ประชาไท | Prachatai3.info |
- วาติกันเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่จากอาร์เจนตินา
- เสวนา บอ.: รื้อวิธีคิด ‘บัณฑิตอาสา’-ทุกข์ยากของคนเล็กๆ-ความฝันและเสรีภาพ
- นศ.แต่งดำประท้วงสภาดันร่าง ม.นอกระบบ - ม.ราชภัฏสวนดุสิต ผ่านวาระ1
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 5-11 มี.ค. 2556
- FBI รุดสืบ หลังมือดีแฮกข้อมูลส่วนตัวคนดังโพสต์เว็บ-มิเชล โอบามาโดนด้วย
- ‘ชุมชนดอนฮังเกลือ’ ขุดลอกคลองแก้ปัญหา ‘ภัยแล้ง’ กระทบโรงเรียนอนุบาลพันธุ์ปลา
- คนงานร้อง 4 สถานทูต ช่วยแก้ปัญหานายจ้างต่างชาติเลิกจ้าง-ปิดงาน
- ฮิวแมนไรท์วอทช์จี้รัฐบาล-กสม. สอบสวนกรณีทหารยิงใส่โรฮิงญา
- จี้ กสทช.เร่งประมูลคลื่น 1800 ก่อน 'ซิมดับ'- อย่าอ้างผู้บริโภค ยืดสิทธิถือครอง
- TDRI: การบริหารหนี้สาธารณะ: สิ่งที่รัฐบาลและประชาชนควรเข้าใจ
- เผย 'สมองไหล-ค่าตอบแทนน้อย-งานหนัก' ทำแพทย์ฉุกเฉินขาดแคลน
- การพัฒนาใจกลางพื้นที่ใจกลางกรุงเทพมหานคร
- ห่วงเยาวชนเข้าถึงพนันง่าย หลังรัฐเตรียมจำหน่ายผ่านหวยตู้
- งานสมัชชาผู้บริโภค กดดันรัฐเร่งองค์การอิสระ
วาติกันเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่จากอาร์เจนตินา Posted: 13 Mar 2013 12:55 PM PDT นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พระคาร์ดินัลจากทวีปอเมริกาใต้ และครั้งแรกในรอบกว่าพันปีที่พระสันตะปาปาซึ่งไม่ได้มาจากทวีปยุโรป ได้รับเลือกเป็นมุขนายกแห่งคริสตจักรกรุงโรม โดยพระองค์จะใช้ชื่อภาษาละตินว่า 'ฟรานซิสที่ 1' 14 มี.ค. 56 - ราว 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของกรุงโรม ประเทศอิตาลี มีรายงานว่าการประชุมคัดเลือกพระสันตะปาปาได้ข้อสรุปแล้ว หลังจากคณะพระคาร์ดินัลเริ่มหารือในวิหารน้อยซิสทีน (Sistine Chapel) ณ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา โดยได้เลือกคาร์ดินัลจากอาร์เจนตินา จอร์เก้ มาริโอ เบอร์กอกลิโอ วัย 76 ปี เป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่ หลังจากที่พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้ลาออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้ว พระสันตะปาปาองค์ใหม่ลำดับที่ 266 นี้ มีกำหนดจะใช้ชื่อภาษาละตินว่า พระสันตะปาปาฟรานซิสที่ 1 นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พระคาร์ดินัลจากทวีปอเมริกาใต้ และครั้งแรกในรอบกว่าพันปีที่พระสันตะปาปาซึ่งไม่ได้มาจากทวีปยุโรป ได้รับเลือกเป็นมุขนายกแห่งคริสตจักรกรุงโรม ในฐานะผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั่วโลก การประกาศดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ควันสีขาวออกมาจากปล่องควันของวิหารน้อยซิสทีน ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารกับสาธารณะว่าคณะพระคาร์ดินัลได้เลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่สำเร็จ โดยการเลือกในครั้งนี้ มีพระคาร์ดินัลทั้งสิ้น 115 รูป ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาต้องได้คะแนนเสียงมากกว่า 2 ใน 3 ขึ้นไป หรือคิดเป็น 77 คะแนนเสียง มีรายงานว่า ในการเลือกพระสันตะปาปาเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เบอร์กอกลิโอเป็นผู้ที่ได้คะแนนเสียงสูงสีรองจากราตซิงเงอร์ หรือพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 มากที่สุด พระสันตะปาปาฟรานซิส ใช้เวลาทำงานในอาร์เจนตินาเป็นส่วนใหญ่ และมุ่งมั่นเรื่องความยุติธรรมทางสังคม อย่างไรก็ตาม เขายังอยู่ในเทววิทยาสายอนุรักษ์นิยม เมื่อเร็วๆ นี้ เขาคัดค้านการผ่านกฎหมายเรื่องการแต่งงานของคนเพศเดียวของรัฐบาลอาร์เจนตินา ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เสวนา บอ.: รื้อวิธีคิด ‘บัณฑิตอาสา’-ทุกข์ยากของคนเล็กๆ-ความฝันและเสรีภาพ Posted: 13 Mar 2013 11:24 AM PDT
13 มี.ค.56 สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร (บอ.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาในหัวข้อ "คนรุ่นใหม่กับการสร้างสังคมที่เป็นธรรม" โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวปาฐกถาเกี่ยวกับอาจารย์ป๋วยกับสังคมที่เป็นธรรม โดยกล่าวถึงความประทับใจในการทำงานกับป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตอธิการบดี มธ.บทบาทและความสำคัญของป๋วยต่องานบัณฑิตอาสา ในช่วงเวทีเสวนา "คนรุ่นใหม่กับการสร้างสังคมที่เป็นธรรม" มีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ อุเชนทร์ เชียงแสน อดีตเลขาธิการสหพันธ์ นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย , ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ilaw , เพียงคำ ประดับความ อดีตบัณฑิตอาสาสมัคร กวี-นักเขียน , ณาตยา แวววีรคุปต์ บรรณาธิการข่าวสังคมและนโยบายสาธารณะ ThaiPBS ดำเนินรายการโดย ดร. ภาสกร อินทุมาร อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เพียงคำ ประดับความ อดีตบัณฑิตอาสาสมัคร กล่าวว่า ปัจจุบันตัวเองตกอยู่ในภาวะที่ไม่เชื่อว่า ตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ ความใฝ่ฝันที่เคยมีก็เก่าลงไปด้วย ความดี ความงาม ความจริง เริ่มพร่าเบลอ และไม่ค่อยเชื่อว่ามันมีอยู่ เมื่อเจอโจทย์นี้จึงไม่เชื่อว่าจะมีใครจะสถาปนาตัวเองขึ้นมาสร้างสังคมนี้ให้เป็นธรรมได้ โดยเฉพาะปิดประตูคุยในห้องแอร์ในสถานศึกษานั้นยิ่งสะท้อนว่า การจะสร้างสังคมเป็นธรรมนั้นทำได้โดยคนมีการศึกษาเท่านั้น เหตุที่คิดอย่างนี้ เพราะเราได้ร่วมยุคสมัยกันในช่วงที่มีเหตุการณ์เชิงประจักษ์ทิ่มตำลูกตาเรา แล้วเกิดความสงสัยว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ในประเทศที่บอกตัวเองเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยเกือบร้อยปี ท้ายที่สุดได้ก่อเกิดคำถามว่า "เราเป็นคนหรือยัง" "เรื่องความเป็นธรรม ไม่ต้องซับซ้อน เราย้อนกลับไปที่ความเท่าเทียมกันใหม่ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น และอย่างน้อยที่สุด เราต้องเท่าเทียมกันทางกฎหมายก่อน เพราะที่ผ่านมาปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศของเราคือ การมองคนไม่เท่ากัน เรายังต้องกลับมาเถียงกันอีกว่าใครมีสิทธิเลือกตั้ง อย่าเพิ่งไปฝันถึงอะไรถ้าเรื่องพื้นฐานแค่นี้ยังมองคนอื่นเป็นเท่ากันเรายังทำไม่ได้" เพียงคำกล่าว เธอยังกล่าวถึงประสบการณ์ในฐานะบัณฑิตอาสาสมัครเก่าว่า ตอนนั้นวาดฝันว่าตัวเองจะเข้าไปในหมู่บ้านที่ลำบากที่สุด ไฟฟ้าไม่มี ชาวบ้านใสซื่อ ไม่ถูกครอบงำด้วยทุนนิยมอันเลวร้าย แต่เมื่อลงพื้นที่จริงกลับพบว่าบ้านของชาวบ้านเป็นตึกเป็นปูน จึงรู้สึกผิดหวังและขอย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านชนเผ่าตองเหลืองที่ต้องปีนเขาขึ้นไปเดินทางด้วยความยากลำบาก โดยคิดว่าตัวเองจะไปทำอะไรให้หมู่บ้านเขาดีขึ้น แต่ที่ไหนได้กลายเป็นภาระชาวบ้านเสียด้วย สิ่งเดียวที่ได้ในการลงพื้นที่ 7 เดือน ตามหลักสูตรบัณฑิตอาสาคือ การรู้จักการรอคอย "ตรงนี้มันบอกว่า ตอนนั้นโคตรดัดจริตเลย เรามองว่าชาวบ้านเป็นอะไรที่ต่างจากเราหรือ ทำไมเราอยากจะสตาฟฟ์เขาไว้ในสังคมแบบเก่า ทัศนคติแบบนี้ คนจน ชาวบ้าน คนต่างจังหวัด เป็นได้แค่รอคอยการพัฒนา คนที่ทำอะไรได้มากกว่านั้นคือคนที่เป็นบัณฑิต ที่จะลงไปพัฒนาพวกเขา กรอบคิดแบบนี้ นำชาวบ้านสู่ โง่ จน เจ็บ แล้วมันสร้างปัญหา เมื่อเขาหย่อนบัตรเลือกตั้ง เสียงของเขาก็กลายเป็นเสียงไม่มีคุณภาพ มาจากมันสมองที่ไม่มีคุณภาพ" "เราจะไม่สามารถสร้างสังคมที่เป็นธรรมได้ ตราบใดที่เราไม่สามารถมองเห็นความไม่เป็นธรรมที่ทิ่มตาเราอยู่ สิ่งที่ทำก็คือ การที่เราเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความไม่เป็นธรรม" เพียงคำยังเล่าเชื่อมโยงถึงประสบการณ์การเก็บข้อมูลญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 ว่า สิ่งที่กระแทกอย่างจังคือ คนพวกนี้เป็นคนเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เป็นคนใช้ คนขับแท็กซี่ วินมอเตอร์ไซด์ คนเหล่านี้ไม่เคยปรากฏในวรรณกรรมไทย เขาเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศแต่เรามองไม่เห็นว่าเขาอยู่ที่ไหน หากเป็นเช่นนั้นก็ควรเลิกพูดถึงสังคมที่เป็นธรรม นอกจากนี้เพียงคำยังพูดถึงกรณีที่ตัวเธอถูกรุ่นพี่บัณฑิตอาสาวิพากษ์วิจารณ์ผ่านเพจของโครงการบัณฑิตอาสาว่าเธอไม่เหมาะสมที่จะควรมาพูดในงานนี้ว่า พวกเขาให้เหตุผลว่าเพราะเธอ "แดง" นอกจากนี้ยังรื้อประวัติมามาว่าเคยเขียนกวีโต้กวีรัตนโกสินทร์ชิ้นที่เขียนก่อนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ที่ชื่อว่า "กบเลือกตั้ง" โดยเธอตั้งคำถามว่า การหมิ่นเนวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ นั้นผิดด้วยหรือ และระบุเหตุผลที่ต้องวิจารณ์ ประณามบทกวีของเนาวรัตน์ว่า เป็นทัศนะที่มองคนไม่เท่าเทียม และทำให้คนกลุ่มหนึ่งกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง นาตยา แวววีรคุปต์ บรรณาธิการข่าวสังคมและนโยบายสาธารณะ ThaiPBS เล่าถึงการทำงานที่ผ่านมาว่า แม้ไม่ได้เรียนจบด้านข่าวโดยตรงแต่ก็ทำงานด้านนี้มาโดยตลอด เมื่อทำงานที่มติชนก็มีโอกาสเจอกับชาวบ้านที่เจอปัญหา ซึ่งอาจนิยามได้ว่าพวกเขาได้รับความไม่เป็นธรรม การจัดการโดยรัฐทำให้ชีวิตเขายากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านปากมูล กะเหรี่ยงในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร แรงงานที่ถูกเลิกจ้างหลายๆ กลุ่ม เป็นต้น 2 ปีจากนั้นได้ไปทำข่าวหลายชิ้นที่เกี่ยวพันกับชาวบ้านในหลายพื้นที่ที่ได้รับความไม่เป็นธรรม และนั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายในทางที่ดีขึ้น จากนั้นไอทีวีก็ถูกซื้อหุ้นไป เธอและเพื่อนนักข่าวจำนวนหนึ่งได้เขียนแถลงการณ์คัดค้านการขายหุ้นของไอทีวี แล้วถูกไล่ออก แต่ยังคิดว่าสักวันหนึ่งจะมีสื่อที่เปิดโอกาสให้เราได้ทำงานเกี่ยวกับชาวบ้านอีก คิดแต่ว่าคงมีสื่อที่ไม่ปล่อยให้ใครมาเทคโอเวอร์ได้อีก วันที่มีการตั้งไทยพีบีเอส ก็ไปสมัครงาน แม้หลัง 2549 เชื่อมาตลอดว่า ไม่มีดอกไม้งอกมาจากปลายกระบอกปืน แต่มันกลับมีไทยพีบีเอส และสุดท้ายต้องทำเพราะมันเป็นโอกาสแบบที่ต้องการ นาตยาเล่าต่อว่า งานแรกคือการทำข่าวบางสะพาน ชาวบ้านสองกลุ่ม ลงพื้นที่จัดเวทีคุย งานที่ทำต่อเนื่องต่อประเด็นนี้นำสู่ข้อเสนอการพัฒนาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จนเป็นแผนของประจวบฯ เธอกล่าวถึงช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์รุนแรงกลางกรุงเทพฯ ด้วยว่า ตอนนั้นมีไทยพีบีเอสแล้ว เธอทำข่าวและดูสถานการณ์ในเรื่องนี้โดยมองว่ามีความเห็นแตกต่างกันได้ แต่ไม่เกิดความรุนแรงได้ไหม ส่วนเรื่องของอุดมการณ์ของแต่ละฝ่ายนั้นเป็นเรื่องยากที่จะตัดสิน อย่างไรก็ตาม เห็นว่าไม่ว่ารัฐบาลไหนก็มีความรุนแรงเกิดขึ้นทั้งนั้น ไม่สามารถชั่งน้ำหนักได้ว่าสมัยใดคนตายมากกว่าย่อมผิดมากกว่า เพราะเพียงรัฐบาลเปิดช่องให้ใช้ความรุนแรงก็ผิดแล้ว นอกจากนี้ในช่วงนั้นไทยพีบีเอสยังถูกมองว่า พวกนำเสนอสันติวิธีอ่อนหัดเกินไปหรือเปล่า จนมันกลายเป็นเรื่องน่าอาย เรื่องนี้ก็คงถกเถียงกันไม่จบ แต่ก็ยังยืนยันจะทำงานต่อ นอกจากนี้เรายังตั้งสมมติฐานว่า ความยากลำบาก ความไม่เป็นธรรมในชีวิตชาวบ้านเป็นต้นเหตุให้เขามาร่วมชุมนุม จึงเดินไปถามชาวบ้านซึ่งเขาก็ระบุถึงสาเหตุว่าเพราะรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียม และมีปัญหาในพื้นที่ เช่น กลุ่มปัญหาที่ดินที่ลำพูน แต่บนเวทีของแกนนำก็ไม่ได้เปิดให้พวกเขาได้มีโอกาสสะท้อนปัญหาเหล่านี้ ชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดีเผาศาลากลาง เราก็ได้เดินทางตามเขาไปแล้วฟังเสียงเขาพูด เป็นลักษณะการทำงานแบบทำไปคิดไปว่าจะทำอะไรที่จะทำให้สถานการณ์มันดีขึ้น มันอาจยังไม่ได้คำตอบที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยเราก็คิดอ่านกันว่าจะทำอะไร อุเชนทร์ เชียงเสน อดีตเลขาฯ สนนท. ได้อ่านสิ่งที่เตรียมมาโดยเริ่มต้นจากการถกเถียงกันในเฟซบุ๊คเรื่องการคัดสรรวิทยากรว่า จากทัศนะดังกล่าวอาจสะท้อนได้ว่าหากนี่เป็นทัศนะส่วนใหญ่ของบัณฑิตอาสาอาจมีปัญหา เพราะพื้นฐานที่สุดในการเรียนด้านสังคมศาสตร์คือ ต้องทำให้คนคิด เข้าใจโลกภายนอก เข้าใจสังคมที่สลับซับซ้อนได้ คนมีพื้นฐานแบบนี้ไม่น่าพูดได้ว่า อาจารย์แดงเป่าหูให้นักศึกษาแดง หรือเชื่อว่าวิทยากรจะมาเป่าหูคนอื่นได้ เพราะการคิดแบบนี้เป็นพื้นฐานของการคิดง่ายๆ ว่า คนชนบทที่ลงคะแนนเสียงให้กับคนหรือพรรคที่ตนเองไม่ชอบนั้น ถูกหลอกลวง ขายเสียง ฯลฯ วิจารณ์ชาวบ้านที่ตัวเองเข้าไปจัดตั้งตามอุดมการณ์แต่ไม่ประสบความสำเร็จ หรือชาวบ้านทั่วๆไป ว่าขาดจิตสำนึก และดังนั้น ภารกิจของนักพัฒนาคือ การสร้างจิตสำนึกให้กับพวกเขาเหล่านั้น นอกจากนี้เขายังระบุว่าจะพูดในหัวข้อสังคมที่เป็นธรรมในแง่กระบวนการการเมืองและประชาธิปไตย โดยเชื่อมโยงกลับมาที่ความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน ปัญหาข้อขัดแย้งที่สำคัญ อยู่ที่ "สถานะและอำนาจของสถาบันกษัตริย์" และ ตามคำอภิปรายของศิษย์เก่านั้น อัตลักษณ์ความเป็นแดงถูกผูกไว้กับประเด็นนี้โดยตรง อย่างความไม่พอใจต่อความเป็นแดงของวิทยากรบางคนที่ผูกกับบทบาทของเขาในการรณรงค์ให้มีการแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งพวกเขาเห็นว่า "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" เขากล่าวต่อว่า นอกจากนี้เมื่อคิดถึงความเป็นธรรมทางสังคมก็สนใจในแง่ของมิติกระบวนการด้านการเมือง-ประชาธิปไตย เพราะเป้าหมายหรือรูปแบบของสังคมที่เป็นธรรมของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป ซึ่งเราไม่สามารถที่จะบังคับคนอื่นให้มีเหมือนเราได้ แต่ในแง่กระบวนการนั้นไม่คำนึงถึงเป้าหมาย สังคมที่เป็นธรรม ต้องเปิดให้ผู้คนมีเสรีภาพ ได้แสดงออกซึ่งความเห็นของตนเองอย่างเต็มที่และอย่างเปิดเผย อย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าเราเองจะเห็นด้วยหรือไม่รวมทั้งการรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อไปสู่จุดหมาย อย่างสันติ ผ่านขบวนการเคลื่อนไหว การจัดตั้งพรรคการเมือง หรือผ่านสถาบันทางการเมืองที่เกี่ยวข้อง ในที่นี้รวมทั้งประเด็นเรื่องสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นแนวให้ปฏิรูปหรือยกเลิก เปลี่ยนจากราชอาณาจักรเป็นสาธารณรัฐก็ตาม โดยไม่ต้องกลายเป็นอาชญากร ถูกดำเนินคดีหรือต้องโทษจำคุก กระบวนการเหล่านี้สำคัญ เพราะ 1) จะไม่มีใครต้องสูญเสียเลือดเนื้อและอิสรภาพ เนื่องจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง อุดมการณ์ ที่แตกต่างกัน เพราะ 2) เปิดโอกาสทุกคนสามารถแสวงหา "สังคมที่เป็นธรรม" ในแบบฉบับของตนเองได้ และผลักดันไปสู่เป้าหมายได้ ด้วยการแข่งขันกับคนอื่นๆ เพราะ 3) เปิดโอกาสให้การเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง หรือการปฏิรูปการเมืองการปกครองอย่างสันติเป็นไปได้ อุเชนทร์กล่าวว่า บทเรียนที่อยากฝากไปถึงมิตรสหายบางส่วน ที่เคยคบค้าสมาคมด้วยก่อนการเกิดขึ้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและการรัฐประหาร คือ ภายใต้สังคมที่เปิดมีเสรีภาพในการแสดงคิดเห็น และเป็นประชาธิปไตยเท่านั้น ที่เราและคนอื่นในฐานะเสียงข้างน้อยมีโอกาสที่จะกลายเป็นเสียงข้างมากได้ สามารถรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูป เปลี่ยนแปลง ผลักดันให้เกิดสังคมที่เป็นธรรมในแบบฉบับของตัวเองได้ "ไม่ว่าจะวิจารณ์การเลือกตั้ง ประชาธิปไตย ว่ามีข้อจำกัดอย่างไร แต่ท้ายที่สุด นี่คือ วิธีการที่ดีที่สุด ในการกำหนดชะตากรรมร่วมกันของคนในสังคมการเมือง โดยไม่ใช่ความรุนแรง บีบบังคับ และทำลายเป้าหมายและอุดมคติเสียเอง ยกเว้นเสียแต่เราจะยึดหลักว่า เพื่อเป้าหมายอันสูงส่งในความคิดของเราแล้ว อะไรก็ได้ แต่อย่าลืมว่า โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน วันหนึ่ง เราและลูกหลานของเราเอง อาจตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ ตกอยู่ในฐานะแบบเดียวกับคนที่อยู่ตรงข้ามกับเรา แล้วเราสะใจอยู่ในตอนนี้ก็ได้" อุเชนทร์กล่าว
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ จากไอลอว์กล่าว ถึงพลังของเยาวชนผ่านประสบการณ์ส่วนตัวด้วยว่า เป็นวัยที่พร้อมจะสามารถทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อทำบางสิ่งบางอย่างที่ฝันไว้ได้ เพราะมองเห็นโลกมาจำกัดจึงยังเชื่อว่าเมื่อทำกิจกรรมต่างๆ แล้วจะเกิดผลเปลี่ยนแปลงสังคมได้ดังที่หวัง แต่คนรุ่นเก่ามองเห็นข้อจำกัดหลายๆอย่างมากกว่า พลังจึงลดลง อย่างไรก็ตาม การมีความฝันและพยายามไปถึงคือลักษณะของ "คนรุ่นใหม่" ซึ่งไม่เกี่ยวกับอายุ ส่วน "สังคมที่เป็นธรรม" นั้น เห็นว่าเป็นสิ่งต่างคนต่างก็เชื่อแตกต่างกันไป และต่างคนต่างเดินไปตามเส้นทางที่ตัวเองเชื่อนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งที่สำคัญคือ "โครงสร้าง" ที่มีต้องทำให้คนเท่ากัน แม้ในความเป็นจริงคนจะไม่เท่ากันเพราะศักยภาพตัวเองไม่เท่ากันก็ไม่เป็นไร และหากมีใครรู้สึกว่าโครงสร้างทำให้เขาไม่ได้รับความเป็นธรรมต้องสามารถส่งเสียงได้ หากคนอื่นๆ ในสังคมฟังเสียงนั้นแล้วร่วมกันแก้ไข นั่นคือสังคมอุดมคติที่เขาใฝ่ฝันถึง สุดท้าย คนรุ่นใหม่ควรมีบทบาทใน 2 แง่มุม งานซ่อมแซมสังคมที่บิดเบี้ยวแล้ว ต้องการพลังสร้างสรรค์ สดใส คนใหม่ๆ ช่วยกันคิด ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ สร้าง ใช้เวลายาว ใช้พลังเยอะ ใช้ความคิดใหม่ๆ นอกจากนี้คนรุ่นใหม่ต้องคำถามกับกรอบเก่าๆ ทั้งหมดที่มี ไม่ได้บอกให้ไม่เชื่อ แต่คิดเอง หาคำตอบของตัวเองแล้วก็ต้องเคารพคนอื่นที่เขามีความเชื่ออีกแบบด้วย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
นศ.แต่งดำประท้วงสภาดันร่าง ม.นอกระบบ - ม.ราชภัฏสวนดุสิต ผ่านวาระ1 Posted: 13 Mar 2013 10:13 AM PDT สภาผู้แทนฯ มีมติรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตแล้ว แกนนำแนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้าน ม.นอกระบบแต่งดำประท้วง เผยเห็นด้วยมหาวิทยาลัยควรมีอิสระ แต่ต้องตรวจสอบและคานอำนาจได้จากนักศึกษาและประชาชน เผยเตรียมล่ารายชื่อเสนอ พ.ร.บ. สวนกลับ 'พิมพ์เขียวมหาวิทยาลัย'
วัฒนา เซ่งไพเราะ รับหนังสื่อเรียกร้อง ภาพโดย Kolf Iskra
13 มี.ค.56 เวลา 11.30 น. ที่หน้าอาคารรัฐสภา ถนนอู่ทองใน นักศึกษาประมาณ 20 คน จากแนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้าน ม.นอกระบบ ซึงเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยบูรพาและมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สวมชุดดำเผาหรีดประท้วงสภาผู้แทนราษฎรที่จะพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.นำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ พร้อมทั้งมีการยื่นหนังสือเรียกร้องถึงประธานรัฐสภา เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรถอน 1.ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ.…. 2.ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ.....3.ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ..... ออกจากวาระการประชุมสภา ซึ่งจะมีการพิจารณาในขั้นรับหลักการในวันนี้ พร้อมทั้งให้กลับมาพิจารณากันใหม่ในแต่ละมหาวิทยาลัยอย่างมีส่วนร่วม โดยเวลา 13.00 น. นายวัฒนา เซ่งไพเราะ โฆษกประธานรัฐสภา ออกมารับหนังสือเรียกร้องดังกล่าว ช่วงเย็นที่ผ่ามา สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการวาระ 1 ในร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตแล้ว ด้วยคะแนนเสียง 388 ต่อ 1 คะแนน งดออกเสียง 1 คะแนน และได้ตั้งคณะกรรมาธิการ 30 คนขึ้นมาพิจารณาแปรญัตติภายใน 7 วัน นอกจากนี้ที่ประชุมสภาฯ ได้ให้ความเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ในวาระ 3 ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 360 คะแนน โดยก่อนลงมติมีรายงานด้วยว่าเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นระหว่างการตรวจนับองค์ประชุม โดย ส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาลโต้เถียงกันไปมา เมื่อมีการทักท้วงความคืบหน้าการตรวจสอบการกดบัตรแทนกัน สุดท้ายต้องนับคะแนนโดยการขานชื่อก่อนจะรับหลักการร่างกฎหมายดังกล่าว นายนิพิฐพนธ์ คำยศ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และแกนนำแนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้าน ม.นอกระบบ กล่าวหลังทราบผลมติดังกล่าวว่า เราเสนอให้สภาฯ ถอนร่าง พ.ร.บ.ออกมาโดยตลอด โดยมีการยื่นข้อเรียกร้องต่อทั้งประธานรัฐสภา ประธานวิปฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านไว้ก่อนแล้ว เพื่อให้นำเอา ร่าง พ.ร.บ เหล่านั้นกลับมาทำประชาพิจารณ์ในมหาวิทยาลัยอย่างมีส่วนร่วมก่อน เพราะที่ผ่านมาไม่เกิดกระบวนการเหล่านี้ขึ้นในมหาวิยาลัยอย่างโปร่งใส แกนนำแนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้าน ม.นอกระบบ ได้ยกตัวอย่างกรณีปัญหาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกี่ยวกับกระบวนการเสนอร่าง พ.ร.บ.นี้ว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่รู้เรื่องนี้ การที่นำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบในขณะที่นักศึกษาไม่รู้และกำลังปิดภาคการศึกษา ถือว่าไม่แฟร์สำหรับนักศึกษาด้วย รวมทั้ง พ.ร.บ.นี้เอื้ออำนวยต่อผู้บริหารมากเกินไป และไม่มีการตรวจสอบได้ สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้าง หรือซื้อขายทรัพย์สินต่างๆ ในมหาวิทยาลัย รวมทั้งนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเราคิดว่าควรมีอะไรใน พ.ร.บ. เพื่อที่จะไปคาดอำนาจกับเขา เช่น กลไกจากนิสิตนักศึกษา หรือประชาชน เข้าไปคานอำนาจและตรวจสอบ นายนิพิฐพนธ์ กล่าวย้ำด้วยว่า เราเห็นด้วยกับการที่มหาวิทยาลัยจะมีความอิสระและความคล่องตัวในการบริหาร แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบและคานอำนาจได้จากนักศึกษาและประชาชน รวมทั้งที่มาของผู้บริหารและสภามหาวิทยาลัยต้องมาจากการเลือกตั้งครึ่งหนึ่ง แกนนำแนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้าน ม.นอกระบบ เปิดเผยถึงการเคลื่อนไหวต่อไปของกลุ่มว่า เตรียมจะมีการล่ารายชื่อเพื่อเสนอกฎหมายเกี่ยวกับพิมพ์เขียวมหาวิทยาลัย เพื่อให้มีอำนาจตรวจสอบผู้บริหาร ให้สิทธิกับนักศึกษาและบุคลากรมากขึ้น เป็นต้น ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 5-11 มี.ค. 2556 Posted: 13 Mar 2013 08:58 AM PDT
ชวนแรงงานหญิงนักดื่ม! ร่วมปฏิญาณตนหันหลังให้น้ำเมาตัวการชีวิตตกต่ำ
'แรงงานสตรี' ยื่น 3 ข้อเรียกร้อง จี้'ยิ่งลักษณ์'เร่งจัด'สวัสดิการ-ประกันสังคม-แรงงานชายลางานไปดูแลบุตร
จัดหางานเชียงใหม่แจ้งขยายเวลาให้นายจ้างขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง
ผู้แทน 4 ฝ่าย หารือใช้กฎกระทรวงว่าด้วยแรงงานทำงานในบ้าน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
FBI รุดสืบ หลังมือดีแฮกข้อมูลส่วนตัวคนดังโพสต์เว็บ-มิเชล โอบามาโดนด้วย Posted: 13 Mar 2013 08:17 AM PDT สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) และหน่วยตำรวจลับซึ่งมีหน้าที่อารักขาประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังสืบสวนกรณีมีการแฮกข้อมูลส่วนบุคคลของนักการเมืองและคนดัง ประกอบด้วย หมายเลขประกันสังคม หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ตั้งแต่อดีต-ปัจจุบัน และข้อมูลทางการเงิน มาโพสต์ในเว็บไซต์ exposed.su ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยบุคคลที่ถูกนำข้อมูลมาเปิดเผย มีอาทิ มิเชล โอบามา ภรรยาของประธานาธิบดีสหรัฐฯ, ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ, มิตต์ รอมนีย์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พรรคริพับลิกัน, ซาราห์ เพลิน อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ, อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ อดีตนักแสดง และผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย, บียอนเซ่, ปารีส ฮิลตัน, บริทนีย์ สเปียร์, นักแสดงอย่างเมล กิ๊บสัน, โดนัลด์ ทรัมป์ เศรษฐีนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ไทเกอร์ วูด, โรเบิร์ต มูลเลอร์ ผู้อำนวยการเอฟบีเอ ทั้งนี้ ชื่อโดเมนของเว็บดังกล่าว เป็นโดเมนที่ใช้ในสหภาพโซเวียตเมื่อปี 1990 ปัจจุบัน .su ถูกดูแลโดยรัสเซีย ท้ายหน้าแรกของเว็บ มีชื่อของบุคคลสำคัญพร้อมลิงก์ไปยังข้อมูลส่วนตัวของแต่ละคน ล่าสุด (13 มี.ค.) มีผู้เข้าชมเว็บดังกล่าวกว่า 200,000 ครั้งแล้ว
เรียบเรียงจาก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
‘ชุมชนดอนฮังเกลือ’ ขุดลอกคลองแก้ปัญหา ‘ภัยแล้ง’ กระทบโรงเรียนอนุบาลพันธุ์ปลา Posted: 13 Mar 2013 06:46 AM PDT สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน โซนร้อยเอ็ด ร่วมกันขุดลอกคลองรอบ 'โรงเรียนอนุบาลพันธุ์ปลา' หวั่นพันธุ์ปลาสูญหายไปตามสภาวะแห้งแล้ง พร้อมวอนหน่วยงานภาครัฐ ลงมาร่วมหามาตรการจัดระบบจากการทำนาปรังมีอีกหนึ่งสาเหตุทำน้ำแห้ง (13 มี.ค.56) จากสภาวะภัยแล้งในภาคอีสาน ส่งผลกระทบต่อพืชผัก แหล่งน้ำ และวิถีชีวิตชาวประมงของ 'ชุมชนดอนฮังเกลือ' ต.บึงเกลือ อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ทำให้โรงเรียนอนุบาลพันธุ์ปลาขึ้นมาเพื่อการอนุรักษ์ และขยายพันธุ์ปลาไม่ให้สูญหาย บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ของแหล่งน้ำบึงเกลือได้รับความเสียหาย นายทองสา ไกรยนุช กรรมการโฉนดชุมชนดอนฮังเกลือ สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปนั้นได้ส่งผลกระทบทำให้บึงเกลือ หรือที่เรียกว่าทะเลอีสานซึ่งมีเนื้อที่กว่า 5,000 ไร่ เหือดแห้งลงไปมาก ซึ่งนอกจากสร้างความเสียหายแก่พืชผักที่ปลูกไว้ ภาวะดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อโรงเรียนอนุบาลพันธุ์ ที่ชุมชนได้ร่วมกันจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อต้นปี 2555 นายทองสา กล่าวด้วยว่า ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นคือการทำนาปรังที่ต้องสูบน้ำจากบึงเกลือไปใช้เป็นอย่างมาก ทำให้ปัญหาน้ำในบึงที่แห้งอยู่แล้วยิ่งลดระดับลงไปมากกว่าเดิม "ส่วนตัวไม่ได้ขัด หรือห้ามการทำนาปรังแต่อย่างใด เพราะตัวเองก็เป็นเกษตรกร เป็นลูกชาวนา แต่ทั้งนี้อยากให้ทาง อบต.มีมาตรการหาทางออก ด้วยการลงประชามมติหาทางออกร่วมกัน" นายทองสา กล่าว นายทองสา ยกตัวอย่างข้อเสนอเพื่อการแก้ปัญหาว่า การทำนาในช่วงฤดูแล้ง อยากให้มีการสลับหมุนเวียนกันสูบน้ำจากบึงเกลือ ด้วยว่ามีคลองส่งน้ำถึง 3 แห่ง ทั้งคลองส่งน้ำบ้านน้ำจั้นน้อย คลองส่งน้ำบ้านหัวคู และคลองส่งน้ำน้ำบ่อแก เพื่อป้องกันภัยแล้ง ก่อนหน้านี้ได้มีคำสั่งมาจากทางจังหวัด ลงมาสู่อำเภอ แต่ทางหน่วยงาน อบต. ก็ยังไม่มีมาตรการป้องกันแต่อย่างใด นอกจากประกาศเสียงตามสายแจ้งเตือนไปหนึ่งครั้งเมื่อต้นเดือนมกราคม ปี 56 แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะมาแจ้งหลังจากที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ได้ทำนากันไปก่อนหน้านั้น จนบางที่ข้าวออกรวงไปแล้ว สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาของโรงเรียนอนุบาลพันธุ์ นายทองสากล่าวว่า ขณะนี้ชุมชนได้ร่วมกันขุดลอกคูคลอง ล้อมโรงเรียนอนุบาลพันธุ์ปลาเอาไว้ เพื่อรักษาแหล่งน้ำไว้ไม่ให้เหือดหาย ป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดกับพันธ์ปลาที่อนุรักษ์ไว้ นายทองสา ให้ข้อมูลด้วยว่า แหล่งพักอาศัยของปลานี้ ใช้เนื้อที่กลางน้ำบึงเกลือประมาณ 2ไร่ เพื่อให้ปลาหลากหลายชนิดได้เข้ามาอาศัยและใช้เป็นแหล่งขยายพันธุ์ปลา ด้วยมีวัตถุประสงค์ในการพลิกฟื้นและร่วมกันอนุรักษ์พันธุ์ปลาให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ขณะเดียวกันคนในชุมชนก็จะได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยได้ตั้งกฎระเบียบขึ้นมาร่วมกันไว้ว่าไม่ให้มีการจับปลาในบริเวณโรงเรียน ในทุกๆ ฤดูกาล หากมีการฝ่าฝืน จะมีการปรับเงินไม่เกิน 10,000 บาท ซึ่งเงินค่าปรับ ทางกลุ่มจะนำมาบำรุงโรงเรียน หรือนำไปซื้อพันธุ์ปลา เพื่อนำมาขยายต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ชุมชนดอนฮังเกลือ ต.บึงเกลือ อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ประกอบด้วยชาวบ้านจากบ้านหัวคู บ้านบ่อแก บ้านนาเลา และบ้านน้ำจั้น กว่า 31 ครอบครัวที่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในพื้นที่มาก่อนปี 2472 ต่อเนื่องมา ต่อมาปี 2542 องค์การบริหารส่วนตำบลบึงเกลือ ได้นำแผ่นป้ายมาติดประกาศ ให้ผู้ที่ครอบครองทำประโยชน์ในบริเวณดอนฮังเกลือออกจากที่ดินทำกินทุกคน โดยหน่วยงานดังกล่าวจะนำพื้นที่มาก่อสร้างสนามกีฬา สถานที่ราชการ กระทั่งปัจจุบันมีโครงการจัดทำแหล่งท่องเที่ยว ด้วยว่าพื้นที่เป็นแหล่งน้ำบริเวณกว้าง ช่วงปี 2542 – 2545 ชาวบ้านในชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ได้รวมกลุ่มกันยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลเพื่อติดตามแก้ไขปัญหาร่วมกับรัฐบาล กระทั่งได้มีการตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมีนายมนตรี บุพผาวัลย์ นายอำเภอเสลภูมิเป็นประธาน คณะทำงานมีมติร่วมกันว่า การประกาศเขตที่สาธารณะประโยชน์ดอนฮังเกลือไม่ถูกต้อง สมควรเพิกถอน ยุติการดำเนินการ และเอกสารสิทธิ์ให้แก่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบต่อไป ต่อมาปี 2552 ชาวบ้านดอนฮังเกลือ สมาชิกในเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) ได้ร่วมกับเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ได้ยื่นข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน เพื่อขอจัดทำโฉนดชุมชนเนื้อที่ 31 ไร่ 2 งาน 73 ตาราง ต่อรัฐบาล กระทั่งคณะอนุกรรมการตรวจสอบพื้นที่มีการลงมาตรวจสอบพื้นที่ แล้วมีมติจากคณะกรรมการว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีแม้การบริหารจัดการที่ทำกิน รวมทั้งการจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำที่ประสบปัญหา ขณะที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ไม่เห็นด้วย เพราะต้องการนำพื้นที่พิพาทมาทำประโยชน์ในการสร้างสนามกีฬา และปัจจุบันมีโครงการที่จะนำพื้นนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว อีกทั้งมีแผนการที่จะอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่ โดยไม่มีใส่ใจการร่วมกันแก้ไขปัญหา ส่วนการจัดการในชุมชน ได้มีการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาอย่างเข้มแข็ง โดยมีการจดแจ้งการจัดตั้งเป็นนิติบุคคลในนามกลุ่มเกษตรกรทำนาบึงเกลือ อีกทั้งยังมีการตั้งกลุ่มออมทรัพย์ กองทุนสวัสดิการ รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนที่ดิน เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนให้กับสมาชิกใช้กู้ยืมในยามฉุกเฉิน หรือนำไปจัดซื้อปัจจัยการผลิตในพื้นที่ และยังมีการรวมกลุ่มกันจับปลาบริเวณบึงเกลือ เพื่อนำไปขายแล้วนำเงินมาไว้เป็นกองทุนในการเคลื่อนไหวในการเรียกร้องความชอบธรรม ต่อการจัดการทรัพยากรของในชุมชนต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คนงานร้อง 4 สถานทูต ช่วยแก้ปัญหานายจ้างต่างชาติเลิกจ้าง-ปิดงาน Posted: 13 Mar 2013 05:50 AM PDT
(ติดตามรายละเอียดได้ที่นี่ เร็วๆ นี้) ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ฮิวแมนไรท์วอทช์จี้รัฐบาล-กสม. สอบสวนกรณีทหารยิงใส่โรฮิงญา Posted: 13 Mar 2013 05:47 AM PDT สืบเนื่องจากรายงานข่าวว่าทหารเรือในพังงายิงปืนใส่ชาวโรฮิงญาที่ลี้ภัยมาจากพม่า ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 ราย ฮิวแมนไรท์วอทช์จึงเรียกร้องให้ไทยสอบสวนกรณีดังกล่าว และปฏิบัติตามหลักการใช้กำลังอาวุธสากล
13 มี.ค. 56 - ฮิวแมนไรท์วอทช์ องค์กรสิทธิมนุษยชนซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและกรรมการสิทธิมนุษยชนสอบสวนกรณีที่ทหารเรือในจังหวัดพังงาใช้ปืนยิงกลุ่มชาวโรฮิงญาที่ลี้ภัยมาจากพม่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และให้หน่วยงานกองกำลังของรัฐไทยปฏิบัติตามหลักการว่าด้วยการใช้กำลังอาวุธของเจ้าหน้าที่รัฐของสหประชาชาติ ซึ่งต้องใช้วิธีที่ไม่รุนแรงก่อน และหากจำเป็น ต้องใช้กำลังที่เหมาะสม ทั้งนี้ การรายงานข่าวของสำนักข่าวเอบีซีและการเก็บข้อมูลของฮิวแมนไรท์วอทช์เมื่อเร็วๆ นี้ ระบุว่า มีผู้เห็นเหตุการณ์ว่าทหารเรือยิงปืนใส่กลุ่มชาวโรฮิงยาที่กระโดดจากเรือลงในน้ำ และภายหลังมีศพชาวโรฮิงยา 2 ศพลอยมาตามน้ำ ศพหนึ่งมีรอยถูกยิงบริเวณศรีษะ ต่อมาถูกเอาไปฝังในสุสานอิสลามในอ.คุระบุรี จ.พังงา ในขณะที่กอ.รมน. ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว ในแถลงการณ์ของฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุว่า เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา มีชาวโรฮิงญา 130 คน ลี้ภัยโดยเรือมาจากพม่า โดยหวังจะมุ่งหน้าไปยังประเทศมาเลเซีย แต่เชื้อเพลิงหมด จึงหันเข้าฝั่งไทยบริเวณท่าเรืออ.คุระบุรีของจังหวัดพังงา โดยชาวประมงในพื้นที่ช่วยนำเรือดังกล่าวเข้าฝั่ง ต่อมาทหารเรือกลุ่มหนึ่งได้พยายามผลักเรือพร้อมชาวโรฮิงญาออกสู่ทะเลอีกครั้ง ด้วยความตกใจ ชาวโรฮิงญาบางส่วนจึงกระโดดลงน้ำ โดยผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า เห็นทหารเรือยิงปืนใส่ชาวโรฮิงญาในน้ำ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ส่วนที่เหลือว่ายน้ำหนีเอาตัวรอด "ชาวโรฮิงญาที่หนีจากพม่าควรได้รับความคุ้มครอง มิใช่ถูกยิงใส่" แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียของฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว "รัฐบาลไทยควรสอบสวนอย่างเร่งด่วนว่าเหตุใดทหารเรือจึงยิงปืนใส่ชาวโรฮิงญาที่อยู่ในทะเล และดำเนินเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้อง" อดัมส์กล่าว แถลงการณ์ยังระบุว่า รัฐบาลไทยควรเปิดเผยสถานะและที่อยู่ของชาวโรฮิงญาที่เหลือจากเรือลำดังกล่าว ควรให้การปกป้องและที่พักแก่ผู้ที่รอดชีวิตอย่างเหมาะสม และอนุญาตให้ตัวแทนจากข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ทั้งนี้ เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีรายงานจากสำนักข่าวเอพีว่า ทหารเรือไทยได้ผลักเรือที่มีชาวโรฮิงญา 130 คน ที่มาจากพม่ากลับออกสู่ทะเลโดยเอาเครื่องยนต์ของเรือออก ทำให้เรือดังกล่าวลอยอยู่ในทะเล 25 วัน เมื่อไปถึงชายฝั่งประเทศศรีลังกา ผู้ลี้ภัยที่รอดชีวิตระบุว่า เนื่องจากไม่มีน้ำและอาหาร ทำให้คนที่อยู่ในเรือดื่มแต่น้ำทะเล ส่งผลให้ชาวโรฮิงญาเสียชีวิต 97 คน จากทั้งหมด 130 คน ช่วงปีที่ผ่านมา มีชาวโรฮิงญาลี้ภัยโดยเรือจากพม่าสู่ไทยมากเป็นพิเศษ เหตุลี้ภัยจากความยากจนและเหตุการณ์ความรุนแรงระหว่างชาวอาระกันและชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ โดยไทยมีนโยบายรับผู้ลี้ภัยและให้ความช่วยเหลือชั่วคราวเป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
จี้ กสทช.เร่งประมูลคลื่น 1800 ก่อน 'ซิมดับ'- อย่าอ้างผู้บริโภค ยืดสิทธิถือครอง Posted: 13 Mar 2013 03:18 AM PDT นับถอยหลัง 6 เดือน "ซิมดับ" กสทช.ประวิทย์ ชี้ทางแก้ดีที่สุดคือเร่งประมูลคลื่น 1800 ยืนยัน กสทช. ต้องไม่ทำผิดกฎหมายโดยอ้างผู้บริโภค (13 มี.ค.56) ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช) ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยถึงกรณีที่สัญญาสัมปทานคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ ในส่วนที่บริษัททรูมูฟและบริษัทดิจิตอลโฟนให้บริการอยู่กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 15 กันยายน ศกนี้ ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นเหตุการณ์สำคัญของกิจการโทรคมนาคมที่จะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในลักษณะที่บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่จะยุติลง ซึ่งจะทำให้การบริการของค่ายมือถือสองรายหายไป หรืออาจเรียกได้ว่า "ซิมดับ" คือใช้การไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องท้าทาย กสทช. โดยเฉพาะกรรมการด้านกิจการโทรคมนาคม หรือ กทค. ที่จะต้องแสดงฝีมือให้ปรากฏ นั่นคือทำอย่างไรที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างเรียบร้อย เป็นธรรม และที่สำคัญคือถูกต้องตามกฎหมายและกติกาของสังคม "เรื่องซิมดับไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ก็ยอมรับว่าจะมีผลกระทบจริง สิ่งที่สำคัญจึงอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้ผู้บริโภคไม่เดือดร้อนและการเปลี่ยนผ่านเดินไปในกรอบของกฎหมายและเจตนารมณ์การปฏิรูปการถือครองทรัพยากรความถี่ ที่สังคมไทยมีฉันทามติร่วมกันมาก่อนแล้วว่าเราต้องการก้าวข้ามจากยุคสัมปทานมาสู่ยุคการออกใบอนุญาตและการกำกับดูแล หลักการนี้คือจุดกำเนิดของ กสทช. เอง และปรากฏชัดเจนทั้งในรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 ดังนั้น กสทช. ต้องเคารพและต้องแสดงฝีมือให้สังคมไว้วางใจได้" ประวิทย์ ระบุว่า ในส่วนของผู้บริโภคนั้น วิธีการดูแลที่ดีต้องเริ่มต้นจากพื้นฐานคือ ทำให้ทราบและเท่าทันต่อสถานการณ์ที่ว่า เมื่อถึงกลางเดือนกันยายน บริการโทรศัพท์มือถือของบริษัททรูมูฟและบริษัทดิจิตอลโฟนจะไม่มีอีกต่อไป ซึ่งคนที่ใช้บริการของทั้งสองรายมีโจทย์ว่าจะต้องหาบริการทดแทน และถ้าหากต้องการรักษาเลขหมายที่ใช้อยู่ก็ควรต้องดำเนินการโอนย้ายค่าย หรือใช้บริการคงสิทธิเลขหมาย (Mobile Number Portability) ดังนั้นในส่วนนี้จึงเป็นภาระหน้าที่ของ กสทช. ร่วมกับผู้ให้บริการทั้งหมด ที่จะต้องทำให้การโอนย้ายค่ายสามารถรองรับหรือตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้บริการจำนวนมากได้ ซึ่งตามกฎหมายกำหนดว่า หลังจากได้รับแจ้งจากผู้ใช้บริการแล้วจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ใน 3 วัน ทั้งนี้ เกี่ยวกับการเตรียมการเรื่องดังกล่าว กสทช. ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมสำหรับการบริหารคลื่นความถี่วิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่า DIGITAL PCN (Personal Communication Network) 1800 ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภายในและภายนอก กสทช. ซึ่งคณะอนุกรรมการก็ได้จัดทำข้อเสนอต่อ กทค. แล้ว โดยแนะนำให้เน้นเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลผู้บริโภคแต่เนิ่นๆ และการเพิ่มประสิทธิภาพการคงสิทธิเลขหมาย เช่นเดียวกัน พร้อมกันนั้น คณะอนุกรรมการฯ ยังได้เสนอให้ กทค. จัดหาและมอบหมายผู้รับผิดชอบในการดำเนินการสำหรับการประมูลคลื่นความถี่ ซึ่งจะต้องดำเนินการในสองส่วน ได้แก่ การจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz และการประเมินมูลค่าคลื่นความถี่ ซึ่งที่ประชุม กทค. เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบต่อข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า มีการสั่งการนอกรอบให้คณะอนุกรรมการฯ จัดทำแนวทางการโอนย้ายผู้ใช้บริการและแนวทางป้องกันซิมดับ โดยยังไม่ต้องคำนึงถึงประเด็นข้อกฎหมาย อันเป็นที่มาให้คณะอนุกรรมการเสนอว่า เห็นควรให้มีการขยายการให้บริการอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งอาจทำโดยบริษัท กสท จำกัด (มหาชน) หรือโดยเอกชนคู่สัมปทาน นี่จึงเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับที่ บมจ. กสท หรือ CAT เรียกร้องมาโดยตลอด และคราวนี้ยังเริ่มเปิดช่องเพิ่มไปถึงทรูมูฟด้วย อย่างไรก็ดี ประวิทย์ ยืนยันว่าแนวทางดังกล่าวคือการทำผิดกฎหมายและจะไม่ส่งผลดีต่อผู้ใช้บริการอย่างแท้จริง โดยจะเป็นเพียงการยืดเวลาของเหตุการณ์ซิมดับออกไป แต่เมื่อไรที่การจัดประมูลคลื่นเสร็จสิ้นและมีการอนุญาตใช้คลื่นความถี่และการอนุญาตประกอบกิจการแก่ผู้ชนะการประมูลแล้ว การให้บริการในระบบเดิมนั้นก็ต้องยุติลงอยู่ดี เนื่องจากสิทธิถือครองและใช้คลื่นความถี่ย่อมเป็นของผู้ชนะประมูลที่ไม่อาจล่วงละเมิดได้ ดังนั้นถึงอย่างไรก็ย่อมจะเกิดช่องว่างหรือภาวะซิมดับในช่วงเวลาระหว่างที่รอผู้ชนะการประมูลเตรียมการจัดสร้างโครงข่ายและระบบต่างๆ สำหรับบริการใหม่ "ผมบอกได้เลยว่า การอ้างเรื่องป้องกันซิมดับเป็นเรื่องหลอกลวง เพราะถึงอย่างไรซิมก็ต้องดับ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง การขยายเวลาจึงไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรแก่ผู้บริโภค แต่แน่นอนว่าจะช่วยผู้ประกอบการให้หารายได้กันต่อไป ปัญหาก็คือในการขยายเวลาบริการก็เท่ากับการไปขยายเวลาการใช้คลื่นความถี่และขยายอายุการอนุญาต รวมทั้งขยายอายุสัมปทานด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องขัดกฎหมาย ขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่กำหนดให้กิจการโทรคมนาคมไทยต้องหลุดพ้นจากยุคสัมปทานเสียที" ประวิทย์กล่าว ประวิทย์เปิดเผยด้วยว่า เกี่ยวกับประเด็นข้อกฎหมายนั้น ก่อนหน้านี้คณะอนุกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของ กสทช. เองเคยชี้ชัดแล้วว่า เมื่อการอนุญาตหรือสัญญาสัมปทานสิ้นสุดลง สิทธิในการใช้งานคลื่นความถี่ก็ถือว่าสิ้นสุดลงด้วย และสิทธิในการใช้งานคลื่นความถี่ย่อมต้องกลับคืนไปยังสาธารณะ โดย กสทช. หรือ กทค. มีหน้าที่ในการเข้าไปบริหารจัดการคลื่นความถี่ ทั้งนี้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 47 บัญญัติไว้ ส่วนกรณีการขยายระยะเวลา คณะอนุกรรมการที่ปรึกษากฎหมายชี้ว่า แม้ตามเงื่อนไขการอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรคมนาคมเดิมจะกำหนดให้ กทช. สามารถพิจารณาขยายระยะเวลาการใช้งานคลื่นความถี่ได้ แต่เมื่อมีการตรา พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 แล้ว ซึ่งตามมาตรา 45 กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการใช้งานคลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการโทรคมนาคมว่าให้กระทำได้ด้วยวิธีการประมูลเท่านั้น ประกอบกับแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ไม่ได้มีการกำหนดให้ กสทช. สามารถพิจารณาขยายระยะเวลาการใช้งานคลื่นความถี่ได้ อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงนโยบายที่จะไม่มีการพิจารณาขยายระยะเวลาการใช้งานคลื่นความถี่ ดังนั้น เมื่อระยะเวลาการใช้งานคลื่นความถี่สิ้นสุดลง จึงไม่อาจพิจารณาขยายระยะเวลาในการใช้งานคลื่นความถี่ได้ "ผมจึงไม่อยากให้อ้างผู้บริโภคแล้วกำหนดมาตรการที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ แต่อยากให้เร่งดำเนินการตามหน้าที่ในการจัดสรรคลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคมอันเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง ดังนั้น กทค. ต้องไม่ประวิงเวลาในการประมูลคลื่น 1800 อีกต่อไป แต่ต้องเร่งกระบวนการให้เสร็จสิ้นใกล้เคียงกำหนดสิ้นสุดสัมปทาน ซึ่ง ณ วันนี้เหลือประมาณครึ่งปีพอดี ถ้าเร่งทำก็ทำให้ทันได้ ด้วยวิธีนี้ซิมก็จะดับเพียงไม่นาน แล้วก็มีบริการใหม่บนคลื่นเดิมมาเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคต่อไป" ประวิทย์กล่าว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
TDRI: การบริหารหนี้สาธารณะ: สิ่งที่รัฐบาลและประชาชนควรเข้าใจ Posted: 13 Mar 2013 03:14 AM PDT หนี้สาธารณะคือหนี้ซึ่งเกิ ในการนำเสนอของทีดีอาร์ไอในหั แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องคำนึงถึ · เพิ่มรายได้รัฐ (อย่างเป็นธรรมและลดความเหลื่ · วางแผนการใช้จ่ายอย่างระมัดระวั · บริหารหนี้สาธารณะอย่างโปร่งใส – มีการวางแผนระยะปานกลางถึงยาว (5 ปีเป็นอย่างน้อย)บริ การประมาณการแนวโน้มหนี้สาธารณะ
ทั้งนี้ ทางผู้วิจัยได้ กรณีที่ 1: เศรษฐกิจขยายตัว 4% ต่อเนื่องตลอดระยะเวลา พ.ศ. 2556-2560
กรณีที่ 2: เศรษฐกิจขยายตัว 5% ต่อเนื่องตลอดระยะเวลา พ.ศ. 2556-2560
จากกรณีประมาณการแนวโน้มหนี้ สิ่งที่รัฐบาลควรระวังเป็นพิ การบริหารโอกาสและความเสี่ยง · รัฐบาลควรลงทุนในโครงสร้างพื้ · อย่างไรก็ตาม การจัดการใช้จ่ายในส่วนนี้ · รัฐบาลควรส่งเสริมมาตรการอื่น ๆ เช่น การพัฒนาคน (การศึกษา แรงงาน) การพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาสถาบันหลักของเศรษฐกิจ (ทั้งภาคการเมือง ราชการ เอกชน) เพื่อให้การขยายตัวระดับสูงมี ในด้านการบริหารความเสี่ยง ผู้วิจัยมีข้อสังเกตุเกี่ยวกั ปัจจัยเสี่ยงระยะสั้น: · อัตราดอกเบี้ยแท้จริงอาจปรับตั ปัจจัยเสี่ยงระยะยาว · รัฐบาลยังไม่มีแผนการปรั ผู้วิจัยเห็นว่าการบริ บทสรุป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เผย 'สมองไหล-ค่าตอบแทนน้อย-งานหนัก' ทำแพทย์ฉุกเฉินขาดแคลน Posted: 13 Mar 2013 02:23 AM PDT เปิดงานวิจัยแพทย์ฉุกเฉิ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ร่วมกับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชี ด้าน ดร.นงลักษณ์ พะไกยะ นักวิจัยสำนักงานวิจัยและพั อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่กำลั ดร.นงลักษณ์ กล่าวต่อว่า จากสถิติที่ได้ทำการรวบรวมพบว่ "สำหรับอัตรากำลังคนในส่ ด้าน นพ.สุกิจ ทัศนสุนทรวงศ์ ผู้แทนแพทยสภา กล่าวว่า การดำเนินการจัดการในส่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
การพัฒนาใจกลางพื้นที่ใจกลางกรุงเทพมหานคร Posted: 13 Mar 2013 02:15 AM PDT ในเขตใจกลางเมืองมีพื้นที่ ทุกวันนี้มีข่าวการพัฒนาที่ดิ 1. กรณีมักกะสันคอมเพล็กซ์ 500 ไร่ ๆ ละ 200 ล้านบาท รวม 100,000 ล้านบาท 2. ที่ดินโรงเรียนเตรี 3. โรงงานยาสูบ 600 ไร่ ๆ ละ160 ล้านบาท รวม 960 ล้านบาท 4. ที่ดินท่าเรือคลองเตย 2,500 ไร่ ๆ ละ 100 ล้านบาท รวม 250,000 ล้านบาท 5. พื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ กม.11 400 ไร่ ๆ ละ 60 ล้านบาท รวม 24,000 ล้านบาท 6. สถานีแม่น้ำอีก 260 ไร่ 100 ล้านบาท รวม 26,000 ล้านบาท 7. ที่ดิน กทม. 2 จำนวน 80 ไร่ ๆ ละ 100 ล้านบาท รวม 16,000 ล้านบาท รัฐบาลควรพิจารณาวางแผนการใช้ที 1. รัฐบาลควรนำที่ดินเหล่านี้กลั 2. รายได้ที่จะได้จากการนี้ ควรนำมาจัดสรรเพื่อการพัฒนาเมื 3. ควรสร้างระบบทางด่วนหรือรถไฟฟ้ 4. ควรใช้วิธีการจัดสรรที่ดินให้ 5. ยกเลิกการกีดกันการสร้างตึกสู 6. ควรอนุญาตให้ที่ดินแต่ ในอนาคตยังอาจนำที่ดินที่เป็นที สำหรับแนวทางการการพั 1. จากการศึกษาของศูนย์ฯ พบว่า ราคาที่ดินบริเวณใกล้เคียงกั 2. ในที่นี้ที่ดินติดถนนในรัศมี 500 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า 2 ข้าง และลึกจากถนนใหญ่ระยะทาง 200 เมตร หรือรวมพื้นที่ 250 ไร่ มีผลต่อราคาที่ดินสูงสุด ที่ดินส่วนนี้จะมีขนาดประมาณ 250 ไร่ รอบสถานี (500 x 200 เมตร x 4 ด้าน) 3. ประมาณการราคาที่ดินเป็นเงิ 4. ที่ดินนี้หากเทียบกับเมื่อปี 2541 จะมีค่าเป็น 339% หรือเท่ากับเพิ่มขึ้น 1.438 ล้านล้านบาท 5. หากที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการเก็บภาษีมูลค่ จะเห็นได้ว่า ถ้ามีการบริหารและจัดการที่ดิ ยิ่งกว่านั้นรั นอกจากนี้รัฐบาลยังสามารถใช้ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา ๔๒ ระบุว่า "การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นการเวนคืนในประเทศไทยจึ อย่างไรก็ตามหากมีการเวนคืนที่ การจะพัฒนารถไฟฟ้าหรือการขนส่ องค์การบริหารการพัฒนาที่ดินแห่ แนวทางการดำเนินการได้แก่ การสร้างอุปทานที่ดินเพื่อการพั ช่วยกันคิดเพื่อการพัฒนาที่ดิ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ห่วงเยาวชนเข้าถึงพนันง่าย หลังรัฐเตรียมจำหน่ายผ่านหวยตู้ Posted: 13 Mar 2013 02:12 AM PDT แนะออกกฎชัดเจนกำหนดอายุผู้เล่ โครงการขับเคลื่อนสั โดย นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เลขาธิการมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ ดร.วิเชียร ตันศิริคงคล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิ นอกจากนี้มาตรการที่น่าสนใจที่ ขณะที่ ดร.สุรชัย ชูผกา อาจารย์มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า อยากเสนอให้ชุมชนที่จะมีตู้ ด้าน นายธนวัฒน์ พงศ์วิไล นายกสมาคมผู้ค้าสลากออนไลน์ไทย กล่าวว่า การขายสลาก 2 ตัว 3 ตัวผ่านเครื่องจำหน่ายนั้น ตัวแทนจำหน่ายทุกคนต้องผ่ นางอุษา ทาบโลหะ สำนักงานกองสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า การติดตั้งเครื่องจำหน่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
งานสมัชชาผู้บริโภค กดดันรัฐเร่งองค์การอิสระ Posted: 13 Mar 2013 02:05 AM PDT 13 มีนาคม 2556 เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคจากภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และภาคราชการ จำนวน 400 คน เรียกร้องให้รัฐบาลและรัฐสภา เร่งผลักดันองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคในวันสิทธิผู้บริโภคสากล วันที่ 15 มีนาคม 2556 ที่กำหนดให้ผู้บริโภคต้องได้รับความเป็นธรรมเดี๋ยวนี้ (Consumer Justice Now) เพราะผู้บริโภคถูกหลอกถูกโกงทุกวัน และยังไม่สามารถจัดการปัญหาได้ การประชุมวิชาการเนื่องในวันคุ้มครองผู้บริโภคสากล วันที่ 13-15 มีนาคม 2556 ณ โรงแรมรามาการ์เด็น กรุงเทพ ฯ ได้ร่วมกันทบทวนและแลกเปลี่ยนบทเรียนการทำงานการคุ้มครองผู้บริโภค พร้อมรับฟังปัญหาผู้บริโภคที่ประสบจากทั่วประเทศ เช่น การถูกหลอกให้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าขายตรง(ตะเกียงรักษาโรค) หรือถูกหลอกให้ซื้อตะเกียง มีมูลค่าความเสียหายหลายล้านบาท เก้าอี้แร่จากประเทศเกาหลีราคาแสนกว่าบาท เข็มขัดแม่เหล็ก ครีมเมือกทากสูตรฮิตจากเกาหลี เครื่องผลิตจากน้ำแร่แม่เหล็กราคา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเบต้ากลูแคนจากยีสต์ดำ ยาลดการติดเชื้อที่ให้ทานก่อนการมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV ยาสมุนไพรที่อ้างเพิ่มภูมิคุ้มกัน (CD4) เป็นต้น รศ.ดร. จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า "ประเทศไทยยังมีความอ่อนแอในการคุ้มครองผู้บริโภคมาก เปรียบกับประเทศอื่นๆ ในประชาคมอาเซียนที่มีการเรียกคืนสินค้าอันตรายหรือสินค้าที่ไม่ปลอดภัย แต่ประเทศไทยไม่มีการรายงานงานหรือจัดการเรื่องนี้เลย และรัฐบาลควรเร่งกำหนดนโยบายในการคุ้มครองผู้บริโภคจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยในประชาคมอาเซียน โดยกำหนดให้ "เมื่อประเทศหนึ่ง ห้ามใช้สินค้าใด ต้องห้ามใช้ในทุกประเทศ" (One Ban, All Ban Policy) จากปัญหาของผู้บริโภคในปัจจุบันมีความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐบาลและรัฐสภาต้องผลักดันองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค" นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอผลงานวิชาการในการคุ้มครองผู้บริโภค กรณีสินค้าและบริการที่ไม่ปลอดภัย แลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดการปัญหาสินค้าและบริการที่ไม่ปลอดภัย ในงานผู้บริโภคยังสามารถทดสอบความเป็นนักคุ้มครองผู้บริโภคในตัวคุณ ว่า มีมากแค่ไหน นอกจากนี้ จะร่วมกันพัฒนานโยบายสาธารณะด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น จะมีการบทสนอเรียนการคุ้มครองผู้บริโภค ได้แก่ ด้านอาหาร ยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และบริการสุขภาพ ด้านบริการสาธารณะ ด้านการเงิน/ธนาคาร ด้านสินค้าและบริการทั่วไป และ ด้านสื่อสารและโทรคมนาคม สำหรับในวันพรุ่งนี้ จะมีการนำเสนอประสบการณ์ และการขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบายในอนาคต ร่วมกับหน่วยงานรัฐ พร้อมชมผลงานประกวดสปอตโทรทัศน์ "องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครอง ผู้บริโภครู้จัก อยากได้ โดยด่วน (Consumer Justice Now) ผู้บริโภคจากนักศึกษาทั่วประเทศ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น