ประชาไท | Prachatai3.info |
- เครือข่ายประชาชนฯ ร้องหา ‘ผู้รับผิดชอบ’ กรณีปิดซ่อมท่อก๊าซ ทำ ‘ค่าไฟฟ้าขึ้น’
- ข้อสังเกต: เพื่อการอภิวัฒน์ระบบการศึกษา
- สาระ+ภาพ: 'ข้อตกลงการค้าเสรีภาคพื้นแปซิฟิก' จะกระทบผู้ใช้เน็ต-โดจิน-คอสเพลย์?
- กำเนิดและพัฒนาการของแนวคิด “เชื้อชาติมลายู” ในบริติชมลายา (2)
- แอมเนสตี้ ชี้ อิหร่าน เกาหลีเหนือ และซีเรีย ไม่ร่วมมือควบคุมการค้าอาวุธ
- คปก.ชี้สภาฯ ตีตก ร่าง กม.ประกันสังคม เสี่ยงขัด รธน.
- เจาะวงถกสันติภาพรัฐไทย-BRN ต่างมีข้อต่อรอง ‘ลดพื้นที่รุนแรง-นิรโทษกรรม’
เครือข่ายประชาชนฯ ร้องหา ‘ผู้รับผิดชอบ’ กรณีปิดซ่อมท่อก๊าซ ทำ ‘ค่าไฟฟ้าขึ้น’ Posted: 29 Mar 2013 12:47 PM PDT เครือข่ายประชาชนผู้ติดตามสถานการณ์และนโยบายพลังงาน ยื่นหนังสือถึง 'คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน' ร้องตรวจสอบหาผู้รับผิดชอบการขึ้น 'ค่าไฟ' ผ่าน 'ค่าเอฟที' จากการปิดซ่อมท่อก๊าซพม่า จี้เปิดเผยข้อมูลสัญญาซื้อ-ขายก๊าซต่อสาธารณะ เช้าวันที่ 29 มี.ค.56 เครือข่ายประชาชนผู้ติดตามสถานการณ์และนโยบายพลังงาน นำโดย นายวินัย กาวิชัย จากเครือข่ายคัดค้านนิวเคลียร์ จ.ตราด เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับพลังงาน ตึกจามจุรีสแควร์ เพื่อเรียกร้อง ให้ตรวจสอบหาผู้รับผิดชอบการขึ้นค่าเอฟที (Ft) จากการปิดซ่อมท่อก๊าซ และเปิดเผยข้อมูลการคิดค่าเอฟที สืบเนื่องจากกระแส "วิกฤตไฟฟ้าดับ" โดยการแถลงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถึงการขาดแคลนก๊าซเนื่องจากการปิดซ่อมท่อก๊าซในพม่าในช่วงเวลาที่ประเทศไทยมีความต้องการไฟฟ้าสูงสุด โดยเฉพาะในวันที่ 5 เม.ย.56 ซึ่งอาจส่งผลให้ 'ไฟดับ' หรือ 'ไฟตก' แม้ภายหลังรัฐมนตรีพลังงานจะออกมาระบุว่าสถานการณ์คลี่คลายลงไปแล้ว เนื่องจากได้รับความร่วมมือในการประหยัดพลังงาน อย่างไรก็ตาม เครือข่ายประชาชนฯ ตั้งคำถามว่า การหยุดซ่อมท่อก๊าซ ซึ่งปกติจะมีกำหนดซ่อมทุกปีอยู่แล้ว แต่เหตุใดจึงต้องกำหนดทำในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เป็นเหตุให้ต้องใช้เชื้อเพลิงอื่นที่มีต้นทุนสูงกว่าแทนก๊าซ ทำให้ต้อง 'ขึ้นค่าไฟ' ผ่าน 'ค่าเอฟที' อันเป็นการผลักภาระให้กับผู้บริโภค ทั้งที่ความจริงแล้ว ต้นตอของปัญหาเกิดจากฝ่ายผู้จัดหาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ตรวจสอบว่า ผู้จัดหาก๊าซ ได้ปฎิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาการจัดหาก๊าซหรือไม่ รวมทั้งให้เปิดเผยหลักเกณฑ์ในการคิด 'ค่าเอฟที' ว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง โดยเครือข่ายประชาชนฯ เรียกร้องให้ทาง กกพ.ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 15 วัน นับจากวันที่รับหนังสือ ด้านนายประเทศ สีชมพู ผู้อำนวยการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ ผู้แทนประธาน กกพ.รับหนังสือพร้อมกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องใช้ข้อมูลหลายระดับในการตรวจสอบและชี้แจง โดยยืนยันว่า กกพ.จะตอบคำถามต่อประเด็นดังกล่าว ส่วนกระแสไฟฟ้าดับที่ออกมาพูดกันก่อนหน้านี้ ก็เป็นการสื่อสารของภาครัฐ ส่วนนี้จะไม่ขอพูดถึง นายสันติ โชคชัยชำนาญกิจ โครงการจับตาพลังงาน กล่าวว่า มีข้อสงสัยว่า วิกฤตไฟฟ้าครั้งนี้แท้ที่จริงแล้วเป็นวิกฤตธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าหรือไม่ เนื่องจากเป็นการหยุดจ่ายก๊าซพม่าในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ซ้ำรอยกับปีที่แล้วที่กระทรวงพลังงานอ้างว่าเกิดวิกฤตไฟฟ้าจากการปิดซ่อมท่อก๊าซพม่าในเดือนเมษายนเช่นกัน นอกจากนี้ ข้อมูลของ กฟผ.ก็ขัดแย้งกันเองในกรณีที่ระบุว่าการหยุดจ่ายก๊าซพม่าจะทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าหายไป 4,100 เมกะวัตต์ แต่ข้อมูลของ กฟผ.เองก่อนหน้านี้ มีการระบุว่าการหยุดจ่ายก๊าซพม่าจะทำให้กำลังผลิตหายไปเพียง 1,380 เมกะวัตต์ เนื่องจากโรงไฟฟ้าที่รับก๊าซพม่าส่วนใหญ่สามารถใช้น้ำมันเตาและดีเซลทดแทนได้ นั่นหมายความว่าสถานการณ์ไม่ได้วิกฤตจริงดังที่เป็นข่าว เพราะกำลังผลิตอีกหลายพันเมกะวัตต์ไม่ได้หายไปจริง นายวินัย กาวิชัย จาก จ.ตราด ยังตั้งข้อสังเกตถึงสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติว่า กรณีสัญญาซื้อขายก๊าซแหล่งยาดานา มีการระบุถึงเงื่อนไขในการหยุดซ่อมเพื่อป้องกันความเสียหายว่า ผู้จัดส่งก๊าซยังต้องส่งก๊าซให้ ปตท.ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของก๊าซที่ต้องส่งตามสัญญา แต่ในทางปฏิบัติที่ผ่านมาเป็นการหยุดจ่ายก๊าซโดยสิ้นเชิง ดังนั้น จึงควรมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเปิดเผยข้อมูลสัญญาต่อสาธารณะ "การหยุดจ่ายก๊าซพม่าหรือก๊าซอ่าวไทยเป็นปัญหาในส่วนของผู้จัดหาก๊าซคือ ปตท.ไม่ใช่ความผิดของผู้บริโภค แต่ทุกครั้งที่มีการหยุดจ่ายก๊าซ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ประชาชนต้องเป็นผู้แบกรับภาระจากการขึ้นค่าเอฟทีมาตลอด ดังนั้น กกพ.ควรที่จะตรวจสอบสัญญญาซื้อขายก๊าซทั้งหมดว่ามีการกำหนดความรับผิดชอบของ ปตท.ไว้หรือไม่อย่างไร เป็นสัญญาที่เอาเปรียบผู้บริโภคหรือไม่" นายวินัยกล่าว นายวินัย เน้นย้ำด้วยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลกำลังเปิดประมูลโรงไฟฟ้าเอกชนที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอีก 6 โรง ซึ่งจะต้องทำสัญญาซื้อขายก๊าซผูกพันไปตลอด 25 ปี หากสัญญาเหล่านี้ไม่เป็นธรรม ประชาชนผู้บริโภคก็ต้องถูกเอาเปรียบเพิ่มขึ้นไปอีก อนึ่ง เครือข่ายประชาชนผู้ติดตามสถานการณ์และนโยบายพลังงาน เป็นการรวมตัวของประชาชนผู้ติดตามนโยบายพลังงานและผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโครงการด้านพลังงานในภาคต่างๆ ทั่วประเทศไทย อาทิ เครือข่ายเพื่อนตะวันออก เครือข่ายจากจังหวัดราชบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา สระบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ตรัง และกรุงเทพฯ เป็นต้น ทั้งนี้ หนังสือกับ กกพ.มีรายละเอียดดังนี้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ข้อสังเกต: เพื่อการอภิวัฒน์ระบบการศึกษา Posted: 29 Mar 2013 09:28 AM PDT
ในช่วงขณะนี้กระแสเรื่องการเปลี่ยนแปลงศึกษามีความเข้มข้น และเป็นที่จับตาในสังคมอย่างมากทีเดียว การตื่นตัวของสังคมครั้งใหญ่ที่หันมาสนใจเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทางกระทรวงศึกษาธิการของไทยมีการแก้ไขกฎระเบียบเรื่องทรงผม1 การลดคาบเรียน2 และมีการออกแบบทำหลักสูตรใหม่ในเวลา 6 เดือน3 เป็นต้น TDRI ออกมาเสนอแผนปฏิรูประบบการศึกษา4 นอกจากนี้ก็มีเวทีคุยเรื่องการศึกษาเกิดขึ้นอย่างมากมาย ในส่วนตัวของผู้เขียนแล้วก็มีความสนใจใคร่ที่จะเสนอเป็นข้อสังเกตเพื่อเป็นแนวทางในการอภิวัฒน์การศึกษา ในฐานะที่เป็นผู้เขียนเป็นนักเรียนคนหนึ่งซึ่งกำลังดำเนินต่อไปในระบบการศึกษาไทย ซึ่งมีความดีใจที่เกิดการตื่นตัวเรื่องการศึกษาอย่างมากมาย แต่ดูจะจำกัดไปในทาง"ห้องเรียน"หรือ"ภายในโรงเรียน"เท่านั้น โดยลืมไปในเรื่องสภาพสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ชีวิตจริงหรือเรียกสั้นๆว่าสภาพแวดล้อม ซึ่งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่แยกขาดจากกันไม่ได้ การเรียนในห้องเรียนส่งผลต่อการดำเนินชีวิต และการดำรงชีวิตเป็นผลจากการศึกษา อีกนัยหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองการปกครองและระบบเศรษฐกิจกับระบบการศึกษาภายในสังคมเดียวกันมิได้เป็นไปในลักษณะเป็นเส้นตรงทางเดียว ( Corresponding Principles) แต่เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะวิภาษวิธี (Dialectic Relationship)5 การเปลี่ยนแปลงจึงต้องดำเนินไปพร้อมกันและไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง เพราะ ทั้งสองส่งผลต่อกัน เมื่อเราพิจารณาดูแล้วสภาพแวดล้อมที่ปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนนั้นก็สำคัญไม่แพ้กันเลย เราจำเป็นต้องตั้งคำถามเหล่านี้ 1) ครอบครัว – มีเวลาและเอาใจใส่ลูกของตนแค่ไหน มีรายได้-รายจ่ายที่เพียงพอหรือไม่ พ่อแม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันหรือไม่ 2) ผู้สอน – มีรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีพหรือไม่ มีชั่วโมงการสอนที่มากเกินไปหรือไม่ ตำแหน่งวิทยฐานะหนักใจหรือไม่ 3) ตัวผู้เรียนเอง – มีเวลาที่จะอยู่กับตัวเองหรือไม่ ปฏิสัมพันธ์ที่เห็นได้ชัดนี้มีผลต่อกระบวนการเรียนรู้และสภาพจิตใจของนักเรียน นอกจากนี้ยังมีปัญหานักเรียนนอกระบบ ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จากการเก็บสถิติ การขึ้นทะเบียนเด็กใหม่เข้าสู่ระบบด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่6 พบว่า เด็กนักเรียนที่เข้าเรียน ป.1 ตั้งแต่ปี 2544 จำนวน 1,073,212 คน อัตราการคงอยู่ของเด็ก ป.1 เมื่อเลื่อนชั้นถึง ป.6 ในปี 2549เหลือเพียง 974,265 คน พบว่า ช่วงเวลานี้เด็กมีอัตราคงอยู่ถึง 90.75% ออกกลางคัน 98,947คน และเมื่อเด็กเข้าสู่ระดับชั้น ม.ต้น อัตราคงอยู่ 873,970 คน หรือ 93.13% ในปี 2552 มีนักเรียนออกกลางคัน 100,295 คน และอัตราการคงอยู่ชั้น ม.ปลาย เหลือเพียง 643,821 คน หรือ 93.04% มีนักเรียนออกกลางคันในช่วงนี้ถึง 230,149 คน รวมแล้วอัตราคงของของนักเรียนทั้ง 12 ปี พบว่า มีนักเรียนที่หลุดออกนอกระบบ 429,391 คน หรือ 59.99% ซึ่งในจำนวนตัวเลขนี้ยังไม่รวมโรงเรียนที่อยู่ในการดูแลของสังกัดอื่น เหตุการณ์ดังกล่าวโยงกับสภาพแวดล้อมเชิงประจักษ์และสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ จากค่าสัมประสิทธิ์จีนี(Gini coefficient) ซึ่งมีค่าระหว่าง 0 ถึง 1 ถ้าค่าดัชนีใกล้ 0 คือความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ต่ำ ตรงกันข้าม ถ้าค่าสัมประสิทธิ์ไปทาง 1 คือความเหลื่อมล้ำในทางการกระจายรายได้สูง จากข้อมูลภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ ทำทุก 2ปี พบว่าระหว่าง พ.ศ.2529-2549 ความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ในสังคมไทยอยู่ในระดับสูงมาตลอด คืออยู่ในระดับ 0.48 ถึง 0.53 ปี 2550 ค่าดัชนีความเหลื่อมล้ำอยู่ที่ 0.57 ถ้าเราพิจารณาแล้ว การปฏิรูปการศึกษาจะไม่มีทางสำเร็จเลยถ้าปัญหาในทางสภาพแวดล้อมเชิงประจักษ์และเชิงโครงสร้างไม่ได้รับการแก้ไข หลักสูตรที่ทันสมัยแต่คุณภาพชีวิตของประชากรไม่ได้ดีขึ้นไปด้วยเลย ในส่วนผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาเช่นกัน ริชาร์ด วิลกิลสัน(Richard Wilkinson) และเคท พิคเกตต์ (Kate Pickett) เขียนไว้ในหนังสือชื่อความ (ไม่)เท่าเทียม(The Spirit Level)8 ของเขา เรามักจะคิดกันไปเองว่า ความปรารถนาที่จะยกระดับมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ในสาขาอย่างเช่นการศึกษานั้นเป็นคนละเรื่องกับความปรารถนาที่จะลดระดับความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาภายในสังคม แต่ความจริงอาจเกือบตรงกันข้าม ดูเหมือนว่าการยกมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาให้สูงขึ้นจะต้องอาศัยการลดทอนความลาดชันทางสังคมของผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในแต่ละประเทศ โดยเราพิจารณาคะแนน PISA ของประเทศต่างๆ9 เราจะเห็นได้ชัดเจน ในหนังสืออ้างถึงงานวิจัยของนักระบาดวิทยา อาร์จูแมน สิดดีฆี(Arjumand Siddiqi)กับเพื่อนร่วมงานพิจารณาความลาดชันทางสังคมในทักษะการรู้หนังสือของเด็กวัย 15ปี โดยใช้ข้อมูลจาก PISA ปี2000 พวกเขาพบว่าเด็กในประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการมายาวนานมีทักษะดีกว่า และรายงานว่าประเทศที่ได้คะแนนเฉลี่ยสูงกว่าคือประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมของทักษะการอ่านน้อยกว่า10 ดังนั้น ประเทศที่มีผลสัมฤทธิ์สูงจะมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจหรือค่าสัมประสิทธิ์จีนิต่ำ เรียกได้ว่า ระบบเศรษฐกิจส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ทักษะการเรียนรู้แทบทุกด้านเลย ระบบวัฒนธรรมก็เป็นส่วนสำคัญ ในวัฒนธรรมของเรานั้นมีความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบผู้ใหญ่ผู้น้อยอยู่มาก ย่อมพัฒนาไปสู่ความงอกงามยาก เพราะมีการห้ามตั้งคำถามและตรวจสอบ โดยอิงไปกับไสยเวทและราชาชาตินิยมด้วยแล้วย่อมน่ากลัวอย่างยิ่งถ้าไม่ทะลุทะลวงและทำลายมายาภาพอันเป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาการศึกษา ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เพื่อเสนอว่าการแก้ไขหรือปฏิรูปการศึกษาอย่างเดียวไม่พอที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาอย่างลึกซึ้งครบถ้วน ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ โดยวัฒนธรรมนั้นก็เป็นไปทางการวิพากษ์วิจารณ์ได้ ตรวจสอบได้ ในทางเศรษฐกิจก็จะต้องลดความเหลื่อมล้ำพัฒนาไปในแนวทางรัฐสวัสดิการที่เป็นหลักประกันคุณภาพชีวิตให้แก่ทุกคน หรือที่ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เสนอมาแต่เมื่อ 3 ทศวรรษที่แล้ว "จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน"19 นั่นเอง การเปลี่ยนแปลงนี้จะต้องไม่มาจากผู้เชี่ยวชาญ พวกข้าราชการชั้นสูง หรือรัฐมนตรี แบบ "บนลงล่าง" อย่างเดียวซึ่งการเดินตามวิธีนี้ไม่ยั่งยืนอย่างแน่นอน! แต่ต้องจากกลุ่มคนทุกระดับในสังคม ซึ่งนับว่าน่าสนใจที่มีกลุ่มสนใจเรื่องการศึกษามากขึ้น(ในส่วนเฉพาะของนักเรียน) เช่น สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย20 , กลุ่มแนวคิดเสรีปฏิวัติการศึกษา เป็นต้น และในหมู่โรงเรียนทางเลือกเองก็ดี หรือกลุ่มมหาลัยเถื่อน ล่าสุดก็จะมีการรวมกลุ่มเป็นสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาวิชาชีพครูขึ้นมาอีก ในส่วนของแรงงาน ครู ผู้ปกครอง และองค์กรเอกชนต่างๆก็ดี ต่างสนใจต้องการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้ เราจำเป็นต้องมารวมพลังกันและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องรัฐสวัสดิการ ผลักดันให้มีรัฐสวัสดิการ ซึ่งคือการเรียนรู้ตลอดชีวิตของพลเมือง และการเรียนในสถาบันการศึกษา ไปพร้อมๆกัน อาจไม่เรียกว่าปฏิรูปแต่เรียกว่าอภิวัฒน์เลยก็ว่าได้ บรรณานุกรม (ในส่วนอินเทอร์เน็ตเข้าถึง 28 – 3 – 56) 1) เฮ!'ศธ.'ปรับระเบียบทรงผมนร.ใหม่ (http://www.komchadluek.net/ detail/20130109/149050/เฮ!ศธ.ปรับระเบียบทรงผมนร.ใหม่.html#.UVLA_Rdno0W) 2) เล็งหารือ ร.ร.ปรับจำนวนคาบเรียนต่อวัน (http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000100912) 3) "ภาวิช"ขอแค่6เดือนทำหลักสูตรใหม่ (http://www.thaipost.net/news/110313/70685) 4) ทีดีอาร์ไอเสนอแผนปฏิรูปการศึกษาครบวงจร (http://tdri.or.th/priority-research/educationreform) 5) อุทัย ดุลยเกษม , การแสดงปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่13 การศึกษากับการสร้างสังคมสันติประชาธรรม น.45, 2556 6) อึ้ง! ยอดเด็กนอกระบบศึกษามากถึง 4 แสนคน เหตุยากจน (http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000012511) 7) ชาย โพธิสิตา และคณะ , ฝ่าวิกฤติ "ความเป็นธรรม"นำสังคมสู่สุขภาวะ น.30-31, 2553 8) มีความน่าสนใจมากในหนังสือเล่มนี้ ดู ริชาร์ด วิลกิลสัน , สฤณี อาชวานันทกุล แปล, ความ (ไม่) เท่าเทียม, open world 2555 9) ดู บทที่ 8 น.146-163 ริชาร์ด วิลกิลสัน , สฤณี อาชวานันทกุล แปล, ความ (ไม่) เท่าเทียม, open worlds 2555 10) อ้างแล้ว , น.154 11) ดูรายละเอียด http://www.globalissues.org/article/26/poverty-facts-and-stats 12) อดัม เคิร์น , การศึกษาเพื่อความเป็นไท, มูลนิธิเด็ก 13) ดู เจม เบเลนกา , ทักษะแห่งอนาคตใหม่: การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21, open worlds 2555 14) ดู http://en.wikipedia.org/wiki/Waldorf_education 15) ดู http://www.joseitoda.org/education/soka_edu 16) ดู http://en.wikipedia.org/wiki/Human_rights_in_Singapore#Freedom_of_expression_and_association 17) อุทัย ดุลยเกษม , อ้างแล้ว, น.72 18) ดูบทความของผู้เขียน จุลสารปรีดี ปีที่2 (2555) ฉบับสันติภาพและรัฐสวัสดิการ น.33-46 19) ดู http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-1/social_welfare/05.html 20) แถลงการณ์ก่อตั้งสมาพันธ์นักเรียนฯ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1352873734&grpid=03&catid=03 กลุ่มที่เคลื่อนไหวเรื่องนี้อย่างน่าสนใจ http://www.thaisocialhealth.net/ เครือข่ายถมช่องว่างทางสังคม
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
สาระ+ภาพ: 'ข้อตกลงการค้าเสรีภาคพื้นแปซิฟิก' จะกระทบผู้ใช้เน็ต-โดจิน-คอสเพลย์? Posted: 29 Mar 2013 03:32 AM PDT
ปัจจุบันมีสมาชิก คือ ชิลี นิวซีแลนด์ บรูไน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย แคนาดา เปรู สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก มาเลเซีย เวียดนาม และล่าสุด ญี่ปุ่นประกาศเข้าร่วม รัฐบาลไทยเองก็มีความสนใจจะเข้าร่วมความตกลงดังกล่าว หลังจากการเจรจาแบบทวีภาคีกับสหรัฐอเมริกาชะงักไป เนื้อหาของข้อตกลงฉบับนี้ครอบคลุมการค้าการลงทุนหลายสาขา รวมทั้งบทสำคัญว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร ประเทศที่เข้าร่วม TPP จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายต่างๆ เพื่อให้รับกับข้อตกลงนี้ด้วย ปัจจุบันยังไม่ปรากฏกรอบข้อตกลง TPP ที่ชัดเจนและอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองกัน แต่ก็ปรากฏกรอบการเจรจาของแต่ละประเทศที่หลุดรอดมาปรากฏในเว็บไซต์ต่างๆ จำนวนไม่น้อย ทำให้คนที่สนใจสามารถวิเคราะห์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
กำเนิดและพัฒนาการของแนวคิด “เชื้อชาติมลายู” ในบริติชมลายา (2) Posted: 29 Mar 2013 02:19 AM PDT
บังซามลายู จากแนวคิดของมุนชี อับดุลลอฮ์ ลักษณะที่เป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์ได้ส่งผลต่อแนวคิดของมุนชี อับดุลลอฮ์ที่ได้พยายามนำเสนอ บังซา มลายู หรือชาติของชาวมลายู โดยมุนชี อับดุลลอฮ์ โดยสาระสำคัญของการนำเสนอประเด็นเรื่องของบังซามลายู ของมุนชี อับดุลลอฮ์นั่นก็คือ การรวมตัวกันของคนในการสร้างชาติ เรื่องของชาติพันธุ์มีความสำคัญที่สุด กว่าเรื่องอื่นๆ มุนชี อับดุลลอฮ์ได้นำเสนอแนวคิดบังซามลายูให้กับชาวมลายูโดยผ่านงานเขียนของเขา แต่ด้วยแนวคิดของเขาได้ขัดต่อความเชื่อบางประการของคนมลายูส่วนใหญ่ แนวคิดของเขาจึงไม่ได้รับความนิยมจากชาวมลายูทั่วไป และรวมไปถึงรูปแบบของสังคมมลายูยังคงอยู่ในระบอบเกอราจาอัน แนวคิดที่มาต่อต้านความเป็นอยู่ของชาวมลายูจึงถูกต่อต้านกลับไป เป็นที่น่าสังเกตระหว่างแนวคิดบังซา มลายู กับการนิยามความเป็นมลายูในยุคจารีตสมัยมะละกาการเปรียบเทียบกันระหว่างสองแนวคิดนั่นก็คือ "ความเป็นมลายู" ที่ถูกนิยามขึ้นในมะละกามีความหมายของอัตลักษณ์มลายูในลักษณะที่แคบคือ การให้ความหมายมลายูเฉพาะในพื้นที่มะละกาเท่านั้น แต่ "ความเป็นมลายู" ตามความหมายของมุนชี อับดุลลอฮ์ได้มีการเหมารวมผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณคาบสมุทรมลายู เกาะสุมาตรา และบริเวณใกล้เคียงรวมไปถึงผู้ที่ใช้ภาษามลายู และวัฒนธรรมมลายู การให้ความหมายใน "ความเป็นมลายู" ของมุนชี อับดุลลอฮ์ในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นผลมาจากแนวคิดเชื้อชาตินิยมของเขาเอง อันเนื่องมาจากในช่วงเวลาดังกล่าวผู้อพยพทั้งชาวจีน และชาวอินเดียมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ด้วยสำนึกในความเป็นมลายูเกรงว่าผู้อพยพจะเข้ามาครอบงำทางด้านการเมืองและมีอภิสิทธิ์เหนือกลุ่มคนของตนเอง จึงได้มีการรวมคนในพื้นที่บริเวณที่อยู่ใกล้เคียง
ฮิกายัต อับดุลลอฮ์ และกระบอกเสียงเผยแพร่แนวคิด มุนชี อับดุลลอฮ์ได้วิจารณ์ระบบเกอราจาอันในงานเขียนของเขาที่มีความโดดเด่นทั้งสองชิ้นนั่นก็คือ กีซะห์ เปอลายาลัน อับดุลลอฮ์ (Kisah Pelayalan Abdullah) และฮิกายัต อับดุลลอฮ์ (Hikayat Abdullah) ผลงานทั้งสองนี้ได้กล่าวโจมตีระบบเกอราจาอันว่า เป็นเรื่องที่ล้าสมัยและเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้สังคมมลายูไม่มีการพัฒนาและยังคงล้าหลัง จนทำให้สังคมอ่อนแอและทำให้ต้องกลายเป็นอาณานิคมของชาวตะวันตกในที่สุด งานเขียนของมุนชี อับดุลลอฮ์ที่สำคัญชิ้นหนึ่งที่ได้เกริ่นนำไว้แล้วช่วงก่อนหน้าคือ ฮิกายัต อับดุลลอฮ์ เป็นงานเขียนที่มีความท้าทายและผิดแปลกไปจากงานเขียนที่เป็นเรื่องราวในยุคจารีตทั้งเซอจาเราะห์ มลายูและ ตุห์ฟัต อัลนาฟีร์ ที่มีการยกย่องสถานะของสุลต่าน แต่ถ้ามองในเนื้อหาที่มีการระบุถึงการสำนึกใน "ความเป็นมลายู" ตามทัศนะของนักวิชาการมาเลเซียศึกษาทั้งในอันดาย่าและแมตทีสัน ทั้งสองท่านได้เปรียบถึงงานเขียนสองชิ้นระหว่างฮิกายัต อับดุลลอฮ์และตุห์ฟัต อัลนาฟีร์ แนวคิดใน "ความเป็นมลายู" งานเขียนที่ระบุถึงอัตลักษณ์ของมลายูในลักษณะที่แท้จริงของชาวมลายูตามทัศนะของท่านทั้งสองคือ ตุห์ฟัต อัลนาฟีร์ อันเนื่องมาจากความคิดที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนชิ้นนี้ที่มีความชัดเจนว่าเขียนขึ้นโดยราชาอาลี ฮะจี สาระสำคัญของตุห์ฟัต อัลนาฟีร์ เป็นเรื่องราวประเพณีปฏิบัติดั้งเดิมที่จะทำให้อาณาจักรมีความยิ่งใหญ่ แต่ในงานเขียนของมุนชีเป็นงานเขียนที่ต่อต้านประเพณีแบบดั้งเดิมหรือ ประเพณีในราชสำนัก นอกเหนือจากนั้นงานเขียนของมุนชี อับดุลลอฮ์ยังถูกมองว่าเป็นงานเขียนที่เกิดจากความคิดที่มีความนิยมตะวันตกมากเกินไป รวมไปถึงในความที่เป็นลูกผสมอาหรับ-อินเดีย-มลายูงานเขียนของเขาจึงถูกมองว่าไม่ใช่เป็นงานเขียนที่เป็นตัวแทนของชาวมลายูที่แท้จริง "ความเป็นมลายู" ตามแนวคิดของมุนชี อับดุลลลอฮฺก็ไม่ต่างจากการนิยามในการเป็นมลายูที่ต้องปฏิเสธในรูปแบบจารีตของตนเอง แต่อย่างไรก็ตามในวิถีชีวิตที่ต้องคลุกคลีกับชาวต่างชาติอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับเป็นคนที่มีหลากหลายเชื้อชาติแต่มีความสำนึกในเรื่องเชื้อชาติมลายูอย่างจริงจังแม้ว่าจะยกย่องเชิดชูชาวตะวันตก แต่เขาไม่ได้แสดงถึงการเหยียดหยามในเชื้อชาติมลายู และไม่ได้ชี้นำให้ชาวมลายูต้องลอกเลียนวิถีชีวิตตามแบบอย่างของชาวตะวันตก แม้ว่าแนวคิดของมุนชี อับดุลลอฮ์ไม่ได้เป็นที่สนใจต่อชาวมลายูในช่วงเวลากลางศตวรรษที่ 20 เท่าใดนักแต่ภายหลังจากนั้นอิทธิพลทางแนวคิดของมุนชี อับดุลลอฮ์ก็ได้รับการถ่ายทอดสู่ชาวพื้นเมืองโดยเฉพาะในกลุ่มของยาวี เปอรานากันในกรณีของเจ๊ะมูอัมมัด อูนูส บินอับดุลลอฮ์ (ค.ศ. 1876-1933) ท่านผู้นี้ได้รับแนวคิดของมุนชี อับดุลลอฮ์ผ่านทางสถาบันการศึกษาแรฟเฟิล (RafflesInstitution) ท่านผู้นี้ได้มีส่วนร่วมในหนังสือพิมพ์อูตูสัน มลายู (Utusan Melayu) โดยสาระสำคัญของเนื้อหาภายในหนังสือพิมพ์ชิ้นนี้นั่นก็คือ การวิพากษ์ในการรุกล้ำในวิถีชีวิตของชาวมลายู รวมไปถึงการตอกย้ำในความเป็นมลายูเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้นของชาวมลายูภายใต้สังคมที่เริ่มเปลี่ยนไปจากการอพยพของชาวต่าชาติ แนวความคิดหลักของ อูนูสต่อเขื้อชาติมลายูคือ การเรียกร้องเพื่อสิทธิของคนมลายูในผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองจากคนเชื้อชาติอื่นๆ โดยเฉพาะจีนและอินเดีย รวมไปถึงประเด็นการสร้างแนวความคิดเรื่องบังสา มลายูต่อจากมุนชี อับดุลลอฮ์ และที่สำคัญการให้ความสำคัญต่อ "ความเป็นมลายู" ของผู้ที่มีบรรพบุรุษอพยพมาจากบริเวณอื่นๆ ที่มีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันแต่แนวคิดของอูนูสมีความแตกต่างจากแนวคิดของมุนชี อับดุลลอฮ์ตรงที่ว่า อูนูสไม่ได้มีแนวคิดที่โจมตีระบอบเกอราจาอันเช่นเดียวกันกับมุนชี อับดุลลอฮ์
สำหรับอีกท่านคือ อิบรอฮีม ยะห์กู๊บ(Ibrahim Jaacob) แกนนำของขบวนการสหภาพมลายูหนุ่มหรือ Kesatuan Melayu Muda ( Young Malays Union in Malay ) ท่านผู้นี้เคยโดนคุมขังในช่วงที่อังกฤษมีอิทธิพลเหนือมลายา KMM ขบวนการนี้ได้ก่อตั้งข้นก่อนหน้าการเข้ามาของญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1938 แต่ก็โดนคุมตัวโดยรัฐบาลเจ้าอาณานิคม แต่หลังจากที่ญี่ปุ่นได้เข้ามาก็ปล่อยตัว และให้เข้ามาทำงานร่วมกันกับญี่ปุ่น เป็นผู้ที่มีแนวคิดชาตินิยมแบบมลายู โดยเขาต้องการรวมดินแดนที่มีชาวมลายูอยู่นั่นก็คือ มาลายา และอินโดนีเซีย รวมเข้าไว้ด้วยกันหรือแนวคิดที่ว่า อินโดนี เซีย รายา (มลายู รายา)
การดำเนินงานของอิบรอฮีม ยะห์กู๊บ และขบวนการของเขาได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่นในช่วงระยะเวลาแรก ๆ ของการปกครองภายใต้ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเข้ามาช่วยเหลือการดำเนินงานต่างๆ อย่างเช่น Warta Malaya เป็นวารสารที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อกระจายแนวคิดชาตินิยมมลายูตามรูปแบบของ อิบรอฮีม ยะห์กูบ และ Kesatuan Melayu Muda เป็นขบวนการที่มีความใกล้ชิดกลับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นได้ใช้ขบวนการนี้เป็นเครื่องมือในการครอบครองมลายาแค่ระยะสั้นเท่านั้น แต่ในการเผยแพร่แนวคิดของอิบรอฮีม ยะห์กู๊บไม่เป็นที่ได้รับการยอมรับจากทางฝั่งบริติช มลายาและดัตช์อีสต์อินดีส บทสรุป จากการนิยามแนวคิด "ความเป็นมลายู" ดูเหมือนว่าลักษณะของเชื้อชาตินี้จะมีความลื่นไหลบางครั้งเป็นอัตลักษณ์ที่มีความหมายในลักษณะที่แคบ แต่บางครั้งมีลักษณะที่กว้าง ตามแนวคิดของนักวิชาการแต่ละท่าน หรือบางครั้งใน "ความเป็นมลายู" ต้องหลีกเลี่ยงถึงประเพณีจารีตดั้งเดิมของตนเอง การให้คำนิยามต่ออัตลักษณ์นี้ได้กลายเป็นสิ่งที่มีความหลากหลายมาก และมีความสับสนพอสมควร อีกทั้งยังกลายเป็นปัญหาหนึ่งในการแบ่งผู้คนชาวพื้นเมืองอื่นๆ ในมาเลเซียช่วงเวลาที่เพิ่งได้รับเอกราช
บรรณานุกรม กรุณา กาญจนประภากูล. วิวัฒนาการของความคิดเกี่ยวกับคำว่า "เมอลายู" ในประวัติศาสตร์มลายู. สารนิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาควิชาประวัติศาสตร์, 2537. ชุลีพร วุรุณหะ. ฮิกายัต อับดุลเลาะห์. ใน บุหงารายา ประวัติศาสตร์จากการบอกเล่าของชาวมลายู. กรุงเทพฯ: ศักดิโสภาการพิมพ์, 2540. เทิร์นบุลล์, ซี. แมรี่. ประวัติศาสตร์มาเลเซีย สิงคโปร์และบรูไน. ทองสุก เกตุโรจน์, ผู้แปล.กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2540. ไพลดา ชัยศร, ผลกระทบของระบบการปกครองของอังกฤษต่อความคิดทางการเมืองของชาวมาเลย์ในรัฐมลายูที่เป็นสหพันธ์ ค.ศ.1896-1941 (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544 อันดายา, บาร์บารา วัตสัน. ลีโอนาร์ด วาย. อันดายา. ประวัติศาสตร์ มาเลเซีย. ผู้แปล พรรณี ฉัตรพลรักษ์ ; บรรณาธิการ มนัส เกียรติธารัย. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, 2549. Cornelius-Takahama, Vernon. "Munshi Abdullah", website: National liberal Singapore. url: http://infopedia.nl.sg/articles/SIP_503_2004-12-27.html. Hamzah Hamdani. Hikayat Abdullah. Selangor: PTS Fotuna,2007 Milner, Anthony. Invention of politics in colonial Malaya: contesting nationalism and the expansion of the public sphere. Cambridge ;New York: Cambridge University Press, 1995. .................................................................................................................................................................... อธิบายภาพ 1. หนังสือ Hikayat Abdullah กระบอกเสียงเผยแพร่แนวคิดของมุนชี อับดุลลอฮ์ ภาพจาก http://www.goodreads.com/book/show/8608024-hikayat-abdullah 2. อิบรอฮีม ยะห์กู๊บ ภาพจาก http://unofficialversion.wordpress.com/2012/01/06/could-upsi-be-the-catalyst-for-change/ 3. แผนที่อธิบายแนวคิดของอิบรอฮีม ยะห์กู๊บ ในจินตนาการอินโดนีเซีย รายา ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Greater_Indonesia 4. Kesatuan Melayu Muda ( Young Malays Union in Malay) ภาพจาก http://malayatimes.wordpress.com/tag/history/
ที่มา: PATANI FORUM
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
แอมเนสตี้ ชี้ อิหร่าน เกาหลีเหนือ และซีเรีย ไม่ร่วมมือควบคุมการค้าอาวุธ Posted: 28 Mar 2013 10:54 PM PDT แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยจากที่ประชุมองค์การสหประชาชาติว่า อิหร่าน เกาหลีเหนือ และซีเรียมีเจตนาร้ายในการสกัดกั้นสนธิสัญญาควบคุมการค้าอาวุธที่ช่วยชีวิตคนได้ เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 56 ที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยจากที่ประชุมองค์การสหประชาชาติ ที่นิวยอร์ก ว่า การที่อิหร่าน เกาหลีเหนือ และซีเรียได้พยายามขัดขวางการรับรองสนธิสัญญาควบคุมการค้าอาวุธ (Arms Trade Treaty - ATT) ถือเป็นเจตนาที่เลวร้ายในการยุติการส่งมอบอาวุธสงครามแบบทั่วไประหว่างประเทศ กรณีที่ประเทศผู้ส่งออกทราบว่าจะมีการนำอาวุธเหล่านั้นไปใช้เพื่อทำหรือสนับสนุนการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ การก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ หรืออาชญากรรมสงคราม ประเทศทั้งสามต่างตกเป็นเป้าหมายของมาตรการแทรกแซง ไม่ว่าจะเป็นการห้ามซื้อขายอาวุธ และต่างมีสถิติด้านสิทธิมนุษยชนที่เลวร้าย เป็นประเทศที่เคยใช้อาวุธยิงประชาชนของตนเอง เคยก่อความทารุณโหดร้ายซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามตามร่างสนธิสัญญาฉบับนี้ ไบรอัน วูด (Brian Wood) ผู้จัดการแผนกควบคุมอาวุธและสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเปิดเผยว่าในระหว่างที่ประธานฝ่ายการทูตของการประชุมจะนำร่างสนธิสัญญาเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสมัชชาใหญ่ เพื่อให้มีการรับรองในสมัยประชุมนี้ อิหร่าน เกาหลีเหนือ และซีเรียตัดสินใจของที่จะขัดขวางไม่ให้มีการลงมติรับรองอย่างเป็นเอกฉันท์ต่อร่างฉบับนี้ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไร้คุณธรรม "รัฐต่าง ๆ ต้องพยายามหาทางให้มีการรับรองสนธิสัญญาฉบับนี้โดยเร็วสุด มติอันเป็นเหตุให้มีการประชุมด้านการทูตครั้งนี้ระบุว่า ถ้ารัฐภาคีต่าง ๆ ไม่สามารถบรรลุฉันทามติได้ ทางที่ประชุมสมัชชาใหญ่จะเป็นผู้ตัดสินใจ และเคนยาซึ่งกล่าวในนามรัฐภาคีหลัก 11 แห่งได้แสดงท่าทีสนับสนุนต่อการกระทำเช่นนี้" ร่างสนธิสัญญากำหนดให้รัฐบาลทุกประเทศประเมินความเสี่ยงก่อนที่จะส่งมอบอาวุธ ยุทธภัณฑ์หรืออุปกรณ์ใด ๆ ให้กับประเทศอื่น โดยพิจารณาว่ามีโอกาสที่จะถูกนำไปใช้เพื่อก่อการหรือสนับสนุนการละเมิดที่ร้ายแรงต่อกฎหมายมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหรือไม่ กรณีที่คาดการณ์ว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างมากและไม่อาจบรรเทาได้ รัฐเหล่านั้นจะต้องยุติการส่งมอบอาวุธ วิดนีย์ บราวน์ (Widney Brown) ผู้อำนวยการอาวุโสด้านกฎหมายแหละนโยบายระหว่างประเทศ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า "การที่อิหร่าน เกาหลีเหนือ และซีเรียลงมติขัดขวางการรับรองเอกสารประวัติศาสตร์ฉบับนี้ สะท้อนถึงปัญหาท้าทายที่ภาคประชาสังคมและรัฐบาลที่สนับสนุนร่างสนธิสัญญาต้องเผชิญในระหว่างการเจรจา ในระหว่างการรณรงค์สนับสนุนสนธิสัญญาฉบับนี้ เราต่างเรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ช่วยกันรักษาชีวิต และลดความทุกข์ยากของมนุษย์ และโชคดีที่รัฐบาลส่วนใหญ่รับฟังข้อเรียกร้องนี้" คาดว่าที่ประชุมสมัชชาใหญ่จะรับรองร่างสนธิสัญญาในสมัยประชุมปัจจุบัน แต่การที่อิหร่าน เกาหลีเหนือ และซีเรียสามารถขัดขวางไม่ให้เกิดเสียงที่เป็นฉันทามติได้ แสดงให้เห็นความเปราะบางของความตกลงเหล่านี้ แม้จะมีแรงสนับสนุนมากมายต่อสนธิสัญญาฉบับนี้ แต่รัฐบางแห่งยังคงอ้างผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจมหาศาล การใช้อำนาจทางการเมืองของตน หรือแม้แต่การอ้างเรื่องอธิปไตยเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำที่น่ารังเกียจอย่างชัดเจน อย่างเช่น การพุ่งเป้าสังหารประชาชนของตนเอง ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
คปก.ชี้สภาฯ ตีตก ร่าง กม.ประกันสังคม เสี่ยงขัด รธน. Posted: 28 Mar 2013 10:44 PM PDT
29 มี.ค. 56 – นายคณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ลงนามในจดหมายเปิดผนึกคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.)เรื่อง สภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่รับหลักการร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.... สภาผู้แทนราษฎร คปก.มีความเห็นและข้อเสนอแนะต่อการมีมติไม่รับหลักการร่างกฎหมายประกันสังคมที่เสนอโดยประชาชนว่า สิทธิการเข้าชื่อเสนอกฎหมายเป็นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ2540 ที่มีความมุ่งหมายให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรง ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2550 ได้ให้ความสำคัญเช่นกัน จึงได้กำหนดให้เป็นหมวด 7 ว่าด้วยการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชน โดยได้กำหนดให้ผู้แทนประชาชนที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติเข้าชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยประชาชนในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และเข้าร่วมเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมาธิการเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วยและได้กำหนดเงื่อนไขเพียงว่าร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยประชาชนต้องเป็นร่างพระราชบัญญัติตามที่กำหนดในหมวด 3 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 ว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐของรัฐธรรมนูญเท่านั้น ดังนั้นสิทธิการเข้าชื่อเสนอกฎหมายย่อมมีผลผูกพันการใช้อำนาจในการตรากฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรการไม่รับหลักการร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชน ไม่เพียงแต่เป็นการปฏิเสธสิทธิการมีส่วนร่วมทางการเมืองทางการเมืองโดยตรงของประชาชนเท่านั้น ยังเป็นการใช้อำนาจที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่อาจไม่ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอีกด้วยทั้งนี้หากพิจารณาร่างกฎหมายประกันสังคมที่เสนอโดยนางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 14,264คน พบว่า มีหลักการและสาระสำคัญเป็นการการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมแก่คนทำงานที่มีการขยายตัวอย่างกว้างขวาง การปรับปรุงและพัฒนาการบริหารกองทุนประกันสังคมให้มีความเป็นอิสระ มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ มีระบบการตรวจสอบที่เข้มแข็ง และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียอย่างแท้จริง เป็นการสะท้อนความต้องการของประชาชนผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายที่ต้องการปฏิรูปกฎหมายประกันสังคมเพื่อให้สมประโยชน์แก่ประชาชนผู้เข้าสู่ระบบประกันสังคมซึ่งรัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรควรให้การสนับสนุนความริเริ่มสร้างสรรค์ของประชาชนผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายที่สามารถสะท้อนความต้องการเพื่อให้สถาบันรัฐสภารับรู้และสามารถออกกฎหมายได้ตรงกับสภาพปัญหาที่แท้จริง คปก.เห็นว่า แม้ว่าร่างกฎหมายประกันสังคมที่เสนอโดยรัฐบาลร่างกฎหมายที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชน จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ด้วยกระบวนพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรที่มีขั้นตอนในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญสามารถเปิดโอกาสให้ความเห็นที่แตกต่างกันสามารถถกเถียงกันด้วยเหตุด้วยผลอย่างสร้างสรรค์และโดยสันติบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของประชาชน ถือเป็นวิถีประชาธิปไตยที่ยึดถือปฏิบัติกันเสมอมา ด้วยเหตุดังกล่าวการมีมติไม่รับหลักการร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชน จึงเป็นการปิดกั้นโอกาสไม่ให้ผู้แทนประชาชนได้เสนอเหตุผลเพื่อหาข้อสรุปที่ยอมรับกันได้ในการแก้ไขกฎหมายประกันสังคมให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนให้มากที่สุด ดังนั้น คปก.จึงเห็นว่า เมื่อรัฐธรรมนูญได้รับรองให้ผู้แทนประชาชนที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายเข้าร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมด ย่อมแสดงให้เห็นว่าเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญได้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในกระบวนการและขั้นตอนการพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชนของสภาผู้แทนราษฎรอย่างยิ่งยวด ดังนั้นการพิจารณาลงมติไม่รับหลักการร่างกฎหมายที่เข้าชื่อโดยประชาชนที่ไม่เป็นไปตามกระบวนการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 163 อาจทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และอาจทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือต่อสถาบันรัฐสภาที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต อนึ่ง การประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 24 ปีที่ 2 ครั้งที่ 23-24 (สมัยสามัญนิติบัญญัติ )เมื่อวันที่ 20 และวันที่21 มีนาคม2556 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกันสังคมจำนวน 4ฉบับ และลงมติในวาระที่ 1 ไม่รับหลักการร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของนางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 14,264 คน และนายนคร มาฉิม กับคณะ ดังนั้นจึงถือว่าร่างพระราชบัญญัติทั้ง2 ฉบับดังกล่าวเป็นอันตกไปทั้งที่แนวทางการพิจารณาร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมาจะมีมติรับหลักการร่างกฎหมายรวมกันทุกฉบับโดยให้ถือเอาร่างของคณะรัฐมนตรีเป็นหลัก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
เจาะวงถกสันติภาพรัฐไทย-BRN ต่างมีข้อต่อรอง ‘ลดพื้นที่รุนแรง-นิรโทษกรรม’ Posted: 28 Mar 2013 10:08 PM PDT เจาะวงถกรอบสองสันติภาพชายแดนใต้ ต่างมีข้อต่อรอง 'รัฐไทยขอให้ลดพื้นที่ก่อเหตุรุนแรง ฝั่งขบวนการขอให้ลบบัญชีดำ นิรโทษกรรมนักโทษการเมือง นัดต่อไป 29 เมษาฯ เพิ่มตัวแทนฝ่ายละ 9 คน ในที่สุดการพูดคุยสันติภาพแบบมาราธอน 12 ชั่วโมง ระหว่างตัวแทนกลุ่มขบวนการต่อต้านรัฐไทย – ตัวแทนรัฐบาลไทย ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียรอบ 2 ตั้งแต่เช้าวันที่ 28 มีนาคม 2556 ก็สิ้นสุดลงในช่วงค่ำคืนวันเดียวกัน ข้อสรุปเบื้องต้นจากการประมวลข่าวหลายสำนัก รายงานว่า มีการสงวนคำขอในประเด็นร้อนอย่าง "หยุดก่อเหตุรุนแรง" ในพื้นที่ และ การ"นิรโทษกรรมนักโทษการเมือง" การลบรายชื่อผู้ที่อยู่ในบัญชีดำหรือ Black list และให้รัฐอำนวยความยุติธรรมและความเป็นธรรมแก่ชาวฟาฏอนีย์ การพูดคุยสันติภาพครั้งที่ 2 นี้ มีตัวแทนกลุ่มต่อต้านรัฐมาร่วมประชุมครั้งนี้ มาจาก 3 กลุ่ม ได้แก่ BRN, PULO และ BIPP มีรายงานว่า ทางฝั่งขบวนการ BRN นั้นมาครบทุกปีก ส่วนขบวนการ PULO มาเพียงคนเดียวและไม่ใช่นายกัสตูรี มะห์โกตา ซึ่งเป็นคนที่อ้างว่าเป็นประธาน PULO-KMP การประชุมลับครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่เวลา 08.00 น. ตามเวลาประเทศมาเลเซีย โดยรายชื่อของฝ่ายกลุ่มขบวนการ 6 คน ได้แก่ นายฮาซัน ตอยิบ นายซัลมาน อิสมาแอล และอาดัม มูฮัมหมัดนูร จาก BRN นายอะห์มัด ปอซัน จาก PULO นายฮาเซม อับดุลเลาะ จาก BIPP และอาบุลการีม คอเลด (ไม่ทราบสังกัด) ส่วนตัวแทนฝั่งรัฐไทย 6 คน ประกอบด้วย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นผู้นำทีม, พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก รองปลัดกระทรวงกลาโหม, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.), พล.ต.ท.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล พล.ต.นักรบ บุญบัวทอง รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 และพล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย ที่ปรึกษารัฐมนตรีกลาโหม เลขาธิการสมช. เปิดเผยหลังการประชุมเสร็จสิ้นว่า นายกัสตูรี มะห์โกตา ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ แต่ทางฝ่ายขบวนการจะประสานไปในการประชุมในครั้งต่อไปว่า อาจจะมีนายกัสตูรี ร่วมพูดคุยด้วย ในวันที่ 29 เมษายน 2556 ซึ่งแต่ละฝ่ายจะเพิ่มตัวแทนการพูดคุยเป็น 9 คน เลขาธิการมช.ระบุว่า ประเด็นที่ใช้เวลาตกลงกันนานในการพูดคุยครั้งนี้คือ เรื่องการขอให้ลดพื้นที่ความรุนแรง ซึ่งฝ่ายขบวนการจะขอเวลาประสานงานกับกลุ่มอื่นๆ ก่อน ส่วนประเด็นที่ฝ่ายขบวนการขอ คือการนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมือง และขอให้ลบรายชื่อคนในฝ่ายขบวนการออกจากบัญชีดำ(Black list) ซึ่งฝ่ายรัฐขอกลับไปประชุมหารือกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องก่อน และจะนำมาถกกันอีกในรอบต่อไป พล.ท.ภราดร ให้ความเห็นกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ประเด็นที่ฝ่ายขบวนการขอให้มีการปกครองพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เป็นไปไม่ได้ และการพูดคุยต้องอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเท่านั้น ไม่ยอมให้มีการคุยเรื่องการแบ่งแยกดินแดน นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวสายความมั่นคง จากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่เกาะติดรายงานข่าวการพูดคุยครั้งนี้รายงานผ่านรายการข่าวดึกของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสว่า สื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศถูกมาเลเซียกันไม่ให้เข้าร่วมสังเกตการณ์ภายในห้องประชุมได้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น