ประชาไท | Prachatai3.info |
- นปช. ชุมนุมใหญ่รำลึก 10 เมษา แกนนำร่วม-ทักษิณโฟนอิน
- น้ำท่วมหลายพื้นที่ยะลา-ปัตตานี
- ทัพพม่าซ้อมยิงปืนใหญ่ถล่มฐานกลุ่มหยุดยิงเมืองลา
- พันธมิตร ออกแถลงการณ์จี้รัฐบาลกดดันกัมพูชาปล่อย 7 คนไทย
- นักวิชาการชี้ 9 ข้อประชาวิวัฒน์ ลดรายจ่าย แต่ยังไม่เพิ่มรายได้
- ศาลสหรัฐฯ สั่งทวิตเตอร์เปิดเผยข้อมูลทีมวิกิลีกส์
- “กอร์ปศักดิ์” ชี้สินค้าแพงเพราะ "บ.ยักษ์ใหญ่ด้านเกษตร" ผูกขาด
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 2 - 8 ม.ค. 2554
นปช. ชุมนุมใหญ่รำลึก 10 เมษา แกนนำร่วม-ทักษิณโฟนอิน Posted: 09 Jan 2011 12:14 PM PST 9 ม.ค. 54 - กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือนปช.นัดหมายคนเสื้อแดง จัดชุมนุมใหญ่เพื่อรำลึกครบรอบ 10 เดือน เหตุสลายชุมนุมแยกคอกวัวและถนนดินสอ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ที่ผ่านมา บรรยากาศที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คึกคักตั้งแต่ช่วงเที่ยงกลุ่มคน เสื้อแดงต่างทยอยเดินทางมารวมตัวกันตามสองฝากถนนราชดำเนินและบน ลานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนจับกลุ่มร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนานโดยมีพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ นำเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปจ.จากบกน.1 จำนวน 3 กองร้อย มารักษาการดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างใกล้ชิด ส่วนที่ศาลา4วัดพลับพลาชัย เขตป้อมปราบ กลุ่มแนวร่วมพลเมืองไทยนำโดยนายพฤกษ์ พฤกษ์สุนันท์ นัดหมายญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 10 เมษาและคนเสื้อแดงที่อยู่ในเหตุการณ์ร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณผู้ ตาย ท่ามกลางบรรยากาศอันเศร้าสลดส่วนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อเวลา 14.50 น.กลุ่มคนเสื้อแดงเริ่มทะยอยกันเดินทางมาจำนวนมาก บางส่วนล้นออกมาบนถนนราช ดำเนินกลาง พร้อมกันนี้ บริเวณแยกสะพานผ่านฟ้า มีการตั้งแถวรอ เพื่อเตรียมตัวเดินท้าไปยังสี่แยกราชประสงค์ โดยส่วนหน้าเป็นขบวนรถมอเตอร์ไซด์ตั้งแถวเป็นหน้ากระดาน กว่า 500 คัน ปิดท้ายด้วยรถผู้ชุมนุมจำนวนหลายพันคน และรถนตัว ไปสุดที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ส่งผลให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก ทำให้ เจ้าหน้าต้องทำการปิดการจราจรทั้งขาเข้าและออก โดยเฉพาะฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยา จากนั้นแกนนำนปช. ประกอบด้วย นายธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานนปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ นายสมหวัง อักษราสี เดินทางมาจุดธุปเพื่อสักการะภาพถ่ายผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 10 เมษาบริเวณบนลานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขณะที่นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ รักษาการโฆษกนปช. ได้ขึ้นรถกระจายเสียงปราศรัยนัดหมายกับกลุ่มผู้ชุมนุม ให้เข้าใจว่าการชุมนุมครั้งนี้ขอไม่ให้มีการเขียนข้อความหมิ่นเบื้องสูงและ ให้เชื่อฟังแกนนำ ต่อมาเวลา 16.00 น.บริเวรณสี่แยกคอกวัว แกนนำนปช.ทั้งหมด ได้ร่วมกันทำพิธีทางศาสนาพรามหมณ์เพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้กับผู้เสียชีวิต จากนั้นในช่วงเย็นผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนมายังแยกราชประสงค์ ทางสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า มีผู้ชุมนุมถึง 30,000 คน 18.00 น.ขบวนรถของนางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช.ภรรยานพ.เหวง โตจิราการ อดีตประธานนปช.เดินทางมาด้วยรถกระบะ ซึ่งติดเครื่องเสียงรอบคันรถ พร้อมด้วยรถกระบะอีก 2 คัน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าบนรถกระบะส่วนใหญ่จะมีภรรยาของแกนนำนปช.ที่ถูกจับกุมร่วมขบวนมาด้วย ปักหลักอยู่ที่บริเวณแยกราชประสงค์ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องต้อนรับสนั่นหวั่นไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชุมนุมครั้งนี้ แตกต่างจากการชุมนุมในช่วงที่ยังมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยมีการนำเครื่องเสียงขนาดใหญ่ สูงกว่า 10 เมตร มาติดตั้งจำนวน 2 ชุด เพื่อให้ผู้ชุมนุมได้รับการฟังการปราศรัย ทักษิณโฟนอินขอพรปีใหม่ฟื้นยุติธรรมให้ประเทศ 20.00 น.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โฟนอินเข้ามาปราศรัยกับผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์ โดยอดีตนายกฯ กล่าวว่า ?ปีใหม่ปีนีเริ่มต้นไม่คอยดี จะเชื่อว่าจะเป็นปีของพี่น้องคนไทยทุกคน สำหรับการปรองดองในความหมายของรัฐบาลนี้หมายความว่าจะต้องไล่ล่าตนและจับตัวแกนนำ เขามีแผนว่าจะต้องจัดการไล่ล่าตนเอง?? ? "ปีใหม่นี้ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดลบันดาลให้ผู้ที่เอาประชาธิปไตยออกจากประชาชนไปเปลี่ยนใจคืนประชาธิปไตยและคืนความยุติธรรมให้ประชาชนบ้านเมืองจะได้สงบเสียที ขอให้พี่น้องทุกคนมีกำลังใจ และอดทนรักประชาธิปไตยและความยุติธรรมต่อไป และกลับคืนมาแล้ว ปี 54เราจะตามหาประชาธิปไตยและความยุติธรรมจนเจอให้ได้ความยุติธรรมและความเป็นธรรมจะต้องกลับคืนสู่สังคมไทยและความมั่งคั่งจะต้องกลับคืนสู่พี่น้อง" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ?ตอนนี้มีข่าวลือสารพัด ตนเองอยากบอกกับพี่น้องว่า ตนแข็งแรงดี และกำลังบินจากยุโรป อยู่บนเครื่องบิน ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายปกป้องให้พี่น้องพ้นเงื้อมมือเผด็จการทั้งหลาย จากนั้น ภายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเสร็จ นายจตุพร ได้ขึ้นปราศรัยครั้งที่ 2 โดยอธิบายต่อมวลชน ว่าฝ่ายกฎหมายของ นปช.ได้ทำหนังสือสอบถามไปยังศาลอาญา กรณีคำสั่งของศาลห้ามเข้าร่วมการชุมนุมโดยได้คำตอบว่า ห้ามเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อพูดในเรื่องคดีก่อการร้ายเท่านั้น ฉะนั้นในวันนี้ ในเรื่องของคดีการก่อการร้ายและการสั่งฆ่าประชาชนของรัฐบาลตนจะเก็บไว้ไปพูดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล อีกทั้ง นายจตุพร ได้กล่าวปราศรัยโจมตีรัฐบาลหลายเรื่อง อาทิ จากการตัดสินสคดียุบพรรคที่เป็น 2 มาตรฐานการกู้เงินจำนวนมากเพื่อมาบริหารประเทศและขึ้นเงินเดือนให้กับ ส.ส. รวมไปถึงโจมตีบทบาทของกลุ่มพันธมิตรฯและเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ จากนั้น เวลา 20.30 น.นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช.ภรรยานพ.เหวง โตจิราการ อดีตประธานนปช.นำคนเสื้อแดง จุดเทียนแดงเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์การสลายการชุมนุม พร้อมทั้งร้องเพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" ร่วมกันก่อนประกาศยิติยุการชุมนุม โดยนัดหมายวันที่ 23 ม.ค.ที่ราชประสงค์ จากนั้นคนเสื้อแดงทยอยเดินทางกลับ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เผย ภาพรวม นปช.ชุมนุม มีประมาณ 3-4 หมื่นคน ไม่พบการกระทำผิด ด้าน พล.ต.ต. กรีรินทร์ อินทร์แก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์การชุมนุม กล่าวถึงภาพรวมของการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์ว่า จากการประเมินของเจ้าหน้าที่ในขณะนี้ตัวเลขของผู้ชุมนุมอยู่ที่ประมาณ 3 - 4 หมื่นคน ซึ่งหลังจาก นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่ม นปช. กล่าวปราศรัยบนเวทีแล้วเสร็จ กลุ่มคนเสื้อแดงได้จุดเทียนรำลึกการเสียชีวิตของผู้ชุมนุม ก่อนที่จะทยอยเดินทางออกจากพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ ซึ่งภาพรวมโดยทั่วไปเรียบร้อยดี ไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายใดๆ เกิดขึ้น เนื่องจากมีการวางกำลังของเจ้าหน้าที่ออกตรวจตราดูแลความเรียบร้อยโดยรอบ บริเวณการชุมนุม แต่จะพบผู้กระทำผิดบ้างเล็กๆ น้อยๆ เป็นกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ซึ่งเจ้าหน้าที่เทศกิจ ก็ได้ว่ากล่าวตักเตือนไปแล้ว อย่างไรก็ตามจะมีการสรุปภาพรวมของการชุมนุมอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: ข่าวสด, สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น, เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
น้ำท่วมหลายพื้นที่ยะลา-ปัตตานี Posted: 09 Jan 2011 11:42 AM PST ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ฝนในจังหวัดยะลาที่ตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่องหลายวันจะหยุดวันที่ 8 ม.ค. แต่ด้วยปริมาณน้ำสะสมมากทำให้ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำปัตตานี วันที่ 9 ม.ค. ส่งผลให้บ้านเรือน พื้นที่การเกษตร สวนยางพารา โรงเรียน ได้รับความเสียหายและประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 357 หลังคาเรือน นายทักษิณ บือราแง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 2 บ้านทุ่งเหรียง กล่าวว่า ระดับเริ่มขึ้นสูงตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม แม้ว่าฝนจะหยุดตก เนื่องจากปริมาณน้ำที่มาจากเขื่อนบางลางผ่าน อ.บันนังสตา อ.กรงปินัง อ.เมืองยะลา ไหลสู่แม่น้ำปัตตานี และเข้าสู่เขื่อนปัตตานีที่มีปริมาณน้ำมาก ไหลเข้าท่วมหมู่บ้าน พื้นที่ทางการเกษตร โรงเรียน โดยบ้านทุ่งเหรียงเป็นพื้นที่ลุ่ม ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ปัตตานียังคงน่าเป็นห่วง เนื่องจากปริมาณน้ำยังคงท่วมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดน้ำได้ทะลักเข้าท่วมพื้นที่ ม.7 บ.ตะลุโบ๊ะ อ.เมือง จ.ปัตตานี ทำให้บ้านเรือนราษฏร กว่า 100 หลังคาเรือนต้องตกอยู่ท่ากลางน้ำท่วม โดยเส้นทางเข้าหมู่บ้านมีปริมาณน้ำท่วมสูง กว่า 50 ซม. รถเล็กไม่สามารถผ่านไปได้ ส่วนพื้นที่ในหมู่บ้านมีน้ำท่วมสูง กว่า 1 เมตร ทำให้ประชาชนต้องเตรียมอุปกรณ์เพื่อป้องกันน้ำทะลักเข้าบ้านมากกว่านี้ ชาวบ้านบางรายได้นำเรือมาใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง และขนย้ายสิ่งของเพื่อนำไปไว้ที่สูง โยชาวบ้านได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า น้ำได้เริ่มเข้าสู่ในหมู่บ้านเมื่อคืนที่ผ่านมา และในวันนี้ปริมาณน้ำยังคงเพิ่มสูงขึ้งกว่าเมื่อวาน และมีแนวโน้มว่าปริมาณน้ำจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากปริมาณน้ำในพื้นที่ข้างเคียงไม่ว่าจะเป็น บ้านจางา บ้านปะกาฮารัง ต.ปะกาฮารัง อ.เมือง ยังคงท่วมสูง มีกระแสน้ำที่เชี่ยวแรง โดยไม่มีท่าที่จะลดลง เลย และครั้งนี้ก็เป็นน้ำท่วมครั้งที่ 3 แล้ว ในรอบ 3เดือน ที่บ้านตะลุโบ๊ะเกิดเหตุน้ำท่วม ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย นอกจากนี้ ส่วนสถานกาณ์ในพื้นที่จังหวัดปัตตานียังคงมีน้ำท่วมสูงอยูหลายพื้นที่ โดยเฉพาะสองฝั่งแม่น้ำปัตตานีและแม่น้ำสายบุรี โดยพื้นที่ อ.กะพ้อ ยังคงมีน้ำท่วมใน พื้นที่ ม.1 และ ม. 8 บ.บือแต ต.ตะโล๊ะดือรามัน บ้านเรือนประชาชนกว่า 30 หลัง ได้รับความเสียหายถูกน้ำท่วมสูง 1 เมตร และในพื้นที่ อ.เมือง ยังคงมีน้ำท่วมสูงในพื้นที่ส่วนน้ำที่ท่วมในพื้นที่ ม.1 และ ม.2 บ.จางา ต.ปะกาฮะรัง และล่าสุด ในพื้นที่ ม.7 บ้านตะลุโบ๊ะ อ.เมือง ปัตตานี มีบ้านเรือนราษฏร กว่า 500 หลัง ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้
เรียงเรียงจาก เว็บไซต์มติชนและโพสต์ทูเดย์ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ทัพพม่าซ้อมยิงปืนใหญ่ถล่มฐานกลุ่มหยุดยิงเมืองลา Posted: 09 Jan 2011 06:04 AM PST มีรายงานว่า เมื่อเที่ยงวันของวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา กองพันปืนใหญ่ของกองทัพพม่าประจำเมืองยอง อยู่ในรัฐฉานภาคตะวันออก ได้ยิงกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. จำนวน 15 ลูก เข้าใส่ฐานส่วนหน้าของกองกำลังสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตย หรือ กลุ่มหยุดยิงเมืองลา NDAA (National Democratic Alliance Army) โดยกระสุนลูกหนึ่งได้ตกลงภายในบริเวณฐาน อีกลูกตกนอกรั้วฐาน แต่ไม่ได้ส่งผลให้ทหาร NDAA ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตและทางฝ่าย NDAA ไม่ได้ยิงตอบโต้แต่อย่างใด โดยฐานของกลุ่มหยุดยิง NDAA ที่ถูกปืนใหญ่ของทหารพม่ายิงถล่มในครั้งนี้ เป็นฐานส่วนหน้าของฐานยุทธศาสตร์ที่ตั้งอยู่บนดอยปางหนาว ทิศตะวันอออเฉียงเหนือของเมืองยอง ซึ่งเป็นดอยสูงที่สุดของพื้นที่ โดยก่อนหน้านี้กองทัพพม่าได้ขอให้ NDAA ถอนกำลังทหารที่ประจำอยู่บนดอยปางหนาวครั้งหนึ่ง แต่ทางฝ่าย NDAA ได้ปฏิเสธเนื่องจากฐานดังกล่าวเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญและอยู่สูงกว่าฐานทหารพม่า แหล่งข่าวระบุว่า หลังเกิดเหตุทางฝ่าย NDAA ได้ติดต่อสอบถามไปยังหน่วยทหารพม่าในพื้นที่ซึ่งได้รับคำตอบว่าเป็นการซ้อมยิงของกองพันปืนใหญ่ พร้อมกับอ้างว่า กองพันที่ปฏิบัติการไม่ทราบในพื้นที่เป้าหมายการซ้อมยิงมีฐานทหาร NDAA ตั้งอยู่ อย่างไรก็ตาม ทางฝ่าย NDAA โดยนายทหารระดับสูงคนหนึ่งกล่าวกับแหล่งข่าวว่า การกระทำของทหารพม่าครั้งนี้เป็นการจงใจยุแหย่ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ทหารพม่าไม่ทราบว่าในพื้นที่ดังกล่าวมีฐานทหารของ NDAA ตั้งอยู่ เพราะในบริเวณห่างออกไปมีฐานทหารพม่าตั้งอยู่เช่นกัน ทั้งนี้ ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา กองทัพพม่าและกองกำลัง NDAA ซึ่งได้ทำสัญญาหยุดยิงกันมาเป็นเวลากว่า 20 ปี ได้เกิดการเผชิญหน้ากันอย่างต่อเนื่อง เหตุเกิดจากรัฐบาลทหารพม่ากดดันให้กองกำลังหยุดยิงเปลี่ยนสถานะภาพกองกำลัง เป็นหน่วยพิทักษ์ชายแดนภายใต้กำกับของกองทัพพม่า ขณะที่กองกำลัง NDAA เป็นหนึ่งในกองกำลังหยุดยิงที่ปฏิเสธรับข้อเสนออย่างแข็งขัน และส่งผลให้ถูกกองทัพพม่ากดดันข่มขู่ด้วยวิธีการต่างๆ มีรายงานด้วยว่า เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ซึ่งตรงกับวันสหภาพพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษครบรอบ 63 ปี กลุ่มหยุดยิงเมืองลา NDAA ได้จัดพิธีรำลึกขึ้นที่โรงเรียนมัธยมในเมืองลา มีประชาชนและนักเรียนเข้าร่วมหลายร้อยคน โดยมีเจ้าขุนจายติ๊บ หัวหน้าฝ่ายปกครองเป็นประธานในพิธี ทั้งนี้ เจ้าขุนจายติ๊บ ได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของวันสหภาพพม่า โดยระบุสหภาพพม่าเกิดจากสนธิสัญญาปางโหลง ที่ทำขึ้นร่วมกันระหว่างตัวแทนพม่า ไทใหญ่ คะฉิ่น และชิน เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1947 ทั้งระบุ NDAA สนับสนุนความเป็นสหภาพอย่างแท้จริง พร้อมกันนั้น เจ้าขุนจายติ๊บ ได้กล่าวว่า ในเขตพื้นที่ครอบครองกลุ่มหยุดยิงเมืองลา NDAA จะไม่ขอใช้ธงชาติใหม่พม่าที่ทำขึ้นโดยรัฐบาลทหารพม่า เนื่องจากไม่มีเครื่องหมายบ่งบอกถึงความเป็นสหภาพ ซึ่ง NDAA จะใช้ธงชาติสหภาพพม่าแบบเดิมควบคู่กับธงชาติรัฐฉาน (ไทใหญ่) เท่านั้น
"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
พันธมิตร ออกแถลงการณ์จี้รัฐบาลกดดันกัมพูชาปล่อย 7 คนไทย Posted: 09 Jan 2011 05:55 AM PST เเเถลงการณ์กลุ่มพันธมิตรฯครั้งที่1/2554 เรื่องกรณี7คนไทยถูกทหารกัมพูชาจับกุมเมื่อวันที่29ธ.ค.2553 โดยมีข้อเรียกร้องดังนี้ 1.ยืนยันว่าจากหลักฐานในเอกสารสิทธิทำกินของราษฎรไทย เช่น สค.1เเละนส.3 รวมทั้งเเผนที่L7017เเละเเผนที่L7018ของไทย รวมทั้งเเผนที่L7016 ของกัมพูชาระบุตรงกันว่า จุดพิกัดที่7คนไทยโดนจับกุมนั้นอยู่ในดินเเดนไทย ก่อนถึงหลัดเขตที่46-47 ชัดเจน เเละตรงกันกับหลักฐานภาพถ่ายทางอากาศของUNHDR 2.กลุ่มพันธมิตรฯขอประณามนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหมเเละคณะข้าราชการที่ดูเเลเรื่องเขตเเดนไทย รวมทั้งผู้ว่าฯจ.สระเเก้ว เพราะไปให้ข่าวกล่าวหาว่าคนไทยลุกล้ำดินเเดนกัมพูชาอย่างไร้ความรับผิดชอบ รวมทั้งประณามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯเเละรัฐบาลที่ไม่ใช้อำนาจของตัวเองกดดันกัมพูชาให้ปล่อย7คนไทย เช่นเดียวกับสมเด็จฮุน เซน นายกฯกัมพูชา ทหารกัมพูชา รวมทั้งรัฐบาลเเละศาลกัมพูชาที่จับคนไทยในดินเเดนของไทย ฉะนั้นขอให้รัฐบาลเเละนายกฯต้องประกาศไม่รับคำตัดสินของศาลกัมพูชา เพราะถือว่าเป็นเรื่องการกระทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศเเละละเมิดอธิปไตยเหนือดินเเดนไทย ขอให้รัฐบาลไทยยื่นคำขาดอย่างเป็นทางการเเละใช้มาตรการกดดันอย่างเป็นรูปธรรมให้กัมพูชาปล่อยตัว7คนไทยโดยไม่มีเงื่อนไข
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
นักวิชาการชี้ 9 ข้อประชาวิวัฒน์ ลดรายจ่าย แต่ยังไม่เพิ่มรายได้ Posted: 09 Jan 2011 05:46 AM PST ในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ประจำวันที่ 9 ม.ค.54 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงรายละเอียดโครงการเร่งรัฐปฏิบัติการด่วนเพื่อคนไทย (โครงการประชาวิวัฒน์) เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน จำนวน 9 ชิ้น หรือ 9 แผนปฏิบัติการ และจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 11 มกราคมนี้ โดยจะใช้งบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท โดยคาดว่าประโยชน์ที่จะเกิดกับประชาชนมีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่า นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ภายหลังที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศรายละเอียดโครงการเร่งรัฐปฏิบัติการด่วนเพื่อคนไทยเพื่อมอบเป็นของขวัญ 9 ข้อให้กับคนไทย ว่าสิ่งที่นายกฯประกาศนั้น ไม่ได้แก้ปัญหาให้กับประเทศ แต่เป็นเพียงการแบ่งเบาภาระ ซึ่งหวังผลทางการเมือง เนื่องจากการทำงานของรัฐบาลถือว่าเป็นช่วงสุดท้าย อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวก็มีจุดดี คือ ให้บุคคลที่ประกอบอาชีพอิสระสามารถเข้าสู่ระบบสวัสดิการสังคมได้ แต่ยังไม่เห็นรายละเอียดว่ามีความแตกต่างจากระบบประกันสุขภาพ หรือ บัตรทองอย่างไรบ้าง “โครงการดังกล่าวยอมรับว่าเน้นในส่วนของภาคเศรษฐกิจ ให้คนได้ประโยชน์ในระยะสั้น คือ มีความมั่นคง แม้จะตกงานแต่ก็ยังมีระบบที่ดูแล แต่ในระยะยาวบุคคลที่ลงทะเบียนเพื่อยอมรับการเข้าสู่ระบบประกันสังคมจะหลีกเลี่ยง หรือ หลบเลี่ยงการที่รัฐเข้าไปแทรกแซงจัดเก็บรายได้ไม่ได้ ดังนั้นประชาชนที่ต้องการมีหลักประกันทางด้านเศรษฐกิจ ก็ต้องยอมรับการถูกแทรกแซง การจัดระเบียบโดยภาครัฐมากขึ้น” นายพิชญ์ กล่าว นายพิชญ์ กล่าวอีกว่า ส่วนนโยบายการตรึงค่าแก๊ซหุงต้ม หรือไม่เก็บค่าไฟครัวเรือนที่ใช้ไฟไม่เกินกำหนด ถือว่าเป็นคนละเรื่องกับการส่งเสริมโอกาสทางด้านเศรษฐกิจ เพราะไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจโต แม้ประชาชนจะลดรายจ่าย แต่ไม่สามารถหาเงินเข้ากระเป๋าเพิ่มขึ้น ที่สำคัญกลุ่มเป้าหมายไม่ใช่ฐานการเมืองพรรคประชาธิปัตย์โดยตรงดังนั้น ประเด็นนี้ประชาชนจึงคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลประกาศเป็นสิทธิ์ที่ประชาชนควรได้รับ แต่ถูกพรากไปตั้งแต่มีการทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ผู้สื่อข่าวถามว่ามองว่าโครงการของรัฐบาลจะช่วยส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายพิชญ์ กล่าวว่าไม่ได้ช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกจากประชาชนมากขึ้น เพราะการขับเคลื่อนนโยบายจริงๆ ก็มีส่วนจากพรรคการเมืองอื่นด้วย แม้ว่ารัฐบาลจะอ้างว่าเป็นผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม “พท.”เย้ยรัฐแจกของขวัญ 9 ชิ้นต่อยอดเอื้ออาทร นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงเกี่ยวกับของขวัญ 9 ชิ้นให้กับประชาชนตามโครงการประชาวิวัฒน์ว่า พรรคเพื่อไทยเห็นว่าไม่ได้มีอะไรใหม่ๆให้กับประชาชนเลย เพราะสิ่งที่รัฐบาลทำออกมานั้น ไม่ได้แตกต่างจากโครงการเอื้ออาทรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังเป็นโครงการที่ทำเพื่อการซื้อเสียงอย่างชัดเจน เหมือนเป็นการซื้อเสียงล่วงหน้าเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายระบบประกันสังคมภาคสมัครใจให้แรงงานนอกระบบจำนวน 24 ล้านคน เปิดโอกาสให้แรงงานนอกระบบ จัดทำโครงการมอเตอร์ไซค์อาสาสมัครพิทักษ์เมือง เพิ่มจุดผ่อนผันให้ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยกว่า 20,000จุด หรือการให้คนไทยกว่า 9 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศจะมีโอกาสใช้ไฟฟ้า 90 หน่วยแรกต่อเดือน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการซื้อเสียงเท่านั้น นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า โครงการที่รัฐบาลพยายามทำนั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรที่จะทำมาตั้งแต่ 2 ปีก่อนหน้านี้แล้ว แต่เพิ่งจะมาคิดที่จะทำ ตนจึงอยากถามว่า 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลเอาเวลาไปทำอะไร แทนที่จะมาคิดว่า ประชาชนและนักท่องเที่ยวในกรุงเทพฯรวมกว่า 10 ล้านคนจะได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยได้ทำการตรวจสอบความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้นั้นกำลังประสบกับภาวะทุกข์ร้อน จากกรณีที่มีน้ำท่วมสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลก็มีบทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2553 มาแล้ว แต่ขณะนี้รัฐบาลทำนิ่งเฉย เพราะมัวแต่พยายามหาเสียง ส่วนกรณีที่เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุระเบิดห้องสมุดภายในโรงเรียนเปรม ติณสูลานนท์ อ. น้ำพอง จ.ขอนแก่น ทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหายนั้น นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่ต้องเชื่อมโยงให้เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง เพราะจังหวัดขอนแก่นถือเป็นพื้นที่ ๆ มีคนเสื้อแดงอยู่เยอะ เพราะฉะนั้นตนจึงต้องการให้นายกฯทำการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง อย่าปล่อยให้เรื่องเงียบไปเหมือนกับเหตุการณ์ระเบิดในอดีตอีก “ปชป.” โอ่ของขวัญ9ข้อแก้ทุกข์คนไทยได้ ด้านนพ.บูรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถือเป็นสัญญาประชาคมที่พรรคจะนำไปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง เบื้องต้นเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถแก้ไขปัญหาที่คั่งค้าง และความทุกข์ยากให้กับประชาชนได้ ซึ่งต่างจากรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยที่มีเวลาทำงานถึง 3 ปีแต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้ ทั้งนี้พรรคขอสนับสนุนให้รัฐบาลประกาศรับรองโครงการเร่งรัฐบาลด้วยการเห็นชอบเป็นมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 11 ม.ค. นี้ นพ.บุรณัชย์ แถลงอีกว่า กรอบเวลาดำเนินโครงการที่ตั้งเป้าไว้ 6 เดือนนั้น เบื้องต้นจะเริ่มต้นโครงการแรกได้ภายในวันที่ 18 ม.ค.นี้ นอกจากนั้นรัฐบาลได้วางกรอบให้แล้วเสร็จแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ 1. ภายในเดือนแรก เรื่องค่าไฟและปัญหาอาชญากรรมจะเห็นผลทันที 2. ระยะ 3-4 เดือนจะเห็นผลในส่วนให้สินเชื่อ กับผู้ค้าหาบเร่แผงลอย แท็กซี่ วินมอร์เตอร์ไซค์ และ 3. ระยะ 6 เดือนเรื่องขยายประกันสังคม กองทุนน้ำมัน ต้นทุนราคาสินค้าเกษตร จะเห็นผลในที่สุด ด้านนายอรรถวิชย์ สุวรรณภักดี รองโฆษกพรรคประชาธิป้ตย์ด้านเศรษฐกิจ แถลงย้ำว่า ของขวัญของรัฐบาลสามารถได้ผลตอบแทนมากถึงร้อยละ 13 เมื่อเปรียบเทียบกับเม็ดเงินลงทุน 2,000 ล้านบาท หรือได้มากถึง 2.6 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ประชาชนชั้นกลางจะไม่ได้รับผลกระทบ ยกตัวอย่างคือ การใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 90 หน่วย ที่จะประกาศเป็นมาตรการถาวรตั้งแต่เดือนก.พ.นี้ ชนชั้นกลางที่ใช้ไฟในภาคครัวเรือนปกติก็จะเสียค่าไฟฟ้าในอัตราเท่าเดิม แต่ยอมรับว่าภาคอุตสาหกรรมจะมีผลกระทบ ภายหลังจากเดือนพ.ค.ที่การไฟฟ้าฯ จะมีปรับการคำณวนค่าเอฟทีใหม่ ทั้งนี้การติดตามผลการทำงานจะมีคณะทำงานเพื่อติดตามและรายงานผลตรงไปยังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีทุกสัปดาห์ ผู้สื่อข่าวถามว่าโครงการเร่งรัฐฯ เป็นนโยบายหาเสียงใช่หรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่คั่งค้าง ส่วนผลการขับเคลื่อนทิศทางแก้ไขปัญหาประชาชนจะตอบรับหรือพอใจ ก็คาดว่าจะส่งผลต่อมาในการรณรงค์หาเสียง ส่วนจะทำสำเร็จหรือไม่ อยากให้ลองไปสอบถามกลุ่มเป้าหมาย เช่น วินมอร์เตอร์ไซต์ ผู้ค้าหาบเร่ แท็กซี่ดูว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่ ทั้งนี้ สำหรับรายละเอียดของโครงการประชาวิวัฒน์ นายกฯ กล่าวว่า นโนบายดังกล่าว เป็นการทะลุทะลวงระบบราชการโดยได้มีการเชิญทุกหน่วยงาน มีเจ้าหน้าที่กว่า 70 คนจาก 30 หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ และมีทั้งท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะเป็นผู้นำร่องในหลายนโยบาย และมีภาคเอกชนเข้ามาร่วมกันทำงานแบบเต็มเวลาร่วมกันเป็นเวลาถึง 5 สัปดาห์ ก่อนเข้าไปพบและสัมภาษณ์ประชาชนกลุ่มเป้าหมายกว่า 1,000 คนตลอดระยะเวลากว่า 1 เดือน หลังโครงการต่างๆ เริ่มต้นก็จะมีคณะทำงานติดตามตรวจสอบด้วย “แนวคิดในการแก้ไขปัญหาทั้ง 3 เรื่องนี้ในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องของการที่จะมีการทุ่มเงินงบประมาณไปลด แลก แจก แถม ให้แก่พี่น้องประชาชน ตรงกันข้าม ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง เป็นปัญหาในเชิงความเป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง ซึ่งคือหัวใจของปัญหาที่เราพูดถึงว่าเป็นที่มาของความจำเป็นในการปฏิรูปประเทศไทย” อภิสิทธิ์กล่าว 9 แผนปฏิบัติการมีดังนี้ 1.ระบบประกันสังคม ปรับกฏระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายประกันสังคม ให้ผู้ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมเข้าสู่ระบบประกันสังคม โดยการสมทบเงินไม่เกินเดือนละ 100 บาท โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์การชดเชยรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ในกรณีที่จ่าย 70 บาท รัฐบาลสมทบ 30 บาทก็จะได้ 3 เรื่องนี้ แต่หากเป็นกรณีที่จ่าย 100 บาท รัฐบาลสมทบ 50 บาทก็จะได้สิทธิในเรื่องของบำเหน็จชราภาพด้วย ขณะเดียวกันจะมีการประสานงานกับผู้ที่กำลังทำกฎหมายกองทุนเงินออมแห่งชาติว่า การเข้ามาสู่ระบบประกันสังคมแบบใหม่ตรงนี้ ไม่ตัดสิทธิ์สำหรับประชาชนที่สนใจจะเข้าไปอยู่ในกองทุนเงินออมแห่งชาติ “หมายความว่าเรากำลังเปิดโอกาสให้มีระบบการออมและสวัสดิการทางเลือก สำหรับพี่น้องประชาชนในแรงงานนอกระบบทั้งหมด” อภิสิทธิ์ กล่าว 2.การเข้าถึงสินเชื่อของคนขับแท็กซี่-ผู้ค้าแผงลอย โครงการนำร่องสินเชื่อพิเศษ เปิดโอกาสให้การกลุ่มแท็กซี่มืออาชีพที่มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปีเป็นเจ้าของรถแท็กซี่ใหม่โดยผ่อนเงินดาวน์ต่ำสุด 5% โดยมีวงเงินสินเชื่อรวม 1,600 ล้านบาท ทำให้แท็กซี่สามารถผ่อนรถได้ถูกกว่าเช่า โครงการลักษณะเดียวกันนี้จะทำกับผู้ค้าหาบเร่แผงลอยในจุดผ่อนผันใน กทม. ด้วยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในอัตราที่มีความเป็นธรรม มีความผ่อนปรน “งบประมาณตรงนี้ไม่มีภาระงบประมาณ เพราะว่าเป็นเรื่องของสถาบันการเงินของรัฐ และที่มีความวิตกหวั่นเกรงกันว่าถ้าจะมีเป็นภาระของรัฐก็คือกรณีของหนี้เสีย จริง ๆ แล้วจากการที่เราคัดกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ เรามีความมั่นใจครับว่าบุคคลเหล่านี้นั้นเป็นบุคคลซึ่งมีรายได้ที่มีความชัดเจนอยู่แล้ว แทนที่เขาจะกลายเป็นหนี้เสีย เรากลับมั่นใจว่าสถาบันการเงินของรัฐที่เข้ามาร่วมในโครงการนี้จะมีลูกค้าดีเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะเป็นกรณีที่เราได้มีประสบการณ์แล้วกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งเคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่เราสามารถโอนหนี้จากนอกระบบเข้ามาสู่ในระบบ ซึ่งทำให้คนที่เคยเป็นหนี้นอกระบบได้ลดภาระต่าง ๆ มากมาย แล้วขณะเดียวกันก็กลายมาเป็นลูกค้าที่ดีของสถาบันการเงินเหล่านี้” อภิสิทธิ์กล่าว 3.จัดระเบียบมอเตอร์ไซด์รับจ้าง หลังเคยมีการขึ้นทะเบียนมอเตอร์ไซค์รับจ้างไว้ ยังมีจำนวนมากประกอบการไม่ถูกต้องตามกฎหมายและยังมีการจ่ายส่วยนอกระบบ จึงจะมีการขึ้นทะเบียน จัดระบบ ออกบัตรประจำตัว ให้เลขในทะเบียน เสื้อวิน หมวกนิรภัยสอดคล้องกันทั้งหมดเพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์ในอนาคต นอกจากนี้ยังจะจัดการกับสภาพแวดล้อมในการทำงานหรือความปลอดภัยในการขับขี่ด้วย 4.เพิ่มจุดผ่อนปรน จัดโซนหาบเร่แผงลอย หากมีการผ่อนผันเพิ่มเติมก็ต้องไม่ไปกระทบกระเทือนสร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนที่ใช้ทางเท้าสัญจรไปมาในบริเวณต่าง ๆ เหล่านั้น หลังจากการสำรวจเห็นว่าน่าจะสามารถดำเนินการเพิ่มจุดผ่อนผันได้ประมาณ 20,000 รายที่มีการค้าการขายอยู่สามารถทำได้แบบถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครเอง โดยจะดำเนินการในเรื่องของการพัฒนาจุดที่เป็นจุดท่องเที่ยวเดิม โดยแบ่งเป็นย่านขายสินค้าต่างๆ ที่มีเชื่อเสียงประจำย่านนั้นๆ โดยจะมีการจัดระบบระเบียบเพื่อส่งเสริมให้เป็นลักษณะของการเป็นเสน่ห์ของเมืองเช่นเดียวกัน สามารถดำเนินการเห็นผลได้ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2554 5.ยกเลิกตรึงราคา LPG ภาคอุตสาหกรรม ปัญหาขณะนี้เป็นผลมาจากภาระของกองทุนน้ำมัน การเก็บเงินจากผู้ที่ใช้น้ำมันส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อมาอุดหนุนในบางเรื่อง เรื่องสำคัญที่สุดที่เป็นรายการของการอุดหนุนก๊าซหุงต้ม หรือ LPG หลังตรวจสอบแล้วว่าหลังจากตรึงราคา LPG เพื่อให้ประชาชนที่ใช้ก๊าซหุงต้มในราคาที่เป็นธรรม เพราะก๊าซธรรมชาติก็เป็นทรัพยากรของคนทั้งประเทศ แต่เมื่อไปตรึงราคากดราคาให้ต่ำนี้ก็ไปจูงใจให้เกิดการเติบโตในการใช้ LPG ในภาคอุตสาหกรรม จึงจำเป็นที่จะต้องมีการนำเข้า LPGและชดเชยราคาที่เป็นส่วนต่างระหว่าง LPG ที่นำเข้ากับราคาที่ถูกตรึงเอาไว้ในประเทศ กระทรวงพลังงานและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีการปรับแรงจูงใจไปส่วนหนึ่ง แต่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 จะดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบในการเลิกอุดหนุน LPG สำหรับภาคอุตสาหกรรม ภาคอุตสาหกรรมจะได้ใช้ LPG ในราคาตลาด ส่วนภาคครัวเรือนและขนส่งจะมีการตรึงราคาไว้เหมือนเดิม ซึ่งจะสามารถที่จะประหยัดการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันได้ถึง 7,300 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ฐานะของกองทุนน้ำมันดีขึ้นสามารถดูแลให้ประชาชนไม่ต้องซื้อดีเซลแพงกว่า 30 บาทไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 6.คนจนใช้ไฟฟรีถาวร ปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมรายใหญ่ การดำเนินการต่อเนื่องจากเรื่องของการใช้ไฟฟ้าฟรีในปัจจุบันสำหรับ 9.1 ล้านครัวเรือน โดย 8.5 ล้านอยู่ในชนบท แต่มาตรการนี้เป็นมาตรการซึ่งจะต้องเป็นภาระกับผู้เสียภาษีอากรเนื่องจากเงินงบประมาณไปชดเชยให้กับการไฟฟ้า ต่อไปนี้เราจะทำให้ไฟฟ้าสำหรับประชาชนที่ใช้ต่ำกว่า 90 หน่วยนั้นฟรีแบบถาวรโดยไม่ใช่ภาษีอากร แต่จะปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียม “ในประเทศในอาเซียนด้วยกัน โครงสร้างของค่าไฟเขาจะเก็บเงินจากคนที่ใช้ไฟมากในอัตราที่สูงกว่าค่อนข้างมาก ในขณะที่โครงสร้างอัตราค่าธรรมเนียมไฟฟ้าของประเทศไทยนั้นค่อนข้างที่จะอยู่ในแนวราบ คือ จะใช้มากใช้น้อยก็จะเก็บอยู่ในอัตราซึ่งไม่แตกต่างกันมากนัก พอเราไปปรับโครงสร้างตรงนี้ ผู้ที่ใช้ไฟเยอะ ๆ ซึ่งพูดจริง ๆ แล้วคนเหล่านี้คือคนที่ทำให้เราต้องเอาเงินไปลงทุนในเรื่องของการจัดหาพลังงานไฟฟ้ามาค่อนข้างมากนี้ ก็จะเป็นผู้ที่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น เพื่อเอาเงินในส่วนนั้นมาช่วยให้กับพี่น้องประชาชนที่ใช้ไฟน้อย แต่ว่าเราได้คำนวณดูแล้วโดยเฉพาะกับเรื่องของแนวโน้มของค่าเอฟทีที่จะอยู่ในเดือนพฤษภาคมนี้ มั่นใจว่าภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟในจำนวนมากก็จะไม่ได้จ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้น เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ได้ประโยชน์จากการลดลงค่าเอฟทีในรอบต่อไป” นายกฯ กล่าว 7.ลดต้นทุนภาคการเกษตร โดยเฉพาะอาหารสัตว์และพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ใช้แนวทางของการดูแลในเรื่องของการใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางการค้า วิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงต้นทุนในส่วนต่าง ๆ ในองค์ประกอบต่าง ๆ แล้วก็จะทำให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น เพราะรายเล็กรายน้อยไม่สามารถเข้าถึงปัจจัยการผลิตเหล่านี้อย่างเท่าเทียม เชื่อว่าตรงนี้จะสามารถทำให้ทั้งเกษตรกรที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยมีรายได้เพิ่มขึ้น แล้วก็นำมาสู่การลดต้นทุนและราคาของสินค้าเกษตรที่พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่บริโภค ตั้งใจให้เห็นผลเดือนกรกฎาคม 2554 8.ข้อมูลราคาอาหาร-ไข่ไก่ขายเป็นกิโล จะมีการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนราคาต่าง ๆ ให้ประชาชนอย่างทั่วถึงเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น อาจจะมีการให้บริการไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือมีสถานีโทรทัศน์ เพื่อให้พี่น้องประชาชนที่เป็นผู้บริโภคทั้งประเทศสามารถรับรู้รับทราบถึงการเคลื่อนไหวของราคาต้นทุนต่าง ๆ เพื่อจะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากการค้าขายในเรื่องของสินค้าอุปโภคบริโภค ในส่วนของไข่ไก่บ ก็จะมีการทดลองการที่จะซื้อขายกันเป็นกิโล ซึ่งจะเป็นการประหยัดต้นทุนในเรื่องของการคัดแยกไป อาจจะประหยัดได้ระหว่าง 5 - 10 สตางค์ เพื่อที่จะให้พี่น้องประชาชนที่เป็นคนยากคนจนนั้นมีทางเลือกในการซื้อไข่แบบซื้อเป็นกิโล ซึ่งขณะนี้ก็จะมีการทดลองนำร่องที่เขตมีนบุรี กับที่รังสิต 9.ลดอาชญากรรมในกรุงเทพ 20% ใน 6 เดือน มีการวิเคราะห์จุดเสี่ยง จุดอันตราย หากได้รับการสนับสนุนและดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษแล้ว ก็จะสามารถลดเรื่องของอาชญากรรมต่าง ๆ ได้ จึงจะประกาศเป็นเป้าหมายชัดเจนว่าภายใน 6 เดือนในกรุงเทพมหานครนั้น เรื่องของคดีอาชญากรรมต่าง ๆ นั้นจะต้องลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ อันนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนมกราคมนี้ แนวทางที่เราจะทำส่วนหนึ่งคือการกำหนดจุดเสี่ยงมากที่สุด 200 กว่าจุด และในบริเวณเหล่าจะมีการบูรณาการในเรื่องของระบบของกล้องวงจรปิด จากทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมไปจนถึงการเพิ่มบุคลากรในเรื่องของการตรวจตราพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งจะไปสอดคล้องกับแนวทางในเรื่องของการปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมซึ่งกำลังจะใช้อาสาสมัครอีกหลายรูปแบบเข้ามาช่วยกันทำงานในเรื่องนี้ ใช้เงินงบประมาณประมาณ 200 - 300 ล้านบาทเท่านั้น สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ศาลสหรัฐฯ สั่งทวิตเตอร์เปิดเผยข้อมูลทีมวิกิลีกส์ Posted: 09 Jan 2011 04:11 AM PST เมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ส.ส. ไอซ์แลนด์ Birgitta Jónsdóttir ซึ่งเคยเป็นอาสาสมัครให้วิกิลี หมายศาลนั้นออกโดยกระทรวงยุติ นอกจาก Jónsdóttir แล้ว บุคคลที่ถูกระบุในหมายศาลนั้ - Rop Gonggrijp แฮกเกอร์ชาวดัตช์ผู้มีส่วนช่ - Jacob Appelbaum แฮกเกอร์ชาวอเมริกันผู้เคยทำหน้ - Julian Assange ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ - Bradley Manning พลทหารผู้ลักลอบนำข้อมูลเกี่ ทั้งนี้ หมายศาลไม่ได้ระบุชื่อบัญชีทวิ ข้อมูลที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ต้องการนั้นมีตั้งแต่ชื่อบัญชี มีการระบุในหมายศาลห้ามไม่ให้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
“กอร์ปศักดิ์” ชี้สินค้าแพงเพราะ "บ.ยักษ์ใหญ่ด้านเกษตร" ผูกขาด Posted: 09 Jan 2011 02:16 AM PST “กอร์ปศักดิ์” เขียนบลอก ระบุสินค้าแพงเราะถูกผูกขาดโดยยักษ์ใหญ่ในวงการสินค้าเกษตร กำหนดราคาทุกขั้นตอน ทั้งโครงสร้างการผลิตและโครงสร้างการตลาด 9 ม.ค. 54 - นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าคณะทำงานโครงการเร่งรัฐปฏิบัติการ ด่วนเพื่อคนไทย ได้เขียนบทความเรื่อง “กบผู้ฆ่ายักษ์”และ “กบพลังงาน” ในบลอกส่วนตัว www.korbsak.com หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศมอบของขวัญ 9 ข้อตามโครงการเร่งรัฐฯ โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งของบทความได้ระบุถึงต้นตอสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาสินค้า ราคาแพงโดยเฉพาะเนื้อหมู, เนื้อไก่และไข่ไก่ เนื่องจากมีระบบการจัดการแบบผูกขาดโดยยักษ์ใหญ่ในวงการสินค้าเกษตรที่สามารถ กำหนดราคาได้เกือบทุกขั้นตอนของระบบทั้งโครงสร้างการผลิตและโครงสร้างการ ตลาด โดยมีเป้าหมายเพื่อให้มีอำนาจเหนือตลาด ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในแวดวงธุรกิจแต่ไม่ได้มีการพูดกันในที่สาธารณะ ทั้งนี้นายกอร์ปศักดิ์ ระบุว่า คณะทำงานได้เสนอให้แก้ไขปัญหาการผูกขาดและมีอำนาจเหนือตลาดด้วยการปรับปรุง กฎหมายการแข่งขันทางการค้า ที่ปัจจุบันเป็นเพียงเสือกระดาษ โดยจะปรับปรุงให้ครอบคลุมรัฐวิสาหกิจด้วย ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะ รวมทั้งจะทบทวนเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาดใหม่ และจัดรูปแบบองค์กรการกำกับดูแลการแข่งขันให้ทำงานในเชิงรุก มีความคล่องตัว มีคณะทำงานติดตามข้อมูล – พฤติกรรม เช่น กำหนดมาตรการแจ้งปริมาณ สถานที่เก็บข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นต้นทุนอาหารสัตว์ โดยมีกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ดำเนินการ รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างของคณะกรรมการนโยบายทั้งคณะกรรมการนโยบายไข่ไก่ (เอ้กบอร์ด)และคณะกรรมการนโยบายสุกร (พิคบอร์ด) เพื่ออุดช่องโหว่ที่ยักษ์ใหญ่ใช้กลไกของคณะกรรมการฯเพื่อเอื้อประโยชน์ นอกจากนี้รัฐบาลจะเดินหน้าสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกร ด้วยการส่งเสริมระบบสหกรณ์อย่างเต็มที่โดยเฉพาะให้เข้าถึงแหล่งทุนให้ง่าย เพื่อให้มีอำนาจต่อรองในด้านพันธุ์สัตว์และการกำหนดราคา รวมทั้งจะเข้าไปดูแลเกษตรกรที่มีพันธสัญญาในระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่งเพื่อไม่ ให้มีการเอาเปรียบทางสัญญา ขณะเดียวกันจะเร่งเพิ่มความสามารถในการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และกำหนดยุทธศาสตร์ในการวางแผนผลิตมันสำปะหลังให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และ การใช้ประโยชน์ เพื่อลดต้นทุนในเรื่องของอาหารสัตว์เพราะปัจจุบันยักษ์ใหญ่สามารถซื้อวัตถุ ดิบอาหารสัตว์ได้ในราคาถูก รวมทั้งกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายอาหารสัตว์มีมาตรการโปร่งใสโดยต้องกำหนด มาตรการอนุญาตให้นำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้ตรงตามเวลาที่กำหนดของทุกปี ส่วนเรื่องค่าไฟฟ้าที่รัฐบาลกำหนดให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าฟรีหากไม่เกิน 90 หน่วย หลังจากนั้นผู้ใช้ไฟฟ้ามากต้องถูกคิดค่าไฟฟ้าแพงโดยจะมีการปรับค่าไฟให้มาก ขึ้นในช่วง 400 – 450กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เล็กน้อย โดยใช้ระบบค่าเอฟทีเป็นตัวแปรในการคิดค่าไฟฟ้าใหม่ ซึ่งจะเริ่มในเดือนพ.ค. 54 หากทำสำเร็จจะเป็นมาตรการถาวรและไม่ต้องนำเงินภาษีปีละ 15,000 ล้านบาท มาอุดหนุนค่าไฟฟ้าฟรีอีกต่อไป สำหรับก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีที่จะแยกเป็น 2 ราคาระหว่างครัวเรือนและขนส่ง กับภาคอุตสาหกรรมนั้น กำหนดให้เวลาเตรียมตัว 6 เดือนเพื่อไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมกระทบกระเทือนมาก เมื่อยกเลิกการอุดหนุนแอลพีจีแล้วเท่ากับว่าน้ำมันขายปลีกหน้าปั๊มน้ำมันจะ ลดลงทันทีลิตรละ 1-2บาท กรณีที่รัฐไม่มีนโยบายกันเงินไว้อุดหนุนตอนราคาน้ำมันขึ้น อย่างไรก็ตามในรายละเอียดทั้งหมดจะมีการเปิดเผยบนเว็ปไซต์ของกระทรวงที่รับ ผิดชอบเพื่อสร้างความเข้าใจให้ชัดเจนต่อไป. สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 2 - 8 ม.ค. 2554 Posted: 08 Jan 2011 11:11 PM PST เผยต้นปี 54 เริ่มบังคับใช้ค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน 22 สาขา 2 ม.ค. 54 – ปลัดฯ แรงงาน เผยต้นปี 54 เริ่มบังคับใช้ค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน เริ่มใน 22 สาขา พร้อมเร่งคลอดอีกกว่า 100 สาขา ชี้ สร้างแรงจูงใจให้แรงงานพัฒนาตนเอง เผยหากนายจ้างฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำทั้งปรับ นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ต้นปี 2554 กระทรวงแรงงาน จะเริ่มบังคับใช้ค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับแรงงานที่มีฝีมือ และสร้างแรงจูงใจให้แรงงานพัฒนาตัวเอง ให้ได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้น รวมถึงลดปัญหาการเรียกร้องขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ โดยได้ล่าสุดได้จัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานเสร็จสิ้นแล้วจำนวน 22 สาขา ในกลุ่มอาชีพ 6 ด้าน ซึ่งแต่ละสาขาจะมีค่าจ้าง 3 ระดับ ไม่เท่ากัน เริ่มตั้งแต่ 250 -550 บาท โดยอยู่ในระหว่างรอลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้ ขณะเดียวกันกระทรวงแรงงานจะเร่ง จัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานในสาขาที่เหลือซึ่งคาดว่าภายในปี 2554 จะประกาศใช้ได้อีก กว่า 100 สาขา นอกจากนี้ ยังได้สั่งให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เตรียมจัดมาตรฐานการทดสอบให้ครอบคลุมทุกจังหวัด โดยอาจร่วมมือกับหน่วยงานรับและเอกชน เช่น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา หรือภาคเอกชน ร่วมจัดทดสอบมาตรฐาน ทั้งนี้หากกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว แต่นายจ้างรายใดยังฝ่าฝืน ไม่จ่ายค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานที่ลูกจ้างได้รับ จะมีอัตราโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ นพ.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า สำหรับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน จำนวน 22 สาขา ในกลุ่มอาชีพ 6 ด้าน อาทิ กลุ่มช่างเครื่องกล 3 สาขา เช่น ช่างสีรถยนต์ ระดับ 1 ได้ค่าจ้าง 315 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 380 บาท และระดับ 3 ค่าจ้าง 444 บาท ช่างเคาะตัวถังรถยนต์ ระดับ 1 ค่าจ้าง 335 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 420 บาท ระดับ 3 ค่าจ้าง 505 บาท กลุ่มก่อสร้าง 4 สาขา อาทิ ช่างก่ออิฐ ระดับ 1 ค่าจ้าง 260 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 380 บาท และระดับ 3 ค่าจ้าง 500 บาท ช่างฉาบปูน ระดับ 1 ได้ค่าจ้าง 300 บาท ระดับ 2 ค่าจ้าง 410 บาท และระดับ 3 ค่าจ้าง 500 บาท เป็นต้น (สำนักข่าวไทย, 2-1-2554) อธิบดีกรมสวัสดิการ เผยพร้อมตั้งศูนย์เด็กเล็กในเขตอุตฯ สนองแผนปฏิรูปประเทศ 4 ม.ค. 54 - นางอัมพร นิติสิริ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวถึงกรณี ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เผยถึงแผนปฏิรูปประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมานั้น ได้ระบุถึงการจัดให้มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กขึ้นในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และในไซต์งานก่อสร้าง โดยใช้มาตรการทางภาษีเป็นแรงจูงใจให้กับสถานประกอบการดำเนินการ ภายใต้การควบคุมของกระทรวงแรงงาน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและแรงงานว่า ทางกรมสวัสดิการฯ ยินดีที่จะเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างเต็มที่ (ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 4-1-2554) ครม.ยืดเวลาเก็บเงินกองทุนส่งกลับต่างด้าว ไป 1 มี.ค.55 4 ม.ค. 54 - คณะรัฐมนตรี อนุมัติให้ยืดเวลาเก็บเงินลูกจ้างสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร เป็นวันที่ 1 มีนาคม 2555 เพื่อไม่ให้มีปัญหาคาบเกี่ยวกับการต่ออายุใบอนุญาตทำงาน นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี อนุมัติตามที่กระทรวงแรงงาน เสนอขยายระยะเวลาการบังคับใช้กฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้อง ส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน พ.ศ.2553 เพื่อยืดเวลาเรียกเก็บเงินค่าประกันจากลูกจ้าง 3 สัญชาติ คือ พม่า ลาว และกัมพูชา เพื่อส่งเข้ากองทุนดังกล่าว ในอัตราคนละ 2,400 บาท และ 2,100 บาท ออกไปจากที่มีผลตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2553 เป็นวันที่ 1 มีนาคม 2555 เนื่องจากหากให้นายจ้างหักเงินค่าจ้างจากลูกจ้าง 3 สัญชาติ ส่งเข้ากองทุนในช่วงเวลานี้จะมีปัญหาคาบเกี่ยวกับการต่ออายุใบอนุญาตทำงาน อาจเป็นเหตุให้ลูกจ้าง 3 สัญชาติจำนวนมากไม่ยื่นต่ออายุใบอนุญาตทำงาน และหลบหนีออกนอกระบบการผ่อนผัน ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อระบบการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวของประเทศโดยรวม (สำนักข่าวแห่งชาติ, 4-1-2554) กต.เผยแรงงานไทยตกยากในลาว 4 ม.ค. 54 - ด้วยกระทรวงการต่างประเทศได้ รับรายงานจากสถานกงสุลใหญ่ ณ แขวงสะหวันนะเขต ว่าได้รับแจ้งจากคนไทยที่จังหวัดมุกดาหารขอให้ช่วยเหลือญาติซึ่งเป็นแรงงาน ไทยเข้าไปทำงานในแขวงอัตตะปือ สปป.ลาว ต่อมา สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้ประสานผู้ที่เกี่ยวข้องและได้ข้อมูลเบื้องต้นว่า แรงงานไทยกว่า ๒๐๐ คน ได้เข้ามาทำงานก่อสร้างและพัฒนาเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียนที่แขวงอัตตะปือ กับบริษัทสัญชาติลาวแห่งหนึ่ง โดยมีสำนักงานใหญ่ที่นครหลวงเวียงจันทน์และมีผู้ร่วมหุ้นเป็นคนไทยได้ดำเนิน การนำแรงงานไทยเข้าไปทำงานก่อสร้างเขื่อนดังกล่าว ต่อมา สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้รับแจ้งโดยตรงทางโทรศัพท์จากคนงานไทยว่า ประสงค์จะให้สถานกงสุลใหญ่ฯ ช่วยเหลือเนื่องจากประสบความลำบากในการดำรงชีวิต ดังนั้น เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ นายดนัย การพจน์ รองกงสุลใหญ่ฯ รักษาราชการแทนกงสุลใหญ่ ณ แขวงสะหวันนะเขต ได้เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อหาทางช่วยเหลือที่แคมป์ของคนงานไทยใน ลาวใต้ ๓ แห่ง ได้แก่ ๑. เมืองปากซอง แขวงจำปาสัก ห่างจากเมืองปากเซ ประมาณ ๕๐ กิโลเมตร มีคนงานไทย ๓๒ คน ๒. เมืองสามัคคีไซ เมืองเอกของแขวงอัตตะปือ ห่างจากเมืองปากเซประมาณ ๒๒๐กิโลเมตร มีคนงานไทย ๑๙ คน ๓. บ้านใหม่ เมืองสะหนามไซ ห่างจากเมืองสามัคคีไซ แขวงอัตตะปือ ประมาณ ๔๗ กิโลเมตร เส้นทางเป็นดินลูกรังทุรกันดาร มีคนงานไทย ๘๕ คน จากการสอบถามเบื้องต้นด้วยเวลาอัน จำกัด ทราบว่าแรงงานไทยเหล่านี้ส่วนหนึ่งไปสมัครงานกับบริษัทดังกล่าวด้วยตนเอง และมีจำนวนมากสมัครงานผ่านเจ้าหน้าที่คนไทยของบริษัทฯ โดยมีค่าใช้จ่ายในการสมัครงานตั้งแต่ ๔๕,๐๐๐ — ๘๐,๐๐๐ บาทต่อคน ซึ่งบางคนลงนามในสัญญาว่าจ้างกับบริษัทฯ แล้ว แต่ส่วนใหญ่มิได้ลงนามแต่อย่างใด ทั้งนี้ แรงงานไทยเหล่านี้เดินทางเข้า สปป.ลาวทางด่านช่องเม็ก-วังเตา ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยทางการลาวประทับตรวจลงตราประเภท “ผ่อนผัน” มีระยะเวลาพำนัก ๓๐ วัน และกระจายไปตามแคมป์งานต่างๆ ทั้ง ๓ แห่ง ในช่วงแรกบริษัทฯ ได้จัดอาหารและที่พักให้กับคนงานไทยโดยมิได้จัดให้ทำงานใดๆ อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มิได้จ่ายเงินเดือนให้คนงาน และช่วงกลางเดือนธันวาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นมา เริ่มประสบปัญหาขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม และคนงานหลายคนครบกำหนดที่ทางการลาวอนุญาตให้พำนักในประเทศ เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลซึ่งทางการ ลาวหยุดงาน สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการขอให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ จัดอาหารที่เพียงพอ และพยายามประสานงานกับแผนกการต่างประเทศแขวงอัตตะปือ และห้องการ (สำนักงานจังหวัด) แขวงจำปาสัก เพื่อเช่ารถบัส โดยสถานกงสุลใหญ่ฯ รับผิดชอบค่าใช้จ่าย จำนวน ๒ คัน นำคนงานไทย รวม ๑๑๕ คน ออกจากแคมป์ต่างๆ เดินทางไปยังด่านวังเตา จัดอาหารและน้ำดื่มให้คนงานทุกคน และชำระเงินค่าปรับการอยู่เกินกำหนด จำนวน ๗๕ ราย เพื่อให้แรงงานไทยได้เดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งได้รับการอนุเคราะห์ด้วยดีจากเจ้าหน้าที่ของแขวงทั้งสอง นอกจากนี้ สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้ประสานงานกับจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อขอความช่วยเหลือเบื้องต้นและส่งแรงงานที่สมัครใจกลับภูมิลำเนา ซึ่งกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ให้ความช่วยเหลืออย่างต่อ เนื่องเมื่อแรงงานไทยเดินทางถึงด่านช่องเม็กของไทย โดยเสร็จสิ้นภารกิจช่วยเหลือแรงงานไทยดังกล่าวในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ อนึ่ง สถานกงสุลใหญ่ฯ ได้ขอให้แรงงานไทยที่ได้รับการช่วยเหลือแจ้งรายละเอียดการสมัครงานและเข้าไป ทำงานใน สปป.ลาว จำนวนค่าใช้จ่าย รวมทั้งความต้องการให้ทางการช่วยเหลือ ซึ่งได้ข้อมูลว่าแรงงานไทยส่วนใหญ่ต้องกู้เงินทั้งในระบบและนอกระบบมาเป็น ค่าใช้จ่ายในการสมัครและต้องเสียดอกเบี้ยจำนวนมาก จึงประสงค์จะกลับเข้าไปทำงานใน สปป.ลาวกับบริษัทดังกล่าวอีก หากมีหลักประกันว่าจะมีงานทำและได้รับเงินเดือนตามที่ได้ตกลงไว้ รวมถึงได้รับการดูแลจากบริษัทฯ ตามสมควร ทั้งนี้ มีแรงงานจำนวนน้อยที่ประสงค์จะรับเงินค่าสมัครคืน ซึ่งสถานกงสุลใหญ่ฯ จะรวบรวมข้อมูลเหล่านี้เป็นรายบุคคลและหาทางช่วยเหลือต่อไป (RYT9, 4-1-2554) ผวจ.ระนองสั่งคุมเข้มแรงงานพม่าห้ามเคลื่อนไหวการเมือง 4 ม.ค. 53 - นายวันชาติ วงษ์ชัยชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เปิดเผยว่า ทางจังหวัดระนองได้ประสานหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่กำชับให้สอดส่อง เฝ้าสังเกตุ และติดตามพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้แรงงานต่างด้าวชาวพม่าในเขตพื้นที่ จ.ระนอง ไม่ให้มีการจัดกิจกรรมในลักษณะการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวรวมกลุ่มที่ทำกิจกรรมทางการเมือง "ที่ผ่านมาพบว่าชาวพม่าพยายามที่จะ ใช้กิจกรรมมาเป็นตัวช่วยในการดึงกลุ่มผู้ ใช้แรงงานต่างด้าวชาวพม่าในเขตพื้นที่ จ.ระนองให้ออกมารวมกลุ่มอาทิการจัดคอนเสิร์ต ศิลปินชาวพม่า การจัดเทศนาโดยพระชื่อดังชาวพม่า ซึ่งในปีนี้ทางจังหวัดจะคุมเข้มไม่ให้มีการดำเนินกิจกรรมในรูปแบบดังกล่าว เนื่องจากเสี่ยงต่อปัญหาที่จะตามมาในอนาคต" นายวันชาติ กล่าว นายวันชาติ กล่าวว่า แรงงานพม่าที่เข้ามาทำงานใน จ.ระนองขณะนี้มีเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากมีการรวมกลุ่มทำกิจกรรมใดๆ เกิดขึ้นก็อาจจะพัฒนาไปสู่กิจกรรมที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย โดยเฉพาะการใช้พื้นที่ประเทศไทยในการรวมกลุ่มต่อต้านรับาลทหารพม่า ซึ่งทางจังหวัดจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น พ.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 25 กองกำลังเทพสตรี กล่าวว่า การปล่อยให้กลุ่มแรงงานต่างด้าวรวมกลุ่มทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงมาก และผลจากการควบคุมที่เข้มข้นในการไม่อนุญาติให้มีการจัดกิจกรรมในพื้นที่ทำ ให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานพม่าหันมาใช้วัดในการพบปะแทน โดยการรวมกลุ่มเข้าไปบริจาคสร้างสิ่งถาวรวัตถุ อาทิพระพุทธรูปทรงพม่า ซึ่งขณะนี้เกิดขึ้นในหลายวัดในเขตพื้นที่ จ.ระนอง ซึ่งทางฝ่ายความมั่นคงกำลังประสาน สนง.พระพุทธศาสนา จ.ระนองให้เข้าไปดูแลในเรื่องดังกล่าวแล้ว (เนชั่นทันข่าว, 4-1-2553) ความมั่นคงเผย แรงงานพม่าผุด 38 ชุมชนยึดเงียบเมืองระนอง 5 ม.ค. 54 - พ.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 25 กองกำลังเทพสตรี เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก จนท.หน่วยงานด้านความมั่นคงที่ลงสำรวจข้อมูลแหล่งที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้ ใช้แรงงานต่างด้าวชาวพม่าในเขตพื้นที่ จ.ระนองพบว่ากลุ่มแรงงานต่างด้าวชาวพม่าได้มีการก่อตั้งชุมชนของตนเองขึ้นมา อย่างเงียบๆในเขตพื้นที่ จ.ระนองแล้วรวม 38 ชุมชน ซึ่งกำลังกลายเป็นประเด็นที่ฝ่ายความมั่นคงวิตกว่ากลุ่มผู้ใช้แรงงานชาวพม่า ได้เปลี่ยนเป้าหมายจากเดิมที่เข้มาหางานทำเป็นการเข้ามาตั้งถิ่นฐานในฝั่ง ประเทศไทยแทน โดยเห็นได้จากกิจกรรมทางสังคมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานเริ่ม มีการดำเนินการทางวัฒนธรรมอาทิการก่อสร้างพระพุทธรูปในวัดต่างๆ ในจ.ระนอง เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมทางจิตใจ รวมถึงกิจกรรมทางสังคมในพื้นที่ที่เป็นย่านชุมชนของกลุ่มแรงงานพม่าในรูปแบบ ลักษณะเดียวกับย่านไชน่าทาวน์ของคนจีน มีร้านค้า,สถานบันเทิง มีการเฝ้าระวังคนแปลกหน้าที่เข้าไปในชุมชน มีผู้นำชุมชนเป็นต้น ด้านนายวันชาติ วงษ์ชัยชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง กล่าวว่า ยอมรับว่าปัญหาแรงงานต่างด้าวชาวพม่าเป็นปัญหาสะสม เรื้อรังมานาน จนปัจจุบันพฤติกรรมของแรงงานต่างด้าวชาวพม่าส่วนหนึ่งเริ่มแปรเปลี่ยนที่จะ มีแนวคิดที่จะตั้งหลักปักฐานในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากมีช่องทางทำมาหากินหรือประกอบอาชีพได้มากกว่า “ขณะนี้จังหวัดระนองได้จัดทำโครงการ จัดระเบียบชุมชนพม่าในเขตเมืองตาม ยุทธศาสตร์ความมั่นคงและการจัดทำฐานข้อมูลคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องมาจากโครงการนำร่องเพื่อจัดระเบียบชุมชนพม่าในเขต ชุมชนเมืองและพื้นที่ที่เป็นเกาะแก่งของจังหวัดระนองที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งจะเน้นการจัดทำฐานข้อมูลคนต่างด้าว , การจัดทำกฎกติกาหมู่บ้าน/ชุมชน , การจัดทำแผนพัฒนาหมูบ้าน/ชุมชน ” นายวันชาติ ล่าว เมื่อจังหวัดระนองมีฐานข้อมูลทาง ทะเบียนของคนต่างด้าว ก็จะง่ายต่อการควบคุม การเข้าออก หรือการเคลื่อนย้าย รวมถึงการดำเนินการใดๆ ดังนั้นเป้าหมายที่สำคัญในการดำเนินงานในโครงการดังกล่าวทางจังหวัดกำหนดไว้ ว่า เมื่อมีการจัดทำฐานข้อมูลพื้นฐานคนต่างด้าวแล้วเสร็จ จะมีการนำข้อมูลทั้งหมดของคนต่างด้าวมาไว้ในศูนย์ข้อมูลแรงงานต่างด้าว ที่จังหวัดระนองกำหนดที่จะจัดตั้งขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศ ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์ข้อมูลทางทะเบียนราษฏร์ของคนไทย ส่งผลให้สามารถแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวได้ (เนชั่นทันข่าว, 5-1-2554) ชงครม.กำหนดมาตรฐานฝีมือ รับมือเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี นายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการเป็นประชาคมแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ในปี 2558 ซึ่งจะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเสรีภายในภูมิภาคเป็นจำนวนมาก โดยจะเสนอให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เป็นแกนหลักในการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานฝีมือแรงงานในแต่ละสาขาอาชีพที่อยู่ภาย ใต้กรอบการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีอาเซียน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและยกร่างกฎหมาย "การเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีในอาเซียน จำเป็นต้องมีเกณฑ์มาตรฐานร่วมกัน ไม่ใช่ว่าใครอยากย้ายไปไหนก็ทำได้เลย เพราะแต่ละประเทศจะมีกฎหมายมาตรฐานแรงงานในแต่ละสาขาอาชีพอยู่แล้ว ฉะนั้น แรงงานที่จะเคลื่อนย้ายไปประเทศใดก็ต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานแรงงานของประเทศ นั้นๆ เพื่อให้การข้ามพรมแดนของแรงงานประเทศต่างๆ มีมาตรฐาน และแม้ว่าสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้ทำข้อตกลงยอมรับ ร่วมกัน (MRAs) ในการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีไปแล้ว 7 สาขา คือ วิศวกรรม พยาบาล สถาปัตยกรรม การสำรวจ แพทย์ ทันตแพทย์ และนักบัญชีไปแล้ว แต่ในเรื่องนี้ก็ยังต้องหารือถึงมาตรการเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้แรงงานไทยได้รับผลกระทบ"ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา นักวิชาการอิสระด้านแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานต้องเตรียมความพร้อมอย่างหนักในเรื่องนี้ เพราะไทยเองยังมีปัญหาเรื่องค้าแรงงานเถื่อนอยู่มาก ซึ่งการเปิดให้เคลื่อนย้ายแรงงานเสรีอาจทำให้ปัญหาขบวนการค้าแรงงานเถื่อน ขยายตัวเป็นวงกว้างขึ้น นอกจากนี้ หากไม่มีมาตรการรองรับที่เพียงพอ อาจทำให้แรงงานไทยถูกผลักออกไปนอกระบบ และมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง (แนวหน้า, 5-1-2554) อุตฯ เครื่องนุ่งห่มไทยเจอปัญหาต้นทุนเพิ่ม 15 รายใหญ่เตรียมย้ายฐานผลิต 5 ม.ค. 54 - นายวัลลภ วิตนากร กรรมการและที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวว่า ผลพวงจากปัญหาเงินบาทแข็งค่า ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นแต่ขาดแรงงาน 30,000 คนในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยและไม่ได้รับการแก้ไข ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพไปลงทุนในต่างประเทศจำนวน 15 ราย และเตรียมย้ายฐานการผลิต นายวัลลภ กล่าวว่า เฉพาะส่วนที่จะขยายกำลังการผลิตใหม่คิดเป็นกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นอีก ร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับกำลังการผลิตรวมของทั้ง 15 ราย ออกไปตั้งฐานการผลิตใหม่ในประเทศที่ค่าแรงถูกกว่า ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา และบังกลาเทศ โดยจะมีการย้ายฐานเร็ว ๆ นี้ 5-6 ราย สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยมีผู้ประกอบการรวม 1,600 ราย รายใหญ่ 15 ราย ซึ่งรายใหญ่มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 20 สำหรับภาพรวมการส่งออกเครื่องนุ่ง ห่มไทยปี 2553 มียอดส่งออกประมาณ 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม ผลพวงจากความจำเป็นของผู้ประกอบการที่ต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 และปัญหาเงินบาทแข็งค่าและวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะฝ้ายที่ราคาสูงขึ้น ถึงร้อยละ 70 จากสภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง และการเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่สามารถรับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศได้เต็มที่ คำสั่งซื้อลดลงร้อยละ 10 ขณะที่ผู้ซื้อบางรายหันไปสั่งซื้อ จากเวียดนามแทนทำให้ยอดซื้อเวียดนามเพิ่ม ขึ้นร้อยละ 25 ยอดส่งออกปีนี้จึงฟันธงได้ว่า จะลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปี 2553 การรับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศผู้ส่งออกเครื่องนุ่งห่มไทยกำหนดอัตราแลก เปลี่ยนไว้ที่ 29-30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเงินบาทมีแนวโน้มจะแข็งค่าแตะระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการมากขึ้นไปอีก ปัจจุบันตลาดส่งออกหลักของอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยยังคงเป็นตลาดสหรัฐ ร้อยละ 38 สหภาพยุโรป (อียู) ร้อยละ 30 ญี่ปุ่นร้อยละ 6 และตลาดอาเซียนร้อยละ 7 นายสุกิจ คงปิยาจารย์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวว่า เพื่อพัฒนาศักยภาพในการออกแบบเครื่องนุ่งห่มไทย สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยเตรียมที่จะเสนอโครงการ Garment Product Development Center (GPDC) ให้นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณา และของบสนับสนุนจำนวน 85 ล้านบาท ซึ่ง GPDC จะช่วยให้ผู้ซื้อจากต่างประเทศนำความรู้ ความเชี่ยวชาญในการออกแบบเครื่องนุ่งห่มเข้ามา ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์กับผู้ประกอบการไทย โดยมี GPDC คอยอำนวยความสะดวก ซึ่งจะส่งผลดีให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยได้รับการถ่าย ทอดเทคโนโลยีและแนวคิดในการออกแบบเครื่องนุ่งห่มที่ก้าวทันกับการเปลี่ยน แปลงของตลาดที่เป็นไปอย่างรวดเร็วได้มากขึ้น นายสุกิจ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ซื้อจากต่างประเทศหลายรายเข้ามาดำเนินการในลักษณะนี้บ้างแล้ว เพราะประหยัดต้นทุนการออกแบบได้ประมาณร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับดำเนินการในยุโรปและสหรัฐ จึงมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากผู้สั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามาออกแบบร่วม กับผู้ผลิตไทยมากขึ้นโดยดำเนินการผ่านการช่วยเหลือของ GPDC และร่วมกันพัฒนาและออกแบบเครื่องนุ่งห่ม จะมีการทำสัญญาระหว่างกันไม่ให้มีการรั่วไหลของผลิตภัณฑ์ที่ร่วมกันพัฒนา ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อจากต่างประเทศมั่นใจเข้ามาพัฒนาและสั่งซื้อสินค้าในไทย มากขึ้นต่อไป อีกทั้งจะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยด้วย สำหรับสถานที่ตั้งของ GPDC มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ เสนอจัดสถานที่ให้พร้อมสนับสนุนด้านวิชาการ (สำนักข่าวไทย, 5-1-2554) ยันกรณี 7 คนไทยไม่กระทบการจ้างแรงงานกัมพูชา 5 ม.ค. 54 - นายสุวรรณ์ ดวงตา จัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ออกมาร้องขอให้ผู้ประกอบการ และนายจ้าง รวมไปถึงแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชากว่า 110 คน ที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในราชอาณาจักร และขึ้นทะเบียนจ้างแรงงานต่างด้าวในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์อย่างถูก ต้อง ไม่ควรตื่นตระหนก จากกรณี 7 คนไทย ที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวฐานรุกล้ำเขตแดน บริเวณชายแดนจังหวัดสระแก้ว และยืนยันว่ากรณีดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบ กับการจ้างงานแรงงานต่างด้าว ขณะนี้ทางกระทรวงแรงงาน ก็ไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกสัญญาจ้างแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาแต่อย่างใด จึงขอให้ทุกฝ่ายสบายใจและทำงานไปตามปกติ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ระหว่างรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ได้เจรจาตกลงกันเอง ทั้งนี้เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะผ่านพ้นไปด้วยดี เพราะปัจจุบันประชาชนตามแนวชายแดน ทั้ง 2 ประเทศ ก็ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่ จัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์ ยังระบุอีกว่า จากกรณีดังกล่าวสำนักงานจัดหางานจังหวัด ยังได้มีการเข้าไปพูดคุย ทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการและแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาในเบื้องต้นแล้ว ทุกฝ่ายต่างก็มีเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี พร้อมยืนยันจะไม่มีผลกระทบทั้งกับนายจ้าง และแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในจังหวัดอย่างแน่นอน (คม ชัด ลึก, 5-1-2554) สหภาพฯขวาง ขสมก. ขายเส้นทางให้เอกชน เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 เรื่องการคัดค้านขสมก.ขายเส้นทางเดินรถให้เอกชน ในเส้นทาง สาย 60,2,138 และ142 โดยอ้างว่ารถของขสมก.มีไม่เพียงพอต่อการให้บริการประชาชน และมีภาระค่าซ่อม แต่สหภาพฯมองว่าเป็นเส้นทางหลักที่มีรายได้ดี อีกทั้งรถที่วิ่งอยู่ก็ยังอยู่ในสภาพดี การที่ขสมก.อ้างว่ารถเสียบ่อย จึงถือว่าขัดต่อข้อเท็จจริง ดังนั้นสหภาพฯจะทำหนังสือถึงผู้ บริการขสมก.ให้มีการทบทวน ยกเลิกการดำเนินการดังกล่าวแล้ว และในวันที่ 12 มกราคม 2554 นี้สหภาพฯจะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารสร.ขสมก. เพื่อหามาตรการในการเคลื่อนไหว เพื่อคัดค้านต่อไป ด้านนายฉัตรชัย ชัยวิเศษ นายก สมาคมพัฒนารถร่วมบริการเอกชน หรือรถร่วมขสมก.กล่าวยอมรับว่า ได้รับทราบเรื่องการขายเส้นทางเดินรถมาระยะหนึ่งแล้ว หากมีการดำเนินการจริง ทาง สมาคมฯมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมเดินรถแทน ขสมก. "แต่ตอนนี้ติดปัญหาเกี่ยวกับความ ชัดเจนที่ ขสมก.จะให้สมาคมฯ เสนอตัวเข้าร่วมด้วยหรือไม่ และทราบมาว่า ขสมก.ได้กำหนดสเปกรถที่จะนำมาวิ่งต้องเป็นสเปกเดียวกับรถในโครงการเช่นรถ เมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ทุกประการ" นายฉัตรชัย กล่าว (RYT9, 7-1-2554) คนงานทอผ้าโวยถูกเบี้ยวค่าจ้าง เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่กระทรวงแรงงาน นางซารี ดอระวงษ์ ประธานสหภาพแรงงาน บริษัท อริยะการทอ จำกัด จ.ปทุมธานี พร้อมด้วยลูกจ้างจำนวน 165 คน ได้พร้อมใจกันขี่จักรยานมายื่นข้อเรียกร้องให้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.แรงงาน ดำเนินการช่วยเหลือลูกจ้างที่เดือดร้อนจากกรณีนายจ้างสั่งปิดกิจการ และไม่จ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน โดยนายจ้างอ้างว่าขาดสภาพคล่องทางการเงินเพราะเป็นหนี้กว่า 300 ล้านบาท โดยนางซารีกล่าวว่า ต้องการให้ รมว.แรงงานสั่งการให้นายจ้างจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าหากมีการเลิกจ้างใน ทันที รวมถึงจ่ายเงินชดเชยให้กับคนงานตามที่กฎหมายกำหนด เพราะที่ผ่านมาได้เรียกร้องไปทางสำนักงานประกันสังคม สำนักงานแรงงานจังหวัด กระทรวงอุตสาหกรรม แล้ว แต่ก็ยังนิ่งเฉยอยู่ จึงหวังว่าทางกระทรวงแรงงานจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายให้กับลูกจ้าง (เดลินิวส์, 7-1-2554) เตือนระวังถูกหลอกทำงานคูเวต 8 ม.ค. 54 - นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานได้รับการประสานจากกระทรวงการต่างประเทศกรณีที่มีคนงานไทยเพศ ชายสองราย ขอความช่วยเหลือส่งตัวกลับประเทศไทย และเจรจาขอหนังสือเดินทางจากนายจ้างคืน ทั้งสองได้รับการชักชวนจากนายหน้าจัดหางานเถื่อนชาวเลบานอนที่ประกอบธุรกิจ อยู่ในซอยสุขุมวิท 3 เขตลุมพินี ให้ไปทำงานเป็นพนักงานนวดที่ประเทศคูเวต อ้างว่าจะได้เงินเดือน เดือนละ 500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 15,000 บาท มีค่าล่วงเวลาและเงินพิเศษต่างๆ เรียกเก็บเงินค่าบริการไปคนละ 7,500 บาท เมื่อได้เดินทางไปประเทศคูเวตแล้ว พบว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่นายหน้าคนดังกล่าวสัญญาไว้อีกทั้งสถานที่ทำงาน ยังเสี่ยงอันตรายจากอัคคีภัย และนายจ้างไม่ดูแลความเป็นอยู่ ให้ขนมปังแซนด์วิชเฉพาะมื้อเย็น เพียงวันละ 1 มื้อ ทำงานถึง 23.00 น. ไม่มีค่าล่วงเวลา เป็นสถานประกอบการค้าประเวณีแอบแฝง นายจ้างได้สั่งให้สำเร็จความใคร่ให้ลูกค้า ตัดสินใจหลบหนีร้องทุกข์ต่อสถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต ขอเตือนมิให้ หลงเชื่อคำชักชวนจากสาย/นายหน้าจัดหางานเถื่อนรายใดที่ชักชวนให้ไปทำงานใน ประเทศคูเวต สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองตรวจและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน หรือ โทร. ศูนย์มิตรไมตรี 1694 (ข่าวสด, 8-1-2554) เครือข่ายแรงงาน ชี้นโยบายประชาวิวัฒน์แค่สินค้า-โฆษณาชวนเชื่อ ในงานเสวนาเรื่อง “ประชาวิวัฒน์ หรือปฏิรูปประกันสังคม...หลักประกันที่แท้จริงของชีวิตแรงงาน” จัดโดยคณะกรรมการสมาฉันท์แรงงานไทย และเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน มีผู้นำแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ ผู้แทนสำนักงานประกันสังคม (สปส.) นักวิชาการ รวมประมาณ 30 คนเข้าร่วม น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า แม้จะยังไม่เห็นรายละเอียดในนโยบายประชาวิวัฒน์ แต่เท่าที่ตรวจสอบเห็นว่าเป็นแนวคิดที่เหมือนกับผลิตสินค้าให้โดนใจประชาชน ที่มองว่าเป็นสินค้าเพราะตัวเลขที่ออกมา เช่น จ่ายไป 100 บาทแล้วได้ประโยชน์ทดแทนเท่าไร และรัฐบาลได้โฆษณาหาเสียงกับประชาชน แต่ไม่มีความยั่งยืนเพราะเป็นการโฆษณาที่ไม่แน่ใจว่าสร้างมั่นคงให้ชีวิต หรือสร้างหลักประกันในชีวิตได้แค่ไหน เพราะคิดกันเพียง 5 สัปดาห์เท่านั้น ขณะที่ผู้ที่ซื้อสินค้าไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เครือข่ายแรงงานกำลังดำเนินการอยู่ คือการแก้ไขกฎหมายประกันสังคม เพราะลำพังแค่มาตรา 40 ไม่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ใช้แรงงานเท่าที่ควร และรัฐก็ควรเข้ามามีส่วนร่วมจ่ายด้วย สิ่งเหล่านี้เราคิดกันมาหลายปี ไม่ใช่ทำกันแค่ 5 สัปดาห์ ทำให้มีความแตกต่างกันมาก น.ส.วิไลวรรณกล่าวว่า ขบวนการแรงงานยังคิดถึงการปรับโครงสร้างคณะกรรมการประกันสังคม และให้สปส.ไปสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี รวมถึงการรักษาพยาบาลควรไปที่ รพ.ไหนก็ได้ และควรรักษาได้ทุกโรคโดยไม่ควรมีโรคที่จำกัด ซึ่งสิ่งเหล่านี้คิดกันบนพื้นฐานความยั่งยืนและเป็นข้อเสนอร่วมตลอดหลายปี ที่คิดกันมา ซึ่งถึงเวลาต้องส่งเสียงดังๆ ให้มีการปฏิรูปให้ สปส.เป็นองค์กรอิสระ และรัฐควรฟังเสียงของคนงานและผู้ที่มีส่วนได้เสียด้วย ด้านนางสุจิน รุ่งสว่าง ประธานเครือข่ายแรงงานนอกระบบ กทม.กล่าวว่า รู้สึกเหมือนตนและแรงงานนอกระบบตกเป็นตัวละครของรัฐบาล และรูปแบบที่รัฐออกมาพูดถึงแรงงานนอกระบบยังกว้างเกินที่จะจับต้อง สิ่งที่รัฐกำลังดำเนินการถือว่าเป็นเรื่องเก่า แต่หากให้เป็นเรื่องใหม่คือรัฐต้องร่วมจ่ายสมทบเข้าไปด้วย และแรงงานที่รับงานไปทำที่บ้านก็ไม่ควรเป็นแรงงานนอกระบบเพราะมีนายจ้าง ชัดเจน แต่กลับถูกจัดให้เป็นแรงงานนอกระบบ ทั้งนี้ ภายหลังการเสวนาผู้แทนกลุ่มผู้ใช้แรงงานเครือข่ายต่างๆได้ร่วมกันแถลงข่าว การจัดสมัชชาแรงงาน ในหัวข้อ “ประกันสังคมถ้วนหน้า อิสระและโปร่งใส” ขึ้นในวันที่ 13 มกราคม ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กทม.มีผู้ใช้แรงงานกว่า 1,000 คนเข้าร่วม โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีกำหนดจะไปร่วมด้วย ประเด็นสำคัญคือเรื่อง การปฏิรูปประกันสังคม ให้เป็นองค์กรอิสระภายใต้การกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการ (บอร์ด) มาจากการเลือกตั้ง และมีคณะกรรมการตรวจสอบโดยขยายความคุ้มครองไปสู่แรงงานนอกระบบทุกภาคส่วนรวม ถึงลูกจ้างภาครัฐ และเจ็บป่วยควรเข้ารักษา รพ.ประกันสังคมทุกแห่ง (สำนักข่าวไทย, 8-1-2554) สมาชิกสหภาพแรงงานถูกผู้บริหารแจ้งความข้อหา “ทำให้กลัวหรือตกใจ” 7 ม.ค. 54 ที่ผ่านมา สหภาพแรงงานไทยอินดัสเตรียลแก๊สได้แจ้งข่าวแก่สหภาพแรงงานต่างๆ กรณีที่สมาชิกสหภาพแรงงานไทยอินดัสเตรียลแก๊ส จำนวน 15 คน ถูกผู้บริหารของบริษัทฯ แจ้งความดำเนินคดีข้อหาทำให้กลัวหรือตกใจ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางนา มีหมายเรียกเรียกผู้ต้องหาทั้ง 15 คนจากสาขาเวลโกรว์-สมุทรสาคร-อ่อนนุชไปพบ 2 ครั้ง นอกจากนั้นยังมีหมายเรียกกรรมการจากสระบุรีไปพบอีก 1 ครั้ง ทั้งนี้ในวันที่ 7 ม.ค. 54 ที่ผ่านนั้น สหภาพฯ ได้ร่วมร่วมกันแจกแถลงการณ์ที่หน้าสำนักงานใหญ่ อาคารบางนาทาวเวอร์ ถนนบางนา-ตราด ก.ม.6.5 จากนั้นจึงเดินทางไปที่สำนักงานอัยการ และมีการนัดหมายฟังคำสั่งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 อนึ่งนอกจากที่ สน.บางนาแล้ว ในวันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2554 นี้สมาชิกของสหภาพฯ ก็จะเดินทางไปพบ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางพลี เพราะถูกผู้บริหารไปแจ้งความดำเนินคดีไว้อีก 1 สถานี ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยสหภาพฯ ให้ข้อมูลว่ากรณีนี้คนงานยื่นเรื่องร้องทุกข์ตามขั้นตอนของบริษัทฯ แต่กลับถูกดำเนินคดี (ประชาไท, 8-1-2554)
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
Hey. there is a broken link in this article, under the anchor text - หมายศาล
ตอบลบHere is the working link so you can replace it - https://selectra.co.uk/sites/selectra.co.uk/files/pdf/subpoena.pdf