โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

กวีตีนแดง-เดือนวาด พิมวนา:เจ็ดประจัญบาน

Posted: 01 Jan 2011 09:37 AM PST

 

เจ็ดประจัญบานตัดสินใจผ่าทางตัน

ไปพลีชีพที่ชายแดน หลักเขตที่ 46

พื้นที่หวังผล-วัดโจ๊กเจีย

แต่แล้วเกิดเรื่องใหญ่

ระเบิดไม่ทำงาน

เจ็ดประจัญบานถูกจับเป็น

ข้อหา-ข้ามแดนโดยผิดกฏหมาย

ไม่ตาย...สมความคิด

หนำซ้ำ

ศาลอาจมอบชีวิตใหม่ให้อีก 6 เดือน

โปรดติดตามตอนต่อไป...

"เจ็ดประจัญบานตะลุยตะรางในต่างแดน"

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สุรชาติ บำรุงสุข: หากความคิดของผู้คน สุกงอมไม่เอารัฐบาล ไม่เอากองทัพ นั่นคือโจทย์ที่น่ากลัวที่สุด

Posted: 01 Jan 2011 08:43 AM PST

ต้องยอมรับว่าปี 2553 ที่ผ่านมา "กองทัพ" ภายใต้การนำของ "พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา" ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีบทบาทสำคัญยิ่ง ในการช่วยรัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" สยบการชุมนุมของคนเสื้อแดง กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

ดังนั้น ในปี 2554 ภารกิจหลักของ "กองทัพ" ภายใต้การนำของ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ผบ.ทบ.คนใหม่ คือ การสานต่อนโยบายที่ไม่น่าแตกต่างจากยุคของ "พล.อ.อนุพงษ์"

แต่ภายใต้บุคลิกและท่าทีการให้สัมภาษณ์ของ ผบ.ทบ.คนใหม่ โดยเฉพาะสโลแกนเด็ด "ประเทศมี 2 กลุ่ม คนดีและคนไม่ดี" จึงทำให้ฝ่ายหลายมองว่า "พล.อ.ประยุทธ์" ดูค่อนข้างแข็งกร้าว

ดังนั้น "กองทัพ" ในปี 2554 ถูกจับตามองเป็นพิเศษ

เพราะอย่าลืมว่าปี 2554 เป็นปีแห่งการเลือกตั้ง

บทบาทของกองทัพย่อมมีความสำคัญต่อผลแพ้ชนะและการจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง

"มติชน" มองเห็นบทบาทของกองทัพ และมีโอกาสนั่งสนทนากับ "สุรชาติ บำรุงสุข" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านกองทัพกับการเมือง ถือเป็นการสะท้อนบทบาทของกองทัพในปี 2554 เพื่อสร้างความเข้าใจในบริบทของกองทัพและการเมืองมากยิ่งขึ้น

@ มองบทบาทกองทัพกับการเมืองไทยในปี 2554 อย่างไร

แนวโน้มสถานการณ์การเมืองปี 2554 ล้วนเป็นดัชนีที่ไม่ส่งสัญญาณเชิงบวก ที่ผ่านมาเราเห็นสัญญาณเชิงลบ ซึ่งทหารคงไม่ถอยตัวออกจากการเมืองในระยะสั้น คำถาม ถ้าทหารไม่ถอนตัวออกจากการเมืองในระยะสั้น บทบาทของทหารจะสูงมากกว่าปี 2553 หรือไม่ ถ้าสูงมากขึ้นสังคมโดยรวมรับได้หรือไม่ แม้จะมีการเลือกตั้งแต่อำนาจที่แท้จริงยังถูกตัดสินอยู่ในกรม กอง ของทหาร จะนำพาสังคมการเมืองไทยไปอย่างไร

ผมเชื่อว่าประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครอง ซึ่งไม่ว่าทหารจะอยู่เบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง ถูกมองว่าเป็นประเทศที่ไม่น่าจะเข้ามาลงทุน และปัจจัยอย่างนี้ไม่เป็นจุดขายทางการเมืองระหว่างประเทศ จุดขายของการเมืองปัจจุบันต้องทำให้การเลือกตั้งเกิด ต้องทำให้ระบบการเลือกตั้งมีเสถียรภาพ ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องยุติความคิดที่เชื่อว่าอำนาจนอกระบบเป็นเครื่อง มือเดียวในการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง

@ ยังเชื่อว่าหากพรรคการเมืองที่กองทัพสนับสนุนแพ้การเลือกตั้ง กองทัพจะเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง

ผมเชื่อว่าถ้าพรรคฝ่ายค้านชนะ เขาจะมีวิธีทำให้พรรคฝ่ายค้านจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ถ้ามีการเลือกตั้งในปี 2554 ปัญหาจะไม่แตกต่างจากเดิม สำหรับผมจะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่น่าตื่นเต้น เพราะมีกลไกเครื่องมือทำให้เป็นหวยล็อค

@ หากกองทัพส่งขั้วการเมืองที่สนับสนุนอยู่กลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้ง มองว่ากองทัพจะถอยกลับหรือไม่

ผมไม่เชื่อว่ากองทัพจะถอยในระยะสั้น เนื่องจากเข้าพัวพันกับการเมืองสูง จนไม่แน่ใจว่ารถยนต์คนนี้มีเกียร์ถอยหลังหรือไม่ ผมกลัวว่ายิ่งเดินหน้ามากเท่าไรจะยิ่งมีปัญหามากขึ้น การเอากองทัพมาอุ้มรัฐบาลอาจจะดูง่าย แต่ในระยะยาวจะดูดีหรือไม่ ไม่แน่ใจ ถ้าจัดตั้งรัฐบาลโดยผู้นำกองทัพ รัฐบาลจึงไม่ต่างจากตัวแทนของกองทัพ

@ หากพรรคการเมืองที่สนับสนุนจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ กองทัพจะปฏิวัติหรือไม่

ผมยังเชื่อแต่ไม่ฟันธง ว่าการรัฐประหารโดยการลากรถถังไม่ง่าย เพราะถ้าลากรถถังออกมาอีกครั้ง ผมเชื่อว่ากระแสกดดันจากการเมืองภายในและภายนอกประเทศจะรุนแรงขึ้น และเราอาจจะเห็นการต่อต้านที่พาการเมืองไทยไปสู่จุดบางจุด อย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน

ส่วนจะให้ทหารที่ออกมาปฏิวัติแล้วกลับเข้ากรม กอง เหมือนในต่างประเทศ ผมไม่ค่อยเห็นแรงกดดันจากสถาบันทหารเอง เพราะแรงขับเคลื่อนภายในกองทัพมีไม่มาก การปฏิรูปกองทัพของหลายประเทศ มีคณะทหารฝ่ายปฏิรูปเกิดขึ้นภายใน แต่กองทัพไทยอยู่ในลักษณะรวมศูนย์ ทำให้ไม่ค่อยเห็นแรงขับเคลื่อนภายใน อำนาจทั้งหมดอยู่ที่ 5 เสือ แต่ตอนนี้กำลังสงสัยว่าอำนาจทั้งหมดอยู่ที่เสือตัวเดียว คือ ผบ.เหล่าทัพ

ฉะนั้นความเปลี่ยนแปลงที่คาดหวังให้ทหารปรับตัวกับการเมือง จะเกิดไม่ได้เลย ถ้าหนึ่งเดียวคนนั้น ไม่เกิดวิธีคิด ไม่เกิดการปรับตัว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้มิติการปรับตัวทางการเมือง การปรับตัวทางการทหาร แขวนไว้กันผู้นำกองทัพเพียงไม่กี่คน บูรพาจะพยัคฆ์หรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ เพราะสุดท้ายอำนาจทั้งหมดแขวนไว้ที่ ผบ.เหล่าทัพเท่านั้นเอง

@ มองท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. อย่างไร 

ผมคิดว่าเป็นผู้นำทหารที่ไม่มีทักษะทางการเมือง ผมไม่แน่ใจว่าผู้นำทหารที่เติบโตขึ้นง่ายและเร็ว ภายใต้กลไกอำนาจหลังรัฐประหารปี 2549 ความเข้าใจทางการเมืองมีแค่ไหน ถ้าเราดูทุกอย่างด้วยสติ สิ่งที่ต้องทำคือการวิเคราะห์ว่าการกระทำหลายอย่างนำพาประเทศไปสู่กับดัก หรือออกจากวิกฤต วันหนึ่งหากสังคมไทยเดินไปสู่ความแตกแยกทางความคิดขนาดใหญ่ และไม่มีจุดสิ้นสุด ซึ่งน่ากลัวมาก เพราะหากความคิดของผู้คนสุกงอมไม่เอารัฐบาล ไม่เอากองทัพ นั่นคือโจทย์ที่น่ากลัวที่สุด

@ มองกลไกการทำงานของศูนย์ติดตามสถานการณ์ (ศตส.) อย่างไร

เรื่องนี้เป็นตัวอย่าง พอเราเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็หันมาใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง แสดงว่าการเมืองไทยยังไม่พ้นวิกฤต และยังถอยตัวออกจากปมวิกฤตไม่ได้ จะใช้กฎหมายอะไรก็แล้วแต่ แต่สะท้อนว่าการเมืองไทยยังต้องอาศัยกลไกนอกระบบในการแก้ปัญหา

ถ้าเราดูข่าวต่างประเทศมีการประท้วงใหญ่ในหลายประเทศ คนออกมาตีกับตำรวจ แต่ก็ไม่เห็นมีข้อเรียกร้องให้ทหารออกมายึดอำนาจ ไม่มีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ภาพสะท้อนปรากฏการณ์บอกว่าระบบการเลือกตั้งในต่างประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้น จนสามารถอาศัยกลไกการเมืองปกติแก้ปัญหาได้ วันนี้เราถอยจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาเป็น พ.ร.บ.ความมั่นคง แต่ผมกลัวว่าจะเป็นโฆษกหน้าเดิม

ทั้งหมดมันบ่งบอกว่าการเมืองยังจมปลักอยู่ที่เดิม ชอบมีคนเรียกร้องให้การเมืองนิ่ง แต่ที่จริงการเมืองในระบบประชาธิปไตยไม่นิ่ง ความนิ่งของระบบประชาธิปไตยอยู่ที่ว่าเราแก้ปัญหาการเมือง ด้วยกลไกภายในระบบ และเชื่อว่าถ้าเราใช้ระบบประชาธิปไตยแก้ปัญหา เราไม่ต้องใช้กองทัพเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา

@ การที่บอกว่ายังมีกลุ่มคนเสื้อแดงยังเคลื่อนไหวใช้กำลังมีเหตุผลใด

ผมมีความรู้สึกว่ามีการสร้างผีขึ้นมาตัวหนึ่ง แต่ก่อนผีคอมมิวนิสต์ถูกสร้างขึ้นมาให้คนกลัว วันนี้เสื้อแดงคงถูกใช้ในอาการคล้ายๆ กัน อาการปลุกผีไม่แตกต่างกัน ซึ่งมันเป็นวิธีการเก่า วันนี้คนตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น การเคลื่อนไหวอย่างไรล่ะที่เรารับไม่ได้ ผมอยากถามว่าชนชั้นนำและผู้นำทหารไทยกลัวอะไรกับการตื่นตัวของประชาชนส่วน ใหญ่ หรือกลัวว่าท่านทั้งหลายคุมเขาไม่ได้เหมือนเดิม

@ อยากเห็นกองทัพอยู่ในสถานะใด 

ผมอยากเห็นกองทัพไทยมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ทั้งทางการเมืองและการทหาร ทั้งเวทีในประเทศและเวทีโลก

@ มองการปกครองของไทยในระยะหลังอย่างไร 

ระบบการปกครองแบบอำนาจนิยมยังฝังรากในสังคมไทย ผมไม่แน่ใจว่าการเมืองในกรุงเทพฯกับเมืองเนปิดอร์ (ประเทศพม่า) อันไหนดีกว่ากัน รัฐบาลทหารพม่าพยายามหาตัวแบบ สร้างกลไกนำสถาบันทหารออกจากเวทีต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งผู้นำรัฐบาลทหารพม่าไม่ได้โง่ว่าเกิดอะไรขึ้นในเวทีโลก ระยะหลังผมจึงไม่อยากวิจารณ์รัฐบาลทหารพม่า เพราะหากผมวิจารณ์ ผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามเรื่องทหารในบ้านตัวเองอย่างไร ผมไม่รู้สึกว่าการเมืองในประเทศของผมดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน 

วันนี้อินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาท ทำให้โลกเดินไปสู่อนาคตมากขึ้น วันนี้ถ้าผู้นำรัฐบาลและทหาร ยังเชื่อว่าชัยชนะสามารถผ่านการเซ็นเซอร์สื่อ แต่เชื่อเถอะว่าสังคมสมัยใหม่เคลื่อนย้ายไปยังสื่ออินเตอร์เน็ต เพราะแม้จะไล่ปิดแต่ก็ปิดได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้วิธีคิดที่ว่าอำนาจกำลังรบเป็นเครื่องมือชี้ขาดอำนาจทางการเมือง มันอาจตอบได้ในยุทธการบางอย่าง แต่ถ้าถึงวันหนึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เอา 

วันนี้ถ้าคนชนบทเขาจัดตั้งรัฐบาล แล้วไม่ยอมให้คนในเมืองล้มรัฐบาล และเรียกร้องขออยากมีรัฐบาลที่เขาเป็นคนเลือก ผมคิดว่าปัญหาชนชั้นกลาง ต้องเลิกวิธีคิดที่ว่าคนชนบทโง่ คนชนบทถูกซื้อเสียง และพวกเขาอ่อนด้อยทางปัญญา อ่อนด้อยทักษะการเมืองกว่าอาจาย์ สื่อ คนในเมือง วิธีคิดดังกล่าวไม่ตอบโจทย์อะไรทั้งสิ้น เพราะจะทำให้การเลือกตั้งเกิดอย่างไรก็ได้ แต่ขอให้เป็นหวยล็อคอย่างที่อยากได้กัน 

วันนี้ความตื่นตัวทางการเมืองเกิดขึ้นในชนบท ซึ่งเราต้องตระหนักว่านั้นเป็นเรื่องดี สังคมไทยกำลังเห็นโรงเรียนการเมืองที่ใหญ่ที่สุด แต่อย่าคิดว่าเป็นโรงเรียนเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนสีอะไร ประชาชนในทุกสีกำลังถูกหล่อหลอมทางการเมือง ภายใต้เงื่อนไขชุดใหม่ 

ถ้าเราเชื่อว่าการเลือกตั้งอาศัยการตัดสินของคนส่วนใหญ่เป็นคำตอบ วันนั้นต้องยอมรับว่าประเทศไทยจะสร้างรัฐบาล ที่เป็นรัฐบาลของคนส่วนใหญ่ ซึ่งอย่างน้อยก่อให้เกิดความผูกพันว่าเป็นรัฐบาลที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นเจ้า ของ โดยไม่ใช่เฉพาะคนในเมือง ไม่ใช่อาจารย์มหาวิทยาลัย ไม่ใช่สื่อบางส่วนชี้หน้าว่าคนเสียงส่วนใหญ่เหล่านั้นโง่ ถูกซื้อ ไม่มีความรู้พอ ถ้าเป็นอย่างนั้นประเทศไทยควรสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ไม่ให้คนจน คนชนบท ออกเสียง

 "ผมคิดว่าวันนี้เราต้องเปลี่ยน ผมกำลังกลัวว่าดีไม่ดีคนชนบทที่มีความตื่นตัวทางการเมือง มีความรู้ความเข้าใจมากกว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคน"

 

 

ที่มา:มติชนออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักข่าวพลเมือง:สัมภาษณ์ ไข่เขย จันทร์เปล่ง นักโทษการเมืองที่ถูกปล่อยตัวเพียงคนเดียวในมหาสารคาม

Posted: 01 Jan 2011 08:12 AM PST

ไข่เขย จันทร์เปล่ง

 

30 ธ.ค. 53 ศาลได้พิพากษาตัดสิน คดีการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดมหาสารคาม โดยมีจำเลยทั้งหมด 8 คน ถูกตัดสินให้ได้รับโทษจำคุก  5 ปี 8 เดือน และ 6 ปี 8 เดือน โดยศาลได้ตัดสินให้ นายไข่เขย จันทร์เปล่ง จำเลยที่ 4 รอลงอาญา 2 ปี นายไข่เขยได้ถูกปล่อยตัวในเย็นวันเดียวกัน และก็ได้หลบไปพักอยู่ที่เซฟเฮ้าส์แห่งหนึ่งเพราะเกรงว่าจะถูกทำร้ายร่างกายจากผู้ไม่หวังดี และเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 54 ที่ผ่านมา เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดมหาสารคาม หลังจากที่ได้ตัดสินใจกลับมาประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงครอบครัวตามเดิม

รู้สึกอย่างไร ที่ศาลตัดสินให้รอลงอาญา 2 ปี

ผมรู้สึกเสียใจมากที่เพื่อนของผมอีก 9 ชีวิตไม่ได้ออกมา เพราะผมได้สัญญากับเขาว่าจะพยายามให้พวกเขาได้ออกมาก่อน เพราะหลายคนยังเด็ก หลายคนมีลูกเล็กอยู่ เมียต้องมารับภาระคนเดียว ส่วนตัวผมนั้น มีครอบครัวที่เข้มแข็งกว่าคนอื่น จึงอยากให้คนอื่นออกมาก่อน และก็แปลกใจที่เพื่อนบางก็อยู่กับตนตลอดเวลาแต่ไม่ได้ออกมา ในความรู้สึกตอนนี้เหมือนกับผมขาดส่วนของชีวิตไปแล้ว 9 ส่วน เพราะทั้ง 10 คนคือส่วนหนึ่งของชีวิตกันและกันไปแล้ว  หลังจากนี้ ผมก็คงจะใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข เพราะส่วนชีวิตได้ขาดหายไป

 

ตอนนี้ได้เจอครอบครัวหรือยัง

ยังไม่ได้เจอลูก ได้เจอแต่ภรรยาคนเดียว

 

อุดมการณ์ที่มีก่อนถูกจับ กับปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างไร

อุดมการณ์ผมไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผมยังยึดมั่น ในตัวของผมเอง ผมออกมาเคลื่อนไหวโดยที่ผมไม่ได้รู้จักแกนนำหรือคนเสื้อแดงเลย ผมออกมาเพราะผมทนกับการบริหารงานของรัฐที่ไม่ได้เอาประชาชนเป็นใหญ่ไม่ได้

ผมอยากจะถามรัฐบาลจริงๆว่า ร้องเพลงชาติจบ แต่แปลเพลงชาติไทยออกทุกคำรึเปล่า คำว่า เป็น ประชารัฐ แปลว่าอย่างไร คนในประเทศ รับราชการเป็นส่วนน้อยกว่า กรรมกร หรือชาวนา แต่คุณเอาคนที่ทำงานข้าราชการส่วนน้อยเป็นใหญ่ ประชาชนที่เหลือเป็นส่วนน้อย ซึ่งมันกลับกันโดยสิ้นเชิง

 

ความรู้สึกตอนนี้คุณไข่เขยอยากทำอะไร

ผมอยากกลับเข้าไปดูแลจิตใจเพื่อนที่อยู่ในเรือนจำเหมือนเดิม  เพราะในกลุ่มเพื่อนมีผมคนเดียวที่คอยเป็นที่ปรึกษาและดูแลสภาพจิตใจทั้ง 9 คน ถ้าผมออกมาแล้วสภาพจิตใจของเพื่อนที่เหลือคงจะแย่ลงไปมากกว่านี้  ผมจึงไม่แปลกใจว่าทำไมผมได้ออกมาก่อน

 

ได้ข่าวว่ามีคนพยายามตามเก็บคุณหลังจากออกมาจริงหรือไม่

ตอนผมถูกปล่อย มีคนแปลกหน้าพยายามตามความเคลื่อนไหวตลอด จนได้หลบออกไปอยู่เซฟเฮ้าส์ แต่ทนไม่ได้ อยากกลับมาประกอบอาชีพทำงานเลี้ยงครอบครัว จึงตัดสินใจกลับออกมา

 

ไม่กลัวถูกเก็บหรือ

ในใจตอนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกนั้นแล้ว เป็นห่วงเพื่อนที่เหลืออยู่ในเรือนจำมากกว่า เพราะอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด และถ้าเกิด ผมก็รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร

 

ตอนอยู่ในเรือนจำเป็นอย่างไรบ้าง

ก็สบายดี เจ้าหน้าที่ก็ดูแลดีเป็นพิเศษ

 

มีอะไรเข้ามาแทรกแซงในเรือนจำรึเปล่า

มีผู้มีอำนาจเข้ามาพบผมในเรือนจำ แต่ไม่ขอเปิดเผย

 

มีอะไรจะฝากไหม

ตอนนี้ต้องยอมรับว่าความปลอดภัยของผมมีน้อยมาก ไม่รู้จะถูกเก็บตอนไหน และอยากถามถึงรัฐบาลกับความปลอดภัยของผู้ที่ถูกปล่อยตัว ว่าสามารถรับรองได้แค่ไหน ในความรู้สึกของผมคิดว่าคนอื่นจะได้ออกมาก่อน เพราะต่างเป็นเยาวชน และมีภาระที่ต้องดูแลอีกมาก แต่กลับเป็นผมได้ออกก่อน จึงเดาไม่ออกว่ามีนัยอะไรซ่อนเร้นรึเปล่า แต่ก็จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด และขอฝากไว้คำหนึ่งว่า ความยุติธรรมต้องเป็นไปตามหลักการ ไม่ใช่ไปตามความรู้สึกหรือการกระทำของใครคนใดคนหนึ่ง

 

หลังจากให้สัมภาษณ์เสร็จแล้วนายไข่เขยก็เข้าจุดธูปขอพรให้เพื่อนในเรือนจำ และไหว้พระในวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดมหาสารคาม และได้เดินทางกลับบ้าน

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

จำคุก 7 เสื้อแดงสารคามฐานวางเพลิง-ขัด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 5 ปี 8 เดือน

รายงาน: ชีวิตหลังลูกกรงของคนขายแมลงทอด เสื้อแดงมหาสารคาม ‘ไข่เขย-บุญเลี้ยง’

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

3 วันแรกของ 7 วันอันตรายตายแล้ว 72 ศพ

Posted: 31 Dec 2010 11:30 PM PST

1 ม.ค. 53 - ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2554 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนน ประจำวันที่ 31 ธันวาคม 53 ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของการรณรงค์ในช่วง 7 วันระวังอันตราย พบว่าเกิดอุบัติเหตุรวม 684 ครั้ง ลดลงจากปี 2553 จำนวน 25 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 72 ราย ลดลงจากปี 2553 จำนวน 5 ราย ผู้บาดเจ็บ 716 ราย ลดลงจากปี 2553 จำนวน 47 ราย
      
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุรา รองลงมา ขับรถเร็วเกินกำหนด พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้บาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ไม่สวมหมวกนิรภัย ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ รองลงมา ได้แก่ รถกระบะ ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง รองลงมาบนถนนสายรอง ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01-20.00 น. ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน
      
สำหรับจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เชียงราย 34 ครั้ง รองลงมา ได้แก่ สุรินทร์ 27 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ เชียงราย และ เพชรบุรี จังหวัดละ 5 ราย รองลงมา ได้แก่ นครราชสีมา ร้อยเอ็ด จังหวัดละ 4 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ เชียงราย 36 ราย รองลงมา ได้แก่ สุรินทร์ 26 ราย ขณะที่จังหวัดที่ไม่เกิดอุบัติเหตุ รวม 6 จังหวัด ได้แก่ นครนายก นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สระบุรี และอำนาจเจริญ
      
ทั้งนี้ ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 2,515 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 68,644 นาย เรียกตรวจยานพาหนะ 844,228 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรการลดพฤติกรรมเสี่ยง 10 มาตรการ รวม 89,630 ราย ส่วนใหญ่ไม่สวมหมวกนิรภัย 27,545 ราย รองลงมา ไม่มีใบขับขี่ 27,312 ราย
      
อย่างไรก็ตาม สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 3 วัน เกิดอุบัติเหตุรวม 1,696 ครั้ง ลดลงจากปี 2553 จำนวน 128 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 151 ราย ลดลงจากปี 2553 จำนวน 17 ราย ผู้บาดเจ็บรวม ผู้บาดเจ็บรวม 1,811 ราย ลดลงจากปี 2553 จำนวน 177 ราย จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสูด ในช่วง 3 วัน ได้แก่ เชียงราย 71 ครั้ง รองลงมา ได้แก่ เชียงใหม่ 60 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ เพชรบุรี 9 ราย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สมาคมนักข่าวฯ เผยปี 53 สื่อทำงานยาก

Posted: 31 Dec 2010 11:24 PM PST

เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 53 ที่ผ่านมา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้เผยแพร่รายงาน “ปีแห่งความยากลำบากในการทำหน้าที่สื่อ” โดยมีรายละเอียดดังนี้
 

 

รายงานสถานการณ์สื่อมวลชนในรอบปี 2553

จัดทำโดย...สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

“ปีแห่งความยากลำบากในการทำหน้าที่สื่อ”
………………………………………………………

สืบเนื่องจากปี 2553 ถือเป็นปีที่ท้าทายการทำงานของสื่อมวลชนไทย จากเหตุการณ์ที่เกิดความแตกแยกทางความคิดและอุดมการณ์ จนนำมาสู่ความรุนแรง สื่อมวลชนต้องตกอยู่ในฐานะที่ไม่ต่างไปจากตัวประกันและถูกกดดันจากคู่ความ ขัดแย้งทุกฝ่าย

ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่สื่อมวลชนถูกตั้งคำถามถึงบทบาทการทำหน้าที่ว่า มีความเป็นธรรมและเป็นกลางหรือไม่  ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ หรือเพื่อประโยชน์ของใคร ในขณะที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยยังมองว่า สื่อมวลชนคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองทวีความรุนแรงมากขึ้น เป็นปีที่คนทำสื่อต้องยึดในหลักการแห่งวิชาชีพสื่อมวลชน  และยึดมั่นในการนำเสนอข้อมูลที่รอบด้าน รวมทั้งการเปิดพื้นที่ใหั้กับทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม เป็นสิ่งที่ท้าทายจนยากยิ่งที่จะแยกแยะได้ว่า เรื่องใดเท็จเรื่องใดจริง

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้จัดทำรายงานสรุปถึงการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนไทยในรอบปี 2553 ที่กำลังจะผ่านไปไว้ดังนี้

1.เสรีภาพในการทำข่าวภายใต้ความรับผิดชอบ จากกรณีการทำ หน้าที่ของสื่อมวลชน ทั้งภายในกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง และภายในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สื่อมวลชนต่างถูกจำกัดการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ดังตัวอย่างที่มีให้เห็นบ่อยครั้งว่า แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ไว้วางใจผู้สื่อข่าว จนก่อให้เกิดการกระทบ กระทั่งกัน ทำให้สื่อมวลชนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ท่ามกลางสถานการณ์ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

2.ความปลอดภัยและการเยียวยาสภาพจิตใจของนักข่าว เมื่อ ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจและมีความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความไม่ปลอดภัยในสวัสดิภาพการทำงาน ดังนั้นการเตรียมความพร้อมของสื่อมวลชนจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การทำข่าวของประเทศไทย ที่กลุ่มผู้สื่อข่าวต้องใส่เสื้อเกราะและอุปกรณ์ป้องกันภัยต่างๆ แต่ในที่สุดก็เกิดความสูญเสียขึ้น  โดยเฉพาะนักข่าวและช่างภาพจากต่างประเทศต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บจาก เหตุการณ์สลายการชุมนุม   มีนักข่าวและช่างภาพจากสื่อมวลชนไทยได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ผลที่ตามมายังได้ก่อให้เกิดบาดแผลขึ้นภายในจิตใจ  ซึ่งยากจะเยียวยาให้ฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้  ผู้สื่อข่าวจำนวนไม่น้อยยังตกอยู่ในอาการหวาดผวาและรอคอยการเยียวยาสภาพจิต ใจอย่างถูกต้องตามหลักจิตวิทยา

3.ความเป็นมืออาชีพในการทำงานในสถานการณ์ความรุนแรง เหตุการณ์ ความรุนแรงที่ผ่านมาไม่มีใครคาดคิด ไม่มีการเตรียมตัวเตรียมใจว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์รุนแรงเช่นนี้  ต้องยอมรับว่า ผู้สื่อข่าวไทยยังขาดความพร้อมในการรายงานข่าวภายในสถานการณ์ความขัดแย้ง ด้วยความ“รอบคอบ รอบด้าน” ดังนั้น การฝึกอบรมผู้สื่อข่าวให้มีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจจึงเป็นเรื่องที่มี ความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง

4.การปิดกั้นเสรีภาพสื่อมวลชน ในส่วนของการทำหน้าที่ “สื่อมวลชน” ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ทางสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ ยังคงยืนยันในหลักการเรื่องเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ไม่สนับสนุนให้มีการปิดกั้นสื่อมวลชนทุกรูปแบบ ในขณะเดียวกันได้เรียกร้องให้สื่อมวลชนทุกแขนงมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย  หากพบว่า สื่อใดกระทำการละเมิดกฎหมายก็ต้องใช้กระบวนการทางกฎหมายในการดำเนินการอย่าง โปร่งใส เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ใช้วิธีการอื่นใดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเข้ามาจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิด เห็นของประชาชนและสื่อมวลชน

5.สื่อการเมือง-สื่อรัฐนำไปสู่ความขัดแย้ง นอกจากนี้ ได้เกิดปรากฎการณ์ของสื่อการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างมากมาย และถูกนำมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง ทำให้สื่อเหล่านี้มีฐานะเป็นเพียงเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมืองของแต่ละ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นวิทยุชุมชน โทรทัศน์ดาวเทียม เว็บไซต์ ที่มีการนำเสนอความคิดเห็นและความเชื่อมากกว่า “ความจริง” ไม่ได้นำเสนอข้อเท็จจริงที่มีข้อมูลอย่างรอบด้าน ในทางตรงกันข้ามกลับนำเสนอข้อมูลในลักษณะของการโฆษณาชวนเชื่อ มีอคติ ยั่วยุให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยก เกลียดชัง จนถึงขั้นการทำลายล้างต่อฝ่ายที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกับตัวเอง  ในขณะที่สื่อมวลชนของรัฐถูกรัฐบาลแทรกแซงการทำหน้าที่ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้เกิดการปิดกั้นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในรูปแบบต่างๆ  ยังไม่นับรวมถึงการปิดกั้นสื่อออนไลน์ที่ขาดความชัดเจนว่าได้ดำเนินการตาม กระบวนการของกฎหมายที่มีอยู่หรือไม่

ดังนั้น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย  ขอสรุปว่า ในปี 2553 ที่กำลังจะผ่านไปถือว่าเป็น “ปีแห่งความยากลำบากในการทำหน้าที่สื่อ” ของสื่อมวลชนไทย ซึ่งในอนาคตจะต้องมีการปรับตัวและเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ความขัดแย้งมาก ยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ในการรายงานข้อมูลข่าวสารได้อย่างครบถ้วน รอบด้านไปสู่สาธารณชน และยึดมั่นให้หลักของจริยธรรมวิชาชีพด้วย

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

www.tja.or.th

31 ธันวาคม 2553

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“นส. A” : ยัยแม่มดตัวร้าย กับอาการตาบอดข้างเดียวใน Facebook ฉึกฉึก

Posted: 31 Dec 2010 10:52 PM PST

หมายเหตุ : ข้อเขียนนี้ผมสรุปรวบรวมประเด็นที่โพสต์กรณี “นส.A” และการเสียชีวิต 9 ศพที่เกิดขึ้นพร้อมกับปรากฏการณ์ กระแสล่าแม่มดใน facebook จากเพจ "มั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนไม่พอใจ นส.A”

ภายหลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 27 ธันวาคม 2553 กับอุบัติเหตุบนทางด่วนรถเก๋งซีวิคชนท้ายรถตู้สาย 118 ธรรมศาสตร์(รังสิต)-จตุจักร สงผลให้ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วจากเหตุการณ์ดังกล่าว 9 คน หลังจากนั้นในเครือข่ายทางสังคม facebook ก็เริ่มทำงานตั้งแต่คืนดังกล่าว เช่นมีการเอาภาพข่าวมาลง การตั้งเพจไว้อาลัยต่างๆ โดยเฉพาะเพจที่ถือว่าเป็นประวัติการณ์ของเครือข่ายทางสังคมอย่าง facebook ในไทยเลยที่มีการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว อย่างเพจ"มั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนไม่พอใจ นส.A” ซึ่งขณะนี้ (บ่ายโมง วันที่ 31 ธ.ค.53 มี 250,463 คนถูกใจ) [1] 

และแน่นอนสิ่งที่ตามมาคือการพยายามหาคนผิดและรับผิดชอบจาก “อุบัติเหตุ” ในกรณีดังกล่าว ซึ่งมติมหาชนบนโลกออนไลน์ก็ลงไปที่ “ยัยแม่มดตัวร้าย นส.A” คุณหนูผู้ขับรถเก๋งซีวิค ดังกล่าวทำให้ผมนึกภาพของ “ตัวร้าย” ในละครหลังข่าวขึ้นมาทันที่ ที่มีภาพเป็น คุณหนู ที่ร้าย ขี่อิจฉา ไม่มีความเป็นคนไทย ใช้ชีวิตแบบทันสมัย(ใช้ BB) โง่ ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีคุณธรรม (ทำให้ถึงอาการขาดคุณสมบัติ 3 ห่วง 2 เงื่อนไขของหลังเศรษฐกิจพอเพียง) เป็นต้น และภาพหรือคุณสมบัติแบบนี้หล่ะที่ทำให้ทุกคนร่วมกันตัดสิน ร่วมกันด่าประณามได้ทั้งบ้านทั้งเมือง นี่ถ้าไปตลาดคงได้รับเปลือกทุเรียนเป็นแน่แท้  รวมถึงฝ่ายผู้เสียหายจากกรณีนี้ก็ถูกฉายภาพว่าเป็นคนมีความสามารถและมีคุณธรรม โดยเฉพาะกรณีของ ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง [2] ซึ่งผู้เขียนก็ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวคุณศาสตรา และครับครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจาก “อุบัติเหตุ” ในกรณีนี้ทุกท่าน ซึ่งรวมถึงครอบครัวของ “นส.A” ด้วย

แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่แค่นั่งแสดงความเสียใจหรือจิ้มแป้นก้นด่าล่าแม่มดเพียงแค่นี้แน่นอน ในที่นี้ ผู้เขียนขอนำเสนอ 4 ประเด็นประกอบด้วย ปรากฏการณ์ล่ายัยแม่มดตัวร้าย? ในสังคม “พิพากษา” คนเร็วจนน่ากังวลใจ อาการตาบอดข้างเดียวใน Facebook ฉึกฉึก  และประเด็นที่น่าจะ “ยก” มาถกกันจากกรณีนี้ เป็นต้น

ปรากฎการณ์ล่ายัยแม่มดตัวร้าย?ในสังคม “พิพากษา”คนเร็วจนน่ากังวลใจ   

ผู้เขียนเห็นว่าขณะนี้ "นส.A" กำลังถูกสำเร็จความใคร โดยเฉพาะด้านที่จะโชว์ศีลธรรมและความรู้สึกอิจฉาชนชั้นสูงของบรรดาชนชั้นกลาง(หรืออย่างน้อยคนที่เข้าถึง Facebook) ลองดู เพจ"มั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนไม่พอใจ นส.A” ซึ่งขณะนี้คนถูกใจก็กว่า 2 แสน 5 หมื่นไปแล้ว  และแม้กระทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ได้ตอบคำถามกรณีนี้ด้วย [3]  โดยนายอภิสิทธิ์ และสุเทพ ได้ ให้ความเห็นเพื่อตอกย้ำระบบนิติรัฐของสังคมไทยว่า

"... ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และไม่มีใครมีสิทธิพิเศษ..."

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

29 ธ.ค.53

"..ผู้ที่กระทำความผิดนั้นถึงแม้ว่าจะมีนามสกุลอะไร หรือเป็นลูกใคร

กฎหมายก็ว่าไปตามบรรทัดฐานกฎหมาย ไม่สามารถเว้นให้ใคร หรือไม่เว้นให้ใครได้.."

สุเทพ เทือกสุบรรณ

29 ธ.ค.53

แต่ทางออกของคนเหล่านนี้ดูว่าจะเหมือนเอาเป็นเอาตายให้ได้กับ "นส.A" หลักฐานที่เอามาโพสต์ ไม่ใช่ภาพแต่เป็นข้อความที่อ้างว่าเป็นของเธอก็ไม่มีที่มาชัดเจน (แค่อ้างว่าเอามาจาก BB) ซึ่งขณะนี้มีการออกมาชี้แจงว่า กรณีภาพที่ดูเหมือนจะกด BB ของ “นส.A” นั้น

1. “.. แพรวารีบกดบีบี บอกเพื่อนว่ารถชนและถามเรื่องประกันของรถคันนี้ ไม่ใช่มัวเล่นบีบีตามที่บางท่านเข้าใจ..” นางลัดดาวัลย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา  แม่ของ นส.A กล่าว [4]

2. “..ที่คนมองคุยBB ที่จริงกดโทรหาพ่อ..” ณัฏฐ์-เทพหัสดิน ณ อยุธยา พี่ชายของ “นส.A” กล่าว [5]

ส่วนข้อความที่มีการกล่าวถึงมากว่าเป็นข้อความที่เป็นของ “นส.A” พิมพ์ขึ้นจาก BB ว่า

"อุยเมื่อกี้ชั้นขับรถชนรถตู้ ตายไป เท่าไม่รู้อ่า 555 ตื่นเต้นชะมัดเลยอ่า เด่วอัพรูป"

แท้จริงแล้ว น่าจะเป็นเหตุมาจากการพยายามโพสต์ แซวเล่นใน ทวิสเตอร์ [6] แต่ด้วยกระแสการล่าแม่โดยเฉพาะในกระแสโลกสังคมออนไลน์นี้ มีการกระพือไปเร็วมาก แน่นอนในเพจ มั่นใจ ฯ นั้นเชื่อว่าคนส่วนมากก็คิดว่าข้อความดังกล่าวนั้นเป็นจริง หรือแม้กระทั้ง อ.สมศักดิ์  เจียมธีรสกุล ก็ยังเคยเข้าใจว่า “..ดูเหมือนจะใช่..” [7]  โดย อ.สมศักดิ์ ได้โพสต์ใน facebook ของตนว่า “ผมไม่อยากโพสต์เรื่องนี้เลยจริงๆ แต่เมื่อกี้ เห็นแวบๆใน fb มีคนเอา status ของคุณ "น.ส.เอ" มาโพสต์ให้ดู ไม่แน่ใจว่า ใช่ของจริงๆแน่ๆไหม ดูเหมือนจะใช่..” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กล่าว 

พร้อมกันนั้น อ.สมศักดิ์ยังมีข้อสรุปในเบื้องต้นด้วยว่า “..การเห็นคนตายจากการมีส่วนร่วมของตัวเอง ไม่วาตัวเองจะผิดหรือไม่ แต่ยังสามารถ "ตายไปเท่าไรไม่รู้อ่า55" เป็นเรื่องที่ผมพูดไม่ออกจริงๆ..” ซึ่งเหมือนจะอิงจากข้อความที่อ้างว่ามาจาก BB ของ “นส A” หรือไม่ ?

แต่ถึงอย่างไร อ.สมศักดิ์  ก็ได้ เขียน “ขออภัย” ในภายหลังทันที [8]  ว่า “ขออภัย คุณ "น.ส.เอ" และท่านผู้อ่าน เฟซบุ้ค นี้ กระทู้ที่ผมตั้งข้างล่างhttp://www.facebook.com/photo.php?fbid=143320969054524&set=a.137616112958343.44289.100001298657012&comments มาจากความเข้าใจผิดว่า ประโยคที่่ว่า "เมื่อกี้ชั้นขับรถชนรถตู้ ตายไปเท่าไรไม่รู้อ่า55" เป็นของคุณ "น.ส.เอ" บัดนี้ มีท่านผู้อ่าน (คุณ Bob Ajawakom) ได้ไปค้นมาให้ดูแล้วว่า คนทีตั้งประโยคทีแย่มากๆนี้ ไมใช่คุณ "น.ส.เอ" แต่เป็นคุณคนนี้ https://twitter.com/Boatz_/status/19765194720804864 และ https://twitter.com/Boatz_/status/19992416945704960 ข้อความอื่นที่เห็นในรูป ที่เป็นบทสนทนา ความจริง ถ้าเป็นของคุณ "น.ส.เอ" จริง ก็ไม่ใช่ข้อความที่ดี ผมไม่ชอบ แต่คงไม่ถึงกับโพสต์เป็นกระทู้ ดังนั้น จึงต้องขออภัย ต่อคุณ "น.ส.เอ" และผู้อ่านด้วย “

“กรณีคุณ "น.ส.เอ" ในสวนที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุนั้น ผมเห็นอย่างที่เขียนในกระทู้ข้างล่างว่า ความผิดนี้ เริ่มมาจากประเด็นสำคัญ คือเรื่อง คนที่อายุไม่ถึง ไม่สามารถมีใบขับขี่ได้ กลับสามารถ เป็นผู้ขับรถ บนทางด่วน ในเวลา 3 ทุ่มกว่า ได้ สภาพเช่นนี้ เรียกว่า เหมือนการให้ "อาวุธ" ทีทำร้ายคนถึงตายได้ ไปอยู่ในครอบครอง แก่คนทีไม่สามารถรับผิดชอบทางกฎหมายได้เต็มที่ ใครควรรับผิดชอบเพียงใด คงต้องหากันต่อไป” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กล่าว

ซึ่งในประเด็นนี้ผมยกย่อง สมศักดิ์ ที่ “ขออภัย” ในทันทีในเพจดังกล่าว

อาการตาบอดข้างเดียวใน Facebook ฉึกฉึก สังคม

จากกระแสที่แรงมากเป็นประวัติการณ์ในสังคม facebook นี้ ผมยังสงสัยเอาเข้าจริงปรากฏการณ์นี้

1. คนแคร์กับชีวิตคนมากจริงหรือ?

2. คนแคร์ปัญหาระบบ 2 มาตรฐานมากจริงหรือ?

 ถ้าเช่นนั้น ทำไม page ของเสื้อแดง ถึงได้อยู่ที่หลัก พัน ในขณะที่อันนี้จะหลักแสนแล้ว

ถ้าเช่นนั้น ทำไมยังมีการไว้อาลัยต่อ ตึกมากกว่าการเสียชีวิตของคนในการณี พค ที่ผ่านมา โดยเฉพาะคนเล่น FB ส่วนใหญ่ก็คิดแบบนั้น  

หรือแม้กระทั้งในหมู่ผู้เสียชีวิตเองก็มีการพูดถึงนักวิชาการและนักศึกษา โดยพยายามโชว์คุณสมบัติของคนเหล่านั้นมากกว่า คนอื่นที่ไม่มีคุณสมบัติตรงนั้น เช่น คุณนฤมล ปิตตาทะนัง อายุ คนขับรถตู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยหรือไม่? หรืออย่างดิสเพลของเพจ "มั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนไม่พอใจ นส.A” นั้นก็เน้นโชว์คุณสมบัติที่การศึกษาและการงานของบุคคลที่เสียชีวิตเหล่านั้น พร้อมกับระบุข้อความไว้ว่า “ไม่ว่าเธอจะตั้งใจหรือไม่ แต่เธอก็มีส่วนแห่งการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่” [9] ในขณะที่คุณนฤมล กลับเลือกที่จะพูดเพียงแค่ว่าเป็นพนักงานขับรถตู้  จึงทำให้เกิดคำถามว่าหากบุคคลที่เสียชีวิตเหล่านี้ไม่ได้มีคุณสมบัติดังกล่าว เป็นกรรมกร เป็นชาวไรชาวนา แรงงานข้ามชาติ คนมลายูมุสลิม ฯลฯ จะเกิดกระแสแบบนี้หรือไม่ ทั้งๆ ที่อุบัติเหตุในลักษณะแบบนี้เราก็เห็นกันไม่ใช่น้อยเช่นกัน 

 

ประเด็นที่น่าจะ “ยก” จากกรณีนี้

จากที่ได้มีการถกกันในเรื่อง "สัดส่วนทีเหมาะสม" ระหว่าความรับผิดรับชอบใน “ตัวปัจเจค” กับ “ระบบ” ในเพจ facebook ของ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในเรื่อง "สัดส่วนทีเหมาะสม” เกี่ยวกับ “การรับผิดชอบส่วนบุคคล โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “อายุ” ซึ่ง อ.สมศักดิ์ [10] ยกมา ว่า “..ผมยังยืนยันว่า คนทีอายุไม่ถึง ไม่มีใบขับขี่ ความจริง ไม่ควรขับรถ ไม่ว่าที่ใด แตยิ่งบนทางด่วน กลางดึก (ด้วยความเร็วระดับนั้นอีก ไม่นับความแรงของรถอีก) ผมว่า เป็นอะไรบางอย่างทีผิดแน่ๆครับ” “ส่วนในแง่ทีว่าเป็นความผิดแล้ว ควรมีท่าทีอย่างไร อันนี้ ก็ต้องกลับไปทีย่อหน้าเมื่อครู่ทีเขียนเรื่อง perspective หรือ มี "สัดส่วนทีเหมาะสม"

สมศักดิ์  ยังกล่าวเสริมอีกว่า “ผมไม่คิด่วา การโทษ "ระบบ" เป็นอะไรที่ถูกต้อง หรือเหมาะสมเสมอไป มันมีระดับของการรับผิดชอบส่วนบุคคลอยู่ เพราะถ้าเราเอาแต่พูดเรืองระบบ "มาร์ค" นี่ก้อเป็น "ผล" ของ "ระบบ" เช่นกัน ผมไม่คิดว่า จำเป็นทีต้องบอกว่าทุกกรณีเป็นเรื่องของ"ระบบ"

“อย่างกรณีนี้ความรับผิดชอบ ของการขับรถท้งๆที่ ไม่มีใบขับขี่ ทั้่งๆที่เป็นเวลากลางคืน และบนทางด่วน ส่วนสำคัญส่วนหนึง ต้องเป็นของ "น.ส.เอ" แน่นอน แต่เนื่องจาก "น.ส.เอ" ไม่สามารถรับผิดชอบเต็มที่ตามกฎมหายได้ เพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะ ปัญหาว่า ผู้ปกครอง หรือใครที่ทำให้ "น.ส.เอ" สามารถขับรถเช่นน้ันได้ ควรรับผิดชอบเพียงใด อันนี้ คงต้องดูรายละเอียด แต่เรื่องแบบนี้ ก็ไมใช่เรือ่ง "ระบบ" เสียทีเดียว” สมศักดิ์ กล่าว [อ้างแล้วใน “10”]

จากประเด็นที่ อ.สมศักดิ์ “ยก” มานั้น โดยเฉพาะ “การรับผิดชอบส่วนบุคคล” ผู้เขียนยอมรับว่าต้องรับผิดชอบแน่นอน โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “อายุ” หรือแม้กระทั้ง “การขับรถประชิด” ที่ทั้งผิดกฎหมายและเสี่ยงต่อการเกิด “อุบัติเหตุ”  และเหมือนว่าคน 2 แสนกว่าคนใน เพจ “มั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนไม่พอใจ นส.A”  นั้นก็น่าจะเห็นด้วยอยู่แล้ว

เมื่อประเด็น “การรับผิดชอบส่วนบุคคล” เป็นสิ่งที่สังคม (คือผู้เขียนหมายถึงใน facebook) ยอมรับอยู่แล้ว และผู้เขียนคิดว่า อ.สมศักดิ์ น่าจะไม่ เปรียบเทียบตัวแสดง (agency) อย่าง"มาร์ค" ในระดับเดียวกับ“นส.A” เสียทีเดียวเลย

ส่วนเรื่อง “ระบบ” ที่ผู้เขียนคิดว่ามีปัญหาจริง เราน่าจะ “ยก” เพื่อให้คนที่กำลัง เฮิธ กรณีนี้ไม่ได้มองแค่นี้ เพื่อให้ คนเหล่านี้สามารถโยงและ “..เปรียบเทียบกับการตายเป็นเบือที่ราชประสงค์เป็นต้นทีเห็น ชัดๆ..” หรืออย่างน้อยก็เข้าใจระบบ 2 มาตรฐานที่เป็นระบบมากขึ้น เช่น ระบบ 2 มาตรฐานที่เปิดโอกาสในคน “อายุ 17” ขับรถได้จนมีความผิดในแง่ “การรับผิดชอบส่วนบุคคล” (ดังที่ อ.สมศักดิ์ยกมา) และ ระบบ 2 มาตรฐานในการแก้ปัญหา  รวมถึงระบบขนส่งที่ผมคิดว่ามีปัญหาแน่นอน

 

1. ระบบ 2 มาตรฐาน ที่เปิดโอกาสให้ คนอายุ 16 ขับรถได้

บ้านผู้เขียนก็ขับนะอย่าว่าแต่ 17 ปีเลย 14 ปี (หรือน้อยกว่านั้น) มันก็ขับแล้ว เด็กแว้นไรงี้ แต่เป็นมอเตอร์ไซค์ (ครอบครัวไม่มีปัญญาซื้อรถใหญ่) แต่ระบบที่ควบคุมพวกนี้สูงกว่า คือถ้าโดน ตำรวจจับก็โดนยึดรถเลย

ผู้เขียนนึกถึงนะถ้ากรณี "นส.A" ถูกตรวจ อาจจะผ่านได้ทันที อันนี้ผู้เขียนคิดว่าชีวิตประจำวันของคนสามัญทั้วไปน่าจะพอรู้ เวลา ตำรวจตรวจก็จะมักตรวจเฉพาะ แท๊กซี่ รถมอเตอร์ไซด์ แต่ถ้าเป็นรถเก๋ง (ไม่ต้องเบนซ์หรือ BMW หรอก) ส่วนมากก็จะผ่านสะดวกโยธิน

ถึงแม้ "นส. A" ถูกจับหรือตรวจจริง ก็อาจจะยกหูคุยกับคุณพ่อ เช่นตามที่ พี่เขาบอก "..ภาพน้องในที่เกิดเหตุที่เผยแพร่อยู่ทางอินเตอร์เน็ตและถูกทุกคนมองว่ากำลังคุยบีบีเล่น จากที่ได้คุยกับน้องสาว น้องกำลังกดโทรศัพท์หาคุณพ่อ.." [อ้างแล้วใน “5”] เท่านี่ก็น่าจะผ่านด่านได้สะดวกโยธินแล้วหรือไม่?

ระบบ 2 มาตรฐานเหล่านี้เอื้อให้ "นส A" ซึ่งอายุ 17 สามารถขับรถได้ ถ้าผิดผู้เขียนว่าไม่ใช่ผิดที่ตัวปัจเจค(นส A) เพียงอย่างเดียวหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่เราควรจะ "ยก" ขึ้นมา ?

 

2. ระบบ 2 มาตรฐานในการแก้ปัญหา

เรามักได้ยินหรือคุ้นชินว่าหากผู้มีอิทธิพลเกิดปัญหาในทำนองนี้ก็จะอาจมันสามารถปิดข่าวสื่อสาธารณะบางสื่อได้ เช่น เปลี่ยนชื่อผู้กระทำผิด เบี่ยงไปเป็นประเด็นชนกันที่มีความผิดร่วม การเสนอเงินแก่ผู้เสียหายหรือแม้ไม่เสนอข่าวประเด็นเหล่านี้ เป็นต้น แต่ถ้าหากปัญหานี้เกิดกับกลุ่มผู้ไม่มีอิทธิพลก็จะมีการแก้ปัญหาไปอีกแบบหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปแล้ว เพจ"มั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนไม่พอใจ นส.A” ในระดับหนึ่งก็ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลข่าวสารของสื่งกระแสหลัก รวมถึงกดดันให้สื่อเหล่านั้นต้องเล่นประเด็นนี้  แต่แน่นอนยังมีข้อเสียที่อันตรายดังที่กล่าวไปข้างต้น

 

3. ระบบขนส่งที่มีปัญหา

3.1 ลดระบบรถส่วนบุคคล เพิ่มรถสาธารณะ  ผู้เขียนคิดว่าปัญหาอย่างหนึ่งในการจลาจรแบบที่เป็นอยู่ไม่ใช่เฉพาะเรื่องอุบัติเหตุ รวมถึงเรื่อง “รถติด” ด้วยคือ ปริมาณรถส่วนบุคคล มากเกินไป บางครั้ง ในขณะที่มีการบ่นเรื่องรถติด แต่รถส่วนบุคคลบางคันก็มีเพียงแค่คนขับเพียงแค่คนเดียว แต่รถอย่างรถเมล์มีไม่ต่ำกว่า 20 คน ทำให้สัดส่วนการใช้พื้นที่ผิวถนนได้ไม่มีประสิทธิภาพ  ทางออกอย่างหนึ่งคือ การเพิ่มภาษีรถยนต์ส่วนบุคคลในอัตราก้าวหน้า คือ ในคันแรกอาจไม่ควรเก็บมาก แต่หากเป็นคันที่ 2, 3 ฯลฯ ก็ต้องเก็บในอัตราที่สูงขึ้น  เพื่อลดแรงจูงใจในการใช้รถส่วนบุคคล และสามารถนำภาษีที่ได้มาพัฒนาระบบบริการขนส่งสาธารณะ ทั้งล้อและราง เพื่อเพิ่มแรงจูงในในการใช้บริการรถสาธารณะ  นอกจากนี้พลังงานที่ต้องใช้ในระบบรางยังถูกว่าระบบล้ออย่างน้อย 2 เท่า

3.2 ลดมาเฟียระบบรถตู้ ที่มีการเก็บค่าคิวรถตู้ในอัตราที่สูงมาก ส่วนมากถูกจัดเก็บโดยมาเฟีย  ในกรณีนี้เข้าใจว่าต้องจ่ายถึง 2,000 บาท แต่ไม่ได้หมายความว่าเกิดจากระบบมาเฟียรถตู้นะครับ เพียงแค่สงสัยว่าทำไมต้องจ่ายเยอะถึง 2,000 บาท  โดย พิทยา ศรีจงใจ พนักงานขับรถตู้สาย 118 กล่าวว่า "ที่คุณเห็นบางคนปาดซ้าย ปาดขวา แย่งคน ก็เพราะเขาต้องการได้รอบเร็วๆ จะได้ถอนทุนในแต่ละวันได้ อย่างวินนี้ค่าเช่ารถวันละ 2,00 บาท ค่าแก๊สอีก 300 วิ่งได้ประมาณ 3 รอบ  ซึ่งถ้าจะให้ได้ทุนคืนทั้งหมดก็ต้องวิ่งให้ได้ถึง 8 ขา(4 รอบ)..” [11] แน่นอนต้นทุนเหล่านี้ทำให้ต้องเร่งวิ่งและเพิ่มรอบในการวิ่งอาจส่งผลถึงความปลอดภัยในการวิ่งด้วยซ้ำไป 

ผู้เขียนคิดว่ากรณีนี้ควรทำให้เห็นถึงปัญหาที่เป็นระบบ ทั้งระบบ 2 มาตรฐาน ระบบขนส่งที่ห่วยแตก ดีกว่ามานั่งล่าแม่มด มานั่งพิจารณาว่า “นส.A” จะ BB ว่าอะไร  หรือไปนั่งจิ้มแป้นด่าในเพจ “มั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนไม่พอใจ นส.A” เหมือนด่านางร้ายละครหลังข่าวที่ทำให้ตัวเองได้ดูเหมือนมีคุณธรรมกว่า มีความฉลาดกว่าด้วยการกดคนอื่นที่ดูเหมือนสูงกว่าให้จมลง เพราะอย่างน้อยเราต้องไม่ลืมว่านี่เป็น "อุบัติเหตุ" ที่ระบบมันเอื้อให้เกิด แต่ที่เกิดขึ้นราวกับว่า "นส.A" วางแผนมาฆ่าเสียด้วยซ้ำ ซึ่งมันไม่ได้ทำให้คุณหลีกหนีจากปัญหาเหล่านี้ได้เลยทั้ง 2 มาตรฐาน ระบบขนส่งที่ห่วยแตก ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณเลือกที่จะเฮิร์ทและเลือกที่จะด่า

 

อ้างอิง

[1] ดู เพจ"มั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนไม่พอใจ นส.A” facebook http://www.facebook.com/pages/manci-wa-khn-thiy-kein-lan-khn-mi-phxci-phaer-waxrchr-thephhasdin-n-xyuthya/142609679128323

[2] ดู กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ "เปิดใจ!แม่ดร.ศาสตรา'ลูกเพิ่งจบดอกเตอร์ยังไม่ได้ตั้งตัว' วันที่ 28 ธันวาคม 2553 http://bit.ly/fGFxJ8

[3] ดู อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ ใน “นศ.ธรรมศาสตร์เหยื่อซีวิคสิ้นใจ” เดลินิวส์ออนไลน์ 30 ธันวาคม 2553 http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=419&contentID=112446

[4] ดู ลัดดาวัลย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ใน “นศ.ธรรมศาสตร์เหยื่อซีวิคสิ้นใจ” เดลินิวส์ออนไลน์ 30 ธันวาคม 2553 http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=419&contentID=112446

[5] ดู ณัฏฐ์-เทพหัสดิน ณ อยุธยา. ใน “ณัฏฐ์ เทพ แจง ภาพ"น้องสาว"ที่คนมองคุย BB ที่จริงกดโทรหาพ่อ” Breaking News Nation Channel 29 ธค. 2553 http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=486957&lang=T&cat

[6] ดู http://www.facebook.com/photo.php?fbid=1662918365869&set=a.1158191308008.2024656.1024504690 ซึ่ง เพจเริ่มต้นจาก “ทวิสเตอร์” นั้นล่าสุดได้มีการปิดไปแล้ว

[7] ดู facebook สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในhttp://www.facebook.com/photo.php?fbid=143320969054524&set=a.137616112958343.44289.100001298657012

[8] ดู facebook สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ใน http://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=172988672738278&id=100001298657012

[9] ดู ดิสเพลของเพจ ใน "มั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนไม่พอใจ นส.A” http://www.facebook.com/photo.php?fbid=143407685715189&set=a.142609842461640.33048.142609679128323

[10] ดู facebook สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ใน http://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=172988672738278&id=100001298657012

[11] ดู พิทยา ศรีจงใจ ใน "เร็วก็ตาย ไม่เร็วตายอยูดี สุดอาลัย..จากใจโชเฟอร์รถตู้" โดยทีมข่าวไทยรัฐ 29 ธค 53 http://www.thairath.co.th/content/life/137602

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เปิดร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหาราชการเชียงใหม่มหานคร ฉบับประชาชน

Posted: 31 Dec 2010 10:37 PM PST

กระแสของการต่อต้านการรวมศูนย์อำนาจได้แผ่ขยายไปทั่วทุกภูมิภาค มีการเรียกร้องให้ยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาคมากขึ้นอย่างหนาตา ในทำนองกลับกันก็มีการพยายามยื้อยุดมิให้มีการรณรงค์ดังกล่าว จนถึงกับมีการป้ายสีไปว่าเป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดนไปเลยก็มี ผมจึงอยากจะนำเสนอร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานคร ฉบับประชาชนที่ผมได้ยกร่างขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบของจังหวัดอื่นอีก 74 จังหวัดเพื่อนำไปสู่การถกแถลงและปรับปรุงเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่ และนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงดังนานาอารยประเทศทั้งหลาย

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น