ประชาไท | Prachatai3.info |
- กองทัพพม่าเสริมกำลังเผชิญหน้ากองทัพรัฐฉานเหนือ-ใต้
- ถก ‘วิกฤติพลังงาน’ ไทย ‘ไฟฟ้า’ ไม่พอใช้จริงหรือ
- นักสิทธิอังกฤษถูกโรงงานสับปะรดไทยฟ้องหมิ่นประมาท เรียก 300 ล้าน
- One Women: บทเพลงสำหรับวันสตรีสากล จาก UN Women
- 'สถาบันการสื่อสารระหว่างประเทศ' เปิดสาขาในไทย หวังเพิ่มพื้นที่ถกเถียงนโยบายสื่อสาร
- เฟซบุ๊ก “รัฐสภาไทย” สอบถามความเห็นการ ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
- โพลล์ผู้ว่า กทม.
- ยูเอ็น-ฟิลิปปินส์เรียกร้องกลุ่มกบฏซีเรียปล่อยตัวจนท. ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน
- บัณฑิต ไกรวิจิตร :สื่อในความรุนแรงชายแดนใต้
- สำรวจเส้นทาง 'ผู้หญิง' สู่ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด
- เครือข่ายเอฟทีเอ ฉะเดือด สภาธุรกิจไทย-อียู และ กกร.
- ปฏิกิริยาสื่อต่างประเทศ ต่อการเสียชีวิตของ 'ชาเวช'
- จำคุก 2 ชาวบ้านคดีขัดแย้ง ‘สวนป่าโคกยาว’ กองทุนยุติธรรมฯ หอบเงินแสนประกันตัว
- ขอบคุณทุกความกลัวที่เทให้
- ใจ อึ๊งภากรณ์: ฮูโก ชาเวซ
กองทัพพม่าเสริมกำลังเผชิญหน้ากองทัพรัฐฉานเหนือ-ใต้ Posted: 07 Mar 2013 12:28 PM PST กองทัพพม่าส่งกำลังทหารและอาวุ มีรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ด้านเว็ปไซท์ Taifreeedom สื่อกระบอกเสียงสภากอบกู้รัฐฉาน กองทัพรัฐฉาน RCSS/SSA รายงานอ้างแหล่งข่าวในพื้นที่ว่ ชาวบ้านในพื้นที่เชื่อว่า การเคลื่อนกำลังทหารพม่าครั้งนี้ อาจเป็นการส่งสัญญาณเตรียมบุ มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา กองทัพพม่าได้ส่งหนังสือถึ ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของทหารพม่าดังกล่ อีกด้านหนึ่งมีรายงานว่า กองทัพพม่ามีการเสริมกำลั แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ SSPP/SSA เปิดเผยว่า ปัจจุบันรอบพื้นที่เคลื่ ด้านนักสังเกตการณ์หลายคนมองว่า การเคลื่อนกำลังทหารพม่าเข้
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ "คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
ถก ‘วิกฤติพลังงาน’ ไทย ‘ไฟฟ้า’ ไม่พอใช้จริงหรือ Posted: 07 Mar 2013 12:07 PM PST 'นพพร' แนะระยะยาวใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ หนุนระบบ Smart Grid ระยะสั้นเสนอขอ ก.ศึกษา หยุดทำงานปิดเทอมช่วงวิกฤติไฟฟ้า 'ชื่นชม' เปิดสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ตั้งข้อสังเกตพม่าหยุดจ่ายก๊าซ ปตท.เคยร้องลดราคาซื้อก๊าซ 25 เปอร์เซ็นต์ มาลดค่าไฟไหม จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และความหวั่นเกรงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวิกฤตพลังงานในกรณีบริษัทผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานาของพม่า แจ้งหยุดซ่อมบำรุงเนื่องจากปัญหาการทรุดตัวของแท่นผลิต ระหว่างวันที่ 5-13 เม.ย.2556 วันที่ 7 มี.ค.56 นพพร ลีปรีชานนท์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านการวางแผนระบบไฟฟ้าและนโยบายพลังงาน ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวในการเสวนา 'วิกฤติพลังงาน ไทยจะประสบปัญหาไฟไม่พอใช้จริงหรือ?' ระบุว่า ประเทศไทยยังมีความเสี่ยงเกิดปัญหาไฟฟ้าตก ไฟฟ้าดับ ในช่วงที่พม่าหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ แม้รัฐบาลจะพยายามดำเนินการแก้ปัญหา ทั้งการปรับเชื่อเพลิงที่ใช้ในการผลิต หรือแม้จะได้รับความร่วมมือจากภาคอุตสาหกรรมในการลดการใช้ไฟฟ้าลง เนื่องจากความสามารถในการผลิตไฟใกล้เคียงกับความต้องการใช้สูงสุด และยิ่งหากอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นก็ยิ่งมีความเสียง อย่างไรก็ตาม นพพรแสดงความเห็นว่า อีกหน่วยหนึ่งของการใช้ไฟฟ้าที่สำคัญคือส่วนราชการอย่างกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ที่มีการใช้เครื่องปรับอากาศ พร้อมเสนอให้ขอความร่วมมือไปยังกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงปิดภาคเรียน โดยขอความร่วมมือให้หยุดการทำงาน ในช่วงวันที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 1-3 วัน ซึ่งจะช่วยลดความต้องการในการใช้ไฟฟ้าลงได้อีก ส่วนระยะยาว ไทยควรพิจารณาการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงที่หลากหลาย เช่นพลังงานหมุนเวียน ไม่ใช่เพียงแค่ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน หรือนิวเคลียร์ และอีกแนวทางหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ การควบคุมความต้องการใช้ไฟฟ้า จากเดิมที่มีแต่คิดเปิดโรงไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการใช้ ซึ่งนั่นหมายความว่าจะต้องจัดหาพลังงานมาเพิ่มเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง การใช้เทคโนโลยี องค์ความรู้ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ซึ่งจะลดการใช้พลังงานลงไปได้ อีกทั้ง ในเรื่องระบบส่งไฟฟ้าซึ่งเป็นอีกปัญหาหนึ่ง นพพร เสนอให้ส่งเสริมระบบ Smart Grid (โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ) ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสาร (TCT) มาบริหารจัดการ ควบคุมการผลิต ส่ง และจ่ายพลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะสนองตอบต่อแนวคิดส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน โดยมีการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานเข้ามาในระบบมากขึ้น ตรงนี้เมื่อร่วมกับการทำนโยบายส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนให้เป็นระบบจะส่งผลทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานหมุนเวียนลดลงในเวลาอันสั้น เพราะปัจจุบันมีราคาแพงเพราะคนใช้กันน้อย และทำให้ค่าไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสามารถแข่งขันกับเชื้อเพลิงจากฟอสซิลได้ในที่สุด แต่คำถามคือภาครัฐมองไกลขนาดไหน นพพร กล่าวถึงข้อเสนอต่อมาว่า ควรมีการออกกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติที่ส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนให้เข้ามาในระบบอย่างจริงจัง โดยตัวอย่างในประเทศมาเลเซียได้กฎหมายนี้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งส่งผลต่อภาคการผลิต การติดตั้ง การจ้างงาน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เกิดการลงทุนในกิจการใหม่ๆ รวมถึงเป็นประโยชน์ในระดับผู้บริโภคด้วย แต่ประเทศไทยกลับไม่มีการพูดถึงพลังงานหมุนเวียนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพียงแต่ระบุไว้ในกฎหมายบางฉบับ ทั้งที่พระราชบัญญัติออกมากำกับเพื่อให้การดำเนินการเดินหน้าไปได้ ดังนั้นพลังงานหมุนเวียนที่ปัจจุบันกำหนดให้อยู่ในระบบ 25 เปอร์เซ็นต์ จึงมีอยู่จริงแค่ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ "วิกฤติตรงนี้สามารถใช้ปรับ PDP ใหม่ให้สะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น ใช้ปรับกำลังการผลิตสำรองด้วยดัชนที่ปลอดภัยอย่างแท้จริงได้" นพพร กล่าว ต่อข้อสังเกตที่ว่าการตีปี๊บวิกฤติพลังงานนั้นเพื่อผลักดันการใช้ถ่านหิน นพพร กล่าวว่า ส่วนตัวเขาไม่ได้คัดค้านเชื้อเพลิงถ่านหิน เพราะปัจจุบันมีการพูดถึงการใช้เทคโนโลยีสะอาด แต่ถ่านหินควรจะเป็นทางเลือกสุดท้ายในการดำเนินการ เนื่องจากยังมีทางเลือกอื่นๆ โดยเฉพาะการลดใช้ไฟฟ้าของทุกภาคส่วน ซึ่งจากงานศึกษาเกี่ยวกับแผนอนุรักษ์พลังงาน เมื่อดูเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบันและปริมาณการใช้ไฟ หากบริหารจัดการอย่างจริงจังจะลดการใช้ได้อีกไม่ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ด้าน ชื่นชม สง่าราศรี กรีเซ่น นักวิชาการอิสระ ผู้ช่วยวิจัยด้านการวางแผนระบบไฟฟ้าและนโยบายพลังงาน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า ตามสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ระหว่าง ปตท. กับผู้รับสัมปทานแหล่งก๊าซยาดานา ระบุว่า การหยุดซ่อมแท่นขุดเจาะก๊าซฯ จะมีการกำหนดไว้ล่วงหน้าทุกปี ครั้งละไม่เกิน 15 วัน แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงจะต้องแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 6 เดือน อย่างไรก็ตาม ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยุดซ่อมช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด และควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้กระทบความมั่นคงของระบบและเพิ่มภาระค่าไฟฟ้ามาขึ้น ทั้งนี้ ควรเลื่อนการซ่อมแซมมาอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม ซึ่งมีความต้องการไฟฟ้าไม่สูง ต่างจากช่วงเดือนเมษายนที่มีความต้องการไฟฟ้าสูงจากอากาศร้อน นอกจากนี้ สัญญาดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ระหว่างการซ่อมแซมจะต้องจัดส่งก๊าซธรรมชาติไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณจัดส่งตามสัญญา และหากไม่สามารถนำส่งก๊าซฯ ได้ ก็มีบทลงโทษ คือ ฝ่าย ปตท.จะได้สิทธิ์ซื้อก๊าซฯ เฉพาะส่วนที่ขาดหายไปได้ภายหลังในราคาลดลง 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งที่ผ่านมา ปตท.ได้เรียกร้องสิทธิ์นี้และนำส่วนลดที่ได้มาช่วยลดค่าไฟหรือไม่ เพราะช่วงหลายปีที่ผ่านมาแหล่งก๊าซฯ ในพม่าหยุดเพื่อปิดซ่อมทุกปี ชื่นชม กล่าวต่อมาถึงปัญหาของตัวเลขจำนวนการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งในการผลิตจริงกลับไม่ได้ตามนั้น ทำให้เกิดความคาดเคลื่อนในการรับรู้ข้อมูลปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ได้และปริมาณไฟฟ้าสำรองในระบบ โดยเสนอต่อสื่อมวลชนให้ติดตามข้อมูลจากศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า เขตบางกรวย ในวันที่ 5 เม.ย.56 ซึ่งจะทำให้ทราบสถานการณ์ผลิตที่แท้จริงของโรงไฟฟ้าแต่ละโรง เพื่อพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสในการรับทราบข้อเท็จจริงของข้อมูลทางพลังงาน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
นักสิทธิอังกฤษถูกโรงงานสับปะรดไทยฟ้องหมิ่นประมาท เรียก 300 ล้าน Posted: 07 Mar 2013 11:22 AM PST 'อานดี้ ฮอลล์' นักรณรงค์เพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ ถูกโรงงาน 'เนเชอรัล ฟรุต' ฟ้องคดีหมิ่นประมาทเรียก 300 ล้านบาท เหตุตีพิมพ์รายงานเรื่องสภาพการทำงานของคนงานพม่า-กัมพูชาในโรงงานผลิตสับปะรดกระป๋องโดยระบุว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน 7 มี.ค. 56 - อานดี้ ฮอลล์ นักรณรงค์ชาวอังกฤษเพื่อสิทธิแรงงานพม่าในไทย ถูกบริษัทผลิตสับปะรดกระป๋อง 'เนเชอรัล ฟรุต' ฟ้องหมิ่นประมาททางแพ่งและอาญา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 300 ล้านบาท หลังฮอลล์เผยแพร่รายงานตีแผ่เรื่องสภาพการทำงานของแรงงานข้ามชาติในโรงงานดังกล่าว ซึ่งระบุว่ามีการใช้แรงงานเด็ก การกดค่าจ้างที่ต่ำกว่ากำหนด และการยึดหนังสือเดินทางของคนงาน โดยทางโรงงานเนเชอรัล ฟรุต ฟ้องกลับว่าเป็นการเผยแพร่ความเท็จและทำให้เกิดความเสียหาย ทั้งนี้ อานดี้ ฮอลล์ เป็นนักเคลื่อนไหวและรณรงค์เพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติในเมืองไทยมาแล้วกว่า 10 ปี เคยทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนหลายแห่ง อาทิ มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา และเคยเป็นนักวิจัยให้กับมหาวิทยาลัยมหิดลเรื่องการย้ายถิ่น โดยเมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ฮอลล์ได้ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวรายงาน "Cheap has a High Price" ขององค์กรวิจัย Finnwatch ที่วิจัยเรื่องการละเมิดสิทธิแรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมส่งออกในประเทศไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมผลิตทูน่าและสับปะรดกระป๋อง และในฐานะนักวิจัยหลัก เขาได้เก็บข้อมูลจากโรงงาน 3 แห่งในจังหวัดสมุทรสาครและประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างเดือนต.ค.-ธ.ค. 55 และพบว่ามีการใช้แรงงานข้ามชาติที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี จ่ายค่าจ้างต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด จ้างแรงงานข้ามชาติที่ไม่ได้จดทะเบียน และมีการยึดพาสปอร์ตรวมถึงใบอนุญาตทำงานของคนงาน อานดี้ ฮอลล์ แถลงข่าวเปิดตัวรายงานขององค์กร Finnwatch ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย การแถลงข่าวดังกล่าว จัดขึ้นที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย และมีสื่อมวลชนและผู้สนใจเข้าฟัง ต่อมาได้มีการตีพิมพ์เนื้อหาเกี่ยวกับรายงานดังกล่าวในเว็บไซต์ข่าวประชาไท (www.prachatai.com) และเว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น (www.nationmultimedia.com) รวมถึงมีการเผยแพร่รายงานในเว็บไซต์ขององค์กร finnwatch (www.finnwatch.com) ทำให้บริษัทเนเชอรัล ฟรุต ฟ้องฮอลล์ด้วยพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ควบคู่ไปกับข้อหาหมิ่นประมาท โดยระบุว่าเป็นการใส่ความเท็จและสร้างความเสียหายจากสาธารณะ หากฮอลล์ถูกตัดสินว่าผิดจริงในข้อหาดังกล่าว เขาอาจถูกจำคุกสูงสุดเป็นเวลา 2 ปี และปรับอีก 300 ล้านบาท ฮอลล์กล่าวว่า เขายืนยันในวิธีวิจัยและข้อมูลที่รวบรวมจากการสัมภาษณ์คนงานและเอกสารต่างๆ ว่าถูกต้อง และชี้ว่า ก่อนหน้านี้ ได้เคยพยายามติดต่อทางเจ้าหน้าที่ของโรงงานแล้ว แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ "การฟ้องทางแพ่งและอาญาในทางการเมืองนี้ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่ก้าวร้าวและกว้างขวางในการปิดปากผมและเพื่อนร่วมงาน เป็นการทำลายเสรีภาพการแสดงออกในเมืองไทย และเพื่อหันเหให้ผมออกจากการทำงานเพื่อพิทักษ์สิทธิแรงงานข้ามชาติและลดการกดขี่ที่เป็นระบบ" ฮอลล์กล่าว และเสริมว่า แม้หลังจากการเผยแพร่รายงานดังกล่าว จะมีการปรับปรุงสภาพการทำงานในโรงงานบ้าง แต่โดยรวมแล้วยังมีเรื่องที่ละเมิดกฎหมายอยู่ ทั้งนี้ บริษัท เนเชอรัลฟรุต จำกัด เป็นโรงงานผลิตสับปะรดกระป๋อง ตั้งอยู่ที่อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีวิรัช ปิยพรไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดประคีรีขันธ์ และนายกสมาคมอุตสาหกรรมสับปะรดไทย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยจากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง เผยว่า นายวิรัช เป็นพี่ชายของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ข้อมูลระบุว่า บริษัทดังกล่าว มีทุนปัจจุบัน 104 ล้านบาท และมีลูกจ้างราว 500 คน อานดี้ ฮอลล์ กับนางออง ซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านของพม่า ที่บ้านรับรองของนางออง ซาน ซูจี ในย่างกุ้ง ทั้งนี้ระหว่างการมาเยือนไทยของซูจีเดือนพ.ค. ปีที่แล้ว ฮอลล์มีบทบาทสำคัญในการประสานงานให้ซูจีเยือนต.มหาชัย จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นเขตที่แรงงานพม่าราว 2 แสนคนทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมอาหารทะเล
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai This posting includes an audio/video/photo media file: Download Now | ||||
One Women: บทเพลงสำหรับวันสตรีสากล จาก UN Women Posted: 07 Mar 2013 10:16 AM PST มณฑิรา นาควิเชียร เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสาร ของ UN Women ประจำภาคพื้นเอเชีย มณฑิรา นาควิเชียรเจ้าหน้าที่สื่อสารองค์กร ยูเอ็นวีเมน ภาคพื้นเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก อธิบายว่า เพลง One Woman เป็นเพลงที่องค์กรขอมอบเป็นของขวัญให้ผู้หญิงทุกคนในโลก เดิมเพลงนี้ได้ถูกนำมาแสดงในวันที่ 1 มกราคม 2555 ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดตัว UN Women ที่นิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกาให้เป็น "องค์กรเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาติ" ผู้ประพันธ์ คือ เกรแฮม ไลล์ และ เบธ แบลท์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากงานขององค์กรที่ทำในอดีตครั้งยังเป็น UNIFEM และหน่วยงานอื่นภายใต้สำนักงานของเลขาธิการสหประชาชาติ และที่สำคัญที่สุด คือ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมภารกิจข้างหน้าของ UN Women รวมถึงงานกับภาคีภาครัฐ ประชาสังคม ภาคเอกชน และสื่อมวลชน หลังจากที่เพลงนี้ได้รับความนิยม UN Women นำเพลงนี้มา remix ใหม่ และขับร้องโดยศิลปินทั่วโลกกว่า 25 คน ถูกนำมาเปิดตัวที่ประเทศไทย จีน ฟิจิ และประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในงานวันสตรีสากล 8 มีนาคม ด้วยความร่วมมือ และสนับสนุนจากบริษัทไมโครซอฟท์ และใช้เพื่อการสื่อสารต่อไปอย่างกว้างขวาง เพื่อให้เกิดความรับรู้ในภาระกิจขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นในงาน 1) การเพิ่มบทบาทการเป็นผู้นำและการมีส่วนร่วมของผู้หญิง 2) การยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง ว่าเราสามารถป้องกันความรุนแรงได้ แม้จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม 3) การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงานเกี่ยวกับวาระด้านผู้หญิง สันติภาพ และความมั่นคง 4) การเพิ่มพลังทางเศรษฐกิจของผู้หญิง และ 5) การส่งเสริมให้ความเสมอภาคระหว่างเพศเป็นประเด็นสำค้ญในระดับชาติและระดับ ท้องถิ่น รวมทั้งในการวางแผนและการจัดทำงบประมาณ สำหรับบทเพลงนี้มีศิลปิน 5 คนจากภูมิภาคเอเชีย และแปซิฟิก คือ Anoushka Shankar (India); Yuna (Malaysia); Charice (Philippines); Zhang Liangying (China); Vanessa Quai (Vanuatu) ในวันสตรีสากลปีนี้ รัฐบาล 2 ประเทศในอาเซียน คือ ไทย และเวียดนามประกาศ COMMIT ต่อ UN Women หรือให้พันธะสัญญาว่าจะดำเนินนโยบายเพื่อมุ่งต่อการยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง และเด็กหญิง สำหรับเนื้อหาของเพลงนั้นกล่าวถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของผู้หญิงทั่วโลก ซึ่งตื่นขึ้น สร้างทางเลือก เปล่งเสียง ร่วมแบ่งปันทุกข์สุขและความหวัง แม้จะมีความแตกต่างหลากหลายแต่ก็เชื่อมโยงกันได้ด้วยความเป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวกัน In Kigali, she wakes up, We are One Woman, In Juarez she speaks the truth, We are One Woman, And one man, he hears her voice. We are One Woman, ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
'สถาบันการสื่อสารระหว่างประเทศ' เปิดสาขาในไทย หวังเพิ่มพื้นที่ถกเถียงนโยบายสื่อสาร Posted: 07 Mar 2013 09:34 AM PST สถาบันการสื่อสารระหว่างประเทศ (IIC) เปิดสาขาในไทย เชื่อไทยมีศักยภาพเป็นผู้นำ แต่ยังมีความไม่ชัดเจนเรื่องนโยบาย-บาง กม.ที่ต่างกับประเทศอื่นมากไป ส่งผลคนลงทุนลำบากขึ้น (6 มี.ค.56) ในงาน Digital Agenda Thailand ครั้งที่ 7 ณ โรงแรมอโนมา กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการจัดร่วมกันระหว่างสถาบันวิชาการนโยบายกิจการสาธารณะกับธุรกิจและการกำกับดูแล (APaR) มหาวิทยาลัยหอการ ค้าไทย สถาบันนโยบายสังคมและเศรษฐกิจ และ บริษัท แอ๊บโซลูท คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ อีเวนท์ส (ACE) มีการเปิดตัว Thailand Chapter ของสถาบันการสื่อสารระหว่างประเทศ (International Institute of Communications: IIC) ซึ่ง Thailand Chapter จะเป็นสาขาของ IIC ลำดับที่ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อจากสิงคโปร์ และเป็นลำดับที่ 3 ในทวีปเอเชีย สำหรับ IIC ก่อตั้งขึ้นในพ.ศ. 2512 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยเป็นเวทีที่พูดถึงนโยบายระดับโลกเพื่อให้สมาชิกมีโอกาสได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประเทศต่างๆที่กำลังมีความสำคัญ และทราบถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายตามปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ผ่านการประชุมประจำปีของสถาบัน เวทีประชุมของหน่วยงานกำกับดูแลระหว่างประเทศ และเวทีที่เกี่ยวกับโทรคมนาคมสื่อ แอนเดีย มิลล์วูด ฮาร์เกรฟ ผู้อำนวยการสำนักงานใหญ่ IIC กล่าวว่า สาเหตุที่เลือกเปิดสาขาในประเทศไทย เพราะไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพจะเป็นผู้นำ โดยมีประชากรเกือบ 70 ล้านคน มีการใช้สื่อหลายแพลตฟอร์ม มีโครงสร้างการกำกับดูแลที่ทันสมัยอย่าง กสทช. เรียกว่ามีสภาพที่ไม่ใช่แค่มีพลวัต (dynamic) แต่เป็นการระเบิดออก (explode) อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่ชัดเจนเรื่องนโยบาย ซึ่งหวังว่าจะได้นำมุมมองจากประเทศต่างๆ มาแลกเปลี่ยน เมื่อถามถึงอุปสรรคของไทยต่อการเป็นผู้นำ เธอกล่าวว่า หากไทยสร้างอุปสรรคต่อการลงทุนมากเกินไป มีกฎหมายที่มีความแตกต่างจากประเทศอื่นมากไป เช่น กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กฎหมายหมิ่นประมาท ผู้ที่สนใจก็จะเข้ามาลงทุนได้ลำบากขึ้น ดังนั้น การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศจึงเป็นเรื่องสำคัญในการทำความเข้าใจและหาจุดตรงกลางร่วมกัน
ส่วนประเด็นเรื่องการเลือกข้างของสื่อนั้น วรากร กล่าวว่า สื่อเป็นองค์กรสำคัญในการชี้นำสังคมพอสมควร แม้จะบอกว่าสังคมไทยคนมีการศึกษามากขึ้น สามารถใช้วิจารณญาณได้ด้วยตัวเอง แต่ผู้บริโภคสื่ออาจไม่ได้ทบทวนข้อมูล หรือได้รับข้อมูลซ้ำๆ ส่งผลให้ได้รับข้อมูลแบบไม่ถูกต้องก็ได้ ดังนั้น การทำหน้าที่ของสื่อจึงสำคัญ แต่เชื่อว่า สื่อในไทยยังมีกลุ่มที่มีความเป็นกลางมากกว่าที่ไม่เป็นกลาง หากสื่อทำหน้าที่อย่างไม่ตรงไปตรงมา เลือกข้างด้วยความรู้สึกอย่างไม่มีเหตุผลจะเป็นอันตรายได้ อย่างไรก็ตาม สื่อเหล่านี้ก็จะถูกควบคุมโดยองค์กรต้นสังกัด และผู้บริโภคซึ่งจะปฏิเสธการรับสื่อนั้นโดยปริยาย หากผู้บริโภคเห็นว่าไม่ถูกต้อง ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
เฟซบุ๊ก “รัฐสภาไทย” สอบถามความเห็นการ ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม Posted: 07 Mar 2013 08:43 AM PST เฟซบุ๊ก "รัฐสภาไทย" โพสต์ข้อความสอบถามความเห็นว่า "ท่านเห็นด้วยกับการ ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือไม่" โดยมีช่องให้ผู้ที่สนใจแสดงความเห็น 2 ช่อง ประกอบด้วย เห็นด้วย และ ไม่เห็นด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้แสดงความเห็นท้ายการสำรวจจำนวนมาก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
Posted: 07 Mar 2013 08:37 AM PST หลายปีก่อนผู้เขียนเคยศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงในการทำโพลล์แห่งหนึ่ง และผู้เขียนก็เคยทำโพลล์มาก่อน แต่โพลล์ที่ผู้เขียนทำในครั้งนั้นเป็นโพลล์ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง จากการชักชวนของเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย ในครั้งนั้นเพื่อนของผู้เขียนรับแบบสอบถามมาจาก "นายหน้า" ซึ่งหักค่า "หัวคิว" จนเหลือถึงผู้เขียนแบบสอบถามละ 300 บาท แต่ผู้เขียนก็ยินดีทำ เพราะเป็นรายได้ที่น่าพอใจ จะได้เอาไว้เป็นค่าขนมไปมหาวิทยาลัย โพลล์ในครั้งนั้นเป็นการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์สบู่เหลวยี่ห้อหนึ่ง นายหน้าให้แบบสอบถามและตัวอย่างผลิตภัณฑ์สบู่เหลว ซึ่งถูกบรรจุอยู่ในขวดพลาสติกขนาดเล็กคล้ายขวดสบู่เหลวในโรงแรมที่บริการให้กับลูกค้า แต่ขวดของผลิตภัณฑ์ที่ผู้เขียนได้รับเหล่านี้ไม่มีการติดยี่ห้อไว้ที่ข้างขวด เพื่อนของผู้เขียนบอกว่า ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ยังไม่เคยมีการจำหน่ายในประเทศไทยมาก่อน จึงยังไม่อยากเปิดเผยยี่ห้อในตอนนี้ (ทุกวันนี้ผู้เขียนก็ยังไม่รู้ว่า ผลิตภัณฑ์สบู่เหลวนี้ยี่ห้ออะไร) การสำรวจเริ่มด้วยการกำหนดจำนวนแบบสอบถาม โดยแต่ละคนจะได้รับแบบสอบถามคนละ 5 ชุด เพื่อให้การสำรวจกระจายออกไป ผู้เขียนต้องนำแบบสอบถามไปหาผู้ที่จะมาตอบแบบสอบถาม นายหน้ากำหนดว่า จะต้องเป็น "ผู้หญิง" เท่านั้น เพราะสบู่เหลวนี้ใช้กับ "จุดซ่อนเร้น" ผู้เขียนเลยอดทดลองใช้ตัวเอง ตอนแรกผู้เขียนนำไปให้แม่ของผู้เขียนใช้ แต่แม่ของผู้เขียนปฏิเสธ ผู้เขียนจึงต้องนำไปให้เพื่อนที่มหาวิทยาลัยใช้แทน หลังนั้นยังต้องติดตามผลความพึงพอใจอีก 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะส่งแบบสอบถามคืนให้กับนายหน้า การทำโพลล์ครั้งนั้นเป็นการทำโพลล์ทางธุรกิจจึงได้รายได้ค่อนข้างดี แต่ก็ยุ่งอยากไม่ใช่น้อย เพราะต้องไปสำรวจจากเพื่อนผู้หญิง ผู้เขียนเชื่อว่า ถ้าผู้เขียนไม่รู้จักกับเพื่อนผู้หญิงเหล่านี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนยอมตอบแบบสอบถามเป็นแน่ หลายคนอาจคิดว่า ทำไมผู้เขียนไม่ "เต้าข้อมูล" ขึ้นมาเองล่ะ บริษัทไม่มีทางรู้หรอก ผู้เขียนขอบอกเลยว่า "ยากมาก" เพราะนายหน้ากำหนดให้ต้องใส่เบอร์โทรศัพท์ของผู้ตอบแบบสอบถามด้วย เพื่อที่เขาจะได้สุ่มตรวจสอบ การทำโพลล์ครั้งนั้นถือเป็นการทำโพลล์จริงๆครั้งแรกของผู้เขียน ถ้าไม่นับโพลล์ในคณะบริหารธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้เขียนมักจะ "เต้าข้อมูล" มากกว่าจะออกสำรวจจริง การเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 54 ผลการประเมินจำนวน ส.ส. ทั่วประเทศของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ก่อนการเลือกตั้งของทุกสำนักโพลล์มีความแม่นยำแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ทุกสำนักโพลล์ฟันธงว่า เพื่อไทยจะได้จำนวน ส.ส. มากที่สุด ทั้งในส่วนของ ส.ส. แบบแบ่งเขต และ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาปรากฎว่า เพื่อไทยได้ ส.ส. แบบแบ่งเขต 204 ที่นั่ง และ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 61 ที่นั่ง รวมทั้งสิ้น 265 ที่นั่ง มากที่สุดในบรรดาพรรคการเมืองทั้งหมด ซึ่งใกล้เคียงกับผลการประเมินของหลายสำนักโพลล์ ในครั้งนั้นผลการสำรวจจำนวน ส.ส. เฉพาะกรุงเทพมหานครของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ก่อนการเลือกตั้งปรากฎว่า เพื่อไทยได้จำนวน ส.ส. มากกว่าประชาธิปัตย์ บางสำนักโพลล์ระบุว่า เพื่อไทยจะได้ ส.ส. ในกรุงเทพถึง 30 ที่นั่งจาก 33 ที่นั่งเลยทีเดียว แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาเล่นเอาสำนักโพลล์ทั้งหลาย "หน้าแตก" ไปตามๆกัน เพราะเพื่อไทยได้เพียง 10 ที่นั่ง ส่วน ปชป. ได้ไป 23 ที่นั่ง สำนักโพลล์ทั้งหลายจึงต้องออกมาแก้เกี้ยวว่า ผู้ตอบแบบสอบถามไม่ตอบตามความจริง หลายคนอาจสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นทำไมสำนักโพลล์ที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์เหล่านี้ถึงสำรวจผิดพลาดเหมือนกันหมด ผู้เขียนขอใช้ประสบการณ์ของผู้เขียนวิเคราะห์ถึงสาเหตุของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น การตอบแบบสอบถามเมื่อตอนที่ผู้เขียนยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ผู้เขียนและเพื่อนของผู้เขียนเลือกที่จะสอบถาม "คนใกล้ชิด" ก่อน เพราะง่ายและใกล้ตัว สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทุกสำนักโพลล์รู้ดี แต่ไม่มีสำนักโพลล์แห่งไหนให้ความสนใจ เพราะผู้จ้างส่วนใหญ่ต้องการทราบผลสำรวจโดยรวมเท่านั้น ไม่เจาะจงพื้นที่ที่ทำการสำรวจแต่อย่างใด แต่สำหรับการทำโพลล์เลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ถือเป็นการทำโพลล์แบบ "เฉพาะพื้นที่" ซึ่งถือเป็นสิ่งที่แตกต่างจากการทำโพลล์โดยทั่วไป โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งแตกต่างจากจังหวัดอื่นในแง่ของประชากร เนื่องจากคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพกว่า 10 ล้านคน มีถึงครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้มีทะเบียนบ้านอยู่ในกรุงเทพ การสำรวจในครั้งนั้นไม่มีความรัดกุมในแง่ของการกำหนดผู้ตอบแบบสอบถามที่จะต้องเป็นคนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในกรุงเทพเท่านั้น ทำให้ผู้ทำโพลล์ใช้ความสะดวกด้วยการสอบถามจากคนใกล้ชิดก่อนโดยไม่สนใจว่า คนเหล่านั้นมีทะเบียนบ้านอยู่ในกรุงเทพหรือไม่ อีกทั้งทุกสำนักโพลล์ต่างแข่งขันกันนำเสนอผลโพลล์อย่างรวดเร็ว ทำให้การสุ่มตรวจสอบความถูกต้องทำได้อย่างจำกัด ผลสำรวจจึงออกมาเป็นเช่นนั้น จากประสบการณ์ความผิดพลาดในครั้งนั้น ทำให้การเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครในครั้งนี้ทุกสำนักโพลล์มีความรัดกุมมากขึ้นในการกำหนดให้ผู้ทำโพลล์ต้องสอบถามเฉพาะผู้ที่มีทะเบียนบ้านในกรุงเทพเท่านั้น แต่แล้วการทำโพลล์ในครั้งนี้ก็ยังเกิดความผิดพลาดในทุกสำนักโพลล์อีก แม้ว่าจะลดลงมากกว่าครั้งที่แล้วก็ตาม วันเลือกตั้ง 3 มี.ค. ที่ผ่านมา ผู้เขียนออกไปเลือกตั้งเวลา 8.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่อแถวยาวเหยียดเพื่อเลือกตั้ง แต่ผู้เขียนไม่พบมีผู้ทำ Exit Poll แม้แต่สำนักเดียวมายืนรอสอบถามผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเหล่านี้ ต่อมาเมื่อผู้เขียนเดินออกมาดูหน่วยเลือกตั้งอีกครั้งในเวลา 11.00 น. ผู้เขียนเห็นนักศึกษาหญิง 2 คนยืนแอบอยู่หลังตู้ไปรษณีย์พยายามเชิญชวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งที่เพิ่งเดินออกจากหน่วยเลือกตั้งเพื่อสอบถาม ผู้เขียนสังเกตอยู่หลายนาที และพบว่า แม้พวกเธอจะพยายามเชิญชวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเหล่านี้ แต่ก็มีผู้ให้ความร่วมมือค่อนข้างน้อย การทำ Exit Poll ในวันนั้น ผู้เขียนสังเกตว่า นักศึกษาหญิงทั้ง 2 คนใช้วิธีถามผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง และกรอกคำตอบลงในกระดาษเอง โดยที่ผู้ใช้สิทธิไม่ต้องเขียนอะไรเลย การสอบถามแบบนี้เป็นสิ่งที่ง่ายและรวดเร็ว แต่ขาดความแม่นยำ เพราะเป็นการทำที่ไม่เป็น "ความลับ" หลายผู้ตอบแบบสอบถามไม่กล้าหรือไม่อยากตอบความจริงต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีคนรู้จักที่ไม่ได้ชอบผู้สมัครคนเดียวกับผู้ตอบแบบสอบถามอยู่ใกล้ๆด้วย ในวันรุ่งขึ้น (4 มี.ค. 56) ที่ปากซอยของผู้เขียนมีการจับกลุ่มคุยกันถึงผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในกลุ่มมีผู้สนับสนุนผู้สมัครฯที่ได้รับคะแนนสูงสุดทั้ง 2 คน เมื่อมีผู้ใดถามว่า มีใครเลือกใครบ้าง กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ตอบ อาจเป็นเพราะพวกเขารู้จักกัน แต่ไม่อยากเปิดเผยทัศนคติทางการเมืองของตนเอง เพราะไม่อยากทำให้เพื่อนที่มีทัศนคติทางการเมืองแตกต่างกันไม่พอใจ ผู้เขียนเห็นว่า การทำโพลล์ควรจะเป็น "ความลับ" เช่นเดียวกับการเลือกตั้งที่มีการแจกบัตรเลือกตั้งให้กับผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งไปกรอกในคูหาก่อนหย่อนบัตรลงในกล่องรับบัตรเลือกตั้ง การที่ Exit Poll ใช้วิธีถามตรง-ตอบตรงต่อหน้าคนมากๆนั้นมีผลทำให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งอาจไม่ได้ตอบตามความเป็นจริงได้ กรุงเทพถือเป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง อีกทั้งยังมีประชากรแฝงที่ไม่ได้มีทะเบียนบ้านอยู่ในกรุงเทพเป็นจำนวนมาก การรักษาความลับของผู้ตอบแบบถามถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำโพลล์ ไม่ใช่เป็นเพราะผู้ใช้สิทธิเหล่านี้กลัวสำนักโพลล์ แต่เป็นเพราะผู้ใช้สิทธิเหล่านี้ไม่อยากแสดงทัศนคติของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ หากสำนักโพลล์ไม่เข้าใจตรงจุดนี้ และมองการทำโพลล์ทางการเมืองเป็นเหมือนการทำโพลล์ธุรกิจทั่วไป ผู้เขียนเชื่อว่า ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนๆก็คงยากที่จะได้รับข้อมูลที่แม่นยำ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
ยูเอ็น-ฟิลิปปินส์เรียกร้องกลุ่มกบฏซีเรียปล่อยตัวจนท. ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน Posted: 07 Mar 2013 08:28 AM PST ยูเอ็นและรัฐบาลฟิลิปปินส์เรียกร้องให้กลุ่มกบฏซีเรียปล่อยตัวเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพชาวฟิลิปปินส์หลังจากถูกจับเป็นตัวประกัน ฝ่ายกบฏชี้แจงว่าพวกเขากลัวเจ้าหน้าที่ยูเอ็นเข้ามาช่วยเหลือกองกำลังรัฐบาลที่กำลังสู้รบอย่างหนักแถบหมู่บ้านใกล้ๆ กับ ที่ราบสูงโกลัน และเป็นจับตัวโดยไม่มีการปะทะกัน 7 มี.ค. 2013 - สหประชาชาติและรัฐบาลฟิลิปปินส์ได้เรียกร้องให้กลุ่มกองกำลังกบฏในซีเรียปล่อยตัวเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ (Peacekeeper) หลังเกิดเหตุกลุ่มกบฏ 30 คน ในที่ราบสูงโกลันจับตัวเจ้าหน้าที่ชาวฟิลิปปินส์ที่ไม่มีอาวุธ 21 คนเป็นตัวประกัน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา อัลเบิร์ท เดล โรซาริโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของฟิลิปปินส์แถลงว่า "รัฐบาลฟิลิปปินส์เรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพที่เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังสังเกตการณ์การสงบศึก (UNDOF) ในที่ราบสูงโกลัน" โดยผู้ที่ถูกจับเป็นตัวประกันเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยรักษาสันติภาพของฟิลิปปินส์ 300 คน โรซาริโอกล่าวอีกว่า "การจับกุมตัวและกักขังเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของฟิลิปปินส์อย่างผิดกฏหมายถือเป็นการละเมิดกฏหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง" หลังจากเกิดสงครามโยมคิปปูร์ (Yom Kippur) ในปี 1973 ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างอียิปต์ ซีเรีย กับอิสราเอล ก็มีการก่อตั้งหน่วยงาน UNDOF ขึ้นในปี 1947 เพื่อตรวจสอบการปลดอาวุธของทั้งกองทัพอิสราเอลและกองทัพซีเรีย รวมถึงคอยควบคุมการหยุดยิงระหว่างสองฝ่าย ทางด้านฝ่ายกบฏแย้งว่ากลุ่มเจ้าหน้าที่ได้เข้ามาที่ในหมู่บ้านของซีเรียซึ่งอยู่ใกล้กับที่ราบสูงโกลันซึ่งอิสราเอลยึดครองอยู่ โดยเป็นอาณาเขตที่เจ้าหน้าที่ไม่ควรเข้ามา อีกทั้งยังเป็นเขตที่มีการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างฝ่ายกบฏกับกองกำลังรัฐบาล ฝ่ายกบฏสงสัยว่าเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพพยายามให้ช่วยเหลือศัตรูของพวกเขาคือปธน.บาชาร์ อัล อัสซาด ทางสหประชาชาติชี้แจงว่าเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพที่ถูกจับไปแค่เข้าไปปฏิบัติการจัดส่งเสบียงตามปกติ ขณะเดียวกันก็บอกว่าพวกเขากำลังส่งทีมเข้าไปช่วยแก้ไขสถานการณ์ โดยวิตาลี เชอร์กิน เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำยูเอ็นและประธานคณะมนตรีความมั่นคงฯ คนปัจจุบันกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ยูเอ็นกำลังเข้าไปเจรจากับฝ่ายกบฏ นายพล อาร์นูลโฟ เบอร์กอส โฆษกกองทัพฟิลิปปินส์กล่าวให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวอัลจาซีร่าว่าหน่วยรักษาสันติภาพที่ถูกจับตัวไปยังปลอดภัยดีและได้รับการปฏิบัติเหมือนแขกผู้มาเยือนจากฝ่ายนักรบกบฏซีเรีย สำนักข่าว CNN เปิดเผยว่าฝ่ายกบฏได้อัพโหลดวีดิโอขึ้นยูทูบสองคลิปเพื่อนำเสนอมุมมองของฝ่ายกบฏในเรื่องนี้ ในวีดิโอหนึ่งฝ่ายกบฏบอกว่าพวกเขาขอจับหน่วยรักษาสันติภาพไว้จนกว่ากองกำลังรัฐบาลซีเรียยอมล่าถอยออกจากหมู่บ้านอัล-จามลาห์ซึ่งมีการต่อสู้อย่างหนักหน่วง และร้องขอให้สหรัฐฯ, ยูเอ็น และคณะมนตรีความมั่นคงฯ เข้าแทรกแซงเพื่อให้กองกำลังของรัฐบาลออกจากพื้นที่ สำนักข่าวอัลจาซีร่าระบุตัวผู้พูดว่าเป็นโฆษกของกลุ่ม Martyrs of Yarmouk Brigades ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มกบฏต่อต้านรัฐบาลซีเรีย วีดิโออีกคลิปหนึ่งนำเสนอภาพกลุ่มกบฏเดินอยู่ใกล้ๆ กับรถบรรทุกของยูเอ็น และอ้างว่ากองกำลังของยูเอ็นเข้ามาในพื้นที่หมู่บ้านเพื่อช่วยเหลือกองกำลังรัฐบาลซีเรียโดยอ้างว่าจะมายุติการต่อสู้ ประธานคณะมนตรีความมั่นคงฯ เปิดเผยว่า ไม่มีการต่อสู้ระหว่างฝ่ายกบฏกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ยูเอ็น โดยเข้าใจว่าฝ่ายกบฏได้เข้ามายึดรถบรรทุกที่มีเจ้าหน้าที่ของ UNDOF โดยสารอยู่ อย่างไรก็ตามเชอร์กินกล่าวว่าการจับตัวเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ เป็นการกระทำที่แปลกประหลาดและยอมรับไม่ได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ UNDOF ไม่มีอาวุธและภารกิจของพวกเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งภายในของซีเรีย บันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ รวมถึงสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงฯ ต่างประณามการจับเจ้าหน้าที่เป็นตัวประกันในครั้งนี้
Syria rebels urged to release UN peacekeepers, Aljazeera, 07-03-2013 U.N. demands Syrian rebels release peacekeepers, CNN, 07-03-2013 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
บัณฑิต ไกรวิจิตร :สื่อในความรุนแรงชายแดนใต้ Posted: 07 Mar 2013 08:19 AM PST
ส่วนหนึ่งของปัญหาก็คือ "การรับรู้" และ "ความเข้าใจ" ที่มีต่อเหตุการณ์ ซึ่งถูกจำกัดผ่าน "การสื่อสารมวลชน" อันมีความนิ่งในระดับหนึ่ง ประชาชนไม่ได้ขาดการรับรู้ แต่อัดแน่นด้วยข่าวสารในชีวิตประจำวันจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เกิดความเคยชินกับคำต่างๆที่ถูกนำมาใช้ และสามารถเข้าใจตามตรรกที่มาจากการรับรู้อยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น "ความไม่สงบ" "โจรใต้" "ผู้ก่อการร้าย" "การแบ่งแยกดินแดน" "ผู้หลงผิด" และ "แนวร่วม" ฯลฯ คำต่างๆเหล่านี้ แผ่บรรยายกาศอันน่าสะพรึงกลัว และทำให้เกิดความหวาดระแวง และเมื่อแผ่ขยายปกคลุมอาณาเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เราผู้อาศัยในพื้นที่สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกว่าถูกคุกคาม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสลดหดหู่มากๆ เมื่อเรามองรอบตัว เราพบว่าทุกสิ่งรอบตัวสามารถคุกคามเราได้ ไม่ว่าจะหน้าตา การแต่งกาย ศาสนาที่นับถือ ขึ้นอยู่กับว่า "เรายืนอยู่ใกล้กับใคร" ในพื้นที่สามจังหวัดถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศลักษณะนี้ ผมคิดว่าพื้นที่มหาวิทยาลัย จากตัวอย่างของมหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ บรรยากาศดีกว่าภายนอกมากนัก และเรามีความสัมพันธ์กันภายใน เช่น ระหว่างนักศึกษากับนักศึกษา และนักศึกษากับอาจารย์ เราได้เห็นการเติบโตพัฒนาการของสภาพแวดล้อมและเราที่ต่างมีพัฒนาการไปด้วยกัน ที่อยู่บนเงื่อนไขที่ว่ารู้สึกว่าปลอดภัยเมื่ออยู่ภายในมหาวิทยาลัย การรายงานข่าวของไทยพีบีเอส คือ อะไร ? ประการแรก ที่ถูกวิจารณ์มากที่สุดคือการอธิบายแบบเหมารวมจากการนำเสนอข้อมูลด้านเดียว ข้อมูลด้านเดียวคืออะไร ก็คือ ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่มา จากการมองผ่านคำต่างๆ เช่น คำว่า "ความไม่สงบ" "โจรใต้" "ผู้ก่อการร้าย" "การแบ่งแยกดินแดน" "ผู้หลงผิด" และ "แนวร่วม" ซึ่งถูกส่งออกมาเพื่อจัดประเภทคนต่างๆ ทีนี้ ไทยพีบีเอส ทำหน้าที่ขยายเขตแดนจากภายนอกมหาวิทยาลัยแผ่คลุมเข้ามาในมหาวิทยาลัยฯ จากข้อมูลที่วาดภาพเป็นผัง "....." ทำให้เกิด "ภาพตัวแทน" ว่ากิจกรรมนักศึกษามีความสัมพันธ์ ตามแผนผังแนวร่วม ผู้หลงผิด ก่อการร้าย เพื่อแบ่งแยกดินแดน และเป็นโจรใต้ นักศึกษากลายเป็น "สิ่ง" ที่ถูก "เฝ้าระวัง" และ "ถูกระแวง" เสียเอง จากแต่เดิมการเข้ามาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยสามารถแสดงความคิดเห็นได้อิสระกว่าอยู่ภายนอก สามารถอภิปรายทางการเมือง แสดงความคิดเห็น เรียนรู้จากการปฏิบัติ หรือปลดโซ่ตรวนของตัวเองจากความกังวลทำให้กลายมาเป็น เสรีภาพ กลับกลายเป็นว่า สถานที่นี้กลายเป็น ตราประทับ "โจรใต้" และลามไปถึง ประเพณีปฏิบัติของมหาวิทยาลัย การรับน้อง การจัดพิธีการส่งรุ่นพี่ซึ่งสำเร็จการศึกษา และทางศาสนา. สิ่งที่ช่วยปลดปล่อยกลับกลายเป็นสิ่งคุมขังพวกเขาไว้ภายใต้คำ "ความไม่สงบ" "โจรใต้" "ผู้ก่อการร้าย" "การแบ่งแยกดินแดน" "ผู้หลงผิด" และ "แนวร่วม"ที่มาจากการนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเพียงไม่กี่นาที หากผมพูดไม่ผิด ยังไม่เคยมีการเสนอข่าวที่รุกล้ำและสร้างผลกระทบกับสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของสามจังหวัดภาคใต้ เท่าที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสกระทำมาก่อน ประการที่สอง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เป็นเครื่องมือให้แก่ยุทธศาสตร์การใช้กำลังทางทหารที่จะเข้า มาจัดการกับพื้นที่มหาวิทยาลัย ซึ่งด่วนสรุปว่า นักศึกษา คือ แนวร่วม/ผู้กระทำการ ซึ่งเป็นภัย คือ "ผู้ก่อความไม่สงบ" "โจรใต้" "ผู้ก่อการร้าย" "ผู้แบ่งแยกดินแดน" "ผู้หลงผิด" สำหรับประเด็นนี้ ในวันนี้ไม่มีข้อมูล และผมก็ยังไม่สรุป แต่หากพิจารณาจากการกระทำก็คือ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ใช้ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่อ้างให้ประชาชนทั้งประเทศโน้มเอียงไปเช่นนั้น หากได้ชมข่าว ก็จะเห็นได้ถึงความตั้งใจที่จะชี้นำเช่นนั้น ทำไม? ไทยพีบีเอส จึงนำเสนอเช่นนั้น หากไม่ใช่กระทำการเป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่น่าหวาดหวั่น หากตัดเหตุผลข้อดังกล่าวไปเนื่องจากมีแต่ผู้บริหารข่าวไทยพีบีเอสเท่านั้นที่ทราบ ผมไม่ทราบจึงขอเสนอว่า เนื่องจากเนื้อหาข่าวไม่มีการเสนอจากฝ่ายที่ถูกพาดพิงและถูกกล่าวหา ทั้งหมดมาจากเจตนาของกองบรรณาธิการข่าว และผู้ผลิตข่าว ซึ่ง เป็นเรื่องที่น่าสงสัยถึง ประสบการณ์ในการทำข่าวมาตลอดระยะเวลาหนึ่งไม่ได้ช่วยให้ไทยพีบีเอส ดีกว่าหรือแตกต่างจากสำนักข่าวที่ด้อยคุณภาพ ไม่เป็นมืออาชีพ ขาดความรับผิดชอบต่อผลกระทบจากการนำเสนอ และไม่สามารถดึงความรู้ความสามารถขององกรค์ของตนเอง เพื่อนำเสนอข่าวที่เป็นมืออาชีพได้ และขาดจรรยาบรรณ จึงมีผลให้การเสนอข่าวของไทยพีบีเอสคือการกระทำซ้ำเติมสถานการณ์ความรุนแรงให้เลวร้ายไปกว่าเดิม เช่น การสร้างความรู้สึกหวาดระแวงและหวาดกลัว ในรั้วมหาวิทยาลัย การนำเทคโนโลยีการควบคุมประชาชน เช่น การสร้างสภาวะกระอักกระอ่วน จากภายนอกเข้าสู่มหาวิทยาลัย การสร้างตราบาปติดตัวว่า "นักศึกษาคือโจรใต้" และ พวกผม ก็คงเป็น "อาจารย์ของโจร" ที่ผมพูดนั้นไม่ใช่โวหารพาไปและ ไม่ได้เล่นคำจนเกินเลยกว่าประสบการณ์ที่ได้รับรู้และให้คำปรึกษา เมื่อนักศึกษาฝึกงานหรือเดินทางไปทำกิจกรรมนอกพื้นที่สามจังหวัด หลายคนถูกเรียกว่า "ลูกโจร" ภาพตัวแทนที่ทำงานผ่านสื่อมวลชนหลายสำนักผลิตซ้ำ ตอกย้ำ ความหมายแสดงแทนเยาวชนที่มีที่มาจากสามจังหวัดภาคใต้ จนพวกเขาเองไม่สามารถอธิบายแทนตัวเองอย่างที่เขาเป็น มีแต่เสียงที่พูดออกมาได้น้อยนิดว่า "เขาไม่ได้อย่างที่พวกคุณคิด" "เราแค่คิดแตกต่างออกไป" สิ่งที่ไม่สามารถสร้างให้เกิดความหมายแทนตัวเองสู่สาธารณะได้ก็คือ พวกเขาต้องการสันติภาพ ต้องการความสงบปลอดภัย ต้องการให้เกิดความยุติธรรมสำหรับประชาชน ซึ่งพวกเขาเชื่อมั่นว่า หากมีความยุติธรรมเกิดขึ้น สิ่งที่หวังก็จะตามมา ประการที่สาม ภายหลังจากมีการร้องเรียนและนำเสนอกับสื่อมวลชนทางเลือก อื่นๆ เช่น โดยอาจารย์เอกรินทร์ ต่วนศิริ และตัวแทนนักศึกษา ได้ทำหนังสือเปิดผนึกถึง ผอ. สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และเผยแพร่ในสำนักข่าวประชาไท ปาตานี ฟอรั่ม ได้เกิดการเผยแพร่ส่งต่อกันในวงกว้าง และการให้สัมภาษณ์จากอาจารย์คณบดี มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา จึงมีการติดต่อกลับมาโดยนัยว่า เป็นการเสนอข่าวที่ผิดพลาด แต่ข่าวที่เสนอต่อมาโดยสัมภาษณ์นักศึกษาซึ่งมีเสียงเล็กน้อยมาก ออกมาภายใต้สภาพแวดล้อมของข่าวที่ตอกย้ำการเสนอไปแล้วว่า "นักศึกษาคือแนวร่วม" และตัวแทนนักศึกษาได้ออกมาเรียกร้องถึงความเสียหายจากการถูกเปิดเผย และเหมือนเป็นการแก้ตัวว่า "นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด" ไม่มีคำขอโทษ และสรุปยังอ้างอิงข่าวไทยพีบีเอสที่ได้เสนอไปแล้วเป็นการตอกย้ำ ประการที่สี่ เราได้เรียนรู้อะไรบ้างที่เรียกว่าความฉลาดหลังจากเหตุการณ์ ผมเห็นการกระทำที่เป็นการคุกคามต่อเสถียรภาพของชีวิตคน การกดทับจากการสื่อสารที่นอกเหนือจากอำนาจรัฐ เป็นการกระทำโดยเอกชนซึ่งเสริมภาพที่แช่แข็งของชีวิตชายแดนใต้ เห็นการเสริมอำนาจให้แก่ความน่าสะพลึงกลัว และองคาพยพ เช่น เครื่องมือสำหรับลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่ติดตามมากับ คำว่า แนวร่วม โจรใต้และลูก การสร้างสภาวะและการตอกย้ำจากสื่อ ทำให้เกิดเผด็จการของสัญญะ ซึ่งไม่ได้แยกแยะ ซึ่งก็คือ "ตราประทับ" ที่มา: PATANI FORUM ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
สำรวจเส้นทาง 'ผู้หญิง' สู่ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด Posted: 07 Mar 2013 07:45 AM PST 8 มีนาคม 2556 เนื่องในโอกาสวันสตรีสากล ปี 2013 ธุรกิจนานาชาติ อย่างไรก็ดี ประเทศกลุ่ม G7 ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ มีความคืบหน้าของบทบาทสตรี ข้อมูลจาก IBR ระบุว่า 24% ของตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงทั่ สุมาลี โชคดีอนันต์ กรรมการอาวุโสส่วนงานตรวจสอบบั ในการนี้ ประเทศญี่ปุ่น (มีสตรีดำรงผู้บริหารระดับสูง 7% ซึ่งอยู่ในอัตราต่ำที่สุดในทั่ ส่วนประเทศที่ติดอันดับ 10 ประเทศที่มีสตรีดำรงผู้บริ สถานการณ์ดังกล่าวนั้นมีความชั นอกจากนี้ รายงาน IBR ยังเปิดเผยเกี่ยวกับสายงานที่ สายงานที่นำเสนอโอกาสที่ดีที่สุ รายงาน IBR นำเสนอว่าสายงานที่สตรีจะมี • ในจำนวนธุรกิจที่มีสตรี • กลุ่มธุรกิจที่มีอัตราส่ • ประเทศที่มีอัตราส่วนของสตรี สายงานที่นำเสนอโอกาสที่ด้อยที่ ในทางกลับกัน รายงาน IBR เปิดเผยว่าสายงานที่สตรีจะมี • ในจำนวนธุรกิจที่มีสตรี • กลุ่มธุรกิจที่มีอัตราส่ • ประเทศที่มีอัตราส่วนของสตรี จุฬาภรณ์ นำชัยศิริ ผู้อำนวยการด้านธุรกิจการเงิน (Corporate Finance) แกรนท์ ธอร์นตัน ประเทศไทย กล่าวว่า "ปัจจุบัน ประเทศจีนเป็นเพียงประเทศเดี "ในช่วงสัปดาห์ที่เราเฉลิ ริเริ่มการสำรวจ IBR มาตั้งแต่ปี 2004 ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยนานับประการที่ นอกจากนี้ รายงาน IBR ยังนำเสนอว่าอัตราส่วนของสตรี เมเลยา ครูซส์ กรรมการส่วนงานภาษีของ แกรนท์ ธอร์นตันประเทศไทย กล่าวว่า "การที่มีสตรีจำนวนมากขึ้นที่มี ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
เครือข่ายเอฟทีเอ ฉะเดือด สภาธุรกิจไทย-อียู และ กกร. Posted: 07 Mar 2013 06:14 AM PST ขอให้โปรดพิจารณาพฤติกรรมของตั ตามที่ ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ ประธานกรรมการร่วมสภาธุรกิจไทย- เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
ปฏิกิริยาสื่อต่างประเทศ ต่อการเสียชีวิตของ 'ชาเวช' Posted: 07 Mar 2013 03:38 AM PST สื่อต่างประเทศได้นำเสนอข่าว บทความและบทวิเคราะห์แสดงมุมมองต่อการเสียชีวิตของอูโก้ ชาเวซ ผู้นำคนสำคัญของเวเนซุเอลล่าไว้หลากหลายแง่ รวมถึงผลกระทบต่อต่างประเทศทั้งด้านการเมืองและด้านเศรษฐกิจอย่างน้ำมัน และมรดก 'การปฏิวัติโบลิวาร์' ที่ชาเวซทิ้งไว้จะทำให้เวเนซุเอลล่าเดินไปในทิศทางใดต่อไป 6 มี.ค. 2013 - หลังจากที่อูโก้ ชาเวช ประธานาธิบดีเวเนซุเอลล่าเสียชีวิตจากอาการป่วยโรคมะเร็งด้วยอายุ 58 ปี เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ที่ผ่านมา สื่อต่างชาติต่างให้ความสนใจเหตุการณ์มรณกรรมในครั้งนี้อย่างมากและได้สะท้อนความเห็นเกี่ยวกับประธานาธิบดีผู้เต็มไปด้วยสีสันผู้นี้ไว้หลากหลาย รวมถึงประเมินอนาคตของประเทศเวเนซุเอลล่าที่ปราศจากชาเวช ว่าจะดำเนินไปในทิศทางใด สื่อ BBC ของอังกฤษ ได้รวบรวมคำที่สื่อต่างๆ ใช้เรียกอูโก้ ชาเวช โดยมีตั้งแต่ 'นักปลุกระดม' , 'จอมเผด็จการ' , 'คนอีโก้จัด' ไปจนถึง 'สัญลักษณ์แห่งการต่อต้านอเมริกันผู้เต็มไปด้วยสีสัน' The Times กล่าวถึงชาเวซว่าเขาเป็นผู้ที่เปลี่ยนตัวเองจากนักยั่วโมโหตัวเล็กๆ ที่อยู่ชายขอบการเมืองเวเนซุเอลลาให้กลายเป็นบุคคลสำคัญผู้มีบารมีและมีผู้ชื่นชมติดตามเขาจนเกือบกลายเป็นศาสนา The Times บอกอีกว่าจากการที่ชาเวซเคยเดินทางไปยังอิรักและอิหร่าน ทั้งยังเคยสนับสนุนกัดดาฟี อดีตผู้นำลิเบีย ทำให้พวกเขาคิดว่าชาเวซมองตัวเองเป็นผู้นำของประเทศโลกที่สามในระดับนานาประเทศ
Telegraph : ชาเวซเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านอเมริกันผู้เต็มไปด้วยสีสัน ทางด้าน The Daily Telegraph เรียกชาเวซว่าเป็น 'นักปฏิวัติสังคมนิยมผู้มีสไตล์เป็นของตัวเอง' และเป็นผู้นำเวเนซุเอลลาที่กลายเป็น 'สัญลักษณ์แห่งการต่อต้านอเมริกันผู้เต็มไปด้วยสีสัน' นอกจากนี้ Telegraph ยังได้นำเสนอการออกมาแสดงความเศร้าโศกเสียใจของประชาชนชาวเวเนซุเอลลา และกล่าวว่าชาเวซเป็นผู้ที่คอยกล่าวประณามสหรัฐฯ ว่าเป็นประเทศจักรวรรดิ์นิยม ซึ่งทำให้ชาเวซกลายเป็นนักวิจารณ์สหรัฐฯ อย่างฉะฉานและเป็นศัตรูที่คอยสร้างความขุ่นเคืองต่อสหรัฐฯ
หนังสือพิมพ์ The Guardian ของอังกฤษได้เล่าประวัติการต่อสู้ของชาเวซซึ่งเริ่มจากความไม่พอใจในระบบการเมืองของเวเนซุเอลล่ารวมถึงปัญหาการคอร์รัปชั่นและการละเมิดสิทธิมนุษยชน และหลังจากชาเวซขึ้นสู่อำนาจเขาก็ได้ปฏิรูปประเทศในหลายด้าน ซึ่งการนำเสนอของ The Guardian แสดงให้เห็นทั้งด้านบวกและด้านลบ "การถกเถียงยังคงดำเนินต่อไปว่าจริงๆ แล้วชาเวซจะถูกเรียกว่าเป็นผู้นำเผด็จการได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เขาไม่น่าถูกเรียกว่าเป็นนักประชาธิปไตย ชาเวซเป็นวีรบุรุษโดยเฉพาะในหมู่คนจน จากโครงการแนวประชานิยมของเขา แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้พยายามปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังในระดับชนชั้น และใช้อำนาจควบคุมฝ่ายตุลาการในการดำเนินคดีและกุมขังศัตรูทางการเมือง มีหลายคนที่ถูกสั่งเนรเทศ" The Guardian กล่าว The Guardian กล่าวอีกว่าในระดับนานาชาติ ชาเวซแสดงตัวเป็นผู้ที่คอยสนับสนุนช่วยเหลือผู้ที่มีอุดมการต่อต้านจักรวรรดิ์นิยมด้วยกัน เขาเคยกล่าวอ้างว่าเวเนซุเอลล่าจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยโลกจากทุนนิยมอันชั่วร้าย และเคยเรียกจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ว่าเป็น 'ปีศาจ' "...ชาเวซทำได้ดีในบางส่วน แต่ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจในเวเนซุเอลล่า และความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปอย่างราบเรียบกับเผด็จการอย่างโรเบิร์ต มูกาเบ (ปธน.ซัมบับเว) และมุมมาร์ กัดดาฟี ก็ทำให้ความน่าชื่นชมของเขาลดลง แม้แต่กับฝ่ายซ้ายนานาชาติ" The Guardian กล่าว ในแง่การเสียชีวิตของชาเวซในอีกข่าวหนึ่งของ The Guardian ได้กล่าวถึงว่า การเสียชีวิตของผู้นำทำให้การปฏิวัติสังคมนิยมในเวเนซุเอลล่าเกิดความไม่แน่นอนในอนาคต แต่คาดว่างานพิธีศพของชาเวซจะต้องยิ่งใหญ่ไม่แพ้ของเอวิต้า (อีวา เปรอง ภรรยาคนที่สองของอดีตผู้นำอาร์เจนติน่า ฮวน เปรอง)
The Independent : การเสียชีวิตของชาเวซจะยิ่งทำให้เวเนซูเอล่าแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมือง ขณะที่ The Independent เปิดเผยว่า แม้การเสียชีวิตของชาเวซจะทำให้สูญญากาศทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาหลายเดือนและสร้างความไม่แน่ใจให้กับประเทศเวเนซุเอลลาและประเทศฝ่ายซ้ายพรรคพวกของเขาจบลง แต่อนาคตของประเทศเวเนซุเอลล่าที่เป็นประเทศแหล่งน้ำมันชั้นนำก็จะมีการต่อสู้แบ่งขั้วทางการเมืองเกิดขึ้น โดยที่ The Independent เรียกชาเวซว่าเป็นผู้นำที่ 'อีโก้จัด' , 'จอมคุยโว' และเป็น 'ผู้ทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย' The Independent กล่าวอีกว่า ช่วงที่ชาเวซหายหน้าไปก็ได้สร้างความตึงเครียดมาก่อนแล้ว โดยเฉพาะช่วงที่เข้าไม่สามารถขึ้นพิธีสาบานตนเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาได้ และแม้ฝ่ายต่อต้านชาเวชจะไม่พอใจแต่ฝ่ายรัฐบาลก็ยืนยันมาตลอดว่าชาเวซยังคงบริหารประเทศผ่านเตียงคนไข้ในโรงพยาบาลได้ แต่ประเด็นนี้รวมถึงเรื่องการขาดข้อมูลก็ทำให้ความอดทนของฝ่ายต่อต้านลดลงเรื่อยๆ การเลือกตั้งของเวเนซุเอลลาจะมีขึ้นภายใน 30 วัน ซึ่ง The Independent วิเคราะห์ว่า รองประธานาธิบดีนิโคลาส มาดูโร ผู้ประกาศข่าวการเสียชีวิตของชาเวซ คงใช้ประโยชน์จากความเห็นใจของประชาชนในการลงสมัครเลือกตั้งอย่างแน่นอน แม้ว่ามาดูโรจะให้คำมั่นว่าจะขายผลสิ่งที่เรียกว่า 'การปฏิวัติโบลิวาร์' ต่อไป แต่พวกเขาก็มีคู่แข่งที่น่ากลัว คือเฮนริค คาปริเลส ผู้ว่าราชการจากพรรคฝ่ายค้านผู้ที่สร้างฐานเสียงไว้ตั้งแต่การเลือกตั้งปธน.ครั้งก่อน
The New York Times : ไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่ชาเวซก็ได้เปลี่ยนการมองตัวเองของเวเนซูเอล่าไปแล้ว The New York Times เริ่มต้นด้วยการนำเสนอความคิดเห็นจาก พิเนดา ผู้ที่รอคอยให้ชาเวซช่วยเหลือฟื้นฟูบ้านเกิดจากภัยโคลนถล่มในปี 1999 มาตลอด 13 ปี ซึ่งก็ยังไม่ได้รับช่วยเหลือ แต่พิเนดาก็ยังสนับสนุนชาเวซเพราะเชื่อว่าเขาเป็นคนที่ทำให้เวเนซุเอลลาก้าวหน้า และเป็นคนที่อยู่ข้างเดียวกับผู้ที่ขาดแคลน จากนั้นจึงมีการแสดงความเห็นจาก จอย โอลซัน ผู้อำนวยการ WOLA กลุ่มสนับสนุนด้านสิทธิในละตินอเมริกาของสหรัฐฯ โดยบอกว่าชาเวซได้ทำให้ประชาชนเวเนซุเอลล่ารู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นมาก่อน และในหลายประเทศรวมถึงสหรัฐฯ คนจนก็ไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของระบอบ The New York Times กล่าวอีกว่า ชาเวซเป็นเหมือน 'กิ้งก่าเปลี่ยนสี' ในเชิงอุดมการณ์โดยปรับเปลี่ยนโครงการหรือนโยบายตามที่คิดว่าเหมาะกับตน เช่นการบอกว่าตนเป็นนักสังคมนิยมผู้ยึดทรัพย์สินและวิสาหกิจมาเป็นของรัฐแต่ก็ฉวยโอกาสสร้างความร่ำรวยให้ตนเอง พูดถึงอิสรภาพทางเศรษฐกิจโดยให้ทุนตั้งร้านขายของชำแต่ก็ละเลยภาคการเกษตรทั้งยังนำเข้าอาหารจำนวนมาก วิจารณ์สหรัฐฯ แต่ก็พึ่งพาสหรัฐฯ ในฐานะผู้ซื้อน้ำมัน รายงานของ The New York Times นำเสนออีกว่าการบริหารของชาเวซแสดงให้เห็นการพัฒนาของกรุงการากัสในหลายๆ ด้าน ชื่นชมนโยบายเช่นการรักษาพยาบาลฟรีและลดกำแพงการเข้าถึงการศึกษาระดับสูงว่า แต่ก็มีบางส่วนดำเนินการล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามจากการสัมภาษณ์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเวเนซุเอลลาก็บอกว่าชาเวซเป็นผู้เปลี่ยนแปลงจิตสำนึกของชาวเวเนซุเอลล่า ทำให้ประชาชนอย่างพวกเขารู้สึกมีคุณค่า
Granma (สื่อรัฐบาลคิวบา) : ชาเวซเป็นเสมือนลูก และคอมมานดันเตผู้กล้า ด้านสื่อรัฐบาลคิวบา ประเทศพันธมิตรสำคัญประเทศหนึ่งสำหรับชาเวซได้นำเสนอแถลงการณ์จากคณะรัฐบาลปฏิวัติของคิวบา แสดงความเศร้าโศกเสียใจต่อการจากไปของชาเวซ รวมถึงแสดงความเห็นใจต่อครอบครัวและประชาชนชาวเวเนซุเอลล่า แถลงการณ์กล่าวอีกว่าพวกเขาจะยังให้การสนับสนุนการปฏิวัติโบลิวาร์ และเหล่าผู้นำทางการเมืองและการทหารของโบลิวาร์ผู้เปรียบเสมือนสหาย (compañeros) และชาเวซก็เป็นดั่งคอมมานดันเต (comandante) เป็นนักสู้ผู้กล้าที่เปรียบได้กับวีรบุรุษโบลิวาร์กลับชาติมาเกิดและสามารถสานต่อในสิ่งที่โบลิวาร์ไม่อาจทำให้สำเร็จได้ นอกจากนี้ยังกล่าวชื่นชมการที่ชาเวซเป็นนักสู้ที่ต่อสู้กับจักรวรรดิ์นิยมและเป็นผู้ปกป้องคนจน แรงงาน และประชาชนชาวคิวบา "ชาวคิวบารู้สึกว่าเขาเป็นหนึ่งในลูกชายดีเด่น และรู้สึกชื่นชมเขา ติดตามเขา รักเขาเสมือนลูกแท้ๆ ชาเวซก็ถือเป็นชาวคิวบาเช่นกัน!" รัฐบาลคิวบากล่าวในแถลงการณ์ "เขาเคยร่วมกับฟิเดลประหนึ่งลูกแท้ๆ และมีมิตรภาพใกล้ชิดกับราอูล (คาสโตร) มาก" "แบบอย่างของชายผู้นี้จะนำเราไปสู่การต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง" รัฐบาลคิวบากล่าวในแถลงการณ์
จอน ลี แอนเดอสัน : การปฏิวัติที่ไม่มีผู้สืบต่อ นักเขียนชีวประวัติ จอน ลี แอนเดอสัน ได้เขียนประวัติของชาเวซลงในเว็บบล็อกของ New Yorker โดยเล่าถึงประสบการณ์ที่เคยพบชาเวซในช่วงปี 1999 หลังชาเวซได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีเวเนซุเอลล่าได้ไม่นาน ในตอนที่ชาเวซขึ้นกล่าวอบรมในมหาวิทยาลัยในประเทศคิวบา ซึ่งขณะนั้นนำโดยฟิเดล คาสโตร ผู้นำสังคมนิยมต่อต้านอเมริกาคนสำคัญอีกคนหนึ่ง จอนกล่าวว่า ชาเวซอ่อนกว่าคาสโตรเกือบ 30 ปี ซึ่งคาสโตรเปรียบเสมือนบิดาผู้ที่ชาเวซเดินรอยตาม และคาสโตรก็มองชาเวซเสมือนลูกหรือไม่ก็ผู้สืบทอด จอนยังเคยตั้งคำถามเกี่ยวกับการนำแนวทางสังคมนิยมมาใช้ในปี 2005 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการที่ชาเวซขึ้นสู่อำนาจหลายปี ซึ่งชาเวซตอบจอนว่า เขารู้ดีว่าเขามาช้าเกินไปในเรื่องนี้ ช้าในแบบที่ทั้งโลกเลิกใช้แนวคิดนี้หมดแล้ว แต่ชาเวซบอกว่าเขาเริ่มเห็นด้วยกับสังคมนิยมหลังจากที่เขาอ่านเรื่อง 'เหยื่ออธรรม' ของวิกเตอร์ ฮูโก้ นอกจากนี้ จอน ยังได้เปรียบเทียบชาเวซกับผู้นำฝ่ายซ้ายประชานิยมอีกท่านหนึ่งคือ ปธน. ลุลา ของบราซิลซึ่งดำเนินนโยบายโดยเน้นที่คนจนเช่นกัน แต่ทางบราซิลมีระบบการบริหารที่ดีกว่าและประสบความสำเร็จมากกว่า และสิ่งที่ชาเวซขาดอีกหย่างหนึ่งคือการสืบต่อด้านการบริหาร "จากนี้ไปจะมีแต่ความสิ้นหวังและความกังวล เพราะไม่มีใครที่เหมือนชาเวซตามมาหลังจากนี้" จอนกล่าว "แน่นอนว่าแนวทาง 'ชาเวซนิยม' ยังคงไม่ลุล่วง และมาดูโรจะพยายามสืบต่อการปฏิวัติต่อไป แต่ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขกำลังร่ำร้อง แล้วเชื่อได้ว่าถัดจากนี้อีกไม่นาน ชาวเวเนซุเอลล่าที่โศกเศร้ากับการสูญเสียผู้นำจะโศกเศร้ากับการปฏิวัติที่ยังไม่เสร็จสิ้นของเขาด้วย"
ในแง่สุญญากาศทางการเมืองของเวเนซุเอลล่าหลังชาเวซเสียชีวิต คาร์ล มีแชม ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเชิงยุทธศาสตร์ระดับนานาชาติของสหรัฐฯ (CSIS) ได้เขียนบทความลงใน CNN กล่าวว่า นิโคลาส มาดูโร ผู้ที่เปรียบเสมือนผู้สืบทอดของชาเวซอาจต้องเผชิญกับความแตกแยกทั้งจากในพรรคสังคมนิยม (United Socialist Party of Venezuela) และความแตกแยกในหมู่กองทัพัเวเนซุเอลล่า โดยความขัดแย้งนี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าเวเนซุเอลล่าจะมีการเปลี่ยนผ่านทางอำนาจอย่างสันติได้หรือไม่ หรืออาจนำไปสู่ความรุนแรงหากหลายฝ่ายมีการล็อบบี้เพื่อขึ้นสู่อำนาจ คาร์ล วิเคราะห์ว่า รองปธน. มาดูโรอาจไม่มีแรงสนับสนุนจากประชาชนมากเท่าชาเวซ แต่เขาจะเป็นผู้นำพรรคด้วยอิทธิพลที่มีอยู่พอสมควร ขณะที่ตัวแปรสำคัญจะกลายเป็นปฏิกิริยาจากกองทัพเวเนซุเอลล่า โดยกองทัพจะแบ่งออกเป็นสามค่าย คือหนึ่ง ค่ายที่เน้นความเป็นกองทัพในเชิงสถาบัน ค่ายนี้เน้นด้านประสิทธิภาพไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยส่วนใหญ่ ค่ายที่สอง คือกองทัพค่ายที่เน้นกฏหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งหลังจากชาเวซเสียชีวิตแล้ว ดิออสดาโด คาเบลโล ประธานรัฐสภาจะเป็นผุ้ดูแลประเทศในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 30 วันข้างหน้า ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าคาเบลโล อดีตทหารเวเนซุเอลล่าผู้เคยร่วมการพยายามทำรัฐประหารในปี 1992 กับชาเวซมีแรงสนับสนุนจากในกองทัพมากกว่าและอาจถูกดันให้ขึ้นเป็นผู้สมัครปธน.อีกราย ค่ายที่สามคือกองทัพที่อยู่ข้างชาเวซซึ่งมีพันธกิจเรื่องการปฏิวัติ มีแนวโน้มจะสานต่ออุดมการณ์ของชาเวซและผลักดันให้มาดูโรเป็นผู้นำ ในเรื่องเศรษฐกิจ คาร์ลก็บอกว่ายังน่าเป็นห่วงเมื่อวัดจากอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าประเทศละตินอเมริกาประเทศอื่นๆ และบริษัทน้ำมันของรัฐก็ขาดเงินทุนในการดำเนินการผลิตในฐานปัจจุบันหรือการขยายฐานไปยังที่อื่น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศพันธมิตรที่ได้รับการสนับสนุนด้านน้ำมันจากเวเนซุเอลล่าด้วย เนื่องจากในสมัยชาเวซประเทศที่เขาถือว่าเป็นมิตรจะได้รับส่วนลดและสิทธิในการแลกเปลี่ยนอื่นๆ ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่หลังสมัยชาเวซ ขณะเดียวกันในแง่การต่างประเทศ ประเทศในแถบภูมิภาคอาจรู้สึกสูญเสียอิทธิพล รวมถึงประเทศอย่างอิหร่านที่สูญเสียผู้สนับสนุนใหญ่ในแถบภูมิภาคละตินอเมริกา และแม้ว่าจะมีการสานสัมพันธ์ต่อแต่พงกเขาจะไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนของชาเวซอีก ทางด้านรัฐบาลรัสเซียซึ่งได้รับผลประโยชน์จากการซื้ออาวุธของเวเนซุเอลล่า ก็ดูจะสูญเสียฐานในละตินอเมริกาไปเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีผู้นำประเทศอื่นๆ เช่น บาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรีย และรัฐบาลเกาหลีเหนือซึ่งน่าจะรู้สึกว่าการเสียชีวิตของชาเวซมีผลกระทบต่อพวกเขา คาร์ล เปิดเผยว่าสหรัฐฯ เองก็อาจได้รับผลกระทบในแง่ที่เวเนซุเอลล่ายังเป็นผู้จัดหาน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับที่ 4 สำหรับสหรัฐฯ และหากการเปลี่ยนผ่านอำนาจเกิดความรุนแรงและการส่งออกลดลง ผู้บริโภคน้ำมันในสหรัฐฯ ก็จะประสบกับภาวะน้ำมันขึ้นราคา และการเติบโตทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย อีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นมากในช่วงที่ชาเวซดำรงตำแหน่งคือปัญหาการค้ายาเสพย์ติด และทางสหรัฐฯ ก็เคยระบุว่ามีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเวเนซุเอลล่าเข้าข่ายเจ้าพ่อยาเสพย์ติดรายใหญ่ด้วย คาร์ลกล่าวว่า การต่อสู้แย่งชิงอำนาจที่ชื้อเยื้อจะยิ่งทำให้ผู้ค้ายามีช่องทางมากขึ้นในเวเนซุเอลล่า คาร์ลเสนอว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้กลุ่มผู้นำประเทศในภูมิภาค รวมถึงประเทศอย่างสหรัฐฯ เม็กซิโก บราซิล โคลัมเบีย และแคนาดา ควรช่วยกันสนับสนุนให้เกิดการเลือกตั้งอย่างถูกต้องและเสรี เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนผ่านของเวเนซุเอลล่าเป็นไปอย่างสงบและเป็นประชาธิปไตย ซึ่งแม้ว่าเวเนซุเอลล่าจะยังคงมีการแบ่งฝ่ายกันไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่การเลือกตั้งที่โปร่งใสจะช่วยให้เวเนซุเอลล่าปฏิรูปเพื่อปัญหาต่างๆ ได้ ความรู้สึกของผู้นำประเทศอื่นๆ ผู้นำของประเทศอื่นก็มีความรู้สึกหลากหลายต่อการเสียชีวิตของชาเวซ มีทั้งที่แสดงความเศร้าและรู้สึกยินดี เช่น เอ็ด รอยซ์ นักการเมืองพรรครีพับลิกันผู้เป็นประธานคณะกรรมการกิจการต่างประเทศของสหรัฐฯ บอกว่า "อูโก้ ชาเวซเป็นทรราชย์ผู้ที่ใช้อำนาจทำให้ประชาชนเวเนซุเอลลาตกอยู่ภายใต้ความกลัว" ขณะที่ คริสตินา เคิร์ชเนอร์ ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา กล่าวว่ารัฐบาลอาร์เจนติน่าจะหยุดกิจกรรมทุกอย่างชั่วคราวเพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่ชาเวซ The Independent วิเคราะห์ด้วยว่า คริสติน่า เคิร์ชเนอร์ ผู้เป็นพันธมิตรกับชาเวซน่าจะกลายเป็นผู้นำตัวแทนละตินอเมริกาคนต่อไปที่จะคอยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับสหรัฐฯ ทางด้านดิลมา รูสเซฟฟ์ ประธานาธิบดีของบราซิลกล่าวถึงชาเวซว่า "เขาเป็นคนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อต่อประชาชนในทวีปผู้ที่ต้องการเขา" ขณะที่ประธานาธิบดี บารัก โอบาม่า ของสหรัฐฯ ได้กล่าวแถลงการณ์ในเชิงไมตรีว่า "ในช่วงเวลาที่ท้าทายจากการจากไปของประธานาธิบดีฮิวโก้ ชาเวซ ทางสหรัฐอเมริกายังคงยืนยันการสนับสนุนประชาชนชาวเวเนซุเอลลา และการพัฒนาความสัมพันธ์ในเชิงสร้างสรรค์กับรัฐบาลเวเนซุเอลลา" ขณะที่ไมค์ โรเจอร์ นักการเมืองพรรครีพับลิกันประธานคณะกรรมการฝ่ายงานข่าวกรองของสหรัฐฯ หวังว่าการเสียชีวิตของชาเวซจะเป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอลลา แต่ โฮเซ่ เซอร์ราโน นักการเมืองพรรคเดโมแครทจากเขตเดอะบร็องซ์ ซึ่งเป็นย่านที่ยากจนที่สุดในนิวยอร์กซิตี้กล่าวชื่นชมชาเวซฝ่านทวิตเตอร์ว่าเขาเป็นผู้นำที่เข้าใจความต้องการของคนยากจน และมีพันธกิจในการส่งเสริมผู้ที่ไม่มีอำนาจ
Papers reflect on Hugo Chavez's life, BBC, 06-03-2013 Hugo Chávez obituary, The Guardian, 05-03-2013 After Chávez's funeral, who gets Venezuela's poisoned chalice?, The Guardian, 05-03-2013 Death of Venezuelan President Hugo Chavez leaves tears - and a nation divided, The Independent, 06-03-2013 Hugo Chavez dies, leaving Venezuela in turmoil, The Telegraph, 06-03-2013 For Good or Ill, Chávez Altered How Venezuela Views Itself, The New York Times, 06-03-2013 Statement from Revolutionary Government, Granma, 06-03-2013 POSTSCRIPT: HUGO CHÁVEZ, 1954-2013, The New Yorker, 05-03-2013 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
จำคุก 2 ชาวบ้านคดีขัดแย้ง ‘สวนป่าโคกยาว’ กองทุนยุติธรรมฯ หอบเงินแสนประกันตัว Posted: 07 Mar 2013 03:20 AM PST ปมขัดแย้งสวนป่าโคกยาว ศาลจังหวัดภูเขียวอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยืนตามศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 2 พ่อลูก 4 เดือนข้อหารุกป่า ไม่รอลงอาญา ตั้งวงเงินประกัน 2 แสนต่อคน กองทุนยุติธรรมจังหวัดชัยภูมิหอบเงินแสนประกันตัว เมื่อวันที่ 6 มี.ค.56 ศาลจังหวัดภูเขียว จ.ชัยภูมิ นัดอ่านนัดอ่านฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในคดีบุกรุกสวนป่าโคกยาว ซึ่งมีนายทอง กุลหงส์ อายุ 72 ปี และนายสมปอง กุลหงส์ อายุ 48 ปี สองพ่อลูกชาวบ้าน ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เป็นจำเลยในความผิดข้อหาบุกรุก แผ้วถาง ก่นสร้าง และทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม โดยมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นตัดสินเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.55 ลงโทษให้จำคุก 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา พร้อมกำหนดหลักทรัพย์ประกันตัวจากรายละ 100,0000 บาท ต่อมาเพิ่มเป็นรายละ 200,000 บาท ทำให้ชาวบ้านต้องนำหลักทรัพย์ในศาลชั้นต้นของทั้ง 2 ราย มารวมกัน เพื่อประกันตัวลูกชายออกมาก่อน เนื่องจากมีปัญหาบกพร่องทางสมอง ส่วนพ่อต้องถูกจำคุก กระทั่งนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ได้ใช้ตำแหน่งประกันตัวออกมาเมื่อ 28 มิ.ย.55 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลกำหนดหลักทรัพย์ประกันตัว รายละ 200,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นชาวบ้าน ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป และหาเก็บเห็ด หน่อไม้ เพื่อยังชีพไปวันๆ ไม่สามารถจ่ายได้ ส่วนเงินที่ชาวบ้านช่วยเหลือรวบรวมกันมาได้ก็ไม่พอจ่าย อย่างไรก็ตามในช่วงบ่าย ชาวบ้านในนามเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน ได้ประสานไปยังกองทุนยุติธรรม จังหวัดชัยภูมิ ของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และได้รับความช่วยเหลือในการประกันตัว เพื่อสู้คดีในชั้นฎีกาต่อไป ทั้งนี้ กรณีพื้นที่สวนป่าโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ดินทำกิน นับแต่มีการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม เมื่อปี 2516 และมีโครงการปลูกสวนป่าด้วยการนำไม้ยูคาฯ มาปลูกในพื้นที่เมื่อปี 2528 จนเกิดเป็นกรณีพิพาทที่ชาวบ้านเคยทำกินในพื้นที่มาก่อน กระทั่งเมื่อวันที่ 1 ก.ค.54 เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ ประมาณ 200 นาย โดยการนำของนายอำเภอคอนสาร บุกเข้ามาจับกุมชาวบ้านรวม 10 ราย พร้อมทั้งมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับชาวบ้าน ในข้อหาร่วมกันบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม โดยเจ้าหน้าที่ป้องรักษาป่าที่ ชย.4 คอนสาร เป็นโจทก์ โดยแยกเป็น 4 คดี ทั้งหมดถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาลจังหวัดภูเขียว อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ล่าสุดศาลชั้นต้นพิพากษาไปทั้ง 4 คดีแล้ว คดีแรก เมื่อ 22 พ.ค.55 ศาลพิพากษานายคำบาง กองทุย อายุ 65 ปี และนางสำเนียง กองทุย อายุ 61 ปี (สามี-ภรรยา) จำคุก 4 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีที่ 2 เมื่อ 13 มิ.ย.55 ศาลพิพากษานายทอง กุลหงส์ อายุ 72 ปี และนายสมปอง กุลหงส์ อายุ 48 ปี สองพ่อลูกจำคุก 4 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีที่ 3 วันที่ 9 ส.ค.55 ศาลพิพากษานายสนาม จุลละนันท์ อายุ 59 ปี จำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีที่ 4 วันที่ 28 ส.ค.55 ศาลพิพากษานายเด่น คำแหล้ อายุ 60 ปี (จำเลยที่ 1) และนางสุภาพ คำแหล้ อายุ 57 ปี (จำเลยที่ 4) ตัดสินจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลย อีก 3 ราย คือนายบุญมี วิยาโรจน์ อายุ 51 จำเลยที่ 2 , นางหนูพิศ วิยาโรจน์ อายุ 70 ปี (ภรรยานายบุญมี) จำเลยที่ 5 และนางเตี้ย ย่ำสันเทียะ อายุ 54 ปี ศาลยกฟ้อง ศรายุทธ ฤทธิพิณ สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน กล่าวว่า ชีวิตของชาวบ้านนั้นยากลำบากอยู่แล้ว แล้วยังถูกซ้ำเติมด้วยการที่หน่วยงานภาครัฐประกาศเขตป่าฯ ทับที่ทำกิน พร้อมกับอาศัยกลไกกระบวนการยุติธรรม มาตั้งข้อกล่าวหาว่าชาวบ้านบุกรุกพื้นที่ และหลายต่อหลายครั้งคำพิพากษามักตกอยู่ที่ชาวบ้านเป็นผู้กระทำผิด ทั้งนี้ คำพิพากษากรณีความขัดแย้งเรื่องที่ดินทำกินถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะกระบวนการยุติธรรมเปรียบเสมือนเป็นผู้ตัดสิน กุมชะตากรรมของชาวบ้านที่เรียกร้องความเป็นธรรมในสังคม ซึ่งกระบวนการยุติธรรมควรสะท้อนให้สังคมได้รับรู้และเข้าใจปัญหาที่ดินทำกินด้วยว่า กลุ่มผู้ถูกคดีและผู้ต้องหาเป็นเพียงเกษตรกรและคนยากจนในสังคม เป็นชุมชนและชาวบ้านที่มีวิถีการดำเนินชีวิตด้วยการพึ่งพาฐานทรัพยากรธรรมชาติ และต้องการเรียกร้องให้รัฐแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและจัดสรรที่ดินให้อย่างเป็นธรรม ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
Posted: 07 Mar 2013 12:08 AM PST | ||||
Posted: 07 Mar 2013 12:03 AM PST ฮูโก ชาเวซ ซึ่งพึ่งเสียชีวิตไป ประกาศตัวเป็น "นักสังคมนิยม" แต่เราต้องประเมินว่าเขาสร้ ต้นกำเนิดของรัฐบาล ฮูโก ชาเวส พอถึงปี ค.ศ.1989 ประชาชนทนไม่ไหว มีการลุกฮือครั้งใหญ่ในเมื ฮูโก ชาเวซ เป็นสมาชิกกลุ่มนายทหารหนุ่มที่ ในปี1998 ชาเวซลงสมัครรับเลือกตั้งเป็ ต่อมาในปี 2000 ชาเวซ ชนะการเลือกตั้งอีกรอบด้วยคะแนน 59% คราวนี้มีการออกกฎหมายเพื่อบั อย่างไรก็ตาม ในปี 2002 ทหารฝ่ายขวาทำรัฐประหารโดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ และชาเวซถูกจับเข้าคุก ไม่มีใครในกองทัพช่วย แม้แต่เพื่ ในปี 2004 ชาเวซจัดให้มีประชามติเพื่อดูว่ ปัญหาของรัฐ ในระดับหนึ่ง ชาเวซพยายามสร้างรัฐใหม่คู่ขนานกับรั ยิ่งกว่านั้น ชาเวซมองว่า เผด็จการ "คอมมิวนิสต์" ของคิวบา เป็นแม่แบบในการสร้างสังคมใหม่ ซึ่งในรูปธรรมหมายความว่า ชาเวซจะเน้นการนำพรรคพวกของเขาเข้ การทำการปฏิวัติสังคมแค่ครึ่ ชาเวซประกาศว่า ตนเองเป็นผู้นำที่ต่ ฝ่ายซ้ายหลายกลุ่มในเวเนซูเอลา เช่น กลุ่ม "ต่อสู้ชนชั้น" และกลุ่ม Por Nuestras Luchas (กลุ่ม "โดยการต่อสู้ของเราเอง") เสนอว่า ต้องมีการปลุ หลังจากที่ชาเวซจากโลกนี้ไป เครื่องชี้วัดว่า เขาเปลี่ยนสั
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น