โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

“พิภพ” โจมตี “มาร์ค” อยู่พรรคนักบิดเบือน ปั้นวาทกรรมอัด ปรีดี – จำลอง

Posted: 26 Jan 2011 10:29 AM PST

“สุนันท์ ศรีจันทรา” เย้ยเชิงอภิสิทธิ์อ่อนกว่าทักษิณกรณีจับ 7 คนไทย “พิภพ” ชี้ช่วงเลือกตั้ง สก.สข. มีกระแสพรรคการเมืองใหม่ แต่มีการใช้วาทกรรม “เลือกเหลืองได้แดง” เพื่อให้มีการเลือก ปชป. อัดนายกฯ สังกัดพรรคสร้างวาทกรรมมาตั้งแต่สมัยโจมตีปรีดีในโรงภาพยนตร์ พร้อมโต้ 'ม.เที่ยงคืน' ไม่ได้ชาตินิยมคลั่งชาติ ถ้าชาตินิยมแบบเกาหลี จีน ญี่ปุ่น 5% ไม่มีวันเป็นแบบนี้

สนธิย้ำเขตแดนไทย-กัมพูชาต้องยึดแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน

เมื่อเวลา 22.00 น. วานนี้ (26 ม.ค.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยของ พธม. ที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ ว่ากรณีชายแดนไทย-เขมรนั้นสะท้อนให้เห็นความเน่าเฟะล้มเหลวของสังคมไทยและ ประเทศไทย ถ้ามองภาพรวมอย่างง่ายๆ ก็จะเห็นว่า เรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชานั้น เรามีสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ทำไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1907 แล้ว โดยกำหนดให้ใช้สันปันน้ำในช่วง 196 กิโลเมตร จากช่องบกถึงช่องสะงำ ซึ่งก็ครอบคลุมถึงบริเวณปราสาทพระวิหารและพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่กัมพูชาจะเอาไปจดทะเบียนเป็นมรดกโลก พ้นจาก 196 กิโลเมตรนี้ไปจนถึงจังหวัดตราดก็มีหลักเขต 73 หลัก ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็อาจหลุดหายไปบ้าง กลายเป็นข้อพิพาทกัน ก็ต้องมีการมาเจรจาปักปันกันใหม่ ด้วยการหาหลักเขตเดิมว่าอยู่ตรงไหนกันแน่ ไม่มีการพูดถึงแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนเลย

นายสนธิกล่าวต่อว่า ส่วนค่ายผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาที่บ้านหนองจาน อ.โนนสูง จ.สระแก้วนั้น ก็มีหลักฐานชัดเจนว่าอยู่ในเขตประเทศไทย เพราะยูเอ็นเข้ามาตั้งค่ายอพยพเพื่อรองรับผู้หลบหนีสงครามจากกัมพูชา ซึ่งตามปกติเขาไม่ตั้งค่ายอพยพในประเทศที่มีสงครามอยู่แล้ว ในเมื่อ 30 ปีก่อน พื้นที่ตรงนี้เป็นของเรา แล้วตอนนี้ทำไมคนในรัฐบาลหลายคนจึงบอกว่าเป็นของเขมร ทั้งที่มีหลักฐานภาพถ่ายชัดเจนตอนที่ทหารเวียดนามบุกเข้ามาแล้วทหารไทยยิง ทหารเวียดนามตาย และมีภาพทหารไทยช่วยชาวบ้านเกี่ยวข้าวในบริเวณนี้ ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ก็ยืนยันว่าตั้งแต่บ้านหนองจานเข้ามาเป็นพื้นที่ของไทย

นายสนธิ กล่าวว่า เมื่อผู้ลี้ภัยสงครามมาหลบในประเทศไทย หลังสงครามสงบ ทำไมเขมรลี้ภัยไม่ถูกผลักดันให้กลับเข้าไป จู่ๆ มาวันหนึ่งผ่านไป 20-30 ปี กลับมีเข้ามามากขึ้น รัฐบาลแต่ละชุดที่ผ่านมาทำอะไรอยู่ กระทรวงการต่างประเทศ ทำอะไรอยู่ แล้วผู้รักษาพรมแดนทำอะไรอยู่ จึงปล่อยให้รุกเข้ามา ตอนที่จะเซ็นเอ็มโอยู 2543 ได้ตั้งเงื่อนไขไว้ว่าห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพของชุมชนที่อยู่ตามแนวชายแดน อยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น แสดงว่า มีการสมรู้ร่วมคิดที่จะขายแผ่นดินให้กัมพูชา เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขมรพวกนี้จะไม่ย้ายออกไป ถ้าจะให้ย้ายออกไป เอ็มโอยูต้องระบุชัดเจนว่า ต้องผลักดันชุมชนเขมรออกไปก่อนที่จะร่างเอ็มโอยู 43 เพราะฉะนั้นขบวนการขายชาติมีมาตลอด จะเริ่มมาจากใครไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เริ่มจากกระทรวงต่างประเทศ มีการรู้เห็นเป็นใจจากรัฐบาลทุกชุด และร่วมมือกับทหาร ตชด.บางคนที่จะเอาพื้นที่ชายแดนมาทำมาหากิน

 

ลั่นอภิสิทธิ์หากยึดสันปันน้ำต้องบอก 4.6 ตร.กม. ของไทย ลั่น พธม.สู้ไม่ให้เสียชาติเกิด

หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรียึดหลักสันปันน้ำตามที่พูด จะต้องบอกว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย เขมรไม่มีสิทธิ์ยื่นจดทะเบียนเป็นมรดกโลก ถ้าเขมรยื่นให้นายสุวิทย์ คุณกิตติเซ็น นายอภิสิทธิ์จะต้องบอกนายสุวิทย์ว่าเซ็นไม่ได้ เพราะเรายึดสันปันน้ำ 4.6 ตร.กม.เป็นของไทย แต่นายอภิสิทธิ์กลับบอกให้นายสุวิทย์เซ็น แสดงว่าสมรู้ร่วมคิดกับเขมร แล้วมาโกหกเราว่ายึดสันปันน้ำ แต่ที่จริงไม่ได้ยึด

นายสนธิย้ำว่าเหตุที่รัฐบาลชุดนี้ไม่ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 ก็เพราะมองเห็นผลประโยชน์ทางทะเลที่จะตามมา นายฮุนเซนก็รู้ว่านักการเมืองไทยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ก็เลยเอามาล่อให้คงเอ็มโอยู 2543 ต่อไป แล้วรัฐบาลไทยก็มีแต่ท่องว่าเอ็มโอยู 43 ไม่ทำให้เสียดินแดน เพราะฉะนั้นจึงสามารถพูดได้ว่า รัฐบาลนี้ถือโอกาสเข้ามาสวมตอผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นการที่เราออกมาต่อสู้ครั้งนี้ จึงไม่มีการต่อสู้ครั้งไหนที่จะยิ่งใหญ่เท่าการต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินไทย และเราต้องสู้เพื่อไม่ให้เสียชาติเกิด

 

สุนันท์อัดกัมพูชาให้ที่ซ่อนเสื้อแดงก่อการร้าย เย้ยเชิงอภิสิทธิ์อ่อนกว่าทักษิณ

ต่อมา นายสุนันท์ ศรีจันทรา คอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ ได้กล่าวปราศรัยว่า อาชญากรรมทางการเมืองในประเทศไทยส่วนใหญ่หนีไปหลบซ่อนในกัมพูชา พวกก่อการร้ายเสื้อแดงหลายคนก็หนีไปอยู่กัมพูชา

ต่อมานายสุนันท์กล่าวถึงกรณี 7 คนไทย ที่ถูกจับว่า ไม่อยากจะบอกว่าอภิสิทธิ์อ่อนเชิงกว่าทักษิณมาก เพราะถ้าเป็นทักษิณต้องบอกให้ฮุนเซ็นปล่อยตังคนไทยภายใน 24 ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นมีเรื่อง แต่อภิสิทธิ์บอกว่าว่ากันทีหลัง เจรจาก่อน จนกระทั่งขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมของเขา ซึ่งไม่ยุติธรรม โชคดีที่เรามี 2 วีรบุรุษ-สตรี คือคุณวีระ และคุณราตรี เขาไม่ยอมรับข้อกล่าวหา และไม่ยอมก้มหัวให้เขมร ยอมติดคุกอันโสโครกเพื่อประจานรัฐบาลชุดนี้ว่าจะช่วยคนไทยอย่างไร

รัฐบาลชุดนี้ทำอะไรก็ไม่รู้ ที่สำคัญ อภิสิทธิ์ยอมให้ฮุนเซ็นเขกกระบาลซ้ำแล้วซ้ำแล้ว ทนได้ แต่พวกเราทนไม่ได้ ถ้าทนได้จะมาวันนี้หรือ นอกจากนี้นายสุนันท์ยังบอกว่านโยบายประชาภิวัฒน์จะนำหายนะมาสู่อนาคต นักการเมืองเอาเงินพวกเรามาใช้ทำนโยบายมาหลายรัฐบาลแล้วทำให้มีหนี้สะสม

 

พิภพอัดมาร์คอยู่ประชาธิปัตย์เป็นนักบิดเบือนมาตั้งแต่สมัยโจมตีปรีดี-จำลอง

ต่อมานายพิภพ ธงชัย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปราศรัยตอนหนึ่งว่า ท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ครับ ท่านรู้ไหมว่าท่านอยู่ในพรรคที่เป็นนักบิดเบือนที่สุด ท่านรู้ไหมว่าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้านคณะราษฎรที่นำโดยอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ และ พล.อ.พหลพลพยุหเสนา สิ่งที่พรรคนี้ทำคือให้คนไปตะโกนในโรงหนังว่าอาจารย์ปรีดีฆ่าในหลวง นี่คือประชาธิปัตย์

และต่อมามีการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. และมีการตั้งพรรคพลังธรรมโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พรรคประชาธิปัตย์เอารูปอาจารย์ป๋วย อาจารย์ปรีดี มาตั้งคู่กัน และมีการสร้างวาทกรรมว่า พล.ต.จำลอง พาคนไปตาย นี่คือพรรคประชาธิปัตย์

 

มีการโจมตีพรรคการเมืองใหม่ “เลือกเหลืองได้แดง” ช่วงเลือกตั้ง สก.สข.

และการเลือกตั้ง สก. สข. เมื่อเร็วๆ นี้ ก็เช่นกัน พรรคประชาธิปัตย์รู้ว่าพรรคการเมืองใหม่มีกระแสในการเลือกตั้ง สก. สข. ก็มีการสร้างวาทกรรมถ้าเลือกเหลืองจะได้แดง เพราะฉะนั้นต้องเลือกประชาธิปัตย์ นี่คือวาทกรรมทางการเมืองของประชาธิปัตย์

วันนี้สุเทพ คนในพรรคประชาธิปัตย์สร้างวาทกรรม เราบอกเราต่อสู้เพื่อสันติ รักษาดินแดน ก็หาว่าเราต้องการสงคราม ทั้งๆ ที่เราต้องการสันติ นี่คือวาทกรรมของสุเทพ และคนในพรรคประชาธิปัตย์หลายคน มีการหาว่าบ้านเมืองกำลังสงบ เรามาก่อความวุ่นวายทำไม แต่คุณสุเทพน่าจะยอมรับความจริงว่าบ้านเมืองไม่สงบเพราะนักการเมืองเลว

 

เชื่อกัมพูชาไม่มีทางทำสงครามกับไทย เพราะไทยเคยให้ที่พักพิงช่วงสงคราม

นายพิภพ ปราศรัยต่อว่า วันนี้ขอให้อดทนกันอีกสักนิด เรามาวันนี้เพื่อให้คุณอภิสิทธิ์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม นี่เป็นมติพันธมิตร ถ้าคณะกรรมการมรดกโลกทำผิดกฎกติกาของยูเนสโก ให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เราก็ต้องประท้วงยูเนสโก

พิภพกล่าวว่า กัมพูชาไม่มีทางทำสงครามกับไทย เพราะในประวัติศาสตร์เป็นประเทศที่ลำบาก อยู่ระหว่างไทยกับเวียดนามซึ่งใหญ่กว่า เมื่อเวียดนามรุกราน ประเทศไทยก็ให้ที่พักพิง ให้ที่ดู เมื่อกัมพูชาเกิดการฆ่าฟันคนตายขนาดล้านคน ประเทศไทยก็ให้ที่พักพิง ในประวัติศาสตร์เขมรก็นับถือเรา แต่ประชาชนโชคร้ายได้ผู้นำเผด็จการ เห็นแก่ตัวอย่างฮุนเซ็น หรือเลือดเย็นฆ่าคนเป็นล้านอย่าง พอล พต

อภิสิทธิ์ต้องวางบทบาทใหม่ ในการกำหนดบทบาทในฐานะประเทศใหญ่ทางเศรษฐกิจ เป็นประชาธิปไตย แต่เราไม่เอาความใหญ่ไปข่มขู่พี่น้องกัมพูชา แต่เราก็ไม่ต้องการให้ฮุนเซ็นมาข่มขู่เราทุกวี่ทุกวัน

 

ไม่เชื่อทำให้รถติด อ้างประสบการณ์ช่วงสมัชชาคนจน อัดตำรวจทำเอง

นายพิภพ อ้างว่า มีการสร้างกระแสว่าพันธมิตรฯ ทำให้การจราจรติดขัด ขอเรียนว่าสมัยที่ผมร่วมสู้กับสมัชชาคนจน วิธีแก้ของตำรวจคือจัดไฟจราจรให้รถติดไปหมด ทำให้คนรู้สึกว่ารถติดเพราะการชุมนุมของพี่น้องพันธมิตรฯ ในตอนนี้ หรือการชุมนุมของพี่น้องที่ยากจนที่หน้าทำเนียบในเวลานั้นทำให้รถติด นี่คือประสบการณ์ของผมกับคุณชวนในสมัยนู้น

พี่น้องชาวกรุงเทพฯ ถ้าการเมืองดี ไม่ทุจริตคอรัปชั่น คุณอภิสิทธิ์ ไม่เพลี่ยงพล้ำทางการเมืองระหว่างประเทศ เราก็ไม่ออกมาครับ แต่การนำไปสู่การเสียดินแดนที่เสียนั้นเป็นผลประโยชน์ของนักการเมืองไทยกับกัมพูชานั้น เราจึงต้องชุมนุม ซึ่งทำให้ติดขัดทางจราจรบ้างเป็นธรรมดา แต่เพื่อแลกกับการเสียพื้นที่ ที่ถนนราชดำเนินในรูปตัวแอลจนถึงทำเนียบรัฐบาล กับการเสียพื้นที่ชายแดนเป็นร้อยๆ กิโลเมตรจะเลือกทางไหน ขอเรียนว่าถ้าการเมืองยังเลวอยู่ เป็นธรรมชาติทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนออกมาบนท้องถนนทั่วโลก ถ้าท่านอยากให้การชุมนุมยุติโดยเร็วมาร่วมกันเยอะๆ สิครับ มาเรียนรู้ว่าพันธมิตรฯ พูดบนเวทีเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน ต้องอดทนครับพี่น้องชาวกรุงเทพ เคยอดทนกันมาแล้ว 193 วัน วันนี้มาอดทนกันสักนิดหนึ่ง ถ้าเห็นว่าเอ็มโอยู 43 ทำให้ถูกหยามเกียรติประเทศไทย ยกเลิก นี่เป็นมติพันธมิตรฯ

 

โต้ 'ม.เที่ยงคืน' ไม่ได้ชาตินิยมคลั่งชาติ ถ้าชาตินิยมแบบเกาหลี จีน ญี่ปุ่น 5% ไม่มีวันเป็นแบบนี้

นายพิภพปราศรัยว่า ที่เราบอกว่าให้ผลักดันคนกัมพูชาออกจากดินแดนไทยนั้น หมายถึงผลักกันคนกัมพูชาที่ฮุนเซ็นใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองออกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ไม่ได้ไปผลักดันประชาชนชาวกัมพูชาที่ทำมาหากินบริสุทธิ์ เพราะเข้าเมืองอะลุ้มอล่วยอยู่แล้ว แต่เราขับไล่สิ่งที่ฮุนเซนใช้คนกัมพูชาเป็นเครื่องมือ นี่คือที่อยากจะโต้นักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนว่า การผลักดันประชาชนชาวกัมพูชานั้น แล้วประชาชนกัมพูชาที่ทำมาหากินกับคนไทยตามแนวชายแดนที่ยาวมากนี้จะอยู่อย่างไร ก็อยู่ได้โดยปกติ แต่ที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร อยู่ไม่ได้ ต้องออกไป นี่อยากทำความเข้าใจนักวิชาการที่ชอบบิดเบือนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ

สุดท้าย ที่นักวิชาการโจมตีหาว่าเราปลุกกระแสชาตินิยม ผมอยากเรียนว่าคนไทยไม่มีชาตินิยมแบบคลั่งชาติ และไม่มีชาตินิยมแบบเกาหลี ญี่ปุ่น หรือจีน ถ้าเรามีเท่าเกาหลี ญี่ปุ่น หรือจีน แค่ 5% ประเทศไทยไม่มีวันเป็นแบบนี้ แต่ที่เป็นแบบนี้เพราะเราขาดความเป็นชาตินิยมแบบถูกต้องน้อยเกินไป

นายพิภพสรุปว่า วันนี้ปราศรัยเรื่องวาทกรรมทางการเมืองที่บิดเบือน เอาประโยชน์เข้าตัวเอง และโจมตีคนอื่น ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยโจมตีท่านปรีดี และ พล.ต.จำลอง ขอเรียนนายกรัฐมนตรีว่า ถึงเวลาเลิกเล่นละครทางการเมืองเสียที ถ้าอยากให้บ้านเมืองสงบ และรักชาติ พิสูจน์ว่าท่านรักชาติแท้จริง เพราะเราเสียศักดิ์ศรีและอายไปทั่วโลก

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“เรื่องอย่างว่า” : ตอน 2 ความทรงจำถึง 2 ฝรั่งเสื้อแดงในคุกไทย

Posted: 26 Jan 2011 07:32 AM PST

ในตอนที่สองจะขอแวะมาที่อีกหนึ่งเรื่องแปลก - เรื่องราวของฝรั่ง 2 คนที่ปวารณาตัวเป็น “คนเสื้อแดง”  พวกเขาร่วมชุมนุม โดนจับ และถูกควบคุมตัวที่เรือนจำไทยนานหลายเดือนด้วยข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก่อนจะถูกปล่อยตัวให้บินกลับบ้านไปแล้วทั้งคู่

นั่นคือ คอเนอร์ เดวิด เพอร์เซลล์ และเจฟ ชาเวจ เราเห็นชื่อของเขาเป็นข่าวอยู่บ้าง โดยเฉพาะในส่วนของนายคอร์เนอร์ ซึ่งอยู่เรือนจำนานกว่าเจฟมาก แต่มิสเตอร์ X ผู้ต้องขังคนหนึ่งจะมาบอกเล่าถึงประสบการณ์ร่วมที่มีกับเขาทั้งสองอย่างใกล้ชิดภายหลังลูกกรง

“ผมไม่แน่ใจว่าเจฟและคอเนอร์เข้ามาที่เรือนจำเมื่อไหร่แน่ แต่ที่จำได้แม่นก็คือวันนั้นเป็นช่วงที่มีคนเสื้อแดงถูกจับเข้ามาเรื่อยๆ เป็นร้อยๆ คน เมื่อเข้ามาแล้วก็กระจายไปแดนต่างๆ หลังจากเจฟและคอเนอร์ อยู่แดนแรกรับได้ระยะหนึ่ง ก็ถูกจำแนกมาที่แดนผม เจฟอยู่ห้อง 10 ซึ่งเป็นห้องที่ติดกล้องวงจรปิด และเป็นห้องที่ถือว่าดีที่สุด มีไว้สำหรับนักโทษรายสำคัญๆ ผมเองเคยอยู่ห้องนี้มาก่อน ตอนเจฟเข้ามาผมก็อยู่ห้องนี้ เราจึงสนิทกันมากว่าคอเนอร์ คอเนอร์ถูกจัดให้อยู่ห้อง 2 เพราะเจ้าหน้าที่ต้องการให้แยกห้องกับเจฟ แน่นอน เป็นห้องที่มีกล้องวงจรปิดเช่นกัน”

“เรื่องปฏิกริยาจากนักโทษด้วยกันน่ะหรือ ไม่มีในทางลบครับ เพราะโดยปกติแล้วนักโทษที่นี่จะค่อนข้างอยู่ห่างๆ จากนักโทษฝรั่งผิวขาว แต่ตอนเค้า 2 คนเข้ามาแรกๆ ก็เป็นที่ฮือฮากันพอสมควร สำหรับเจฟนั้น ใครๆ ก็ซุบซิบนินทาว่าเป็นพวกปลุกปั่นให้เผาเซ็นทรัลเวิร์ล ส่วนคอเนอร์อันนี้หนักเลย เพราะมีการลือกันไปว่า คอเนอร์คือมือสไนเปอร์ที่ถูกคุณทักษิณจ้างมาบ้าง หรือเป็นคนยิงเสธแดงบ้าง”

“เจฟเข้ามาที่นี่ด้วยสภาพปกติ แต่คอเนอร์นั้นอาการที่เห็นได้ชัดคืออาการปวดกล้ามเนื้อขาอย่างรุนแรงจนแทบนั่งไม่ได้ ช่วงนั้นตอนที่เค้ามาใหม่ๆ มีคนพูดกันว่า คอเนอร์โดนรุมซ้อมมาจากแดน 1 และข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับก็ลงเช่นนั้น แต่ผมก็ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงนะว่าเป็นยังไงแน่ ช่วงแรกๆ ผมก็แค่เข้าไปทำความรู้จักให้พวกเค้าอุ่นใจว่า เออ มีเพื่อนพูดภาษาอังกฤษได้นะ”

“โดยปกติแล้วแดนผม ใครที่โดนคดีเสื้อแดงเข้ามาจะได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษนะ เพราะหัวหน้าแดนเค้ารักเสื้อแดนมากกกกกกก ผมเป็นคนแรกที่ถูกใบสั่งให้เข้ามาอยู่ที่นี่ ทั้งที่ควรจะอยู่แดนแรกรับเพราะคดีเพิ่งส่งฟ้อง มาถึงก็ได้รับการต้อนรับจากหัวหน้าแดนอย่างสาสม โดยเฉพาะช่วงที่มีผู้ต้องขังเสื้อแดงทยอยกันเข้ามา เกือบทุกคน ยกเว้นบางกรณี เช่น มีอายุ หรือพิการ จะได้รับ “การต้อนรับ” อย่างทั่วถึง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผู้ดูแลแดนนี้ถึงรักคนเสื้อแดงนัก”

“โชคดีว่าเจฟและคอเนอร์เป็นฝรั่ง จึงได้เข้ามาอยู่แดนนี้อย่างปลอดภัย ไม่งั้นก็คงไม่รอด น่าแปลกมากที่คนไทยด้วยกันเองปฏิบัติกับคนไทยด้วยกันอย่างไร้เกียรติ ยิ่งเป็นคนเสื้อแดงด้วยแล้วมันกลายเป็นพวกคนเลวทันทีในสายตาผู้คุมที่นี่”

“ถามเรื่องความเป็นอยู่ของฝรั่งสองคนนี้น่ะหรือ ทั้งเจฟและคอเนอร์ปรับตัวให้เข้ากับการอยู่ที่นี่ได้อย่างดี อาจมีวันแรกๆ นั่นแหละที่อาจขลุกขลักซักนิด เพราะเค้าสองถูกย้ายแดนมากรณีพิเศษ ปกติแล้วที่เรือนจำนี้จะมีการจำแนกผู้ต้องขังทุกๆ วันพฤหัส แต่สองคนนี้ได้เข้ามาก่อน อาจเพราะคอเนอร์มีปัญหาถูกทำร้ายจากแดน 1 ก็ได้”

“คืนแรก เจฟถูกจับยัดมาในห้อง 10 ขณะนั้นแน่นขนัดแทบไม่มีที่จะนอนแล้ว จึงทำให้ “ขาใหญ่” ประจำห้องที่เป็นอดีตนายตำรวจ (ที่โดนคดียาบ้านแล้วขู่เรียกเงินผู้บริสุทธิ์หลายราย ท้ายที่สุดโดนผู้เสียหายแจ้งความกลับกว่า 200 คดี ปิดฉากมือปราบยาเสพติด) ไม่พอใจ และผมคิดว่าเค้าคนนี้จึงมีอคติกับเจฟตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่เนื่องจากเจฟเป็นคนตลกและพูดภาษาไทยได้นิดหน่อย จึทำให้เข้ากับผู้ต้องขังในห้องได้เร็วและไม่มีปัญหาใดๆ”

“ส่วนคอเนอร์น่ะเหรอ เค้าสร้างวีรกรรมที่ห้อง 2 ซึ่งผมไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ มารู้อีกทีก็ตอนเช้าของอีกวันที่มีคนมาบอกว่า “ฝรั่งเสื้อแดงเพื่อนคุณเกือบโดนรุมกระทืบเมื่อคืน” ผมถามว่าทำไมหรือ? พวกที่นอนอยู่ห้อง 2 ก็บอกว่าให้ผมเดินไปดูด้วยตัวเองจะดีกว่า ปรากฏว่าเมื่อผมเดินไปดูก็พบ “ข้อความที่เขียนด้วยปากกาเต็ม 2 ฝั่งผนังห้อง” ข้อความเหล่านั้นเขียนเป็นภาษาอังกฤษมีเนื้อหาเกี่ยวกับประชาธิปไตยล้วนๆ มีข้อความด่ารัฐบาล ระบบรัฐธรรมนูญไทย และข้อความแสดงความไม่พอใจที่เขาถูกจับกุม เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ผมเห็นแล้วนึกสงสัยทันทีเลยว่า อีตานี่ท่าทางจะติงต๊องแน่เลย ฮ่า”

“รายละเอียดส่วนตัวของแต่ละคนเหรอ เจฟเป็นคนอังกฤษ พูดภาษาอังกฤษชัดเจนมาก ค่อยยังชั่วหน่อยฟังสบาย เสน่ห์ของเจฟอยู่ที่การพูดจาครับ เค้าเป็นคนพูดจาสนุกสนานติดตลก เป็นคนอารมณ์ดีน่ะ เข้ากับคนง่ายแถมยังพูดภาษาไทยได้นิดหน่อยด้วย เวลาเค้าไปไหนมาไหนจะสะพายกระเป๋าสีดำคู่ใจไปด้วยเสมอ ในกระเป๋ามีทุกอย่างที่ถูกจับยัดๆ เข้าไป เวลาจะหยิบใช้อะไรทีต้องเสียเวลาหากันให้วุ่น เจฟเป็นคนขี้อายมากๆ เลยนะแม้จะตัวใหญ่เหมือนหมี หรือเรียกว่ามีคุณลักษณะที่เป็นนักเลงได้ มันจึงไม่แปลกที่ผมมักเห็นเขาแอบเข้าห้องน้ำตอนตี 3 ซึ่งคนอื่นหลับหมดแล้วบ่อยๆ เจฟเป็นคนรักครอบครัว เค้ามีภรรยาคนไทยอยู่ที่พัทยา และมีลูกติดภรรยา 1 คนซึ่งเจฟรักมาๆ และมักจะบ่นคิดถึงลูกเสมอพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า เจฟรู้ดีว่าผมก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน บ่อยครั้งเราจึงคุยกันเรื่องลูกด้วยน้ำตาคลอเบ้าทั้งคู่แล้วก็พากันปลอบใจกันไปมา

“ส่วนคอเนอร์ เค้าเป็นฝรั่งที่พูดเร็วมาก เป็นคนพูดจาสนุกสนานอยู่แต่จะไม่โผงผางอย่างเจฟ คอเนอร์รูปร่างใหญ่ อุดมไปด้วยมัดกล้าม สมกับที่เคยเป็นทหารมาก่อน เค้าจะสะพายกระเป๋าไปไหนมาไหนเหมือนเจฟ เป็นกระเป๋าโดราเอมอนเหมือนกัน ที่สำคัญ ไม่เคยล้างเหมือนกัน คอเนอร์เป็นคนกินง่าย อะไรๆ ก็กินได้ ผมมักจะเห็นเค้าเปิดปลากระป๋องแล้วเทลงคอเอื๊อกๆ เคี้ยวกลืนลงคออยู่บ่อยๆ โดยไม่กินข้าวหรือขนมปังตามเลย เวลาส่วนใหญ่ของคอเนอร์จะถูกใช้ไปกับการอ่านและเขียนหนังสือ ทุกวันเวลาบ่ายโมงคอเนอร์จะออกกำลังกายที่ลานออกกำลังกาย ที่มักเห็นประจำคือการฝึกชกมวยกับผู้ต้องขังที่พอจะเป็นมวยอยู่บ้าง ซึ่งผมขอบาย เค้าเป็นคนรักสุขภาพมาก แต่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องความสะอาดเท่าไหร่ - -‘’บางคนบอกผมว่าคอเนอร์คงชินกับการเป็นทหารมาก่อนที่สอนให้นอนกลางดินกินกลางทรายได้ เหตุผลนี้จึงทำให้ผมเข้าใจเขาได้มากขึ้นหน่อย อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของผมแล้ว คอเนอร์เป็นคนที่มีความรู้มากจริงๆ ในทุกๆ ด้าน ถามอะไรก็รู้หมด”

“แน่ล่ะ การมาอยู่ในนี้นานๆ เป็นบททดสอบความแข็งด้านของหัวใจเป็นอย่างดี เขาทั้งสองมีมุมอ่อนแอที่ผมแอบเห็นด้วย สำหรับเจฟช่วงแรกๆ ที่เข้ามาและอยู่ห้องเดียวกับผม ผมมีโอกาสดูแลเค้า พูดคุยกับเค้า เจฟหวังว่าจะได้รับการประกันตัว ซึ่งก็เหมือนกับคนอื่นๆ รวมถึงผมด้วย แต่พอไม่ได้ประกันก็ทำให้เจฟฟิวส์หลุดไปบ้าง เช่น การยืนเกาะลูกกรงเหล็กแล้วมองออกไปข้างนอกถนนแล้วน้ำตาคลอ บางทีเราจะเห็นเค้านอนอยู่เฉยๆ แล้วเอาหมัดทุบไปที่หัวตัวเองอย่างแรงแล้วก็ร้องไห้ ผมเข้าใจเลยว่ามันคือจุดที่สุดจะกลั้นแล้ของเจฟ หลังๆ เขาเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง และผมก็ต้องเข้าไปปลอบเค้าทุกครั้ง เป็นเรื่องที่แปลกมากๆ อันนี้ผมขอบอกเลยว่าเฉพาะกับคนเสื้อแดงเท่านั้นนะ คือ เวลาที่เราท้อแท้ ผิดหวัง เสียใจ (ในคุก) มันจะไประบายทางอื่นไม่ได้เลย ดังนั้นการที่พวกเราได้ปลอบใจกันเอง ในฐานะผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันมันเหมือนยาวิเศษจริงๆ เวลาที่เจฟท้อแท้สิ้นหวัง ร้องไห้เสียใจ ผมจะเข้าไปจับมือเค้าแล้วพูดปลอบใจ ซักพักเจฟก็หาย บางทีอาจเป็นเพราะเจฟก็รู้ว่าผมก็ไม่ต่างจากเค้าทำให้เค้าคุมอารมณ์ได้เร็ว แต่ผมกลับมาเครียดเสียเอง ฮา”

“ส่วนคอเนอร์นั้นแทบจะบอกได้เลยว่าไม่เคยเห็นน้ำตาหรือการแสดงอาการเศร้า เสียใจ อ่อนแอจากเค้าเลย ยกเว้นเรื่องเดียวที่ทำให้เค้าเครียดมากที่สุด คือ ตอนที่ทางเรือนจำมีคำสั่ง “งดเยี่ยมญาติ” เพราะสาเหตุที่คอเนอร์เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทตอนเข้ามาอยู่แดนแรกรับใหม่ๆ การตัดสินและมีคำสั่งแบบนั้นทำให้คอเนอร์ไม่พอใจมาก เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นมีการตั้งคณะกรรมการสอบ มีการสอบคู่กรณีแต่ไม่มีการสอบคอเนอร์ ท้ายสุดเลยมีคำสั่งให้ลงโทษงดเยี่ยมญาติทั้งคู่กรณี 3 คนรวมคอเนอร์ด้วยเป็นเวลา 1 เดือน แรกๆ ดูเหมือนคอเนอร์จะไม่คิดอะไร แต่พอผ่านไปสักอาทิตย์ คอเนอร์ก็เริ่มแสดงอาการซึมเศร้า ไม่ยิ้มแย้มแบบเมื่อก่อน ขึ้นอนก็จะนอนเงียบๆ ตามองเพดานโดยไม่พูดไม่จา โธ่ ใครจะไปทนได้ครับ ผมสาบานได้ นักโทษ ผู้ต้องขังทุกคนในนี้ เฝ้ารอคอยการมาเยือนของญาติกันทั้งนั้น การได้พบคนอื่นบ้างมันจะทำให้มีชีวิตชีวา เมหือนมีการเติมพลังให้ชีวิต ผมเองยังเป็นอยู่บ่ายๆ อย่างที่คุณมาเยี่ยมผม มาคุยกับผม ผมก็ดีใจนะ แล้วก็รู้สึกสดชื่นด้วย มาเฉยๆ ไม่ต้องซื้อของฝากก็ได้ ก็แหม 24 ชั่วโมงอยู่แต่ในกรอบสี่เหลี่ยม ได้เจอคนอื่นได้พูดคุยกับคนรู้จัก มันเป็นสิ่งวิเศษจริงๆ ดังนั้น ไม่แปลกที่จะเห็นคอเนอร์คนเหล็กของเราหงอยลงถนัดตาตอนห้ามเยี่ยมญาติ”

“ข้อหาที่สองคนนี้โดนเหรอ ก็อย่างที่เป็นข่าว คือ โดนข้อหา “ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ด้วยกันทั้งคู่ แต่เพราะเป็นชาวต่างชาติ ศาลจึงไม่ให้ประกันตัวเพราะกลัวหลบหนี ดังนั้น ศาลจึงมีการนัดขึ้นศาลโดยทิ้งช่วงเป็นเวลานาน เจฟเอง ช่วงหลังๆ เริ่มเครียดและหงุดหงิดง่าย เลยทำให้สุขภาพเขาทรุดลงไปด้วย เริ่มจากเกิดแผลที่เท้า เน่าจนเดินไมได้ เจฟจึงถูกส่งให้ไปพักฟื้นที่แดนพยาบาลระยะหนึ่ง ในช่วงเวลานั้นแกนนำก็มีการย้ายจากคลองเปรมมาที่นี่ และมีการกระจายแกนนำไปยังแดนต่างๆ บางคนก็ย้ายมาอยู่แดนผมนี่ด้วย แต่เขาสั่งห้ามเสื้อแดงอยู่ห้องเดียวกัน แต่ย้ายไปย้ายมาคนเสื้อแดงคงเยอะเกิน มันเลยมาลงให้ทำให้ ผม เจฟ และคอเนอร์ได้อยู่ห้องเดียวกันเฉยเลย ไม่กี่วันถัดมาเจฟก็ได้ขึ้นศาล โดยเจฟเลือกทาง “รับสารภาพ” จึงทำให้เจฟได้กลับบ้านเลยในทันที เพราะจำคุกมาเกินกว่าโทษที่ตัดสินมา”

“ ... แล้วเจฟก็มาลาผมและคอเนอร์ หน้าตาเปื้อนรอยยิ้ม เคล้าน้ำตา ผมกับคอเนอร์ได้สัมผัสมือเจฟเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะให้สัญญากันว่าออกไปแล้วจะไม่ลืมกัน และเราจะพบกันใหม่ข้างนอก การจากไปของเจฟในครั้งนี้ ทำเอาผมใจหาย และนึกใจด้วยว่าเมื่อไหร่จะเป็นวันของผมบ้าง...”

“ความประทับใจในตัวเจฟเหรอ เอาเรื่องที่ประทับใจสุดก่อนนะ ตอนเค้ามาห้อง 10 ใหม่ๆ มีคนถามเจฟในทำนองดูถูกเหยียดหยามและหยาบคายว่า “เป็นฝรั่งเอี้ยอะไรเสือกมายุ่งกับเสื้อแดง ฝรั่งแม่งเกี่ยวอะไร” เจฟตอบเค้าในทันที โดยมีผมทำหน้าที่แปล เจฟตอบว่า “เค้าเองก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกถ้ามันไม่จำเป็นจริงๆ แต่บังเอิญเค้ามีลูกสาวคนไทย มีเมียคนไทย เค้าจึงจำเป็นต้องออกมาร่วมกับคนเสื้อแดง เพื่ออนาคตของลูกสาวของเค้า” คำตอบนี้ทำเอาคนถามหน้าหงายกลับไป พร้อมกับคำพูดแถมจากผมว่า “เป็นไงล่ะ อายฝรั่งมั้ย แล้วเอ็งเคยคิดทำอะไรให้ประเทศมั่งมั้ย” ...หมอนี่มันทำให้ผมได้ยิ้มระรื่นด้วยความสะใจไปทั้งวัน”

“เจฟไปแล้ว แล้วคอเนอร์เป็นยังไงน่ะเหรอ แน่ล่ะ เจฟได้กลับบ้านเพราะรับสารภาพ ประเด็นนี้เป็นเรื่องท้าทายบุรุษผู้เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยอย่างคอเนอร์มาก เขามีความเชื่อ ความมุ่งมั่นว่า “ถ้าผมไม่ผิด ผมก็จะสู้จนวินาทีสุดท้าย” ดังนั้นเค้าจึงยืนกรานมาตลอดว่าจะ “สู้” เพื่อชนะคดีให้ได้ แม้จะมีคนใกล้ชิดมาหว่านล้อม ขอร้องให้เค้ารับสารภาพเพื่อจะได้รับการพิจารณาแบบเดียวกับที่เจฟได้รับก็ตาม”

“มีอยู่วันหนึ่ง คอเนอร์ได้รับจดหมายจากคนใกล้ชิดที่สุดคนหนึ่งที่มาเยี่ยม ดูแล เอาใจใส่ให้คอเนอร์อยู่ตลอด เนื้อความในจดหมายเขียนยกย่องในความเป็นนักต่อสู้ของคอเนอร์ และเข้าใจ แล้วก็เคารพการตัดสินใจของคอเนอร์ทุกอย่าง แต่ถึงยังไงเค้าก็ยังห่วงคอเนอร์ และอยากให้คอเนอร์ห่วงเค้าด้วยเช่นกัน....” เมื่อผมอ่านจบแล้ว คอเนอร์ถามกลับผมว่า ถ้าเป็นผม ผมจะตัดสินใจยังไง? จริงๆ แล้วผมบอกตามตรงว่าใจหายที่จะตอบ เพราะใจหนึ่งผมก็เห็นแก่ตัวสุดๆ อยากให้คอเนอร์อยู่เป็นเพื่อนผมไปก่อน แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้เพื่อนพ้นทุกข์จากตรงนี้ ผมจึงตอบไปว่า “รับเถอะ” ถ้าแน่ใจว่ารับแล้วโทษจะตัดมาเท่าเจฟ...”

“ก่อนวันขึ้นศาลประมาณ 2 สัปดาห์ ผมแน่ใจแล้วว่า คอเนอร์เลือกเส้นทางแบบเจฟ จึงได้ปรึกษาหารือกันในกิจกรรมที่ผมจะทำกับคอเนอร์เมื่อได้ออกไป แล้วผลคำพิพากษาก็ออกมาในแนวทางเดียวกับเจฟ เย็นวันนั้น ผมได้สัมผัสมือกับคอเนอร์ผ่านลูกกรงประตูเป็นครั้งสุดท้าย กับคำมั่นสัญญาว่าเค้าจะช่วยเหลือผมและลูกอย่างแน่นอน .. และปัจจุบันคอเนอร์ก็ได้ยืนยันคำพูดนั้น ผ่านการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ทำให้ผมและคนเสื้อแดงมาโดยตลอดเท่าที่เขาจะทำได้”

“เขาสองคนจะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป หวังว่าเราได้เจอกัน..ข้างนอกนั่น”

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"ประวิตร" จ่อชง ครม.ตั้ง "พล.ร.7" คุมภาคเหนือ งบ 9 พันล้าน

Posted: 26 Jan 2011 07:11 AM PST

เมื่อวันที่ 25 ม.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งกองพลทหารราบที่ 7 (พล.ร. 7) เพื่อรับผิดชอบในพื้นที่ภาคเหนือว่า ในปีนี้จะให้กำลังพลได้ฟื้นฟูกำลัง เพราะใช้งานกันมามาก เรามีความจำเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกำลังพลในระดับกองร้อย ซึ่งเวลานี้เราได้รับการบรรจุกำลังในลักษณะ 1 กองพัน และ 2 กองพัน ตามโครงสร้างพระราชบัญญัติการจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ประจำปี 2551 และที่ผ่านมาทางพื้นที่ภาคเหนือได้ถูกยุบหน่วยไปจำนวน 5 กองพัน โดยสำหรับพื้นที่ภาคกลางที่มีอยู่ 3 กองพล

คือ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล. 1 รอ.) กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม. 2 รอ.) และกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร. 9) ส่วนพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ก็มี 2 กองพล คือ กองพลทหารราบที่ 3 (พล.ร. 3) และกองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร. 6) ส่วนในพื้นที่ภาคใต้มีกองพลทหารราบที่ 15 (พล.ร. 15) และกองพลทหารราบที่ 5 (พล.ร. 5) ส่วนในพื้นที่ภาคเหนือมีอยู่เพียงกองพลเดียวคือกองพลทหารราบที่ 4 (พล.ร. 4) ดูแลตั้งแต่ จ.นครสวรรค์ ไปจนถึง จ.เชียงราย ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ยาวมากทำให้การบังคับบัญชาไม่ครอบคลุม เราอยากให้สายการบังคับบัญชาสั้นลงจึงได้มีแนวคิดที่จะตั้งกองพลดังกล่าวขึ้น

“ผมอยากจะตั้งพล.ร. 7 ขึ้นมา 1 กองพล เพื่อรับผิดชอบในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งการตั้งครั้งนี้ก็จะไปแทนกองพลรบพิเศษที่ 2 ที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้ โดยกระทรวงกลาโหม จะเสนอรัฐบาลในการจัดตั้งกองพลทหารราบที่ 7 โดยเราจะใช้งบประมาณของกองทัพบกในการปรับเกลี่ยเพื่อให้การจัดตั้งการบังคับบัญชาให้แน่นแฟ้น นอกจากนี้จะมีการจัดตั้งกรมทหารราบที่ 14 ขึ้นมาอีก เนื่องจากกองพลทหารราบที่ 4 มีอยู่ 3 กรม คือ กรมทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 7 และ กรมทหารราบที่ 17 ทั้งนี้อยากจะให้กองพลทหารราบที่ 4 มี 2 กรม คือ กรมทหารราบที่ 4 กับกรมทหารราบที่ 14 ที่จะตั้งขึ้นใหม่ ส่วนกรมทหารราบที่ 7 และกรมทหารราบที่ 17 จะตั้งหัวไปอยู่ในกองพลทหารราบที่ 7 ส่วนในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ จะเอากรมทหารราบที่ 6 ซึ่งฝากการบังคับบัญชาในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 มาขึ้นตรงกับกองพลทหารราบที่ 7 เพราะอำนาจกำลังรบเปรียบเทียบค่อนข้างเสียเปรียบ เพราะมีการเพิ่มกำลังตลอด” พล.อ.ประวิตร กล่าว

พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหมที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เป็นประธานในการประชุมว่า ในการตั้งกองพลทหารราบที่ 7 (พล.ร.7) ที่เรามีแนวความคิดมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมาว่า เราต้องการให้จัดตั้งพล.ร.7 ขั้นในพื้นที่ภาคเหนือ เพราะหน่วยที่อยู่ในกองทัพภาคที่ 3 มีเฉพาะกองพลทหารราบที่ 4 (พล.ร.4) เพียงกองพลเดียว และขอบเขตรับผิดชอบมีประมาณกว่าพันกิโลเมตร ซึ่งที่ประชุมมีการพิจารณาหารือร่วมกัน และคงจะดำเนินการผ่านต่อไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.)

“ยืนยันว่า เป็นความจำเป็น เพราะปัจจัยองค์ประกอบของการปฏิบัติงานปัจจุบัน เรามีกำลังพลไม่เพียงพอจริงๆ ทั้งการดูแลแนวชายแดน ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะยาเสพติด แรงงานต่างด้าว ซึ่งคงจะต้องทำแผนกันประมาณ 2 สัปดาห์ โดยจะใช้งบประมาณในส่วนของกองทัพบกเอง และใช้แนวทางในเรื่องของพ.ร.บ.การจัดส่วนราชการของกระทรวงกลาโหมปี 2551 อย่างไรก็ตามเป็นเพียงแนวความคิด ที่จะต้องผ่านกระบวนการ รอมติของครม.อีกครั้ง ” พ.อ.ธนาธิป กล่าว

แหล่งข่าวในที่ประชุมกลาโหม เปิดเผยว่า การจัดตั้ง พล.ร.7 เนื่องจากกองทัพภาคที่ 3 มีขอบเขตการรับผิดชอบมาก ทำให้จำเป็นต้องเปิดหน่วยใหม่ขึ้นมา โดยมี กองร้อยกองบัญชาการกองพล กรมทหารราบ 1 กรม กองพันทหารราบ 3 กองพัน โดยลักษณะของกองพลจะเป็นทหารราบเบา เพราะพื้นที่ปฏิบัติการทางภาคเหนือเป็นพื้นที่ป่าภูเขา โดยลดยุทโธปกรณ์และใช้คนเป็นหลักดำเนินกลยุทธ์ โดยในส่วนบังคับบัญชา คือ ร้อย บก.พล เพื่อควบคุมอำนวยการในกรอบนโยบายจะจัดตั้งในพื้นที่ จ.เชียงใหม่หรือเชียงราย เพื่ออำนวยการในพื้นที่ด้านบนของกองทัพภาคที่ 3 ส่วนงบประมาณที่กระทรวงกลาโหมจะขอคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดตั้ง พล.ร. 7 ประมาณ 8 - 9 พันล้านบาท โดยมีงบประมาณผูกพัน 3 ปี คือ 2554 - 2556 ส่วนกำลังพลของพล.ร. 7 จะนำกำลังมาจากกองทัพภาคที่ 3 จากหน่วยที่มีการปิดตัวจากเดิม 5 กองพันจากกรมทหารราบที่ 4,7,17 โดยจะเกลี่ยอัตราเหล่านี้กลับมาใช้ใน พล.ร. 7

ที่มาข่าว: คม ชัด ลึก

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เพื่อนหญิงชี้สายการบินรับแอร์เพศที่ 3 ดีแล้ว แต่ค้านเงื่อนไขแปลงเพศ

Posted: 26 Jan 2011 06:54 AM PST

มูลนิธิเพื่อนหญิงชี้สายการบิน พี.ซี.แอร์ทำดีแล้ว แต่ค้านเงื่อนไขแอร์เพศที่สามต้องแปลงเพศ แนะบินไทยเปิดกว้างกล้ารับเพศที่สาม

26 ม.ค. 54 - สืบเนื่องจากกรณีที่ สายการบินพี.ซี.แอร์ ได้เปิดรับสมัครพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ในตำแหน่งสจ๊วต และแอร์โฮสเตส ซึ่งในตำแหน่งแอร์โฮสเตสที่รับทั้งหมด 20 คนนั้น แบ่งเป็นผู้หญิง 17 คน และเปิดโอกาสให้สาวประเภท 2 จำนวน 3 คน ทั้งนี้ในใบสมัครของสาวประเภทสองจะระบุว่า เป็นบุคคลไม่มีเพศ หรือ  Unisex และผู้สมัครจะต้องผ่านผ่าตัดแปลงเพศแล้วทั้งหมด รวมทั้งเสียงก็ต้องเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณา

เรื่องดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีที่มีการตั้งข้อจำกัดว่า ต้องผ่านการแปลงเพศ โดยนาย จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า สายการบินพี.ซี.แอร์ทำดีแล้ว แต่ประเด็นที่สร้างเงื่อนไขว่าต้องเป็นสาวประเภท สองที่แปลงเพศแล้ว ถือว่าเป็นการปฏิบัติ เพราะสาวประเภทสองส่วนใหญ่ยังไม่ได้แปลงเพศ นั่นก็ถือว่า ยังแบ่งแยกหญิงชายอยู่ดี เพราะหากไม่แปลงเพศถือว่ายังเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง

นอกจากนี้ เงื่อนไขดังกล่าวยังเป็นการผลักดันให้สาวประเภทสองไปแปลงเพศเพื่อมาสมัคร เป็นแอร์ ซึ่งสาวประเภทสองหลายคนก็ไม่พร้อมแปลงเพศเนื่องมาจากเหตุผลหลายๆอย่าง ทั้งที่มีความสามารถ ฉนั้น จึงไม่ควรตั้งเงื่อนไขเรื่องการแปลงเพส

จากการสอบถามไปยังสายการบินอื่นๆ ยังคงปิดกั้นในเรื่องนี้ โดยเฉพาะสายการบินระดับชาติ และอนุรักษ์นิยม ควรเปิดโอกาสให้เพศที่สามได้ประกอบอาชีพ  ควรกล้าหาญรับได้ทุกเพศ ไม่เลือกปฏิบัติ เพราะยุคสมัยนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นทางเลือกให้กับให้กับเพศที่สามให้มีความสามารถ หากพัฒนาดีๆก็ก้าวไปเท่าเทียมได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ฝากขัง 5 ผู้ต้องหาคดีซุกบึ้มป่วนม็อบ "พธม" - "จตุพร" ปูดสีเขียวตั้งวงถก รปห.

Posted: 26 Jan 2011 05:50 AM PST

ฝากขัง 5 ผู้ต้องหาคดีซุกบึ้มป่วนม็อบ "พธม" ตร.ชี้ไม่ต้องโอนให้ "ดีเอสไอ" ปัดสร้างสถานการณ์ "จัดฉาก" "จตุพร" ปูด "บิ๊กสีเขียว" ตั้งวงวางแผนทำรัฐประหาร อ้าง "4เงื่อนไข" หวังตั้งรัฐบาลแห่งชาติ

26 ม.ค. 54 - ความคืบหน้าการจับกุมนายธวัชชัย เอี่ยมนาค อายุ 37 ปี อาชีพวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง อยู่บ้านเลขที่ 784 ถนนเจริญกรุง แขวงบางลำพูล่าง เขตคลองสาน กทม. ผู้ต้องหาพร้อมกับพวก 5 คน ข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4 (3) มาตรา 38 และมาตรา 74 และกรณีพกวัตถุระเบิดแสวงเครื่อง เตรียมก่อเหตุบริเวณที่ชุมนุมกลุ่มพันธมิตร เวลา 10.30 น. พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ควบคุมตัวนายธวัชชัยมาขออำนาจศาลฝากขังผัดแรกเป็นเวลา 12 วันตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม ถึง 6 กุมภาพันธ์นี้ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ และคัดค้านประกันตัว ซึ่งศาลสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังตามคำร้อง สำหรับผู้ต้องหาที่เหลืออีก 4 คนถูกนำตัวไปขออำนาจศาลอาญาธนบุรี ฝากขังผัดแรกวันนี้เช่นกัน

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6 ) หนึ่งในชุดจับกุมนายธวัชชัยกับพวก 5 คน ยันยันว่าการจับกุมไม่ได้เป็นการสร้างสถานการณ์จัดฉาก มีทีมงานทำเรื่องนี้มานานตั้งแต่ปีที่แล้วที่เริ่มมีเหตุการณ์ รวมทั้งประสานหน่วยงาน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สันติบาล หน่วยข่าวทางทหาร หน่วยข่าวมหาดไทย เป็นต้น ยืนยันตำรวจทุกคนทำตามหน้าที่

ด้าน พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวว่า ทางตำรวจจะไม่ส่งผู้ต้องหาหรือโอนคดีให้กับดีเอสไอดำเนินคดีข้อหาก่อการร้าย เนื่องจากรัฐบาลประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน กทม.ไปแล้ว จึงไม่เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษเหมือนคดีที่ผ่านมา ผู้ต้องหาทั้งหมดตำรวจจะเป็นผู้ดำเนินการเอง เบื้องต้นแจ้งข้อหามีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อน และจะสอบสวนเพื่อขยายผลหาผู้อยู่เบื้องหลังหรือร่วมขบวนการต่อไป

"ล่าสุด ยังได้เจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรเบื้องต้นรับว่าจะอยู่ 3-7 วัน จากนั้น จะประเมินว่าจะทำอย่างไรต่อไป ยังไม่ชัดเจน อาจอยู่ต่อหรือกลับ มีการเจรจาอยู่แล้ว แต่จะได้ผลแค่ไหนอยู่ที่กลุ่มผู้ชุมนุมด้วยว่าจะเชื่อฟังหรือเจอกันครึ่ง ทาง" ผบช.น.ระบุ

ด้าน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีจับกุมผู้ต้องหา 5 คนเตรียมก่อเหตุวางระเบิดว่าก่อนจับกุม 1 วัน พล.ต.ต.สุวัฒน์แจ้งให้ทราบแล้วว่าติดตามกลุ่มดังกล่าวว่าจะมีการก่อเหตุก่อ กวน ไม่ได้มีการจัดฉากแน่นอน ก่อนจับกุมต้องมีการเตรียมข้อมูลเตรียมการต้องใช้เวลา การจับกุมก็ต้องใช้ความระมัดระวังและผู้ต้องหาเองก็รับสารภาพ ไม่มีใครคิดที่จะจัดฉาก เอาบ้านเมืองมาล้อเล่น ใครมาเอาตำรวจเป็นเป้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ใครคิดแบบนี้ก็ผิดแล้ว

เมื่อถามถึงกระแสการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 5 คน เป็นการเลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร.หรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า ตนเป็นตำรวจมาถึงยศ พล.ต.อ.แล้ว มาทำงานก็เพื่อแทนคุณแผ่นดิน ไม่เอาบ้านเมืองมาล้อเล่น ทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ถ้าใครคิดว่าตนเองทำหน้าที่ไม่เหมาะสม จะไปก็ไป ไม่ได้ยึดติดกับเก้าอี้ ส่วน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา (สบ 10) ที่ผ่านมาการทำงานต่างๆ ก็ได้รายงานให้ตนทราบตลอดตามขั้นตอนไม่ได้รายงานนายกรัฐมนตรีโดยตรง

ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า ตนได้ให้หลักการทำงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เป็นกลไกในการรักษาความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อยให้ได้ ในภาวะที่บ้านเมืองแตกแยกก็ต้องวางตัวเป็นกลาง โดยใช้หลักของกฎหมาย แต่หากกฎหมายไม่พอถ้าหากต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯก็ต้องร้องขอรัฐบาล หรือให้ทหารมาช่วย แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้นยังสามารถรักษาความสงบเรียบร้อยได้

"จตุพร" ปูด "บิ๊กสีเขียว" ตั้งวงวางแผนทำรัฐประหาร อ้าง "4เงื่อนไข" หวังตั้งรัฐบาลแห่งชาติ

ที่รัฐสภา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดง แถลงว่าเมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา มีการประชุมวางแผนการทำรัฐประหารที่เซฟเฮาส์แห่งหนึ่ง มีนายทหารใหญ่นั่งประชุมกัน ซึ่งหากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อยากทราบเรื่องดังกล่าวให้ไปถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่ามีการประชุมวางแผนกันจริง โดยคนที่นำเรื่องมาบอกตนนั้นเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ที่มียศเดียวกันกับนายทหารที่พูดกัน เพราะทหารแตงโมมีเยอะ

นายจตุพรกล่าวว่า วงหารือมีการประเมินสถานการณ์ โดยเห็นว่าน่าจะมีเงื่อนไขให้ทำการรัฐประหาร 4 ข้อ ประกอบด้วย 1.กล่าวอ้างเรื่องความแตกแยกภายในชาติ 2.เรื่องการเสียดินแดนให้กัมพูชาอันมาจากนโยบายทางการทูตที่ล้มเหลวของ รัฐบาล 3.ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4.ที่เกี่ยวข้องกับทหารเองในเรื่องการสลายการชุมนุม 91 ศพ

"ยังมีการพูดคุยกันว่าหลังทำรัฐประหารแล้วจะให้มีรัฐบาลแห่งชาติเกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังมีอดีตนายทหารใหญ่เดินสายคุยกับคอลัมนิสต์โดยอธิบายถึงเหตุผลการทำรัฐ ประหาร ถ้านายอภิสิทธิ์ไปถาม พล.อ.ประวิตร หรือนายทหาร ก็คงปฏิเสธ แต่ได้มีการเตรียมกำลังทหารแล้ว 30 กองร้อย หรือราว 3,000 นาย อ้างว่าเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ดังนั้น หากมีการสร้างสถานการณ์ให้เกิดการปะทะกันของผู้ชุมนุม 2 กลุ่ม กำลังทหารเหล่านี้ก็แปรสภาพได้ทันที พวกเราถึงแม้จะชิงชังในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ แต่ก็ยังเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงต้องไปตามระบบ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ต้องพ้นไปตามระบอบประชาธิปไตย” นายจตุพรกล่าว

นายจตุพรกล่าวด้วยว่า กรณีการจับกุมอาวุธจำนวนมากบริเวณแยกมิสกวันใกล้การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงเห็นตรงกันว่าเป็นการจัดฉาก ของตำรวจ เพื่อสนองคำสั่งรัฐบาล ตำรวจทั้งนครบาลยังจับกลุ่มนินทาการจัดฉากครั้งนี้ว่าสามานย์ ทำไปเพื่ออะไร ขนาดมอเตอร์ไซค์ที่ยึดได้ยังเป็นการยกลงจากรถกระบะ

ที่มาข่าว: มติชนออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"จำลอง" แย้มบุกทำเนียบ! เพิ่มมาตรการกดดัน รบ. ขู่ปูดคอร์รัปชั่น

Posted: 26 Jan 2011 05:41 AM PST

"พธม." เพิ่มมาตรการกดดัน รบ. ขู่ปูดคอร์รัปชั่น "จำลอง" ฮึ่มคราวนี้เหลืออด แย้มไม่แน่บุกทำเนียบฯ "สุเทพ" ลั่น 3 ข้อเสนอ พธม.ทำไม่ได้ จะทำให้ประเทศเสียหาย

26 ม.ค. 54 - พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นายประพันธ์ คูณมี โฆษกและผู้ประสานงานการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่ม พธม. พร้อมผู้ชุมนุมประมาณ 500 คน ยังคงปักหลักชุมนุมบริเวณแยกมิสกวัน เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 มกราคม จากนั้นร่วมกันแถลงข่าวเรื่อง "การชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน" ว่าจะชุมนุมอย่างต่อเนื่อง โดยมีข้อเรียกร้องเดิม 3 ข้อ คือ เรียกร้องให้ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 ให้ถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลก และผลักดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ทับซ้อน หากรัฐบาลไม่ทำตามจะเพิ่มมาตรการกดดัน โดยปราศรัยเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น

นายประพันธ์กล่าวว่า การที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมตรี และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุหากยกเลิกเอ็มโอยู หวั่นจะเกิดสงครามนั้นความจริงไม่ใช่ เพราะด้วยศักยภาพของกัมพูชาไม่มากพอทำสงครามได้อยู่แล้ว และฝ่ายที่ไม่อยากเลิกคือ กัมพูชา เพราะจะสูญเสียผลประโยชน์ ดังนั้นการพูดลักษณะนี้ของนายสุเทพ เท่ากับเอื้อประโยชน์ให้สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา

"สำหรับเวทีวันนี้ เราจะดำเนินการตามกฎหมายกับนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ และผู้เกี่ยวข้องที่มีพฤติกรรมสมคบกัน โดยข้อกล่าวหามีพฤติการณ์สมคบกัน ทำให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรไทยตกอยู่ใต้รัฐต่าง ประเทศ และกรณีเป็นปรปักษ์กับชาติของตน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 จะยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อถอดถอนนายก รัฐมนตรีกรณีเพิกเฉยต่อปัญหาคนไทย 7 คนที่ถูกจับกุม" นายประพันธ์กล่าว

นายประพันธ์กล่าวว่า ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ นายตายแน่ มุ่งมาจน และนายวีระ สมความคิด แกนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีลักลอบเข้า เมืองกัมพูชาโดยผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นผู้เสียหายสามารถยื่นคำฟ้องต่อศาลฎีกา ตามมาตรา 270 และมาตรา 275 เพื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือจะยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  โดยให้ทีมกฎหมายร่างคำฟ้อง และข้อกล่าวหาเพื่อแสดงว่านายกฯ บกพร่องไม่ทำหน้าที่รักษาอธิปไตย นอกจากนั้นยังปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่ม และนักการเมือง

"เราจะนำเรื่องทุจริตไปปราศรัยบนเวที โดยจะพูดถึงพรรคร่วมว่า มีพฤติกรรมทุจริตอย่างไรบ้าง อาทิ เรื่องประมูลข้าว หรือ เรื่องที่นายสุเทพต้องชี้แจงทำไมต้องไปเป็นประธานคณะกรรมการปาล์มน้ำมันแห่ง ชาติ ขอตั้งข้อสังเกตเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน รัฐบาลนี้เหมือนกับที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำ พธม.พูดว่าไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ยังเลวร้ายมากกว่า เพียงแต่อาศัยภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์มาช่วย" นายประพันธ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าตำรวจให้ชุมนุม 4-5 วันเท่านั้น พล.ต.จำลองกล่าวว่า คงไม่ได้ เพราะครั้งนี้คือการชุมนุมปกป้องดินแดน ถ้าอยากให้ชุมนุมเลิกเร็วง่ายนิดเดียว บอกให้นายกฯทำตามข้อเรียกร้อง เพราะปัญหาเรื่องดินแดนเราถูกกัมพูชารุกหนักมาตลอด "มีคนถามว่าจะไปทำเนียบอีกไหม ก็ไม่แน่ คราวนี้เหลืออดเป็นเรื่องบ้านเมือง ต้องช่วยกันปกป้อง ตอนนี้ก็อยู่ที่ความเหนียวแน่น ความอดทนของผู้ชุมนุม ส่วนเรื่องจำนวนนั้นเป็นส่วนประกอบ"

รมว.กลาโหมเผย รบ.พร้อมเจรจากับ"พันธมิตร" เพื่อยุติการชุมนุม รับห่วงไม่อยากให้มีม็อบ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 มกราคม ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ก่อนเป็นประธานในการประชุมสภากลาโหม ถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่าเราทำไปตามหน้าที่ เป็นเรื่องของตำรวจที่จะดูแล และผู้ชุมนุมก็ชัดเจนและทราบดีอยู่แล้วว่าจะปฏิบัติอย่างไร ซึ่งทางตำรวจมีขั้นตอนในการดำเนินการอยู่ และเป็นไปตามกฎหมาย ส่วนข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมนั้นเป็นเรื่องของรัฐบาลและทางนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ตอบไปแล้ว
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มผู้ชุมนุมยืนยันว่าหากรัฐบาลไม่ทำตามข้อเสนอก็จะไม่ยุติการชุมนุม พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า คงต้องแก้ปัญหากัน รัฐบาลไม่ได้อยู่นิ่งเฉย ทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ บ้านเมือง และประชาชนอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าได้ประเมินการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมหรือไม่ว่าอาจจะ ขยายเพิ่มเติม พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้ประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางตำรวจไม่ได้วิตกอะไร แต่ตนก็ห่วงและไม่อยากให้มีการชุมนุม เพราะทุกอย่างเราสามารถพูดจากันได้

เมื่อถามว่าในฐานะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตร ก็เคยเป็นทหารเราจะใช้ช่องทางนี้เจรจาพูดคุยหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการอยู่ แต่คงไม่ถึงกับต้องคุยกับ พล.ต.จำลอง เพราะท่านก็อยากทำทุกอย่างเพื่อบ้านเมือง และรัฐบาลก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อบ้านเมืองเช่นกัน คงต้องพูดจากันว่ามีอะไรที่ พล.ต.จำลองสงสัย ซึ่งทุกอย่างนายกรัฐมนตรีก็ได้ชี้แจงแล้ว

มาร์คเล็งเปิดเวทีสาธารณะเจรจาพันธมิตรฯ

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะส่งตัวแทนและผู้ที่เกี่ยวข้องไปประสานเจรจากับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย (พธม.) เกี่ยวกับข้อเรียกร้อง 3 ข้อ โดยจะเปิดเจรจาผ่านเวทีสาธารณะ ส่วนการยึดทำเนียบรัฐบาลตามที่กลุ่มผู้ชุมนุมประกาศไว้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปพูดคุย พร้อมกับเชื่อว่าเป็นคนไทยด้วยกันน่าจะคุยกันได้ ขณะเดียวกันไม่ได้มีการเตรียมทำเนียบสำรองเอาไว้

"สุเทพ" ลั่น 3 ข้อเสนอ พธม.ทำไม่ได้ จะทำให้ประเทศเสียหาย

ที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ออกมาเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลว่า ตนก็ยังมองโลกในแง่ดีอยู่ และเคารพในความเห็นของทุกฝ่าย และตั้งสมมติฐานว่าทุกฝ่ายน่าจะมีความหวังดีต่อบ้านเมือง เพียงแต่มุมมองไม่เหมือนกันก็จะได้พูดคุยเจรจากัน

"ที่กลุ่มพันธมิตร ชุมนุมและตั้งเงื่อนไขไว้ 3 ข้อนั้น ขอเรียนว่าเป็นเงื่อนไขที่ปฏิบัติยาก ปฏิบัติไม่ได้ ขืนปฏิบัติอย่างนั้น ก็ทำให้ประเทศชาติเสียหาย การไปเลิกเอ็มโอยู ปี 2543 ก็ทำให้เกิดกระทบกระทั่งที่ชายแดน จนอาจจเกิดเป็นการสู้รบกันได้ ส่วนที่จะให้รัฐบาลขับชาวเขมรพ้นประเทศไทยนั้น ต้องบอกว่าประเทศไทยมีชายแดนติดกับเพื่อนบ้านทุกด้าน ทั้งกัมพูชา ลาว พม่าและมาเลเซีย มีคนเชื้อชาติอื่นที่อาศัยในเขตดินแดนประเทศไทย เหมือนที่คนไทยชื้อชาติไทยต้องอาศัยอยูในเขตดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นรัฐบาลก็ต้องปฏิบัติกับคนเหล่านั้นด้วยดีและระมัดระวัง" นายสุเทพกล่าว

นายสุเทพกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องมกรดโลก เราเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ จึงมีพันธะที่ต้องร่วมมือกันอยู่ ซึ่งประเด็นที่ พธม. ให้ถอนตัวออกจากคณะกรรมการมรดกโลกนั้น ประเทศไทยทำได้ หากสามารถพิสูจน์ให้ชาวโลกได้รับรู้ได้ว่าเราถูกรังแกและไม่ได้รับความเป็น ธรรม ซึ่งขณะนี้ยังเป็นเรื่องที่ไกลออกไป แต่ก็จะหาผู้รู้มาวิเคราะห์ถึงผลดีผลเสียด้วยแล้วชั่งน้ำหนักกันดู

เมื่อถามว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำ พธม.บอกว่าถ้ารัฐบาลไม่ตอบรับข้อเรียกร้งของ อาจแวะเยี่ยมเยียนภายในทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพกล่าวว่า พล.ต.จำลองเป็นผู้ใหญ่แล้ว คงไม่ทำอะไรที่ขัดต่อสายตาคนทั้งประเทศ และคิดว่าท่านคงไตร่ตรองเป็นอย่างดี

ผบ.ตร.ยันไม่ยอมให้ม็อบบุกทำเนียบฯ

พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ยืนยันจะไม่ให้กลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมปิดล้อมหรือบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภาอย่างเด็ดขาด เนื่องจากที่ผ่านมาถือว่าตำรวจยอมกลุ่มผู้ชุมนุมมากพอแล้ว โดยเฉพาะการให้ตั้งเวทีปราศรัยและปิดถนนโดยรอบที่ชุมนุม ทั้งนี้หากประเมินแล้วเห็นว่าสถานการณ์จะไปถึงจุดที่ตำรวจควบคุมไม่ได้ ก็จะเสนอให้รัฐบาลประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน ทันที

“ปณิธาน” ชี้ มทภ.2 ซ้อมรบริมพระวิหารตามแผนปกติ ปัด “มาร์ค” สั่งพิเศษ

ที่รัฐสภา นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่จะมีการซ้อมรบของทหารในกองทัพภาคที่ 2 ตามพื้นที่ชายแดนด้านเขาพระวิหาร ว่า จริงๆ แล้ว ทางกองทัพได้แจ้งให้ทางรัฐบาลทราบเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ว่า จะมีการฝึกตามวงรอบในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว แล้วได้มีการสื่อสารไปยังทางกัมพูชาในเรื่องนี้ หลังจากนั้น เข้าใจว่า เมื่อเดือน ธ.ค.2553 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณให้กับกองทัพไปบริหารจัดการความมั่นคง เข้าใจว่า 500 ล้านบาท บริเวณพื้นที่ตามแนวชายแดน ยืนยันว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้สั่งการให้มีการใช้กำลังในบริเวณพื้นที่ เป็นเรื่องของกองทัพที่เสนอเข้ามา และจะมีการบริหารจัดการความมั่นคง ซึ่งส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเรื่องการทำงานตามปกติ ส่วนการจัดกำลังหรือว่าสลับกำลังนั้น ได้มีการสื่อสารไปยังกัมพูชา ซึ่งทางกัมพูชาก็รับทราบ ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทั้งนี้ ยังเป็นแผนงานตามปกติ เพียงแต่ว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมา ทางกองทัพมีงบประมาณจำกัดในการฝึกซ้อม ซึ่งขณะนี้เลยของบเป็นกรณีพิเศษ เป็นกรณีๆ ไป เข้าใจว่า มี 2-3 ครั้งที่ได้มีการขอมาในการบริหารจัดการตามแนวชายแดน

นายปณิธาน กล่าวต่อว่า มีหลายแนวชายแดนที่ได้มีการอนุมัติไป แต่ว่าถือเป็นกรณีปกติ ยืนยันว่า เราไม่ได้มีเจตนาที่จะไปส่งสัญญาณอะไรที่ทำให้ทางเพื่อนบ้านไม่สบายใจ ขณะเดียวกัน ก็ทำให้เรามีขีดความสามารถในการบริหารจัดการในพื้นที่ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในหลายบริเวณที่มีปัญหาอยู่
      
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในช่วงจังหวะเวลาที่เข้ามาพอดีกับการเผชิญหน้าระหว่างกันกับเรื่องของปัญหา ภาคใต้ จะไม่ทำให้กัมพูชาเข้าใจว่ารัฐบาลต้องการแสดงแสนยานุภาพ นายปณิธาน กล่าวว่า เขาได้รับทราบก่อนหน้าเป็นเดือนแล้ว ฉะนั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไรทางทหารก็ได้มีการแจ้งมา เพราะปกติเวลามีการฝึกซ้อมก็จะมีการแจ้งเตือนให้ทราบซึ่งกันและกัน ในบางกรณีจะมีผู้สังเกตการณ์เข้ามา เมื่อถามว่า กรณีนี้ได้มีการแจ้งกัมพูชาไปก่อนล่วงหน้า หรือไม่ นายปณิธาน กล่าวว่า เข้าใจว่า ทาง พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สื่อสารไปแล้ว ในกลไกท้องถิ่น ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
      
นายปณิธาน ยังกล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่ นายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะเข้าพบ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่า เขาแจ้งว่าจะมาแต่ยังไม่ได้กำหนดวัน ทั้งนี้ ยังรอการประสานงานกันอยู่

"บุญจง" สั่งพ่อเมือง ชี้แจงพันธมิตรฯ ห้ามเข้าสมทบการชุมชน ชี้มวลชนแค่ 3,500 คน

ที่กระทรวงมหาดไทย ระหว่างการประชุมผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทยกล่าวตอนหนึ่งว่าการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้ ผู้ว่าฯ คงทราบว่าการชุมนุมเกิดขึ้นต่อเนื่องหลังจากยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงมีการใช้สิทธิ ซึ่งสามารถทำได้ ยังไม่มีเหตุร้าย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางรัฐบาล รวมถึงกลุ่มต่างๆ ออกมาชุมนุมใน กทม. ซึ่งเมื่อวันที่ 25 ม.ค.นับเป็นวันชุมนุมครั้งแรก มีผู้เข้าร่วมประมาณ 3,500 คน ซึ่งมีการประกาศชัดเจนว่าไม่ชนะไม่เลิก ก็ถือว่า เป็นสิทธิของเขา
      
รมช.มหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทยกล่าวต่อว่าสิ่งหนึ่งที่ต้องขอไปยังผู้ ว่าฯ คือ ต้องทำความเข้าใจต่อประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัด เพราะประเด็นการชุมนุมของพันธมิตรฯ อาทิ ให้รัฐบาลถอนตัวออกจากคณะกรรมการมรดกโลก ยกเลิกเอ็มโอยู 43 ผลักดันชาวกัมพูชาออกจากประเทศ

"นายกฯ ประกาศชัดเจนว่าไม่สามารถทำตามได้แม้แต่ข้อเดียว หากทำตามก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้ว่าฯจะต้องรับทราบ และนำไปถ่ายทอดนายอำเภอ ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้รู้ว่าการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ มีข้อเรียกร้องอะไร และทำไมรัฐบาลไม่สามารถปฏิบัติตามได้ และปฏิบัติตามแล้วมีผลกระทบอย่างไร หากประชาชนรู้ก็จะไม่มาเข้าร่วมการชุมนุมใน กทม. วันนี้ประเทศบอบช้ำ ทุกคนไม่อยากมาเป็นส่วนร่วมในการเผาบ้านเผาเมือง "
      
นายบุญจงย้ำตอนท้ายว่ากระทรวงมหาดไทยอยากให้บ้านเมืองสงบ หากไม่มีการเติมคนจากต่างจังหวัด เชื่อว่าคนต่างจังหวัดก็ไม่อยากมา เพราะไม่อยากเห็นความขัดแย้งกัน คนที่อยู่แถบชายแดนรู้ดี เขาอยากอยู่สงบ ค้าขายราบรื่น ถ้าประชาชนต่างจังหวัดรู้เหตุผล การชุมนุมก็ไม่รุนแรง

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, มติชนออนไลน์, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, โพสต์ทูเดย์, สำนักข่าวไทย

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“อภิสิทธิ์” เผยเป็นไปได้ยุบสภาเมษายน

Posted: 26 Jan 2011 03:20 AM PST

“อภิสิทธิ์” ระบุมีความเป็นไปะยุบสภาเดือน เม.ย. เพราะหมดเงื่อนไขปัญหาเศรษฐกิจ-และการแก้ รธน. สุเทพ ปัดแจกโควตา รมต.แลกโหวตแก้ รธน.

26 ม.ค. 54 - “อภิสิทธิ์” ระบุมีความเป็นไปได้จะยุบสภาประมาณเดือนเมษายน เพราะหมดเงื่อนไขปัญหาเศรษฐกิจ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนการชุมนุมจะไม่นำมาเกี่ยวข้อง ถ้าชุมนุมอย่างสงบ คงไม่มีปัญหา โต้จัดฉากจับกุมคนลอบประกอบระเบิด ย้ำรัฐบาลจะดูแลความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุมทุกสี

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การตัดสินใจยุบสภายังเป็นไปตามเงื่อนไขตารางเวลาที่พูดเอาไว้ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การแก้ไขกฎกติกา หรือรัฐธรรมนูญ และความสงบเรียบร้อย ซึ่งตนจะเลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการจัดการเลือกตั้ง ไม่เกี่ยวกับการชุมนุม เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะได้ข้อยุติในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ จากนั้นเป็นกระบวนการเพื่อให้ประกาศใช้ คาดว่าจะประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ หรือต้นเดือนมีนาคม ก็จะหมดไปอีกเงื่อนไขหนึ่ง ส่วนการชุมนุมนั้น หากรักษาแนวทางการชุมนุมว่าเป็นการชุมนุมที่สงบ และลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไปได้ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่จะยุบสภาในช่วงเดือนเมษายน จึงเป็นไปได้

สำหรับกรณีที่ได้สั่งการให้ติดตามกลุ่มที่ยังคงใช้ความรุนแรงนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการข่าวยังมีหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่หลบหนี และจากกลุ่มที่สามารถขยายผลได้จากการสอบสวนกลุ่มที่ถูกจับกุมแล้ว ก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ดำเนินการ ซึ่งพยายามไม่ให้เกิดความวุ่นวาย และจากการสอบสวนคดีที่่เจ้าหน้าที่จับกุมคนลอบประกอบระเบิดข้างทำเนียบ รัฐบาลได้ น่าจะหมดข้อสงสัยว่าเป็นเรื่องการจัดฉาก เพราะรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุม

ส่วนที่แกนนำของผู้ชุมนุมทั้งสองกลุ่มยังบอกว่ารัฐบาลจัดฉากนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไร แต่น่าเสียดายว่าคนที่เป็นแกนนำพยายามจะหยิบยกทุกเรื่องขึ้นมา ทั้งที่รัฐบาลพยายามดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุมเอง ตนถือว่าไม่ว่าจะเสื้อสีไหน ก็เป็นคนไทย จะพยายามดูแลความปลอดภัยให้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีความพยายามหยิบยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาโจมตีรัฐบาล

ต่อข้อถามว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้คนที่เคยเป็นมิตรกับรัฐบาลกลายเป็น ศัตรูหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่เป็นศัตรูกับใคร เมื่อถามว่าการที่ยื่นเงื่อนไขที่เชื่อว่ารัฐบาลทำตามไม่ได้ จะเป็นการบีบให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องไปถามผู้ชุมนุม เพราะเห็นว่าแกนนำยังขัดแย้งกันเอง เช่น นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ บอกว่ามาไล่ตน และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ผู้ประสานงานบอกว่าไม่ได้มาไล่ แต่นายสนธิคนเดียวที่เป็นคนไล่

สุเทพ ปัดแจกโควตา รมต.แลกโหวตแก้ รธน.

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์กรณีที่สมาชิกรัฐสภาลงมติเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 93-98 ในวาระ 2 ตามสูตรเลือกตั้งส.ส.เขต 375 คน และส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 คน ตามสูตรที่รัฐบาลเสนอ ว่า ตนเรียนมาหลายครั้งแล้วว่า เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่ปัญหาของบ้านเมือง เพราะเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภา จะเป็นผู้ชี้ขาดทิศทางของบ้านเมือง ซึ่งตนมั่นใจอย่างนี้มาตั้งแต่ต้น และการลงมติเมื่อวันที่ 25ม.ค.ที่ผ่านมา เห็นว่าเสียงส่วนใหญ่ก็เห็นไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้ตนรู้สึกสบายใจเพราะหมดเงื่อนไขเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไข 3 ประเด็นที่นายกรัฐมนตรี ระบุดำเนินการแล้วเสร็จก็จะยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ภายในปี 54

ฉะนั้น จึงรู้สึกโล่งใจที่หมดปัญหาไปหนึ่งประเด็น ขณะนี้เงื่อนไขเรื่องเศรษฐกิจและการแก้รัฐธรรมนูญ ดูท่าทางจะไปได้ดี ที่เหลือคือเราต้องพูดคุยเพื่อหาทางคลี่คลายความเห็นที่ไม่ตรงการทางการ เมือง เรื่องการชุมนุม หากเรื่องเหล่านี้สงบบ้านเมืองปกติสุขก็จะเดินหน้าต่อไป เมื่อถามว่ารู้สึกสบายใจขึ้นบ้างหรือไม่ที่พรรคร่วมหันมาสนับสนุนสูตรเลือก ส.ส.375+125 นายสุเทพ กล่าวว่า “ผมไม่ได้มีอะไรที่กลุ้มใจ มีแต่คนอื่นที่กลุ้มใจ ท่านทั้งหลายมาถาม ผมก็บอกว่าไม่มีปัญหา”

เมื่อ ถามถึงข้อเท็จจริงถึงข่าวที่ว่าได้ไปตกลงกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เกี่ยวกับการให้โควตารัฐมนตรี นายสุเทพ กล่าวว่า “เป็นข่าวที่ไม่มีมูลความจริงเลย และต้องเรียนว่าน่าเสียดายที่มีข่าวเช่นนี้และทำให้ประชาชนสับสน จะไปคิดถึงการแบ่งโควตารัฐมนตรีอย่างไร เพราะตอนนี้ยังไม่ได้ยุบสภา และต้องมีกระบวนการว่าเมื่อไหร่ที่นายกฯจะยุบสภา และเลือกตั้ง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใครจะได้หรือตกเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้ ใครจะไปจับมือกับใครเป็นรัฐบาลก็ยังไม่รู้ แล้วผมจะเอาหน้าที่ไหนไปสัญญากับคนโน้นคนนี้ และแจกโควตาลมๆแล้ง เป็นไปไม่ได้”

ส่วนมั่นใจว่าการพิจารณาลงมติรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระ 3 จะผ่านความเห็นชอบขอรัฐสภาหรือไม่ เพราะส.ว.บางส่วนระบุว่าจะสนับสนุนสูตร 400+100 นายสุเทพ กล่าวว่า อย่าไปคาดการณ์ล่วงหน้าที่ทำให้เราวิตกกังวล ไม่มีอะไรหรอก ตนเชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ประจักษ์เชื่อนายกฯไม่ยุบสภาเร็วขึ้น

นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ส.ส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธาน ส.ส.พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า แม้ญัตติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ในวาระที่ 2 ไปได้ด้วยความเรียบร้อย แต่เรื่องนี้ไม่น่าจะทำให้ นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยุบสภาเร็วขึ้น ส่วนในการลงมติวาระที่ 3 นั้น เห็นว่า ยังคาดเดาไม่ได้ว่า ส.ส.จะมีมติตามความเห็นของคณะกรรมาธิการ ที่ให้ ส.ส.เขต มีจำนวน 375 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อมี 125 คน เนื่องจากไม่มีใครรับทราบความคิดเห็นของ ส.ส.แต่ละคนได้ ในส่วนของพรรคภูมิใจไทย ก็พยายามควบคุมเสียงของ ส.ส.อยู่ ขณะเดียวกัน นายประจักษ์ กล่าวอีกว่า การที่ฝ่ายค้าน ได้กล่าวหาว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นการไกล่เกลี่ยผลประโยชน์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลนั้น เห็นว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะฝ่ายค้าน ต้องมีหน้าที่คัดค้านอยู่แล้ว

“ตู่” ลั่นไม่เชื่อน้ำยา “มาร์ค” แย้มยุบสภาเมษา

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านการพิจารณาในวาระที่ 2 ไปแล้ว ว่า ตนได้บอกกับเพื่อนสมาชิกพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ต้นแล้วว่าอย่าผลีผลาม เพราะช่วงแรกนั้นพรรคร่วมรัฐบาลเสียงแข็ง สุดท้ายก็เป็นเกมปั่นราคาแลกผลประโยชน์

อย่างไรก็ตามแม้จะมีการเลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่ มีสัดส่วนส.ส.ที่ 375 +125 คน แต่พรรคเพื่อไทยไม่หวั่นไหว พร้อมสู้ทุกรูปแบบ แต่พรรคประชาธิปัตย์นั้นแพ้มาสองครั้งแล้วทั้งสูตรส.ส.400 +100คน และ 400 + 80 คน วันนี้จะเปลี่ยนใหม่ก็ไม่ขัดข้อง แต่ถ้าแพ้แล้วอย่าโวยวาย และอย่าใช้วิธีปล้นอำนาจตั้งรัฐบาลในค่ายทหารอีก

นอกจากนี้ยังขอฝากไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ไปจัดเขตเลือกตั้งให้ดี โดยอิงข้อเท็จจริงของแต่ละพื้นที่ อย่าแบ่งซอยเฉพาะเขตที่พรรคเพื่อไทยมีฐานเสียงแน่นหนาหรือไขว้กันแบบน่า เกลียด แต่ถ้ารัฐบาลยังบริหารประเทศบนความเสี่ยงอย่างนี้ ตนก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารัฐบาลจะอยู่ครบวาระและเกิดการเลือกตั้งใหม่หรือไม่  ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บอกว่าจะยุบสภาในช่วงเดือน เม.ย.นั้นตนไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง.

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: สำนักข่าวไทย, ไทยรัฐออนไลน์, ไอเอ็นเอ็น, เดลินิวส์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"เครือข่ายคนดูหนัง" ชวนคอหนังรวมข้อมูล ผกก.อินเซคฯ ยื่นฟ้องแย้ง ก.วัฒนธรรม ในชั้นศาล

Posted: 26 Jan 2011 02:26 AM PST

"เครือข่ายคนดูหนัง" ขอความช่วยเหลือจากคอหนัง รวมข้อมูลช่วย ผกก.Insects in the Backyard ใช้ยื่นฟ้องแย้งคำวินิจฉัยกระทรวงวัฒนธรรม ในชั้นศาล

เว็บบล็อกของเครือข่ายคนดูหนังโพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา  เพื่อขอความช่วยเหลือในการรวบรวมข้อมูลสำหรับต่อสู้กรณีไม่อนุญาตให้ฉายภาพยนตร์ Insects in the Backyard ในชั้นศาล โดยระบุว่า หลังจากมีมติอย่างเป็นทางการของการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ฉายภาพยนตร์เรื่อง Insects in the Backyard จากกระทรวงวัฒนธรรม ขณะนี้ ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ผู้กำกับภาพยนตร์ดังกล่าว กำลังเตรียมข้อมูลและเอกสารต่าง ๆ สำหรับการยื่นฟ้องโต้แย้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของกระทรวงวัฒนธรรมกับศาลปกครอง โดยหนึ่งในข้อโต้แย้งคือการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมกับหนังเรื่องนี้

ทางเครือข่ายคนดูหนังได้ขอความร่วมมือจากนักดูหนังในการรวบรวมกรณีที่ใกล้เคียงกับเหตุผลที่ทางกระทรวงวัฒนธรรมยกมากล่าวอ้างในการไม่อนุญาตให้ฉายภาพยนตร์เรื่อง Insects in the Backyard  แต่เคยผ่านการตรวจพิจารณามาได้ โดยขอให้ช่วยยกตัวอย่างหนังเรื่องอื่น ๆ ที่มีฉากคล้าย ๆ กับเหตุผลเหล่านี้ที่เคยได้ออกฉายหรือออกแผ่น ตามข้อกำหนดด้านล่าง โดยสามารถยกตัวอย่างภาพยนตร์และฉากที่ใกล้เคียงได้ผ่านการแสดงความคิดเห็นในบล็อกดังกล่าวหรืออีเมลไปที่ movieaudiencenetwork@gmail.com

ข้อกำหนด
1) เป็นหนังโรงหรือหนังแผ่นที่ผ่านการพิจารณาในระบบเรตติ้ง (ประมาณวันที่ 20 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา)
2) จะเป็นหนังไทยหรือหนังต่างประเทศก็ได้
3) มีเนื้อหาที่
- แสดงฉากร่วมเพศระหว่างชายกับชาย หรือหญิงกับหญิง
- แสดงการสูบบุหรี่ สุรา หรือยาเสพติดชนิดอื่น ๆ ในชุดนักเรียน หรือตัวละครเป็นเยาวชน (ทั้งไทยและต่างประเทศ)
- แสดงการขายบริการทางเพศในชุดนักเรียน หรือนักศึกษา
- แสดงการฆ่าพ่อหรือแม่ตัวเอง ทั้งที่เป็นความฝันและความจริง
- แสดงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศใดก็ตาม โดยเห็นอวัยวะเพศ

ตัวอย่าง
- ภาพยนตร์เรื่อง ‘เฉือน’ มีฉากแสดงการร่วมเพศหมู่ระหว่างตัวละครหลากหลายเพศ และมีฉากที่ลูกชายฆ่าพ่อตัวเอง
- ภาพยนตร์เรื่อง A SERIOUS MAN มีฉากที่เด็กนักเรียนสูบกัญชาในห้องน้ำโรงเรียน

เหตุผลจากกระทรวงวัฒนธรรม

“ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาโดยรวมเป็นการ ถ่ายทอดลักษณะเนื้อหาเกี่ยวกับ การร่วมเพศระหว่างชายกับชาย หญิงกับหญิง และชายกับหญิง มีการสุบบุหรี่ ดื่มสุราในขณะแต่งกายเครื่องแบบนักเรียนอยู่หลายตอน และยังมีการเสนอขายบริการทางเพศในขณะที่แต่งกายเครื่องแบบนักเรียน สาระสำคัญของภาพยนตร์ มีการแสดงออกไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น การที่ให้เด็กหญิงและเด็กชายประกอบอาชีพขายตัวหรือโสเภณี แทนที่จะแก้ปัญหาโดยหาทางออกด้วยวิธีการอื่น มีฉากให้เด็กขายบริการทางเพศในชุดนักเรียน มีการสอนให้เด็กสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และสอนวิธีการเล้าโลม รวมทั้งมีการนำเสนอการฆ่าพ่อซึ่งแม้จะเป็นความฝันแต่ก็ไม่สมควรที่จะมีฉาก เหล่านี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่า เนื้อหาสาระสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการถ่ายทอดเกี่ยวกับการมีเพศ สัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับสังคมไทย อาจทำให้สังคมและผู้ชมแม้จะมีอายุเกิน ๒๐ ปีก็ตาม เกิดความเข้าใจผิดและเกิดการเลียนแบบพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศหรือการขาย บริการทางเพศ รวมทั้งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอื่น ๆ จึงเป็นการขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน”

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"ฮุนเซน" กร้าวสั่งเปลี่ยนป้ายวัดแก้วเป็น "ที่นี่กัมพูชา"

Posted: 26 Jan 2011 01:58 AM PST

สื่อกัมพูชารายงานนายกรัฐมนตรีฮุนเซน สั่งเปลี่ยนป้ายประณามไทยรุกราน บนวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ เป็น "ที่นี่กัมพูชา"  แทน -- ล่าสุดกัมพูชายอมทุบป้ายใหม่ระบุข้อความ "ที่นี่กัมพูชา" ทิ้งแล้ว

26 ม.ค. 54 - หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่กัมพูชา ได้เปลี่ยนข้อความบนแท่นหิน ในวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งเป็นพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ใกล้ปราสาทพระวิหาร ที่กำลังกลายเป็นต้นเหตุให้มีปัญหาชายแดนกับฝ่ายไทยแล้ว

โดยข้อความ ซึ่งเป็นภาษาเขมร ที่ปรากฎก่อนหน้านี้ระบุเอาไว้ว่า " ที่นี่ เป็นสถานที่ที่ทหารไทยเคยรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของกัมพูชา เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2008 และถอนกำลังไปเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 1 ธันวาคม 2010

ขณะที่ข้อความใหม่ที่ปรากฎ ระบุว่า "ที่นี่คือกัมพูชา"

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ของฝ่ายกัมพูชา เปิดเผยว่า ข้อความใหม่ที่ถูกนำมาแทนที่นั้น ได้รับคำสั่งโดยตรงมาจากนายกรัฐมนตรีฮุนเซน

กัมพูชายอมทุบป้ายใหม่ระบุข้อความ "ที่นี่กัมพูชา" ทิ้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 กองกำลังสุรนารี ได้นำกำลังทหารจำนวนหนึ่งเดินทางขึ้นไปวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ โดยเดินผ่านเส้นทางบันไดขึ้นปราสาทพระวิหาร เพื่อเจรจากับ พล.ท.ซรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการทหารของกัมพูชา ที่รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนเขาพระวิหาร กรณีที่ฝ่ายกัมพูชาเปลี่ยนป้ายบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระใหม่ โดยระบุว่า "ที่นี่กัมพูชา" ส่งผลให้สถานการณ์บนชายแดนพระวิหารตึงเครียดตลอดคืนที่ผ่านมา ซึ่งทหารทั้งสองฝ่ายได้รับคำสั่งให้เตรียมความพร้อม รอฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ภายหลังจากการเจรจา ฝ่ายกัมพูชายอมทุบทำลายป้ายดังกล่าวแล้ว โดยเจ้าหน้าที่กัมพูชาได้ทำลายป้ายในเวลา 12.15 น.

ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก (ทบ.) กล่าวยืนยันว่า ขณะที่ทางการกัมพูชาได้นำป้ายที่มีข้อความกระทบต่อไทยออกทั้งหมดแล้วเมื่อ เวลา 12.15 น.ที่ผ่านมา หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ได้สั่งการให้แม่ทัพภาคที่ 2 เข้าเจรจากับผู้บัญชาการทหารของกัมพูชาที่รับผิดชอบในบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนยังมีความตึงเครียด เนื่องจากทั้งทางไทยและกัมพูชาต่างมีการขยับกำลังทหาร แต่ก็เชื่อว่าผลจากการที่กัมพูชายอมปลดป้ายออกน่าจะช่วยทำให้สถานการณ์คลี่ คลายได้

ที่มาข่าว: ไทยรัฐออนไลน์, มติชนออนไลน์

แปลและเรียบเรียงจาก: earthtimes, monstersandcritics

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีตีนแดง: เพียงเฒ่านี้

Posted: 26 Jan 2011 01:57 AM PST

ก่อนประเทศเกิดปรากฏกบฏกล้า
ใครผู้ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาเล่าทหารหาญ ?
ใครอ้างความจงรักฉีกหลักการ ?
ใครโค่นล้มรัฐบาลประชาชน ?

ยกตนเป็นมนุษย์ผู้สุจริต
นั่นก็เลว , โน่นก็ผิด , นี่ฉ้อฉล ฯลฯ
กี่อำนาจกระบอกปืนเข้าปลอมปน
ทำประเทศทุกข์ทนบนกองทุกข์

แถลงการณ์อย่างมักง่าย----ว่าขายชาติ
อ้างชาติ มาปล้นชาติ เสวยอำนาจสนุก
ก่อกบฏในกะลามากี่ยุค
หรือดัชนีความสุขไม่ปลุกเร้า

กี่ยุคสมัยย่ำเวียนวนเข้าปล้นทรัพย์
คนคิดต่างถูกจับไปยิงเป้า
ต้องตอบสนองความใคร่ใต้ร่มเงา
อำนาจอันมัวเมาเพียงเฒ่านี้

แล้วร่างอำนาจนอกระบบขึ้นกลบเกลื่อน
ล้วนข้อมูลบิดเบือนขึ้นป้ายสี
การเติบโตของประชาธิปไตยมันไม่ดี
กระทบกระเทือนความมั่งมีอันยาวนาน

เลิกหลักการ,ปรารถนาโลกาภิวัตน์
ตบเท้าสนองความกำหนัดอันกลัดกร้าน
เร่งสถาปนาเถิดระบอบการหมอบคลาน
สร้างวิวัฒนาการของหลักกู

อีกสักกี่อำนาจอันปลอมปน
ยิ่งบีบบังคับ ประชาชนยิ่งลุกขึ้นสู้
ตาสว่างมองเห็นชัดแล้วศัตรู
ใครคือผู้ทำลายความเป็นอยู่ประชาชน

เร่งสถาปนาเถิดระบอบการหมอบคลาน
สร้างเมืองจากจินตนาการอันฉ้อฉล
ห่ากระสุนปืนจากภาษีประชาชน
จะยิ่งเร่งประชาชนให้รับรู้

อีกสักกี่อำนาจอันปลอมปน
ยิ่งบีบบังคับ ประชาชนยิ่งลุกขึ้นสู้
ตาสว่างมองเห็นชัดแล้วศัตรู
ใครคือผู้ทำลายความเป็นอยู่ประชาชน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์: กลไกความเสียหายค่าเงิน บาท ริงกิต หยวน ฯลฯ

Posted: 26 Jan 2011 01:42 AM PST

 
ความ เป็นไปของเศรษฐกิจมหภาคโลก หากมีข้อมูลที่ครบถ้วนรอบด้านก็จะทำให้เข้าใจถึงปรากฏการณ์ที่เกิดกับ เศรษฐกิจของประเทศ ของภูมิภาคและของโลกได้ ธุรกรรมทางเศรษฐกิจของโลกทุกวันนี้มี 2 ภาคหลัก คือ 1) ภาคการซื้อขายจริง (Real trade) ได้แก่การผลิต การพาณิชย์กรรม การอุตสาหกรรม การเกษตรกรรม การประมง การนำเข้า-ส่งออก การท่องเที่ยว 2) ภาคการซื้อขายกระดาษ (Paper trade) ได้แก่การซื้อขายหุ้นและการซื้อขายเงินตรา

โลกเห็นแต่ปัญหาภาค การซื้อขายจริง และคิดแก้ปัญหาแต่ที่การซื้อขายจริง เช่นการผลิต การนำเข้า-ส่งออก และการท่องเที่ยว แต่แท้ที่จริงแล้วภาคการซื้อขายกระดาษคือภาคที่ก่อให้เกิดปัญหามากที่สุด รุนแรงที่สุด ที่ส่งผลกระทบให้ภาคการซื้อขายจริงมีปัญหารุนแรงตามมา

บทความนี้นำเสนอตัวอย่างถึงปฏิสัมพันธ์ของตลาดทุนกับตลาดเงินตราที่ก่อปัญหาให้แก่โลก

ผลที่เกิดขึ้นหลังจากการพังทลายของตลาดหุ้น
1) ทำให้ค่าเงินเสียหาย
2) ทำให้ทุนสำรองลดลง
3) ทำให้สภาพคล่องของระบบลดลง และเสียหาย
4) ทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น (เพราะสภาพคล่องเสียหาย)
5) ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น (เพราะเงินอ่อนค่า และเสียหาย)
6) ทำให้ภาคการเงิน และภาคการผลิตจริงล้มลง และล้มละลาย
7) ทำให้เกิดภาวะหนี้เสีย (NPLs NPAs)
8) ทำให้คนตกงานมาก
9) ทำให้ต้องเข้าเอ็มเอฟ
10) ทำให้ระบบยากจนลง

เรื่อง เช่นนี้ไม่ว่าจะเกิดกับประเทศใดก็ตาม ก็จะเกิดผลเป็นแบบเดียวกันทุกประการเช่นไทย มาเลเซีย จีน เวียดนาม และไม่เว้นแม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกา 

ภาคแรก ความเป็นไปของตลาดทุน


ดัชนีตลาดหุ้นแนสแดกซ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา

การ ปรับปรุงตัวหุ้นเข้าไปในการคำนวณดัชนีแนสแดกซ์ของประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ กลางปี 1999 เช่นนำหุ้นไมโครซอฟท์ และตัวอื่นๆอีก 3 ตัว เพิ่มเข้าไปในการคำนวณดัชนี (index reform) โดยที่หุ้นทั้ง 4 ตัวนี้มีมูลค่าตลาดสูง ดัชนีตลาดหุ้นแนสแดกซ์เป็นดัชนีชนิดมูลค่าตลาด (Market capitalization weighted index) ส่งผลให้ดัชนีแนสแดกซ์มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานสูงทันที ดัชนีที่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานสูงจะอ่อนแอสูง และถูกปั่นได้ง่าย ทำให้กองทุนโลก เช่นบรรดาเฮดจ์ฟันด์ลากตลาดแนสแดกซ์ขึ้นไปสูงถึงต้นปี 2000 แล้วก็ทุบลงไปต่ำสุดในปี 2002 ดัชนีตกรุนแรงถึง 78 เปอร์เซ็นต์

เศรษฐกิจ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และเงินเหรียญสหรัฐเป็นสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีส่วนแบ่งระหว่างตลาดเงินตราโลกประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ เมื่อตลาดหุ้นแนสแดกซ์พังทลายรุนแรง ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ไม่ได้รับความเชื่อมั่น จึงมีการทิ้งสกุลเงินเหรียญสหรัฐไปถือเงินสกุลอื่น และทรัพย์สินนอกสกุลเงินเหรียญสหรัฐ เกิดปรากฎการณ์เงินทุนไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา และไหลเข้าไปท่วมยังประเทศต่างๆทั่วโลก

 

G92 Index คือค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหุ้นโลก 92 ประเทศ เป็นดัชนีชนิดไม่ถ่วงน้ำหนัก หรือปรับให้มีน้ำหนักเท่ากัน (Equal weighted index)

เงิน ที่ไหลออกจากประเทศอเมริกา ได้เข้าไปถือครองเงินสกุลต่างๆ และหุ้นประเทศต่างๆ เห็นได้จากแผนภูมิ G92 Index ซึ่งเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2001(หลังการพังทลายตลาดแนสแดกซ์และค่าเงินเหรียญสหรัฐ) และขึ้นไปสูงสุดในช่วงปลายปี 2007 โดยเพิ่มขึ้นถึง 463 เปอร์เซ็นต์ ก่อนที่จะพังทลายอย่างรุนแรงในปี 2008 (2551) G92 Index ตกลง 62 เปอร์เซ็นต์ ((2008(2552) Effect)

ความเป็นไปของตลาดหุ้น จะผสมผสานกันจากปัจจัย 3 อย่าง 1) เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐาน 2) ปัจจัยทางเทคนิค 3) ปัจจัยทางการปั่น หุ้นทั่วทั้งโลก ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้น จะอยู่กับที่ หรืออยู่ในช่วงตก จะประกอบไปด้วยปัจจัยทั้ง 3 นี้

ปัจจัยทางพื้นฐาน ตามความเชื่อของคนทั่วไป เข้าใจกันว่า เมื่อเศรษฐกิจดี หุ้นจะขึ้น เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี หุ้นจะตก แต่หากนำเรื่องการปั่นหุ้นมาพิจารณา กล่าวได้ว่า หุ้นขึ้นต่างหาก ที่ทำให้เศรษฐกิจดี (ทำให้สภาพคล่องดีขึ้น) หุ้นตกต่างหาก ที่ทำให้เศรษฐกิจไม่ดี (ทำให้สภาพคล่องของระบบเสียหาย)

ปัจจัยทางเทคนิค เมื่อหุ้นขึ้นสูงมาก จะเกิดความกลัว จะขายหุ้นออกมา เมื่อหุ้นตกต่ำลงมาก จะเกิดความกล้า จะเข้าไปซื้อ

ปัจจัยทางการปั่น จะมีการสวมรอยปั่นราคาให้สูงขึ้น และให้ต่ำลงกว่าปกติ  ไม่มีตลาดหุ้นใดไม่ถูกปั่น ไม่ว่าจะเป็นตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่นตลาดหุ้นประเทศสหรัฐอเมริกา หรือตลาดหุ้นที่ยังไม่พัฒนา  เช่น ตลาดหุ้นเวียดนาม ฯลฯ 
 

SET Index ดัชนีตลาดหุ้นไทย

ตลาด หุ้นไทย ก็ได้รับผลพวงจากเงินทุนไหลเข้าเช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยตลาดหุ้นไทยได้สูงขึ้นระหว่างปี 2001-2007 แล้วก็พังทลายลงในปี 2008(2551) เช่นกัน 2008(2551) Effect

ช่วงรัฐบาลทักษิณ ได้มีการนำรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นหลายบริษัท ยกตัวอย่างเช่น  บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) บริษัท อสมท จำกัด (MCOT) (มหาชน) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เชื่อว่าการที่ตลาดหุ้นขึ้นแรงผิดปกติต้นปี 2004 เป็นการปั่นหุ้นของคนไทย คนจองหุ้นปตท.มีกำไร 5 เท่าจากราคาจอง จากนั้นหุ้นตก ได้มีการออกกองทุน VAYU1มาพยุงตลาดหุ้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้พูดถึงการสูงขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงที่ตนเองเป็นรัฐบาลบ่อยครั้ง เป็นไปได้ว่าทักษิณอยู่เบื้องหลังและมีกำไรจากการที่ตลาดหุ้นไทยขึ้นไปสูง สุดเมื่อต้นปี 2004

ช่วงดังกล่าว ค่าเงินบาทของไทยลอยตัวแล้ว การเก็งกำไรในค่าเงินบาทจึงน้อยกว่าสกุลเงินที่มีการผูกค่าเงินไว้ เช่นเงิน Ringgit และเงินหยวน แต่การเปิดตลาดอนุพันธ์ของไทย ทำให้เงินทุนไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดอนุพันธ์อย่างผิดปกติ ทำให้สภาพคล่องท่วมระบบรุนแรง (เงินท่วมประเทศ) ประเทศไทยพยายามแก้ไขปัญหาสภาพคล่องท่วมระบบรุนแรง แต่ไม่สำเร็จ ต้องยอมจำนนต่อภาวะเงินท่วมประเทศ เงินได้ท่วมประเทศไทยมาแล้วกว่า 4 ปี


KLSE Index ดัชนีตลาดหุ้นมาเลเซีย

ตลาด หุ้นมาเลเซีย ได้รับผลพวงจากเงินทุนไหลเข้าเช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก จะเห็นว่าตลาดหุ้นมาเลเซียสูงขึ้นระหว่างปี 2001-2007 ขึ้นมา 179 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็พังทลายลงในปี 2008(2551) เช่นกัน ตกลง 46 เปอร์เซ็นต์ (2008 Effect)

มาเลเซียเคยลอยค่าเงินริงกิตในช่วงวิกฤตระหว่างปี 1997 แต่กลับมาผูกค่าเงินไว้ตายตัวใหม่ในปี 1998 จึงส่งผลให้ เมื่อตลาดแนสแดกซ์ และค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ทำให้ค่าเงินริงกิตของมาเลยเซียอ่อนผิดจริง ทำให้เงินไหลเข้ามาซื้อริงกิตของประเทศมาเลเซียมากกว่าปกติ และไม่สามารถป้องกันการไหลเข้าของเงินทุนได้ ต้องยอมจำนนลอยค่าเงินริงกิตอีกครั้งเมื่อกลางปี 2005


SSEA Index ดัชนีตลาดหุ้นจีน

แต่ ตลาดหุ้นจีน ไม่ได้เริ่มสูงขึ้นในปี 2001 เหมือนกับประเทศต่างๆ แต่เริ่มขึ้นช่วงปี 2005 และขึ้นแรงและเร็วมาก ช่วงเวลาประมาณ 2 ปี ขึ้นมา 500 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็พังทลายลงในปี 2008(2551) เช่นกันกับทั่วโลก ตกลง 72 เปอร์เซ็นต์ (2008 Effect)

ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจาก ประเทศจีนได้ผูกค่าเงินหยวนไว้ เมื่อตลาดแนสแดกซ์ และค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ทำให้ค่าเงินหยวนของจีนอ่อนผิดจริง(คล้ายกับที่เกิดขึ้นกับเงินริงกิตของ มาเลเซีย) ทำให้เงินไหลเข้าประเทศจีนอย่างรุนแรง จนทางจีนไม่สามารถป้องกันการไหลเข้าของเงินทุนได้ ต้องจำยอมลอยค่าเงินหยวนในช่วงกลางปี 2005

หลังจากกองทุนโลก เช่นบรรดา Hedge Fund ได้รับชัยชนะจากการเข้ามาซื้อเงินหยวนในกลางปี 2005 จึงวกมาซื้อหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นจีนเริ่มพุ่งขึ้นตั้งแต่กลางปี 2005 เป็นการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง แล้วก็พังทลายลงในปี 2008 เช่นเดียวกันกับทั้งโลก (2008 Effect)

ตลาดหุ้นจีนเป็นตลาดหุ้น เปิดใหม่ หากไม่มีการผูกค่าเงินหยวน ตลาดหุ้นจีนน่าจะสูงขึ้นตามแนวเส้น AB สภาพคล่องท่วมประเทศจีน ทำให้จีดีพีของจีนเพิ่มเป็นตัวเลข 2 หลักหลายปีติดต่อกัน

ภาค 2 ความเป็นไปของตลาดเงินตรา


ค่าเงินเหรียญสหรัฐ

ค่าเงินเหรียญสหรัฐมีส่วนแบ่งสกุลเงินสูงที่สุดในโลก ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเงินเหรียญสหรัฐเป็นสกุลเงินของโลกได้

ค่า เฉลี่ยเงินเหรียญสหรัฐ เทียบกับสกุลเงิน 12 สกุลเงิน ได้แก่ HKD INR TWD JPY PHP IDR KRW SGD BAHT AUD EUR NZD แสดงให้เห็นว่าการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ระหว่างปี 2000-2002 ทำให้ค่าเงินเหรียญพังทลายรุนแรง ช่วงระหว่าง 2001-2010 ค่าเงินเหรียญสหรัฐตกลงกว่า 25 เปอร์เซ็นต์

 

ค่าเงินบาทไทย

เพราะ เงินทุนไหลเข้าเนื่องจากค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายในปี 2000 ทำให้ค่าเงินบาทสูงขึ้น เงินบาทมีการพังทลายลง ตามการพังทลายลงของตลาดหุ้นไทยในปี 2008 ((2008(2551) Effect))


ค่าเงินริงกิตกิตมาเลยเซีย

เพราะ เงินทุนไหลเข้าเนื่องจากค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายในปี 2000 ทำให้ค่าเงินริงกิตสูงขึ้น แล้วเงินริงกิตก็การพังทลายลง ตามการพังทลายลงของหุ้นมาเลเซียในปี 2008 (2008 Effect)

จะเห็นว่าการ เปลี่ยนแปลงของเงินริงกิต แตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทของไทย ทั้งนี้เพราะมีการผูกค่าเงินริงกิตไว้ตายตัว เมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย จึงส่งผลให้เงินริงกิตอ่อนกว่าความเป็นจริง ทำให้เงินทุนไหลเข้ามาซื้อเงินริงกิตรุนแรง จนต้านไม่ไหว ต้องปล่อยให้ค่าเงินริงกิตลอยตัวสูงขึ้นในกลางปี 2005

หากไม่มีการผูกค่าเงินริงกิตไว้ ค่าเงินริงกิตจะต้องแข็งขึ้นตามเส้นไข่ปลา


ค่าเงินหยวนจีน

จะ เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของเงินหยวน คล้ายกับการเปลี่ยนแปลงของเงินริงกิต ซึ่งต่างจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทของไทย ทั้งนี้เพราะมีการผูกค่าเงินหยวนไว้แต่แรก เมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย จึงส่งผลให้เงินหยวนอ่อนกว่าความเป็นจริง ทำให้เงินทุนไหลเข้ามาซื้อเงินหยวนรุนแรง จนต้านไม่ไหว ต้องยอมจำนน ต้องปล่อยให้ค่าเงินหยวนตลอยตัวสูงขึ้นในกลางปี 2005 เช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับเงินริงกิต

ทางจีนได้พยายามกลับไปผูก ค่าเงินหยวนอีกครั้งเมื่อกลางปี 2008 จะเห็นว่าตลาดหุ้นจีนตกในปี 2008 แต่ค่าเงินหยวนก็ไม่ได้ตกลงตามการตกลงของตลาดหุ้น แต่ปรากฏว่ากลางปี 2010 เกิดเงินทุนไหลเข้าใจรุนแรงอีก ส่งผลให้ไม่สามารถผูกค่าเงินไว้ได้อีก ต้องลอยค่าเงินอีก 

หากไม่มีการผูกค่าเงินหยวนไว้ ค่าเงินหยวนจะต้องแข็งขึ้นตามแนวเส้นไข่ปลา

การ ที่เงินหยวนอ่อนค่ามาก และอ่อนค่าผิดจริง เป็นผลมาจากการพังทลายรุนแรงของตลาดหุ้นแนสแดกซ์ระหว่างปี 2000-2002 และเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ประกอบกับมีการผูกค่าเงินหยวนไว้ตายตัวนั่นเอง ทำให้เงินหยวนอ่อนค่าผิดจริง ทำให้มีการเข้ามาไล่ซื้อเงินหยวน จนกระทั่งผูกค่าเงินไว้ที่ค่าเดิมไม่ได้ และปล่อยให้ลอยตัวขึ้นกลางปี 2005

ทั้ง อเมริกาและจีน ไม่ทราบว่าต้นเหตุอะไรที่ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐ และค่าเงินหยวนของจีนเป็นเช่นนี้ ในที่สุด จีนก็ไม่สามารถผูกค่าเงินไว้ได้ จึงต้องลอยค่าเงินในกลางปี 2005 จีนได้พยายามจะกลับมาผูกค่าเงินไว้อีกครั้งในปี 2008 ก็ไม่สามารถทำได้อีก ต้องปล่อยให้ลอยค่าอีกในกลางปี 2010

นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ และวุฒิสมาชิกรัฐสภาสหรัฐหลายท่าน กล่าวหาจีนว่าทำให้ค่าเงินหยวนต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อช่วยเหลือการส่งออกของจีน ทำให้อเมริกาต้องขาดดุลการค้ากับจีนสูงมาก

การ ที่ค่าเงินหยวนจีนลอยค่าขึ้น ก็หาใช่ว่าจีนแข็งค่าเงินหยวนของตนเองเพื่อเอาใจประเทศสหรัฐอเมริกาแต่อย่าง ใด แต่เป็นเพราะกองทุนโลกทราบถึงค่าเงินของจีนและของอเมริกาว่าเป็นเช่นใด ทราบว่า ทำไมหยวนจึงอ่อนค่าผิดจริง พวกเขาจึงพากันเข้ามาไล่ซื้อหยวน กระทั่งหยวนยืนผูกค่าไว้ที่ระดับเดิมไม่ได้ และแข็งค่าขึ้น 

ตลาด หุ้นก่อให้เกิดความผิดปกติในระบบเศรษฐกิจโลก และความผิดปกตินี้ทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้แต่อเมริกาก็ไม่สามารถควบคุมความเป็นไปของค่าเงินเหรียญสหรัฐได้

นั่น คือ ผู้ที่ควบคุมความเป็นไปในระบบเศรษฐกิจโลก ความเป็นไปของตลาดทุน ตลาดเงิน ตลาดเงินตรา และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หาใช่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางของประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศจีน ประชาคมยุโรป ประเทศญี่ปุ่น หรือไทย หรือประเทศใดๆ หรือธนาคารโลก หรือไอเอ็มเอฟ หรือเอดีบี แต่อย่างใด แต่เป็นบรรดากองทุนโลกต่างหาก

น่าสังเกตว่า การยอมจำนนต่อการผูกค่าเงินไว้ของเงินริงกิตมาเลเซียและเงินหยวนของจีน ต่างเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2005 เช่นเดียวกัน ทำให้เงินริงกิตและเงินหยวนแข็งค่าขึ้น แสดงถึงความตั้งใจของกองทุนโลก โจมตี(เข้ามาซื้อ)สกุลเงินทั้ง 2 ประเทศนี้แบบเดียวกันเวลาเดียวกัน


เปรียบเทียบความผิดปกติของค่าเงินบาทของไทยและค่าเงินหยวนของจีน
 
 

ความผิดปกติจนต้องลอยค่าเงินบาทในกลางปี 1997 เพราะมีการนำกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินมาใช้ในตลาดเงิน (แก้และป้องกันปัญหาปลายเหตุ) และนำระบบ Maintenance margin และ Force sell มาใช้ในตลาดหุ้น (ซ้ำเติมให้ตลาดหุ้นตกแรงมากขึ้น) และก็มีการผูกค่าเงินบาทไว้ เมื่อตลาดหุ้นพังทลายรุนแรงในปี 1994(2537)-1996(2539) ทำให้ค่าเงินบาทแข็งเกินจริง ทำให้มีการขายเงินบาททำกำไร (ซื้อดอลลาร์) กระทั่งดอลลาร์หมดไปจากทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ จนต้องประกาศลอยค่าเงินบาทเมื่อกลางปี 1997(2540) และเข้าโครงการไอเอ็มเอฟเป็นครั้งที่ 2

ความผิดปกติจนต้องลอยค่าเงิน หยวนในกลางปี 2005 เนื่องจากมีการผูกค่าเงินหยวนไว้ เมื่อตลาดแนสแดกซ์และค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายระหว่างปี 2000-2002 ส่งผลให้ค่าเงินหยวนอ่อนกว่าความเป็นจริง จึงมีเงินทุนไหลการเข้ามาซื้อเงินหยวนอย่างท่วมท้น กระทั่งไม่สามารถยืนผูกค่าเดิมไว้ได้ ยอมจำนน ยอมให้เงินหยวนลอยค่าขึ้นในช่วงกลางปี 2005

จะเห็นว่าความผิดปกติของ ค่าเงินบาท และค่าเงินหยวน มีรูปแบบของความผิดปกติคล้ายกัน แต่ผลของความผิดปกติเป็นไปในทางตรงกันข้ามกัน เป็นผลมาจากมีการผูกค่าเงินไว้ตายตัว และเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้น เมื่อตลาดหุ้นไทยพังทลาย ส่งผลให้บาทแข็งผิดจริง แต่สำหรับประเทศจีน เมื่อแนสแดกซ์และค่าเงินเหรียญของสหรัฐพังทลาย ส่งผลให้หยวนอ่อนผิดจริง


ทุนสำรองไทย เมเลเซีย เวียตนาม

ทุน สำรองฯประเทศไทย เพิ่มสูงขึ้นทุกปี มีความล้มเหลวและยอมจำนนต่อการแก้ปัญหาเงินทุนไหลเข้า เช่นมาตรการ 30 เปอร์เซ็นต์กันสำรองเงินทุนไหลเข้าปลายปี 2006 และการเปิดตลาดอนุพันธ์ ทำให้เงินทุนไหลเข้ามาเก็งกำไรทั้งในตลาดพันธบัตรและตลาดทุน

ประเทศ ไทย ก่อนปี 1997(2540) ทุนสำรองการเงินระหว่างประเทศอยู่ที่ระดับ 38,500 ล้านเหรียญสหรัฐ คนไทยยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ธนาคารกรุงเทพและธนาคารกสิกรไทย ทุกวันนี้ทุนสำรองฯอยู่ที่ระดับ 192,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ผู้ถือหุ้นใหญ่ธนาคารกรุงเทพที่เป็นคนไทยเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ธนาคารกสิกรไทยที่เป็นคนไทยเหลือ 5 เปอร์เซ็นต์ คุณชาติสิริ โสภณพาณิชย์ คุณบัณฑูร ล่ำซำ ลดฐานะลงไปลูกจ้าง ของบริษัทที่ตนเองเคยเป็นเจ้าของ คนในประเทศไทยยากจนลง ก็คือประเทศชาติยากจนลง

ทุนสำรองฯประเทศมาเลเซีย เพราะมีการผูกค่าเงินริงกิตไว้ เมื่อตลาดแนสแดกซ์และค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ทำให้ค่าเงินริงกิตอ่อนกว่าความเป็นจริง ทำให้เงินทุนไหลเข้ามาซื้อเงินริงกิต จนต้องลอยค่าเงินริงกิตในช่วงกลางปี 2005 การไหลข้าวของเงินทุนจึงชะลอตัวลง 

จะเห็นว่าช่วงปี 2005-2008 ตามแผนภูมิ ทุนสำรองฯของประเทศมาเลเซียเพิ่มสูงขึ้นทุกปี และสูงกว่าของประเทศไทย แต่ปี 2009 ทุนสำรองฯของประเทศมาเลเซียเริ่มลดลง และต่ำกว่าของประเทศไทย แต่ทุนสำรองฯประเทศไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ค่อนข้างแรง และสูงกว่าของประเทศมาเลเซีย

ทุนสำรองฯประเทศเวียดนาม ตลาดหุ้นเวียดนาม เป็นตลาดเปิดใหม่ ตลาดหุ้นขึ้นไปสูงสุดในต้นปี 2007 แล้วเริ่มตกลง ทุนสำรองฯเพิ่มขึ้นตามการสูงขึ้นของตลาดหุ้น แล้วตลาดหุ้นเวียดนามพังทลายลงรุนแรงในปี 2008 ตามการพังทลายของตลาดหุ้นโลก จะเห็นว่าทุนสำรองฯของเวียดนามลดลงในปี 2008 และลดลงต่อเนื่องในปี 2009


ทุนสำรองจีน ญี่ปุ่น

ตลาด หุ้นจีนเป็นตลาดหุ้นเปิดใหม่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นตลาดหุ้นเปิดเก่า จีนมีการผูกค่าเงินไว้ การพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์และค่าเงินเหรียญสหรัฐระหว่างปี 2001-2002 ส่งผลให้ค่าเงินหยวนแข็งผิดจริงทันที ทำให้เงินทุนไหลเข้ามาซื้อเงินหยวนท่วมท้น จนไม่สามารถยืนผูกค่าหยวนไว้ที่ระดับเดิมได้ ยอมจำนน ปล่อยให้ค่าเงินหยวนลอยตัวขึ้นในกลางปี 2005 ทำให้เงินทุนไหลเข้ามาซื้อเงินหยวนอย่างท่วมท้น ระหว่างปี 2000-กลางปี 2005 ระยะเวลา 5 ปีครึ่ง ที่เงินหยวนยังไม่ลอยค่า ผู้ซื้อหยวนช่วงนี้ ซื้อได้ที่ราคาต่ำ เชื่อว่าทางการจีนได้มีการต่อสู้ป้องกันไม่ไม่ให้หยวนแข็งค่าขึ้นเต็มที่ แต่กองทุนโลกรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ต่างไหลเข้ามาซื้อเงินหยวนของจีน จีนได้พ่ายแพ้ต่อการปกป้องค่าเงินในกลางปี 2005  

นักลงทุนได้เริ่ม เข้ามาลุยซื้อหุ้นจริงจังในกลางปี 2005 เช่นเดียวกัน สังเกตว่าดัชนี China SSEA Index เริ่มสูงขึ้นในช่วงกลางปี 2005

เมื่อปี 2005 ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนยังน้อยกว่าของประเทศญี่ปุ่น แต่ตั้งแต่ปี 2006 ประเทศจีนกลายมาเป็นประเทศที่มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก

ผลที่เกิดขึ้นหลังจากการพังทลายของตลาดหุ้นที่นำเสนอไว้ช่วงต้น ใช้พิจารณาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศต่างๆดังนี้

การ พังทลายของตลาดหุ้นไทยในปี 2537 ทำให้สภาพคล่องของระบบเสียหาย กว่าจะรู้ว่าเกิดความเสียหาย เมื่อเวลาผ่านไป 3-4 ปี คือในปี 2540 – 2541 ภาคการเงินและภาคการผลิตจริงล้มลงทั้งระบบ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่คิดแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทำให้เกิดความเสียหายตามมาที่รุนแรงมาก

การพังทลายของตลาดหุ้น แนสแดกซ์ของอเมริกาในปี 2000(2543) ทำให้สภาพคล่องของระบบเสียหาย กว่าจะรู้ว่าเกิดความเสียหาย เมื่อเวลาผ่านไป 7-8 ปี คือในปี 2007–2009 ภาคการเงินและภาคการผลิตจริงล้มลงทั้งระบบ มีข่าวความเสียหายของ Sub prime ตามมา และเกิดหนี้เสียที่สูงมาก CDO (Collateralized debt obligation) และ CDS (Credit default swap) คือเครื่องมือที่คิดแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทำให้เกิดความเสียหายตามมาที่รุนแรงมาก

การพังทลายของตลาดหุ้นจีนในปี 2008(2551) ที่ดัชนีตลาดหุ้นตกลง 72 เปอร์เซ็นต์ ก็จะได้รับผลกระทบ 9-10 ข้อที่ผู้เขียนนำเสนอไว้ช่วงต้น สภาพคล่องของระบบเสียหาย ขณะนี้ความเสียหายของระบบกำลังดำเนินอยู่ ผู้คนทั่วไป ต่างชื่นชมกับการเจริญทางเศรษฐกิจของประเทศจีน ที่เจริญขึ้นตามที่เงินทุนไหลเข้า ทำให้สภาพคล่องของระบบสูง แต่ช่วงนี้ มีข่าวว่าทางการจีนได้ตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น เป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูต่อไป

สรุป

ตลาด หุ้นคือสิ่งผิดปกติของโลกยุคปัจจุบัน นำความผิดปกติมาสู่โลกเมื่อ 100 ปีที่ผ่าน เสริมให้เกิดการปั่นได้ง่ายขึ้น หุ้นขึ้นค่าเงินขึ้น หุ้นตกค่าเงินตก ตลาดหุ้นพังทลาย ค่าเงินพังทลาย

ปี 2000 ปีที่ตลาดหุ้นแนสแดกซ์พังทลาย ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย เงินเหรียญสหรัฐเป็นสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไหลออกจากสหรัฐ ออกมายังประเทศต่างๆ ปี 2000 จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเงินท่วมโลกอย่างมีนัยสำคัญ เงินเฟ้อสูงขึ้นรุนแรง โลกยากจนลง ไทย อเมริกา และอีก 90 ประเทศที่มีตลาดหุ้น ได้กลายเป็นประเทศที่ยากจนลงตลอดเวลา

ไม่ใช่เรื่องโลกาภิวัตน์ แต่เป็นเรื่องที่ผิดปกติทางเศรษฐกิจของโลก ทำให้ทรัพย์สินของทั้งโลกตกเป็นของกองทุนโลกมากขึ้น 

ที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา กองทุนประกันความเสี่ยงและคนซื้อขายกระดาษ(Paper trade) เช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ มั่งคั่งเป็นอันดับ 1 ของโลก แต่คนอเมริกัน (ระบบ) ยากเข็ญลำเค็ญลง เห็นและฟังได้จากคลิปนี้ http://www.youtube.com/watch?v=aiGg8D4hFLc

กอง ทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบการเงินของไทย CDO & CDS ของประเทศสหรัฐอเมริกา และ IMF ของโลก ต่างมีปรัชญาแบบเดียวกัน โดยการเข้าช่วยเหลือสภาพคล่องของสถาบันการเงินและของประเทศที่มีปัญหาด้าน สภาพคล่อง ทั้งไทย อเมริกา และโลก ยังไม่สามารถแก้ปัญหาความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ซ่อนตัวอยู่ในระบบได้ การไม่แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ปัญหาจะยังคงอยู่ ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นกับประเทศต่างๆ และของโลกตลอดเวลา

…………………………………………….
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ท
indexthai@yahoo.com
www.twitter.com/indexthai
25 มกราคม 2554

……….


ตัวอย่างเพิ่มเติม 1 การเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้น ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงต่อตลาดเงินตรา


ตัวอย่างเพิ่มเติม 2 การเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้น ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงต่อตลาดเงินตรา


ตัวอย่างเพิ่มเติม 3 การเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้น ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงต่อตลาดเงินตรา


ตัวอย่างเพิ่มเติม 4 การเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้น ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงต่อตลาดเงินตรา

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แถลงการณ์ของกลุ่มนักเขียนเชียงใหม่ ต่อการประชุมสมัชชาเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป (ภาคเหนือ)

Posted: 26 Jan 2011 01:34 AM PST

เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 54 กลุ่มนักเขียนบางส่วนของเชียงใหม่ได้ออกแถลงการณ์ต่อการประชุมสมัชชาเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป (ภาคเหนือ) โดยมีรายละเอียดดังนี้

แถลงการณ์ของกลุ่มนักเขียนเชียงใหม่ ต่อการประชุมสมัชชาเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป (ภาคเหนือ) 

สืบเนื่องจากคณะกรรมการเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูปที่มีนายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์เป็นประธาน จะจัดให้มีการประชุมสมัชชาเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป(ภาคเหนือ)ที่ห้อง แกรนด์บอลรูม โรงแรมเทวราช อำเภอเมือง จังหวัดน่าน ระหว่างวันที่ 28-29 มกราคม 2554 โดยส่งจดหมายเชิญให้ศิลปินสาขาต่างๆ รวมทั้งนักเขียนและกวีในภาคเหนือเข้าร่วมการประชุมตามวันเวลาที่ระบุแล้ว นั้นต่อการประชุมดังกล่าว กลุ่มนักเขียนและกวีเชียงใหม่ได้จัดการประชุมเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2554 เพื่อกำหนดท่าทีต่อการประชุมของสมัชชาเครือข่ายศิลปินฯ และมีความเห็นด้วยเสียงส่วนใหญ่ดังต่อไปนี้ :

การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นตามแผนการปฏิรูปประเทศไทยของรัฐบาลที่มีพรรคประชา ธิปัตย์เป็นแกนนำ ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม มือเปื้อนเลือด ไร้ความเป็นกลาง ขาดความน่าเชื่อถือและความชอบธรรม มีพฤติกรรมเป็นหัวหอกทางการเมืองให้กับชนชั้นนำในระบบเก่า  ทั้งจะนำพาประเทศไทยไปสู่การปกครองระบอบเดิมๆที่ไม่พึงประสงค์

ที่ประชุมของนักเขียนเชียงใหม่แม้สนับสนุนการปฏิรูป แต่ไม่เชื่อว่าการดำเนินการตามแผนการนี้จะนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยที่แท้ จริง  เป็นแต่เพียงการจัดฉากหรือเป็นการปฏิรูปกำมะลอแบบขอไปที เพื่อสร้างความชอบธรรมและเป็นข้ออ้างในการดำรงไว้ซึ่งอำนาจเก่า ตามเป้าหมายเบื้องต้นที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว

การปฏิรูปที่แท้จริงตามความหมายของกลุ่มนักเขียนเชียงใหม่คือการผ่าตัดโครง สร้างอำนาจทางการเมืองเสียใหม่ทั้งระบบ  คือการสร้างความยุติธรรมทางสังคม คือการกระจายอำนาจ กระจายงบประมาณและผลประโยชน์ ทำลายการกระจุกตัวของอำนาจและผลประโยชน์ สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในทางการเมือง ทั้งสร้างการเมืองที่ประชาชนควบคุมได้ โดยปลอดจากการครอบงำของอำนาจภายนอกที่เป็นปกาศิตจากเบื้องบน หรืออำนาจอาวุธจากกองทัพ หรืออำนาจตุลาการที่ไร้มาตรฐานความยุติธรรม  สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เกิดขึ้นได้เพียงด้วยการปฏิรูปที่แท้จริง มิใช่การปฏิรูปกำมะลอที่หลอกลวงและไร้ยางอาย

การประชุมที่จัดขึ้นเพื่อรับฟังความเห็นของศิลปินสาขาต่างๆครั้งนี้ยังไร้ ซึ่งความชัดเจน ตั้งแต่องค์กรผู้จัดการประชุมและหัวข้อการเสวนา ที่ ประชุมนักเขียนเชียงใหม่ไม่เคยมีส่วนร่วมและไม่เคยรับทราบว่า  ‘เครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป’ และ ‘เครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป(ภาคเหนือ)’ เป็นใครและจัดตั้งมาตั้งแต่เมื่อใด อีกทั้งหัวข้อการปาฐกถาและเสวนา เช่น ‘ศิลปินกับกระบวนการคิดสร้างสรรค์เพื่อสังคมไทย’  และหรือ ‘ศิลปะจะมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมได้อย่างไร’ มิใช่ประเด็นที่เหมาะสมกับสถานการณ์การปฏิรูปประเทศไทย ทั้งมิควรเป็นหัวข้อที่จะนำมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันเพื่อจะสร้างข้อสรุปไป สู่การปฏิรูปประเทศไทย การจัดหัวข้อเสวนาเช่นนี้ หากมิใช่ความมืดบอดด้วยอวิชชาของผู้จัด ก็คงเป็นด้วยความตั้งใจจะเลี่ยงประเด็นด้วยเจตนาอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งที่ ประชุมนักเขียนเชียงใหม่มิอาจยอมรับ ทั้งแคลงใจว่าการเสวนาภายใต้หัวข้อเช่นนี้ จะนำไปสู่การปฏิรูปที่แท้จริงได้หรือ?

การรับฟังความคิดเห็นแบบจัดฉากและการเสวนาแบบเลี่ยงประเด็นย่อมนำไปสู่การ ปฏิรูปแบบกำมะลอ มิอาจก่อให้เกิดมรรคผลใดๆ ทั้งเป็นการพร่าผลาญงบประมาณอันเป็นภาษีของประชาชนอย่างมหาศาล เชื่อว่าการเสวนาเช่นนี้คงมีการจัดขึ้นอย่างกว้างขวางตามที่ต่างๆทั่วประเทศ ในเร็ววันนี้ ทั้งหมดนั้นเพียงเพื่อประทับความชอบธรรมให้กับระบอบเก่าได้สืบทอดอำนาจและผล ประโยชน์ต่อไป

นักเขียนเชียงใหม่ผู้เข้าร่วมการประชุมมิใช่กลุ่มบุคคลที่สังกัดในฝักฝ่าย ความขัดแย้งหนึ่งใด แต่คือผู้ปรารถนาจะเห็นความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกครั้งใหญ่อุบัติขึ้นในประเทศ ไทย เป็นความเปลี่ยนแปลงเพื่อสิทธิเสรีประชาธิปไตย และเพื่ออำนาจอธิปไตยของประชาชนที่สนองผลประโยชน์ให้กับผู้คนทุกหมู่เหล่า

กลุ่มนักเขียนเชียงใหม่จึงมิอาจเห็นด้วยกับการปฏิรูปแบบกำมะลอ ทั้งจะไม่เข้าร่วมการประชุมแบบฉัดฉากที่มีขึ้นในจังหวัดน่านในระหว่างวันที่ 28-29 มกราคม

กลุ่มนักเขียนเชียงใหม่ดังปรากฏในรายนามแนบท้ายแถลงการณ์นี้ไม่ประสงค์จะ สร้างความขัดแย้งกับบุคคลหนึ่งใดในกระบวนการปฏิรูปประเทศไทยที่ดำเนินอยู่ รวมทั้งผู้จัดการประชุมสมัชชาเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป (ภาคเหนือ) ทว่าการแสดงออกด้วยแถลงการณ์ฉบับนี้ก็เพื่อ ‘ขัดแย้งเชิงนโยบาย’ ต่อการปฏิรูปแบบกำมะลอเช่นนั้น ทั้งจะไม่แทรกแซงหรือก้าวก่ายสิทธิของผู้ใดที่ปรารถนาจะเข้าร่วมการประชุม ดังกล่าว.

 
จึงแถลงต่อสาธารณชนเพื่อทราบ
ที่ประชุมนักเขียนเชียงใหม่

22  มกราคม 2554

รายชื่อนักเขียนที่รวมลงนาม (อัพเดทเมื่อ เวลา 16.30 น., 26 มกราคม 2554)

คำผกา
เพ็ญ  ภัคตะ
มิตร ใจอินทร์
แพรจารุ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ชลธี ตระพัง
อัคนี มูลเมฆ
มาลานชา
วิภู ชัยฤทธิ์
อรรคพล สาตุ้ม
อรุณรุ่ง สุตย์สวี
มหรรณพ โฉมเฉลา
รวิวาร
พรพิศ ผักไหม
ภัควดี ไม่มีนามสกุล
กานต์ ณ กานท์
การะเกต ศรีปริญญาศิลป์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ผลสำรวจเผยชาวกัมพูชาร้อยละ 36 เห็นเรื่องพรมแดนกระทบประเทศมากที่สุด

Posted: 26 Jan 2011 01:20 AM PST

ผลสำรวจจากสถาบันริพักลิกันสากล (IRI) เผยชาวกัมพูชาร้อยละ 36 เห็นว่าประเด็นเรื่องพรมดนกระทบประเทศมากที่สุด ขณะที่นักสิทธิฯ กัมพูชามองว่า แม้ประชาชนจะเห็นประเด็นเรื่องข้อพิพาทพรมแดนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ไม่มีผลต่อการเลือกตั้งผู้แทน เนื่องจากประชาชนจะเลือกผู้แทนจากประเด็นที่ใกล้ตัวมากกว่า

เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวพนมเปญโพสท์รายงานผลการสำรวจเชิงปริมาณชาวกัมพูชาโดยสถาบันริพับลิกันสากล (International Republican Institute หรือ IRI) ว่าประเด็นใดที่พวกเขารู้สึกว่าส่งผลกระทบต่อกัมพูชามากที่สุด

ผลปรากฏว่า ชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ร้อยละ 36 เห็นว่าปัญหาที่พวกเขารู้สึกกระทบมากที่สุดคือปัญหาเรื่องการแบ่งเขตแดน โดยการสำรวจในครั้งนี้มาจากการสอบถามกลุ่มตัวตัวอย่างชาวกัมพูชา 2,000 คนทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนมิ.ย. จนถึงเดือน ส.ค. ปี 2553

ซึ่งทางประธานศูนย์สิทธิมนุษยชนกัมพูชา (Cambodian Center for Human Rights) Ou Virak กล่าวว่าทางรัฐบาลเรียนรู้แล้วว่าพวกเขาได้รับผลประโยชน์ทางการเมืองจากประเด็นเรื่องพรมแดน เขาบอกว่าก่อนหน้านี้รัฐบาลไม่เคยกล่าวถึงประเด็นเรื่องพรมแดนมาก่อน แต่หลังจากปี 2551 เป็น้นมาเรื่องพรมแดนก็กลายเป็นประเด็นปัญหาใหญ่กับประเทศไทย จากกรณีพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งก่อนปี 2551 พรรคฝ่ายค้าน สม รังสี จะเป้นฝ่ายหยิบยกประเด็นเรื่องพรมแดนหลายแห่งมาใช้

John Willis ผู้อำนวยการ IRI ประจำประเทศกัมพูชาบอกว่าการสำรวจก่อนหน้านี้ของ IRI ก็มีการให้ความสำคัญต่อเรื่องประเด็นพรมแดนสูงพอกัน

การสำรวจของ IRI ในปี 2551 แสดงให้เห็นว่า เมื่อถามถึงประเด็นที่สำคัญที่สุด 3 ประเด็นที่กระทบกับกัมพูชา มีชาวกัมพูชาที่ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องพรมแดนมากขึ้นจากเดิมเพียงร้อยละ 5 พุ่งขึ้นสูงถึงร้อยละ 59 จากการสำรวจระหว่างเดือน ส.ค. 2550 ถึงเดือน พ.ย. 2551

แต่ขณะเดียวกัน Ou Virak ก็ให้ความเห็นว่า แม้ผู้คนจะสนใจประเด็นเรื่องพรมแดนมาก แต่ก็ดูจะไม่กระทบการตัดสินใจในการเลือกตั้ง "มันน่าสนใจหากเห็นว่าคน ๆ เดียวกันจะตัดสินใจในการเลือกตั้งจากประเด็นนี้" เขากล่าว

"แต่ผมพนันเลยว่าไม่ คนส่วนใหญ่จะเลือกตั้งโดยตัดสินใจจากประเด็นเรื่องทางเศรษฐกิจ และสิ่งที่กระทบต่อพวกเขาโดยตรงกว่านี้ เช่น เรื่องการสาธารณสุขและเรื่องการจ้างงาน" Ou Virak กล่าว

โฆษกคณะรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่าเขาไม่ได้อ่านผลสำรวจของ IRI แต่คิดว่าประเด็นเรื่อพรมแดนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชาวกัมพูชา และยังกล่าวอีกว่าประชาชนให้ความสนใจเพราะมีนไทยจำนวนหนึ่งบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ "พวกเขารู้สึกต้องการปกป้องบ้านเกิด และสื่อก็รายงานข่าวเรื่องนี้เยอะมาก"

นอกจากประเด็นเรื่องพรมแดนแล้ว กลุ่มตัวอย่างชาวกัมพูชาร้อยละ 9 เห็นว่า เรื่องการคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาที่กระทบต่อชาวกัมพูชา ร้อยละ 8% มองว่าเป็นปัญหาด้านความรุนแรง ร้อยละ 6% ระบุว่าเป็นประเด็นเรื่องราคาสินค้า สูงเกินจริง ขณะที่อีกอย่างละร้อยละ 5 มองว่าเป็นปัญหาเรื่องผู้อพยพ, ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และปัญหาสิ่งแวดล้อม อีกร้อยละ 26 มองว่าเป็นปัญหาอื่น ๆ

นอกจากนี้โพลล์สำรวจยัระบุอีกว่าร้อยละ 76 เชื่อว่าประเทศกำลังดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง ลดลงจากปี 2552 คือร้อยละ 79 และจากปี 2551 ที่สูงที่สุดคือร้อยละ 82 ซึ่งส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่ามีโรงเรียน, ถนน และคลินิกสุขภาพ เพิ่มมากขึ้น ส่วนกลุ่มที่บอกว่าประเทศกัมพูชากำลังเดินไปในทางที่ผิดมีร้อยละ 23 ซึ่งส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้บอกว่าเนื่องจากปัญหาการคอร์รัปชั่น

ที่มา:

Poll finds border a key issue, 24-01-2011, phnom pehn post,
http://www.phnompenhpost.com/index.php/2011012446285/National-news/poll-finds-border-a-key-issue.html?Itemid=0

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กรุงเทพโพลล์เผยคนกรุงเชื่อมั่น รบ. แก้ปัญหาชาติ 3.34 คะแนน

Posted: 26 Jan 2011 12:49 AM PST

26 ม.ค. 54 ข ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 1,236 คน พบว่า ความเสี่ยงของคนกรุงเทพฯ ในภาพรวม มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 6.38 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจเมื่อเดือนกรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมา (6 เดือนที่แล้ว) พบว่า มีคะแนนความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 0.44 คะแนน  โดยความเสี่ยงด้านการเมืองมีคะแนนสูงที่สุดคือ 7.45 คะแนน รองลงมาคือความเสี่ยงด้านค่าครองชีพและหนี้สิน (6.99 คะแนน) และความเสี่ยงด้านสุขภาพร่างกาย  (6.73 คะแนน) ตามลำดับ

เมื่อพิจารณาในรายตัวชี้วัดทั้ง 10 ตัว พบว่า ความเสี่ยงด้านความสัมพันธ์ในครอบครัว มีคะแนนความเสี่ยงเพิ่มขึ้นสูงที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 1.14 คะแนน รองลงมาได้แก่ ความเสี่ยงด้านค่าครองชีพและหนี้สิน (0.98คะแนน) และความเสี่ยงด้านการงานและอาชีพ (0.63 คะแนน) ตามลำดับ

สำหรับสิ่งที่คนกรุงเทพฯ เป็นห่วง และกังวลมากที่สุด ต่อกรณีการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ พบว่าอันดับแรก ห่วงเรื่องความแตกแยกของคนไทยด้วยกัน (ร้อยละ 38.9) รองลงมา ห่วงผลกระทบด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และการท่องเที่ยว (ร้อยละ 22.7)      ห่วงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน (ร้อยละ 12.0)   ห่วงภาพลักษณ์ของประเทศ (ร้อยละ 10.7)   ห่วงการเผชิญหน้าและการใช้อำนาจเกินขอบเขตของเจ้าหน้าที่ (ร้อยละ 8.3)    และห่วงเรื่องการจราจรและการเดินทาง (ร้อยละ 7.4) ตามลำดับ

ขณะที่ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการการแก้ปัญหาสำคัญๆ ที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ในขณะนี้ พบว่า มีคะแนนความเชื่อมั่นเพียง 3.34  คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน โดยปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีคะแนนความเชื่อมั่นน้อยที่สุดคือ 2.82 คะแนน  รองลงมาได้แก่ ปัญหาราคาสินค้าและค่าครองชีพ (3.31 คะแนน)  ปัญหาการชุมนุมทางการเมือง (3.32 คะแนน)  ปัญหาชายแดนไทย – กัมพูชา (3.42 คะแนน)  และปัญหาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (3.82 คะแนน) ตามลำดับ
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น