ประชาไท | Prachatai3.info |
- “สมัชชาแรงงาน” ย้ำ “ปฏิรูป” เพื่อประกันสังคมถ้วนหน้า อิสระ และโปร่งใส
- เวทีเรียนรู้‘ผังเมืองชาวบ้าน’ สีอุตสาหกรรมที่‘ปากบารา-จะนะ-นาปรัง’
- รบ.ตูนีเซีย ปราบผู้ชุมนุม-ประกาศเคอร์ฟิว อ้างเรื่องก่อการร้าย
- ตร.สั่งคุมเข้ม ห้ามเด็กต่ำกว่า 18 ออกจากบ้านหลัง 4 ทุ่ม
- สาละวินโพสท์ : ฉาวอีก กองทัพพม่าใช้นักโทษหาทุ่นระเบิดในเขตสู้รบ
- สำนักข่าวฉาน : สิบสองปันนาสร้างพิพิธภัณฑ์ชาวไต และ ขุนส่า
- ใจ อึ๊งภากรณ์ : ข้อถกเถียงที่สร้างสรรค์ ในขบวนการเสื้อแดง
- ดัน 10 ล้าน แปลวิกิฯ เป็นภาษาไทย มุ่งเป็นอันดับ 2 ภาษาท้องถิ่นออนไลน์
- กรุงเทพโพลล์ : ปชช. 62.9% บอกนโยบายประชาวิวัฒน์ไม่มีผลต่อการเลือกลงคะแนน
- กก.วัฒนธรรมฯ สั่งแบนทีเซอร์ "เลิฟ จุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก"
“สมัชชาแรงงาน” ย้ำ “ปฏิรูป” เพื่อประกันสังคมถ้วนหน้า อิสระ และโปร่งใส Posted: 13 Jan 2011 01:21 PM PST แรงงานร่วมพันรวมตัว “สมัชชาแรงงาน” ยื่นเสนอเจตนารมณ์การปฏิรูปประกันสังคม 5 ข้อ ให้นายก ด้านเลขาฯ สปส.แจงความคืบหน้า คาดผู้ประกันตนมีสิทธิใช้บริการ ร.พ.ในสาธารณสุขได้ทุกแห่งเมษานี้ ส่วนหมอวิชัยแนะโอนการรักษาไปไว้ สปสช. ชี้สิทธิในประกันสังคมน้อยกว่า วันนี้ (13 ม.ค.54) เมื่อเวลา 8.30 น.คณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย, สภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย และเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน จัดงานสมัชชาแรงงาน: ปฏิรูปประกันสังคมกับคุณภาพชีวิตแรงงาน “ประกันสังคมถ้วนหน้า อิสระ และโปร่งใส” เพื่อสร้างการเรียนรู้และรณรงค์ให้การปฏิรูปประกันสังคมครอบคลุมคนทำงานทุกภาคส่วน มีความเป็นอิสระ และโปร่งใส นำไปสู่การสร้างสังคมสวัสดิการและสังคมไร้การกีดกันในอนาคต เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประธานเปิดงานเดินทางเข้ามาถึงบริเวณที่จัดงาน กลุ่มแรงงานได้จัดกิจกรรมนิทรรศการมีชีวิต โดยแสดงบทบาทสมมติของกลุ่มแรงงานที่อยู่ภายใต้ตาข่ายซึ่งสื่อแทนการครอบคลุมของระบบประกันสังคมแบบเดิมๆ ที่ไม่มีคุณภาพในการบริการแก่แรงงานในระบบ ในขณะเดียวกันก็ไม่ครอบคลุมแรงงานกลุ่มอื่นๆ โดยเรียกร้องให้การปฏิรูปประกันสังคมนำไปสู่ระบบประกันสังคมถ้วนหน้า มีความเป็นอิสระ และโปร่งใส เพื่อรับใช้ประชาชน จากกนั้น นายอภิสิทธิ์ ในฐานประธานกล่าวเปิดงาน และปาฐกถาพิเศษว่า การจากการเฝ้าติดตามเรื่องประกันสังคมเป็นเวลานานกว่า 20 ปี มีความพยายามที่จะขยายระบบประกันสังคมให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงานมากกว่า 20 ล้านคน และเมื่อรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศก็ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่าจะต้องมีการปรับปรุงเรื่องของการบริหารระบบประกันสังคม เช่น การขยายการคุ้มครองถึงบุตรและคู่สมรสของผู้ประกันตนในกรณีเจ็บป่วย การเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆ และพูดถึงความมั่นคงด้านรายได้ รวมทั้งการมีสวัสดิการที่ดี และมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาให้กับผู้ใช้แรงงาน นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลในปัจจุบันจะเดินหน้าในการสร้างหลักประกันความมั่นคงให้กับสังคม และการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น ข้อเสนอทั้งในเรื่องการขยายการครอบคลุมประกันสังคม เรื่องความอิสระและความโปร่งใสการจัดการกองทุนประกันสังคม และการปฏิรูปในภาพรวม เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง ถือว่าเป็นหลักการที่สอดคล้องในหลักการการแก้ไขปัญหาของประเทศ และล่าสุด ได้มีการประกาศเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปประเทศไทย พร้อมยืนยันว่าในฐานะฝ่ายบริหารเห็นว่าการปฏิรูประบบประกันสังคมเป็นวาระสำคัญ หลังจบการปาฐกถา นางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ตัวแทนเครือข่ายแรงงาน ได้อ่านเจตนารมณ์การปฏิรูปประกันสังคมและยื่นต่อนายอภิสิทธิ์ โดยมีเนื้อหา 5 ข้อ คือ 1.ปฏิรูปสำนักงานประกันสังคมเป็นองค์กรอิสระ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และปราศจากการแทรกแซงจากฝ่ายรัฐ 2.ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการกองทุนประกันสังคม โดยผู้ประกันตนมีสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหาร และบริหารโดยมืออาชีพ 3.ขยายสิทธิประโยชน์และครอบคลุมคนทำงานในทุกกลุ่มอาชีพ อย่างเท่าเทียม เป็นธรรม และเป็นระบบที่ยั่งยืน 4.ผู้ประกันตนที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย มีสิทธิเข้ารักษาในโรงพยาบาลคู่สัญญากับสำนักงานประกันสังคมได้ทุกแห่งทั่วประเทศ และ 5.ขยายสิทธิประกันสังคม ให้ผู้ประกันตนได้เข้าถึงสิทธิอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม แรงงานนอกระบบ – ข้ามชาติ ร้องปรับปรุงสิทธิประโยชน์ประกันสังคม นางสุจิน รุ่งสว่าง ผู้ประสานงานเครือข่ายแรงงานนอกระบบ กล่าวในเวทีเสวนทิศทางการปฏิรูปประกันสังคมกับการคุ้มครองคุณภาพชีวิตแรงงานทุกภาคส่วนว่า เดิมมาตรา 40 ของกฎหมายประกันสังคมไม่ได้จูงใจให้แรงงานนอกระบบเข้ามาอยู่ในประกันสังคม เนื่องจากจ่ายแพงถึง 3,360 บาท เป็นรายปี โดยที่ได้สิทธิประโยชน์เพียง 3 อย่าง ส่วนรูปแบบที่รัฐบาลเตรียมมาใช้ดึงดูดแรงงานนอกระบบให้เข้าสู่ในระบบที่ออกมา ทั้ง 2 รูปแบบ คือ 1.แรงงานจ่าย 70 บาท รัฐสมทบ 100 บาท 2.ผู้ประกันตนจ่าย 100 บาท รัฐสมทบ 50 บาท ยังไม่โดนใจแรงงานนอกระบบทั้งหมด นางสุจิน ให้เหตุผลต่อมาว่า รูปแบบที่จ่ายเงินสมทบ 100 บาทรัฐสมทบ 50 บาท มีสิทธิประโยชน์ 3 อย่าง แต่ไม่ได้รวมสิทธิบำนาญชราภาพ ซึ่งเป็นหัวใจที่แรงงานนอกระบบขับเคลื่อนตลอดมา เพื่อหวังสร้างความมั่นคงในชีวิต โดยไม่ต้องลำบากลูกหลานมาดูแล อีกทั้งยังตัดสิทธิของผู้ประกันตนหากจะเข้ากองทุนเงินออมแห่งชาติ (กอช.) ส่วนรูปแบบที่จ่ายเงินสมทบอีกรูปแบบหนึ่ง จ่ายเงิน 70 บาท โดยเปิดสิทธิ์ให้เข้าร่วม กอช.ได้ แต่มีแต่บำเหน็จอย่างเดียว หากให้เลือกระบบใดระบบหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เห็นด้วย แรงงานนอกระบบกว่า 40 ล้านคน อยากเห็นมาตรา 40 ที่มีทั้งระบบบำเหน็จและบำนาญ เพราะลำพังเงินจากบำเหน็จอย่างเดียวคงไม่พอกิน อีกทั้งรัฐควรมีการสร้างกลไกที่เชื่อมโยงระหว่างประกันสังคมและ กอช.โดยไม่สร้างความสับสนให้แรงงานที่จ่ายเงินสมทบ และไม่ตัดสิทธิ์การออมกับ กอช. “เราภูมิใจถ้าเรามีประกันสังคมที่มันเอื้อกับเรา เราภูมิใจในการที่เราสมทบ เราภูมิใจเพราะเราไม่ต้องไปแบมือขอใคร เราจะเตรียมตัวของเรา และจะสมทบเงินของเราเก็บไว้กินตอนชราภาพ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต” ผู้ประสานงานเครือข่ายแรงงานนอกระบบกล่าว ขณะที่ นายอดิศร เกิดมงคล เครือข่ายแรงงานข้ามชาติ กล่าวถึงข้อเสนอของกลุ่มแรงงานข้ามชาติว่า ควรมีการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ ของแรงงานข้ามชาติที่ต้องเข้าสู่ระบบประกันสังคมกว่า 80,000 คน โดยเฉพาะเรื่องประกันการว่างงานและชราภาพ ซึ่งแรงงานข้ามชาติมีโอกาสใช้สิทธิน้อยมาก โดยเสนอให้ปรับนำมาตั้งเป็นกองทุนของแรงงานข้ามชาติ เพื่อยังประโยชน์กับตัวแรงงาน และปรับอัตราส่งเงินสมทบที่เหมาะสม อีกทั้งปรับแก้ พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ ให้มีลักษณะยืดหยุ่น สอดคล้องกับสถานการณ์การจ้างงาน ทั้งนี้ประเทศไทยมีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาการจ้างงานตามนโยบายพิสูจน์สัญชาติที่ให้แรงงานทำงานได้เพียง 4 ปี ส่วน นายประสิทธิ์ จงอัศญากุล คณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) ฝ่ายนายจ้าง กล่าวว่า ระบบประกันสังคมนั้นรัฐต้องดูแลคนทั้งชาติ แต่สำหรับประเทศไทยยังไม่ใช่ ระบบประกันสังคมไทยที่ออกกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2533 ควรเรียกว่าเป็นกองทุนของผู้ทำงานที่มีนายจ้างประจำ ส่วนเงิน 7 แสนกว่าล้านในกองทุนนี้เป็นเงินลูกจ้างที่ได้สมทบกันมาเพื่อที่จะใช้เป็นเงินเกษียรยามชราภาพในอีกไม่กี่ปีนี้ ไม่ใช่เงินที่ควรถูกนำมาเฉลี่ยให้กับแรงงานกลุ่มอื่นๆ ที่รัฐจะรับเข้าไปอยู่ในระบบประกันสังคมเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน อย่างไรก็ตามจากที่รัฐต้องดูแลเรื่องสวัสดิการให้คนอย่างเสมอภาคกัน ดังนั้นเราจึงควรร่วมกันเรียกร้องรัฐให้ตั้งกองทุนในลักษณะเดียวกันนี้กับแรงงานกลุ่มอื่นๆ แทน เสนอ “สิทธิการรักษาพยาบาล” รวมอยู่ใน สปสช.ชี้สิทธิในประกันสังคมน้อยกว่า ด้านนพ.วิชัย โชควิวัฒน กรรมการปฏิรูปประเทศไทย และทำหน้าที่กรรมการแพทย์ในประกันสังคมมาถึง 9 ปี กล่าวถึงสิทธิประโยชน์ในการรักษาพยาบาลว่า ในส่วนของข้าราชการและระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านั้นเป็นเงินภาษีที่รัฐออกให้หมด แต่ประกันสังคมต้องเก็บเงินจากประชากรจำนวนกว่า 10 ล้านคน ตรงนี้คือความไม่เป็นธรรม และเงินที่เก็บมาในปัจจุบันก็ถูกใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ แต่หากเปลี่ยนโครงสร้างระบบบริหารจะประหยัดการใช้เงินลงได้มากขึ้น อีกทั้งสิทธิที่ผู้ใช้แรงงานในระบบประกันสังคม ยังมีส่วนที่ควรได้รับมากกว่าที่ได้ในปัจจุบัน ยกตัวอย่างมาตรา 41 ใน พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ เมื่อไปรักษาแล้วเกิดความเสียหาย โดยเสียชีวิต หรือพิการ ต้องมีการจ่ายค่าชดเชย แต่เรื่องนี้ระบบประกันสังคมไม่มี “ปัจจุบันเพื่อให้ระบบการรักษาพยาบาลมีการพัฒนาและเท่าเทียมกัน สิทธิในระบบประกันสังคมในปัจจุบันนั้น ได้น้อยกว่าของสิทธิบัตรทองหลายเรื่อง ดังนั้นควรโอนเรื่องการรักษาพยาบาลไปอยู่กับ สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ทั้งหมด ไม่ควรทำสิ่งที่ตรงข้าม คือ เอาคู่สมรสและบุตรของผู้ประกันตนเข้ามาอยู่ในระบบประกันสังคม” นพ.วิชัยกล่าว นพ.วิชัย กล่าวต่อมาว่า ประกันสังคมในปัจจุบัน ใช้เงินรักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วย ที่ไม่เนื่องมาจากการทำงานหัวละกว่า 2,000 บาท ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่แพงเกินไป และเงินส่วนนี้เข้าไปสู่โรงพยาบาล แต่ประโยชน์ของผู้ประกันตนกลับได้รับเท่าเดิมขณะที่เงินเพิ่มขึ้น แต่หากโอนไปอยู่ภายใต้ สปสช.คำนวณจากตัวเลขค่าแรงผู้ใช้แรงงานทั่วไปเฉลี่ย 8,000 กว่าบาทต่อเดือน รัฐบาลขณะนี้สมทบ 1.5 % คิดเป็นเงิน 1,440 บาท แล้วนำเงินจำนวนนี้โอนไปให้ สปสช.เพื่อดูแลการรักษาพยาบาลทั้งหมด โดยสิทธิต้องไม่น้อยกว่าเดิม ส่วนเงินของผู้ประกันตนและนายจ้างสบทบ 2 ส่วนนี้ ก็นำไปใช้จ่ายในสิทธิส่วนอื่นที่เหลือ เช่น เสียชีวิต คลอดบุตร ทุพพลภาพ ผลคือจะมีเงินเหลือจำนวนมากที่สามารถนำไปเป็นเงินออมให้ผู้ประกันตน และจะทำให้ความไม่เป็นธรรมในเรื่องการเก็บเงินสมทบหมดไป สอดคล้องกับ นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งกล่าวถึงประเด็นที่ท้าทายสังคมคือเรื่องความเป็นธรรมว่า ปัจจุบันคนไทย 65 ล้านคนมีผู้ประกันตนราว 10 ล้านคนเท่านั้น ที่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล และถึงแม้จะจ่ายเงินแต่สิทธิประโยชน์ของประกันสังคมกับ สปสช.กลับต่างกันนับ 100 รายการ และอีกกว่า 10 รายการที่ประกันสังคมไม่มี เช่น ผู้ประกันตนเป็นคนกลุ่มเดียวที่ห้ามป่วยฉุกเฉินเกินปีละ 2 ครั้ง ระบบการส่งต่อผู้ป่วยที่ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกล สปสช.สามารถส่งต่อโดยเฮลิคอปเตอร์ได้ ทั้งหมดเป็นความแตกต่างที่เกิดจากการบริหารจัดการที่ต่างกัน สำหรับทางออกระยะสั้นเสนอให้ปรับสิทธิประโยชน์ของประกันสังคมให้เท่ากับ สปสช.ส่วนระยะยาวควรปรับสิทธิประโยชน์รายหัวให้ทุกคนเท่าเทียมกัน โดยดูแลในระบบเดียวที่เป็นธรรม คาดเมษาได้ข้อยุติ “สิทธิ” ใช้บริการ รพ.สาธารณสุข ได้ทุกแห่ง นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า ทราบถึงปัญหาของระบบประกันสังคมและพยายามแก้ไขอยู่ซึ่งต้องใช้เวลาในการแก้ไข ส่วนบางข้อต้องไปหาข้อเท็จจริงเพิ่มเพื่อไปดำเนินการ อย่างไรก็ตามความคืบหน้าการปฏิรูปประกันสังคมนั้น ในอนาคตโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมี 887 แห่ง กำลังจะมีข้อตกลงกับประกันสังคมอย่างชัดเจนว่าให้ผู้ประกันตนสามารถเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลสาธารณสุขแห่งใดก็ได้ ส่วนโรงพยาบาลในการดูแลของกระทรวงกลาโหม 16 แห่ง และโรงพยาบาลของกทม.อีกกว่า 10 แห่ง ก็ยินดีให้ผู้ประกันตนรักษาที่โรงพยาบาลใดก็ได้ในสังกัดเดียวกัน สำหรับการรักษาข้ามสังกัดโรงพยาบาลคาดว่ามีข้อยุติในช่วงสงกรานต์ปีนี้ นายปั้น กล่าวต่อมาว่า ในส่วนของโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในเครือข่ายประกันสังคมราว 90 แห่งได้มีการแนะนำให้จับกลุ่ม โดยในกลุ่มนี้สามารถรักษาข้ามโรงพยาบาลกันได้ ส่วนขั้นต่อไป หลังจากสงกรานต์จะมีการผลักดันให้มีมีการข้ามการรักษาระหว่างโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ทำให้ผู้ประกันตนไปรักษาที่ไหนก็ได้ เลขาธิการ สปส.กล่าวด้วยว่า ในอนาคตประกันสังคมอยากให้ สปสช.เป็นผู้ให้บริการการรักษาพยาบาล โดยประกันสังคมมีหน้าที่จ่ายเงิน เพื่อให้เป็นระบบเดียวกัน และประกันสังคมจะจ่ายเองในโรคที่ สปสช.รักษาไม่ได้ ส่วนโครงสร้างการบริหารจัดการกองทุนประกันสังคม และความเป็นองค์กรอิสระนั้น ก็มีแนวคิดให้ผู้ประกันตนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมกำกับดูแลการบริหารงานของประกันสังคม ซึ่งการเลือกกรรมการตัวแทนจากผู้ประกันตนเข้ามา โดยเป็นในรูปของสมัชชามากำกับดูแลการทำงานของประกันสังคม และเปลี่ยนทุก 3 หรือ 6 เดือน แทนเลือกตั้งเข้ามา 2 ปี ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศของงานสมัชชาแรงงานในวันนี้เป็นไปอย่างคึกคัก เนื่องจากมีกลุ่มผู้ใช้แรงงานในภาคส่วนต่างๆ เครือข่ายภาคประชาสังคม ภาครัฐ รวมทั้งผู้สนใจเข้ารวมกว่าหนึ่งพันคน อีกทั้งบริเวณด้านหน้าห้องประชุมก็มีการนำสินค้าฝีมือแรงงานกลุ่มต่างๆ มาวางจำหน่ายด้วย ส่วนช่วงบ่ายของงานสมัชชาแรงงาน มีการจัดสัมมนากลุ่มย่อยโดยแบ่งเป็น 4 หัวข้อหลัก คือ การปฏิรูปประกันสังคมกับแรงงานในระบบ ประชาวิวัฒน์กับการขยายประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ แรงงานข้ามชาติกับรูปแบบประกันสังคมที่เหมาะสม และการเข้าถึงสิทธิและบริการด้านสุขภาพของคนไทย ทำไมต้องหลายระบบ หลายมาตรฐาน ซึ่งในแต่ละห้องจะมีการเสวนา จากนั้นเป็นการแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อระดมความคิดเห็นของผู้เข้าร่วม ประมวลเป็นมติข้อเสนอของแต่ละห้องย่อย และจบกิจกรรมของวันด้วยพิธีมอบมติสมัชชาแรงงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ทั้งนี้ มติดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้ มติสมัชชาแรงงานแห่งชาติ ปฏิรูปประกันสังคมกับคุณภาพชีวิตแรงงาน พ.ศ. 2554 เรื่อง การบริหารจัดการให้ระบบประกันสังคมเกิด ความถ้วนหน้า อิสระ โปร่งใส และเป็นธรรม เป็นที่ทราบกันแล้วว่าระบบความคุ้มครองทางสังคมของประเทศไทย โดยเฉพาะประเด็นความคุ้มครองการเข้าถึงสิทธิและบริการ รวมถึงระบบการรองรับเพื่อให้คนทำงาน ได้รับบริการอย่างเป็นธรรมตามสิทธิพื้นฐานภายใต้ระบบประกันสังคม ที่ไม่เอื้อให้เกิดความคุ้มครองทางสังคมต่อคนทำงาน แม้ระบบประกันสังคมไทยจะดำเนินงานมากว่า 20 ปี และมีพัฒนาการทั้งที่เกี่ยวข้องกับกฏหมาย การบริหารจัดการกองทุน ตลอดจนการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ในหลายด้าน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันระบบประกันสังคมยังไม่สอดคล้อง หรือเท่าทันต่อสถานการณ์ด้านแรงงาน กล่าวคือ 1. กฎหมายประกันสังคมยังมีข้อจำกัดยกเว้นกิจการที่ไม่บังคับใช้เป็นจำนวนมาก เช่น คนทำงานบ้านที่ไม่มีธุรกิจรวมอยู่ด้วย ลูกจ้างในงานเกษตรฤดูกาล หาบเร่แผงลอย 2. สถานประกอบการจำนวนไม่น้อยยังหลบเลี่ยงไม่ขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน และไม่นำส่งเงินสมทบที่หักจากลูกจ้างเข้ากองทุนประกันสังคม 3. การให้บริการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลในสังกัดประกันสังคมยังขาดมาตรฐาน 4. การบริหารกองทุนโดยขาดการมีส่วนร่วมของผู้ประกันตน ไม่โปร่งใส นำไปสู่การแสวงหาผลประโยชน์จากกองทุนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จากสถานการณ์ปัญหาดังกล่าว เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน อันประกอบด้วยคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย สภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย เครือข่ายแรงงานนอกระบบ เครือข่ายเกษตรกรพันธสัญญา สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย เครือข่ายปฏิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย มูลนิธิเพื่อนหญิง มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน มูลนิธิร่วมมิตรไทย-พม่า มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ ชมรมเครือข่ายผู้ประกันตน เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ และคณะกรรมาธิการการแรงงานจึงได้จัดสมัชชาแรงงานระดับชาติ : ปฏิรูปประกันสังคมกับคุณภาพชีวิตแรงงาน พ.ศ. 2554 มีการเตรียมการต่อเนื่องกันมาโดยลำดับ และมีการจัดประชุมผู้เกี่ยวข้องกลุ่มต่างๆ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2553 ถึง มกราคม 2554 ที่ประชุมมีมติในเรื่อง การบริหารจัดการให้ระบบประกันสังคมเกิดความถ้วนหน้า อิสระ และโปร่งใส ดังต่อไปนี้ 1.ขอให้กระทรวงแรงงาน ดำเนินการดังต่อไปนี้ 1.1 แต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาวิจัยการบริหารจัดการให้ระบบประกันสังคมเกิดความถ้วนหน้า อิสระ และโปร่งใสรวมทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของกลไกการบริหารจัดการระบบประกันสังคมในปัจจุบัน โดยกำหนดให้มีตัวแทนคณะกรรมการศึกษาวิจัยที่มาจากคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ คนทำงานด้านแรงงาน และตัวแทนจากแรงงาน ที่เกี่ยวข้องกับกลไกต่างๆดังกล่าว โดยเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในสังคมอย่างกว้างขวาง และพัฒนาให้เกิดกลไกการขับเคลื่อน และกระบวนการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพร่วมกันของเครือข่ายด้านแรงงาน แล้วนำผลการศึกษาที่ได้พร้อมข้อเสนอเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาระดับสาธารณะต่อไป 1.2 ทบทวนกฎหมายหรือระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการด้านระบบประกันสังคม 2.ขอให้รัฐบาล ดำเนินการดังต่อไปนี้ 2.1 สนับสนุนกระบวนการสมัชชาแรงงานแห่งชาติด้านประกันสังคม ให้เป็นกลไกนโยบายสาธารณะเพื่อการผลักดันและการพัฒนาระบบประกันสังคมให้สอดคล้องกับหลักการความถ้วนหน้า อิสระ โปร่งใส และเป็นธรรม 2.2 ขยายขอบเขตการคุ้มครองให้ครอบคลุมคนงานทุกกลุ่มอาชีพ 2.3เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ คุณสมบัติ อำนาจหน้าที่ ที่มาและวาระของคณะกรรมการประกันสังคม 2.4 กรรมการฝ่ายผู้ประกันตนและฝ่ายนายจ้างมาจากการเลือกตั้งโดยตรง 2.5สำนักงานประกันสังคมต้องเป็นองค์กรอิสระที่ไม่ใช่หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงแรงงาน และอยู่ภายใต้กำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี 2.6 การบริหารจัดการกองทุนประกันสังคม ต้องเป็นไปอย่างอิสระ โปร่งใส เป็นธรรม มีกลไกการตรวจสอบ และบริหารจัดการโดยมีออาชีพ 2.7 ฐานค่าจ้างในการคำนวณเงินสมทบให้ขึ้นกับค่าจ้างของผู้ประกันตนแต่ละราย 2.8 ผู้ประกันตนที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยหรือทุพพลภาพที่มิใช่เนื่องจากการทำงาน มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนบริการทางการแพทย์ ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำงาน 2.9 ผู้ประกันตนมีสิทธิใช้บริการสถานพยาบาลทุกแห่ง ที่เป็นคู่สัญญากับสำนักงานประกันสังคม 2.10 ผู้ประกันตน มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์บุตรสำหรับบุตรอายุไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์ 2.11 ผู้ประกันตนที่ว่างงาน มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพพร้อมกับกรณีว่างงาน และให้ขยายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานเป็นเวลา 1 ปี 2.12 ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ให้ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ 1 เท่า และรัฐบาลออกเงินสมทบ 2 เท่า 2.13 ผู้ประกันตนที่มิใช่ลูกจ้างตามมาตรา 40 ให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่าอัตราเงินสมทบที่ได้รับจากผู้ประกันตน 2.14 พัฒนาสิทธิประโยชน์ประกันสังคม มาตรา 40 ให้เท่าเทียมกับสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 รวมทั้งพัฒนาสิทธิประโยชน์อื่นให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาที่แรงงานนอกระบบต้องเผชิญ อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงในการทำงาน 2.15 การได้รับหลักประกันสังคม จะต้องไม่ตัดสิทธิของคนทำงานจากระบบสวัสดิการสังคมอื่นๆ เช่น ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, กองทุนการออมแห่งชาติ ฯลฯ 2.16 ให้แก้ไขปรับปรุงกฎหมายประกันสังคมให้สอดคล้องและเหมาะสมกับภาวะการจ้างงานในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ เช่น กรณีการว่างงาน และชราภาพอาจไม่สอดคล้องกับแรงงานข้ามชาติ 2.17 เพิ่มบทลงโทษกรณีนายจ้างไม่นำส่งเงินสมทบหรือนำส่งเงินสมทบไม่ครบ 2.18 ให้ขยายระยะเวลาการใช้สิทธิเรียกร้องสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคม เป็นเวลา 2 ปี สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เวทีเรียนรู้‘ผังเมืองชาวบ้าน’ สีอุตสาหกรรมที่‘ปากบารา-จะนะ-นาปรัง’ Posted: 13 Jan 2011 09:25 AM PST เวทีเรียนรู้‘ผังเมืองชาวบ้าน’ ที่ภาคใต้ พื้นที่ลงโครงการใหญ่ของรัฐ มุมมองต่อสีอุตสาหกรรมและแนวคิดในการทำผังเมืองเอง กำหนดโซนในหมู่บ้านเองของชาวบ้านปากบารา จะนะ และบ้านนาปรัง ผังเมืองชาวบ้าน น่าจะเป็นตัวสะท้อนถึงความต้องการใช้ประโยชน์ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งความขัดแย้งที่มีต่อโครงการพัฒนาของรัฐ ได้อย่างหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ โครงการร่วมสร้างสรรค์สุขภาวะ : นโยบายสาธารณะด้านผังเมืองและการมีส่วนร่วมของชุมชน จัดโดย มูลนิธิบูรณะนิเวศ (มบน.) ร่วมกับ เครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงมีขึ้นเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายด้านผังเมือง ในการมองอนาคต สำหรับนโยบายสาธารณะเชิงพื้นที่ด้านผังเมือง เป็นเวทีที่จัดขึ้น เพื่อให้ประชาชนและชุมชนมีความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการวางและจัดทำผังเมือง สร้างสรรค์ประเภทพื้นที่และข้อกำหนดของชุมชน ประกอบด้วย กลุ่มพื้นที่ชายฝั่งภาคตะวันออก ภาคตะวันตกและภาคใต้ ที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เมื่อวันที่ 18 – 19 ธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา เป็นคิวของภาคใต้ จัดขึ้น ณ ศูนย์โภชนาการ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นเวทีการเรียนรู้และปฏิบัติการผังเมือง ครั้งที่ 2 ผู้เข้าร่วม เป็นชาวบ้านจากจังหวัดสงขลา และสตูลประมาณ 50 คน โดยมีอาจารย์ภารนี สวัสดิรักษ์ และอาจารย์ชุณหเดช พรหมเศรณี 2 นักวิชาการอิสระจากเครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม นำเสนอการวางแผนพัฒนาพื้นที่และผังเมือง การวางแผนพัฒนาเชิงพื้นที่และผังเมือง แนวคิดและขั้นตอนการวางแผนพัฒนาพื้นที่และผังเมืองโดยชุมชน จากนั้นมีการแบ่งกลุ่มชาวบ้านออกเป็น 3 กลุ่มย่อย คือกลุ่มชาวบ้านอำเภอจะนะ กลุ่มชาวบ้านอำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา และกลุ่มชาวบ้านอำเภอละงู จังหวัดสตูล โดยให้แต่ละกลุ่มพิจารณาว่า พื้นที่มีศักยภาพของชุมชนของตัวเองกับโครงการแผนพัฒนาของภาครัฐอยู่ตรงไหนบ้าง ดังนั้น ในการเรียนรู้เรื่องผังเมือง ต้องรู้ว่า จะมีโครงการอะไรลงมาในพื้นที่บ้าง ซึ่งชุมชนต้องขับเคลื่อนด้วยกระบวนการภาคประชาชน โดยเสนอผ่านสภาองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) แล้วออกเป็นข้อบัญญัติขององค์การบริหารส่วนตำบล กำหนดเป็นผังชุมชนออกมา การทำผังเมืองโดยผ่านสภาองค์การบริหารส่วนตำบล จนมีผลบังคับใช้ได้ จะต้องยื่นเรื่องไปยังกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอีกครั้ง ก่อนที่ประกาศใช้เป็นกฎกระทรวงต่อไป สีผังเมืองกำหนดบทบาทแบบชาวบ้าน พื้นที่แต่ละสีสามารถกำกับพื้นที่นั้นๆ ได้ เช่น พื้นที่สีม่วงใช้รองรับอุตสาหกรรมครัวเรือน ห้ามเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเคมี พื้นที่ชุมชนห้าม มีอาคารสูงกว่า 3 ชั้น รอบๆโรงเรียน มัสยิดและวัด ห้ามมีสถานบันเทิง ร้านคาราโอเกะใกล้ 500 เมตร พื้นที่ตลาดพาณิชย์ ห้ามมีห้างร้านต่างชาติ เป็นต้น สองวัฒนธรรม แนวคิดผังเมืองชาวบ้านจะนะ นายร่อหีม หมะสะมะ ชาวบ้านบ้านป่างาม ตำบลตลิ่งชัน อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ออกมาอธิบายถึงสภาพปัจจุบันพื้นที่อำเภอจะนะเป็นพื้นที่อยู่อาศัย เกษตรกรรม ทะเล แหล่งน้ำ ป่าอนุรักษ์ ตลาดนัดอำเภอจะนะ ถนนจะนะ โรงไฟฟ้า โรงแยกก๊าซและแนวท่อก๊าซไปสะเดา โดยชี้ไปตามสีจากการระดมความคิดที่ระบายบนกระดาษไขทับแผนที่อำเภอจะนะ “บริเวณป่าพรุ ป่าชายเลน แม่น้ำ ทะเลที่อุดมสมบูรณ์ ไม่อยากให้มีการกั้นคันเขื่อนในทะเล ห้ามมีรีสอร์ท นอกจากโฮมสเตย์ของชาวบ้านเท่านั้น” นายร่อหีม กล่าว นายร่อหีม กล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่อยากให้ขุดลอกฝายคลองปลักปลิง-นาปรัง เขื่อนนาปรัง ป่าสันทราย(หาดสะกอม-ตลิ่งชัน) พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ “ดำรงชีพแบบเกษตรกรรมพอเพียงตามคำขวัญของอำเภอจะนะ คือนกเขาชวาเสียงดี สำเนียงสะกอม วัฒนธรรมหล่อหลอม กองทัพเจนดัง ส่วนอีกหนึ่งคำขวัญคือ แตงโมรสหวาน ตำนานนกเขา ถิ่นเก่าสองวัฒนธรรม งามล้ำหาดตลิ่งชัน” นายร่อหีม กล่าว ปากบาราคือพื้นที่อนุรักษ์เข้มข้น นายดาดี ปากบารา ชาวบ้านท่ามาลัย ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล อายุ 73 ปี ออกมานำเสนอในนามตัวแทนกลุ่มว่า สภาพพื้นที่จังหวัดสตูลอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีอุทยานแห่งชาติถึง 3 แห่ง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 2 แห่ง ประกอบด้วย อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา อุทยานแห่งชาติทะเลบัน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้างและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด นายดาดี อธิบายต่อไปว่า ในจังหวัดสตูล มีโครงการแผนพัฒนาของรัฐลงมาถึง 5 - 6 โครงการ คือโครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา รถไฟรางคู่เชื่อมท่าเรือน้ำลึกปากบารากับท่าเรือสงขลาแห่งที่ 2 หรือรถไฟแลนด์บริดจ์ คลังน้ำมันและท่อขนถ่ายน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีนิคมอุตสาหกรรม1แสน 5 หมื่นไร่ อุโมงค์สตูล-เปอร์ลิศ ประเทศมาเลเซีย และอ่างเก็บน้ำคลองช้าง(เขื่อนทุ่งนุ้ย) นายดาดี กล่าวว่า การสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา จะต้องนำทรายจากบ้านบ่อเจ็ดลูก บ้านปากละงูและบ้านหัวหิน อำเภอละงู และระเบิดภูเขาอีก 10 ลูกมาสร้างท่าเรือน้ำลึก นายดาดี บอกว่า ในอนาคตในส่วนของตำบลปากน้ำ อยากให้ตัดถนนเส้นใหม่จากบ้านท่ามาลัยไปบ้านปากบารา และต่อไปยังบ้านบ่อเจ็ดลูก ส่วนบ้านเรือนและร้านค้าสองข้างถนน ห้ามก่อสร้างอาคารสูงเกิน 3 ชั้น ห้ามมีบ้านจัดสรร พื้นที่การเกษตรห้ามใช้สารเคมี และมีพื้นที่สงวนไว้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ นายดาดี อธิบายต่อไปว่า บริเวณโรงเรียนและมัสยิดในระยะ 500 เมตร ห้ามมีร้านวิดีโอเกมส์หรือเกมส์คอมพิวเตอร์ สถานบันเทิง ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์เข้มข้น ซึ่งมีปะการัง หญ้าทะเล แหล่งหากินของพะยูนและโลมา โดยสงวนไว้เพื่อการท่องเที่ยวและการทำประมงชายฝั่งและห้ามใช้เครื่องมือประมงทำลายล้างผิดกฎหมาย “เมื่อเป็นมติชุมชนแล้ว ก็จะให้มีตัวแทนชุมชนเป็นผู้ควบคุมกฎ ส่วนทางราชการก็ให้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามมติของชุมชนด้วย” นายดาดี อธิบาย บ้านนาปรัง-เข้าน้ำค้าง เขตห้ามสร้างเขื่อน ด้านนางพรเพชร เพ็ชรครั่ง ชาวบ้านนาปรัง ตำบลคลองกวาง อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา นำเสนอแนวคิดของกลุ่มว่า ให้มีพื้นที่สีเขียวอ่อน ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งครอบคลุมมาถึงพื้นที่อำเภอจะนะ “พื้นที่สีเขียวคือเขตอุทยานแห่งชาติเขาน้ำค้าง ห้ามใครรุกล้ำ แต่ปัจจุบันเป็นพื้นที่สวนยางพาราและสวนผลไม้” นางพรเพชร กล่าว นางพรเพชร อธิบายต่ออีกว่า วัดคือพื้นที่สีน้ำเงิน กำหนดให้เป็นศูนย์รวมของชุมชน บริเวณสีแดงกำหนดเป็นตลาดและร้านค้าสหกรณ์ สถาบันการเงินของชุมชน โดยดำเนินกิจการเปิดบ่อรับซื้อน้ำยางสด “สำหรับพื้นที่บ้านนาปรังและเขาน้ำค้างจะกำหนดให้เป็นป่าอนุรักษ์ห้ามบุกรุกเด็ดขาด ห้ามสร้างเขื่อน ชาวบ้านจะรักษาป่าไว้เยี่ยงชีวิต สามารถปลูกยางพาราและสวนผลไม้ได้ต้องห่าง 1 กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย” นางพรเพชร ยืนยันหนักแน่น เขตลุ่มน้ำห้ามมีการสร้างโรงแรมหรือรีสอร์ทขนาดใหญ่ พื้นที่สีเขียวเข้มห้ามประกาศยกเลิกพื้นที่ไปสร้างอ่างเก็บน้ำโดยเด็ดขาด อาจารย์ภารนี สวัสดิรักษ์ กล่าวทิ้งท้ายด้วยโจทย์ใหญ่ว่า “เราจะเอาผังเมืองฉบับนี้ไปสานต่อที่ชุมชนของเราเองหรือไม่” ที่บ้านหลังหนึ่งแห่งบ้านสวนกง ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา แต่ละคนก็เบียดเสียดกันหลบฝนตกห่าใหญ่ หลังจากลงพื้นที่ดูโรงไฟฟ้าจะนะกับโรงแยกก๊าซไทย – มาเลเซีย และแวะผ่านลานหอยเสียบ สถานที่ประวัติศาสตร์บริเวณการต่อสู้ของชาวบ้าน พวกเขาคงครุ่นคิดอยู่ว่า สีอุตสาหกรรม ควรถูกหย่อนลงบนผืนผังเมืองแบบที่ชาวบ้านทำเองหรือไม่ หรือตรงไหน สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รบ.ตูนีเซีย ปราบผู้ชุมนุม-ประกาศเคอร์ฟิว อ้างเรื่องก่อการร้าย Posted: 13 Jan 2011 06:08 AM PST 13 ม.ค. 2554 - หลังจากที่ชาวตูนีเซียอาศัยช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์กเรียกอย่างเฟสบุ๊คและทวิตเตอร์เรียกรวมตัวกัน เพื่อประท้วงเรียกร้องแก้ปัญหาการว่างงานและประท้วงเรื่องอื่น ๆ โดยมีเหตุปะทะอยู่เนื่อง ๆ ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา กระทั่งล่าสุดในวันที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา กองกำลังทหารตำรวจได้เข้าล้อมปราบปรามผู้ชุมนุมตามที่ต่าง ๆ ในเมืองด้วยกระบอง, แก็สน้ำตา และกระสุนจริง นอกจากนี้ทางรัฐบาลได้สั่งประกาศเคอร์ฟิวช่วงกลางคืน มีรายงานว่าญาติบางส่วนของประธานาธิบดีตูนีเซีย Zine el-Abidine Ben Ali ได้หนีออกจากประเทศเพื่อความปลอดภัยของตนเองไปแล้ว ในการชุมนุมแห่งหนึ่ง มีผู้เห็นเหตุการณ์รายงานว่ามีเจ้าหน้าที่ยิงสังหารผู้ชุมนุม 4 ราย บ้างบอกว่าพบเห็นสไนเปอร์บนหลังคายิงเข้าใส่ฝูงชน กลุ่มนักสิทธิฯ ยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิตอยู่แล้ว 30 ราย ก่อนหน้านี้ ในช่วงบ่ายรัฐบาลก็ประกาศเคอร์ฟิวภายใต้เวลา 20.00 น. โดยประธานาธิบดี Ben Ali และเจ้าหน้าที่รัฐบาลคนอื่น ๆ ยังได้กล่าวหาว่าเหตุความไม่สงบในครั้งนี้เป็นฝีมือของผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ หรือไม่ก็กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง โดยอ้างความไม่พอใจจากการไม่มีงานทำ แต่จากรายงานข่าวพบว่า การประท้วงในครั้งนี้มีหลักฐานการอ้างถึงพระเจ้าหรือสิ่งที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลามน้อยมาก และผู้ชุมนุมบางคนบอกว่าข้อกล่าวหานี้ถือเป็นการดูแคลนพวกเขา "พวกนั้นบอกว่าประชาชนเป็นผู้ก่อการร้าย แต่พวกเขา Ben Ali และครอบครัวเองนี่แหละที่เป็นผู้ก่อการร้ายตัวจริง" นักศึกษาอายุ 18 คนหนึ่งกล่าว อย่างไรก็ตามในช่วงต้นของวันนี้รัฐบาลก็พยายามทำให้ผู้ชุมนุมสงบด้วยการสัญญาว่าจะเปลี่ยนตัว รมต. มหาดไทย ผู้เป็นเบื้องหน้าในการสั่งปราบปรามผู้ชุมนุม และสัญญาว่าจะปล่อยตัวนักโทษที่ถูกจับในการชุมนุม รวมถึงมีการสืบสวนการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่และการคอร์รัปชั่นในรัฐบาล แต่การสั่งปลด รมต. มหาดไทยก็ไม่ได้ทำให้ผู้ชุนุมสงบลง พวกเขายังคงออกมาตามท้องถนนในเมืองและในย่านชุมชนของชนชั้นแรงงานในแถวชานเมืองด้วย นิวยอร์กไทม์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศตูนีเซียว่า เป็นประเทศที่มีความคล้ายคลึงยุโรปมากที่สุดในหมู่ประเทศทวีปแอฟริกาเหนือ มีชนชั้นกลางอยู่เป็นจำนวนมาก มีค่านิยมแบบเสรีนิยม กว้างขวางในเรื่องความเท่าเทียมกันทางเพศ และมีสถานที่แบบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ขณะเดียวกันก็เป็นประเทศที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ให้คะแนนสูงจากการที่พวกเขาดำเนินการปราบปรามผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายอย่างรุนแรง นิวยอร์กไทม์รายงานอีกว่า ตูนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีรัฐบาลที่เน้นการปราบปรามมากที่สุดในภูมิภาคที่เต็มไปด้วยรัฐตำรวจ ประชาชนตกอยู่ภายใต้การจับจ้อง มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพพลเมือง และมีการใช้วิธีการทรมาน จนกระทั่งพิษเศรษฐกิจของยุโรปใต้ลามมาถึง จนเกิดปัญหาการว่างงานและความไม่พอใจของประชาชนก็พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
ที่มา
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ตร.สั่งคุมเข้ม ห้ามเด็กต่ำกว่า 18 ออกจากบ้านหลัง 4 ทุ่ม Posted: 13 Jan 2011 04:52 AM PST 13 ม.ค. 2554 - เว็บไซต์ VoiceTV รายงานว่า พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงการแก้ปัญหาอาชญากรรมที่เกิดจากการกระทำของเด็กวัยรุ่นและเยาวชน โดย จากนี้ไปเจ้าหน้าที่ตำรวจจะลงพื้นที่ตรวจสอบตามสถานที่ต่างๆ ไม่ให้เด็กวัยรุ่นและเยาวชนทำการจับกุมมั่วสุม เนื่องจากที่ผ่านมาเหตุอาชญากรรมต่างๆ เด็กเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อ หรือเป็นผู้ก่อเหตุเสียเอง ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม โฆษกนครบาล กล่าวและว่า ‘เรื่องนี้ ผบช.น.ได้กำชับเป็นพิเศษว่า ไม่ควรให้เด็กและเยาวชนที่อายุไม่ถึง 18 ปีออกจากบ้านหลังเวลา 22.00 น. โดยไม่มีเหตุอันควร เพราะที่ผ่านมามีการออกจากบ้านด้วยเหตุผลอันไม่สมควร เช่นไปซิ่งรถ ไปเล่นร้านเกมร้านอินเตอร์เน็ต เจ้าหน้าที่จะเข้าไปตรวจค้นและนำตัวกลับมาที่สถานีตำรวจทันที เพื่อลงบันทึกพร้อมทำประวัติและเรียกให้ผู้ปกครองมารับตัวกลับบ้านไป หรืออาจจะมีความผิดในด้านอื่นๆ อีกหากมีการฝ่าฝืน’ ทั้งนี้เป็นเพราะตำรวจได้ลงพื้นที่ตรวจสอบมาแล้ว พบว่าในหลายพื้นที่มีเด็กและเยาวชนออกมามั่วสุมกันเป็นจำนวนมาก และต้องขอความร่วมมือจากผู้ปกครองให้กวดขันบุตรหลานมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเหตุอาชญากรรมต่างๆ เด็กเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อ หรือเป็นผู้ก่อเหตุเสียเอง ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม ซึ่งเป็นเรื่องที่ผบช.น.ได้กำชับเป็นพิเศษ ส่วนเด็กที่ต้องเรียนกวดวิชาในช่วงเย็น หากมีเหตุอันสมควรก็สามารถอนุโลมได้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สาละวินโพสท์ : ฉาวอีก กองทัพพม่าใช้นักโทษหาทุ่นระเบิดในเขตสู้รบ Posted: 13 Jan 2011 03:10 AM PST กองทัพพม่าใช้นักโทษเป็นลูกหาบและหาทุ่นระเบิด สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองพม่าอ้างตามข้อมูลักโทษที่หนีออกมาว่า มีนักโทษราว 600 คนถูกส่งตัวไปพื้นที่สู้รบแล้ว “เหตุการณ์แบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้ นายโบจีกล่าวว่า จะสืบสวนเรื่องนี้ต่อไป และจะออกแถลงการณ์ทันที หากรวบรวมหลักฐานได้เพียงพอ โดยนายโบจียังกล่าวเพิ่มเติมว่า หากเป็นเรื่องจริง การกระทำของทหารพม่าถือเป็นอาชญ ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า มีนักโทษพม่า 3 คน ได้หลบหนีเข้ามายัง อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อวันอังคาร (11 ม.ค.53) ที่ผ่านมา และขณะนี้ได้รับความช่วยเหลื “เราไม่มีเงินจ่ายสินบนให้กั โม ยาซาร์ วัย 17 นักโทษอีกคนหนึ่งเปิดเผยเช่นกั “ผมและเพื่อนถูกพิพากษาจำคุก 5 ปี หลังจากที่พวกเราไปทำร้ายร่ เขายังเปิดเผยว่า แม้แต่นักโทษสูงวัยก็จะถูกส่ แหล่งข่าวตรงชายแดนเปิดเผยว่า การสู้รบกันระหว่างทหารพม่ Irrawaddy 12 ม.ค.53
แปลและเรียบเรียงโดย สาละวินโพสต์ "สื่อทางเลือกเพื่อแบ่งปั
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สำนักข่าวฉาน : สิบสองปันนาสร้างพิพิธภัณฑ์ชาวไต และ ขุนส่า Posted: 13 Jan 2011 02:58 AM PST นักธุรกิจชาวจีนสิบสองปันนา ในจีน ควักเงินนับร้อยล้านบาทสร้างพิ
ขุนส่า ในงานเลี้ยงฉลองทหารใหม่ กองทัพเมืองไต (MTA) ที่บก.หัวเมือง ตรงข้ามจ.แม่ฮ่องสอน (ภาพโดย SHAN)
มีรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ในเมืองเชียงรุ้ง เขตสิบสองปันนาของจีน ได้มีการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์
แหล่งข่าวเผยว่า ผู้นำในการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์นี
สำหรับประวัติของเจ้าขุนส่า หรือ จางซีฟู เกิดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2477 (ค.ศ. 1934) ที่บ้านผาผึ้ง อ.ดอยหม่อ อ.เมืองไหย๋ จ.ล่าเสี้ยว แคว้นแสนหวี (รัฐฉาน) เป็นบุตรของขุนอ้าย (ชาวจีน) กับนางแสงชุ่ม (ชาวไทใหญ่) ในปี 2503 ขุนส่าเป็นผู้นำกองกำลังอาสาสมั
ในปี 2525 กองกำลังทหารไทยเข้าตีฐานที่มั่
มีรายด้วยว่า นายโจวคุน นักธุรกิจชาวจีนผู้ชื่นชอบขุนส่
"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ใจ อึ๊งภากรณ์ : ข้อถกเถียงที่สร้างสรรค์ ในขบวนการเสื้อแดง Posted: 13 Jan 2011 02:47 AM PST จุดเด่นของเราชาวเสื้อแดงคือ ขบวนการของเราเป็นขบวนการที่มีความหลากหลายทางความคิด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเราทราบดี และเราไม่ควรปฏิเสธ เรามีเสื้อแดงแบบ “นปช.แดงทั้งแผ่นดิน” ซึ่งอาจมีทัศนะต่างกันภายในกลุ่ม เช่นอาจเป็นคนที่ชอบแนวทางของ อ.ธิดา หรือชอบแนวทางของคุณจตุพร ... มีเสื้อแดงรักทักษิณ มีเสื้อแดงไม่เอาทักษิณ มีเสื้อแดงวันอาทิตย์สีแดง มีเสื้อแดงรักเจ้า มีเสื้อแดงไม่เอาเจ้า มีเสื้อแดงสาย อ.สุรชัยที่เรียกตนเองว่า “สยามแดง” และพูดเอามันเพื่อสร้างภาพ มีเสื้อแดงสาย อ.เสริฐ-อ.ชูพงษ์-นปช.ยูเอสเอ ที่สร้างความสับสนและช่วยทหารโดยการเน้นด่าเจ้าเรื่องเดียว มีเสื้อแดง 24 มิถุนายน และมีเสื้อแดงสังคมนิยมอย่างผม ฯลฯ นอกจากนี้ในแต่ละพื้นที่มีกลุ่มเสื้อแดงของแต่ละชุมชนด้วย ซึ่งอาจมีมุมมองตามสายการเมืองหลากหลายที่พูดถึงไปแล้ว เราต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและเพื่อคัดค้านเผด็จการอำมาตย์มาถึงจุดนี้ และเรื่องประชาธิปไตยกับการคัดค้านอำมาตย์เป็นจุดร่วมที่เชื่อมพวกเราไว้เป็นหนึ่งเป็น “เสื้อแดง” และเราก็ควรพยายามรักษาความสามัคคีท่ามกลางการต่อสู้เสมอ แต่บัดนี้เราต้องพูดความจริงด้วย ต้องยอมรับข้อแตกต่างทางแนวคิดที่มีจริง และเปิดใจพร้อมที่จะถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางและสายความคิดดังกล่าวอย่างเปิดเผย เพราะมันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเลย มันเป็นลักษณะแท้และธรรมดาของ “ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม” โดยเฉพาะขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่เรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ บางคนอาจไม่สบายใจ และแน่นอนจะมีคนจำนวนหนึ่งที่มองว่า “ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะแตกกัน” เขาจะกลัวว่าถ้าเราถกเถียงกันเรื่องแนวการเมืองและทางออก เราจะอ่อนแอแตกแยก และอำมาตย์จะเอาชนะเรา แต่การยอมรับข้อแตกต่างทางแนวคิดที่มีอยู่จริง และการเปิดใจพร้อมที่จะถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางและสายความคิดอย่างเปิดเผย ไม่ใช่ “การแตกกัน” หรือไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความแตกแยกและอ่อนแอเลย มันอาจตรงกันข้ามคือ มันจะนำไปสู่ความเข้มแข็งที่มาจากความชัดเจนทางความคิดต่างหาก มันจะนำไปสู่การพัฒนาตนเองและนำตนเองของชาวเสื้อแดง และมันจะนำไปสู่การร่วมกันหาแนวทางการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพที่สุดด้วย การถกเถียงแนวทางระหว่างเสื้อแดงสายต่างๆ เป็นการเพิ่มทางเลือกและความเป็นประชาธิปไตยของขบวนการ เพื่อไม่ให้ใครหรือกลุ่มไหนผูกขาดการนำในลักษณะเผด็จการโดยไม่ถูกตรวจสอบหรือโดยไม่ได้มาจากการลงมติคะแนนเสียง การเสนอแนวทางที่หลากหลายในที่สุดก็จะถูกทดสอบด้วยการเคลื่อนไหวลองผิดลองถูกในโลกจริง และแนวที่ดูเหมือนใช้ได้ก็จะกลายเป็นที่นิยมของคนเสื้อแดง ถ้าการพัฒนาการถกเถียงนี้จะสำเร็จ ขบวนการเสื้อแดงต้องทำตัวแบบ “ผู้ใหญ่ที่โตแล้ว” เราต้องมั่นใจในวุฒิภาวะของเราที่จะสามารถถกเถียงเรื่องแนวทางการเมืองและแนวทางการเคลื่อนไหวอย่างถึงที่สุด โดยไม่ทำให้เป็นเรื่องเกลียดชังกันแบบส่วนตัวที่ไร้สาระ เราต้องเถียงกันเรื่องหลักการด้วยปัญญา และเราต้องมีวุฒิภาวะพอที่จะมีวินัยในการรักษาความสามัคคีท่ามกลางการต่อสู้ ไม่ว่าเราจะคิดต่างกันแค่ไหน เราเถียงกันในช่วงที่ไม่เคลื่อนไหวหรือในช่วงพักรบ แต่พอออกรบต้องสามัคคีเฉพาะหน้าเสมอ ต้องจับมือกัน เราทำได้ พูดง่ายๆ เราต้องถกเถียงแลกเปลี่ยนกันเพื่อหาความชัดเจนในแนวทาง ไม่ใช่มาโกหกกันว่าทุกคนมองเหมือนกัน และไม่ใช่มาห้ามการถกเถียงแลกเปลี่ยนด้วยคำพูดว่า “คนนั้นคนนี้ ไม่ใช่เสื้อแดงแท้” เพราะการพูดแบบนั้นเป็นการพยายามบังคับใช้เผด็จการทางความคิดในขบวนการเสื้อแดง และเป็นการเซ็นเซอร์การถกเถียงเพื่อบังคับให้ทุกคนยอมรับการชี้นำของแกนนำหยิบมือเดียวโดยไม่มีสิทธิ์แย้งเลย ในขณะเดียวกัน เมื่อเสื้อแดงที่มีความเห็นต่างจากเราเคลื่อนไหวแล้วเผชิญหน้ากับศัตรูที่กำลังไล่ยิงไล่ฆ่า หรือเมื่อเขาถูกจับเข้าคุกหรือถูกปราม เราจะต้องสมานฉันท์ สนับสนุน และร่วมมือกับเขาโดยไม่เอาเงื่อนไขไร้สาระมาเป็นข้ออ้างในการหันหลังกัน เสื้อแดงบางกลุ่มที่โจมตีแกนนำสามเกลอขณะที่ทหารกำลังบุกเข้าไปเพื่อฆ่าเพื่อนคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ในปี 53 อย่างเช่น อ.สุรชัย ต้องถือว่า “เล่นพรรคเล่นพวก” “ไม่มีวุฒิภาวะ” และ “ไม่มีวินัย” พอที่จะสร้างความสามัคคีท่ามกลางความคิดที่หลากหลาย เผลอๆ อาจเป็นคนที่หวังหักหลังขบวนการอีกด้วย สาเหตุที่ผู้เขียนมองว่าเราต้องออกมาถกเถียงแนวทางกันตอนนี้ก็เพราะ 1. เรามีเวลาเพียงพอแล้วในการประเมินข้อดีข้อเสียของการเคลื่อนไหวที่ราชประสงค์เมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคมปี 53 และเรามีประสบการณ์ของการใช้ยุทธวิธี “แกนนอน” ของกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง เราสามารถเสนอว่าการชุมนุมของมวลชนยังเป็นเรื่องชี้ขาดที่สำคัญ แต่เราอาจเถียงกันว่าจะชุมนุมและจัดตั้งอย่างไร และจะเพิ่มพลังต่อรองอย่างไร เช่นการขยายขบวนการเสื้อแดงสู่ขบวนการแรงงานเพื่อการนัดหยุดงานน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ 2. นปช. แดงทั้งแผ่นดิน และพรรคเพื่อไทย กำลังพยายามช่วงชิงอิทธิพลในขบวนการเสื้อแดงจากการนำแบบ “แกนนอน” ที่แต่ละกลุ่มนำตนเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ มันไม่ใช่เรื่อง “ผลประโยชน์ส่วนตัว” เป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องผิด มันเป็นเรื่องความเชื่อในแนวทางของเขา และกลุ่มอื่นๆ ทุกกลุ่มทุกสายก็ควรพยายามขยายอิทธิพลเช่นกันผ่านการถกเถียง แข่งขัน เพราะเราแข่งกันท่ามกลางความสามัคคีได้ 3. ในปี 2554 คนเสื้อแดงจะต้องตอบโจทย์ยากๆ หลายเรื่องคือ เราจะมีท่าทีต่อการเลือกตั้งของอำมาตย์อย่างไร? อำมาตย์น่าจะหาทางโกงการเลือกตั้งทีละนิดทีละหน่อย เราไม่ควรตั้งความหวังทั้งหมดกับการเลือกตั้ง แต่ก็ต้องร่วมในการเลือกตั้งด้วย พร้อมกับเคลื่อนไหวภายนอกกรอบรัฐสภา เราจะมีท่าทีอย่างไรต่อพรรคเพื่อไทย? เราจะตั้งเงื่อนไขอะไรในการสนับสนุน? หรือจะยอมให้พรรคเพื่อไทยจูงเรา? เราจะตามทันการปรองดองจอมปลอมของอภิสิทธิ์ได้ไหมและเราจะมีท่าทีอย่างไร? และโจทน์สำคัญอีกอันคือ เสื้อแดงจะพัฒนาการต่อสู้ในปี ๒๕๕๔ เพื่อยกระดับจากปีที่แล้วอย่างไร?
ในขณะเดียวกันมันมีสองสิ่งที่เราต้องชัดเจนคือ 1. “ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม” แบบคนเสื้อแดง ไม่ใช่สิ่งเดียวกับพรรค มันมีความอิสระจากกัน และเสื้อแดงอาจมีมากกว่าหนึ่งพรรคได้ โดยที่พรรคเป็นองค์กรที่รวมคนที่มีสายความคิดเหมือนกันเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวและในการให้การศึกษากับมวลชน รัฐสภาเป็นแค่เวทีหนึ่งเท่านั้น อย่าลืมว่าในประวัติศาสตร์โลก ไม่มีกรณีที่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมจะมีสภาพ “ถาวร” ได้เลย มันขึ้นลงภายในไม่กี่ปีเสมอ มันแยกและมันสลายได้ สิ่งที่จะให้ความถาวรเพิ่มขึ้นกับการต่อสู้คือพรรคหรือองค์กรจัดตั้งทางการเมือง ดังนั้นชาวเสื้อแดง “สังคมนิยม” จะต้องมีส่วนในการเพิ่มความถาวรในการต่อสู้ และต้องพยายามขยาย “พรรค” ของเราในขบวนการเสื้อแดงโดยการคลุกคลี ร่วมเคลื่อนไหว และถกเถียงแนวทางอย่างเปิดเผยและต่อเนื่อง 2. แนวทางการเมืองของเสื้อแดงแต่ละกลุ่ม จะมีอิทธิพลต่อวิธีทางในการต่อสู้เสมอ เวลา อ.ธิดาบอกว่าคนเสื้อแดงยังไม่พัฒนาทางการเมืองเท่ากับแกนนำ หรือพูดว่า “คนที่ไม่เอาพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เราถือว่าไม่ใช่ นปช” และเวลาที่เขาพูดในเชิงดูถูก “ผู้หญิงกลางคืน” ที่เป็นเสื้อแดง (ดูคำสัมภาษณ์ในประชาไท 20 ธันวา 53) เขากำลังแสดงความอนุรักษ์นิยม ความเชื่อมั่นในการต่อสู้ในกรอบ และการนำแบบ “บนลงล่าง” แทนการนำตนเองจากล่างสู่บน แต่จุดยืนเขาไม่ได้เลวไปหมด เขาบอกว่าเขายังขีดเส้นที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงไทยอย่างแท้จริง นอกจากนี้จุดยืนว่าต้องรณรงค์ให้ปล่อยนักโทษการเมือง ปฏิเสธการนิรโทษกรรม และเน้นมวลชนแทนการจับอาวุธ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราควรสนับสนุนโดยไม่มีเงื่อนไข แต่แนวทางการต่อสู้แบบ อ.ธิดา จะนำไปสู่การประนีประนอมกับอำมาตย์ในกรอบเก่า ประชาชนจะไม่เป็นใหญ่ในแผ่นดิน และจะไม่นำไปสู่การปฏิรูปกองทัพ การปฏิรูประบบยุติธรรม หรือการสร้างรัฐสวัสดิการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ส่วนแนวทางของแกนนำกล้าหาญอย่างจตุพร อาจไม่พร้อมที่จะประนีประนอมเท่า อ.ธิดา ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่เป้าหมายทางการเมืองระยะยาวไม่ชัดเจนพอ แต่อย่างน้อยจตุพรก็สามารถดึงมวลชนมาเคลื่อนไหวเป็นแสนได้ เราต้องเคารพตรงนั้น ในกรณีพรรคเพื่อไทย เราต้องตั้งคำถามว่าพรรคนี้จะพัฒนานโยบายเพื่อครองใจประชาชนส่วนใหญ่ได้หรือไม่ หรือจะอาศัยบุญเก่าของไทยรักไทย ถ้าหวังอาศัยบุญเก่าจะมีปัญหา เพราะเปิดช่องให้ประชาธิปัตย์ค่อยๆ ทำลายคะแนนเสียงของเพื่อไทยได้ นโยบายสำคัญที่เพื่อไทยควรเสนอ คือเรื่องรัฐสวัสดิการกับการปฏิรูประบบยุติธรรมและกองทัพแบบถอนรากถอนโคน คนไทยจำนวนมากต้องการสิ่งเหล่านี้ และประชาธิปัตย์ให้ไม่ได้แน่นอน แนวทาง “แกนนอน” ของหนูหริ่ง ก้าวหน้ากว่า อ.ธิดา มาก เพราะเน้นการนำตนเองจากรากหญ้า และพิสูจน์ว่ามีผลจริงในการฟื้นขบวนการ นอกจากนี้แนวนี้มีเสรีภาพเต็มที่ในการแสดงออก ซึ่งส่งเสริมความสร้างสรรค์ ไม่มีการเซ็นเซอร์คนอื่น แต่จุดอ่อนคือ เสรีจนไม่ชัดเจนในแนวทางการเมืองระยะยาว และขาดการรวมศูนย์เท่าที่ควร เมื่อมวลชนวันอาทิตย์สีแดงเผชิญหน้ากับโจทย์ยากๆ อาจตัดสินใจไม่ทัน เราต้องศึกษาจุดเด่นจุดด้อยของแต่ละแนวทางที่พึ่งกล่าวถึง และทุกครั้งที่เราศึกษา เราต้องเน้นรูปธรรม และโลกจริง ภาระหน้าที่ของเราในวันข้างหน้า คือการพัฒนาความเข้มแข็งของคนเสื้อแดงซีกที่ก้าวหน้าที่สุด คือซีกที่พร้อมจะนำตนเองอย่างอิสระและเกินเลยกรอบแคบๆ ของ ทักษิณ ธิดา หรือนักการเมืองส่วนใหญ่ของเพื่อไทย เรากำลังพูดถึงซีกที่อยากเห็นประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ซีกที่อยากปฏิรูปกองทัพและระบบยุติธรรม ปลดนายพลและผู้พิพากษาแย่ๆ และซีกที่อยากสร้างรัฐสวัสดิการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจผ่านการเก็บภาษีก้าวหน้าจากคนรวย เสื้อแดงสังคมนิยม ต้องมีส่วนสำคัญในการรวบรวมเสื้อแดงก้าวหน้าเหล่านี้เป็นพรรค เราต้องสามารถเคลื่อนไหวร่วมกับเสื้อแดงสายอื่นๆ อย่างเป็นมิตร แต่พร้อมที่จะถกเถียงแนวทางและทฤษฏีที่จะใช้ในการวิเคราะห์กับการปฏิบัติเสมอ
12 มกราคม 2554 ฟังคลิปเสียง ประเมินสถานการณ์ปี 2553 http://www.mediafire.com/?qc88m73rlfdojkk#1 สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ดัน 10 ล้าน แปลวิกิฯ เป็นภาษาไทย มุ่งเป็นอันดับ 2 ภาษาท้องถิ่นออนไลน์ Posted: 12 Jan 2011 11:32 PM PST 13 ม.ค. 2554 - ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลต้องการลดช่องว่างการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชาชน จึงประกาศนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติ ตั้งเป้าการพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมประชากรไม่ต่ำ กว่า 80% ในปี 2558 และไม่ต่ำกว่า 95% ในปี 2563 รัฐบาลจึงมอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เร่งรัดปฏิบัติตามนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติ ผ่านการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจใต้สังกัด อาทิ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงราคาประหยัดสำหรับบ้านที่มีสายโทรศัพท์ ค่าบริการ 199 บาท/เดือน, บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไร้สายเทคโนโลยีไวแมกซ์ ค่าบริการ 99 บาท/เดือน เป็นต้น "การเข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์จะเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชน เปิดพรมแดนใหม่ในการเรียนรู้ด้วยตนเองถือเป็นหัวใจสำคัญของปรัชญาการศึกษา ยุคใหม่ที่มุ่งเน้นการเรียนรู้ที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และการเรียนรู้ตลอดชีวิต" ด้านนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที กล่าวว่า ทีโอทีเริ่มเปิดทดลองบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 2 Mbps ราคา 199 บาท/เดือน ในหลายจังหวัด ล่าสุดให้ บมจ.กสท โทรคมนาคมสนับสนุนโครงการแปลบทความภาษาอังกฤษบนสารานุกรมออนไลน์ "วิกิพีเดีย" เป็นภาษาไทย ใช้งบประมาณ 10.7 ล้านบาท ใน 1 ปี เพื่อขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งความรู้ของเยาวชน และให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในไทยที่มีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุก ปี โดยในปี 2553 มี 24 ล้านคน จากปี 2551 มี 10.96 ล้านคน และปี 2552 มี 18.3 ล้านคน การสำรวจของบริษัทวิจัยต่างประเทศพบว่าทั่วโลกมีหน้า เว็บไซต์กว่า 4 พันล้านหน้า แต่มีหน้าเว็บภาษาไทย 3 ล้านหน้าเท่านั้น กว่า 90% เป็นภาษาอังกฤษ กับการแปลวิกิพีเดียเป็นภาษาไทย กสทฯ เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ โดยตั้งเป้าจะเพิ่มบทความในหน้าเว็บภาษาไทยให้เป็น 100 ล้านหน้าใน 18-24 เดือน ที่แปลวิกิพีเดียเพราะมีผู้ใช้งานมาก แม้จะมีภาษาไทยอยู่บ้าง แต่แค่ 63,000 บทความ หรือ 1.8% เท่านั้น ก่อนหน้านั้น กระทรวงไอซีทีในสมัยรัฐมนตรีสิทธิชัย โภไคยอุดม เคยจัดสรรงบประมาณกว่า 500 ล้านบาทเพื่อแปลหนังสือมาแล้ว แต่ไม่ได้มีการสานต่อตนจึงได้เข้ามาดูแลโดยเปลี่ยนให้มาแปลสารานุกรมออนไลน์แทน เพราะมีผู้ใช้เยอะ และทำได้เร็วกว่าแปลหนังสือเป็นเล่ม เพราะต้องมีกระบวนการในการคัดเลือกหนังสือที่มีความเหมาะสม และติดต่อลิขสิทธิ์ เชื่อว่าจะดันบทความภาษาไทยให้มีมากเป็นอันดับ 2 ของภาษาท้องถิ่นบนโลกออนไลน์ได้รองจากภาษาเยอรมัน หลังเปิดตัว โครงการในวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมาจะมีการแปลบทความภาษาอังกฤษจากสารานุกรมวิกิพีเดีย 30 ล้านบทความ ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Statistical Machine Translation ซึ่งเป็นผลงานนักพัฒนาซอฟต์แวร์ และนักภาษาศาสตร์ชาวไทย ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการแปลสารานุกรมวิกิพีเดียจากภาษาอังกฤษทั้งหมด เป็นภาษาอื่นด้วยคอมพิวเตอร์ โดยเนื้อหาทั้งหมดของสารานุกรมออนไลน์จะอยู่บนเว็บไซต์ www.asiaonline.com "เชื่อว่าโครงการนี้จะได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากเอกชน หากมีผู้เข้าชมเว็บไซต์มาก โดยไอซีทีจะประเมินผลทุกไตรมาส แม้จะใช้ระบบแปลบทความให้ แต่บนเว็บยังมีฟังก์ชั่นที่เปิดให้ผู้เข้าชมเข้ามาช่วยขัดเกลาภาษาหรือช่วย แปลได้ เว็บมีทุนการศึกษาให้ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมต่อเนื่องด้วย เชื่อว่าบทความที่แปลจะถูกต้องแม่นยำกว่า 95%"
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
กรุงเทพโพลล์ : ปชช. 62.9% บอกนโยบายประชาวิวัฒน์ไม่มีผลต่อการเลือกลงคะแนน Posted: 12 Jan 2011 11:08 PM PST
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ และ ปริมณฑลที่มีต่อนโยบายประชาวิวัฒน์ 9 ข้อของรัฐบาล โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 10-11 ม.ค. ที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนโดยรวมร้อยละ 58.9 ระบุว่าได้รับประโยชน์จากนโยบายประชาวิวัฒน์ ที่เหลือร้อยละ 41.1 ไม่ได้รับประโยชน์ และเมื่อสอบถามเฉพาะกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ ร้อยละ 91.3 เห็นว่าผลประโยชน์ที่ได้รับตรงตามความต้องการ มีเพียงร้อยละ 8.7 เท่านั้นที่เห็นว่าไม่ตรงตามความต้องการ
เมื่อสอบถามเพิ่มเติมว่า ประโยชน์ที่ได้รับจากนโยบายประชาวิวัฒน์มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นอย่างไร ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 62.9 ระบุว่า “ไม่มีผล เพราะจะดูที่นโยบายตอนหาเสียง ดูที่ตัวบุคคลผู้สมัคร และจะเลือกจากผู้สมัครและพรรคที่ชอบเป็นหลัก” ขณะที่ร้อยละ 28.1 ระบุว่า “มีผล โดยจะเลือกลงคะแนนให้ฝ่ายรัฐบาลที่ออกนโยบาย” และร้อยละ 9.0 ระบุว่า “มีผล โดยจะไม่ลงคะแนนให้ฝ่ายรัฐบาลที่ออกนโยบาย” และเมื่อพิจารณาตามกลุ่มอาชีพพบว่า กลุ่มอาชีพหาบเร่แผงลอย เป็นกลุ่มอาชีพที่ระบุว่าจะตัดสินใจลงคะแนนให้ฝ่ายรัฐบาลในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้มากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอาชีพอื่นๆ ทั้งนี้ ประชาชนร้อยละ 49.6 ไม่แน่ใจว่านโยบายประชาวิวัฒน์จะเป็นนโยบายที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมได้จริงหรือไม่ ขณะที่ร้อยละ 31.2 เชื่อว่าช่วยตอบโจทย์ในเรื่องลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมได้ และอีกร้อยละ 19.3 เชื่อว่าไม่ตอบโจทย์ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลสถานะทางการเงินในปัจจุบันของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า กลุ่มอาชีพรถจักรยานยนต์รับจ้าง กลุ่มผู้ค้าหาบเร่แผงลอย และกลุ่มอาชีพแท็กซี่ ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มที่มีฐานะการเงินที่ด้อยกว่ากลุ่มอาชีพอื่นๆ ที่เหลือ โดยมีหนี้สินจำนวนร้อยละ 51.7, 48.3 และ 47.5 ตามลำดับ ดังนั้น การที่รัฐบาลออกนโยบายประชาวิวัฒน์โดยให้ความสำคัญกับคน 3 อาชีพนี้เป็นพิเศษ จึงน่าจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังตารางต่อไปนี้)
1. แสดงร้อยละของผู้ที่ระบุว่าได้รับประโยชน์จากนโยบายประชาวิวัฒน์ 9 ข้อของรัฐบาล
2. แสดงร้อยละของผู้ที่เห็นว่ามาตรการประชาวิวัฒน์ตรงกับความต้องการ (เฉพาะผู้ที่ตอบว่าได้ประโยชน์)
3. ผลจากการได้รับประโยชน์จากมาตรการของรัฐบาลที่มีต่อการตัดสินใจเลือกผู้สมัครในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะถึงนี้
4. ผลจากการได้รับประโยชน์จากมาตรการของรัฐบาลที่มีต่อการตัดสินใจเลือกผู้สมัครในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะถึงนี้(จำแนกตามกลุ่มอาชีพ)
5. มาตรการทั้ง 9 ข้อ กับการตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาความเป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำในสังคม
6. สถานะทางการเงิน(สุทธิ) ณ ปัจจุบันของผู้ตอบแบบสอบถาม (จำแนกตามกลุ่มอาชีพ)
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
กก.วัฒนธรรมฯ สั่งแบนทีเซอร์ "เลิฟ จุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก" Posted: 12 Jan 2011 10:48 PM PST 12 ม.ค. 2553 - แหล่งข่าวจากสำนักภาพยนตร์และวีดิทัศน์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เปิดเผยต่อ "มติชน" ว่า ขณะนี้สำนักภาพยนตร์ฯได้สั่งแบนทีเซอร์หรือภาพยนตร์ตัวอย่างของ "เลิฟ จุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก" ภาพยนตร์ของบริษัท M39 แล้ว เพราะมีการฉายให้เห็นภาพที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพของนักแสดงซึ่งเป็นวัยรุ่นทำท่าเหมือนจะจูบกันแบบปากชน ปาก โดยในทีเซอร์ซึ่งมีความยาวไม่มากนัก เน้นให้เห็นภาพนี้โดยตัวละครต่างๆ ถึง 4 ครั้ง และตัวละครเหล่านั้นล้วนสวมบทโดยนักแสดงวัยรุ่น บางตัวละครยังสวมชุดนักเรียนมัธยมต้นให้เห็นในเรื่องด้วยซ้ำ แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า แม้ทีเซอร์ภาพยนตร์ไม่ต้องเข้ากระบวนการจัดเรตเหมือนตัวภาพยนตร์ฉบับเต็ม แต่ก่อนฉายต้องส่งให้คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์พิจารณาอยู่ดี เพราะถือเป็นสื่อโฆษณาที่ต้องดูความเหมาะสม แต่ทีเซอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับมีการนำฉายในโรงภาพยนตร์ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ ที่ผ่านมา และเพิ่งส่งให้คณะกรรมการพิจารณาเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งถือว่าผิดและหากมีผู้ร้องเรียนเป็นลายลักษณ์อักษรก็สามารถดำเนินคดีตาม กฎหมายได้ ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดีทัศน์ พ.ศ.2551 ระบุว่ามีโทษปรับคนฉายหรือโรงภาพยนตร์ 200,000-1,000,000 บาท "ในทีเซอร์มีฉากจูบแบบปากชนปากของวัยรุ่นถึง 4 ฉากในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เด็กๆ อาจจะเลียนแบบได้" แหล่งข่าวกล่าว และว่า จากการตรวจสอบกับบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ ก็ได้รับคำชี้แจงว่าก่อนหน้านี้เป็นช่วงหยุดยาวปีใหม่ จึงไม่สามารถส่งให้พิจารณาได้ อนึ่ง ก่อนหน้านี้ทีเซอร์ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ชมมากมาย โดยบางคนลงความเห็นถึงขั้นว่า นี่อาจจะเป็นภาพยนตร์อีโรติคแบบเรื่อง "น้ำตาลแดง" แต่เป็นฉบับของวัยรุ่น
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น