โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

นปช. ร่อนจดหมายปรับทุกข์ 1,300 ผู้พิพากษาทั่วประเทศ

Posted: 27 Jan 2011 11:07 AM PST

27 ม.ค. 54 นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว ว่า แกนนำ นปช.ที่ยังถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุเทพมหานครได้ขอร้องให้แกนนำที่รักษาการอยู่ในขณะนี้ ยกร่างจดหมายเปิดผนึก เป็นจดหมายปรับทุกข์ เพื่อส่งถึงผู้พิพากษา 1,300 คนทั่วประเทศ ให้รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล และความไม่ยุติธรรมในคดีที่แกนนำ นปช. ถูกกล่าวหา

นางธิดา ยังเปิดเผยด้วยว่า ได้รับจดหมายตอบกลับจากศาลอาญาระหว่างประเทศว่า จะรับพิจารณาเรื่องการส่งพยานมาสังเกตการณ์การพิจารณาคดีคนเสื้อแดงในประเทศไทย แม้ไทยจะไม่ได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญากรุงโรมก็ตาม

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รับฟ้องคดี บก.ลายจุด จัด ‘เปลือยเพื่อชีวิต’ ใต้ทางด่วนดินแดง ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขวางการจราจร

Posted: 27 Jan 2011 10:22 AM PST

27 ม.ค.54  ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานอัยการได้ส่งฟ้องคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด เป็นจำเลยในข้อหา มั่วสุมทางการเมืองเกิน 5 คน กีดขวางทางจราจร และ ก่อความไม่สงบแก่ประชาชน  ในพื้นที่ซึ่งมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งศาลได้รับฟ้องและนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 18 มี.ค.54 เวลา 9.00 น.

ทั้งนี้ ในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาในชั้นสอบสวนระบุว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2553 เวลา 13.50 น. ผู้ต้องหาได้ปราศรัยอยู่บนเวทีชั่วคราวใต้ทางด่วนดินแดง ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง มีการจุดไฟเผายางรถยนต์ให้เกิดควันไฟบดบังวิสัยทัศน์ทำให้ประชาชนเดือดร้อน

นายสมบัติ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนโดนฟ้องในคดีฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินรวมแล้ว 2 คดี ก่อนหน้านี้คือกรณีที่นัดหมายประชาชนประมาณ 80 คนไปรวมตัวกันที่บริเวณสวนหย่อมถนนเลียบทางด่วน ลาดพร้าว 71 เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน ไม่มีการใช้เครื่องขยายเสียงใดๆ แต่เจ้าหน้าที่ถือว่าเป็นการชุมนุมกันเกิน 5 คน ส่วนกรณีนี้คือการตั้งเวทีชั่วคราวใต้ทางด่วนดินแดงในสถานการณ์ซึ่งมีการปราบปรามประชาชนเสียชีวิตไปแล้วเป็นจำนวนมาก จึงได้จัดกิจกรรม “เปลือยเพื่อชีวิต” บริเวณนั้นเพื่อสื่อสารให้ทหารหยุดยิงและสื่อว่าประชาชนไม่มีอาวุธ มีคนร่วมกิจกรรมประมาณ 40-50 คน อย่างไรก็ตาม จากกิจกรรมนั้นตนถูกดำเนินคดีเพียงคนเดียว คาดว่าเป็นเพราะรัฐบาลต้องการจะหยุดการเคลื่อนไหว การทำกิจกรรมของตนด้วยคดีความ ให้เกิดความหวาดกลัวหรือหวั่นไหว ซึ่งไม่เป็นผล

นอกจากนี้นายสมบัติตอบคำถามเรื่องกระแสข่าวการรัฐประหารที่เริ่มมีขึ้นในช่วงนี้ด้วยว่า การรัฐประหารดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ยังเกิดขึ้นได้ แต่หากเกิดรัฐประหารในครั้งนี้ เชื่อว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของประเทศไทย เพราะจะต้องเผชิญกับคลื่นมวลชนมหาศาลที่จะไม่ยอมรับการรัฐประหารโดยเด็ดขาด และไม่เฉพาะในหมู่คนเสื้อแดงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าความขัดแย้งของประชาชนสองสีจะไม่ใช่เงื่อนไขสำคัญ ต่อให้โกรธกันขนาดไหนก็ไม่มีทางเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นได้ เพราะพื้นฐานของสังคมไทยไม่เอื้อต่อความรุนแรงในระดับนั้น

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จาตุรนต์ ฉายแสง : ความเห็นต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯ

Posted: 27 Jan 2011 09:50 AM PST

ผมได้เคยให้ความเห็นไว้ว่า  การเคลื่อนไหวของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ” และกลุ่มพันธมิตรในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามละเลยได้ มาถึงเวลานี้ก็ชัดเจนแล้วว่าการเคลื่อนไหวนี้กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ทั้งต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและต่อสถานะและเสถียรภาพของรัฐบาลไทยเองอย่างที่หลายฝ่ายอาจคาดไม่ถึงมาก่อน

ล่าสุดกลุ่มพันธมิตร นำโดยพลตรีจำลอง ศรีเมืองได้เสนอข้อเรียกร้อง 3 ข้อให้รัฐบาลดำเนินการภายใน 2 วัน มิฉะนั้นก็จะดำเนินการขั้นต่อไป พร้อมทั้งได้ประกาศด้วยว่า ไม่ชนะไม่เลิก (อีกแล้ว) ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อดั่งที่ทราบกันทั่วไปอยู่แล้วนั้น เป็นข้อเสนอที่รัฐบาลไทย ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ไม่ควรทำตาม  เพราะเป็นข้อเรียกร้องที่มีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสียหายมากยิ่งขึ้น และอาจจะเสียหายมากถึงกับกลายเป็นการกระทบกระทั่งหรือการรบกันระหว่างทหารของทั้งสองประเทศ

ในความเห็นผม สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับทั้งสองประเทศและสำหรับประเทศไทยเองด้วยก็คือ การมีสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศรวมทั้งกัมพูชาด้วย การมีความสัมพันธ์ที่ดีควรจะเกิดจากการพยายามของทั้งสองฝ่ายที่จะร่วมมือกันในด้านต่างๆ ให้มากขึ้น  ทั้งในด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ฯลฯ ซึ่งทั้งสองประเทศมีศักยภาพที่ดีที่จะร่วมมือกันอยู่แล้ว รวมทั้งยังมีพื้นฐานที่ดีจากการที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลและประชาชนของทั้งสองประเทศได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีไว้แล้วด้วย รัฐบาลไทยก่อนการรัฐประหารเมื่อปี 2549 เคยมีนโยบายร่วมมือและช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านให้มากๆ  ด้วยแนวความคิดว่ายิ่งประเทศเพื่อนบ้านดีขึ้นเท่าไร เราก็ดีขึ้นด้วยเท่านั้น

ผ่านมาเพียง 4-5 ปีเท่านั้น เรากลับกำลังมีปัญหากับกัมพูชามากขึ้นๆ และกำลังมีความพยายามที่จะผลักดันให้ทั้งสองประเทศขัดแย้งกันจนถึงขั้นรบราฆ่าฟันกันไปเสียแล้ว

ปัญหาเขตแดนระหว่างประเทศนั้นควรแก้ด้วยการเจรจาหารือกัน เหมือนอย่างที่เราทำกับประเทศรอบบ้านเราจนมีผลสำเร็จด้วยดีเสมอมาซึ่งก็รวมถึงกัมพูชาด้วย มาถึงตอนนี้วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายรวมทั้งประเทศไทยเองก็คือการเจรจาหารือ  ไม่ใช่ใช้กำลังเข้าใส่กัน การยกเลิกเอ็มโอยู ปี 2543 จึงไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้สองประเทศถอยหลังกลับไปสู่ภาวะที่ตึงเครียดและเสี่ยงต่อการที่ปัญหาจะลุกลามบานปลายโดยไม่เป็นประโยชน์ต่อใครเลย

การถอนตัวจากการเป็นกรรมการมรดกโลกก็เป็นสิ่งที่ไทยไม่ควรทำ เพราะจะทำให้เสียโอกาสในการชี้แจงเรื่องราวต่างๆให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย และไทยก็ไม่ได้มีเรื่องปราสาทพระวิหารอยู่เพียงเรื่องเดียวที่ต้องอาศัยคณะกรรมการนี้ เรายังต้องร่วมมือกับนานาประเทศในเรื่องต่างๆอีกมาก  ไทยเราจึงควรแสดงความมีวุฒิภาวะที่พร้อมจะร่วมมือแก้ปัญหาต่างๆ อย่างอารยประเทศเขาทำกัน

สำหรับข้อเสนอข้อที่ 3 ที่เสนอให้ทหารไทยผลักดันประชาชนกัมพูชาให้ออกจากพื้นที่พิพาทนั้น ฟังผิวเผินก็อาจหาเหตุผลมาโต้แย้งได้ยาก เพราะหากไม่ทำก็เหมือนกับยินยอมยกดินแดนตรงนั้นให้กัมพูชาไป แต่ความจริงการจะแก้ปัญหานี้ รัฐบาลไทยควรให้หลักการตามที่กำหนดไว้ในเอ็มโอยู ปี 2543 คือต้องใช้การเจรจาหารือบนพื้นฐานของการพยายามร่วมกันแก้ปัญหาอย่างมิตรต่อมิตรด้วยกัน จะดีกว่าการเผชิญหน้ากันด้วยกองกำลังทหารซึ่งอาจจะบานปลายเสียเปล่าๆ

สรุปว่าผมไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรทั้ง 3 ข้อ ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลไทยจะทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตร  และขอเสนอให้รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยความรอบคอบ  พยายามชี้แจงเหตุผลความเป็นมาให้ประชาชนเข้าใจ เคารพสิทธิของประชาชนในการชุมนุมและแสดงความคิดเห็น ไม่ใช้มาตรการหรือวิธีการใดๆ ที่รุนแรงเกินกว่าเหตุต่อประชาชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม

ผมคิดว่าสังคมไทยควรมีการศึกษาทำความเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในกรณีของไทย-กัมพูชากันอย่างจริงจัง  เพื่อจะได้มีทางแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม  ไม่ไปผสมโรงกับการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะคลั่งชาติ ช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของประเทศและความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านไว้บนหลักการที่ถูกต้อง

นอกจากนั้นยังควรช่วยกันติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด บางทีการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรในเรื่องนี้อาจไม่เพียงต้องการให้ไทยกับกัมพูชาขัดแย้งกันมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่อาจแฝงความพยายามที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รุนแรงด้วยวัตถุประสงค์ที่ลึกลับซับซ้อนแบบที่หาเหตุหาผลตามปรกติไม่ได้ก็ได้

 
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จม. เปิดผนึกเร่งขอรัฐบาลนำ พรบ. สัญชาติ พิจารณา

Posted: 27 Jan 2011 08:45 AM PST

27 ม.ค. 2554 - เครือข่ายแก้ปัญหาการคืนสัญชาติไทยได้ออกจดหมายเปิดผนึก เรื่อง "ขอให้บรรจุวาระร่างพระราชบีญญัติสัญชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ. ... เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร"

ตามที่เครือข่ายแก้ปัญหาการคืนสัญชาติคนไทย : ไทยพลัดถิ่น ได้จัดกิจกรรมยุติธรรมยาตรา จาก....ด่านสิงขรถึงรัฐสภาฯ เพื่อรณรงค์และผลักดันให้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเร่งรัดนำร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ. .... เข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรในสมัยการประชุมนี้นั้น เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ ได้ติดตามและศึกษาวิจัยในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับคนไทยพลัดถิ่นมาอย่างต่อเนื่อง พบว่ากลุ่มคนไทยพลัดที่ตั้งถิ่นฐานในบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ชุมพร ระนอง  ซึ่งมีมากกว่า 20,000 คน ได้ถูกจำกัดสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรและสวัสดิการทางสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน การถูกเอารัดเอาเปรียบจากสภาวะ การเป็นบุคคลไร้รัฐ ไร้สิทธิ ไร้ตัวตน โดยเกือบจะสิ้นเชิง

จึงมีข้อเรียกร้องขอให้รัฐบาลเร่งนำ พรบ. สัญชาติ เข้าพิจารณาในสมัยประชุมนี้ ส่วนในสถานการณ์ฌฉพาะหน้า ขอให้มีการผลักดันรับรองสิทธิความเป็นคนไทยให้กับคนพลัดถิ่น เพื่อให้เข้าถึงทรัพยากรและสิทธิพื้นฐาน และสุดท้ายคือมีการตั้งคณะกรรมการร่างกฏกระทรวงว่าด้วย "การพิสูจน์และรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น" ตามแนวทาง พรบ. สัญชาติ โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของเครือข่ายการแก้ปัญหาคืนสัญชาติคนไทย: ไทยพลัดถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เนื้อหาจดหมายเปิดผนึกฉบับเต็มมีดังนี้

 



จดหมายเปิดผนึก
เรื่อง ขอให้บรรจุวาระร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ. …
เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

       ตามที่เครือข่ายแก้ปัญหาการคืนสัญชาติคนไทย : ไทยพลัดถิ่น ได้จัดกิจกรรมยุติธรรมยาตรา จาก....ด่านสิงขรถึงรัฐสภาฯ เพื่อรณรงค์และผลักดันให้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเร่งรัดนำร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่...)พ.ศ. .... เข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรในสมัยการประชุมนี้นั้น เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ ได้ติดตามและศึกษาวิจัยในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับคนไทยพลัดถิ่นมาอย่างต่อเนื่อง พบว่ากลุ่มคนไทยพลัดที่ตั้งถิ่นฐานในบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ชุมพร ระนอง  ซึ่งมีมากกว่า ๒๐,๐๐๐ คน ได้ถูกจำกัดสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรและสวัสดิการทางสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน การถูกเอารัดเอาเปรียบจากสภาวะ การเป็นบุคคลไร้รัฐ ไร้สิทธิ ไร้ตัวตน โดยเกือบจะสิ้นเชิง
       ดังนั้นการเคลื่อนไหวผลักดันของเครือข่ายแก้ปัญหาการคืนสัญชาติคนไทย : ไทยพลัดถิ่น จึงไม่เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาสภาวะการเป็นคนไทยพลัดถิ่นที่ไร้สิทธิ เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการวางรากฐานที่สำคัญในตำแหน่งแห่งที่ของการเป็นพลเมืองไทย สิทธิความเป็นไทย อันเป็นรากฐานที่สำคัญของการการปฏิรูปสังคมไทย เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำจาการแก้ไขปัญหาประชาชนอย่างจริงจัง
       เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ จึงขอเรียกร้องและเสนอแนะมายังรัฐบาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการแสดงเจตนารมณ์อันมุ่งมั่นในที่จะร่วมกันปฏิรูปสังคมไทยจากจุดเริ่มต้นในการแก้ไขปัญหาไทยพลัดถิ่น ดังนี้


       1. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดนำร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ. ..... เข้าพิจารณาในสมัยการประชุมนี้
       2. ในสถานการณ์เฉพาะหน้า จะต้องมีการผลักดันให้รับรองสิทธิความเป็นคนไทย ให้กับคนไทยพลัดถิ่น สามารถเข้าถึงทรัพยากรและสิทธิขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีวิต อาทิ สิทธิการรักษาพยาบาล การศึกษา การเดินทางออกนอกพื้นที่
       3. จัดตั้งคณะกรรมการยกร่างกฎกระทรวงว่าด้วย “การพิสูจน์และรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น” ตามแนวทางร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ.... โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของเครือข่ายการแก้ปัญหาคืนสัญชาติคนไทย: ไทยพลัดถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
       เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ มีความเห็นว่าการแก้ไขปัญหาประชาชน และความยุติธรรมในสังคม เป็นรากฐานที่สำคัญของการปฏิรูปและสร้างสังคมไทยที่เข้มแข็ง, รัฐบาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และผู้ที่เกี่ยวข้องต้องแสดงออกอย่างมุ่งมั่น และจริงจัง ในการร่วมกันผลักดันข้อเรียกร้องและข้อเสนอแนะข้างต้น

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้

 


 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เวทีสันติภาพโลกที่ปัตตานี : มุสลิมเอเชียดันเจรจาแก้ความขัดแย้ง

Posted: 27 Jan 2011 07:57 AM PST

 

ระหว่างวันที่ 26- 28 มกราคม 2554 เครือข่ายมุสลิมเอเชีย หรืออามาน (AMAN) ร่วมกับมูลนิธิทรัพยากรเอเชีย และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตปัตตานี จัดโครงการสมัชชา AMAN ครั้งที่ 4 และการประชุมนานาชาติ เรื่อง “พหุวัฒนธรรมและสันติภาพโลก” ขึ้นที่ห้องประชุมวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตปัตตานี โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน ประกอบด้วย  นักวิชาการ ผู้นำศาสนา ผู้แทนจากองค์กรพัฒนาเอกชน จากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในเอเชีย แอฟริกา ยุโรป และสหรัฐอเมริกา

ในการประชุมได้มีการอภิปรายประเด็นเรื่องการสร้างสันติภาพและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การสร้างสันติภาพในพื้นที่ความขัดแย้งต่างๆ โดยเฉพาะในลายประเทศของทวีปเอเชีย ซึ่งรวมถึงมีการนำเสนอข้อมูลและสถานการณ์ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยตัวแทนองค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่ อันเนื่องมาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นตัวอย่างหนึ่งของพื้นที่ความขัดแย้งในโลก

นายเอกราช ซาบูร์ รองผู้อำนวยการ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาเพื่อสันติภาพและการแปรเปลี่ยนความขัดแย้ง มูลนิธิทรัพยากรเอเชีย ซึ่งเป็นองค์กรเครือข่ายมุสลิมเอเชีย หรือ AMAN เปิดเผยว่า การจัดประชุมครั้งนี้มีขึ้นในวาระโอกาสครบรอบ 20 ปี ของ AMAN เหตุที่เลือกปัตตานีเป็นสถานที่ประชุม เนื่องจากอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่เผชิญกับความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและความรุนแรงตั้งแต่ปี 2547 ส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตและการถดถอยในการพัฒนา
นายเอกราช เปิดเผยต่ออีกว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมสมัชชาอามาน ซึ่งจัดทุก 4 ปี เป็นการนำสมาชิก องค์กรและเครือข่ายที่ทำงานร่วมกันที่มีอยู่ทั่วโลก มาประชุมร่วมกัน เพื่อวิเคราะห์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานของในแต่ละพื้นที่ เพื่อมาดูทิศทางว่าอามานควรจะทำงานไปในทิศทางไหน และสร้างความตระหนักและจิตสำนึกในพื้นที่ความขัดแย้งในเรื่องการสร้างสันติภาพ

นายเอกราช เปิดเผยต่อไปว่า การจัดประชุมสมัชชาอามานจะจัดในพื้นที่ขัดแย้ง โดยปีที่แล้วจัดที่อินโดนีเซีย เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยนำผู้ที่อยู่ในพื้นที่ประสบปัญหาความขัดแย้งมาสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นระหว่างคนที่อยู่ในพื้นที่ความขัดแย้งด้วยกันทั่วโลก เป็นการเรียนรู้การแก้ปัญหาได้ โดยต้องผ่านการเจรจา

“เราต้องการให้เกิดการเรียนรู้ในภาคประชาสังคม และผลักดันเป็นนโยบายออกมาในพื้นที่ความขัดแย้ง โดยนำคนในพื้นที่ความขัดแย้งทั่วโลกมาร่วมประชุม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการอยู่กับความขัดแย้ง ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นประโยชน์ในการสร้างสันติภาพ และเป็นการเสริมสร้างกำลังใจและความเป็นหนึ่งเดียว” นายเอกราช กล่าว

นายเอกราช กล่าวว่า นอกจากการการเรียนรู้ว่า กระบวนการสร้างสันติภาพมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไรแล้ว ในขณะเดียวกันเป็นการเปิดโอกาสให้คนต่างชาติได้มาเรียนรู้ในพื้นที่ความขัดแย้งโดยตรงของประเทศไทย เพราะที่ผ่านมาต่างชาติจะรู้จากเอกสารและข่าว โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

“ตอนนี้มีองค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เยอะ เพื่อแก้ปัญหา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไม่ได้รับข้อมูลความต้องการที่แท้จริงจากคนในพื้นที่ ซึ่งอาจนำไปสู่การแก้ปัญหาสันติภาพที่ไม่มีประสิทธิภาพได้” นายเอกราช กล่าว

นายเอกราช เปิดเผยด้วยว่า ที่ผ่านมา AMAN มีบทบาทจนสามารรถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นได้ ในอินโดนีเซียและในติมอร์ตะวันออก เนื่องจากโดยตัวของเลขาธิการ AMAN มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำติมอร์ตะวันออกคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาก่อน ขณะเดียวกันผู้ก่อตั้ง AMAN คือ นายอับดุลเราะมาน วาฮีด ก็เป็นอดีตประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย

“ในช่วงที่อินโดนีเซียกำลังมีปัญหาอยู่กับติมอร์ตะวันออก AMAN ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นตัวเชื่อมให้เกิดการเจรจาของทั้งสองประเทศ โดยใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่เจรจาบ้าง” นายเอกราชกล่าว

นายเอกราช กล่าวว่า AMAN มีความเชื่อในกระบวนการสร้างสันติภาพ คือการให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เน้นที่กระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ เพราะกระบวนการเป็นตัวที่จะทำให้คนเข้ามามีส่วนร่วม โดยเฉพาะภาคประชาสังคมจะมีความสำคัญมาก เพราะถ้าภาคประชาสังคมเข้มแข็ง มีความต้องการหรือวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน กระบวนการหรือยุทธศาสตร์ในการสร้างสันติภาพก็จะชัดเจนด้วย

“ในบางประเทศมีกระบวนการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพอธิปไตย แต่เมื่อได้รับอธิปไตยมาแล้ว กระบวนก็หยุดชะงัก ไม่รู้จะไปอย่างไรต่อ มีปัญหามากมาย เพราะไม่รู้ว่าข้อเรียกร้องที่ชัดเจนคืออะไร เนื่องจากพื้นฐานของหลายคนที่เข้าร่วมขบวนการต่อสู้เรียกร้องดังกล่าว เข้ามาเพราะความโกรธแค้น โดยไม่มีความชัดเจนในเรื่องอุดมการณ์ความคิด เพราะฉะนั้นวิสัยทัศน์จึงสำคัญในการที่จะทำให้เรารู้ว่า เราต้องการอะไร ซึ่งจะนำมาสู่การกำหนดยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการทำงาน”

นายเอกราช กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ภาคประชาชนจำเป็นต้องยกระดับการมีส่วนร่วมขึ้นมา โดยต้องมานั่งคิดกันให้มาก รู้จักวิเคราะห์ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้นำ ตัวอย่างในบางประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ ที่กลุ่ม MNLF ที่ได้รวมกลุ่มและเรียกร้องให้มีการเจรจากับรัฐบาล โดยมีหลายประเทศให้ความช่วยเหลือ จนสุดท้ายก็ได้เขตปกครองพิเศษขึ้นมาในทางตอนใต้ของประเทศฟิลิปปินส์

“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แม้กลุ่ม MORO ได้มีอำนาจขึ้นมาบริหารเขตปกครองพิเศษ แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างยังไม่ถูกแก้ไข ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนยังมีอยู่โดยคนในพื้นที่เอง ซึ่งเจ็บปวดมากกว่า จึงทำให้เกิดกลุ่มที่จับอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับกลุ่มคนชาติพันธ์เดียวกัน เพราะฉะนั้นบทเรียนเหล่านี้ จะทำอย่างไรที่จะให้เป็นประโยชน์ต่อจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย” นายเอกราช กล่าว

“อีกอย่างที่เราเชื่อ คือ การเจรจาสันติภาพไม่ใช่สันติภาพอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งต้องดูผลของการเจรจาว่า นำไปสู่การปฏิบัติด้วยหรือเปล่า การเจรจาที่ได้ผลคือการเจรจาที่สร้างกลไกที่ทำให้ภาคประชาชนหรือภาคประชาสังคมสามารถพูดและนำผลประโยชน์มาสู่ประชาชนได้ ไม่ใช่ประโยชน์ของกลุ่มการเมืองหรือผู้นำ” นายเอกราช กล่าว

“ส่วนการเจรจาที่ล้มเหลมก็คือการเจรจาที่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานผลประโยชน์ของผู้นำหรือกลุ่มการเมือง เพราะฉะนั้นการเจรจา ต้องตอบโจทย์ของประชาชนให้ได้” นายเอกราช กล่าว

นายเอกราช กล่าวด้วยว่า การเสริมสร้างศักยภาพชุมชนในพื้นที่ความขัดแย้งของ AMAN ต้องเป็นระยะๆ เพื่อให้ประชาชนหรือภาคประชาสังคมเป็นตัวคุมเกมให้ได้ในระหว่างประเทศ ในประเด็นการแก้ปัญหาความขัดแย้ง

“ในกระบวนการในการต่อสู้ ถ้าเป็นกลุ่มการเมืองประชาชนต้องมีกลุ่มการเมืองเดียวในการเลือกตั้ง แต่ในประเทศไทยมีหลายพรรค มีตัวแทนของประชาชนเข้าไปอยู่ในหลายกลุ่มการเมืองในระบบเลือกตั้ง ทำให้ตัวแทนของเขาไม่มีพลังพอ และไม่มีความเป็นเอกภาพพอ ส่วนกลุ่มการเมืองเองก็ไม่ได้จับกลุ่มกับประชาชนให้เป็นหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้นการสร้างกระบวนการนี้ต้องขึ้นอยู่กับประชาชนและต้องยกระดับขึ้นมา“

นายเอกราช เปิดเผยด้วยว่า หลังการประชุมสมัชชา AMAN จะทำเป็นแผนยุทธศาสตร์และกำหนดอนาคตการทำงานของ AMAN ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่อ แม้องค์กรแต่ละกลุ่มที่อยู่ในเครือข่ายในแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างหลากหลาย แต่ไม่ใช่เรื่องลำบากในการกำหนดยุทธศาสตร์ร่วมกัน เนื่องจาก AMAN ทำงานหลากหลายมิติ ทั้งในเรื่องความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง ความยากจน ผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นปัญหาที่เชื่อมโยงกันหมด เพราะฉะนั้น AMAN จึงต้องทำงานในเชิงองค์รวม

สำหรับหัวข้อที่มีการประชุมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ เช่น พหุวัฒนธรรมและสันติภาพ : ความท้าทายในการส่งเสริมสานเสวนาภายในและระหว่างศาสนา และ ความร่วมมือเพื่อสันติภาพโลก ทำความเข้าใจชายแดนใต้ : วิสัยทัศน์ของประชาชนและวาระแห่งสันติภาพ ประเด็นสันติภาพในเอเชียตะวันออกโดยความเชื่อมโยงพิเศษต่อมาตราก้าวของรัฐธรรมแห่งญี่ปุ่น
ประเด็นสันติภาพและการพัฒนาในเอเชียใต้โดยความเชื่อมโยงพิเศษต่ออัฟกานิสถานและปากีสถาน ประเด็นสันติภาพและการพัฒนาในโลกอาหรับโดยความเชื่อมโยงพิเศษต่อปาเลสไตน์และการเปลี่ยนเป้าจากอิรักสู่อิหร่าน

สตรีในพื้นที่ความขัดแย้ง:ภาวะผู้นำของผู้หญิงในการเยียวยาและสร้างสันติภาพ แนวคิดด้าน “มหาอำนาจประชาสังคม” : วิสัยทัศน์เยาวชนเพื่อขบวนการเยาวชนเพื่อสันติภาพระดับโลก คุณค่าทางศาสนาและจริยธรรมในการตอบสนองต่อความท้าทายของภาวะโลกร้อน เป็นต้น
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"หมอประเวศ" ชู 5 แนวทางพัฒนาสื่อสร้างสรรค์สังคม

Posted: 27 Jan 2011 06:31 AM PST

'หมอประเวศ' เสนอในเวทีสัมมนา เท่าทันสื่อ ครั้งที่ 1 “ไทย-ทัน-สื่อ” ยก 5 แนวทางพัฒนาสื่อไทยให้สร้างสรรค์ อัด มหาวิทยาลัย มีศักยภาพพัฒนาประเทศได้สูง แต่กลับเมินดูแลสังคม

เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ - เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2554 นายโคทม อารียา ประธานคณะกรรมการบริหารแผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) กล่าวเปิดการสัมมนา เท่าทันสื่อ ครั้งที่ 1 “ไทย-ทัน-สื่อ” ว่า ปัจจุบัน สื่อมีอิทธิพลต่อความคิด และการดำเนินชีวิตประจำวันของคนไทยเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จนมีประชาชนบางกลุ่มที่ไม่สามารถแยกแยะสารที่เป็นข้อเท็จจริง หรือ เรื่องที่สื่อปรุงแต่งออกจากกันได้ จนเกิดคล้อยตามสื่อโดยไม่รู้ตัว และกลับต้องตกเป็นเหยื่อของสื่อ ดังนั้นการจัดเวทีภาคประชาคม จึงเป็นการรวมพลังครั้งสำคัญ ที่จะทำให้คนไทย มีภูมิคุ้มกันและกระบวนการเรียนรู้ให้เท่าทันสื่อด้วยการใช้สติปัญญาในการแยกแยะ ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับให้ได้ รวมทั้งจะนำผลการอภิปรายและข้อเสนอแนะแปลงเป็นนโยบายเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดสื่อที่ดีในสังคมต่อไป

ด้าน ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง เท่าทันสื่อสู่การปฏิรูปประเทศไทยว่า ขณะนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติการณ์ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จนไม่มีทางออก แต่ส่วนตัวคิดว่าทางออกของวิกฤติการณ์ดังกล่าว คือ การใช้สติปัญญา และไม่ใช้ความรุนแรง ขณะเดียวกัน ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในระบบบริโภคนิยม เพราะฉะนั้น สื่อก็จะถูกใช้เป็นเครื่องมือของการโฆษณาการบริโภคนิยมเป็นส่วนใหญ่ จึงจำเป็นจะต้องคิดหาวิธีที่จะทำให้ประเทศไทยมีสื่อที่สร้างสรรค์ให้มากยิ่งขึ้นตามมาด้วย โดยขั้นตอนและกระบวนการผลิตสื่อที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่เพียงแต่การเสนอคณะรัฐมนตรีให้เป็นนโยบายของรัฐบาลเท่านั้น แต่จำเป็นจะต้องมีการพัฒนาให้สู่การลงมือปฏิบัติให้เกิดผลอย่างแท้จริงด้วย

ราษฎรอาวุโส กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมนั้น อยากเสนอว่า ควรดำเนินการใน ประเด็นต่อไปนี้ 1. มหาวิทยาลัย ควรดึงนิสิต นักศึกษา จากคณะนิเทศศาสตร์ ทั่วประเทศ ให้ร่วมกันดำเนินการติดตามและประเมินสื่อ เพื่อให้เด็กนักศึกษาได้สามารถเรียนรู้จากการลงมือทำอย่างแท้จริง 2. สถาบันการศึกษา ทั้ง โรงเรียน มหาวิทยาลัย ควรมีการจัดทำหลักสูตรวิชาการ วิเคราะห์ข่าวสารในแต่ละวัน เพื่อให้ผู้บริโภคสื่อมีวิจารณญาณ ในการวิเคราะห์ ว่าข่าวสารที่ได้รับในแต่ละวัน มีสารประโยชน์อะไรบ้าง โดยจะสะท้อนการสื่อสารให้มีคุณภาพที่ดี

ศ.นพ.ประเวศ กล่าวอีกว่า 3.ควรมีการผลิตสื่อที่ดี มีประโยชน์ ให้เผยแพร่ออกอากาศทางโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ได้ 4. ควรจัดตั้งสถาบันส่งเสริมและพัฒนารองรับการผลิตนักข่าว นักสื่อสารมวลชน ให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้มีมุมมองในการช่วยนำพาบ้านเมืองให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น และ 5.ทางสถานีโทรทัศน์ ก็ควรมีการร่วมมือกันในการพัฒนาคนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ผมคิดว่าขณะนี้ มหาวิทยาลัยในประเทศไทย มีมุมมองการดำเนินงานที่ผิดแบบ โดยเฉพาะ การใช้วิชาเป็นตัวตั้ง จนมองไม่เห็นสังคม ที่จริงมหาวิทยาลัยมีศักยภาพที่จะสามารถสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้นได้อีกมาก แต่กลับไม่สนใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลแล้เป็นห่วงต่ออนาคตเด็กไทย ทั้งนี้ จากการที่รัฐบาลได้ประกาศนโยบาย 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด ซึ่งเป็นการใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง ก็คิดว่าจะสามารถบริหารจัดการ และบูรณาการส่งเสริมการศึกษาให้คนในพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น” ราษฎรอาวุโส กล่าว

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ให้ประกัน ‘เอ็นจีโอด้านพลังงาน’ คดีหมิ่นประมาทโรงไฟฟ้าบางคล้า รอนัดพร้อม 31 ม.ค.นี้

Posted: 27 Jan 2011 05:37 AM PST

วันนี้ (27 ม.ค.53) ที่ศาลอาญารัชดา นางสาววัชรี เผ่าเหลืองทอง เอ็นจีโอด้านพลังงานจากโครงการจับตานิวเคลียร์ จำเลยในคดีบริษัทสยาม เอ็นเนอจี่ จำกัด โดยนายบุญชัย เจียมจิตจรุง ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทย์ฟ้องหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ได้เข้ายื่นขอประกันตัว โดยใช้สลากออมสินเป็นหลักทรัพย์ในการประกัน ศาลพิจารณาแล้วให้ประกันตัวในช่วงบ่ายวันเดียวกัน และนัดสอบคำให้การจำเลย ในวันเดียวกับวันนัดพยานหลักฐาน นัดพร้อมเพื่อประชุมคดี และกำหนดวันนัดสืบพยาน ในวันที่ 31 ม.ค.54 เวลา 9.00 น.

คดีความดังกล่าวเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.3151/2552 ซึ่งโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 8 ก.ย.52 โดยมีนางสาววัชรี เผ่าเหลืองทอง เป็นจำเลยที่ 1 และนางสาวจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ เป็นจำเลยที่ 2  เนื่องจากการสัมภาษณ์ออกอากาศทางรายการคมชัดลึก ของสถานีโทรทัศน์เนชั่นชาแนล เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.52 กรณีชาวบ้านจาก อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ได้ปิดถนนประท้วงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบางคล้า ระหว่างวันที่ 8-10 มิ.ย.52 

ทั้งนี้ หลังจากมีการไต่สวนมูลฟ้อง 3 นัด เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.53 ศาลวินิจฉัยสั่งฟ้องนางสาววัชรี และให้ยกฟ้องนางสาวจอมขวัญ อ้างเหตุผลว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินรายการคมชัดลึก การซักถามเป็นการทำหน้าที่ในฐานะสื่อมวลชน เพื่อนำเสนอรายละเอียดต่อสาธารณชน จึงไม่มีเจตนาที่จะหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เครือข่ายวิชาการเตือนภัยสารเคมีจี้รัฐแบน 4 สารเคมีการเกษตรสุดอันตราย

Posted: 27 Jan 2011 04:34 AM PST

 

เครือข่ายวิชาการเตือนภัยสารเคมีเกษตร ประเทศไทย (คสท) ชี้ปัญหาสารเคมีการเกษตรตกค้างในพืชผักผลไม้ของไทยอยู่ในขั้นวิกฤติ เผยการขาดมาตรการกำกับการใช้สารเคมีของภาครัฐเป็นเหตุให้ไทยต้องแบนตัวเองไม่ส่งสินค้าเกษตรไปอียู แนะรัฐบาลให้ความสำคัญกับผู้บริโภคในประเทศเพราะยอดคนตายจากโรคมะเร็งสูงกว่าโรคเอดส์และอุบัติเหตุหลายปีติดต่อกันแล้ว จี้รัฐแบนสารเคมีการเกษตร 4 ชนิด ได้แก่ carbofuran, dicrotophos, EPN และ methomyl พร้อมใช้โอกาสขึ้นทะเบียนสารเคมีเกษตรใหม่ทั้งหมดกวดขันการขึ้นทะเบียนสารเคมีที่ไร้การควบคุมมานาน

เคยูโฮม ม.เกษตรศาสตร์ (25 ม.ค.2554) - เครือข่ายวิชาการเตือนภัยสารเคมีเกษตร ประเทศไทย (คสท) ซึ่งมีสมาชิกที่ประกอบด้วยนักวิชาการด้านสารเคมีการเกษตร นักการแพทย์ และองค์กรด้านสาธารณะประโยชน์ ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับกรณีการระงับการส่งออกสินค้าเกษตร 16 ชนิดไปยังตลาดสหภาพยุโรปว่า เกิดขึ้นจากความปล่อยปละละเลยของหน่วยงานภาครัฐ และควรให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสุขภาพของผู้บริโภคด้วยเพราะสถานการณ์การปนเปื้อนของสารเคมีการเกษตรในผลผลิตอาหารปัจจุบันอยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว

นายแพทย์ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีเกษตร ประเทศไทย (คสท) กล่าวว่านอกเหนือจากการเร่งรีบแก้ปัญหาการส่งออกไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรหรือผู้ส่งออกสินค้าเกษตรแล้ว รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรฯ ต้องปฏิรูปการควบคุมสารเคมีการเกษตรอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพประชาชนในประเทศ ด้วยขณะนี้ปัญหาสารเคมีเกษตรเข้าสู่ขั้นวิกฤตแล้ว

ผลการตรวจเลือดของเกษตรกรใน จ.เชียงใหม่ จำนวน 924 คน เมื่อปี 2551 พบว่าอยู่ในขั้นไม่ปลอดภัยถึงร้อยละ 38 และผลการตรวจเลือดของกลุ่มผู้บริโภคจำนวน 1,412 คน พบว่ามีระดับไม่ปลอดภัยสูงถึงร้อยละ 60.9 รวมถึงจำนวนผู้ป่วยจากสารเคมีเกษตรอาจสูงถึง 200,000 – 400,000 คน จากการการประเมินของแผนงานวิจัยและพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพและระบบการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ สถาบันวิจัยระบบสาธารณะสุข ในปี 2548

“เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความตื่นตัวของนานาชาติต่อปัญหาด้านสารเคมีเกษตร เพราะจากการศึกษาในประเทศต่างๆ พบว่าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหลายชนิดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเกิดโรคมะเร็งและอีกหลายๆโรค โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของหลายประเทศ เช่น แคนาดาที่ประชาชนจำนวนถึงร้อยละ 44 จะป่วยด้วยโรคมะเร็งในช่วงชีวิต สำหรับประเทศไทยสถิติการป่วยด้วยโรคมะเร็งก็พุ่งสูงมาก จนเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งแซงหน้าโรคเอดส์และอุบัติเหตุหลายปีติดต่อกัน จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบว่าในแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งมากถึง 55,000 คน สังคมไทยไม่ควรเพิกเฉยกับปัญหานี้”  นายแพทย์ปัตพงษ์กล่าว

นายแพทย์ปัตพงษ์ ยังกล่าวต่อว่า ปัญหาวิกฤตพิษภัยจากสารเคมีการเกษตรทำให้นักวิชาการ นักการแพทย์ และเครือข่ายภาคประชาสังคมที่ตระหนักในเรื่องนี้ได้รวมตัวกันภายใต้ชื่อเครือข่ายวิชาการเตือนภัยสารเคมีเกษตร ประเทศไทย (คสท) หรือ Thailand Pesticide Alert Network – ThaiPAN ขึ้น โดยภารกิจแรกคือการตรวจสอบติดตามการขึ้นทะเบียนสารเคมีการเกษตรของคณะกรรมการวัตถุอันตราย และผลักดันให้มีการแบนสารเคมีการเกษตรอันตราย 4 รายชื่อที่หลายประเทศเลิกใช้แล้ว พร้อมทั้งเตรียมจัดประชุมวิชาการเรื่องสารเคมีเกษตรในประเทศไทยภายในเดือนพฤษภาคมนี้

ด้านนางสาวรพิจันทร์ ภูริสัมบรรณ นักวิจัยมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) แถลงเพิ่มเติมว่าประเทศสมาชิกอียูได้แจ้งเตือนเกี่ยวกับปัญหาสารเคมีตกค้างในผักและผลไม้มาแล้วหลายครั้ง แม้ว่าจำนวนการแจ้งเตือนเรื่องสารเคมีเกษตรจะน้อยกว่าการปนเปื้อนของแมลงศัตรูพืชและเชื้อแซลโมเนลลา (samonella) แต่ทางอียูก็ให้ความสำคัญกับปัญหานี้อย่างยิ่ง เพราะระบบเตือนภัย RASFF (rapid alert system for food and feed) ของทางอียูระบุว่ามีการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในผักส่งออกจากไทยถึง 55 รายการในปี 2553 ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดจากการตรวจพบในปี 2552 และ 2551 ที่อยู่ที่ 26 และ 25 ครั้งตามลำดับ

“ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2553 อียูได้ส่งหน่วยงานมายังประเทศไทยเพื่อประเมินมาตรการการควบคุมและป้องกันปัญหาจากสารเคมีเกษตรตกค้างและเชื้อจุลินทรีย์ปนเปื้อน และมีรายงานสรุปใน DG (SANCO) 2010-8575 – MR Final ว่ากรมวิชาการเกษตรและโรงงานบรรจุสินค้าส่งออกให้ข้อมูลต่อเกษตรกรไม่เพียงพอที่จะป้องกันการตกค้างของสารเคมีเกษตรที่เกินค่ามาตรฐาน EU MRLs ในผักผลไม้ พร้อมกับประกาศแก้ไขข้อกำหนดเรื่องการตรวจหาสารเคมีเกษตร 22 ชนิด ซึ่งมี monocrotophos สารเคมีที่ประเทศไทยแบนแล้วตั้งแต่ปี 2543 รวมอยู่ด้วย ในผักส่งออกจากไทย 3 ชนิด คือ มะเขือม่วง ถั่วฝักยาว และผักประเภทกะหล่ำ ซึ่งมีอัตราการตรวจแล้วที่ร้อยละ 50 และขณะนี้ทางอียูกำลังเตรียมการที่จะแบนการนำเข้าพืชผักจากประเทศไทย”

นักวิจัยมูลนิธิชีววิถีกล่าวต่อว่าทั้งนี้ประเทศไทยยังมีระบบการขึ้นทะเบียนสารและชื่อการค้าของสารเคมีการเกษตรที่ย่อหย่อนมาก โดยอนุญาตให้มีการขึ้นทะเบียนการค้าและสารออกฤทธิ์กว่า 27,000 รายการ ซึ่งอาจจะมากที่สุดในโลก ขณะที่ประเทศมาเลเซียและเวียดนามมีการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเพียง 917 และ 1,743 รายชื่อตามลำดับเท่านั้น ขณะนี้จึงเป็นโอกาสดีที่หน่วยงานรัฐจะกวดขันระบบการขึ้นทะเบียนเพราะประกาศการทรวงเกษตรฯ เรื่องการขึ้นทะเบียนฯ ที่กรมวิชาการเกษตรรับผิดชอบ ภายใต้ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2551 กำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องขึ้นทะเบียนสารเคมีเกษตรใหม่ทั้งหมด โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2554 ที่จะถึงนี้ พร้อมกันนั้นควรปฏิเสธการขึ้นทะเบียนสารเคมีเกษตรบางชนิดที่มีความเป็นพิษสูง เช่น carbofuran, dicrotophos, EPN และ methomyl ด้วย”

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ผู้บริโภค หนุน สคบ. ฉลากครบ โฆษณาไม่ผิด พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค

Posted: 27 Jan 2011 04:12 AM PST

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค หนุนสคบ. ดำเนินโครงการ “ฉลากครบ โฆษณาไม่ผิด พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค” พร้อมเรียกร้องผู้ประกอบการให้ความร่วมมือ และขยายผลให้ครอบคลุมห้างสรรพสินค้าทั้งหมด

 

27 ม.ค.54  มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคขอสนับสนุนการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคของ สคบ. ที่ดำเนินการดำเนินโครงการ “ฉลากครบ โฆษณาไม่ผิด พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค”  ร่วมกับห้างสยามแมคโคร เพื่อกระตุ้นให้ผู้ผลิตและ ผู้จัดจำหน่ายสินค้า ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ พร้อมจัดทำฉลากสินค้าให้ถูกต้องและเหมาะสม ไม่ใช้โฆษณาที่เป็นเท็จหรือเกินจริง หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิดในข้อมูล

พร้อมเรียกร้องให้ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าอื่นๆ ให้ความร่วมมือ ให้ครอบคลุมทุกค่ายในตลาดโดยเร็วเพื่อให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคด้านฉลากอย่างแท้จริง

นายพชร แกล้วกล้า เจ้าหน้าที่งานสนับสนุนเครือข่ายฝ่ายรณรงค์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคเกี่ยวกับปัญหาด้านฉลากเพิ่มเติมอีกว่า นั่นคือ 1) ฉลากสินค้านำเข้า ขาดความสมบูรณ์ เป็นภาษาต่างประเทศที่อ่านยาก เข้าใจยาก หรือฉลากที่ผสมกันระหว่างภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ เช่นชื่อสินค้าและวันเดือนปีที่ผลิตเป็นภาษาต่างประเทศ ขณะที่ส่วนอื่น ๆ เป็นภาษาไทย  2) ฉลากแสดงข้อมูลที่สำคัญและบังคับต้องแสดงตามกฎหมายไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง เช่น ไม่มีวันผลิต ไม่มีวันหมดอายุในกรณีที่เป็นสินค้าที่หมดอายุได้ ไม่ระบุราคาสินค้าหรือราคาสินค้าบนฉลากกับบนชั้นวางสินค้าไม่ตรงกัน และแสดงเบอร์โทรศัพท์ติดต่อผู้ผลิตแต่ไม่แสดงชื่อผู้ผลิตและสถานที่ผลิต เป็นต้น 3) ตำแหน่งที่อยู่ของฉลากอยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ยาก อ่านยาก ตัวอักษรมีขนาดเล็ก หรือฉลากด้านในกับฉลากด้านนอกในกรณีที่เป็นสินค้าแบ่งบรรจุไม่ตรงกัน เช่นกรณีกระเช้าของขวัญ เป็นต้น 4) ฉลากมีการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณหรือสื่อให้เข้าผิดเกี่ยวกับคุณภาพและคุณประโยชน์ของสินค้านั้น ๆ ของสินค้าบนฉลาก

“อยากให้ สคบ. เข้มงวด และปรับอัตราสูงสุดในการบังคับใช้กฎหมายฉลากกับผู้ประกอบการทุกราย โดยฉลากสินค้าต้องให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่ผู้บริโภคอย่างครบถ้วน ต้องเป็นภาษาไทยทั้งหมด มีการระบุอายุการใช้งานที่ชัดเจน มีวันผลิต และมีวันหมดอายุหากเป็นสินค้าที่เสื่อมสภาพง่าย อ่านได้ง่าย อยู่ในจุดที่เห็นได้ง่าย มีวิธีการใช้งาน บอกว่าทำมาจากอะไร มีข้อควรระวังที่ชัดเจน และต้องไม่มีการให้ข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภค ทั้งบนฉลากและนอกฉลากด้วย” นายพชร กล่าว

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บทกวีของณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ฝากจากเรือนจำมาเตือนสติรัฐบาลอภิสิทธิ์

Posted: 27 Jan 2011 03:57 AM PST

เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ของวันนี้ (27 ม.ค.) มีบทกวีของณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หนึ่งในแกนนำ นปช. โพสท์ลงบนหน้า facebook ของเขาพร้อมข้อความว่า "นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ฝากกลอนผ่านมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพค่ะ ฝากเตือนสติอภิสิทธิ์ด้วยบทกลอนนี้"

เนื้อหาของบทกวีมีดังนี้

 


คอยกลิ่นอิสรภาพ แต่เหม็นสาปรัฐประหาร
...ซากเดนเผด็จการ วางแผนงานเตรียมปล้นชิง
อ้อมกอดอำมหิต อภิสิทธิ์จะตกหิ้ง
กลียุคจะเป็นจริง ให้ช่วงชิงยุบสภา

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
มกราคม 2554

 


 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลไฟเขียวประกันตัว "ไชยวัฒน์-สมบูรณ์" คดีร่วมกันยึดสนามบิน ระบุผู้ต้องหาไม่มีเจตนาหนีหมายจับ

Posted: 27 Jan 2011 03:47 AM PST

มติชนออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ญาติของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ผู้ต้องหาที่ 1 และนายสมบูรณ์ ทองบุราณ ผู้ต้องหาที่ 2 ในคดี ร่วมกันกับกลุ่มผู้ชุมชุมพันธมิตร บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองเมื่อปลายปี 2551 ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 8 แสนบาท ขอประกันตัวผู้ต้องหา

ตามคำร้องระบุว่า เนื่องด้วยผู้ต้องหาไม่มีเจตนาหลบหนีหมายจับของศาล โดยเฉพาะวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกับกุมนั้น ผู้ต้องหายังได้แสดงเจตจำนงผ่านสื่อมวลชน และนัดหมายไปยัง ผบ.ตร.ว่าจะไปพบที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ชุดจับกุมก็ยังเข้าจับกุมผู้ต้องหา และมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งไม่มีพฤติการณ์ว่าจะหลบหนีไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน เมื่อฝากขังพนักงานสอบสวนก็ไม่คัดค้านการประกันตัว จึงขออนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวด้วย

ศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสอง โดยตีราคาประกันตัวผู้ต้องหาที่ 1 จำนวน 6 แสนบาท และผู้ต้องหาที่ 2 จำนวน 2 แสนบาท

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บทกวีเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของธิดา ถาวรเศรษฐ

Posted: 27 Jan 2011 03:42 AM PST

ใน facebook มีการเผยแพร่บทกวีที่เขียนโดย นพ. เหวง โตจิราการ มอบให้แก่ ธิดา ถาวรเศรษฐ หนึ่งในแกนนำ นปช. เนื่องในวันคล้ายวันเกิดพร้อมกับลายเซ็นของแกนนำคนอื่นๆ โดยมีการนำมาเผยแพร่ผ่านภาพถ่ายในล็อกอินที่ชื่อ DanggoopRedshirt Udd

โดยมีข้อความของ สลักธรรม โตจิราการ บุตรชายเขียนบรรยายใต้ภาพว่า

"การ์ดอวยพรวันเกิดคุณแม่ครับ..คุณพ่อผมเป็นคนทำครับ โดยให้คนข้างในช่วยวาดรูปให้ ส่วนบทกวีคุณพ่อเป็นคนแต่งครับ.."
---สลักธรรม โตจิราการ---

เนื้อหาของบทกวีมีดังต่อไปนี้

 


 

ธิดา  ถาวรเศรษฐ

ธิดา      หาญมุ่งสู้       ทรชน
ถา        ฝ่าพายุฝน     ชั่วร้าย
วร         มนใฝ่ชัยดล   มอบแด่ ผองไพร่
เศรษฐ   ซื่อปัญญาใช้  หันเหี้ยน เหล่ามาร

  ธิดา ถาวรเศรษฐ       สุดวิเศษเลิศปัญญา
กล้าแบกภาระฝ่า         มุ่งนำพาท้าผองภัย
  ศัตรูร้ายอำมหิต        เที่ยวปลงปลิดชีวิตไพร่
ทำลายประชาธิปไตย   สังคมไทยจารีตนิยม
  เธอย่างก้าวเข้ามา      ในภาวะแดงขื่นขม
สามัคคีประชาชน         ลุกหยัดตนสู้ต่อไป
  เอาความจริงเป็นอาวุธ เรียกร้องยุติธรรมไสว
คนเท่าเทียมที่ฝันใฝ่     สันติใช้เป็นหนทาง
  กองทัพคนเสื้อแดง    กลับฤทธิ์แรงไม่พรั่นพลาง
เคลื่อนพลสรรพางค์     ชุดแผ้วถางสู่ชัยเอย

25 มกราคม  2554
นพ. เหวง  โตจิราการ


 

ชมภาพได้ ที่นี่

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีตีนแดง : ตราบใดที่ไม่ทรยศชาติ

Posted: 27 Jan 2011 12:31 AM PST

            

                รู้สึกยังไง?
                อืม... รู้สึก...
                ทางนั้นก็น้องผมเอง
                เขาเกิดมาเพื่อแทนคุณแผ่นดิน
                ทางนี้ก็ลูกผมเอง
                ประเทศไทยโชคดีที่มีเขาเป็นนายกฯ
                ทางนั้น – รักชาติ
                ทางนี้ – ไม่ทรยศชาติ
                ทางนั้น – ปกป้องสถาบันฯ
                ทางนี้ – ปกป้องสถาบันฯ
                ทางนั้น – น้ำหนักน้อย...แต่กระดูกมวยดีเยี่ยม
                ทางนี้ – อ่อนซ้อม...แต่กำลังภายในสมบูรณ์
                น้องผมก็ดี
                ลูกผมก็เด่น
                พระสะ – หยามเทวาธิราชจะปกป้องทั้งสองฝ่าย
                ...รู้สึกยังไง?
                อืม...ตราบใดที่ไม่ทรยศชาติ
                คู่นี้...ผมเชียร์.

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

'ทรู' ฟ้อง กลุ่มนักสิทธิผู้บริโภค กรณีให้ความรู้เรื่องคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีผลต่อสุขภาพ

Posted: 26 Jan 2011 11:58 PM PST

 

 

27 ม.ค. 2554 - มติชนออนไลน์ รายงานว่า จากกรณีที่ บริษัททรูมูฟ จำกัด ได้ยื่นฟ้อง นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) นางสาวสารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคในฐานะกรรมการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคใน กิจการโทรคมนาคม และนายสุเมธ วงศ์พานิชเลิศ นักวิชาการและกรรมการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมในข้อหา ละเมิด และเรียกค่าเสียหาย 1,760,000 บาท เนื่องจากเผยแพร่ให้ข้อมูลความรู้กับประชาชน เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพนั้น
 
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง  ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวว่า  ผู้ถูกฟ้องทั้งหมดดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่เพราะมีผู้ร้องเรียนเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ได้เป็นการกล่าวหาบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่เป็นการให้ข้อมูลความรู้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน การหยิบเรื่องนี้มาฟ้องคดีเสมือนเป็นการข่มขู่คนที่ทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ สบท. หรือองค์กรเอกชน และทำให้ทุกฝ่ายเสียเวลา
        
“ผิดหวังมากที่ฟ้องคนทำงานคุ้มครองผู้บริโภค เพราะตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมาย ผู้บริโภคมีสิทธิได้รับข้อมูลที่เป็นความจริง สิ่งที่นำเสนอไม่ได้เป็นการกล่าวหาทรู แต่ทรูกลับเป็นบริษัทเดียวที่ดำเนินการฟ้องคดี ที่ผ่านมาจากการทำงานเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคเราไม่เคยถูกบริษัทโทรคมนาคม ฟ้องคดี จึงรู้สึกผิดหวังจริงๆ เพราะสิ่งที่เผยแพร่เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสาธารณะในวารสารวิชาการใน ต่างประเทศ มีสาระสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อันเป็นจิตสำนึกตามปกติที่พึงมีต่อส่วนรวม” นางสาวสารีกล่าว
 
ด้าน นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) กล่าวว่า  การให้ข้อมูลความรู้ในกิจการโทรคมนาคมเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคถือเป็นการ ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายโดยสุจริตในฐานะ “เจ้าหน้าที่”  ของรัฐ นอกจากนี้ข้อมูลเรื่อง “คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า” มิได้ฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง แต่เป็นข้อมูลซึ่งอ้างอิงมาจากผลการศึกษาทางวิชาการ ทางการแพทย์ในต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน และผลการศึกษาจากในประเทศไทยเอง โดยไม่เคยสรุปว่า เสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือเป็นสาเหตุของโรคใดๆ แต่จากข้อมูลทางวิชาการที่มีอยู่ สรุปได้ว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพมนุษย์  ที่สำคัญการเผยแพร่ข้อเท็จจริงนี้มีเพื่อเสนอแนะเชิงนโยบาย ให้เกิดการทบทวนนโยบายและเกิดมาตรการป้องกันสุขภาพของประชาชน อันเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับสิทธิของประชาชนตามพระราชบัญญัติสุขภาพ แห่งชาติ พ.ศ. 2550
 
“ถึงแม้ว่าปัจจุบันยังไม่สามารถยืนยันในทางใด ทางหนึ่ง แต่เนื่องจากมีผลวิจัยอันน่าเชื่อถือซึ่งพบผลกระทบต่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้น หลายประเทศจึงได้ใช้หลักการป้องกันไว้ก่อน เช่น สวีเดน เบลเยี่ยม อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย แม้กระทั่งรัฐสภายุโรปในญัตติเรื่อง 'ความกังวลต่อสุขภาพที่สัมพันธ์กับสนามแม่เหล็กไฟฟ้า' ได้มีมติให้มีมาตรการป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพจาก มือถือ WIFI  WiMax ตลอดจนสถานีวิทยุโทรคมนาคมทุกชนิด โดยการตั้งเสาสัญญาณฯ ต้องให้โรงเรียน ศูนย์เด็กอ่อน สถานพยาบาล ปลอดจากคลื่นต่างๆ และให้ประชาสัมพันธ์ความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจมี การเผยแพร่เรื่องนี้จึงเป็นการให้ข้อมูลความจริง เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคและเพื่อนำไปสู่การผลักดันให้เกิดมาตรการป้องกัน สุขภาพของประชาชน” ผอ.สบท.กล่าว
 
นายประวิทย์กล่าวต่อไปว่า แม้แต่องค์การอนามัยโลก (Who)  ยังไม่อาจยืนยันได้ว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ เนื่องจากพบว่าประชากรร้อยละ 3 ในโลกเป็นผู้ป่วยด้วย “โรคภูมิแพ้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า” ซึ่งประเทศสวีเดนเป็นประเทศแรกในโลกที่ประกาศขึ้นทะเบียนโรคนี้อย่างเป็นทาง การ และหากมีนักเรียน หรือครู อาจารย์แม้เพียงคนเดียวที่เกิดอาการภายในโรงเรียน สถานีวิทยุคมนาคมที่ตั้งอยู่ใกล้โรงเรียนจะถูกสั่งให้ถอนย้ายทันที ดังนั้นจึงยังไม่มีองค์กรใด หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใดในโลกที่กล้ายืนยันว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมและให้ข้อมูลกับประชาชนในฐานะผู้ใช้ บริการให้ระมัดระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
 
คดีนี้ศาลแพ่งนัดกำหนดแนวทางพิจารณาคดีและชี้สองสถานในวันที่ 31 มกราคม 2554 เวลา 9.00 น.
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อัยการสั่งฟ้อง 3 แกนนำคนงาน ชุมนุมเกินสิบคนก่อความวุ่นวาย

Posted: 26 Jan 2011 10:42 PM PST

อัยการสั่งฟ้อง 3 แกนนำแรงงาน ข้อหาชุมนุมเกิน 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ ศาลให้ประกันตัววงเงินคนละ 2 แสนบาท

เมื่อเวลา 11.00น. วันที่ 27 ม.ค. 54 ที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 สำนักงานอัยการสูงสุด พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง น.ส.จิตรา คชเดช ที่ปรึกษาสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ  น.ส.บุญรอด  สายวงศ์ อดีตเลขาธิการสหภาพฯ และนายสุนทร บุญยอด เจ้าหน้าที่สภาศูนย์กลางแรงงาน ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยเป็นหัวหน้า หรือ ผู้สั่งการเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก (กฎหมายอาญา มาตรา 85, 215 และ 216) จากเการชุมนุมของคนงานเมื่อวันที่ 27 ส.ค.52 โดยพนักงานอัยการได้ยกฟ้องข้อหากีดขวางทางจราจร (พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 108) เนื่องจากคดีหมดอายุความ

ทั้งนี้ พนักงานอัยการได้ส่งตัวผู้ต้องหาทั้งสามนำไปฝากขังที่ศาลอาญารัชดา  โดยมีอดีตคนงานบริษัทไทรอัมพ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ราว 40 คน มาให้กำลังใจ
 
ล่าสุด (16.25 น.) จำเลยทั้งสามได้รับการประกันตัวในชั้นศาลแล้ว ด้วยหลักทรัพย์วงเงินคนละ 200,000 บาท โดย น.ส.สุดา รังกุพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นนายประกัน น.ส.จิตราและ น.ส.บุญรอด และ นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เป็นนายประกัน นายสุนทร
 
โดยศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 28 มี.ค.นี้ เวลา 9.00 น.
 

แฟ้มภาพ โดยนักข่าวพลเมือง 27 ส.ค.52

สำหรับการชุมนุมเมื่อวันที่ 27 ส.ค.52 นั้น เป็นการชุมนุมของคนงานจากสหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย, สหภาพแรงงานอิเล็กทรอนิกส์และ แม็คคานิคส์ ในเครือบริษัทเอนี่ออน อิเล็กทรอนิกส์ (ไทยแลนด์) จำกัด และคนงานบริษัท เวิลด์เวลล์การ์เม้นท์ พร้อมองค์กรแรงงานและประชาชนกว่า 1,000 คน ไปยังทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา เพื่อติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาหลังจากได้ยื่นเรื่องต่อนายกรัฐมนตรี ก่อนหน้านั้น โดยในวันดังกล่าว มีการใช้เครื่องขยายเสียงระดับไกล หรือ LRAD กับผู้ชุมนุมด้วย ซึ่งหลังจากนั้น นักกิจกรรมกลุ่มหนึ่งได้ทำหนังสือประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เรียกร้องให้ถอนการออกหมายจับโดยทันที รวมถึงเรียกร้องให้รัฐบาลและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดำเนินการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย

 

 

 
 
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 83 ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวาง โทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา 215 ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ บรรดาผู้ที่กระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัว หน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 216
เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา ๒๑๕ ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น