ประชาไท | Prachatai3.info |
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 5 - 11 ส.ค. 2555
- กองทัพซีเรีย-จอร์แดน ปะทะกันที่ชายแดน
- เปิดงานวิจัยความไม่เป็นธรรมด้านเศรษฐกิจและแรงงาน "คนทำงาน" ก.ค.2555
- ประวิตร โรจนพฤกษ์: การเชียร์โอลิมปิกกับความเท่าทันชาตินิยม
- ศาลมาเลย์ยกฟ้อง 3 มือระเบิด บททดสอบความร่วมมือไทย-มาเลเซียดับไฟใต้
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 5 - 11 ส.ค. 2555 Posted: 11 Aug 2012 09:18 AM PDT ดึงภาคีปฏิรูป 5 ด้านปรับโฉมประเทศ ยันค่าแรง 300 บาทหนุนบริโภคโตดัน ศก.พ้นหล่ม นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ 'ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงผ่านประเทศไทย' ในการอบรมผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่น 3 จัดโดยมูลนิธิสัมมาชีพ ร่วมกับเครือมติชน จัดขึ้นที่สมาคมธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ภายในปี 2563 เศรษฐกิจโลกจะขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ความรู้และทักษะใหม่ มีเทคโนโลยีชีวภาพเป็นคลื่นลูกที่สี่เข้ามาต่อคลื่นลูกที่สาม ยุคสมัยแห่งปัจเจกชน และเครือข่ายทางสังคมจะแบ่งสันปันส่วนการนำ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงต้องอาศัย 3 พลัง คือ พลังทางปัญญา พลังทางสังคม พลังแห่งอำนาจรัฐ จาก 5 ภาคี ได้แก่ ภาคประชาชน ภาคการเมือง ภาคข้าราชการ ภาคเอกชน และสื่อสารมวลชน โดยผลักดันการกระจายอำนาจ กระจาย ความรู้ กระจายโอกาส กระจายความเจริญ เพื่อให้เกิดการปฏิรูป 5 ด้าน ได้แก่ การเมืองการปกครอง การศึกษา เศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน และการต่างประเทศ นอกจากนี้ ไทยจะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ ต้องก้าวผ่านเทือกเขาที่เป็นอุปสรรค 2 ด้านคือ ความขัดแย้งโดยอาศัยความอดทน อำนาจ การให้อภัย และต้องก้าวผ่านปัญหาคอร์รัปชั่นด้วยการเข้าสู่อำนาจที่ถูกต้อง มีระบบบริหารที่มีประสิทธิภาพ บนค่าตอบแทนที่เหมาะสม และมีบทลงโทษยุติธรรม 'กฎของการเปลี่ยนแปลง 3 ข้อคือ ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลง มุ่งไปทิศทางเดียว และจะเกิดขึ้นเมื่อเงื่อนไขพร้อม บนปรัชญาแห่งความสำเร็จคือ ลงจากตำแหน่งในเวลาที่เหมาะสม เพราะไม่มีใครจะเก่ง และทำงานหนักไปได้โดยตลอด สุดท้ายเมื่อถึงเวลา ก็ต้องมีคนเข้ามาทำหน้าที่แทนในเวลาที่เหมาะสมสักวัน' น.พ.สุรพงษ์กล่าว ด้านนายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐ ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในหัวข้อ 馄 บาท วิกฤต โอกาสแรงงานไทย' ว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น วันละ 300 บาทนั้น ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าในภาคอุตสาหกรรมสูงขึ้น 3.6% เท่านั้น แต่จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนภาคครัวเรือนที่มีสัดส่วนการบริโภคใน ประเทศ 52% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ดังนั้นค่าจ้างขั้นต่ำจึงเป็นตัวแปรหลักของประเทศ โดยเฉพาะในยามที่ไทยต้องประสบวิกฤตต่างๆ การพึ่งพาการบริโภคในประเทศจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยไปรอด ลดการพึ่งพาการส่งออกที่มีสัดส่วนกว่า 70% ของจีดีพี 'ปี 2554 ไทยมีแรงงาน 38.87 ล้านคน อยู่ในภาคเกษตร 15.7 ล้านคน นอกภาคเกษตร 23.1 ล้านคน แบ่งเป็นลูกจ้าง 43% เป็นนายจ้าง 2% สะท้อนว่าโครงสร้างสังคมไทยเปลี่ยนจากภาคเกษตรเป็นภาคการค้าเว้นวรรค อุตสาหกรรมและบริการ หรือเป็นทุนนิยมอุตสาหกรรมระดับปานกลาง มีรายได้เฉลี่ยต่อหัว 5,112 เหรียญสหรัฐ/ต่อปี แต่หากทำรายได้เฉลี่ยต่อหัว 12,500 เหรียญสหรัฐ/ต่อปี จะกลายเป็นทุนนิยมระดับสูง' นายณรงค์กล่าว (ข่าวสด, 5-8-2555) 'เลขากอศ.' ยันคงอัตราผลิตอาชีวะ สัดส่วนเดิม 60% ชี้ทุกวันนี้ป้อนภาคอุตฯไม่พออีก 5 ปีตัวเลขต้องการพุ่ง นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เปิดร่างแผนการรับนักเรียนประจำปีการศึกษา 2556 ว่าจะมีการเปิดรับนักเรียนขึ้นชั้น ม.4 มากขึ้นตามความต้องการ ขณะเดียวกันจะยกเลิกจุดเน้นการผลิตกำลังคนสายอาชีวศึกษาต้องมากขึ้น 60% ภายในปีการศึกษา 2556 นั้น ตนมองว่าเรื่องดังกล่าวอาจเป็นการตั้งเป้าหมายเองและไม่มีการยก เลิกจุดเน้นอะไรทั้งนั้น เนื่องจากแผนการผลิตกำลังคนเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ในการเห็นชอบแผนปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 ไม่สามารถยกเลิกในหน่วยงานได้เอง ทั้งนี้ สำหรับแผนการรับนักเรียนนักศึกษาอาชีวะสังกัด สอศ.ในปีการศึกษา 2556 นั้น สอศ.ตั้งเป้ารับเพิ่มกว่าทุกปีที่ผ่านมาอีกประมาณ 3 หมื่นกว่าคนผ่านกลยุทธ์ต่างๆ อาทิ เรียนจบมีงานทำแน่ อาชีวศึกษาพร้อมเปิดประชาคมอาเซียนด้วยขยายผลการเปิดห้องเรียนหลักสูตร ภาษาอังกฤษ หรืออีพี ซึ่งปีนี้เราได้เริ่มนำร่องแล้ว 32 ห้องเรียน และยังมีการเปิดเรียนปริญญาตรีสายปฏิบัติต่อเนื่องสำหรับนักศึกษา อาชีวะซึ่งมี 28 สาขาวิชา เปิดรับเบื้องต้นในปีแรก 1,000 กว่าคน จำกัด 40 คนต่อห้องเรียน โดยกลยุทธ์ทั้งหมดนี้คาดว่าจะมีนักเรียนสนใจเรียนอาชีวะมากขึ้น และรับได้ตามเป้าหมายต่อไป นอกจากนี้ การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกทุกหน่วยงานประชุมหารือถึงการ เตรียมความพร้อมการจัดทำยุทธศาสตร์การเป็นประชาคมอาเซียน ปี พ.ศ.2558 ซึ่งนายกรัฐมนตรีอยากให้ทุกกระทรวงได้เตรียมความพร้อม ขณะที่ที่ประชุมได้แสดงความเป็นห่วงถึงแรงงานไทยกำลังขาดแคลนค่อน ข้างมาก และถามสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จะเตรียมรองรับปัญหานี้ได้อย่างไรบ้าง ตนก็ได้ชี้แจงไปว่า สอศ.ได้มีการจัดทำแผนเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนปี 2558 ไว้แล้ว โดยแผนดังกล่าวจะวิเคราะห์จุดแข็งของอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันบน เวทีอาเซียนและเวทีโลก เลขาธิการ สอศ.กล่าวอีกว่า ซึ่งในแผนดังกล่าว สอศ.เตรียมพัฒนากำลังคน 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ มีเป้าหมาย 3 ระยะ คือ ระยะสั้น กลุ่มพร้อมเข้าทำงาน โดยทำการอบรมและพัฒนาเพื่อต่อยอดทักษะระยะกลาง นักเรียนนักศึกษาที่กำลังศึกษาในสถานศึกษาอาชีวะให้มีการฝึกงานและจัด การเรียนการสอนทวิภาคีโรงเรียนในโรงงาน โดยร่วมมือกับสถานประกอบการ และระยะยาว เตรียมความพร้อมด้านกำลังคนทั้งปริมาณและคุณภาพ โดยปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ ยกระดับคุณภาพทัดเทียมอาเซียนและสากล นอกจากการจัดทำแผนยุทธศาสตร์อาเซียนของอาชีวศึกษาแล้ว สอศ.ยังได้มีการวิเคราะห์ความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมด้วย พบว่า ความต้องการในตลาดแรงงานมีจำนวนเยอะกว่าจำนวนนักเรียนนักศึกษา ปวช.และ ปวส.ที่จบแต่ละปี ซึ่งในสาขาวิชาอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและยานยนต์ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีถึงความต้องการกว่า 118,200 คน ดังนั้น เราจึงต้องเร่งผลิตกำลังคนให้สอดรับกับตลาดแรงงานให้ได้มากที่สุด ขณะที่ระดับปริญญาตรีมีความต้องการเพียง 11,824 คนเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า หากเด็กสนใจที่จะเรียนต่อในสายอาชีวศึกษา ยืนยันได้เลยว่าทุกคนที่สำเร็จการศึกษาออกมาแล้วมีงานทำทุกคน เพราะตลาดแรงงานมีความต้องการกำลังคนมากกว่า" เลขาธิการ กอศ.กล่าว. (ไทยโพสต์, 7-8-2555) เช่าซื้อ จยย.พุ่งอานิสงส์ค่าแรง 300 นายทวีพล เจริญกิตติคุณไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์ลีส จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในเครือธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในช่วงไตรมาส 2 กลับมาฟื้นตัว หลังจากชะลอตัวจากปัญหาน้ำท่วมสิ้นปี 54 โดยการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำวันละ 300 บาท และการรับจำนำราคาข้าว ของรัฐบาล สามารถเพิ่มกำลังซื้อในตลาดได้มาก “สินเชื่อรถจักรยานยนต์มีการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะตลาดในกรุงเทพมหานครและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยยอดขายรถจักรยานยนต์ในช่วงครึ่งปีแรกสูงกว่า 1 ล้านคัน และทั้งปีนี้เชื่อว่าจะมียอดขายสูงกว่า 2 ล้านคัน ซึ่งจากการแข่งขันที่รุนแรงการปรับตัวสู้กับคู่แข่งขันด้วยการพัฒนาเครื่อง สมัครสินเชื่อรถจักรยานยนต์ด้วยตัวเอง (SAMM) ใช้เวลาดำเนินการจนถึงอนุมัติสินเชื่อเพียง 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง” ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทติดตั้งเครื่อง SAMM 180 เครื่อง ณ ร้านจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในเขตพื้นที่ให้บริการของบริษัท 12 สาขา จำนวน 46 จังหวัดทั่วประเทศ และตั้งเป้าว่าจะเพิ่มจำนวนเครื่องเป็น 210 เครื่องภายในสิ้นปีนี้ สำหรับกลยุทธ์การตลาดของบริษัท จะเน้นเจาะกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบธุรกิจค้าขายที่ไม่มีเงินเดือนประจำ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ 1-2% ต่อเดือน โดยลูกค้าของบริษัทมีลูกค้าในต่างจังหวัด 90% และอีก 10% เป็นลูกค้าในกรุงเทพมหานคร นายทวีพลกล่าวอีกว่า ในช่วง 6 เดือนแรก มียอดสินเชื่อรถจักรยานยนต์ 1,400 ล้านบาท แม้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะเป็นช่วงฤดูฝนหรือช่วงเข้าพรรษา แต่ยอดสินเชื่อยังแรงทำให้มั่นใจว่าตลอดทั้งปีสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ไม่ ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท และสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในปีนี้ตั้งเป้าทำกำไรสุทธิไว้ที่ 100 ล้านบาท. (ไทยรัฐ, 7-8-2555) พบนายจ้าง 258 แห่งไม่ทำตามขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำร้อยละ 40 นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากการติดตามและเฝ้าระวังผลกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทใน 7 จังหวัด และปรับขึ้นค่าจ้างร้อยละ 40 ใน 70 จังหวัดที่เหลือว่า ตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงปัจจุบันได้ส่งพนักงานตรวจแรงงานของกรมสวัสดิการและ คุ้มครองแรงงานลงพื้นที่สุ่มตรวจสถานประกอบการทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มแรกเป็นสถานประกอบการใน 70 จังหวัด ที่ได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำร้อยละ 40 จำนวน 18,415 แห่ง มีลูกจ้างจำนวน 857,403 คน ซึ่งพบว่ามีสถานประกอบการจำนวน 191 แห่ง ปฏิบัติไม่ถูกต้องในเรื่องของการจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำ โดยมีลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจำนวน 3,791 คน ขณะที่กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ได้รับการปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทใน 7 จังหวัด จากการสุ่มตรวจสถานประกอบการจำนวน 10,379 แห่ง และลูกจ้างจำนวน 515,973 คน พบว่ามีสถานประกอบการที่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง 67 แห่ง มีลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจำนวน 1,833 คน อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้พนักงานตรวจแรงงานให้คำแนะนำแก่สถานประกอบการเพื่อปฏิบัติให้ถูก ต้อง ซึ่งขณะนี้พบว่าสถานประกอบการเริ่มปฏิบัติถูกต้องแล้ว (โลกวันนี้, 8-8-2555) ครม.อนุมัติปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการทหาร ให้รวมรายได้ 1.5 หมื่นบาท ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติการปรับอัตราเงินเดือนแลกบรรจุและการเลื่อนชั้นเงินเดือน เพื่อชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบของกระทรวงกลาโหม โดยให้มีการปรับเงินเดือนรวมรายได้ 15,000 บาท โดยให้ยกเลิกบัญชีคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนของบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้า รับราชการเป็นข้าราชการทหาร ท้ายกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้า ราชการทหาร และการให้ได้รับเงินเดือน พ.ศ.2555 และกำหนดการได้รับเงินเดือนของบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้า ราชการทหาร ให้เป็นไปตามคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนตามบัญชีคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนของ บุคคล ที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารท้ายกฎกระทรวง ตามตารางอัตราเงินเดือนดังนี้ 1.ตารางอัตราเงินเดือน 1 มกราคม 2556 ให้ใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2556 2.ตารางอัตราเงินเดือน 1 มกราคม 2557 ให้ใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป (ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 7-8-2555) ชี้จบ ป.ตรีตรงตลาดงานแค่ 50% ตกงานปีละกว่าแสน-อังกฤษถดถอย โรงแรมสยามเคมปินสกี้ 7 ส.ค.55-ผลสำรวจ "แมนเพาเวอร์"ชี้บัณฑิตป.ตรีรุ่นใหม่ตรงความต้องการตลาดแรงงานเพียง 50% ตกงานปีละกว่า 1 แสนคนคิดเป็นร้อยละ 40 จากที่เรียนจบปีละ 2-3 แสนคน จัดโครงการพัฒนานศ.ปริญญาตรีชั้นปีที่ 4-นศ.อาชีวะติวเข้มเทคินิคหางาน สัมภาษณ์ปรับบุคลิกภาพช่วงเดือนส.ค.-พ.ย. น.ส.สุธิดา กาญจนกันติกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แมนเพาเวอร์กรุ๊ป กล่าวในงานแถลงข่าว"โครงการพัฒนาทุนมนุษย์สู่สังคมแห่งอนาคต"ที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กทม.ว่า ปัจจุบันความต้องการแรงงานของประเทศกับการผลิตกำลังแรงงานยังไม่สมดุลทั้งใน เชิงวิชาการและคุณภาพเนื่องจากปัจจุบันตลาดแรงงานต้องการแรงงานกึ่งทักษะ ฝีมือระดับม.ปลาย ปวช.และปวส.โดยเฉพาะระดับอาชีวศึกษาต้องการถึงปีละประมาณ 100,000 คนจากจำนวนทั้งหมดที่ผลิตออกมาปีละประมาณ 300,000 คน คิดเป็น 33% ของความต้องการกำลังทั้งหมด ซึ่งไม่เคยเพียงพอกับตลาดแรงงานที่เติบโตขึ้นและต้องการแรงงานในสาขาต่างๆ เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ขณะที่ระดับปริญญาตรีผลิตออกมาปีละ 200,000-300,000 คน แต่มีผู้ตกงานปีละ 100,000 คน คิดเป็น 40% จากที่ผลิตออกมาในแต่ละปีโดยข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนพ.ค.2555 มีผู้ว่างงาน 300,000 คนในจำนวนนี้เป็นผู้จบปริญญาตรี 1.52 แสนคน ส่วนสาเหตุที่เด็กไทยเรียนต่อปริญญาตรีกันมากเพราะค่านิยมต้องการได้เงิน เดือนสูงๆ มีกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ให้กู้และการทำตลาดของมหาวิทยาลัย ขณะเดียวกันแมนเพาเวอร์กรุ๊ปได้สำรวจข้อมูลในช่วงเดือนม.ค.-มิ.ย.2555 10อันดับแรกสวยงามที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานและกลุ่มตัวอย่าง 400 บริษัทที่ใช้บริการแมนเพาเวอร์กรุ๊ป ได้แก่ 1.งานผลิต 25% 2.งานการขาย บริการลูกค้า 15% 3.งานเทคนิค 12% 4.งานธุรการทรัพยากรบุคคล 10% 5.งานไอที 9% 6.งานบริการเฉพาะทาง 8% 7.งานการเงิน การธนาคาร และบัญชี 7% 8.งานวิศวกรรม 5% 9.งานขนส่ง 4% และ 10.งานการตลาดและประชาสัมพันธ์ 3% พบว่า บัณฑิตเรียนจบในสาขาที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานเพียง 50% และมีปัญหาเรื่องคุณภาพเช่น ทักษะภาษาอังกฤษ ทักษะอาชีพ มนุษยสัมพันธ์ และบัณฑิตตกงานเพราะเลือกงานมีคุณภาพและทักษะการทำงานไม่ตรงกับความต้องการ ของภาคอุตสาหกรรม น.ส.สุธิดา กล่าวต่อไปว่า แมนเพาเวอร์กรุ๊ปจึงจัดโครงการพัฒนาทุนมนุษย์สู่สังคมแหง่อนาคต วันที่ 20 ส.ค.-22 พ.ย.นี้โดยเข้าไปจัดอบรมให้ความรู้แก่นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ในเรื่องการเขียนประวัติเพื่อสมัครงาน เทคนิคการหางาน การสัมภาษณ์งาน การปรับบุคลิกภาพและเคล็ดลับการประสบความสำเร็จ โดยหลักสูตรการอบรมมีตั้งแต่ใช้เวลา 3 ชั่วโมง-1 วัน และจะมีการบันทึกเทปเผยแพร่เรื่องเหล่านี้ผ่านระบบอีเลิร์นนิ่งไปยังสถาบัน อาชีวศึกษากว่า 400 แห่งและสถานประกอบการต่างๆที่ร่วมจัดการศึกษาระบบทวิภาคีกับสอศ (คมชัดลึก, 8-8-2555) เปิดสอน 6 ภาษาตปท. ติวเข้มแรงงานไทย ก่อนไปทำงานนอก นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากการที่กรมการจัดหางาน (กกจ.) ได้ลงนามข้อตกลงในการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในหลายประเทศ อาทิ สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น และอิสราเอล ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า แม้ประเทศไทยจะได้รับโควตาจัดส่งแรงงานเข้าไปทำงานในประเทศต่างๆ จำนวนมาก แต่แรงงานไทยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถผ่านการสอบคัดเลือกด้านภาษาต่างประเทศที่ จำเป็นต้องใช้ในการสื่อสารกับนายจ้างหรือเพื่อนร่วมงานที่แต่ละประเทศกำหนด ได้ ทำให้ประเทศไทยเสียโควตาส่งแรงงานไทยเข้าไปทำงานอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น กกจ.จึงได้บูรณาการร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ในการจัด ฝึกอบรมภาษาต่างประเทศให้ผู้ลงทะเบียนไปทำงานในต่างในประเทศ ทั้งหลักสูตรระยะสั้น 60 ชั่วโมง ไปจนถึงหลักสูตรระยะยาว 200 ชั่วโมง รวม 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย กำแพงเพชร อุดรธานี สกลนคร ชัยภูมิ บุรีรัมย์ หนองคาย หนองบัวลำภู นครปฐม และกรุงเทพฯ โดยมีเป้าหมายไม่น้อยกว่า 660 คน ทั้งนี้จะใช้สถาบัน/ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานที่ตั้งอยู่ในจังหวัดต่างๆ เป็นสถานที่ฝึกอบรม ซึ่งจัดอบรมทั้งหมด 6 ภาษา ได้แก่ เกาหลี ญี่ปุ่น จีน อังกฤษ พม่าและกัมพูชา โดยจัดอบรมภาษาใดจะคำนึงถึงความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ซึ่งการฝึกอบรมจะเริ่มในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2555 “กกจ.จึงขอเชิญชวนคนหางานที่ประสงค์จะไปทำงานในประเทศลงทะเบียนเข้ารับ การฝึกอบรมภาษาต่างประเทศ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สถาบัน/ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดทุกจังหวัดหรือที่สายด่วนกรมการจัดหา งาน โทร.1694” อธิบดี กกจ.กล่าว (แนวหน้า, 8-8-2555) รมว.แรงงานเตรียมหารือ ก.แรงงานมะกันเพื่อขยายตลาดแรงงาน นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการหารือกับนางคริสตี้ แอนน์เคนนีย์ อัครทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในเบื้องต้นได้รับปากว่าจะเชิญให้ตนไปหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สหรัฐอเมริกา เนื่องจากมองว่าตลาดแรงงานในสหรัฐอเมริกามีแรงงานไทยไปทำงานอยู่จำนวน มาก ซึ่งกระทรวงแรงงานควรจะเข้าไปขยายตลาดแรงงานเพิ่มเติม พร้อมทั้งดูแลแรงงานไทยที่มีอยู่เดิมให้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมองว่าสหรัฐอเมริกายังเป็นศูนย์รวมธุรกิจรายใหญ่ที่ต้องการแรงงานจำนวน มาก ตลอดจนธุรกิจร้านอาหารไทย และธุรกิจสปา ที่มีคนไทยเป็นเจ้าของกิจการเริ่มมีปัญหาการบริการไม่ได้มาตรฐาน อาหารไทยรสชาติเปลี่ยนไปจากต้นตำรับ เนื่องจากนำแรงงานชาติอื่นมาทำแทนแรงงานไทย จึงเตรียมที่จะนำประเด็นเหล่านี้ไปหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สหรัฐอเมริกา ในการนำแรงงานไทยไปทำงานเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ยังเตรียมหารือถึงประเด็นที่ประเทศไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ต้องเฝ้า ระวังเป็นพิเศษในเรื่องการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ 3 ปี ติดต่อกัน เพื่อชี้แจงให้รับทราบถึงข้อเท็จจริงของปัญหา (ฐานเศรษฐกิจ, 8-8-2555) กรมการจัดหางาน สั่งพักใบอนุญาตบริษัทจัดหางานที่ส่งแรงงานไทยอิสราเอลและเรียกเก็บค่าบริการเกินกฎหมายกำหนด นายสง่า ธนสงวนวงศ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าในการเอาผิดบริษัทจัดหางานที่จัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ อิสราเอล ซึ่งเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานต่างประเทศสูงเกินกว่ากฎหมาย กำหนด ว่า ขณะนี้ได้รับรายงานจากนายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) ว่า ได้สั่งพักใบอนุญาตบริษัทจัดหางานไปแล้วจำนวน 20 บริษัท จาก 35 บริษัท และจะมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อไป รวมขณะนี้ได้มีการเอาผิดแล้ว 27 บริษัท อย่างไรก็ตาม ได้มีบริษัทจัดหางาน 3 บริษัท จาก 7 บริษัทแรก ที่ถูกกรมการจัดหางานพักใบอนุญาตและแจ้งความเอาผิดก่อนหน้านี้ ได้ยื่นอุทธรณ์ ต่อ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยให้เหตุผลว่าทางบริษัทได้ปฏิบัติตามที่เจ้าหน้าที่บอก ซึ่งทางบริษัทจัดหางานจะต้องไปหาหลักฐานมายืนยัน และยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อจะได้พิจารณาว่าจะให้บริษัทจัดหางานยื่นอุทธรณ์ต่อได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามขณะนี้สิ่งที่เป็นห่วงคือข้าราชการ เพราะไม่ต้องการให้ข้าราชการเดือดร้อน หรือตกเป็นเครื่องมือของผู้หวังผลประโยชน์จากการเรียกรับเงินค่าหัวคิวของ แรงงานไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศ โดยจะแก้ปัญหาด้วยการจัดอบรมให้คำแนะนำเจ้าหน้าที่ ให้เข้าใจถึงข้อกฎหมายและสามารถนำไปชี้แจงกับบริษัทจัดหางานให้ปฏิบัติตาม ข้อกฎหมายได้อย่างถูกต้อง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวอีกว่า ส่วนบริษัทจัดหางานที่เหลืออีก 8 แห่ง จาก 35 บริษัทที่ยังไม่ได้สั่งพักใบอนุญาตนั้น ได้มอบหมายให้อธิบดีกรมการจัดหางาน เร่งหาหลักฐานเอาผิดกับบริษัทเหล่านี้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเอาผิดกับบริษัททั้ง 35 แห่ง ได้ทั้งหมดในสัปดาห์หน้านี้ (สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, 8-8-2555) พบหนี้เสียของสำนักงานประกันสังคมกว่า 4 พันล้านบาท 9 ส.ค. 55 - นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้รับข้อมูลจากผู้ทรงคุณวุฒิ ว่า สำนักงานประกันสังคม(สปส.) มีหนี้เสียประมาณ 4,000 ล้านบาท จากการปล่อยกู้และการค้างชำระ การที่ผู้ประกอบการค้างนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน สปส.สะสมมาหลายปี และแปลกใจที่ตนไม่ได้รับรายงานจากผู้บริหารประกันสังคม แต่กลับได้รับข้อมูลจากผู้ทรงคุณวุฒิคนอื่น ที่ไม่ใช่ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน อย่างไรก็ตาม จะเรียกผู้บริหารที่เกี่ยวข้องมาสอบถามว่าจะแก้ไขอย่างไร เพราะหากปล่อยไว้นานเงินจำนวนดังกล่าวอาจกลายเป็นหนี้สูญ ทำให้กองทุนได้รับความเสียหาย ด้านนายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) กล่าวว่า สปส.ไม่สามารถปล่อยกู้ได้โดยตรง เข้าใจว่าหนี้เสียดังกล่าวเป็นการค้างชำระของผู้ประกอบการที่ต้องนำส่งเงิน สมทบเข้ากองทุน สปส. ซึ่งเป็นหน้าที่ของ สปส.ที่จะตั้งคณะกรรมการติดตามทวงหนี้ เพื่อไม่ให้เงินจำนวนนี้เป็นหนี้สูญ (สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, 9-8-2555) บังคับใช้กฎเหล็กห้ามดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับขี่รถทุกชนิดรวมในพื้นที่โรงงาน จากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อสนับสนุนกฎหมายตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ทั้ง 2 ฉบับ ได้แก่ 1.การห้ามขายหรือห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ประกอบกิจการโรงงาน ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานซึ่งประกาศฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ เมื่อพ้นกำหนด 90 วัน หลังจากลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาคือวันที่ 7 สิงหาคม 2555 และ 2.เรื่องการห้ามดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ในทางสาธารณะขณะขับขี่หรือโดยสารอยู่บนรถทุกประเภท โดยจะมีผลบังคับใช้ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือบังคับใช้วันที่ 8 สิงหาคม 2555 นายจะเด็จ เชาว์นวิไล ที่ปรึกษาเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กล่าวว่า ต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่เห็นความสำคัญนำมาสู่การแก้ปัญหาที่มาจากเครื่อง ดื่มแอลกอฮอล์โดยทำกฎหมายให้เป็นจริง เครือข่ายฯเชื่อว่าจะช่วยลดสถิติการเสียชีวิต พิการ บาดเจ็บ ในทุกช่วงโดยเฉพาะเทศกาลปีใหม่ในอีกไม่กี่เดือนนี้เพราะที่ผ่านมามีผู้เสีย ชีวิตสูงเฉลี่ยวันละ 60-66 ราย ส่วนวันธรรมดาจะมีประมาณ 30 ราย รัฐบาลต้องเสียค่าใช้จ่ายหลายแสนบาทต่อปี โดยที่บริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลย และที่สำคัญมักพบว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มต้องมาตกเป็นเหยื่อจนกลายเป็นคนพิการ ช่วยเหลือตัวเอง ไม่ได้ หวังว่ากฎหมายนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเสี่ยงของคนไทยและประสิทธิภาพในการผลิตของผู้ใช้แรงงานนายจ้างได้ "เราผลักดันเรื่องนี้นานกว่า 3 ปี มาสำเร็จในรัฐบาลนี้แต่แม้จะมีกฎหมายนี้ แล้ว การบังคับใช้ก็ต้องจริงจังและเข้มงวด เพื่อไม่ให้เกิดจุดอ่อน ซึ่งสามารถพิสูจน์ผลงาน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี ทางเครือข่ายยังหวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการใหม่ๆ เพิ่มเติมอีก เพื่อลดปัญหา สร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน" นายจะเด็จ ย้ำทิ้งท้าย ทาง นายธีระ วัชรปราณี ผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.)กล่าวว่า ต้องขอบคุณและสนับสนุนการทำหน้าที่ของรัฐบาลชุดนี้เพราะกฎหมาย ดังกล่าว ถือเป็นช่องทางในการเข้าถึงและจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช่วยเป็นเกราะปกป้องคนที่ไม่ได้ดื่ม โดยที่ผ่านมาจะเห็นว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้สร้างความสูญเสียเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปีใหม่ ซึ่งกฎหมายนี้ จะเป็นสิ่งจำเป็นสามารถนำมาตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาได้เป็นรูปธรรมแต่ถ้าจะให้ ได้ผลยิ่งขึ้นต้องมีมาตรการเสริมเรื่องการจำกัดการซื้อ การออกใบอนุญาตขายร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อกฎหมายนี้ออกมาแล้ว สิ่งที่ต้องรีบทำคือการสร้างความเข้าใจและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ให้ กว้างขวางที่สุดเพื่อรับมือกับช่วงปีใหม่ที่จะมาถึง (แนวหน้า, 9-8-2555) สมัครประกันสังคม ม.40 กว่า 9 แสนคน นายอนุสรณ์ ไกรวัตนุสสรณ์ ผู้ช่วย รัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็น ประธานเปิดการประชุมและมอบนโยบาย ในโครงการอบรมพัฒนาสมรรถนะแกนนำ เครือข่ายประกันสังคมและเจ้าหน้าที่ประกันสังคมที่ทำหน้าที่ขยายการขึ้น ทะเบียนประกันสังคม มาตรา 40 ณ ห้องเชียงใหม่ อาคารศูนย์ประชุมนานาชาติเอ็มเพรส โรงแรมดิเอ็มเพรส จ.เชียงใหม่ ว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ใช้แรงงาน โดยเริ่มตั้งแต่การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน การให้ประชาชนทั่วไป ข้าราชการ และผู้ประกันตนที่เจ็บป่วยฉุกเฉินหรือประสบอุบัติเหตุเข้ารักษาพยาบาลที่โรง พยาบาลใดก็ได้ ในส่วนแรงงานนอกระบบ รัฐบาล ได้มอบหมายให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เร่งดำเนินการให้ขยายความคุ้มครองประกันสังคมตามมาตรา 40 ทั้ง ในอาชีพเกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หาบเร่ แผงลอย และอาชีพอื่นๆ ซึ่งจะ ได้รับเงินทดแทนในสิทธิประโยชน์ตาม ที่กำหนดไว้ โดยตั้งเป้าหมายในเดือน กันยายน 2555 นี้จะให้มีแรงงานนอกระบบสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 รวม 1.20 ล้านคน โดยตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2554-30 กรกฎาคม 2555 มีจำนวน ผู้ประกันตนมาตรา 40 จำนวน 947,212 คน หรือร้อยละ 78.93 ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ (แนวหน้า, 9-8-2555) คาด 10 ปีผู้สูงอายุพุ่ง-หวั่นขาดแคลนแรงงาน นายนคร ศิลปอาชา รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดงานสัมมนาไตรภาคีเรื่อง”การปรับเปลี่ยนนโยบายการ บริหารจัดการด้านแรงงานเพื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ”ว่า ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้น กระทรวงแรงงานและหน่วยงานรัฐและเอกชนควรร่วมกันวางแผนเตรียมการรองรับสังคม ผู้สูงอายุทั้งในเรื่องการระบบรักษาพยาบาล สวัสดิการสังคม การออมเงินและการจ้างงานโดยเฉพาะการจ้างงานในต่างประเทศ เช่น อเมริกา ออสเตรเลียมีกฎหมายไม่ให้จำกัดอายุการจ้างงานเพื่อให้ผู้สูงอายุมีงานทำและ มีรายได้เพื่อพึ่งพาตนเองได้ นางสุวรรณี คำมั่น รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(กคช.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.) คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2567 ประเทศไทยจะมีประชากรเพิ่มเป็นกว่า 70 ล้านคนโดยในจำนวนนี้เป็นผู้ที่มีอายุ 65 ปีคิดเป็น 15% จากปัจจุบันอยู่ที่ 10% ของประชากรทั้งหมด และอัตราเด็กเกิดใหม่อยู่ที่ 12% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% และประชากร 1 คนต้องดูแลผู้สูงอายุ 2 คน ทั้งนี้ เมื่อคนไทยเกิดน้อยลงและผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้นย่อมมีผลกระทบต่อด้าน เศรษฐกิจ แรงงานและสังคม ซึ่งด้านแรงงานจะเกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างมาก นางสุวรรณี กล่าวอีกว่า ตนอยากให้กระทรวงแรงงานและทุกหน่วยงานเตรียมการรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุและสตรี และสร้างความมั่นคงในการทำงานและรายได้โดยการขยายอายุเกษียณของข้าราชการและ พนักงานบริษัท สถานประกอบการต่างๆ โดยให้ทำงานที่เหมาะสมกับสุขภาพ ขณะเดียวกันจะต้องส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทักษะภาษาและไอทีให้แก่ผู้สูงอายุ และควรมีระบบสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงระดับประเทศ เช่น บ้านพักผู้สูงอายุในหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทุกระดับควรดำเนินในเรื่องนี้โดยไม่ต้องรอนโยบายจากรัฐบาล นอกจากนี้ จะต้องแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยเร่งยกระดับการศึกษาและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตให้แก่ แรงงานรุ่นใหม่ “ที่น่าห่วง คือ สคช.ได้วิเคราะห์ผลกระทบของสังคมผู้สูงอายุในด้านเศรษฐกิจพบว่า เด็กรุ่นใหม่ใช้เงินในการบริโภคมาก แต่มีเงินออมน้อย ต่างจากอดีตที่คนรุ่นเก่าใช้เงินบริโภคน้อย แต่มีเงินออมมาก ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องช่วยกันสร้างกระแสการออมให้มากขึ้น เพราะเหลือเวลาแค่ 10 ปี เท่านั้น ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว”นางสุวรรณี กล่าว (แนวหน้า, 10-8-2555) อัญมณีวอนรัฐเลื่อนขึ้นค่าแรง นางประพีร์ สรไกรกิติกูล ประธานคณะกรรมการธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ หอการค้าไทย เปิดเผยว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ธุรกิจกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับไทย จะได้ประโยชน์มากขึ้น และเป็นโอกาสดีต่อภาพอุตสาหกรรมไทย แต่ยังติดปัญหาในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่รัฐจะปรับเพิ่มเป็น 300 บาท ทั่วประเทศในปีหน้า จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อต้นทุนและธุรกิจเอสเอ็มอี อาจต้องปิดตัวลงจำนวนมากกว่าครึ่ง เพราะไม่อาจแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อยากให้รัฐบาลเลื่อนการปรับขึ้นแรงงาน 300 บาท ออกไปก่อน จนกว่าจะมั่นใจว่าวิกฤตหนี้ยุโรปได้รับการแก้ไขแล้ว (มติชน, 10-8-2555) ปรับยุทธศาสตร์ส่งคนไทยทำงานนอก ดันไทยเป็นฮับผลิตแรงงาน ภาคบริการและการท่องเที่ยว นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนมีนโยบายที่จะปรับยุทธศาสตร์การส่งแรงงานไทยไปต่างประเทศในภาค ธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ โดยมองไปที่กลุ่มธุรกิจรายใหญ่ที่มีสาขาทั่วโลก เช่น แมคโดแนล กลุ่มโรงแรมระดับ 5 ดาว ซึ่งธุรกิจเหล่านี้มีความต้องการแรงงานที่มีคุณภาพ และมีตำแหน่งรองรับจำนวนมาก ซึ่งมองว่าเป็นกลุ่มอาชีพที่คนไทยมีศักยภาพและสามารถแข่งขันได้ ทั้งนี้ แผนพัฒนากำลังคนของกระทรวงแรงงานที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมตัวเลขแรงงาน 10 ล้านคน ที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการพัฒนายกระดับทักษะฝีมือ เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 โดยจะประสานหาตำแหน่งงานโดยตรงกับภาคธุรกิจการโรงแรมที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก ก่อนจะประสานกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ผลิตบุคลากรด้านการท่องเที่ยวและโรงแรม เร่งยกระดับทักษะต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะทักษะภาษาต่างประเทศและเทคโนโลยีหรือไอที ที่เป็นจุดอ่อนของแรงงานไทย ให้สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ “เราต้องเพิ่มทักษะฝีมือให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการให้มากที่ สุด โดยจะต้องทำงานเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยเราจะทำให้ประเทศไทยเป็นฮับในการผลิตคนภาคบริการและการท่องเที่ยว ซึ่งกระทรวงแรงงานต้องทำงานในเชิงรุกมากขึ้น เพราะเรามีจุดแข็งในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งคนไทยมีความยืดหยุ่น มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่สะท้อนออกมาแบบนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องพัฒนาคนของเราให้ตรงจุดและมีเป้าหมายชัดเจน เราต้องสร้างแบรนด์ของเราเองให้ได้“นายเผดิมชัย กล่าว รมว.แรงงาน กล่าวอีกว่า การปรับยุทธศาสตร์การส่งออกแรงงานไทยในครั้งนี้จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่น ให้กับนักลงทุนและนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการ ขณะเดียวกันยังจะช่วยลดปัญหาการถูกหลอกลวง โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทาง สวัสดิการที่ดีมีคุณภาพ ซึ่งแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานโดยระบบนี้ จะเป็นเครือข่ายที่ดีในการให้ข้อมูลว่ากลุ่มธุรกิจโรงแรมใดมีระบบการบริหาร จัดการด้านบุคลากรที่ดี และจะส่งผลให้กระทรวงแรงงานมีเครือข่ายตลาดแรงงานที่ดีมีคุณภาพ หรือธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องการใช้บริการแรงงานไทยก็จะมีการพูดถึงมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างแบรนด์ของแรงงานไทยในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ เมื่อมีความต้องการในการจ้างแรงงานในธุรกิจด้านนี้ แรงงานไทยคือเป้าหมายแรกที่นักลงทุนต้องการ (แนวหน้า, 10-8-2555) "อิสราเอล-ไต้หวัน" ประเทศสุดฮิตแรงงานไทยในต่างแดน นายสง่า ธนสงวนวงศ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศในปีที่ผ่านมาว่า มีจำนวนกว่า 5 แสนคน แต่ส่วนใหญ่จะอาศัยเดินทางไปกลับเป็นประจำ ส่วนประเทศที่แรงงานไทยไปทำงานอยู่มากที่สุดคือไต้หวัน โดยมีแรงงานไทยทำงานอยู่ประมาณ 1 แสนคน รองลงมา ประเทศเกาหลี ซึ่งล่าสุดประเทศที่ได้รับความนิยมคือประเทศอิสราเอล เนื่องจากเดิมต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางประมาณ 3 - 4 แสนบาท แต่ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่หัวละ 7 หมื่นบาท ทำให้ประชาชนต้องการไปประเทศอิสราเอล ขณะเดียวกัน ยังมีรายได้ดีอีกด้วย (มติชน, 11-3-2555) พบแรงงานอีสานถูกหลอกไปนอก-นายหน้าเดินสายลงพื้นที่ นายสง่า ธนสงวนวงศ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุถึงสถานการณ์การหลอกลวงแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ ขณะนี้พบว่า จ.นครราชสีมามีแรงงานที่ถูกหลอกให้ไปทำงานในต่างประเทศแล้วทั้งหมด 9 ราย ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการดำเนินคดีตามกฎหมายอยู่ นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลระบุว่า มีนายหน้าหาแรงงานไปทำงานต่างประเทศแบบผิดกฎหมายจำนวนมาก และกำลังเดินสายไปยังหมู่บ้านต่างๆ เพื่อเรียกเงินและชักชวนให้ไปทำงานในต่างประเทศ จึงได้สั่งการไปยังจัดหางานทุกจังหวัดให้มีการประสานงานกับผู้ว่าราชการ จังหวัด เพื่อดำเนินการกับนายหน้าเถื่อนดังกล่าว (มติชน, 11-3-2555)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กองทัพซีเรีย-จอร์แดน ปะทะกันที่ชายแดน Posted: 11 Aug 2012 06:54 AM PDT ทหารรัฐบาลซีเรียและจอร์ 11 ส.ค. 2012 - แหล่งข่าวประเทศจอร์แดนเปิ การต่อสู้เกิดขึ้นในช่วงค่ำวั "ฝ่ายซีเรียยิงข้ามพรมแดนมา แล้วก็เกิดการต่อสู้ขึ้น รายงานขั้นต้นระบุว่าไม่มีใครถู นักกิจกรรมฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซี "ฝ่ายซีเรียยิงเข้ "การสู้รบตึงเครียดอยู่ชั่ ด่านพรมแดนที่ติดกันระหว่างซี
ฮิลลารี่เยือนตุรกี ในวันเดียวกัน (11 ส.ค.) มีรายงานข่าวว่า ฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ไปเยือนตุรกีเพื่อหารือกับผู้นำตุรกีเรื่องวิกฤติ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่าฮิลลารี่ได้ไปเยื เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวอีกว่าเรื่องที่หารือกั โดยเมื่อวันศุกร์ (10) ที่ผ่านมาทางสหรัฐฯ ก็ได้ประกาศคว่ำบาตรบริษัท Sytrol ของรัฐบาลซีเรียในการค้าขายกั คลินตัน กล่าวขณะอยู่ในตุรกีอีกว่า เธอได้ประกาศให้เงินสนับสนุนเพิ ซึ่งทางตุรกีเองก็มีผู้
ระเบิดลงร้านขนมปังคร่าชีวิ ในอเล็ปโป ที่มีการต่อสู้ดุเดือดระหว่างฝ่ ขณะเดียวกันสื่อรัฐบาลซีเรี สำนักข่าวซานาของรัฐบาลซีเรี ที่มา Syrian and Jordanian forces clash on border, Aljazeera, 11-08-2012 http://www.aljazeera.com/news/ Clinton in Turkey to discuss Syria conflict, Aljazeera, 11-08-2012 http://www.aljazeera.com/news/ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เปิดงานวิจัยความไม่เป็นธรรมด้านเศรษฐกิจและแรงงาน "คนทำงาน" ก.ค.2555 Posted: 11 Aug 2012 06:34 AM PDT |
ประวิตร โรจนพฤกษ์: การเชียร์โอลิมปิกกับความเท่าทันชาตินิยม Posted: 11 Aug 2012 02:17 AM PDT การเชียร์เทควันโดหญิงไทยแข่งโอลิมปิกอย่างมีอารมณ์ร่วมทำให้ผู้เขียนตระหนักอีกครั้งถึงอำนาจอันหยั่งลึกไพศาลของลัทธิชาตินิยมที่แม้แต่ตนเองก็มักหนีไม่พ้นอย่างสมบูรณ์
การเชียร์ ‘น้องเล็ก’ ชนาธิป ซ้อนขำ แข่งกับสเปนทำให้ผู้เขียนตระหนักว่า ผู้เขียนเชียร์เพียงเพราะเกิดเป็นคนไทย และหากผู้เขียนดันเกิดเป็นคนสเปน ก็คงหันไปเชียร์นักกีฬาสเปนแข่งกับไทยเป็นแน่แท้ (หรือกรณีเชียร์นักมวยโอลิมปิกไทย แก้ว พงษ์ประยูร ชิงเหรียญทองกับจีนก็เช่นกัน) การเชียร์ทีมชาติของตนเองในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกช่วยย้ำเตือนให้ผู้เขียนตระหนักว่าหลายอย่างที่เราอาจคิดว่าเป็นสิ่งที่เราตัดสินเลือกเองอย่างเป็นอิสระ (free will) แท้จริงแล้วหาได้เป็นอิสระจริงๆ อย่างที่คิดไม่ และไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือนับถือในศาสนาใดหรือไม่เชื่อในอะไรเลย คุณก็มิสามารถปฏิเสธได้ว่าทุกคนเลือกสังคม ครอบครัว เพศ และยุคสมัยที่เราเกิดไม่ได้ ปัจจัยเหล่านี้มีอิทธิพลต่อความเป็นตัวตนของเราเองอย่างมหาศาล หากคนจำนวนมิน้อยอาจมิได้ฉุกคิด หากเราไม่ตระหนักคิดเท่าทันต่อปัจจัยเหล่านี้ เราก็อาจไม่ต่างจากปลาทองที่หลงคิดว่าตนได้เป็นคนเลือกตู้ปลาหรือขวดโหลแก้วที่อาศัยอยู่ด้วยตนเอง แต่ถ้าเราตระหนัก มันจะช่วยเราตั้งคำถามถึงสิ่งที่เรียกว่า free will หรือการตัดสินใจเลือกด้วยตนเองอย่างเป็นอิสระ เพราะฉะนั้น แท้จริงแล้วคนส่วนมากมิได้เลือกที่จะเชียร์ทีมชาติตนเองแข่งกับชาติอื่น หากถูกอุดมการณ์ชาตินิยมหล่อหลอมให้เชื่อว่าการเชียร์ทีมชาติตน การเข้าข้างชาติตนและการยึดถือผลประโยชน์ชาติตนเป็นหลักนั้นเป็นเรื่องปกติถูกต้องและธรรมชาติเป็นที่สุด (ตัวอย่างอื่นที่สะท้อนอิทธิพลของสังคมและยุคสมัยที่เราเกิดได้แก่: ความรู้สึกที่คนส่วนใหญ่มักเชื่อว่าอาหารชาติตนนั้นอร่อยที่สุดในโลกหรืออย่างน้อยก็ถูกปากที่สุด/ หลายคนที่สนใจเรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือประหยัดพลังงานคงไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้หากเกิดมามีชีวิตเมื่อสามศตวรรษที่แล้ว/ หากคุณดันเกิดในสมัยอยุธยา คุณจะสนใจเรื่องประชาธิปไตยไหมและทำไม?/ ถ้าคุณดันเกิดเป็นคนที่ถูกกดขี่ในยุคสงครามปลดแอกเพื่อเอกราชของอเมริกาจากพระเจ้าจอร์ชที่ 3 ของอังกฤษ โอกาสที่คุณจะเป็นพวกเจ้านิยมนั้นสูงหรือต่ำแค่ไหนและทำไม?/ ในสงครามแต่ละคนก็มักเลือกที่จะสู้เพื่อบ้านเกิดตนทั้งๆ ที่บ้านเกิดตนเป็นสิ่งที่ตนมิสามารถเลือกเองได้และหากตนดันไปเกิดเป็นทหารของประเทศคู่อริก็คงไปต่อสู้อยู่ฝั่งตรงข้ามของสงคราม) ในมุมมองผู้เขียน หากคุณสามารถเชียร์ทีมชาติอื่นแข่งกับชาติคุณเองได้ ก็แสดงว่าคุณมิได้ติดอยู่ใต้อิทธิพลของลัทธิชาตินิยมอย่างสมบูรณ์แบบ (และแม้แต่ผู้เขียนก็ยังอดเชียร์ทั้งชนาธิปกับจ่าแก้วมิได้) และแม้เราจะตระหนักและรู้เท่าทัน มันก็ยังเป็นสิ่งยากลำบากที่จะหลีกเลี่ยงการมีความรู้สึกผูกพันกับประเทศบ้านเกิดเพราะมันเป็นเรื่องของอารมณ์ที่หยั่งลึกซึ่งต่างจากเหตุผล – แต่การตระหนักก็ดีกว่าการไม่รู้ตัวหรือไม่ตระหนักอะไรเลยถึงอิทธิพลของสถานที่และยุคสมัย (กาละและเทศะ) ที่เราเกิดและอาศัยอยู่ ที่มีต่อการปลูกฝังบ่มเพาะตัวตนของเรา ผู้เขียนไม่มีทางออกอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าเลือกได้ ผู้เขียนขอเลือกเป็นปลาทองที่ตระหนักว่าตนมิได้เป็นผู้เลือกตู้ปลาหรือขวดโหลที่อาศัยอยู่ แม้ว่าอาจไม่มีวันว่ายหนีออกจากตู้ปลาไปอยู่ที่อื่นหรือนอกตู้ได้ก็ตาม และผู้เขียนก็จะขอเป็นปลาทองที่ตั้งถามต่อไปว่าใครหรืออะไรเอาเรามาใส่อยู่ในตู้ที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ศาลมาเลย์ยกฟ้อง 3 มือระเบิด บททดสอบความร่วมมือไทย-มาเลเซียดับไฟใต้ Posted: 11 Aug 2012 01:08 AM PDT แม้มีการคาดการณ์หรือกล่าวหากันอยู่บ่อยครั้งว่า ขบวนการต่อต้านรัฐในภาคใต้ของไทยใช้มาเลเซียเป็นฐานในการวางแผนก่อเหตุรุนแรง แต่ก็ยังไม่มีการจับกุมกันอย่างคาหนังคาเขา ตราบจนกระทั่งในปี 2552 ที่ตำรวจมาเลเซียได้เข้ารวบตัวชายมุสลิม 3 คนจากนราธิวาสได้ที่บ้านพักแห่งหนึ่งใกล้ชายแดนไทย – มาเลเซีย นายมูฮัมหมัดซิดี อาลี (ซ้าย) นายมามะคอยรี สือแม (กลาง) และ นายมะยูไน เจ๊ะดอเลาะ (ขวา) อุปกรณ์บางส่วนที่พบขณะตำรวจมาเลเซียเข้าตรวจค้นในบ้านเช่าในรัฐกลันตันในวันที่ 14 ธันวาคม 2552 ซึ่งอดีตจำเลยคดีระเบิดทั้งสามคนอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว หมายเลข 1) กระสุนปืนขนาด.38 2) กล่องเหล็ก 3) ไดนาไมค์ 4) โทรศัพท์มือถือ 5) พาวเวอร์เจล และ 6) แอมโมเนียมไนเตรท การดำเนินคดีกับทั้งสามคนเป็นประเด็นที่น่าจับตามอง เพราะจะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียในการร่วมมือกับดับไฟใต้ได้อย่างดี คดีนี้เริ่มต้นจากเหตุการณ์ในวันที่ 14 ธันวาคม 2552 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกรมสอบสวนอาชญากรรมในรัฐกลันตัน (Kelantan Criminal Investigation Department) บุกเข้าตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องสงสัยที่คาดว่ามีสารเสพติดในครอบครองภายในบ้านเช่าในหมู่บ้านเกเบง อำเภอปาเซร์มัส ประเทศมาเลเซียพร้อมสื่อมวลชน แต่เมื่อเข้าจับกุมกลับพบอุปกรณ์ประกอบระเบิดจำนวนมาก ได้แก่ ไดนาไมต์จำนวน 160 แท่ง กล่องโลหะ ถังดับเพลิง สารแอมโมเนียมไนเตรท โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์รีโมทคอนโทรล และกระสุนกว่า 248 นัด ชายมุสลิมสัญชาติไทยทั้ง 3 คนที่อยู่ในบ้านหลังนั้น คือ นายมามะคอยรี สือแม นายมูฮัมหมัดซิดี อาลี และนายมะยูไน เจ๊ะดอเลาะ ทั้ง 3 คนถูกศาลมาเลเซียตัดสินลงโทษจำคุก 10 เดือนและโบย 3 ครั้งในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จากนั้นก็ถูกดำเนินคดีฐานมีเครื่องกระสุนและวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง ซึ่งเป็นคดีที่ทางการไทยเฝ้าติดตามมาโดยตลอด ผู้ต้องหาคดีนี้เป็นใคร นายมามะคอยรี เป็นผู้ต้องหา 1 ใน 7 คนที่ถูกจับกุมในโรงเรียนอิสลามบูรพา อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2550 หลังเจ้าหน้าที่บุกเข้าตรวจค้นโรงเรียนและพบอุปกรณ์ประกอบระเบิดจำนวนมาก ต่อมาระหว่างถูกคุมขัง มามะคอยรีได้แจ้งเจ้าหน้าที่เรือนจำว่า ตนเองป่วยและขอไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ แม้ว่าเขาจะถูกล่ามโซ่ไว้กับเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล แต่มามะคอยรีก็ยังสามารถหาวิธีหลบหนีไปได้สำเร็จ ชื่อของเขาก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เมื่อถูกตำรวจมาเลเซียจับกุมตัวที่บ้านเช่าหลังนั้น ในขณะที่มามะคอยรีถูกควบคุมตัว และถูกศาลมาเลเซียพิจารณาคดีอยู่นั้น จำเลยอีก 6 คนที่ถูกจับกุมพร้อมกับเขาที่โรงเรียนอิสลามบูรพาได้ถูกศาลจังหวัดนราธิวาสพิพากษาลงโทษประหารชีวิตไป 5 คน ส่วนอีกหนึ่งคนให้จำคุก 27 ปี โดยข้อหาที่ร้ายแรงที่สุดคือความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายและเป็นซ่องโจร โดยศาลเห็นว่าเป็นการกระทำที่ “เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม” หากนายมามะคอยรีถูกนำตัวกลับมายังประเทศไทยก็จะต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน ส่วนนายมูฮัมหมัดซิดี เคยถูกออกหมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548) ข้อมูลของตำรวจระบุว่า เขาเป็นมือระเบิดในพื้นที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ส่วนนายมะยูไนไม่พบประวัติในฐานข้อมูล คำพิพากษาของศาลมาเลเซีย หลังจากทั้ง 3 คนถูกตำรวจมาเลเซียจับกุม วันที่ 27 ธันวาคม 2552 ทางการมาเลเซียได้นำผู้ต้องหาทั้ง 3 คนไปยังศาลแผนกคดีอาญา ศาสปาเสมัส อ.ปาเสมัส รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซียเพื่อทำการไต่สวน แต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ศาลจึงเลื่อนการไต่สวนออกไป การพิจารณาคดีว่างเว้นไปนาน จนกระทั่งในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2555 ศาลมาเลเซียจึงได้ทำการไต่สวนและตัดสินว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะระบุได้ว่า นายมูฮัมหมัดซิดีและนายมะยูไนมีส่วนเกี่ยวข้องในการครอบครองวัตถุระเบิดศาลจึงมีคำสั่งให้ปล่อยตัวจำเลย 2 คนในชั้นของการไต่สวน โดยให้เหตุผลว่า อัยการไม่สามารถที่จะหาหลักฐานเบื้องต้นมาชี้มูลผูกมัดจำเลยทั้งสองได้ จำเลยเพียงมาเยี่ยมเยียนเพื่อนเท่านั้น ในเอกสารของทางการไทยที่บันทึกคำสั่งศาลปาเสมัสในวันนั้น ระบุว่า เจ้าของบ้านได้ให้การว่า จำหน้าจำเลยสองคนนี้ไม่ได้ และจำเลยให้การว่า มาเยี่ยมเพียงหนึ่งวันและจะเดินทางกลับ นอกจากนี้ของกลางได้ถูกเก็บไว้ที่ใต้ถุนบันไดและหลังประตูในห้องของบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งแขกคงจะไม่ได้เข้าไปในบริเวณนั้นซึ่งอยู่ลึกเข้าไป คดีนี้จึงมีมามะคอยรีคนเดียวที่เป็นจำเลย โดยในวันที่ 22 พฤษภาคม 2555 ศาลสูงโกตาบารูได้พิพากษาให้ยกฟ้อง โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยที่ไปนั่งฟังคำพิพากษาด้วย เล่าว่า นายมามะคอยรีอ้างกับศาลว่า เหตุที่ตนหลบหนีออกจากโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ และเดินทางเข้าไปยังประเทศมาเลเซียนั้น ก็เนื่องจากมีอาการปวดหลังและปวดท้องจากการถูกซ้อมทรมานโดยเจ้าหน้าที่ของไทย และได้มาพักอาศัยที่บ้านเพื่อนในมาเลเซีย ซึ่งเพื่อนคนดังกล่าวเป็นบ้านของนายอัมรานซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ยิงเสียชีวิตที่ จ.นราธิวาสไปก่อนหน้านี้ ศาลเห็นว่านายมามะคอยรี เพียงมาอาศัยพักพิงและไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัตถุระเบิดและอาวุธที่พบในบ้านดังกล่าว เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไทย ระบุว่าคำพิพากษานี้ทำให้ทางการไทย “ผิดหวังมาก” หากจำเลยทั้งสามได้รับการลงโทษ ก็จะแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์อย่างชัดเจนที่จะไม่สนับสนุนและให้ที่พักพิงแก่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่หลบหนีเข้าไปยังมาเลเซีย ซึ่งน่าจะส่งผลโดยตรงต่อการปฏิบัติการของกลุ่มที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในชายแดนใต้ เจ้าหน้าที่คนเดิม ชี้ว่า การดำเนินการในเรื่องนี้ ทางมาเลเซียเองจะต้องดูประเด็นเรื่องการเมืองภายในประเทศด้วย เพราะว่าทั้งพรรค UMNO ซึ่งคุมรัฐบาลกลางอยู่และพรรค PAS ซึ่งคุมรัฐบาลท้องถิ่นในรัฐกลันตัน ต่างก็ต้องการแย่งฐานคะแนนเสียงของคนมุสลิม และไม่ต้องการที่จะดำเนินการใดๆ ที่มีความเสี่ยงที่จะกระทบต่อฐานเสียงของตัวเองได้ คนมลายูในภาคใต้ของไทยกับตอนเหนือของมาเลเซียมีความสัมพันธ์เชิงเครือญาติและร่วมชาติพันธุ์กัน ดังนั้น จึงมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือกัน คนมาเลเซียมองว่า การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราชไม่ใช่การก่อการร้าย การส่งผู้ร้ายข้ามแดน นอกจากจะผิดหวังกับคำพิพากษาแล้ว ทางการไทยยังผิดหวังกับความไม่ร่วมมือของทางการมาเลเซียในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนด้วย เจ้าหน้าที่ความมั่นคงอธิบายว่า การส่งกลับนั้นทำได้ 2 ทาง คือ หนึ่ง เป็นการส่งกลับด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งยังคงมีข้อถกเถียงในเชิงกฎหมายว่าไทยกับมาเลเซียนั้นมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน (Extradition Treaty) ระหว่างกันหรือไม่ ไทยชี้แจงว่า มีโดยการอ้างสนธิสัญญาที่เคยทำไว้กับอังกฤษซึ่งเคยเป็นเจ้าอาณานิคมของมาเลเซีย แต่ฝ่ายมาเลเซียถือว่าไม่มีผลบังคับใช้แล้ว วิธีที่สองคือการผลักดันกลับฐานเข้าเมืองผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ความมั่นคงไทยเล่าว่า ทางการไทยส่งคนไปเฝ้าถามทุกวันว่าจะมีการปล่อยตัวจำเลยเมื่อใด แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบจากทางการมาเลเซีย “เขาจงใจปกปิด” เจ้าหน้าที่คนเดิมกล่าว ฝ่ายทหารเองก็พยายามที่จะใช้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพในการขอให้ส่งตัวกลับมา นายมูฮัมหมัดซิดีและนายมะยูไน ได้ถูกปล่อยตัวที่บริเวณชายแดนในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมาโดยทางการไทยไม่ได้รับทราบ ส่วนนายมามะคอยรี หลังจากศาลได้ยกฟ้องและสั่งปล่อยตัว เจ้าหน้าที่มาเลเซียได้นำไปควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจที่ปาเสร์มัส รัฐกลันตัน ปัจจุบันไม่แน่ชัดว่าทั้งสามคนอยู่ที่ใด ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น