบ ขณะในพื้นที่สวนยางใต้ถูกปราบปรามหนัก นางกันยา ปันกิติ กรรมการเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย กล่าวในเวทีเสวนาวิชาการให้ข้อมูลว่าว่า จากปัญหาที่ดินกระจุกตัว ชาวบ้านไร้ที่ดินทำกินจึงมีการผลักดันนโยบายโฉนดชุมชน ธนาคารที่ดิน และภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง และในรัฐบาลที่แล้วก็มีการดำเนินการไปแต่ยังไม่มาก เมื่อมาถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันก็ได้มีการนำไปแถลงเป็นนโยบายต่อสภา แต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งในเรื่องการจัดทำโฉนดชุมชน หรือการแก้ปัญหาคดีโลกร้อน ในขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ต้องประสบปัญหาถูกข่มขู่คุกคาม ทำลายทรัพย์สิน ดังตัวอย่างชาวบ้านเทือกเขาบรรทัดที่ถูกตัดฟันต้นยางเมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ทั้งที่ทำกินอยู่ในพื้นที่ของปู่ย่า-ตายาย นางกันยา กล่าวด้วยว่า งบประมาณ 50 ล้านบาท ที่รัฐบาลมอบให้กรมอุทยานฯ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเพื่อใช้ปราบปราบนายทุน เจ้าของรีสอร์ทที่บุกรุกป่า กลับถูกนำมาใช้เพื่อปราบปรามชาวบ้านเกษตรกรรายย่อย ถือเป็นการดำเนินนโยบายที่สร้างปัญหาความขัดแย้งให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ในวันนี้ชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาปกป้องที่ดินของตนเอง โดยต้องทำหลุมพรางเป็นกับดัก และจับมีดพร้าเข้าไปเฝ้าระวังในสวนยางเพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่เข้ามาตัดฟัน ซึ่งอาจนำไปสู่ความสูญเสียหากมีการเผชิญหน้ากัน ส่วนการเคลื่อนไหวของชาวบ้าน นางกันยา ให้ข้อมูลว่า วันนี้ชาวบ้านจากเทือกเขาบรรทัดส่วนหนึ่งได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อแม่ทัพภาค 4 เพื่อขอกำลังทหารเข้าคุ้มครองพื้นที่ชั่วคราว ระหว่างรอ มติ ครม.เพื่อแก้ปัญหาที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด จ.ตรัง เข้าไปตัดฟันต้นยางของชาวบ้านในพื้นที่ เกษตรกรชี้ “รับจำนำข้าว-พักชำระหนี้-บัตรเครดิตเกษตรกร” ไม่ตรงเป้าการแก้ปัญหา นางกิมอัง พงษ์นารายณ์ ผู้ประสานงานสภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่งประเทศไทย กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง แต่กลับทำให้ปัญหาหนี้สินหนักขึ้น ชาวนาถูกยึดทรัพย์ขาดทอดตลาด ทุกวันนี้ปัญหาการสูญเสียที่ทำกินลุกลามมาถึงที่อยู่อาศัย ทำให้อาชีพเกษตรกรไม่ใช่อาชีพที่เป็นทางเลือกของลูกหลานอีกต่อไป สำหรับนโยบายรับจำนำข้าว จากราคาประเมิน 15,000 บาท ปัจจุบันเกษตรกรได้รับ 13,000 บาท แต่ก็ประสบปัญหาเรื่องเวลาที่จะได้รับเงิน และรายจ่ายที่สูงขึ้น ของแพง แม้ชาวนาจะรู้สึกดีที่ได้เงินก้อนใหญ่แต่สุดท้ายต้องถูกใช้จ่ายไปกับหนี้สินและต้นทุนการผลิตอื่นๆ อื่นสูงขึ้นตามมา จึงเท่ากับว่าประชาชนไม่ได้ประโยชน์ ในส่วนการพักชำระหนี้ก็ให้เฉพาะกับลูกหนี้ชั้นดี ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาของเกษตรกรที่กำลังจะถูกยึดที่ดิน และกรณีบัตรเครดิตเกษตรกรนั้นเมื่อรูดเงินมาแล้วหากผลผลิตไม่ได้ตามเป้า ก็เท่ากับเกษตรกรต้องเป็นหนี้ก้อนใหญ่ขึ้นเท่านั้น “เอาเงินก้อนใหญ่ใส่ในมือชาวนา ทำให้ต้องเลือกเพื่อจะได้เงิน แต่ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ตรงจุด” นางกิมอังกล่าวถึงวิธการแก้ปัญหาของเกษตรกรที่รัฐบาลชุดปัจจุบันทำอยู่ นางกิมอัง กล่าวด้วยว่า กฎหมายกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เป็นกฎหมายที่เขียนไว้ดี แต่ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล เกษตรกรต้องรวมตัวกันชุมนุมถึง 4 รอบ กว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการ แต่เมื่อตั้งคณะกรรมการแล้วกลับไม่มีการประชุมเดินหน้าทำงานเพื่อแก้ปัญหา จนทำให้เกษตรกรต้องรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อกระตุ้นเตือน จึงจะได้เริ่มนัดประชุม “รัฐบาลควรแก้ปัญหาที่ปัจจัยการผลิตก่อน อย่าเอาหนี้มาเพิ่มให้กับเราเรื่อยๆ” นางกิมอังกล่าว โดยให้ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาว่า ควรมีการจัดสรรที่ดินให้เกษตรกรเพื่อทำการเกษตร และทำให้เกษตรกรสามารถทำการผลิตแล้วอยู่ได้อย่างยั่งยืน เผยตัวเลขความเหลื่อมล้ำ คน 10 % ครอบครองที่ดิน 80 % ของพื้นที่มีโฉนด ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในเวทีเสวนาถึง งานวิจัยการกระจุกตัวความมั่งคั่งในสังคมไทย นำเสนอข้อมูลการถือครองที่ดินในรูปแบบโฉนดทั้งของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในประเทศไทยว่า ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค (Gini Coefficient) หรือค่าจีนี เพื่อแสดงค่าความเหลื่อมล้ำการกระจายการถือครองทรัพย์สิน ซึ่งจะมีค่าระหว่าง 0 ถึง 1 โดยหากตัวเลขเข้าใกล้ 0 หมายถึงสังคมมีความเหลื่อมล้ำที่ต่ำ แต่เข้าใกล้ 1 หมายถึงการมีความเหลื่อมล้ำในสังคมมาก พบว่าในปี 2555 ภาพรวมทั้งประเทศมีค่าจีนีสูงถึง 0.941 แสดงว่ามีการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินสูงมาก ขณะที่รายจังหวัดมีค่าจีนีอยู่ในช่วง 0.7 – 0.9 ขณะที่การกระจายรายได้จากการเก็บข้อมูลปี 2552 มีค่าจีนี 0.485 ซึ่งน้อยกว่า แต่ก็แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยมีการกระจุกตัวของความมั่งคั่งอยู่ ผศ.ดร.ดวงมณี ให้ข้อมูลต่อมาว่า ประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยของการถือครองที่ดินอยู่ที่ 13.97 ไร่ โดยบุคคลที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในประเทศเป็นนิติบุคคล ถือครองที่ดินจำนวน 2,853,859 ไร่ และเมื่อแบ่งผู้ถือครองที่ดินทั้งประเทศออกเป็น 5 กลุ่ม พบว่ากลุ่มคนที่ถือครองพื้นที่น้อยที่สุด 20 เปอร์เซ็นต์แรก ถือครองที่ดินเฉลี่ย 0.086 ไร่ ขณะที่กลุ่มคนที่ถือครองพื้นที่มากที่สุด 20 เปอร์เซ็นต์ท้าย ถือครองที่ดินเฉลี่ย 6.3 แสนไร่ ซึ่งมีความต่างกันประมาณ 729 เท่า อีกทั้งยังพบว่า ผู้ถือครองที่ดินทั้งแบบบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มีคน 10 เปอร์เซ็นต์ ครอบครองที่ดินเป็นจำนวน 80 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่มีโฉนด และคนที่เหลืออีก 90 เปอร์เซ็นต์ครอบครองที่ดินเป็นสัดส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่มีโฉนดที่เหลือ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินเป็นอย่างมาก โดยตัวเลขดังกล่าวหากรวมผู้ที่ไม่มีที่ดินถือครองจะเห็นถึงความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นไปอีก นักวิชาการด้านคณะเศรษฐศาสตร์ กล่าวการแก้ปัญหาของรัฐบาลว่า ที่ผ่านมามีการพูดถึงกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และธนาคารที่ดิน แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า ทั้งที่มาตรการทางภาษีจะช่วยเพิ่มต้นทุนในการถือครองที่ดิน เกิดการกระจายการถือครองที่ดิน และช่วยให้มีการนำที่ดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ส่วนธนาคารที่ดินจะช่วยให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงที่ดินได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องที่ดินไม่สามารถแก่ไขได้โดยใช้มาตรการในมาตรการหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว ชี้ 4 ประเด็นปัญหา ที่รัฐบาลนี้ (และที่ผ่านมา) แก้ไม่สำเร็จ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า นโยบายการจัดการที่ดินถูกละเลยอย่างต่อเนื่องในแทบทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ชาวบ้านต้องเผชิญปัญหามายาวนาน โดยไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบาย พร้อมอธิบาย 4 ประเด็นปัญหานโยบายรัฐว่า ประกอบด้วย 1.ปัญหาพื้นฐานในการเข้าไม่ถึงสิทธิถือครองที่ดินโดยถูกกฎหมาย ยกตัวอย่าง ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่ถึง 1.5 ล้านครอบครัว โดยไม่มีนโยบายแก้ปัญหาเรื่องนี้ที่ชัดเจน ส่วนนโยบายโฉนดชุมชน กองทุนธนาคารที่ดิน ซึ่งต้องมีความเกี่ยวเนื่องกันก็ยังไม่เดินหน้า ทำให้ไม่เห็นความชัดเจนในการปฏิรูปเพื่อให้เกษตรกรได้เข้าถึงที่ดิน ทั้งนี้ การปฏิรูปที่ดิน จาก สปก.ที่มีอยู่เดิมก็เป็นเพียงการนำที่ดินของรัฐซึ่งเป็นป่าเสื่อมโทรมมาแจก ไม่ได้มุ่งปรับโครงสร้างการถือครองที่ดิน หรือทำให้เกิดความเป็นธรรมในการกระจายการถือครองที่ดินอย่างแท้จริง 2.ความไม่มั่นคงในการถือครองที่ดิน เนื่องจากไม่มีการกำหนดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อป้องกันการเก็งกำไร ทำให้เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากต้องสูญเสียที่ดิน ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันก็ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ 3.ความไม่มั่นคงในชีวิตของภาคเกษตร ซึ่งคนส่วนใหญ่ในสังคมคือผู้ใช้แรงงานและการมีชีวิตอยู่ในภาคเกษตรเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้คนอยู่ได้ ทิศทางในการพัฒนาเกษตรจึงเป็นสำคัญ ดังนั้นการแจกที่ดินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกษตรกรมีความมั่นคงได้ ต้องมีนโยบายอื่นๆ ประกอบ ซึ่งรัฐบาลก็ยังไม่มีนโยบายในส่วนนี้ที่ชัดเจน 4.ความขัดแย้งเฉพาะหน้า ซึ่งมีทั้งกรณีที่เกิดความรุนแรง และกรณีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยข้อเสนอคือหากยังไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รัฐบาลควรชะลอการดำเนินการใดที่กระทบต่อชีวิต แล้วควรเปิดโอกาสให้ชาวบ้านพิสูจน์สิทธิการถือครองที่ดิน ส่วนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ควรใช้เงินกองทุนยุติธรรมเข้าให้ความช่วยเหลือในการประกันตัวและต่อสู้คดี ทั้งนี้ ในตอนท้าย รศ.สมชาย แสดงความเห็นว่า การดำเนินการบางส่วนของรัฐบาลอยู่ที่ความเข้มแข็งของแต่ละพื้นที่ และผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องคิดแก้ปัญหาให้ชาวบ้านอย่างสันติ นอกจากนี้ตัวเลขจากงานวิจัยการถือครองที่ดินน่าจะช่วยทำให้สังคมมองเห็นความไม่เป็นธรรมได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการผลักดันนโยบายเพื่อแก้ปัญหาการให้เกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง “คดีโลกร้อนกับคนจน” ชาวบ้านดันเต็มที่ แต่ผู้มีอำนาจไม่รับลูกต่อ ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตน์ สถาบันธรรมรัฐเพื่อพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กรณีชาวบ้านถูกกรมอุทยานฯ และกรมป่าไม้ ฟ้องร้องในคดีโลกร้อน จากตัวเลขเดิมที่มีอยู่คือ 34 ราย 19 คดี ซึ่งอาจมีผู้ต้องคดีได้ต่อไปอีกถึง 2,000 ราย สะท้อนปัญหาโครงสร้างป่าไม้ที่ดินไทยซึ่งอยู่บนความเชื่อผิดๆ ว่าคนที่อยู่กับป่าคือผู้กระทำผิด ทั้งที่ความจริงที่เกิดขึ้นมีกรณีของกฎหมายป่าไม้ที่บุกรุกขับไล่คนออกจากพื้นที่ และกรณีของการส่งเสริมพืชเศรษฐกิจเพื่อส่งออกตามนโยบายของรัฐบาล แต่สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทำให้ผู้บุกเบิกที่รัฐเคยส่งเสริมต้องกลายมาเป็นผู้บุกรุกที่รัฐต้องจับกุมในปัจจุบัน ดร.บัณฑูร กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านและได้ร่วมกับนักวิชาการ 16 คนซึ่งตนเองเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ทำข้อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกรณีแบบจำลองการคิดค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมซึ่งใช้ในการฟ้องคดีโลกร้อนว่ามีวิธีคิดคำนวณที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม และไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อให้กรมอุทยานฯ และกรมป่าไม้แก้ไขแบบจำลองดังกล่าว ทั้งต่อคณะกรรมการสิทธิมนุายชนแห่งชาติ และต่อนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ทั้งนี้ ชาวบ้านพยายามอย่างเต็มที่ ทำทุกทางเพื่อแก้ปัญหา แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล ในส่วนของข้อเสนอ ดร.บัณฑูร กล่าวว่า ควรยุติการใช้แบบจำลองการคิดค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมด้งกล่าว และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์ อีกทั้งให้มีการพัฒนาแบบจำลองใหม่โดยหน่วยงานทางวิชาการ อาทิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) หรือสภาวิจัยแห่งชาติ ทั้งนี้ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เท่าที่ติดตามยังไม่เคยเห็นการฟ้องคดีโลกร้อนกับนายทุนรายใหญ่ ซึ่งตรงนี้อาจเป็นปัญหาจากกระบวนการตรวจวัดผลงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ทำให้ชาวบ้านต้องตกเป็นเป้าหมายเพื่อสร้างผลงานเพราะเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจัดการกับนายทุนได้ รัฐบาลสอบตกแก้ปัญหาเกษตรกร เหตุทุ่มงบอัดประชานิยม รศ.สมพร อิศวิลานนท์ สถาบันคลังสมองแห่งชาติ กล่าวถึง การทำงานของรัฐบาลในการแก้ปัญหาที่ดินในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาว่า ไม่มีความก้าวหน้า ทั้งในส่วนของการขยายเขตการจัดรูปที่ดินในพื้นที่ชลประทาน การจัดหาที่ดินทำกินให้แก่ผู้ยากไร้ การปฏิรูปการถือครองที่ดิน การจัดให้มีโฉนดชุมชน การสนับสนุนให้มีการตัดตั้งธนาคารที่ดิน การคุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และการฟื้นฟูคุณภาพดิน ส่วนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเกษตรเป็นนโยบายที่รัฐละเลยและให้ความสำคัญในระดับต่ำ และนโยบายทุ่มเทไปกับการยกระดับราคาและแทรกแซงกลไกตลาดของพืชบางชนิดอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะการแทรกแซงตลาดข้าวเปลือก ซึ่งนโยบายการแทรกแซงกลไกตลาดของพืชบางชนิดในระดับสูงนี้ได้สร้างผลกระทบต่อโครงสร้างการผลิตพืชของไทย ขณะที่นโยบายด้านการเสริมสร้างและพัฒนากลไกตลาด และโครงสร้างตลาดสินค้าเกษตรและตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าถูกละเลย จะนำมาซึ่งความสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการเกษตรไทย รศ.สมพรกล่าวด้วยว่า นโยบายเกษตรของรัฐมีภาพไม่ชัดเจนที่จะขับเคลื่อนนโยบายการจัดการเพื่อความมั่นคงทางอาหารของชุมชน และการก้าวไปสู่การเป็นครัวโลก ทั้งนี้ หากจะให้คะแนนรัฐบาลระยะสั้นเต็มสิบถือว่าสอบผ่าน หรือให้หก แต่ถ้ามองภาพรวมในระยะยาวถือว่าสอบตก การที่รัฐบาลมุ่งทำประชานิยมมากเกินไปจะเกิดผลเสียตามมา เป็นความเสียหายหลายแสนล้าน ขณะที่เงินหลายแสนล้านรัฐสามารถนำมาพัฒนาด้านอื่นๆ ได้ นักวิชาการสถาบันคลังสมองแห่งชาติ กล่าวส่งท้ายถึงข้อเสนอว่า รัฐบาลควรเร่งให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการสูญเสียที่ดินทำกินในภาคเกษตร การคุ้มครองที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม การจัดตั้งกองทุนที่ดินเพื่อการเกษตร การจัดกรรมสิทธิ์การใช้ที่ดินในรูปของโฉนดชุมชน และควรเร่งให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจการเกษตร เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการผลิตอาหาร รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างความมั่นคงในอาชีพและการดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข อีกทั้งควรมีการกำหนดเขตการใช้ที่ดินและแผนการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรใหม่ โดยเฉพาะในส่วนแผนการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรของชุมชน และสร้างกลไกมาตรการทางภาษีเพื่อการปฏิรูปการถือครองที่ดินจำนวนมาก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
THAIPUBLICA: กสทช. ส่อล้มประมูลเบอร์สวยพันล้าน บ.มือถือเฮอีก Posted: 27 Aug 2012 08:13 AM PDT การจัดสรรหมายเลขโทรศัพท์สวยด้วยวิธีประมูล ถือเป็นกระบวนการที่ กสทช. สามารถทำได้ตามที่กฎหมายระบุไว้ (ประกาศ กทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดสรรและบริหารเลขหมายโทรคมนาคม พ.ศ. 2551) ในฐานะที่ กสทช. เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารจัดการเลขหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณะ แต่ที่ผ่านมา หลังจากที่กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกือบ 4 ปีแล้ว ปรากฏว่า กสทช. ยังคงไม่มีการจัดประมูลเบอร์สวยให้เกิดขึ้นแต่อย่างใด ประกอบกับการตั้งข้อสังเกตจากหลายฝ่ายถึงความล่าช้า และรูปแบบการจัดสรรเลขหมายแบบเดิมที่คิดค่าธรรมเนียมในการขอเลขหมายทั้งหมด ครั้งละ 5,000 บาท และค่าธรรมเนียมรายเดือน จำนวน 2 บาท/เลขหมาย ซึ่งอาจทำให้รัฐเสียประโยชน์ (อ่านเพิ่มเติม) และจากข้อเท็จจริงที่พบว่า กสทช. มีการเก็บเลขหมายบางกลุ่มที่เข้าข่ายเป็นเบอร์สวย และมีมูลค่าในท้องตลาดไว้ ไม่นำออกมาจัดสรรตามปกติ จำนวนทั้งสิ้น 1.64 ล้านเลขหมาย และล่าสุดเพิ่มเป็น 1.74 ล้านเลขหมาย ตามข้อมูลเดือนสิงหาคม 2555 ซึ่งมีการคาดการณ์จากหลายฝ่ายว่า กสทช. เตรียมจะนำเบอร์สวยเหล่านี้ออกมาประมูลในไม่ช้า โดยมูลค่าจริงของเบอร์สวยเหล่านี้น่าจะไม่ต่ำกว่าพันล้านบาท ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า ขณะนี้ กสทช. มีนโยบาย หรือมีทีท่าอย่างไร ที่จะจัดการกับเบอร์สวย เนื่องจากเบอร์สวยเป็นทรัพยากรโทรคมนาคมของชาติที่มีมูลค่ามหาศาล การจัดสรรจึงควรทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณะ ตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น การจัดให้มีการประมูลเบอร์สวยสามารถกระทำได้ เนื่องจากมีกฎหมายที่ให้อำนาจ กสทช. รองรับอยู่แล้ว เพียงแค่มีการออกประกาศหลักเกณฑ์เพิ่มเติม กสทช. ก็สามารถจัดให้มีการประมูลเบอร์สวยได้ทันที แต่การประกาศหลักเกณฑ์ดังกล่าว ก็ใช่ว่าจะสามารถทำได้ในข้ามคืน เพราะ พ.ร.บ. กสทช. มาตรา 28 กำหนดให้การจะออกประกาศต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในกรณีนี้คือผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือ และประชาชนทั่วไป ขณะนี้ ขั้นตอนของการจัดทำหลักเกณฑ์ประมูลเบอร์สวยจึงยังคงไม่เสร็จสิ้น และยังอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ซึ่งเป็นคณะกรรมการชุดหลักของ กสทช. ที่ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม ที่จะต้องจัดทำร่างประกาศ และรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข และประกาศให้มีผลบังคับใช้ต่อไป จากคำยืนยันของ นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช. ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ได้ยืนยันว่า ที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัย กทช. (คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ก่อนที่จะกลายมาเป็น กสทช. ได้มีการหยิบยกเรื่องการประมูลเบอร์สวยมาเป็นประเด็นในการพิจารณาจริง เนื่องจากเป็นเรื่องผลประโยชน์สาธารณะ และมีกฎหมายรองรับให้สามารถทำได้ เมื่อเปลี่ยนจาก กทช. กลายมาเป็น กสทช. การดำเนินการที่จะผลักดันให้มีการประมูลเบอร์สวยยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง “จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม 2555 ในที่ประชุม กทค. มีการเสนอความคิดเห็นให้มีการทบทวนเรื่องการจัดประมูลเบอร์สวย ซึ่งอาจส่งผลให้มีการยกเลิกการประมูล หรืออาจมีการประมูลต่อไปก็ได้ ซึ่งข้อสรุปในเรื่องนี้ต้องรอให้ กทค. มีมติอย่างเป็นทางการ โดยขณะนี้ในที่ประชุม กทค. กำลังพิจารณาทบทวนเรื่องนี้ไม่เสร็จสิ้น จึงยังไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าจะมีการประมูล หรือจะยกเลิกการประมูล” นายประวิทย์กล่าว สอดคล้องกับความเห็นของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการประมูล ที่เริ่มปรากฏชัดเจนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีการเสนอให้ยกเลิกประมูลเบอร์สวยโดยให้เหตุผลว่า กสทช. ไม่ควรเป็นองค์กรที่มุ่งแสวงหารายได้ในเชิงธุรกิจ การจัดสรรเลขหมายควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ขณะที่ปัจจุบันยังไม่มีประกาศของ กสทช. เรื่องการจัดสรรเลขหมายสวยให้มีผลในทางปฏิบัติ ทำให้ต้องมีการออกประกาศใหม่ และต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 4 เดือนในการรับฟังความเห็นสาธารณะ ทำให้เบอร์สวยที่ถูกเก็บไว้ไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ อาจขาดแคลน และเป็นอุปสรรคในการแข่งขันของเอกชน ขณะที่การประมูลเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อน กสทช. อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการจัดการเงินในภายหลังได้ เมื่อย้อนกลับไปก็พบว่า ในอดีต ตั้งแต่สมัย กทช. ไปจนถึง กสทช. เป็นเวลากว่า 3 ปี ที่มีความพยายามผลักดันให้เกิดการประมูลเบอร์สวยมาตลอด มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดประมูลเบอร์สวย และร่างหลักเกณฑ์ในการประมูล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บเบอร์สวย 1.74 ล้านเลขหมาย ที่เตรียมการไว้สำหรับอนาคต หากประกาศเรื่องการประมูลมีผลบังคับใช้ แต่ปรากฏว่า ในเดือนพฤษภาคม 2555 ที่ประชุม กทค. กลับมีการเปลี่ยนแปลงแนวทาง จากต้นเดือน ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นเร่งรัดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ จัดทำหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเบอร์สวยเพื่อเตรียมพิจารณาโดยเร็ว แต่ปรากฏว่าในช่วงปลายเดือน ที่ประชุม กทค. กลับเปลี่ยนแนวทางในการประมูลเบอร์สวย และเสนอให้พิจารณาทบทวน เนื่องจากมองว่าการนำเบอร์สวยออกประมูล อาจก่อให้เกิดภาระในการบริหารจัดการในอนาคตได้ โดยมีความเป็นไปได้ที่ กทค. อาจนำเบอร์สวยที่เคยดึงไว้ 1.74 ล้านเลขหมาย คืนให้แก่ผู้ประกอบการ ที่เคยถูกดึงเบอร์สวยออกมาจากการจัดสรร เป็นการเตรียมกลับลำ และเปลี่ยนแนวทางจากหน้ามือเป็นหลังมือ ในระยะเวลาไม่ถึง 30 วัน และจากเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ในที่ประชุม กทค ได้มีการนำวาระให้ทบทวนการประมูลเบอร์สวย มาพิจารณาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้จนกระถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลากว่า 3 เดือนแล้ว หากมีการยกเลิกไม่ให้มีการประมูลเบอร์สวยจริง คนที่ได้ประโยชน์ทันทีก็คือภาคเอกชน ผู้ประกอบการ หรือค่ายโทรศัพท์มือถือ ที่จะได้รับเบอร์โทรศัพท์สวย โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มขึ้นจากเบอร์โทรศัพท์ธรรมดาทั่วไป และสามารถนำไปขายต่อในท้องตลาดในราคาแพงมหาศาล ส่วนผู้ที่เสียประโยชน์ ก็คงหนีไม่พ้นประเทศชาติ เพราะเบอร์สวยเป็นทรัพยากรโทรคมนาคมของชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็น และมีมูลค่ามหาศาลในท้องตลาด ถึงแม้ว่า กสทช. จะไม่เป็นผู้จัดประมูลเอง แต่ขณะนี้ก็พบว่ามีภาคเอกชนนำเบอร์สวยที่มีมาจัดการประมูลอยู่แล้ว ซึ่งผลประโยชน์ส่วนเกินที่เกิดขึ้น แทนที่จะตกเป็นของรัฐ ก็กลับเข้าสู่กระเป๋าของภาคเอกชน ดังนั้น สิ่งที่ กสทช. ต้องตอบคำถามกับประชาชนให้ได้ขณะนี้คือ เพราะเหตุใดการประมูลเบอร์สวยที่มีการเตรียมการมากว่า 3 ปี กลับถูกนำมาพิจารณา และมีการเสนอให้ยกเลิกอย่าเร่งรีบในช่วงเวลาเพียง 3 เดือน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
กลุ่มสตรีใน 'โตโก' เตรียมประท้วง "งดเซ็กส์" หวังปลุกชายร่วมไล่ปธน. Posted: 27 Aug 2012 07:44 AM PDT ปีกสตรีในองค์กรสิทธิพลเมือง หวังไล่ประธานาธิบดีประเทศโตโก เปิดฉากรณรงค์ "เซ็กส์สไตรค์" หวังร่วมให้สามี-คู่ขาร่วมออกมาไล่ปธน. เหตุเปลี่ยนกม. การเลือกตั้งเพื่อหวังชนะการเลือกตั้ง 27 ส.ค. 55 - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (25 ส.ค.) กลุ่มนักเรียกร้องทางการเมืองในประเทศโตโก ตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกา ได้ประกาศชักชวนสตรีทั่วประเทศงดมีเพศสัมพันธ์กับสามี เพื่อให้มาร่วมเรียกร้องให้ผู้นำประเทศลาออก สมาชิกสตรีในกลุ่มเรียกร้องสิทธิพลเรือนเรียกร้องให้สตรีโตโกงดมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เป็นการกดดันสามีของตนเองให้เคลื่อนไหวเพื่อโค่นประธานาธิบดีฟอร์ ญาส์แซงเบ ลงจากตำแหน่ง อิซาเบล อาเมกานวี แกนนำสตรีในกลุ่ม Let’s Save Togo กล่าวว่าผู้หญิงชาวโตโกได้รับการร้องขอให้งดการมีเพศสัมพันธ์หรือคู่นัดเป็นเวลานาน 1 สัปดาห์ เธอกล่าวว่า เพื่อเป็นการเอาอย่างกลุ่มสตรีในไลบีเรียที่เคยใช้วิธีนี้รณรงค์เรียกร้องสันติภาพเมื่อปี 2003 เธอกล่าวว่า สตรีโตโกมีหลายวิธีที่จะทำให้ผู้ชายเข้าใจว่าพวกเธอต้องการสิ่งใด ทางกลุ่มประกาศเรื่องนี้ระหว่างการชุมนุมที่กรุงโลเมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งมีคนเข้าร่วมหลายพันคน ทั้งนี้ การชุมนุมครั้งนี้ เป็นการชุมนุมประท้วงการปฏิรูปการเลือกตั้งเมื่อไม่นานมานี้ที่ทางกลุ่มมองว่า เปิดทางให้พรรคของประธานาธิบดีญาส์แซงเบ ชนะเลือกตั้งอีกสมัยในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาเดือนตุลาคมนี้ ประธานาธิบดีฟอร์ ญาส์แซงเบ ขึ้นปกครองโตโก ซึ่งเป็นประเทศในแอฟริกาตะวันตกในปี 2005 ต่อจากนายเอยาเดมา ญาส์แซงเบ บิดาที่ถึงแก่อสัญกรรมหลังจากปกครองประเทศมานาน 38 ปี อย่างไรก็ดี เขาและภรรยาไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อการประกาศครั้งนี้ โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ได้มีการประท้วงต่อต้านผู้นำโตโกถึง 2 ครั้ง ตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุม และมีผู้ถูกจับกุมมากกว่า 100 คน การชุมนุมเมื่อวันเสาร์ซึ่งยุติลงด้วยความสงบ นายฌอง-ปิแอร์ ฟาเบร ผู้นำพรรคพันธมิตรเพื่อการเปลี่ยนแปลงแห่งชาติ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน กล่าวเรียกร้องให้นายญาส์แซงเบลาออก ขณะที่ผู้นำพรรคฝ่ายค้านรายอื่น เรียกร้องให้ทำการอารยะขัดขืน อย่างไรก็ดี เมื่อถามผู้ร่วมชุมนุมสตรีรายหนึ่ง เธอกล่าวว่า เธอสนับสนุนการประท้วงครั้งนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำได้นานถึงหนึ่งสัปดาห์หรือไม่ ขณะที่อีกรายกล่าวว่า สำหรับเธอเป็นเรื่องง่าย แต่กับสามีของเธอ เธอไม่แน่ใจว่าเขาจะยอมรับการประท้วงหรือไม่ แต่เธอก็จะอธิบายให้เข้าใจ
ที่มา: มติชนออนไลน์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
Posted: 27 Aug 2012 07:03 AM PDT
อากง โอหนอ อาดูร อากง โอ้หนอ อาดูร อากง โอ้หนอ อาดูร อากง โอ้หนอ อาดูร อากง โอ้หนอ อาดูร
ที่มา คลิปวีดีโอSPEED HORSE TV ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
กองทัพกัมพูชา-ไทย ร่วมฝึกทหารครั้งแรกในประวัติศาสตร์ Posted: 27 Aug 2012 06:35 AM PDT สำนักข่าว AKP ของกัมพูชารายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทัพไทยและกัมพูชาได้ร่วมกันฝึกทหารเป็นครั้งแรกในประวัตืศาสตร์ ระหว่างวันที่ 21- 25 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่จังหวัดเพชรบุรี โดยมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือของสองประเทศด้านความช่วยเหลือทางภัยภิบัติและมนุษยธรรม มีรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาราว 40 นายเข้าร่วมการฝึกทางทหารในครั้งนี้ พลเอกเสา โสขา รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดกองทัพกัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นหลังจากกลับถึงกัมพูชาวันนี้ว่า กองทัพไทยแสดงความยินดีและชื่นชมความร่วมมือและความสามารถของกองทัพกัมพูชาอย่างมาก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ไอซีทีจ่าย 120 ล้าน บล็อคเว็บโป๊ในแท็บเล็ต ป.1 Posted: 27 Aug 2012 06:26 AM PDT (27 ส.ค.55) น.อ.สุรพล นะวะมวัฒน์ ที่ปรึกษา รมว.การกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และที่ปรึกษาคณะกรรมการตรวจรับโครงการแท็บเล็ตป.1 เปิดเผยว่า ขณะนี้ไอซีทีได้เลือกให้บริษัท เอส เอ พี (SAP Company) ผู้ผลิตโปรแกรมป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ จัดทำโปรแกรมเพื่อป้องกันการเข้าเว็บไซต์ไม่เหมาะสม หรือ เว็บไซต์ลามกอนาจารผ่านทางแท็บเล็ตป.1 หลังจากพบปัญหาว่าแท็บเล็ตป.1 ที่แจกฟรีนั้นสามารถเข้าเว็บไม่เหมาะสมได้ทันทีที่เชื่อมต่อกับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ การว่าจ้างดังกล่าวมีมูลคค่า 120 ล้านบาท ระยะเวลา 1 ปี และจะเซ็นสัญญากับทางเอสเอพีในวันที่ 31 ส.ค.นี้ โดยทางเอสเอพีต้องส่งมอบโปรแกรมหลังเซ็นสัญญา 90 วัน ซึ่งจะเริ่มติดตั้งโปรแกรมดังกล่าวในแท็บเล็ตป.1 จำนวน 1 ล้านเครื่องได้ประมาณวันที่ 1 ธ.ค. สำหรับโปรแกรมดังกล่าวจะมีคำสั่งควบคุมการใช้งาน 9 คำสั่ง เช่น คำสั่งเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของเด็กป.1 ว่า เข้าเว็บใดบ้าง จำกัดสิทธิ์ในการเข้าใช้งานเว็บไซต์ต่างๆ โดยโปรแกรมจะระบุไว้ว่าสามารถเข้าใช้งานเว็บไซต์ใดได้และไม่สามารถเข้าใช้งานเว็บไซต์ใดได้ เป็นต้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหกรณีดังกล่าวขึ้นมาอีก นอกจากนี้ จะขอความร่วมมือกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะที่กำกับดูแลผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ (ไอเอสพี) ให้ช่วยระงับเว็บไซต์ที่เข้าข่ายนำเสนอเนื้อหาไม่เหมาะสม เนื่องจากทางไอเอสพีจะมีทีมงานที่ทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว ดังนั้น หากร่วมมือกันทุกทางก็จะช่วยให้การใช้งานแท็บเล็ต ป.1 มีคุณภาพเพื่อการศึกษาตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริงมากขึ้น น.อ.สุรพล กล่าวว่า กรณีที่ไอซีทีถูกมองว่าเหตุใดจึงไม่ติดตั้งโปรแกรมดังกล่าวลงในตัวเครื่องตั้งแต่แรกนั้น เนื่องจากงบประมาณที่ใช้ในการจัดซื้อแท็บเล็ตป.1 เป็นเพียงจัดการซื้อตัวเครื่อง ไม่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์และโปรแกรมต่างๆ และตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานแท็บเล็ตป.1 ได้ระบุชัดเจนว่า ใช้แท็บเล็ตป.1 เพื่อเป็นอุปกรณ์เสริมในเรียน และเน้นเข้าใช้งานตำราเรียนแบบออฟไลน์เป็นหลัก "ทางคณะทำงานมีงบประมาณสำหรับจัดซื้อซอฟต์แวร์ไว้แล้ว ไม่ใช่ทำแบบวัวหายแล้วล้อมคอก แต่ดำเนินการทุกอย่างมีขั้นตอนและระยะเวลา ซึ่งเมื้อเกิดปัญกาก็รีบดำเนินการทันที"น.อ.สุรพลกล่าว อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่อยู่ในช่วงติดตั้งโปรแกรมบล็อคเว็บไซต์ ซึ่งบางโรงเรียนสามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้ ทางครูต้องสอนให้เด็กรู้จักใช้แท็บเล็ตในการค้นหาข้อมูลแบบเหมาะสมด้วย
ที่มา: เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
เพิ่มข้อหาแท็กซี่ไม่รับผู้โดยสาร จับ-ปรับทันที เริ่ม 1 ก.ย.นี้ Posted: 27 Aug 2012 06:00 AM PDT พ.ต.อ.วีระวิทย์ วัจจนะพุกกะ ผกก.3 (ศูนย์ข้อมูลใบสั่ง) กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) เปิดเผยว่า กองบังคับการตำรวจจราจรได้เพิ่มข้อหาหลักที่ไม่มีการเตือนและต้องจับกุมเท่านั้นอีก 1 ข้อหาจากเดิม 12 ข้อหารวมเป็น 13 ข้อหา คือแท็กซี่ที่ปฏิเสธรับผู้โดยสาร หากผู้โดยสารเดือดร้อนสามารถโทรศัพท์แจ้งตำรวจได้โดยตรง ไม่ต้องไปร้องเรียนที่ขนส่งทางบกแล้ว โดยจดจำเลขทะเบียนรถเพื่อแจ้งตำรวจ จะได้ตรวจสอบและจับกุมตามความผิดทันที ทั้งนี้ ข้อหาดังกล่าวถือว่าสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั่วไปที่จำเป็นต้องอาศัยรถแท็กซี่เพื่อโดยสาร ทำให้ไม่สามารถจะออกใบเตือนให้ได้ ส่วนการเตรียมพร้อมออกใบเตือน (บันทึกว่ากล่าวตักเตือนผู้ขับขี่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร) ให้กับผู้ขับขี่บนท้องถนนนั้น จะเริ่มใช้ทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานครในวันที่ 1 ก.ย.นี้ โดยเป็นการเตือนนอกเหนือ 13 ข้อหาหลักตามนโยบายของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เช่น ขับขี่โดยไม่คาดเข็มขัดนิรภัย หรือขับขี่โดยไม่พกใบอนุญาตขับขี่ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อตำรวจออกใบเตือนให้ผู้ขับขี่ที่ทำผิดกฎไปแล้ว หากมีความผิดซ้ำจะมีการบันทึกข้อมูล และให้ตำรวจปรับในอัตราสูงสุด ทั้งนี้ รูปแบบการทำงานของใบเตือนนั้น จะมีอยู่ 3 ส่วน ส่วนสีเหลืองจะให้กับผู้ขับขี่ที่ทำผิด ส่วนสีชมพูใช้สำหรับบันทึกข้อมูลการเตือน และส่วนสีขาวจะเป็นสำเนาติดอยู่ที่ต้นขั้วของเล่มใบเตือน เพื่อเป็นหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ “เมื่อมีการเตือนผู้ขับขี่แล้ว ตำรวจจะบันทึกข้อมูลในส่วนของต้นขั้วส่งมายัง บก.จร. เพื่อรวบรวมข้อมูลความผิดที่เตือนไป จากนั้น บก.จร.จะส่งต่อข้อมูลดังกล่าวไปยังกองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 และทุก สน. เพื่อให้ทุกท้องที่รับทราบว่าผู้ขับขี่รายใดบ้างที่ได้ออกใบเตือนไปแล้ว และหากพบว่ามีการเตือนอีก ก็จะเรียกเจ้าของรถตามทะเบียนนั้นมาปรับในอัตราโทษสูงสุด ต่อไปจะไม่มีการปรับ 200-500 บาทแล้ว” พ.ต.อ.วีระวิทย์ กล่าว 13 ข้อหาที่ไม่มีการเตือนและต้องจับกุมเท่านั้น มีดังนี้
ที่มา: โพสต์ทูเดย์ และ เว็บกองบังคับการตำรวจจราจร ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น