โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

กรมคุ้มครองสิทธิฯ จ่ายเงินเยียวยาเหยื่อสลายชุมนุมเพิ่ม 8 ราย ยังค้างนับร้อย

Posted: 17 Jan 2011 07:57 AM PST

 
เศกสิทธิ์และลูกชายวัย 7 ปี
สันติพงษ์และเศกสิทธิ์
 
17 ม.ค.54 ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม มีการมอบเงินเยียวยาแก่ญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.53 โดยมีญาติผู้เสียชีวิต ในวันที่ 10 เม.ย.53 จำนวน 5 รายเข้ารับเงินเยียวยารายละ 100,000 บาท และยังมีผู้บาดเจ็บ 3 รายที่ได้รับเงินเยียวยาด้วย เช่น นายเศกสิทธิ์ ช้างทอง ซึ่งสูญเสียดวงตา 2 ข้าง ได้รับเงินเยียวยา 103,000 บาท นายรุ่งศักดิ์ เสตะกาญจนาพร โดนยิงที่ขา ได้รับเงินเยียวยา 36,800 บาท นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บที่เพิ่งเข้ายื่นเรื่องกับกรมคุ้มครองสิทธิฯ อีก 2 รายคือ นายสันติพงษ์ มูลฟอง หรือน้องเบิร์ดที่สูญเสียดวงตา 1 ข้างจากกระสุนยางเมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 และนายศุภวัชช์ ปัณจันตา ช่างภาพของ Voice TV ซึ่งถูกยิงบริเวณต้นขาในเหตุการณ์เดือนพ.ค.53
 
นางปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรมคุ้มครองสิทธิ์ฯ  กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมที่ได้รับเงินเยียวยาแล้วประมาณ 40 กว่าราย จากที่ยื่นเข้ามาทั้งหมดประมาณ 200 กว่าราย ความล่าช้าที่เกิดขึ้นเป็นเพราะหน่วยงานไม่ได้ดำเนินการเฉพาะกรณีของผู้ชุมนุม นปช. แต่ต้องดูแลเหตุการณ์ความไม่สงบ ความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทั้งประเทศโดยเฉพาะใน 3 จังหวัดภาคใต้ นอกจากนี้กว่าจะได้รับการอนุมัติจะต้องผ่านการวินิจฉัยจากคณะอนุกรรมการ 2 ครั้งและคณะกรรมการใหญ่อีก 1 ครั้ง ทั้งนี้ ญาติผู้เสียชีวิตในวันที่ 10 เม.ย.รายหนึ่งกล่าวว่า การดำเนินการค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลานานมากกว่าจะได้รับเงินเยียวยา และถึงที่สุดก็ไม่คุ้มกับชีวิตของบุคคลที่รักที่สูญเสีย
 
นายเศกสิทธิ์ ข้างทอง อาชีพขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างอยู่ในบริเวณที่มีการสลายการชุมนุมและถูกลูกหลงกระสุนปืนยิงเข้าที่เบ้าตาทำให้สูญเสียการมองเห็นทั้ง 2 ข้าง กล่าวว่า เงินดังกล่าวไม่มีทางคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป
 
“อยากขอแลกกับอภิสิทธิ์ เขายอมไหม เงินหนึ่งแสนสามพันบาทแลกกับตาบอดตลอดชีวิตใครเอาบ้าง ให้ทุกคนลองคิดดูว่าการตาบอดตลอดชีวิตกับเงินเท่านี้ ราคาบ้านอย่างเดียวก็แปดแสนแล้ว” เศกสิทธิ์กล่าว
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันหลังจากสูญเสียการมองเห็นนายเศกสิทธิ์หันมาทำอาชีพขายล็อตเตอรี่ แต่ก็ขายเฉพาะวันที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ส่วนเงินที่ได้นั้นตั้งใจจะนำไปลงทุนซื้อคุกกี้มาขายต่อ เพื่อหาเงินเลี้ยงดูบุตรชายวัย 7 ปี ซึ่งอยู่ในสภาพลำบาก แม่ของเศกสิทธิ์เล่าให้ฟังว่าลูกชายไปโรงเรียนต้องสั่งข้าวมันไก่แต่ไม่มีไก่ มีแต่ข้าวเปล่าๆ นำมากินกับน้ำซุปเป็นประจำ  
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลนัดสืบพยานคดีก่อการร้าย 28 ก.พ. 54

Posted: 17 Jan 2011 06:11 AM PST

ศาลนัดสืบพยานโจทก์คดีแกนนำ นปช.ก่อการร้าย 28 ก.พ.เวลา 9 โมงเช้าห้ามผู้เกี่ยวข้องรับฟังการพิจารณา ทนายความจ่อยื่นคำร้องเปลี่ยนองค์คณะอ้างไม่เปิดโอกาสให้ต่อสู้อย่างเต็มที่ 

17 ม.ค. 54 - ศาลอาญา นัดฟังคำสั่งคดี พร้อมกำหนดนัดวันสืบพยานโจทก์ ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 ฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายการุณ โหสกุล สส.พรรคเพื่อไทย และเป็นแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือนปช.เป็นจำเลยร่วมรวมทั้งหมด 19คน ในความผิดฐานก่อการร้าย ในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง เมื่อระหว่างเดือนเม.ย.-พ.ค.53 วันที่ 28 ก.พ.นี้ เวลา 09.00 น.

นัดตรวจพยานหลักฐานของศาลอาญาวันนี้ พนักงานอัยการโจทก์ ได้ยื่นคำร้องขอรวมสำนวน นายอร่าม แสงอรุณ หัวหน้าการ์ดนปช. คนสนิท พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และมีผู้ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมอีก 4 ราย ศาลจึงนัดฟังคำสั่งคดี พร้อมกำหนดนัดวันสืบพยานโจทก์ดังกล่าว และกำชับให้จำเลยที่ได้รับการประกันตัวมาร่วมการพิจารณาคดีในนัดหน้า และห้ามไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมฟังการพิจารณา

ด้าน นายคารม พลทะกลาง ทนายความ นปช. กล่าวว่า คณะทนายความเตรียมยื่นคำร้องต่อนายบูรณ์ ฐาปนดุลย์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เพื่อขอเปลี่ยนตัวองค์คณะผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ เนื่องจากเห็นว่าไม่ให้โอกาสจำเลยในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ และไม่ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอย่างเปิดเผย เนื่องจากไม่อนุญาตให้กลุ่มคนเสื้อแดงร่วมฟังการพิจารณาคดี

ที่มาข่าว: โพสต์ทูเดย์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักข่าวพลเมือง: ชีวิตลูกเมียผู้ต้องขัง คดีแดงปะทะเหลืองเชียงใหม่

Posted: 17 Jan 2011 05:04 AM PST

 
 
 
 
 
 
 
เช้าวันเด็กแห่งชาติเมื่อเสาร์ก่อนที่สนามเด็กเล่นเล็กๆ ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง อุดมพาลูกสาววัยสามขวบซึ่งจริงๆ แล้วเป็นลูกของน้องสาวตัวเองที่รับมาช่วยเลี้ยงดูร่วมกับสมศักดิ์ อ่อนไสว สามีที่ตอนนี้ถูกจับและถูกจองจำตลอดมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2552 ด้วยคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาอยู่ที่เรือนจำกลางเชียงใหม่ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างคนเสื้อแดงกับฝ่ายตรงข้ามในการชุมนุมทางการเมือง (อ่านเพิ่มเติม: สั่งจำคุก 20 ปี ไม่รอลงอาญา-ห้ามประกัน 5 แกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่ / รักเชียงใหม่ 51 ปะทะเดือดเจ็บ 2 ฝ่าย พ่อแกนนำทหารเสือพระราชาดับ)
 
มองเผินๆ แล้วเด็กหญิงคนนี้ก็เหมือนเด็กอื่นทั่วไปที่อยากเล่นอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อสังเกตติดตามไปสักพักหนึ่งก็เห็นว่า เด็กมีนิสัยเก็บตัวไม่กล้าเข้าร่วมกลุ่มกับเด็กอื่นๆ หนึ่งในนักศึกษาที่เป็นทีมงานจัดกิจกรรมวันเด็กครั้งนี้เข้าไปพูดคุยและชวนน้องเล่นกันสองคน เด็กหญิงก็เล่นด้วย แต่เมื่อชวนให้ร่วมกิจกรรมเล่นเกมหรือวาดรูปแข่งกับคนอื่น เด็กหญิงกลับหลบไปแอบเกาะติดอยู่กับแม่ จะเป็นด้วยความที่ตัวเล็กกว่าคนอื่น หรือด้วยความที่ขาดบางสิ่งบางอย่างหรือไม่ ที่ทำให้เด็กหญิงไม่กล้าเข้าร่วมกลุ่มกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน การพบเจอกันเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ คงไม่สามารถจะสรุปได้ แต่ใครๆ ก็คงรู้สึกได้ไม่ต่างกันนัก
 
จากที่มีโอกาสได้พูดคุยกับอุดมในวันถัดมา ได้ความว่า หลังจากที่สมศักดิ์ถูกจับ ชีวิตก็ต้องระหกระเหินย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง อาชีพการงานไม่เป็นหลักแหล่ง สมศักดิ์เคยขับสามล้อรับจ้างหาเลี้ยงดูแลครอบครัว แต่เมื่อถูกจับกุมก็ไม่เคยได้รับสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่เลย ยังไม่ถึงปีดีก็มีคำพิพากษาศาลให้จำคุก 20 ปี ซึ่งทนายความแจ้งกับอุดมว่าคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ แต่ในสำเนาคำพิพากษาระบุว่าสมศักดิ์ "ไม่ได้ยื่นคำให้การ" ... แม้จากปากคำของอุดมจะเล่าว่าสมศักดิ์ในขณะที่ต้องขังอยู่นี้ยังคงเชื่อว่า "ถ้าเราไม่ได้กระทำผิดจริงคงจะไม่เป็นอะไรหรอก" แต่คำแนะนำของทนายความคือให้รอ...
 
แม้อุดมจะได้รับการติดต่อจากหน่วยงานสิทธิมนุษยชนที่มีหน้าที่ช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้อะไรมากไปกว่าเงินช่วยเหลือส่วนตัวเพื่อการศึกษาเด็กจำนวน 3,000 บาทจากเจ้าหน้าที่บางรายที่เห็นอกเห็นใจ
 
อุดมประสบชะตากรรมเหมือนกับอีกหลายครอบครัวที่ไม่รู้ว่าจะหาความช่วยเหลือได้จากที่ไหนอีก ไม่ว่าในทางคดีหรือทางความยากลำบากในชีวิตส่วนตัว
 
ปัจจุบันอุดมรับจ้างนวดแผนโบราณอยู่ที่โรงแรมเล็กๆ และอาศัยอยู่ในโรงแรมแห่งนั้นกับลูกสาววัยสามขวบ
 
 

ดาวน์โหลด: คำพิพากษา

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สังคมไทยในระยะเปลี่ยนผ่านกับบทบาทของพรรคการเมือง

Posted: 17 Jan 2011 04:08 AM PST

นับจากการเปลี่ยนแปลง 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมาได้สะท้อนให้เห็นประวัติศาสตร์สังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงสร้างทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสถาบันพรรคการเมืองซึ่งเป็นที่มาของอำนาจรัฐและการจัดสรรผลประโยชน์ให้กับประชาชน ตลอดจนเปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นระบบพรรคการเมืองมากขึ้นตามลำดับนั่นหมายถึงประชาชนเริ่มมีจิตสำนึกในจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตยโดยธรรมชาติ จึงเริ่มรวมกลุ่มทางการเมืองและจัดตั้งพรรคการเมืองตามมาเพื่อเป้าหมายในการเข้าไปกำหนดนโยบาย
 
พรรคการเมืองจึงเป็นการรวมกันของกลุ่มบุคคลในสังคมโดยสมัครใจมีอิสระที่จะสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของตนอย่างต่อเนื่องและชัดเจน ในการทำกิจกรรมทางการเมือง เพื่อต้องการส่งตัวแทนเข้าทำหน้าที่ในสภา อันจะได้มาซึ่งอำนาจรัฐในการกำหนดนโยบายสาธารณะ โดยผ่านกระบวนการสรรสร้างแนวความคิดทางการเมืองเพื่อให้สาธารณชนยอมรับและสนับสนุนตามทิศทางของกลุ่ม
 
ความเป็นองค์กรที่มีลักษณะต่อเนื่องนี่เองที่ทำให้พรรคการเมืองมีความต่างออกไปจากการรวมตัวกันแบบหลวมๆ ในลักษณะของกลุ่มเคลื่อนไหวเฉพาะกิจเพื่อเรียกร้องบางเรื่องราว ดังนั้นกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองจึงสร้างเงื่อนไขหรือหลักประกันเพื่อให้เกิดความเคร่งครัดในการสร้างวัตถุประสงค์ทางการเมืองให้เป็นจริง เช่น จะมีกฎเกณฑ์เรื่องลักษณะการจัดตั้งหรือเรื่องจำนวนสมาชิกที่มีพอสมควรหรือบทบาทหน้าที่ เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างแท้จริง
 
เมื่อพรรคการเมืองเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำงานในระบบรัฐสภาหรือการเมืองในระบบประชาธิปไตยในลักษณะตัวแทน จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนจัดตั้งพรรคการเมืองได้สะดวกขึ้น และให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการจัดตั้งเพื่อให้สามารถใช้สิทธิของตนได้อย่างเต็มที่
 
แม้ว่าพรรคการเมืองเป็นสถาบันของเอกชนที่ปัจเจกมารวมตัวกันโดยตรง ไม่ถือว่าเป็นสถาบันของรัฐหรือเป็นสถาบันที่ถืออำนาจรัฐ แต่หากดูบทบาทหน้าที่ตามระบบกฎหมายจะพบว่ากฎหมายได้ให้ความสำคัญต่อสถาบันพรรคการเมือง และถือเสมือนว่าเป็นสถาบันรัฐในทางการเมืองรูปแบบหนึ่ง ทั้งนี้ เพราะนอกจากพรรคการเมืองจะมีบทบาทในการสร้างอุดมการณ์ประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนแล้ว พรรคการเมืองยังเป็นสถาบันที่กำหนดนโยบายสาธารณะและตัดสินใจทางนโยบายให้แก่รัฐด้วย เราจึงไม่อาจแยกสถาบันพรรคการเมืองออกจากรัฐได้
 
พรรคการเมืองจึงมีบทบาทสำคัญในระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน (representative democracies)สามารถช่วยในการอธิบายเป้าหมายของกลุ่ม ช่วยอุ้มชูกลไกทางการเมือง จัดทำและส่งเสริมทางเลือกด้านนโยบาย และนำเสนอทางเลือกต่างๆให้กับประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียง การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพรรคการเมืองในรัฐสภาย่อมส่งผลเกื้อหนุนต่อรัฐบาลให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล และนักการเมืองในพรรคเดียวกันมีแนวโน้มที่จะมีความรับผิดชอบซึ่งกันและกันเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เคยเป็น เนื่องจากต้องประสบกับปลายทางการเมืองที่เหมือนกันนั่นคือการลงสมัครรับเลือกตั้งซึ่งต่างก็มีความมุ่งหวังอย่างเดียวกันว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งจากเงื่อนไขของการที่ได้ใช้ชื่อพรรคร่วมกัน ซึ่งอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าพรรคการเมืองสามารถรับประกันว่านโยบายที่นำเสนอในการเลือกตั้งแต่ละครั้งจะเป็นทางเลือกในการแปลไปเป็นการตัดสินใจในเวทีสาธารณะที่เป็นประโยชน์ของพรรคการเมืองต่อการเลือกตั้ง [1] ในระบอบประชาธิปไตย
 
อย่างไรก็ตามระบอบประชาธิปไตยที่กำลังก้าวย่างไปข้างหน้ามักต้องเผชิญกับภาวะชะงักงัน อันเนื่องมาจาก การกำหนดขอบเขตอำนาจของรัฐในการควบคุมดูแลพรรคการเมืองอย่างเข้มงวด ในขณะที่พรรคการเมืองเองจะต้องนำเสนอนโยบายเพื่อจูงใจประชาชนที่สามารถตรึงการตัดสินใจเลือกพรรคที่ตนต้องการให้เข้ามาเป็นผู้กำหนดนโยบาย หากการจัดทำกฎหมายพรรคการเมืองปราศจากการระบุเงื่อนไขที่กำหนดให้พรรคการเมืองสามารถปฏิบัติได้หรือไม่สามารถปฏิบัติสิ่งใดได้แล้วนั้น ประเทศก็จะเสี่ยงกับการมีระบบการเมืองที่ปราศจากเมตรตาธรรม และจริยธรรมเพราะมีแต่จดจ้องทำลายล้างซึ่งกันและกัน
 
ในขณะเดียวกัน หากรัฐบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดในการควบคุมดูแลการจัดตั้งการรณรงค์ การกำหนดนโยบาย และการดำเนินงานของพรรคการเมืองมากเกินไปก็อาจปิดกั้นมิให้พรรคการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆของสังคม [2] และพรรคการเมืองจะไม่ยึดโยงกับความรับผิดชอบต่อสาธารณชน ดังนั้นการการพิจารณาสถานะของสถาบันพรรคการเมือง เราจะต้องพิจารณาจากความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับรัฐ พรรคการเมืองกับพรรคอื่นๆ พรรคการเมืองกับสมาชิกพรรค และที่ไม่อาจมองข้ามได้ต้องพิจารณาถึงพรรคการเมืองกับสาธารณชนเป็นสำคัญ
 
สิทธิและหน้าที่ของพรรคการเมืองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่รัฐควรคำนึงถึงในอันดับต้นๆสำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยเป็นไปตามหลักการสากล 4 ประการ คือความมีเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเป็นสาธารณะ และความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรค [3]
 
หลักเสรีภาพของพรรคการเมืองหมายถึง เสรีภาพในการตั้งพรรค ซึ่งถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนที่จะริเริ่มขึ้นมาเอง มิใช่เรื่องของรัฐ นอกเหนือจากเสรีภาพในการตั้งพรรคแล้ว ประชาชนยังมีเสรีภาพในการทำกิจกรรมอื่นๆ ของพรรค ซึ่งหมายถึงการเลือกนโยบาย การจัดองค์กรภายใน การเลือกชื่อพรรค การกำหนดข้อบังคับพรรค การเข้ามีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง เสรีภาพในการเลือกสมาชิกพรรค การจัดการเรื่องรายรับและทรัพย์สินต่างๆ รวมถึงเสรีภาพที่จะยุบพรรคของตนด้วย ซึ่งเสรีภาพในที่นี้ มิใช่เสรีภาพขององค์กรพรรคการเมืองเท่านั้น แต่หมายถึงเสรีภาพของปัจเจกชนซึ่งเป็นสมาชิกพรรคที่จะมีสิทธิเข้าหรือออกจากพรรคได้เสมอ ดังนั้น กฎเกณฑ์ของรัฐต้องเอื้อให้เกิดเสรีภาพดังกล่าวนี้
 
หลักความเสมอภาคในระหว่างพรรคการเมือง โดยเฉพาะการมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน ในการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือของสาธารณะ เช่น สื่อ หรือพื้นที่สาธารณะในการทำกิจกรรมต่างๆ ทางการเมือง ความคุ้มครองเรื่องความเท่าเทียมนี้ ยังมีผลบังคับทางอ้อม ไปยังภาคเอกชนมิให้ปฏิบัติต่อพรรคการเมืองโดยไม่เท่าเทียมด้วย เช่น การเลือกปฏิบัติต่อพรรคการเมืองหรือการให้พรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งผูกขาดในการพิมพ์หรือการใช้สื่อของเอกชน ทั้งนี้ เพราะการเมืองยุคปัจจุบันเป็นเรื่องของประชาธิปไตยแบบมีพรรคการเมืองหลายพรรคที่มีการแข่งขันกัน นอกจากนั้นยังรวมถึงการที่ประชาชนทุกๆคนที่อาศัยอยู่ในทุกพื้นที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งอย่างเท่าเทียมกัน เช่นกรณีการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียวที่เปิดโอกาสให้ทุกคนในประเทศนี้ไม่ว่ายากดีมีจน หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ใดก็มีสิทธิลงคะแนนได้หนึ่งเสียงอย่างเท่าเทียมกัน
 
หลักการทำงานร่วมกับสาธารณชน หลักการทำงานและสร้างอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคการเมืองร่วมกับสาธารณชน เป็นหลักการสำคัญเพราะพรรคการเมืองที่มีส่วนเชื่อมโยงระหว่างรัฐกับสังคมและเป็นผู้ประสานงานระหว่างสภากับประชาชนในเขตเลือกตั้ง ซึ่งหมายความว่าพรรคการเมืองต้องมีการสื่อสารกับสังคม ที่อาจเป็นทั้งการสื่อสารทางตรงกับประชาชนโดยตรง หรือผ่านทางสื่อเพื่อให้ประชาชนเข้าใจแนวทางและความคิดเห็นของพรรค โดยประชาชนมีสิทธิที่จะใช้ดุลพินิจเห็นสมควรในการเข้าร่วมกิจกรรมกับพรรคต่างๆ หรือไม่ตามประสงค์
 
หลักการมีประชาธิปไตยภายในพรรค เป็นการส่งเสริมให้พรรคการเมืองต้องสร้างกลไกประชาธิปไตยภายในให้เกิดขึ้น ไม่ว่าการมีข้อบังคับของพรรค หรือกิจกรรมอื่นใดที่มีหลักการประชาธิปไตยเป็นองค์ประกอบพื้นฐานย่อมเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยทั้งสิ้น ดังนั้น พรรคการเมืองที่ฟังแต่คำสั่งผู้นำเพียงอย่างเดียวจึงเป็นพรรคการเมืองที่ไม่มีประชาธิปไตย อย่างที่สื่อมวลชนให้ฉายาว่า เถ้าแก่ หรือนายห้างตราใบห่อ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบเรื่องดังกล่าวนี้อาจทำได้เพียงรูปแบบเท่านั้น เพราะในทางปฏิบัติ แม้จะมีข้อบังคับที่ดีแต่พรรคการเมืองก็มักจะมีการปฏิบัติที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะการสั่งการจากผู้มีอำนาจตัวจริง ที่มีความเป็นไปได้สูงกว่าการริเริ่มหรือเรียกร้องจากสมาชิกพรรคจากด้านล่าง นอกจากนั้นหลักการคุ้มครองเสียงข้างน้อย ก็เป็นแนวทางที่สามารถนำมาปรับใช้กับระบบภายในของพรรคการเมืองได้ด้วย หรือแม้กรณีการคัดเลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งที่เหมาะสมหรือการควบคุมจริยธรรมของคนในพรรค ก็เป็นเรื่องสำคัญของประชาธิปไตยภายในพรรคการเมืองเช่นเดียวกัน          
 
การเริ่มขยายบทบาทของประชาธิปไตยเสรี ที่ได้พยายามเบียดขับแนวทางสังคมนิยมออกจากกลไกของสังคมโลก ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1970 การพัฒนาทางการเมืองของประเทศประเทศประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง และประเทศที่อยู่ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน ซึ่งประเทศทั้งหลายเหล่านี้ได้ให้ความสำคัญกับเป้าหมายทางการเมือง 3 ประการคือประการแรกการสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันเลือกตั้งที่อิสระและยุติธรรมระหว่างพรรคการเมืองและผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง สองการสร้างภาคประชาชนให้เข้มแข็งโดยให้ความช่วยเหลือองค์กรที่ประชาชนเป็นเจ้าของเพื่อรณรงค์ทางสังคมและสื่อมวลชนอิสระ และสามการเพิ่มความเข้มแข็งขององค์กรหลักของรัฐให้ระบบความยุติธรรมมีความเป็นอิสระ รวมทั้งการตรากฎหมายที่มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลรวมทั้งการจัดระบบราชการอย่างมีประสิทธิภาพ [4]
 
ทั้งๆ ที่พรรคการเมืองมีบทบาทสำคัญในกระบวนการประชาธิปไตยสมัยใหม่ระบบตัวแทนแต่การพัฒนาระบบสถาบันพรรคการเมืองกลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร โดยเฉพาะสังคมไทยที่มีการยุบพรรคการเมืองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจากคำสั่งคณะรัฐประหาร คณะปฏิวัติ คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน คำสั่งศาลฎีกา และคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งล้วนแล้วได้ส่งผลกระทบทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ โดยเพาะการยุบพรรคจากคำสั่งคณะรัฐประหาร และมีการตรากฎหมายให้มีผลเป็นการลงโทษย้อนหลัง กลายเป็นความผิดปกติในสังคมประชาธิปไตย ที่ส่งผลให้แนวความคิดของประชาชนในสังคมไทยแตกขั้วนำไปสู่ความขัดแย้งทางความคิด ต่อเนื่องไปจนส่งผลกระทบต่อนโยบายการเมือง เศรษฐกิจและสังคมอย่างมากจนถึงปัจจุบันซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง
 
     
 
อ้างอิง
 
[1] ซูซาน สกาโรว์ (Susan scarrow). พรรคการเมืองและประชาธิปไตยจากมุมมองเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ:การสถาปนาระบอบประชาธิปไตยในพรรคการเมือง. สถาบันส่งเสริมประชาธิปไตยแห่งชาติเพื่อการต่างประเทศ(NDI). สหรัฐอเมริกา, 2005 :3
[2] เคนเนธ แจนดา ( Kenneth Janda ). พรรคการเมืองและประชาธิปไตยจากมุมมองเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ:การจัดทำกฎหมายพรรคการเมือง. สถาบันส่งเสริมประชาธิปไตยแห่งชาติเพื่อการต่างประเทศ(NDI). สหรัฐอเมริกา, 2005 :3
[3] สุนทรียา เหมือนพะวงศ์.ดร.ทฤษฎีกฎหมายเยอรมันเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง. สถาบันวิจัยรพีพัฒนศักดิ์ สำนักงานศาลยุติธรรม : ประชาไท, 29/5/2550
[4] โธมัส คาโรเธอร์ ( Thomas Carothers ) อ้างใน ปิปปา นอริร์ริส (Pippa Norris).พรรคการเมืองและประชาธิปไตยจากมุมมองเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ: การพัฒนาการสื่อสารของพรรคการเมือง. สถาบันส่งเสริมประชาธิปไตยแห่งชาติเพื่อการต่างประเทศ(NDI). สหรัฐอเมริกา, 2005 :3
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"คนไทยหัวใจรักชาติ" เตรียมถวายฎีกา 18 ม.ค. ชี้รัฐบาลล้มเหลวช่วย 7 คนไทย

Posted: 17 Jan 2011 03:46 AM PST

17 ม.ค. 54 - นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายประชาชนคนไทยหัวใจรักชาติ ยืนยันว่า วันพรุ่งนี้ เวลา 09.59 น. เครือข่าย จะรวมตัวกันเดินขบวนธรรมยาตรา ไปยัง พระบรมมหาราชวัง เพื่อถวายฎีกาเพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลบริหารประเทศล้มเหลว รวมทั้ง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันได้ตอบโต้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ว่า ไม่มีสิทธิ์ก้าวล้วง พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ภายหลังออกมาตำหนิเครือข่าย ว่า ควรถวายฎีกา เพราะไม่เหมาะสม เป็นการรบกวนเบื้องพระยุคลบาท เนื่องจาก การจะรับ หรือ ไม่รับการถวายฎีกานั้น เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่ง นายสุเทพ อาจจะเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน

พร้อมกันนี้ นายไชยวัฒน์ กล่าวถึง การเปิดการจราจร บริเวณถนนพิษณุโลก ซึ่งเป็นถนนพื้นที่การชุมนุมว่า จากการหารือกับ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมานั้น ทางแกนนำ ยังยืนยันถึงความจำเป็นในการปิดการจราจร เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุม ขณะเดียวกัน มีมติยกเลิกคาราวานรถกระจายเสียง 30 คัน เพื่อเชิญชวนให้ประชาชน เข้าร่วมขบวนธรรมยาตราถวายฎีกาทั่วกทม. เนื่องจากเกรงว่า จะมีผลกระทบต่อการจราจร และในวันพรุ่งนี้ การยื่นถวายฎีกานั้น ทางแกนนำ ก็จะพิจารณาอีกครั้งว่า จะมีการยุติการชุมนุมหรือไม่

สุเทพซัดม็อบเครือข่าย ปชช.ไทยหัวใจรักชาติดิ้นถวายฎีกาไม่เหมาะสม

ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 13.00น.  นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง  ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีที่เครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติจะเคลื่อนขบวนไปยื่นถวายฎีกาขับไล่ รัฐบาลในวันที่ 18 ม.ค.โดยระบุรัฐบาลไม่มีความชอบธรรมที่จะปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยปละ ละเลยให้มีการละเมิดสถาบัน กระทำการทุจริตคอรัปชันครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ปกป้องและรักษาบูรณภาพแห่งแผ่นดิน ว่า  คิดว่าพี่น้องประชานคนไทยที่ได้ยินข่าวนี้ก็คงไม่สบายใจ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่สมควรที่จะไปรบกวนเบื้องพระยุคลบาท การที่นายกรัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่งหรือจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมีกฎเกณฑ์ กติกาที่กำหนดไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นก็ต้องดำเนินการตามกฎเกณฑ์กติกานั้น  ถ้ารอจนถึงวันเลือกตั้งซึ่งนายกฯก็ได้ประกาศแล้วว่าจะมีการเลือกตั้งภายในปี นี้ ก็อาจจะมีการตัดสินใจโดยพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าของประเทศว่าจะ เลือกใครมาเป็นรัฐบาล จะเลือกใครมาเป็นนายกฯคนต่อไป นั่นคือวิธีการที่ถูกต้อง ส่วนการดำเนินการโดยวิธีการอื่นมันผิด ทำนองครองธรรมผิดกฎเกณฑ์กติกาที่เป็นที่ยอมรับกันเป็นสากล เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อถามว่า เครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ อาจอ้างว่าภาคประชาชน ใช้สิทธิยื่นถวายฎีกาตามรัฐธรรมนูญ โดยชี้ข้อหาร้ายแรงว่ารัฐบาลไปสมคบคิดกับรัฐบาลต่างชาติอันเป็นเหตุให้เสีย ดินแดน  นายสุเทพ กล่าวว่า  ไม่มีหรอก   ตนกราบเรียนไปถึงพี่น้องประชาชนว่ากรณีที่มีปัญหาเรื่องเขตแดนระหว่างประเทศ ไทยกับประเทศเพื่อนบ้านนั้น เป็นเรื่องที่ต้องสะสางกันโดยคระกรรมการ่วมสองฝ่าย ซึ่งเป็นกติกาที่เขาทำกันทั่วโลก ไม่เฉพาะประเทศไทยกับประเมทสพม่า ลาว เขมร ประเทศอื่นก็มีปัยหาเรื่องชายแดนกัน เขาก็มีแนวทางสันติวิธีที่จะทำให้อยู่ร่วมกันได้  ตัดสินด้วยคณะกรรมการเอาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และเหตุผลต่างๆ มาพิจารณาปรับแก้กัน  เรื่องเขตแดนของประเทศไทยยืดเยื้อยาวนานมาตั้งแต่ยุคไหน ๆ แล้ว ไม่ใช่เพิ่งมามีปัญหาตอนที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นนายกฯ  ที่มาใส่ร้ายป้ายสีว่านายกฯหรือรัฐบาลนี้เข้าด้วยช่วยเหลือกับรัฐบาลต่าง ชาติทำให้เสียอธิปไตยเป็นการกล่าวหาที่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ไม่มีความเป็นธรรมในหัวใจสำหรับการกล่าวหาอย่างนี้

นายสุเทพ กล่าวว่า จะอย่างไรก็ตามนายกฯให้ความสำคัญกับเรื่องปัญหาเขตแดน และเพียรพยายามที่จะสะสางเรื่องนี้ให้ได้  ในเวลาไม่ช้านี้ก็จะได้เห็นความพยายามของรัฐบาลในการจะสะสางปัญหาเขตแดนให้ เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนกันต่อไป   เมื่อถามว่า  ในสัปดาห์หน้านี้จะมีข่าวดีเรื่องการช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับกุมเพิ่มอีก หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ก็คงจะต้องมีข่าวดีขึ้นเรื่อย ๆ ตราบใดที่เราไม่ละความพยายาม  เราอยู่กับเพื่อนบ้านเราต้องรู้วิธีที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติให้ได้   ทั้งนี้การปล่อยตัวชาวเขมรหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย 199 คนเมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมาคงไม่ได้เป็นการแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือ 7คนไทยเสียทีเดียว แต่ผู้รับผิดชอบคงได้พิจารณาความหนักเบาของกรณีกันแล้วเป็นอย่างดี และมีความตั้งใจที่จะให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศยังดีอยู่

เมื่อถามว่ามีข่าวว่านักโทษชาวกัมพูชาอีก 2 คนที่ไทยจะส่งตัวกลับไปให้ทางกัมพูชามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายสุเทพ กล่าวว่า     ต้องเลิกเอาข่าวลือมาถามตนเสียที เพราะหนักใจจริง ๆ ที่ข่าวลือก็ลือได้สารพัด ด้วยเจตนาของคนที่เป็นต้นตอของข่าวลือ ตนเป็นคนไปเจรจากับสมเด็จฮุนเซน เขาได้ปล่อยตัวนักโทษคนไทยมุสลิมที่ติดคุกอยู่ที่กัมพูชาในคดีก่อการร้าย  2 คน โดยปล่อยมาเกือบ 2 ปีแล้ว แต่นักโทษกัมพูชาที่เราต้องส่งคืนกลับไปให้เขาเรายังส่งไปให้ไม่ได้สักที ตนต้องปฏิบัติตามคำมั่นสัญญานั้น  โดยไม่ได้ทราบมาก่อนว่ามีความสัมพันธ์กับใครอย่างไร และเหตุผลที่เราแลกเปลี่ยนกันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขามีความสัมพันธ์กับ ใครเป็นพิเศษ

เมื่อถามว่า นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ กล่าวหาว่าการจับกุม 7 คนไทย  เพราะรัฐบาลนี้สมคบคิดกับรัฐบาลฮนุเซน มีนายทหารระดับ สูงคนหนึ่ง สั่งการให้นายทหารซึ่งเป็นลูกของอธิบดีตำรวจ กัมพูชาเป็นคนจับกุมคนไทย  นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่อยากทะเลาะกับนายไชยวัฒน์ แต่ยืนยันว่าสิ่งที่นายไชยวัฒน์พูดมาทั้งหมดไม่จริงอย่างแน่นอน ส่วนที่พุ่งเป้าโจมตีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหมนั้น ขอเรียนย้ำว่ารมว.กลาโหมได้ทุ่มเทดิ้นรนเพื่อที่จะช่วยเหลือ7 คนไทยอยู่ตลอดเวลา ช่วงปีใหม่ที่คนอื่นเขาได้หยุดกัน ท่านไม่ได้หยุดพักเลย ทำงานทุกวัน อย่างนี้ยังไปกล่าวหาท่านอีกจะไปมีความเป็นธรรมได้อย่างไร

ประธานสภาฯ ชี้เข้าชื่อถวายฎีกาช่วย 7 คนไทยไม่เหมาะสม

นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง กรณีที่เครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ จะรวบรวมรายชื่อถวายฎีกา เพื่อขอพระราชทานความช่วยเหลือ 7 คนไทยที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุม ว่า การเข้าชื่อถวายฎีกาเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่สามารถทำได้  แต่ส่วนตัวมองเป็นเรื่องไม่ควรทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท  ไม่ควรนำเรื่องเหล่านี้ไปรบกวนสถาบันเบื้องสูง ทั้งนี้ ขอให้ดูการถวายฎีกาของคนเสื้อแดงเป็นตัวอย่าง ว่าไม่สามารถทำอะไรได้ ตนย้ำเสมอว่า สถาบันพระมหากษัตริย์มีความสำคัญ ที่จะทำให้คนไทยมีความสามัคคีเป็นเอกภาพ

“จะบอกว่า คนไทยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งรักชาติเพียงกลุ่มเดียว ผมไม่เห็นด้วย คนไทยรักชาติกันทุกคน”  นายชัย กล่าว และว่าการชุมนุมถือเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ หากจะแก้ปัญหาการชุมนุม คงต้องเร่งให้รัฐบาลผลักดันร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะให้ผ่านสภาโดยเร็ว หากประเทศไทยมีกฎหมายดูแลการชุมนุมในที่สาธารณะเหมือนในต่างประเทศ จะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากการชุมนุมได้

ดุสิตโพลเผย ปชช.64.81% ค้าน "ถวายฎีกา" ช่วยเหลือ 7 คนไทย

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต แผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1,251 คน กรณีเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติจะเข้าชื่อถวายฎีกา ช่วยเหลือ 7 คนไทยที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัว โดยอ้างว่ารัฐบาลไม่มีความชอบธรรมที่จะปฏิบัติหน้าที่ ไม่ปกป้องและรักษาบูรณภาพแห่งแผ่นดิน โดยประชาชนร้อยละ 64.81 เห็นว่าการเข้าชื่อถวายฎีกา เป็นเรื่องไม่สมควร เพราะเป็นการไม่บังควรรบกวนเบื้องพระยุคลบาท ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการจะดีกว่า

อย่างไรก็ตาม ประชาชนร้อยละ 44.67 ยังเห็นว่า การประท้วงของกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ มีผลมาจากการดำเนินการของรัฐบาลที่ยืดเยื้อ ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ร้อยละ 43.15 เห็นว่าเหตุการณ์ที่ยืดเยื้อขณะนี้ เป็นเพราะรัฐบาลยังรอดูท่าทีเพราะกลัวเสียเปรียบ เพลี่ยงพล้ำ ไม่กล้าทำอะไรมาก /มีผลมาจากความขัดแย้งเรื่องปราสาทพระวิหาร และร้อยละ 42.95 เห็นว่า รัฐบาลควรแสดงท่าทีที่ชัดเจนออกมา มีความกระตือรือร้นที่จะแก้ไขปัญหา /ดำเนินการขั้นเด็ดขาดในการนำตัว 7 คนไทยกลับคืนมา 

เผยมารดา ‘วีระ’ ระบุทูตไทยกีดกันเข้าเยี่ยม

นายสุนทร รักษาวงศ์ แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ เปิดเผยว่า ได้คุยกับนางวิไลวรรรณ สมความคิด มารดาของนายวีระ สมความคิด ที่ไปเยี่ยมที่เรือนจำเปร็ย ซอ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา เล่าว่า นายวีระได้ฝากขอบคุณคนไทยทุกคนที่ต่อสู้ปกป้องดินแดนของไทยทุกคน พร้อมกันนี้ยังต้องการทนายและล่ามแปลภาษา เนื่องจากถูกกีดกันจากสถานทูตไทยในกัมพูชา

ส่วนการเดินขบวนไปถวายฎีกาในพรุ่งนี้ (18 ม.ค.) เวลา 09.59 น. จะเป็นลักษณะธรรมยาตรา มีพระสงฆ์นำขบวนด้วยความสงบไม่ใช้เครื่องเสียง เมื่อถึงพระบรมหาราชวังก็จะยื่นถวายฎีกาผ่านตัวแทนสำนักพระราชวัง คาดว่าไม่เกิน 12.00 น. จะกลับมายังทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้นจะลดการกดดันลง แต่จะเน้นติดตามเรื่องที่เคยไปยื่นกดดันตามหน่วยงานต่าง ๆ และยืนยันจะไม่ไปชุมนุมปิดด่านผ่านแดน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของเครือข่ายคนไทยฯ ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่ถนนพิษณุโลกถูกปิดลงทางเครือข่ายฯได้นำเต็นท์ขนาดใหญ่และเต็นท์ ส่วนตัวจำนวนมากางเป็นแนวยาวสองฝั่งถนน มีพลาสติกมาขึงเพื่อกันแดด พร้อมกับตั้งโรงครัวทำอาหารแจกจ่ายผู้ชุมนุม รวมทั้งนำไม้มาสร้างเป็นเวทีชั่วคราวเพื่อปราศรัย แต่ผู้ชุมนุมยังคงบางตาอยู่ที่หลักร้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นคนของกองทัพธรรม ญาติธรรมสันติอโศก โดยผู้ชุมนุมช่วยกันเขียนป้ายโจมตีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ว่าขายชาติ ขณะเดียวกันเขียนยกย่องนายวีระ สมความคิด เป็นวีรบุรุษของคนไทย  

รมว.กต.ร้องขอเขมรอย่าโกรธม็อบ

นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยหลังหารือกับ นายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ในระหว่างการประชุมอาเซียน ที่เกาะลอมบ๊อก ของอินโดนีเซีย ว่า ได้ร้องขอให้กัมพูชาพิจารณาพฤติกรรมของบุคคลบางกลุ่มในประเทศด้วยความเข้าใจ และไม่นำมาเป็นอารมณ์ พร้อมเรียกร้องให้ผู้ที่เคลื่อนไหวเกี่ยวกับกรณีไทย-กัมพูชา คำนึงถึงส่วนรวม ไม่ใช่พูดหรือทำโดยใช้อารมณ์ และอุดมการณ์ของตัวเองเป็นใหญ่ มุ่งเผชิญหน้าทำลายล้างกัน แต่ต้องคำนึงถึงองค์รวมของสังคมไทยด้วย ไม่ต้องการทำให้คนไทยส่วนใหญ่ต้องมีปัญหาเดือดร้อนจากการกระทำของคนที่ไม่ ยอมรับฟัง ไม่ยอมปรองดอง และไม่ฟังเหตุผล

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: มติชนออนไลน์, กรุงเทพธุรกิจ, สำนักข่าวไทย, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, เดลินิวส์, ไอเอ็นเอ็น

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ตานฉ่วย แต่งตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของพม่า

Posted: 17 Jan 2011 03:23 AM PST

แหล่งข่าวจากกองทัพรายงานว่า ขณะนี้นายพลอาวุโสตานฉ่วยกำลังเร่งวางตัวคณะรัฐบาลพม่าชุดใหม่ให้ทันเปิดสภาปลายเดือนนี้ มีรายงานด้วยว่า ตานฉ่วยได้แต่งตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าเรียบร้อยแล้ว ด้านนายพลอาวุโสหม่องเอ คาดว่าจะลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ

อดีตนายพลติน อ่อง มิ้น อู เลขาธิการคนที่ 1 ของสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ(State Peace and Development Council) นั้นคาดว่าถูกวางตัวเป็นหนึ่งในสองที่จะรับตำแหน่งรองประธานธิบดี ด้านนายพลทุระ ฉ่วย หม่าน ผู้นำอันดับสามรองจากตานฉ่วยและหม่องเอนั้น คาดว่าจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสภา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตำแหน่งสำคัญตามรัฐธรรมนูญปี 2008 (2551) ที่รัฐบาลพม่าเขียนขึ้น

ส่วนอดีตนายกรัฐมนตรีเต็งเส่ง ซึ่งขณะนี้รับตำแหน่งเป็นประธานพรรคสหภาพเพื่อเอกภาพและการพัฒนา (The Union Solidarity and Development Party - USDP) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองตัวแทนของรัฐบาลทหาร คาดว่าจะได้รับเป็นตำแหน่งผู้นำพรรคการเมือง

ส่วนพลโท มิ้น อ่อง หล่าย ซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่งเป็นคณะเสนาธิการร่วม(กองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ) จะถูกแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ด้านพลตรีโซวิน ผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ 6 จะถูกแต่งตั้งให้รับตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดเช่นเดียวกัน 

ในอีกด้าน พลโทมิ้น อ่อง ที่คาดว่าจะได้รับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ ก่อนหน้านี้ จะถูกแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมแทน ส่วนพลตรี โกโก ที่เคยถูกคาดว่าจะได้รับตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะนี้ถูกวางให้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายใน

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวอิรวดีระบุว่า แม้จะมีข้อมูลรั่วไหลออกมาและมีแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาถึงการเปลี่ยนแปลงภายในกองทัพพม่า เนื่องจากตำแหน่งต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ได้ตลอดเวลาโดยนายพลอาวุโสตานฉ่วย ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในกองทัพ

 เช่นกรณีเมื่อปลายเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ในช่วงที่นายพลรุ่นใหม่ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแทนนายพลอาวุโสที่ตบเท้าลาออก ก็เคยมีกระแสข่าวออกมาว่า นายพลอาวุโสตานฉ่วยและนายพลอาวุโสหม่องเอได้ลาออกจากตำแน่ง แต่ภายหลังกลับปรากฏว่า ทั้งสองยังคงดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการสูงสุดในกองทัพ

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในเนปีดอว์เปิดเผยว่า ตานฉ่วยเคยบอกกับคนสนิทและคนในครอบครัวเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วว่า เขาอยากจะวางมือจากผู้นำทหารและผู้นำประเทศ แต่เรื่องนี้ก็ถูกคัดค้านทันทีจากภรรยาของเขา โดยในครั้งนั้น ภรรยาได้บอกกับตานฉ่วยว่า ตานฉ่วยยังมีภารกิจอีกมากมายที่จะต้องทำเพื่อประเทศพม่า

“สิ่งที่เรารู้ตอนนี้ก็คือ ตานฉ่วยไม่เหมาะที่จะดำรงตำแหน่งต่อไป ถึงเวลาที่เขาต้องพักแล้ว แต่ครอบครัวของตานฉ่วยไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่เขาจะวางมือ โดยเฉพาะภรรยา ลูกสาวและหลานชายคนโปรดของเขาเอง นั่นเป็นเพราะครอบครัวของผู้นำยังไม่อยากเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องสูญเสียอำนาจ อีกเรื่องหนึ่งก็คือ คุณจำเป็นต้องเข้าใจว่า ผู้นำของเรามีความภูมิใจในตัวเองอย่างยิ่ง ที่ทำให้ใครๆไม่สามารถคาดเดาเขาได้” แหล่งข่าวกล่าว

(Irrawaddy 14 ม.ค.54)

แปลและเรียบเรียงโดย สาละวินโพสต์ "สื่อทางเลือกเพื่อแบ่งปันความเข้าใจสู่เพื่อนบ้าน"อ่านข่าวและบทความอื่นๆ อีกมากมายได้ที่เว็บไซต์ www.salweennews.org เฟซบุ๊คhttp://www.facebook.com/Salweenpost ทวิตเตอร์http://twitter.com/salweenpost

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ข่าวเด่นรัฐฉาน-ไทใหญ่ รอบปี 2553

Posted: 17 Jan 2011 03:18 AM PST

มกราคม 2553

(8 ม.ค.) วันที่ 24–25 ธ.ค.52 ร.อ.จายอ่องหล่ายวิน เจ้าหน้าที่บริษัท Union of Myanmar Economic Holdings Ltd (UMEHC) ของพม่า นำทีมนักธุรกิจไทย 11 คน เข้าไปสำรวจเหมืองถ่านหินบริเวณเมืองโก๊ก จังหวัดเมืองสาด (รัฐฉานภาคตะวันออก) ตรงข้ามอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เป็นเหมืองถ่านหินที่รัฐบาลทหารพม่าให้สัมปทานแก่บริษัทสระบุรีถ่านหิน บริษัทเอกชนไทยในเครืออิตัล-ไทย เป็นเวลา 30 ปี รวมมูลค่าหลายแสนล้านบาท โครงการดังกล่าวถูกคัดค้านจากหน่วยงานภาครัฐ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณแนวโครงการสร้างถนน เนื่องจากหวั่นเกิดผลกระทบต่อชุมชนและป่าสงวน ที่สำคัญมลพิษถ่านหินอาจส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของบ้าน

(15–18 ม.ค.) สภากอบกู้รัฐฉาน RCSS (Restoration Council of Shan State) / กองทัพรัฐฉาน SSA (Shan State Army) จัดการประชุมใหญ่ครั้งที่ 10 ที่บก.ดอยไตแลง ตรงข้ามอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในที่ประชุมมีการหารือกันเกี่ยวกับแผนงานทั้งที่ผ่านมาและอนาคต พร้อมกับมีการปรับโครงสร้างภายใน ซึ่งมีคณะกรรมการบริหาร เจ้าหน้าที่ระดับสูง ผบ.หน่วย เจ้าหน้าที่สำนักงานต่างๆ และคณะที่ปรึกษาเข้าร่วมรวม 286 คน นอกนั้น ในที่ประชุมมีมติเห็นชอบเลื่อนชั้นเจ้ายอดศึก จากพันเอกขึ้นเป็นพลโท พร้อมกับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานสูงสุดต่อไป

(25 ม.ค.) องค์กรสตรีปะหล่อง (Palaung Women Organizaation-PWO) แถลงเปิดตัวหนังสือรายงานยาเสพติดในพม่า “เนินเขาที่เป็นพิษ” “Poisoned Hills” ต่อสื่อมวลชนและนักการทูต ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย Foreign Correspondent Club of Thailand- FCCT ในกรุงเทพฯ รายงาน ระบุ สถานการณ์ยาเสพติดในพม่าโดยเฉพาะพื้นที่รัฐฉานตอนบนติดชายแดนประเทศจีน พบมีการปลูกฝิ่นเพิ่มมากขึ้น จากสถิติการสำรวจพื้นที่ 2 อำเภอ คือ อ.น้ำคำ และ อ.ม่านต้ง ปี 2548 มีการปลูกฝิ่น 964 เฮกเตอร์ ในปี 2552 พบมีการปลูกฝิ่นเพิ่มขึ้นกว่า 4,549 เฮกเตอร์ สาเหตุเนื่องจากทหารพม่าไม่ใส่ใจปราบปรามอย่างจริงจัง ขณะที่ทหารพม่าในพื้นที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเรียกรับภาษีด้วย 

(29 ม.ค.) เจ้าโป่เต่หวิ่ง วัย 89 ปี อดีตยอดนักรบชื่อดังในกองกำลังกู้ชาติไทใหญ่ตั้งแต่สมัยกองกำลังหนุ่มศึกหาญ ผ่านยุคกองทัพเมืองไตย MTA ของขุนส่า และกองกำลัง SSNA ของเจ้ากานยอด ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชราที่บ้านหนองก้อ อำเภอสี่ป้อ รัฐฉานภาคเหนือ ทั้งนี้ เจ้าโป่เต่หวิ่ง ถือเป็นหนึ่งยอดนักรบของไทใหญ่ โดยชื่อเสียงของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วหลังเขานำกำลังบุกยึดเมืองต้างยาน ที่อยู่ภายใต้การยึดครองของทหารพม่าได้เป็นผลสำเร็จ เมื่อปี 2502 (1959) ร่วมกับเจ้าเสือวัน และเจ้าโป่หม่อง เหตุการณ์ครั้งนั้นถูกนำเสนอเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก

กุมภาพันธ์ 2553

(7 ก.พ.) กองทัพรัฐฉาน (Shan State Army – SSA) จัดงานวันชาติรัฐฉานปีที่ 63 ที่ฐานที่มั่นดอยไตแลง รัฐฉาน มีชาวไทใหญ่ร่วมหลายพันคน และมีผู้แทนชนชาติต่างๆ ในรัฐฉานร่วมกล่าวสุนทรพจน์ ได้แก่ ผู้แทนสหภาพประชาธิปไตยลาหู่ (LDU) ผู้แทนจากองค์กรแห่งชาติว้า (WNO) องค์กรปลดปล่อยแห่งชาติปะโอ (PLO) ด้านพล.ท.เจ้ายอดศึก ประธานสภากอบกู้รัฐฉาน (RCSS) และผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพรัฐฉาน SSA กล่าวเรียกร้องให้ประชาชนชาวไทใหญ่ช่วยกันกู้ชาติ พร้อมกับเรียกร้องให้สหประชาชาติและนานาชาติเข้าช่วยเหลือประชาชนในสหภาพ พม่าที่กำลังถูกรัฐบาลทหารพม่าละเมิดสิทธิ์อย่างหนัก

มีนาคม 2553

(16 มี.ค.) เกิดอุบัติเหตุรถบรรทุกสิบล้อบรรทุกปูนซีเมนต์เต็มคันพุ่งชนท้ายรถทัวร์ โดยสารของบริษัท ส่วยเยก่าน ซึ่งบรรทุกผู้โดยราว 50 – 60 คน จากจังหวัดท่าขี้เหล็ก มุ่งหน้าไปทางเมืองเชียงตุง เหตุเกิดบริเวณใกล้กับบ้านปางควาย ก่อนถึงเมืองเชียงตุง ประมาณ 10 ไมล์ ส่งผลให้รถทัวร์โดยสารพลิกคว่ำและมีผู้เสียชีวิตคาที่ 17 คน บาดเจ็บสาหัส 38 คน นับเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่รุนแรงที่สุดของเมืองเชียงตุง

(20 มี.ค.) พ.ต.เทอ่อง สังกัดกองพลที่ 55 ของพม่าร่วมกำลังทหารพม่าอีกชุด ที่ตั้งฐานอยู่ในตำบลป่างเก่ตู้ อำเภอเมืองกึ๋ง รัฐฉานภาคกลาง จับกุมชาวบ้านที่กำลังออกหาของป่าและล่าสัตว์รวม 25 คน โดยกล่าวหาว่าส่งเสบียงอาหารให้กองกำลังไทใหญ่ SSA โดยชาวบ้าน 2 คน ชื่อจายก่าหลิ่ง และจายเดือน ถูกยิงเสียชีวิต เนื่องจากสงสัยเป็นทหารไทใหญ่ ขณะที่ชาวบ้าน 23 คน ถูกนำตัวไปสอบสวนและเรียกค่าปรับเป็นเงินคนละ 3 หมื่นจั๊ต (ประมาณ 1 พันบาท)

(22 มี.ค.) ผบ.ยุทธการพม่า ประจำเมืองต้างยาน (รัฐฉานภาคเหนือ) มีคำสั่งด่วนเรียกเจ้าหน้าที่ข้าราชการพลเรือน และเจ้าหน้าที่องค์กรเอ็นจีโอ ในเขตปกครองกลุ่มหยุดยิงว้า UWSA เดินทางออกจากพื้นที่ภายใน 2 วัน พร้อมกันนั้นกองทัพพม่าได้มีคำสั่งเรียกกองกำลังอาสาสมัครที่ประจำอยู่ใน พื้นที่ใกล้ลำน้ำสาละวิน ให้เคลื่อนกำลังไปเสริมกำลังทหารพม่าที่ประจำอยู่ตามท่าเรือข้ามแม่น้ำสาละ วิน ตรงข้ามพื้นที่เขตปกครองว้า UWSA โดยการเคลื่อนไหวของกองทัพพม่ามีขึ้น หลังจากการเจรจาระหว่างตัวแทนรัฐบาลทหารพม่าและผู้นำกองกำลังหยุดยิงว้า UWSA ที่มีเจ้าหน้าที่จีนคอยเป็นสื่อกลาง ที่เมืองต้างยาน เมื่อวันที่ 26 ก.พ. เพื่อหาทางออกกรณีรัฐบาลทหารพม่ากดดันให้กลุ่มหยุดยิงว้า UWSA เปลี่ยนสถานะภาพกองกำลังเป็นหน่วยพิทักษ์ชายแดน BGF – Border Guard Force ไม่ประสบผลสำเร็จ 

(24 มี.ค.) ต้นเดือนมีนาคม เจ้าหน้าที่พม่าในเมืองหมู่แจ้ รัฐฉานตอนบน ทำการยึดที่ดินของชาวบ้าน บริเวณเขตการค้าหลักไมล์ 105 ใกล้ชายแดนจีน รวมเนื้อที่หลายเอเคอร์ ทั้งเป็นพื้นที่ไร่นาและพื้นที่มีบ้านปลูกอาศัย สำหรับใช้สร้างสถานีรถไฟอันเป็นโครงการร่วมระหว่างจีนและพม่า โดยตอนแรกเจ้าหน้าที่พม่าระบุว่า เจ้าของที่ดินจะได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 3,000 จั๊ต ต่อที่ดินที่ถูกยึด 1 เอเคอร์ แต่ที่สุดไม่มีชาวบ้านคนใดได้รับเงินค่าชดเชยดังกล่าว

เมษายน 2553

(8 เม.ย.) จายอ้ายเปา อดีตเลขาธิการพรรคสันนิบาตแห่งชาติไทใหญ่เพื่อประชาธิปไตย Shan Nationalities League for Democracy (SNLD) พรรคการใหญ่อันดับสองรองจากพรรค NLD ของนางอองซาน ซูจี ยื่นขอจดทะเบียนตั้งพรรคชื่อ พรรคประชาธิปไตยแห่งชาติไทใหญ่ Shan Nationalities Democratic Party (SNDP) ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพม่า เพื่อเข้าร่วมการเลือกตั้งทั่วไป ทั้งนี้ จายอ้ายเปา ให้เหตุผลถึงการจัดตั้งพรรคร่วมการเลือกตั้งว่า เพื่อหาสิทธิ์ให้ชนชาติไทใหญ่ หากไม่ตั้งพรรคเข้าร่วมอาจยิ่งทำให้ชนชาติไทใหญ่เสียสิทธิ์เสียโอกาส และจะทำให้คณะรัฐบาลทหารพม่าครองที่นั่งในสภาแต่เพียงผู้เดียว

(24 เม.ย.) อดีตทหารพม่า 4 คน ร่วมกันก่อเหตุรุมข่มขืนและฆ่าด.ญ.นางยอด (นามสมมติ) อายุ 13 ปี นักเรียนชั้นประถมปีที่ 7 บ้านนายาง ต.ลุกไข่ อำเภอเมืองไหย๋ รัฐฉานภาคเหนือ ขณะไปเลี้ยงควายเพื่อช่วยพ่อแม่ในช่วงปิดเทอม ทราบว่า ผู้ก่อเหตุทั้ง 4 คน เป็นอดีตทหารในสังกัดกองพันทหารราบที่ 67 ประจำเมืองไหย๋ ทั้ง 4 คน ทำงานรับจ้างขุดทรายตามฝั่งแม่น้ำลอง ระหว่างนั้นได้พบเห็นด.ญ.นางยอด กำลังเลี้ยงควายอยู่เพียงลำพัง จึงร่วมกันจับข่มขืนและฆ่าปิดปากทิ้งศพไว้บนหาดทราย

มิถุนายน 2553

(7 มิ.ย.) รายงานกลุ่มพิทักษ์แม่น้ำสาละวินจีน ระบุ รัฐบาลทหารพม่าได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับจีน ในการสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ 2 แห่ง ในรัฐฉานภาคเหนือ การลงนามมีขึ้นระหว่างที่นายสี จินปิง รองประธานาธิบดีของจีนเยือนกรุงเนปิดอว์ เมื่อเดือนธันวาคม ปีที่ผ่านมา โดยเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ 2 แห่ง มีกำหนดสร้างบนแม่น้ำสาละวิน บริเวณบ้านหนองผา เมืองต้างยาน และบนแม่น้ำม้า บริเวณบ้านโต้ง ทั้งสองแห่งอยู่ในรัฐฉานภาคเหนือ มีกำลังผลิตกระแสไฟฟ้า 1200 เมกกะวัตต์  โดยเขื่อนบนแม่น้ำม้าจะมีกำลังผลิตราว 200 – 300 เมกกะวัตต์ และเขื่อนบนแม้สาละวินจะมีกำลังผลิตราว 900 – 1000 เมกกะวัตต์

(8 มิ.ย.) รัฐบาลทหารพม่าส่งเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน เข้าเมืองจ๊อกแม รัฐฉาน ติดตามสอบสวนสมาชิกครอบครัว พ.ต.จายเต็งวิน นายทหาร แปรพักตร์เผยความลับโครงการนิวเคลียร์ โดยทหารพม่าได้ห้ามญาติของเขาเดินทางออกนอกพื้นที่ ทั้งนี้ พ.ต.จายเต็งวิน เป็นชาวไทใหญ่เมืองจ๊อกแม และเป็นอดีตนักเรียนวิทยาลัยเทคนิคป้องกันชาติ Defense Service Technical Academy (DSTA) ทั้งเป็นหนึ่งในนักเรียนที่รัฐบาลทหารพม่าส่งตัวไปศึกษาเกี่ยวกับขีปนาวุธ ที่ประเทศรัสเซียนาน 5 ปี พ.ต.จายเต็งวิน ตัดสินใจหนีออกนอกประเทศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พร้อมกับเปิดเผยข้อมูลหลักฐานทั้งเอกสารและภาพถ่ายเกี่ยวกับโครงการพัฒนา อาวุธนิวเคลียร์ของรัฐบาลทหารพม่า ซึ่งสำนักข่าว DVB และสำนักข่าวอัลจาซีรา รายงานเป็นข่าวดังไปทั่วโลก

กรกฎาคม 2553

(24 ก.ค.) ร้อยโทเต็งอ่อง นายทหารพม่าจากฐานส่วนแยกที่ 3 ประจำเมืองกุ๋นฮิง รัฐฉานภาคใต้ สังกัดกองพันทหารราบเบาที่ 524 ก่อเหตุบังคับข่มขืนนางหลู่ (นามสมมติ) อายุ 30 ปี หญิงสติไม่สมประกอบ ในหมู่บ้านเลาฝ่าย อยู่ทางทิศใต้เมืองกุ๋นฮิง เหตุเกิดขณะทหารพม่าชุดของร้อยโทเต็งอ่อง ลาดตระเวนไปพักค้างที่หมู่บ้านเลาฝ่ายในคืนที่สอง และเป็นช่วงที่นางหลู่ ผู้เคราะห์ร้ายอยู่บ้านเพียงลำพัง ซึ่งหลังก่อเหตุ นายทหารพม่าคนดังกล่าว ได้ข่มขู่เหยื่อว่าจะฆ่าทิ้งหากนำเรื่องไปเปิดเผย

สิงหาคม 2553

(5 ส.ค.) พล.ต.เสือแท่น วัย 74 ปี หนึ่งในผู้นำกองทัพรัฐฉาน "เหนือ" หรือ กลุ่มหยุดยิงไทใหญ่ (SSA-N) ที่ถูกรัฐบาลทหารพม่าจับกุมเมื่อปี 2548 ด้วยข้อหาสมคบพรรคการเมืองนอกกฎหมายและคิดก่อการกบฎ ถูกทางการพม่าย้ายที่คุมขังจากเรือนจำคำตี่ ในภาคสะกายมายังมัณฑะเลย์ ซึ่งการย้ายที่คุมขังพล.ต.เสือแท่น ทำให้หลายฝ่ายต่างเกิดข้อสงสัย เนื่องจากเป็นไปอย่างเงียบๆ และไม่ถูกเปิดเผยสาเหตุจากทางการ ทั้งนี้ พล.ต.เสือ แท่น ถูกทางการพม่าจับกุมพร้อมด้วยผู้นำการเมืองคนสำคัญของไทใหญ่ 8 คน เมื่อต้นปี 2548 ทั้งหมดถูกตัดสินจำคุกตั้งแต่ 75 – 106 ปี และถูกแยกตัวคุมขังต่างเรือนจำ โดยพล.ต.เสือแท่น ถูกตัดสินจำคุก 106 ปี เจ้าขุนทุนอู ถูกตัดสินจำคุก 93 ปี

(17 ส.ค.) เครือข่ายปฏิบัติงานผู้หญิงไทใหญ่ Shan Woman's Action Network - SWAN ร่วมกับมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ Shan Human Rights Foundation - SHRF ออกแถลงการณ์ต่อต้านคัดค้านโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟของรัฐบาลทหารพม่า ที่มีกำหนดเชื่อมรัฐฉานภาคใต้สู่ภาคตะวันออก จากเมืองนาย – เมืองเชียงตุง โดยระบุ เป็นโครงการที่จะก่อให้เกิดสงครามกวาดล้างกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งจะก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งทางรถไฟสายใหม่จะช่วยให้รัฐบาลพม่าลำเลียงอาวุธหนักเข้าสู่พื้นที่ห่าง ไกล เพื่อกวาดล้างกลุ่มต่อต้าน ทั้งระบุว่า โครงการสร้างเส้นทางรถไฟของรัฐบาลทหารพม่า ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อการพาณิชย์ตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง

(20 ส.ค.) พล.ท.เยมิ้นต์ ผอ.ความมั่นคงกองทัพพม่า Military Affairs Security (MAS) ยื่นคำขาดให้กลุ่มหยุดยิงว้า UWSA และกลุ่มหยุดยิงเมืองลา NDAA แปรสถานะกองกำลังเป็นหน่วยพิทักษ์ชายแดน หรือ BGF-Border Guard Force ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 7 พ.ย. โดยพล.ท.เย มิ้นต์ ได้กล่าวกับตัวแทนกลุ่มหยุดยิงทั้งสองในทำนองเดียวกันว่า ให้ตัดสินใจเปลี่ยนสถานะภาพเป็นหน่วยพิทักษ์ชายแดนก่อนการเลือกตั้ง โดยให้ทางกลุ่มเร่งดำเนินการและให้ยื่นคำตอบกลับภายในเดือนกันยายน ทั้งกล่าวว่า หากไม่เร่งดำเนินการเป็น BGF หลังการเลือกตั้งจะถูกกำหนดเป็นกลุ่มนอกกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ

(20 ส.ค.) อูส่วยโอง วัย 88 ปี อดีตนักการเมืองซึ่งมากด้วยอุดมการณ์และประสบการของไทใหญ่ และเป็นหนึ่งในผู้อยู่ในเหตุการณ์การลงนามสนธิสัญปางโหลง ได้ถึงแก่กรรมลงด้วยโรคมะเร็งตับ ที่บ้านพักส่วนตัว เขตซานชอง กรุงย่างกุ้ง โดยก่อนถึงแก่กรรม อูส่วยโอง ดำรงตำแหน่งเป็นประธานพรรคสหภาพประชาธิปไตย Union Democracy Party – UDP ตามประวัติอูส่วยโอง เป็นชาวเมืองหยองห้วย รัฐฉานภาคใต้ ในปี 2490 เขาได้เข้าร่วมการประชุมลงนามสนธิสัญญาปางโหลง นอกจากนี้ เขายังเคยดำรงตำแหน่งประธานสันนิบาตชาติชาติพันธุ์รัฐฉานเพื่อประชาธิปไตย Shan State National Races League for Democracy –SSNRLD ซึ่งได้เข้าร่วมการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2533 ด้วย

(29 ส.ค.) หลวงพ่อปัญญา ปญฺญาวโร เจ้าอาวาสวัดเวียงแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ พระมีพรรษามากสุดของไทใหญ่ในไทย และเป็นที่ปรึกษาชมรมสงฆ์ไทใหญ่ในประเทศไทย ได้มรณภาพลงอย่างสงบด้วยโรคชราที่วัดเวียงแหง ขณะมีอายุได้ 82 ปี รวมพรรษา 61 พรรษา

กันยายน 2553

(9 ก.ย.) กลุ่มนักวิจัยยาเสพติดในรัฐฉาน โดยสำนักข่าวฉาน SHAN แถลงเปิดตัวจดหมายข่าว Shan Drug Watch ฉบับล่าสุด ซึ่งระบุว่าสงคราม ปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลทหารพม่ายังคงล่าช้ากว่ากำหนด ปัจจุบันมี 46 จาก 55 อำเภอในรัฐฉานยังคงปลูกฝิ่น สาเหตุเนื่องจากกองทัพพม่ายังต้องพึ่งพาการเก็บภาษีจากฝิ่น และมีนโยบายที่ปล่อยให้ กกล.อส. ในพื้นที่หลายกลุ่มเข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด

(14 ก.ย.) ชุดลาดตระเวนกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" หรือ กลุ่มหยุดยิงไทใหญ่ SSA-N ปะทะทหารพม่าที่บริเวณบ้านผักตบ ต.ต้นแกง เมืองสี่ป้อ เหตุปะทะเกิดในพื้นที่ที่ทหารพม่ามีคำสั่งให้กองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" กองพลน้อยที่ 1 ภายใต้การบังคับบัญชาของพล.ต.ป่างฟ้า ซึ่งปฏิเสธรับข้อเสนอของรัฐบาลทหารพม่าจัดตั้งหน่วยพิทักษ์ชายแดน BGF ถอนกำลังออกไปก่อนหน้านี้ และนับเป็นการปะทะครั้งแรกระหว่างทหารพม่ากับกลุ่มหยุดยิงไทใหญ่ "เหนือ" SSA-N

ตุลาคม 2553

(10 ต.ค.) เกิดเหตุเพลิงไหม้คลังเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพพม่า ในเมืองสาด อยู่ในรัฐฉานภาคตะวันออก ตรงข้ามชายแดนไทยด้านอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลให้อาคาร 2 หลัง ที่ใช้เป็นที่กักเก็บอาวุธนานาชนิดของกองทัพพม่า และเป็นที่ซ่อมแซมอาวุธปืน ถูกเพลิงไหม้และเกิดระเบิดเสียหายทั้งหมด

(21 ต.ค.) ทางการพม่าประกาศเปลี่ยนใช้ธงชาติใหม่ ถือฤกษ์ช่วงบ่ายจัดพิธีเชิญธงชาติเก่าลงจากยอดเสาและนำธงชาติใหม่ขึ้นแทน พร้อมกับมีการเปลี่ยนเพลงชาติ, สัญลักษณ์ประเทศ รวมถึงเปลี่ยนชื่อประเทศจากสหภาพเมียนมาร์ (Union of Myanmar) เป็นสาธารณรัฐสหภาพเมียนมาร์ (Republic of the Union of Myanmar) โดยการเปลี่ยนใช้ธงชาติใหม่นี้เป็นไปตามบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 2551 (2008) มาตราที่ 13 ซึ่งระบุการเปลี่ยนแปลง 5 ประการสำคัญของประเทศ คือ ธงชาติ เพลงชาติ เมืองหลวง สัญลักษณ์ประเทศ และชื่อประเทศใหม่

(27 ต.ค.) องค์กรเยาวชนชาวปะโอ (Pa-Oh Youth Organisation - PYO) แถลงเปิดเผยวีดิทัศน์และใบปลิวต่อสื่อมวลชน เผยข้อมูลถึงผลกระทบร้ายแรงที่เกิดขึ้นจากโครงการเหมืองเหล็กป๋างแปก เหมืองเหล็กขนาดใหญ่สุดในพม่า อยู่ในพื้นที่เมืองตองจี เมืองหลวงของรัฐฉาน ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับบริษัท Tyazhpromexport บริษัทรัฐวิสาหกิจของรัสเซีย และมีกำหนดเริ่มดำเนินงานในปีหน้า โดย PYO ระบุโครงการนี้จะก่อให้เกิดการสูญเสียที่ทำกิน มลพิษต่อแหล่งน้ำ และการละเมิดสิทธิ์จากทหารของรัฐบาลพม่า ซึ่งขณะนี้ทางการพม่าได้มีคำสั่งให้ชาวบ้านราว 100 คนย้ายออกจากพื้นที่แล้ว และประมาณการว่าจะมีชาวบ้านอย่างน้อย 7,000 คน ถูกโยกย้ายเมื่อโครงการเหมืองเริ่มขึ้น

พฤศจิกายน 2553

(3 พ.ย.) นายหลอชิงหัน อดีตเจ้าพ่อยาเสพติดรายใหญ่ที่ชื่อเสียงโด่งดังเมื่อในช่วง 30 กว่าปีก่อน ยอมทุ่มเงินสนับสนุนพรรคประชาธิปไตยและ เอกภาพโกก้าง KDUP (Kokang Democracy and Unity Party) สำหรับใช้เป็นทุนรณรงค์หาเสียง ซึ่งพรรคดังกล่าวเป็นพรรคนอมินีพรรคข้างรัฐบาลทหารพม่า โดยนายหลอชิงหัน กล่าวกับลูกพรรคว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน ต้องการเมื่อไหร่เท่าใดขอให้บอก ขณะที่พรรคตั้งเป้าใช้งบประมาณในการหาเสียงเมืองละ 8 ล้านจั๊ต ซึ่งมีพื้นที่หาเสียง 3 เมืองในรัฐฉานภาคเหนือ คือ เมืองล่าเสี้ยว เมืองแสนหวี และเมืองกุ๋นโหลง

(5–8 ธ.ค.) ชาวไต (ไทใหญ่) ในประเทศไทย จัดงานฉลองรับปีใหม่ศักราชที่ 2105 คึกคัก โดยการจัดงานมีหลายพื้นที่ ประกอบ วัดกู่เต้า ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่, บ้านหลักแต่ง ต.เปียงหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่, บ้านเทอดไทย (บ้านหินแตก) อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย และอีกแห่งคือที่สถานปฏิบัติธรรม (วัดใหม่) ถ.สาธุประดิษฐ์ เขตยานนาวา กรุงเทพฯ แต่ละแห่งมีผู้เข้าร่วมอย่างเนืองแน่น

(11 พ.ย.) เกิดการสู้รบกันอย่างดุเดือดระหว่างทหารกองทัพพม่ากับทหารกองพลน้อยที่ 1 ของกองทัพรัฐฉาน "เหนือ" หรือ กลุ่มหยุดยิงไทใหญ่ (SSA-N) ในพื้นที่เมืองเกซี รัฐฉานภาคใต้ การสู้รบเกิดขึ้นหลังทหารพม่าเข้าทำการโอบล้อมโจมตีฐานที่มั่นของทหารกองพล น้อยที่ 1 (SSA-N) ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอย่างดุเดือดนานกว่า 2 ชั่วโมง กองกำลังหยุดยิงไทใหญ่ SSA-N กองพลน้อยที่ 1 หลังไม่ยอมรับข้อเสนอของรัฐบาลทหารพม่าในการจัดตั้งเป็นกองกำลังพิทักษ์ชาย แดน BGF ได้ถูกกองทัพพม่ากดดันและเกิดการสู้รบกับทหารพม่าแล้วหลายครั้ง

(16 พ.ย.) พี่น้องชาวไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่หลายสาขาอาชีพทั้งกลุ่มเยาชน นักเรียน นักศึกษา และแรงงานพลัดถิ่น นำโดยพระอธิการอินตา อินทวีโร เจ้าอาวาสวัดป่าเป้า ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ นำเงินจำนวน 121,560 บาท มอบให้กับเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อให้นำไปสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหลายพื้นที่ของประเทศไทย เงินจำนวนดังกล่าวได้จากการจัดงานคอนเสิร์ตภายใต้ชื่อ “คอนเสิร์ตพี่น้องไทใหญ่รวมใจ ช่วยภัยน้ำท่วม” และได้จากการร่วมบริจาคของพี่น้องไทใหญ่

(11 พ.ย.) สภากอบกู้รัฐฉาน (RCSS) และกองทัพไทใหญ่ (SSA) ออกแถลงการณ์เรียกร้องพม่าฟื้น “สัญญาปางโหลง” ทั้งนี้เพื่อทำให้เกิดสิทธิเท่าเทียมกันของกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งระบุ รัฐธรรมนูญฉบับปี ค.ศ.2008 ที่รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าร่างขึ้นเป็นความต้องการของตนเพียงฝ่ายเดียว และการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 53 ก็ขาดความชอบธรรม

ธันวาคม 2553

(1-7 ธ.ค.) กองกำลังสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตย หรือ กลุ่มหยุดยิงเมืองลา NDAA อยู่ในภาคตะวันออกของรัฐฉาน ติดชายแดนจีน จัดงานฉลองรับปีใหม่ไต 2105 อย่างยิงใหญ่และเป็นครั้งแรกของเมืองลา มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเข้าร่วมนับหมื่นคน งานจัดที่สนามต้นรุง ทางเข้าตัวเืมือง มีตัวแทนกองทัพสหรัฐว้า UWSA และ กองทัพรัฐฉาน "เหนือ" SSA-N เข้าร่วมด้วย

(17 ธ.ค.) พระมหาสมชาย จิตฺตคุตฺโต อายุ 42 ปี 22 พรรษา พระชาวไทยเชื้อสายไทใหญ่ เจ้าอาวาสวัดพุทธาราม กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยโปณา ประเทศอินเดีย ได้รับพระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอกในราชทินนาม "พระครูสุตพุทธิวิเทศ" ในโอกาสนี้ชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยหลายสาขาอาชีพ ทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และกรุงเทพฯ ร่วมแสดงมุทิตาจิตจัดพิธีฉลองให้อย่างสมเกียรติ ในฐานะเป็นผู้เผยแพร่พระพุทธศาสนาและสร้างชื่อเสียงให้กับชาวไทใหญ่

(19 ธ.ค.) เบอร์มาไลฟ์ไลน์ (Burma Lifeline) องค์กรช่วยเหลือผู้อพยพจากสหภาพพม่า ก่อตั้งโดยเจ้านางสุจันติ หรือ Inge Sargent อดีตชายาเจ้าจ่าแสง เจ้าฟ้าไทใหญ่แห่งเมืองสี่ป้อ ได้มอบรางวัลภาวะผู้นำเจ้าสุจันติ (Sao Thusandi Leadership Award) แก่ น.ส.มอนเก๋ง วัย 26 ปี จากกลุ่มเครือข่ายปฏิบัติงานเพื่อสตรีไทใหญ่ SWAN ในฐานะเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนในพม่าอย่างแข็งขัน และช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่ผู้อพยพตามแนวชายแดนต่อเนื่องมาหลายปี โดยพิธีมอบจัดที่โรงแรมฮอลิเดย์ การ์เดน เชียงใหม่

(20–29 ธ.ค.) พรรคสหรัฐว้า UWSP (United Wa State Party) องค์กรการเมืองกองทัพสหรัฐว้า UWSA จัดประชุมคณะกรรมการพรรคประจำพื้นที่เมืองใหม่ อยู่ห่างจากเมืองปางซางไปทางเหนือประมาณ 170 กม. หารือกันถึงแนวทางอนาคตเขตปกครองว้า โดยเตรียมยื่นข้อเสนอขอสิทธิปกครองตนเองต่อรัฐบาลชุดใหม่พม่า และว่า ว้าจะไม่แยกตัวออกจากสหภาพพม่า ส่วนกรณีที่นางอองซาน ซูจี ประกาศสร้างความปรองดองด้วยการเสนอจัดประชุมปางโหลงครั้งที่ 2 เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในนั้น ว้า ไม่มีส่วนร่วมรู้และจะไม่ขอเข้าร่วมด้วย

(23 ธ.ค.) กองทัพสหรัฐว้า UWSA (United Wa State Army) มีกองบัญชาการใหญ่อยู่ที่เมืองปางซาง รัฐฉานภาคตะวันออก ติดชายแดนจีน มีมติขยายกำลังพลในกองทัพเพิ่มอีก 1 กองพลน้อย คือ กองพลน้อยที่ 618 ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่เมืองมังแสง และเมืองหนองเข็ด อันเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญอีกจุดหนึ่ง ต่อหน้าพื้นที่เคลื่อนไหวของกองทัพพม่า ฝั่งตะวันออกแม่น้ำสาละวิน ตรงข้ามเมืองต้างยาน ในรัฐฉานภาคเหนือ มีนายเปาสามราย อดีตรองผู้บัญชาการพื้นที่เมืองใหม่ เป็นผู้บัญชาการ

(29 ธ.ค.) สำนักข่าวฉาน SHAN (Shan Herald Agency for News) สำนักข่าวอิสระก่อตั้งโดยชาวไทใหญ่พลัดถิ่น ประกาศยุติตีพิมพ์เผยแพร่นิตยาสารข่าว "กอนขอ" หรือ "อิสรภาพ" ตามภาษาไทใหญ่ อันเป็นสื่อสิ่งพิมพ์รายเดือนฉบับเดียวของไทใหญ่ที่ดำเนินการผลิตเผยแพร่ ข่าวสารเกี่ยวกับรัฐฉานและสหภาพพม่ามานับสิบปี เหตุเนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนงบประมาณในการตีพิมพ์

ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/

"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลนัดฟังพิพากษาอุทธรณ์คดีทนายสมชาย 21 ม.ค. นี้

Posted: 17 Jan 2011 03:12 AM PST

ศาลอุทธรณ์ นัดฟังพิพากษาอุทธรณ์คดีนายสมชาย นีละไพจิตร กรณีถูกลักพาตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีความผิดต่อเสรีภาพ และปล้นทรัพย์ (ครั้งที่ 2) ในวันที่ 21 มกราคม 2554 เวลา 9.30 น.

ทั้งนี้ความเป็นมาของคดีนั้น นายสมชาย นีละไพจิตร ถูกบังคับให้สูญหาย เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น.วันที่ 12 มีนาคม 2547 บนถนนรามคำแหง เยื้องกับสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก กรุงเทพมหานคร

โดยเชื่อว่ามีมูลเหตุที่นายสมชายได้ร้องเรียนเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการซ้อมทรมานผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นประชาชนในจังหวัดนราธิวาสในคดีปล้นปืนเผาโรงเรียน ทั้งนี้ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาในคดีความผิดต่อเสรีภาพและปล้นทรัพย์ โดยมีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก จำเลยที่ 1 กับพวก คดีหมายเลขดำที่ 1952 / 2547 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 48 / 2549

เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 โดยคำพิพากษา มีความสรุปว่า “.. ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว โจทก์มีพยานเป็นพนักงานสอบสวนเบิกความสอดคล้องตรงกัน ทั้งเวลาและสถานที่ทำให้เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่านายสมชายหายตัวไปจริง ..”  “ ...ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยยุติและปรศจากข้อสงสัยว่า ตามวัน เวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 3-5 คนได้ร่วมกันจับตัวนายสมชาย นีละไพจิตร เข้าไปในรถที่จำเลยที่ 1 กับพวกเตรียมมา โดยที่นายสมชาย นีละไพจิตรไม่ยินยอมแล้วขับออกไปจากที่เกิดเหตุ .. "

โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) รับคดีนายสมชาย เป็นคดีพิเศษตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2548 และแม้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะฃได้แจ้งต่อสาธารณะชนเมื่อเข้ารับตำแหน่งว่าจะให้ความสำคัญแก่คดีนี้แต่พบว่าจนถึงปัจจุบันยังไม่มีความก้าวหน้าในทางคดีแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ส่งเรื่องที่นายสมชายได้ร้องเรียนเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการซ้อมทรมานผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นประชาชนในจังหวัดนราธิวาสในคดีปล้นปืนเผาโรงเรียน ก่อนที่จะถูกลักพาตัวไปเพียง 1 วันให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)ไต่สวน

โดยเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 ปปช. ได้แถลงผลการสอบสวนต่อสื่อมวลชนว่า “ ..จากการพิจารณาไม่พบว่ามีร่องรอยบาดแผลตามร่างกายที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหาได้ถูกทำร้ายร่างกายตามที่กล่าวอ้างจริงอีกทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าบาดแผลดังกล่าวได้เกิดขึ้นขณะที่มีการควบคุมตัวผู้ต้องหาดังกล่าวพยานหลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่า พลตำรวจเอก ภาณุพงศ์  สิงหรา ณ อยุธยา กับพวก รวม 19 คน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามที่ถูกกล่าวหาให้ข้อกล่าวหาตกไป.. "

คณะกรรมการ ปปช.ใช้เวลาในการพิจารณาทั้งสิ้นเป็นเวลานานกว่า 3 ปี ซึ่งระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการ ปปช.พยานสำคัญคนหนึ่งได้หายตัวไปภายใต้การคุ้มครองพยานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ระหว่างรอให้การในชั้นศาล เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2552 ขณะกลับไปเยี่ยมบ้านที่จังหวัดนราธิวาส ในขณะที่พยานอีกคนหนึ่งถูก พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา ฟ้องร้องต่อศาลอาญากรุงเทพฯ ในข้อหาให้การเท็จเรื่องการถูกซ้อมทรมานต่อ ปปช.

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2553 ศาลอุทธรณ์นัดฟังคำพิพากษาคดีความผิดต่อเสรีภาพและปล้นทรัพย์  ปรากฏว่าทนายความของ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก จำเลยที่ 1 ได้แถลงขอให้ศาลอุทธรณ์เลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาเนื่องจากจำเลยที่ 1 หายสาบสูญในเหตุการณ์คันกันน้ำถล่มที่เขื่อนแควน้อย จ.พิษณุโลก ซึ่งญาติได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลจังหวัดปทุมธานีมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลสาบสูญ เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 รวมถึงขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีส่วนของ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก ด้วย

ดังนั้นในวันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2554 นี้ศาลอุทธรณ์จึงได้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์(ครั้งที่ 2) ที่ศาลอาญากรุงเทพฯ เวลา 9.30 น. ซึ่งในการรับฟังคำพิพากษานี้จะมีตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศ นักการทูตตัวแทนองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมสังเกตุการณ์ในคดีนี้ด้วย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เผยงบดับไฟใต้ 1.4 แสนล้าน 8 ปีเหตุรุนแรง 11,523 ครั้ง

Posted: 17 Jan 2011 02:51 AM PST

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2554 รายงานข้อมูลจากสำนักงบประมาณระบุว่า รัฐบาล 6 ชุดที่ผ่านมาได้จัดงบประมาณสำหรับแก้ไขปัญหาภาคใต้ตามความรุนแรงหนักหน่วงของสถานการณ์ ตัวเลขงบประมาณจึงมีทิศทางสูงขึ้นเกือบทุกปี แม้กระทั่งงบประมาณ ณ ปีปัจจุบันคือปี พ.ศ.2554 ก็ยังสูงกว่าเมื่อปีก่อนหน้าเกือบ 3 พันล้านบาท

งบประมาณดับไฟใต้แยกแยะเป็นรายปีได้ดังนี้ ปี 2547 จำนวน 13,450 ล้านบาท ปี 2548 จำนวน 13,674 ล้านบาท ปี 2549 ขยับขึ้นเป็น 14,207 ล้านบาท ปี 2550 จำนวน 17,526 ล้านบาท ปี 2551 อยู่ที่ 22,988 ล้านบาท ปี 2552 พุ่งไปถึง 27,547 ล้านบาท ปี 2553 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 16,507 ล้านบาท และปี 2554 ขยับขึ้นไปอีกครั้งอยู่ที่ 19,102 ล้านบาท รวม 8 ปีงบประมาณ รัฐบาลทุ่มเม็ดเงินลงไปสำหรับภารกิจดับไฟใต้แล้วทั้งสิ้น 145,001 ล้านบาท หรือตัวเลขกลมๆ 1.45 แสนล้าน

งบประมาณดังกล่าวเรียกกันว่า "งบฟังก์ชัน" หมายถึง งบที่จัดไว้สำหรับทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหา ไม่รวมงบประจำประเภทเงินเดือนและค่าตอบแทนของข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐ

ที่สำคัญ ตัวเลข 1.45 แสนล้านบาทนี้ยังไม่รวมงบเยียวยาที่จ่ายให้แก่ผู้สูญเสียและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง ไม่รวมงบไทยเข้มแข็งที่จัดขึ้นใหม่ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และไม่รวมงบจัดซื้อยุทโธปกรณ์ด้วยวิธีพิเศษของกองทัพ

7 ปี "บึ้ม-ยิง-เผา" หมื่นครั้งสังเวย 4 พันชีวิต
จากยอดการใช้จ่ายงบประมาณ 1.45 แสนล้านบาท เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับสถานการณ์จริงในพื้นที่จะพบว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นตลอด 7 ปีที่ผ่านมาสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากมายจนมิอาจประเมินค่าได้

ข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่าเหตุรุนแรงรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกือบจะรายวันในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประกอบด้วย จ.ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กับ 4 อำเภอของสงขลา ซึ่งประกอบด้วย อ.จะนะ เทพา สะบ้าย้อย และนาทวีนั้น มีทั้งสิ้น 11,523 เหตุการณ์แยกเป็น จ.นราธิวาสมากที่สุด 4,010 เหตุการณ์ จ.ปัตตานี 3,783 เหตุการณ์ จ.ยะลา 3,152 เหตุการณ์ และ จ.สงขลา 567 เหตุการณ์

รูปแบบของความรุนแรง แยกเป็นเหตุยิงด้วยอาวุธปืน 6,171 ครั้ง ลอบวางระเบิด 1,964 ครั้งและวางเพลิงเผาทรัพย์สินของประชาชนรวมถึงสถานที่ราชการ 1,470 ครั้ง

ความสูญเสียจากเหตุรุนแรงมีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 4,370 ราย แยกเป็น จ.นราธิวาส 1,540 ราย ปัตตานี 1,433 ราย ยะลา 1,167 ราย และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา 224 ราย ในจำนวนผู้เสียชีวิต 4,370 รายนั้น เป็นประชาชนทั่วไป 3,825 ราย ทหาร 291 นาย และตำรวจ 254 นาย ส่วนจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บจากข้อมูลของศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน กองบัญชาการผสมพลเรือนตำรวจทหาร (ศจฉ.จชต.) อยู่ที่ 7,136 ราย

เด็กกำพร้าครึ่งหมื่น-หญิงหม้าย 2 พันคน
สถานการณ์ความรุนแรงที่คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมากยังทำให้ตัวเลขเด็กกำพร้าและหญิงหม้ายในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ กล่าวคือจำนวนเด็กกำพร้าตั้งแต่ปี 2547 จนถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 อยู่ที่ 5,111 คน แยกเป็น จ.นราธิวาส 1,463 คน ยะลา 2,033 คน ปัตตานี 1,471 คน และสงขลา 144 คน

ส่วนหญิงหม้ายที่สูญเสียสามีจากเหตุการณ์ความไม่สงบ นับจากปี 2547 ถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 อยู่ที่ 2,188 คน แยกเป็น จ.นราธิวาส 575 คน ยะลา 770 คน ปัตตานี 770 คน และสงขลา 73 คน

7,680 คดีถึงศาล 256 ยกฟ้องเกือบครึ่ง
เป็นที่ทราบกันดีว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา เป็นพื้นที่ประกาศใช้กำหมายพิเศษหลายฉบับ ทั้งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กฎอัยการศึก พ.ศ.2457 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) และพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 แต่เมื่อพิจารณาถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการคลี่คลายคดีความมั่นคงที่เกิดขึ้นแล้ว พบว่าล้มเหลวแทบจะสิ้นเชิง

ทั้งนี้ ความรุนแรงรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ศชต.ได้นำมาแยกแยะเป็นคดีความมั่นคงได้ 7,680 คดี จากคดีอาญาที่เกิดขึ้นทั้งหมด 77,865 คดี หรือคิดเป็น 9.86% ในจำนวนคดีความมั่นคง 7,680 คดีนั้น เป็นคดีที่ไม่รู้ตัวผู้กระทำผิดมากถึง 5,872 คดี รู้ตัวผู้กระทำความผิดเพียง 1,808 คดีหรือคิดเป็น 23.54% ในจำนวนนี้จับกุมผู้ต้องหาได้ 1,264 คดี หลบหนี 544 คดี

เมื่อแยกแยะคดีความมั่นคงที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมขั้นต่างๆ พบว่า คดีที่อยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน 7,680 คดี เป็นคดีที่สั่งงดการสอบสวน เพราะไม่รู้ตัวผู้กระทำความผิดถึง 5,269 คดี สั่งฟ้อง 1,536 คดี สั่งไม่ฟ้อง 210 คดี อยู่ระหว่างดำเนินการ 665 คดี พนักงานอัยการสั่งฟ้องไปแล้ว 655 คดี สั่งไม่ฟ้อง 299 คดี และมีคดีที่ศาลพิพากษาแล้ว 256 คดี ลงโทษ 140 คดี หรือ 54.69% ยกฟ้อง 116 คดีหรือคิดเป็น 45.31%

สถิติเหตุรุนแรงปี 2553 ลดลง 13%
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ซึ่งกำกับนโยบายดับไฟใต้ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า จากสถิติการก่อเหตุร้ายที่รวบรวมโดย ศชต. พบว่าปี 2550 เป็นปีที่เกิดเหตุรุนแรงมากที่สุดถึง 2,475 เหตุการณ์ จากนั้นก็ค่อยๆ ลดระดับลงเรื่อยๆ กระทั่งปี 2553 เกิดเหตุรุนแรงทั้งสิ้น 1,348 เหตุการณ์เท่ากับลดลง 184 เหตุการณ์หรือ 13.65%

นอกจากนั้นความสูญเสียจากเหตุรุนแรงก็ลดลงมากเช่นกัน กล่าวคือ ตลอดปี 2553 มียอดผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 606 ราย ลดลงจากปี 2552 จำนวน 87 รายหรือคิดเป็น 14.33%

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คอป.นัดถกสรุปผลงาน 6 เดือน 24 ม.ค.นี้

Posted: 17 Jan 2011 02:50 AM PST

"สมชาย หอมละออ" เผย คอป.นัดประชุม 24 ม.ค. สรุปผลงาน 6 เดือน โอดกองทัพไม่ให้ข้อมูลการปฎิบัติหน้าที่เล็ง เสนอนายกฯ จัดการ

17 ม.ค. 54 - ที่รัฐสภามีการประชุมคณะกรรมการเพื่อติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา ที่มี นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ เป็นประธาน โดยมีการเชิญนายสมชาย หอมละออ หนึ่งในคณะอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) และประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบเพื่อค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ มาชี้แจงเกี่ยวกับความคืบหน้าในการทำงานและผลการทำงนนับตั้งแต่มีการแต่ง ตั้งจากรัฐบาล

นายสมชาย กล่าวว่า คอป.จะมีการรายงานผลการทำงานให้รัฐบาลทราบทุก 6 เดือนโดยจะประชุมครั้งสุดท้ายในวันที่ 24 ม.ค.ก่อนจะนำเสนอให้รัฐบาลเพื่อให้ทราบว่าที่ผ่านมาคอป.มีความคืบหน้าในการ ทำงานอย่างไรบ้างและนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน ทั้งนี้การทำงานที่ผ่านมาได้เชิญทุกฝ่ายเข้ามาชี้แจงไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ กลุ่มผู้ชุมนุม ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)รวมไปถึงสื่อมวลชน ซึ่งในกรณีของสื่อมวลชนคอป.ให้ความสำคัญเป็นพิเศษเพราะเป็นกลุ่มที่ไม่ ฝักใฝ่ฝ่ายใดและมีหลักฐานที่เป็นทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวซึ่งเป็น ประโยชน์อย่างมากในการทำงาน

"เรายังไม่ได้รับการตอบรับในการให้คำตอบจากเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฎิบัต ิการภาคสนาม โดยที่ผ่านมาได้ทำหนังสือถึงกองทัพหลายครั้งเพื่อขอความร่วมมือแต่ยังไม่ได้ รับการตอบรับเท่าที่ควร ซึ่งถ้ายังเป็นอยู่อย่างนี้ก็คงต้องขอความร่วมมือจากนายกรัฐมนตรีเพื่อ ประสานไปยังกองทัพต่อไป ขณะเดียวกัน ปัญหาในการเข้าถึงข้อมูลของคอป.คือ ฝ่ายที่ประสงค์จะให้ข้อมูลมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะได้รับหากมี การเปิดเผยข้อมูลให้กับคอป. ซึ่งในส่วนนี้คอป.ได้คิดวิธีการตรวจสอบในเชิงการทำวิจัย กล่าวคือ ถ้าบุคคลให้ข้อมูลไม่ประสงค์จะลงนามเราก็จะดำเนินให้"นายสมชายกล่าว

นายสมชาย กล่าวว่า สำหรับการประกันตัวของผู้ที่ถูกดำเนินคดีที่ไม่ร้ายแรง คอป.ได้เสนอแนะต่อรัฐบาลให้ดำเนินการพิจารณาแล้ว ซึ่งการตอบสนองของรัฐบาลในเรื่องนี้ถือว่าดีเพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาไปกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและกองทุนยุติธรรมเพื่อ ดำเนินการประกันตัวในบุคคลที่ถูกตั้งข้อหาไม่ร้ายแรงแล้ว

"อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเรื่องนี้คอป.ไม่สามารถดำเนินการเกี่ยวกับการประกันตัวได้เต็มที่ เพราะคอป.ไม่ใช่คู่ความตามกฎหมายที่จะสามารถดำเนินการได้ แต่ที่ผ่านมาคอป.ได้แสดงท่าทีไปยัง อัยการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งเป็นคู่ความจะต้องดำเนินการอย่างคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของจำเลยและการ สร้างความปรองดองด้วย ทนายความของจำเลยสามารถนำเสนอข้อมูลต่อศาลได้"นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย กล่าวว่า นอกจากนี้ ปัญหาอุปสรรคที่สำคัญ คือ ผู้ต้องหาบางคนไม่รู้สิทธิทางกฎหมายของตัวเอง ในบางกรณีที่ถูกศาลพิพากษาให้จำคุกแล้วแต่ไม่มีความรู้ทางกฎหมายว่าจะต้องทำ อย่างไรเพราะไม่มีทุนทรัพย์ในการจ้างทนายความ ทำให้ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการอุทธรณ์คดี ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งที่คอป.จะเสนอให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขด้วยการตั้งกองทุน เพื่อช่วย โดยเห็นว่าถ้าลดเรื่องสองมาตรฐานและอุปสรรคในการอำนวยความยุติธรรมได้จะทำ ให้การสร้างความปรองดองสามารถทำได้ง่ายมากขึ้น

"อีกประเด็นที่สำคัญคือ พนักงานสอบสวนบางรายยังยอมรับว่า คำนึงถึงการสนองนโยบายของผู้ใหญ่บางรายที่สั่งการมา มากกว่าความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน คอป.เห็นว่า เป็นประเด็นสำคัญเรื่องความเป็นมืออาชีพ และหลักนิติรัฐ ซึ่งต้องเสนอเพื่อปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมต่อไป"นายสมชาย กล่าว

นายจิตติพจน์ กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ในวันที่ 24 ม.ค.จะเชิญผู้ดูแลเว็บไซต์เกี่ยวกับสื่อสารมวลชนที่ถูกรัฐบาลปิดมาชี้แจง เพื่อมาเป็นข้อมูลมาประกอบในการพิจารณาด้วย

 

 ที่มาข่าว: โพสต์ทูเดย์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 9 - 15 ม.ค. 2554

Posted: 17 Jan 2011 02:27 AM PST

แรงงานไทยในอิสราเอล 2 คนได้รับบาดเจ็บจากการถูกสะเก็ดกระสุนปืนใหญ่

9 ม.ค. 54 - เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ฮาอาเรตซ์ ของอิสราเอล รายงานว่า แรงงานเกษตรกรชาวไทย 2 คนได้รับบาดเจ็บ หลังถูกกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกยิงตกใส่พื้นที่ทางภาคใต้ใกล้เขตฉนวนกาซาเมื่อ วานนี้ ตำรวจอิสราเอลกำลังสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว โดยพบสภาพความเสียหายบริเวณอาคารหลังหนึ่ง และกองเลือดนองบนพื้น นอกจากนี้มีพยานแรงงานชาวต่างชาติหลายคนเห็นเหตุการณ์

อย่างไรก็ตามทางการอิสราเอลไม่เปิด เผยชื่อแรงงานไทยดังกล่าว แต่สื่อในอิสราเอลรายงานวันเดียวกันว่า มีเหตุทหารอิสราเอลถูกเพื่อนทหารด้วยกันยิงเสียชีวิต 1 นาย จากความผิดพลาดระหว่างเผชิญหน้ากับชาวปาเลสไตน์หัวรุนแรงบริเวณชายแดนกาซา

(สำนักข่าวแห่งชาติ, 9-1-2554)

กต.ชี้ 3 แรงงานไทยที่อิสราเอลปลอดภัย

9 ม.ค. 54 - นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ  กล่าวว่า แรงงานไทยพ้นขีดอันตรายแล้วหลังเข้ารับการรักษาที่  โรงพยาบาลซโรคา โดย 1 รายสามารถกลับบ้านได้แล้วส่วนอีก 2 รายที่ถูกสะเก็ดระเบิดที่เข่าและไหล่ยังต้องพักดูอาการเฝ้าระวังการติด เชื้อ   เป็นชาวจ.หนองบัวลำภู 2คนจ.เลย 1 คน  โดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ประสานกับสำนักงานประกันสุขภาพและสังคม  ให้ดูเรื่องค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยในช่วงที่ต้องพักรักตัว ขณะกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งญาติที่จังหวัดหนองบัวลำภูและจ.เลยทราบแล้ว

(คมชัดลึก, 9-1-2554)

จัดหางานเตือน ระวังถูกหลอกไปทำงานต่างประเทศ

10 ม.ค. 54 - นายสุเมธ มโหสถ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานได้รับคำร้องทุกข์จากนายสรพงษ์ ออมสิน ชาว จังหวัดลำปาง และผู้เสียหายอีกกว่า 106 คน ว่าบริษัท พีอาร์เวิร์ด กรุ๊ป และบริษัทสยามแมนเนจเมนท์แอนด์ซับคอนแทรค จำกัด ได้ร่วมกันหลอกลวงแรงงานไทยไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล แคนาดา และเกาหลีใต้ โดยให้ผู้เสียหายจ่ายเงินค่าบริการ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ คนละตั้งแต่ 20, 000-250,000 บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 7, 569,2000 บาท ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติของบริษัททั้งสอง ไม่พบว่าเป็นบริษัทที่ได้รับอนุญาตจัดหางานให้คนงานไปทำงานต่างประเทศแต่ อย่างใด ซึ่งขณะนี้กรมการจัดหางาน ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อบริษัททั้งสองแล้ว ที่สถานีตำรวจนครบาลอุดมสุข โดยเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน ในข้อหาร่วมกันจัดหางานให้คนหางานไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนาย ทะเบียนจัดหางานกลาง และร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานหรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศ ได้โดยการหลอกลวง

รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวอีกว่า หลังจากนี้กรมฯจะจัดชุดปฏิบัติการเพื่อติดตามเรื่องนี้อย่างเข้มข้นมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ก็มีกรณีที่นายหน้าหลอกลวงแรงงานไปทำงานที่ประเทศเฮติมา แล้ว

(สำนักข่าวแห่งชาติ, 10-1-2554)

ทีดีอาร์ไอฟันธงรัฐเหลวดึงแรงงานนอกระบบ

10 ม.ค. 54 - นางวรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ นักวิจัยประจำสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ เปิดเผยว่า ไม่เห็นด้วยกับมาตรการเร่งด่วนของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ออกมาให้สวัสดิ การแรงงานนอกระบบร่วมประกัน สังคมตามมาตรา 40 ของ พ.ร.บ.ประกันสังคม เพราะไม่เหมาะสมทั้งเรื่องของตัวเงินและสิทธิประโยชน์ ที่ได้รับ แต่ยังไม่เห็นรายละเอียดที่ชัดเจนว่าแรงงานเลือกจ่าย 100 150 หรือ 280 บาท มีรายละเอียด อย่างไรบ้าง

ภาพรวมยังไม่มีความชัดเจนมากนัก ส่วนใหญ่คือการเอื้อสวัสดิการและประกันความเสี่ยงให้กับแรงงานนอกระบบ เพราะแรงงานกลุ่มนี้มีความเสี่ยงจากการประกอบอาชีพมาก และยังคงไม่มีหลักประกันอะไรรับรองนางวรวรรณ กล่าว

สำหรับประเด็นที่รัฐบาลจะให้แรงงาน นอกระบบออมเงินผ่านระบบประกันสังคม นั้น นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอมองว่า ควรจะแยกการออมเงินชราภาพออกจากระบบประกันสังคมให้ชัดเจน และให้กองทุนการออมเพื่อการชราภาพ (กอช.) บริหารงานมากกว่า เพราะเชื่อว่า กอช.มีความเสี่ยงต่ำกว่าประกันสังคม และการบริหารงานในส่วนนี้ กอช.มีความสามารถมากกว่า รวมถึงระบบการจ่ายเงินก็เป็นแบบบำนาญซึ่งมีความเหมาะสมกับแรงงานในกลุ่มนี้

นายยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัย (การพัฒนาแรงงาน) ทีดีอาร์ไอ มองว่า โดยหลักการเห็นด้วยกับรัฐบาลที่มีนโยบายประชาวิวัฒน์เพื่อพัฒนาประเทศ แต่ต้องดูและวิเคราะห์ให้ลึกโดยเฉพาะแหล่งเงินที่ใช้ ส่วนในเรื่องนโยบายที่จะดึงคนงานเข้าสู่ประกันสังคมที่เลือกจ่ายใน 3 อัตรานั้นเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อผู้ประกันตนแต่ไม่ครอบคลุมทั้งหมด เชื่อว่ามาตรฐานนี้จะสามารถช่วยให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบประกันสังคมได้ มากกว่า 50% หากมีการประชาสัมพันธ์แจ้งให้ทราบ

โดยส่วนตัวนโยบายของรัฐ ดังกล่าวถ้าทำตามขั้นตอนอย่าง เป็นระบบและยึดหลักที่ประกาศไว้เชื่อว่าน่าจะช่วยได้ พร้อมยอมรับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่รัฐบาลต้องการคะแนนเสียง

(โพสต์ทูเดย์, 10-1-2554)

แรงงานนอกระบบเผยประชาวิวัฒน์ไม่ชัดเจน

10 ม.ค. 54 - หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีประกาศมาตราการเปิดโอกาสให้แรงงานนอกระบบ จำนวนกว่า 24 ล้านคนเข้าสู่ระบบประกันสังคม ซึ่งจะมีผลตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป โดยเมื่อวันที่ 10 มกราคม นางสุจิน รุ่งสว่าง ประธานเครือข่ายแรงงานนอกระบบ กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับการประกาศมาตราการดังกล่าว แม้ว่าจะยังไม่ดีมากนักและไม่เท่าเทียมกับแรงงานในระบบก็ตาม แต่อย่างน้อยก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะที่ผ่านมาได้มีการเรียกร้องผลักดันเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2540 จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม

นางสุจิน กล่าวว่า จากการพูดคุยกับสมาชิกเครือข่ายแรงงานนอกระบบล้วนมีความเห็นตรงกันว่าสำนัก งานประกันสังคม (สปส.) ควรเก็บเงินสมทบกับแรงงานนอกระบบให้น้อยลงและให้รัฐบาลเข้ามาร่วมจ่ายมาก ขึ้น หรือไม่เช่นนั้นควรเพิ่มสิทธิ์ประโยชน์ให้มากขึ้น เพื่อจูงใจให้แรงงานนนอกระบบเข้ามาสู่ระบบประกันสังคม นอกจากนี้อยากเปลี่ยนจากสิทธิ์บำเหน็จชราภาพมาเป็นบำนาญชราภาพ เนื่องจากเงินบำนาญถือเป็นหัวใจสำคัญของแรงงานนนอกระบบในการดำรงชีวิตใน สังคม ทั้งนี้การประกาศมาตราการดังกล่าว ทำให้สปส.มีสถานะอยู่ภายใต้ระบบประชาภิวัฒน์ที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งมีผลบังคับใช้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เมื่อหมดวาระรัฐบาลจะมีใครรับประกันได้ว่ามาตราการดังกล่าวจะไม่ล่ม ดังนั้น รัฐบาลจะทำอย่างไรให้เงินสมทบประเดิมกองทุนสปส.นี้มีผลระยะยาวและใช้ได้ตลอด ไป ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน

น.ส.วาสนา ลำดี ผู้ประสานงานโครงการสื่อสารแรงงาน กล่าวว่า การที่รัฐบาลมองเห็นความสำคัญของแรงงานนอกระบบ โดยเฉพาะในเรื่องของหลักประกันชีวิต ถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างมาก แต่ในทางปฏิบัตินั้นยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลจะสามารถทำได้จริงและเข้าถึงแรง งานนอกระบบกลุ่มนี้ได้หรือไม่ เพราะต้องยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวยังใหม่และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นรัฐบาลและสำนักงานประกันสังคม (สปส.) จะต้องประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง เช่น ในเรื่องการติดต่อขอแบบฟอร์มและวิธีการจ่ายเงินสมทบ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องยาก หากจะทำควรจะเป็นในลักษณะคล้ายกับการขายประกันลงพื้นที่ทุกกลุ่ม ทั้งนี้หากมองในภาพรวมแล้วบุคลากรของสปส.ยังมีจำกัดและไม่สามารถทำได้

น.ส.วาสนา กล่าวว่า การที่นายกฯออกมาประกาศนำร่องแรงงานนอกระบบใน 3 กลุ่มอาชีพ ได้แก่ มอเตอร์ไซด์รับจ้าง คนขับรถแท็กซี่และหาบเร่แผงลอยเห็นจะไม่ถูกต้อง หากต้องการลดความเหลื่อมล้ำจริงต้องไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มอาชีพเหล่านี้ นอกจากนี้ในส่วนของการเก็บเงินสมทบ จำนวน 2 อัตรา คือ 100 บาทและ150 บาทต่อเดือนนั้น เป็นการกำหนดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและหวังผลในการเลือกตั้ง เพราะหากโปร่งใสจริงจะต้องมีการปรึกษาหารือถึงเกณฑ์การเก็บเงินสมทบดังกล่าว ก่อน ไม่ใช่กำหนดขึ้นมาลอยๆโดยไม่ทราบว่าใช้อะไรเป็นตัวตั้ง นอกจากนี้หากมีแรงงานนอกระบบเข้าสู่ประกันสังคมเป็นจำนวนมากกว่าที่รัฐบาล คาดการณ์ไว้ จะส่งผลกระทบต่อกองทุนประกันสังคมหรือไม่และรัฐบาลจะดำเนินอย่างไรต่อไป

ด้านนายธนธรณ์ แปงคำใส ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างย่านดินแดง กล่าวว่า การที่รัฐบาลมีนโยบายจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้างหรือวินมอเตอร์ไซด์ ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ขณะเดียวกันการจัดระเบียบก็ยังมีช่องว่างทางกฎหมาย เมื่อมีการจัดระเบียบเกิดขึ้น เพราะเสื้อวินในกฎหมายกำหนดไว้ห้ามขาย แต่บางคนต้องซื้อเสื้อวินต่อจากคนอื่น หรือเช่าเสื้อ เพราะไม่สามารถทำเป็นรถรับจ้างป้ายสีเหลืองได้ เมื่อเจ้าหนี้ที่ตำรวจเรียกตรวจใบอนุญาตก็จะถูกเปรียบเทียบปรับ รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกเก็บเงินจากวินมอเตอร์ไซด์บางวิน จึงอยากฝากรัฐบาลดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษ ส่วนที่รัฐบาลต้องการให้กลุ่มแรงงานนอกระบบ ซึ่งรวมไปถึงวินมอเตอร์ไซด์เข้าไปอยู่ในระบบประกันสังคมโดยที่จ่ายใน 2 อัตรา คือ 100 บาทต่อเดือน รัฐช่วยสมทบ 30 บาท ซึ่งได้สิทธิประโยชน์ 3 กรณี คือชดเชยการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต และ 150 บาท รัฐช่วยสมทบ 50 บาท ได้สิทธิ์ 4 กรณี โดยเพิ่ม สิทธิ์เงินออมบำเหน็จชราภาพนั้น ก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่อยากทราบรายละเอียดสิทธิประโยชน์ต่างๆที่จะได้รับให้ชัดเจนกว่านี้

(เนชั่นทันข่าว, 10-1-2554)

ก.แรงงานสั่งห้ามคนงานไทยเข้าพื้นที่ฉนวนกาซา

10 ม.ค. 54 - นายสุเมธ มโหสถ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่าแจ้งเตือนและสั่งห้ามคนงานไทยในอิสราเอลที่ไปรับจ้างเป็น เกษตรกรกว่า 2.6 หมื่นคน เข้าไปทำงานในฉนวนกาซาและพื้นที่ใกล้เคียง รวมทั้งโดยมีหนังสือเตือนไปยังบริษัทจัดหางานสั่งห้ามและไม่อนุญาตให้ส่งคน งานไปในพื้นที่โดยเด็ดขาดเนื่องจากเป็นเขตพื้นที่อันตรายหลังจากวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมามีคนงานไทย 3 คนได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกยิงจากฉนวนกาซาเข้ามาตกในบริเวณที่ พักคนงานต่างชาติ

สำหรับคนไทยที่บาดเจ็บทั้ง 3 คนประกอบด้วยนายจำรัส บัวลิวัน ชาวจังหวัดเลย ไปทำงานโดยบริษัทจัดหางานไทยชาญ จำกัด ถูกกระสุนที่บริเวณขาขวาเป็นเหตุให้กระดูกแตก แพทย์แจ้งภายหลังการรักษาว่าขาของนายจำรัสอาจไม่กลับคืนสู่สภาพเดิมและต้อง รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์

นอกจากนี้ยังมีนายศักดิ์สยาม แสงสว่าง ชาวจังหวัดนครพนม ไปทำงานโดยบริษัทจัดหางานโปรเฟสชันแนลโอเวอร์ซีส์ อ๊อฟ แมนพาวเวอร์ จำกัด ถูกกระสุนปืนบริเวณไหล่ซ้ายต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อีก 1 สัปดาห์ และนายธีรวัฒน์ บุญมี ชาวจังหวัดหนองบัวลำภูไปทำงานโดยบริษัทจัดหางานแอล แอนด์ ซี กรุ๊ป จำกัด ถูกกระสุนปืนบริเวณไหล่ขวา เข้ารักษาพยาบาลแล้วและแพทย์ให้กลับที่พักได้

ทั้งนี้ในพื้นที่เกิดเหตุดังกล่าวมี คนงานไทยพักอาศัย 10 คนและเพื่อความปลอดภัย กระทรวงแรงงาน ได้แจ้งให้นายจ้างจัดหาที่พักใหม่ชั่วคราวให้คนงานและนายจ้างให้คนงานหยุด พักงานได้ 3 วันเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจรวมทั้งไม่ขัดข้องหากคนงานรายใดประสงค์จะย้ายงาน

สำหรับสิทธิประโยชน์ที่คนงานไทยจะ ได้รับจากสำนักงานประกันสังคมอิสราเอล ประกอบด้วย ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ค่าจ้างตามกฎหมายระหว่างการพักรักษาตัวและออกวีซ่าให้ญาติพี่น้องของคนงาน ที่ได้รับบาดเจ็บเดินทางเข้าไปเยี่ยมคนงานที่ประเทศอิสราเอลได้

นอกจากนี้ในส่วนของกระทรวงแรงงาน คนงานจะได้รับการสงเคราะห์จากการเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำ งานต่างประเทศในกรณีประสบอันตรายขณะทำงานในต่างประเทศเป็นค่ารักษาพยาบาล เท่าที่จ่ายจริงรายละไม่เกิน 3 หมื่นบาท 

(โพสต์ทูเดย์, 10-1-2554)

เครือข่ายแรงงานนอกระบบจี้รัฐเพิ่มเงินบำนาญ

10 ม.ค. 54 - นายดำรงค์ สังวงษ์ ผู้ประสานงานแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานไทย เปิดเผยว่า จากการประชุมกลุ่มย่อยของเครือข่ายแรงงานนอกระบบในกลุ่มอาชีพ เกษตรกร แท็กซี่ มอเตอร์ไซด์รับจ้างและซาเล้งมีความคิดเห็นต่อนโยบายประชาวิวัฒน์ของรัฐบาลใน ส่วนแพ็คเก็จประกันสังคมว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่อยากให้ครอบคลุมไปถึงเรื่อง การจ่ายเงินบำนาญชราภาพด้วย

ทั้งนี้เพราะตามข้อมูลที่รับทราบมา ผู้ที่เลือกจ่ายเงิน 150 บาท/เดือนจะได้สิทธิประโยชน์เป็นเงินบำเหน็จเมื่อถึงวัยเกษียร แต่ไม่ได้บำนาญอีกทั้งถูกตัดสิทธิในการออมเงินกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่าแรงงานนอกระบบยังต้องการมีบำนาญขั้นพื้นฐานเพื่อ รองรับภาวะสังคมผู้สูงอายุในอนาคต

การได้บำเหน็จก็เป็นเรื่องดีแต่คิด ว่าเมื่อได้แล้วมันคงหมดลงอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นอยากให้ปลดล็อกว่าถึงแม้จะเลือกจ่ายประกันสังคม 150 บาท/เดือนก็ยังออมเงินกับกอช.ได้ด้วย ไม่เช่นนั้นเท่ากับว่ารัฐบีบให้แรงงานนอกระบบไปใช้แพ็คเก็จจ่ายเดือนละ 100 บาทเพราะแพ็คเก็จนี้ไม่ติดสิทธิในการเข้าร่วมกับกอช. แต่อีกมุมหนึ่งนอกจากจ่ายสมทบประกันสังคมแล้วยังต้องจ่ายสมทบกอช.เพิ่มอีก ด้วยนายดำรงกล่าว

นายดำรงกล่าวว่ายังมีรายละเอียดอีก หลายเรื่องที่ยังต้องหารือกันเพื่อให้ตอบ โจทย์แรงงานนอกระบบอย่างแท้จริง เช่นเรื่องการจ่ายเงินชดเชยทุพพลภาพที่ยังมีเงื่อนไขว่าหากเกิดอุบัติเหตุ แขนขาดหรือขาขาดต้องขาดทั้ง 2 ข้าง หากขาดข้างเดียวก็ไม่ได้รับเงินชดเชย หรือหากเกิดอุบัติเหตุนิ้วขาด ต้องขาดกี่ข้อถึงจะถือว่าทุพพลภาพเป็นต้น

(เนชั่นทันข่าว, 10-1-2554)

จัดหางานน่าน เตือนระวังถูกหลอกไปทำงานลาว

12 ม.ค. 54 - นายเมธา จันทร์ยวง จัดหางานจังหวัดน่าน เปิดเผยว่า ขณะนี้มีบุคคลฉวยโอกาสชักชวนคนหางานในจ.น่านไปทำงานที่ประเทศลาว โดยอ้างว่าเป็นงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า จำนวน 44 ตำแหน่ง  ซึ่งตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์จะได้ค่าจ้างวันละ 1,800 บาท โฟร์แมน วันละ 1,500 บาท และคนงานทั่วไปแผนกต่างๆ จะได้ค่าจ้างวันละ 480-1,450 บาท มีสัญญาจ้าง 1 ปี แต่ผู้สมัครจะต้องเสียค่าบริการเบื้องต้น 15,000 บาท ถือว่าสูงเกินความเป็นจริง และสูงกว่าในประเทศไทยมาก  อาจทำให้ผู้ถูกชักชวนหลงเชื่อและถูกหลอกได้

นอกจากนี้ นายเมธา ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ได้พบกับผู้ประสานงานของบริษัท บ้านปู เพาว์เวอร์ จำกัด ประจำจ.น่าน และได้รับการชี้แจงว่า โครงการโรงไฟฟ้าหงสาเป็นการร่วมทุนของบริษัท บ้านปูเพาเวอร์ จำกัด บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ของประเทศไทย และบริษัท Lao Holding State Enterprise (LHSE) ซึ่งเป็นวิสาหกิจของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อร่วมจัดตั้งบริษัท Hongsa Power Company Limited (HPC) และบริษัท Phu Fai Mining Company Limited (PFMC) สำหรับดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าหงสาที่เมืองหงสา โดยมีข้อตกลงด้านแรงงานว่า ต้องใช้แรงงานลาวร้อยละ 80 ที่เหลืออีกร้อยละ 20 เป็นแรงงานจากชาติอื่นรวมทั้งไทยด้วย ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ดำเนินการเปิดประมูลให้มีการก่อสร้างแต่อย่างใด นอกจากการทำถนน หากมีการจ้างแรงงานไทยไปทำงานดังกล่าวจริง จะต้องดำเนินการรับสมัครงานผ่านสำนักงานจัดหางานจังหวัดน่านเท่านั้น โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสมัครแต่อย่างใด และจะประกาศให้ทราบในโอกาสต่อไป ดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้คนหางานถูกหลอกลวงไปทำงานโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ในลาว หากพบเห็นบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ขอให้แจ้งตำรวจในท้องที่ หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดน่าน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดน่าน ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณศูนย์ราชการจังหวัดน่าน โทรศัพท์ 054-716075-6 ในวันและเวลาราชการ

(ไทยรัฐ, 12-1-2554)

พนง. บ.แม็กซิส ร้องผู้ว่าระยองช่วยเงินเดือน+โบนัส

12 ม.ค. 54 - ที่ จ.ระยอง พนักงานของบริษัท แม็กซิส อินเตอร์เนชั่นแนล(ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งผลิตยางรถยนต์ยี่ห้อชื่อดัง จำนวน500คน ไปชุมนุมประท้วงที่หน้าศูนย์ราชการจังหวัดระยอง เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องขอเงินโบนัส และสวัสดิการเพิ่มจากนายจ้าง นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย ผวจ.ระยอง ออกมารับหนังสือ

นายชัยรัตน์ บุษรา ประธานสหภาพแรงงานแม็กซิส ประเทศไทย เปิดเผยว่า พนักงานได้รับค่าจ้างและสวัสดิการต่ำมากโดยเฉพาะโบนัส และเงินเดือน  ได้มีการยื่นข้อเรียกร้องกับผู้บริหาร ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย.53ที่ผ่านมา แต่กลับถูกผู้บริหารสั่งปิดโรงงานอ้างว่าเครื่องจักรเสีย แล้วนำแรงงานต่างชาติ กว่า 300 คนเข้ามาทำงานแทน อาจจะนำไปสู่การปล่อยลอยแพพนักงาน
  
ด้าน นายธวัชชัย ผวจ.ระยองได้นัดให้กลุ่มสหภาพแรงงาน และนายจ้างมาตกลงกันในวันที่ 13 ม.ค.นี้ กลุ่มผู้ชุมนุมพอใจแยกย้ายกันกลับ

(โพสต์ทูเดย์, 12-1-2554)

เพชรบูรณ์เตือนระวังถูกหลอก ทำงานสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้าที่สปป.ลาว

14 ม.ค. 54 - นายสัมพันธ์ สุวรรณทับ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า แรงงานไทยกว่า 240 คน ถูกนายหน้าจัดหางานหลอกให้ไปทำงานสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้าที่สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยหลอกว่าเป็นการไปทำงานที่ผ่านกรมการจัดหางาน จะมีการฝึกอบรม และตรวจสุขภาพตามขั้นตอนของกรมการจัดหางาน และจะได้ค่าแรงไม่ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อเดือน แต่แรงงานจะต้องเสียค่านายหน้าคนละ 46,000-49,000 บาท ซึ่งหลังจ่ายเงินไปเมื่อต้นปี 2553 แรงงานต้องรอเป็นระยะเวลากว่า 8 เดือน จึงมีการนัดหมายให้คนงานจำนวน 240 คน ข้ามไปยังฝั่งประเทศลาว กลุ่มเอเยนต์จัดเตรียมพาหนะพาแรงงานทั้งหมดไปพักอาศัยในแคมป์ 4 แคมป์ บางแคมป์มีสภาพความเป็นอยู่แออัด บางแคมป์ต้องอาศัยอยู่ในป่ารกทึบ พื้นที่แขวงอัตตะปือ สภาพความเป็นอยู่ไม่ถูกสุขลักษณะ ขับถ่ายตามแม่น้ำ-ป่าเขา คนงานอยู่รอกว่า 1 เดือน โดยไม่ได้ทำงาน และนายจ้างไม่ยอมจ่ายค่าแรงตามที่ได้ตกลงว่าจะให้ค่าแรงทันทีเมื่อไปถึง ประเทศลาว จึงรู้ว่าถูกหลอก และเมื่อต้นเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา แรงงานไทยจำนวน 24 คน ได้เข้าร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแขวงอัตตะปือ ให้ช่วยนำพวกตนส่งกลับประเทศไทยและได้กลับเป็นชุดแรก ต่อมาแรงงานไทยอีกจำนวน 115 คน ถูกทอดทิ้งในแคมป์ที่พัก ไม่มีแม้แต่อาหาร ไม่มีเงินติดตัว และเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. จึงพากันเดินทางไปร้องขอความช่วยเหลือต่อสถานกงสุลสะหวันนะเขต เพื่อช่วยเหลือให้ส่งตัวกลับประเทศไทย และแรงงานไทยกลุ่มนี้ได้รับการช่วยเหลือส่งกลับถึงประเทศไทยแล้ว

พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยต่อว่า เหตุหลอกลวงแรงงานไทยไปทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้านในครั้งนี้ เป็นการกระทำของนายหน้าชาวไทย และกิจการสร้างเขื่อนเป็นของคนไทยร่วมหุ้นกับชาวลาวที่ยังไม่ได้ดำเนินการ แต่อย่างใด จากกรณีดังกล่าว มีแรงงานชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวนกว่า 20 คน ถูกหลอกไปทำงานในครั้งนี้มีนายหน้าในพื้นที่มาชี้ชวน และเรียกรับเงินค่านายหน้า ต้องเสียเงินรวมกว่า 1 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเข้าร้องทุกข์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ฝากเตือนผู้ว่างงาน หากต้องการไปทำงานต่างประเทศให้สอบถามข้อมูลจากสำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือที่กรมการจัดหางาน อย่าได้หลงเชื่อนายหน้าเถื่อนเพราะอาจถูกหลอกได้เช่นกรณีนี้เป็นตัวอย่าง

(ข่าวสด, 14-1-2554)

สหรัฐฯ ตั้งข้อหาชาวมะกันเพิ่มฐานล่อลวงแรงงานไทยร่วม 400 คน

15 ม.ค. 54 - คณะลูกขุนใหญ่ของศาลฮอนโนลูลูสั่งฟ้องโจเซฟ นอลเลอร์ และบรูซ ชวาร์ตซ์ พร้อมกับจำเลยร่วมอีก 6 คน ซึ่งถูกตั้งข้อหาไปก่อนในเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา ฐานล่อลวงชาวไทยราว 400 คน ไปใช้แรงงานในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2001-2007
      
นอกจากนี้ ผู้ที่ถูกตั้งข้อหาเดียวกันยังได้แก่ มอ์เดไช โอเรียน ชาวอิสราเอล ปราณี ทับชุมพล เชน เจอร์แมนน์ และ แซม วงศ์สนิท จากบริษัท โกลบอล ฮอไรซันส์ แมนพาวเออร์ ในลอสแองเจลิส
      
อัยการระบุว่า จำเลยเหล่านั้นได้ร่วมมือกับรัตวรรณ ชุณหฤทัย และพจนีย์ สินชัย นายหน้าจัดหาแรงงาน กระทำความผิด ซึ่งเริ่มจากหลอกให้สัญญาว่าจะได้ทำงานที่มีค่าตอบแทนสูง
      
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงสหรัฐฯ แรงงานไทยเหล่านั้นกลับถูกยึดหนังสือเดินทางและบังคับให้ต้องจ่ายเงินหลาย พันดอลลาร์เป็นค่าธรรมเนียมการสมัครงาน ซึ่งทำให้พวกเขาต้องเป็นหนี้ โดยนำทรัพย์สินของครอบครัวและบ้านไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน กระทรวงยุติธรรมแถลง
      
ทั้งนี้ จำเลยกลับจ่ายค่าแรงให้กับคนงานเหล่านั้นในราคาต่ำ และบังคับให้พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของจำเลยในสถานที่ที่แออัด มีสภาพต่ำกว่ามาตรฐาน
      
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อกล่าวหาดังกล่าวยังหาทางยึดเครื่องบินที่โอเรียน และพรรคพวกใช้ในการขนส่งแรงงานระหว่างเกาะในรัฐฮาวายด้วย

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 15-1-2554)

ตม.อรัญประเทศ ส่งกลับแรงงานชาวกัมพูชา

15 ม.ค. 54 - แรงงานชาวกัมพูชา จำนวน 199 คน เหล่านี้ เป็นแรงงานชาย  120 คน เป็นหญิง 61 และเด็กอีก 18 คน ที่ได้ลักลอบเข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานคร และถูกเจ้าหน้าที่ ตม. ที่กรุงเทพ จับกุมได้ โดยได้ส่งกลับมายังด่านบ้านคลองลึก เพื่อนำส่งกลับภูมิลำเนา ผ่านทางด่านตรวจคนเข้าเมืองอรัญประเทศ  จังหวัดสระแก้ว สำหรับการดำเนินคดีนั้น ที่ผ่านมาทางรัฐบาลไทย ได้ดำเนินการจับกุมและส่งตัวกลับเพียงสถานเดียว ไม่ได้มีการดำเนินคดี ฐานลักลอบเข้าเมือง ส่วนการดูแล เจ้าหน้าที่ตม.ที่อรัญประเทศ บอกว่า ได้ดูแลเป็นอย่างดี มีการเลี้ยงอาหาร 3 มื้อ ระหว่างการควบคุมตัว ก่อนส่งกลับประเทศกัมพูชา

(ช่อง 7, 15-1-2554)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สหภาพแรงงาน GM ไทย แจ้งพิพาทแรงงาน

Posted: 17 Jan 2011 02:17 AM PST

สหภาพแรงงาน GM ไทย แจ้งพิพาทแรงงาน หลังเจรจาข้อเรียกร้อง 4 ครั้ง ไม่มีความคืบหน้า แต่กลับถูกนายจ้างยื่นข้อเรียกร้องสวน
 
เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ก่อนสิ้นปีใหม่สหภาพแรงงานเจนเนอรัลมอเตอร์ส ได้ยื่นข้อเรียกร้องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อบริษัทฯ จำนวน ๑๕ ข้อ หลังจากทราบข้อมูลว่าบริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตในปี ๒๕๕๔ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวและมีการจ้างงานพนักงานเหมาค่าแรง และแรงงานข้ามชาติเข้ามาเป็นจำนวนมาก
 
 

 

ข้อเรียกร้อง ปี 2554ของสหภาพแรงงาน เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทย

*****************************************************************************

­­­­­­­­ข้อ 1 ขอให้บริษัทฯ จ่ายเงินโบนัสประจำปี 2554 ให้กับ สมาชิก สหภาพแรงงาน เจนเนอรัล มอเตอร์สประเทศไทยทุกคนรวมถึงเหมาค่าแรง ดังต่อไปนี้

            1.1 จ่ายเงินโบนัสแบบคงที่ จำนวน 1.5 เดือน และบวกเงินพิเศษคนละ 20,000 บาท

            1.2 จ่ายเงินโบนัสแบบไม่คงที่ จำนวน 4.5 เดือน

            1.3 ให้จ่าย 2 งวด คือ งวดสิ้นเดือน มีนาคม 2554 และงวดสิ้นเดือนธันวาคม 2554

ข้อ 2 ขอให้บริษัทฯ ปรับฐานเงินเดือนขึ้นประจำปี 2554 ให้กับสมาชิก สหภาพแรงงานเจนเนอรัลมอเตอร์สประเทศไทยทุกคน เป็นดังต่อไปนี้

           2.1   เกรด    A =   10 เปอร์เซ็นต์ บวกเงินพิเศษเข้าฐานเงินเดือน คนละ 300 บาท

           2.2   เกรด    B =    9 เปอร์เซ็นต์   บวกเงินพิเศษเข้าฐานเงินเดือน คนละ 300 บาท

           2.3   เกรด    C = 8.5 เปอร์เซ็นต์   บวกเงินพิเศษเข้าฐานเงินเดือน คนละ 300 บาท

           2.4   เกรด    D =   6   เปอร์เซ็นต์   บวกเงินพิเศษเข้าฐานเงินเดือน คนละ 300 บาท

           2.5  ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554

ข้อ 3 ขอให้บริษัทฯ ปรับเงินเบี้ยทำงานต่างจังหวัด (ค่าเช่าบ้าน) ให้กับ สมาชิก สหภาพแรงงาน เจนเนอรัลมอเตอร์สประเทศไทยทุกคน เป็นดังนี้

3.1 ปรับเกณฑ์ขั้นต่ำค่าเบี้ยต่างจังหวัดให้พนักงานทุกคน = ค่าเฉลี่ยเบี้ยต่างจังหวัดของระดับผู้จัดการขึ้นไป

 วิธีคำนวณ  ผลรวมค่าเบี้ยต่างจังหวัดของผู้จัดการขึ้นไปทุกคน    =   ค่าเบี้ยต่างจังหวัดของพนักงานแต่ละคน

                                        จำนวนผู้จัดการขึ้นไป

ข้อ 4 ขอให้บริษัทฯเปลี่ยนแปลงการคำนวณ ค่าล่วงเวลา และ ค่าจ้างในวันหยุด เป็นดังต่อไปนี้

         การคำนวณค่าล่วงเวลา จากเดิม            เปลี่ยนเป็น        {เงินเดือน÷22} × 2      ทุกระดับ                                      

                                                                                                             8

ข้อ 5 ขอให้บริษัทฯ จ่ายค่าทำงานกะ เป็นดังต่อไปนี้

             5.1พนักงานระดับ  HOURLY กะดึก จากเดิม 190 บาท เปลี่ยนเป็น 220 บาท เท่ากันทุกคน

             5.2พนักงานระดับ  HOURLY กะบ่าย จากเดิม 135 บาท เปลี่ยนเป็น 150 บาท เท่ากันทุกคน

ข้อ 6 ขอให้บริษัทฯ เปลี่ยนผลประโยชน์ทดแทนของประกันชีวิตกลุ่มเป็นดังต่อไปนี้

6.1    ROOM     จากเดิม   1,500   บาท    เปลี่ยนเป็น    3,000   บาท

6.2    OPD         จากเดิม     800    บาท    เปลี่ยนเป็น    1,500   บาท

6.3    VISIT       จากเดิม     700    บาท    เปลี่ยนเป็น    1,500   บาท

ข้อ 7 กรณีที่บริษัทฯ ไม่มีการผลิตในฝ่ายผลิต ให้บริษัทฯ ประกาศเป็นวันหยุดที่ได้รับค่าจ้างและสวัสดิการตามปกติ และให้ยกเลิก ระเบียบข้อบังคับบริษัทฯ ดังนี้

หมวดที่ 3   วันทำงาน เวลาทำงาน เวลาพัก วันหยุด และการบันทึกเวลาทำงาน

            3.1 วัน เวลาทำงานปกติ และเวลาพัก

      3.1.2 เวลาทำงานปกติ

โรงงานระยอง                       เวลา 07.30 . ถึงเวลา 17.00 . เปลี่ยนเป็น เวลา 07.30 น. ถึงเวลา 16.30 น.

      3.1.3 เวลาพัก

โรงงานระยอง ช่วงแรก      เวลา 12.00 . ถึงเวลา 12.40 . เปลี่ยนเป็น เวลา 12.00 . ถึงเวลา 13.00 .

                  ช่วงที่สอง   เวลา 16.40 น. ถึงเวลา 17.00 น. เปลี่ยนเป็น เลิกงาน เวลา 16.30 น.

         3.2 วันหยุด และหลักเกณฑ์การลาหยุด

3.2.3  วันหยุดพักผ่อนประจำปี

(6) บริษัทฯ อาจกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปี ให้พนักงานพร้อมกันทั้งหมด หรือบางส่วนก็ได้ ตามความจำเป็นหรือความเหมาะสม โดยบริษัทฯจะแจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทฯกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้พนักงานพร้อมกันนี้ พนักงานที่ยังไม่มีสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปี ให้ถือว่าเป็นการใช้สิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีล่วงหน้า

              หมวดที่ 6  ค่าจ้าง วัน และสถานที่จ่ายค่าจ้าง

6.7 กรณีที่บริษัทฯ มีความจำเป็นโดยเหตุหนึ่งเหตุใดที่สำคัญอันมีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของบริษัทฯจนทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติซึ่งมิใช่เหตุสุดวิสัยต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราว บริษัทฯ จะจ่ายเงินให้แก่พนักงานในอัตราร้อยละ 75 ของค่าจ้างในวันทำงานที่พนักงานได้รับก่อนบริษัทฯ หยุดกิจการตลอดระยะเวลาที่บริษัทฯ ต้องหยุดกิจการ

ข้อ 8 ในกรณีที่บริษัทฯ จะประกาศ เปลี่ยนแปลงใดๆ ที่มีผลกระทบต่อพนักงาน บริษัทฯ ต้องปรึกษาหารือ และ ต้องได้รับความยินยอม จากทาง คณะกรรมการลูกจ้าง และคณะกรรมการสหภาพแรงงานฯ ที่เป็นลาย ลักษณ์อักษรก่อน จึงจะสามารถประกาศเปลี่ยนแปลงได้

ข้อ 9 ขอให้บริษัทฯ จ่ายเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ในส่วนของบริษัท เป็นดังต่อไปนี้

            9.1 พนักงานที่เป็นสมาชิกกองทุนครบ 5 ปี ได้เงินสมทบส่วนของบริษัทฯ 100 %

            9.2 พนักงานที่ลาออกจากสมาชิกกองทุน และยังทำงานอยู่บริษัทฯ ต้องได้รับเงินสมทบในส่วนของบริษัทฯตามสัดส่วน

ข้อ 10 ขอให้บริษัทฯ จ่ายค่าชำนาญการให้กับพนักงาน เป็นดังต่อไปนี้

            10.1 พนักงานที่ทำงาน 1 ถึง 3 ปี    ได้ค่าชำนาญการ เท่ากับ      300   บาท / เดือน

            10.2 พนักงานที่ทำงาน 4 ถึง 6 ปี    ได้ค่าชำนาญการ เท่ากับ      600   บาท / เดือน

            10.3 พนักงานที่ทำงาน 7 ถึง 9 ปี    ได้ค่าชำนาญการ เท่ากับ      900   บาท / เดือน

            10.4 พนักงานที่ทำงาน 10 ปีขึ้นไป ได้ค่าชำนาญการ เท่ากับ  1, 200   บาท / เดือน

ข้อ 11 ขอให้บริษัทฯ จ่ายเบี้ยเสี่ยงภัยให้กับพนักงานเป็นดังต่อไปนี้

      11.1 จ่ายเบี้ยเสี่ยงภัยให้กับพนักงานประจำ BODY SHOP, M/T,WFG  จำนวน 200 บาท/ เดือน

      11.2 จ่ายเบี้ยเสี่ยงภัยให้กับพนักงานประจำ PAINT SHOP, M/T,WFG จำนวน 200 บาท/ เดือน

      11.3 จ่ายเบี้ยเสี่ยงภัยให้กับพนักงานประจำ    GA SHOP , M/T,WFG    จำนวน 200 บาท/ เดือน

      11.4 จ่ายเบี้ยเสี่ยงภัยให้กับพนักงานประจำ   GCA จำนวน 500 บาท/ เดือน  (ที่ออกไป Test รถข้างนอก)

ข้อ 12 ขอให้บริษัทฯ สนับสนุนกิจกรรมสหภาพฯเป็นดังนี้

           12.1 ขอให้บริษัทฯ เพิ่มกรรมการทำงานสหภาพฯ เต็มเวลาอีกจำนวน 5 คน

           12.2 ขอให้บริษัทฯ อนุญาตให้กรรมการเต็มเวลาเข้ากะตามการผลิตของบริษัทฯ

           12.3 ขอให้บริษัทฯ จ่ายเงินสนับสนุน งบประมาณการอบรมสัมมนาของสหภาพฯ เป็นครั้งๆไป

ข้อ 13 ขอให้บริษัทฯ ปรับพนักงานชั่วคราวทุกประเภทเป็นพนักงานประจำ ปีละ 200 คน

ข้อ 14 ขอให้บริษัทฯ สนับสนุนงบประมาณค่าใช้จ่ายและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องให้กับกรรมการลูกจ้าง เป็นดังต่อไปนี้

           14.1 เพื่อดูแลพนักงานในกรณี บิดา มารดา ภรรยา สามี และบุตรเสียชีวิต

           14.2 เพื่อดูแลพนักงานในกรณี พนักงานประสบอุบัติเหตุ และเจ็บป่วยอื่น

ข้อ 15 ขอให้บริษัทฯ จ่ายค่าฝึกซ้อม เบี้ยเลี้ยง และ โอที ให้กับ นักกีฬาที่เป็นตัวแทนบริษัทฯ ทุกคน

 

 

 
 
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา ได้มีการเจรจากันเป็นครั้งที่ ๔ แต่ไม่มีความคืบหน้า ก่อนจบการเจรจานายจ้างได้มีการยื่นข้อเรียกร้องสวนต่อสหภาพแรงงานจำนวน ๒ ข้อ ดังนี้ 
 
 
(1.) ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ที่มีการเจรจาและตกลงระหว่างบริษัทฯ และสหภาพแรงงานฯ ภายหลังข้อตกลงฯ ฉบับเดิมสิ้นสุดลง มีอายุ 2 ปี นับจากวันที่มีข้อตกลงร่วมกัน
(2.) เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงการผลิตตามความต้องการของลูกค้าและให้เกิดความสอดคล้องกับการผลิตตามความต้องการทางธุรกิจ บริษัทฯ สามารถปรับเปลี่ยนวันและเวลาการทำงานรวมถึงเวลาพักของกะการผลิต โดยอาจเพิ่มหรือลดกะการผลิตรวมถึงการโอนย้ายพนักงานระหว่างกะ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อบรรลุเรื่องความปลอดภัย คุณภาพและเป้าหมายการผลิต ด้วยการพิจารณาด้วยความเป็นธรรมและเท่าเทียม
 
 
 
 
หลังจากนั้นในวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๔ สหภาพแรงงานจึงได้แจ้งเป็นข้อพิพาทแรงงานไปที่พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานจังหวัดระยอง ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 54 ที่ผ่านมา พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานจังหวัดระยองได้นัดทั้งสองฝ่ายไกล่เกลี่ยที่สำนักงานของการนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่สามารถกำหนดทิศทางในการเจรจาได้ ฝ่ายนายจ้างต้องการทำสัญญาข้อตกลงสภาพการจ้างสองปี โดยที่ระหว่างสองปีห้ามลุกจ้างยื่นข้อเรียกร้องใดๆ แต่ฝ่ายลูกจ้างยังคงยืนยันที่จะคงสภาพการจ้างเดิมไว้คือให้ทำเป็นข้อตกลงสภาพการจ้างปีต่อปี เพราะเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองมีการผันผวนตลอดเวลา ในขณะเดียวกันยอดการผลิดของรถคลูตและรถกระบะที่เพิ่มขึ้นต้องผลิตถึง 2 กะและการผลิตของรถเก๋งเพิ่มการผลิตจาก 13 jph เป็น 15 jph และรถกระบะตัวใหม่แผนการผลิตจากปลายปี 54 เลื่อนการผลิตขึ้นมาประมาณมีนาต้นปี 54 และจะผลิตงานเพิ่มจากสองกะเป็น3กะ รวมทั้งการเพิ่มโรงงานประกอบเครื่องยนต์เองที่จะเริ่มผลิตในปลายปี 54 ยอดการผลิตจะสูงขึ้น จึงควรที่จะรอดูผลประกอบการก่อน จึงทำให้การเจรจาทั้งสองฝ่ายอาจถึงทางตัน
 
ขณะเดียวกันนายจ้างได้มีการเตรียมรับมือโดยการใช้สิทธิ์ปิดงาน สังเกตได้จากตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นมา มีการรับพนักงานในส่วนของลูกจ้างเหมาค่าแรงและแรงงานข้ามชาติเข้ามาเป็นจำนวนมาก รวมกันแล้วน่าจะมากกว่าพนักงานประจำในฝ่ายผลิต ถ้านายจ้างปิดงานเฉพาะสมาชิกสหภาพแรงงานหรือสหภาพแรงงานใช้สิทธิ์นัดหยุดงาน นายจ้างก็สามารถที่จะนำแรงงานเหล่านี้เข้าทำงานทดแทนได้เลย
 
พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้นัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานอีกครั้งในวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. เป็นต้นไป
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เสียงจากนักโทษคดีหมิ่นฯ: เส้นทาง ‘นักรบไซเบอร์’ และคำถามถึงคนชั้นกลาง (2)

Posted: 16 Jan 2011 11:40 PM PST

ชื่อบทความเดิม: จากชนชั้นกลางคนหนึ่งสู่เส้นทางไซเบอร์เสื้อแดง ผมเลือกทางนี้เอง ผิดด้วยหรือที่ผมเลือกยืนฝั่งนี้ 

จดหมายของนักโทษ ม.112 คดีหมิ่นเบื้องสูง “ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล” Single-Dad ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์นปช.ยูเอสเอ เขาเขียนบันทึกชิ้นนี้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 ด้วยความตั้งใจจะเปิดเผยตัวตนและความคิดทางการเมืองของเขาแก่คนร่วมชนชั้น ในฐานะ “มนุษย์ธรรมดา” คนหนึ่ง ปัจจุบันเป็นเวลากว่า 9 เดือนแล้วที่เขาถูกจองจำอยู่ในแดน 8 เรือจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนจะมีการสืบพยานในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้

 
8.กำเนิดกลุ่มนักรบไซเบอร์แดงนนท์

เช้าวันรุ่งขึ้นผมได้ทำการประชาสัมพันธ์เว็บแดงนนท์ที่ผมได้ทำเสร็จอย่างรวดเร็วในคืนเดียวกับทางเว็บพันทิป ห้องราชดำเนิน รวมถึงเว็บอื่นๆ ที่พอจะให้โพสต์กันได้อยู่หลายเว็บ ปรากฏว่าในครั้งนั้นมีกระแสตอบรับการเป็นสมาชิกจากผู้รักประชาธิปไตยมาจากทั่วทุกสารทิศในประเทศไทย โดยเฉพาะพี่น้องเสื้อแดงที่อาศัยกันอยู่ในจังหวัดนนทบุรี การดำเนินกิจกรรม พบปะพูดคุยกันในเว็บแดงนนท์นี้เป็นไปอย่างคึกคัก เพราะแดงนนท์คือทางเลือกใหม่ แนวคิดใหม่ในตอนนั้นจึงทำให้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ พวกเราในจังหวัดนนทบุรีจึงได้สนิทสนมกันใกล้ชิดอย่างรวดเร็ว

เมื่อคนที่คิดเหมือนกัน อยู่ใกล้กันในจังหวัดเดียวกันได้มาพบกันทางไซเบอร์ มันจึงเกิดกระบวนการขั้นต่อไปโดยอัตโนมัติ นั่นคือ การพบหน้ากันแบบตัวจริงๆ ใจจริงแล้วผมเองไม่เคยคิดที่จะปรากฏตัวต่อสาธารณชนอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลความไม่พร้อมในด้านต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องลูก แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าผมเป็นเจ้าของเว็บและผู้จัดตั้งกลุ่ม จึงทำให้ผมมิอาจจะปฏิเสธการพบปะในครั้งนี้ได้ การจัดมีทติ้งแดงนนท์จึงเกิดขึ้นหลังจากเปิดเว็บไซต์ได้ไม่กี่สัปดาห์ และครั้งนี้เป็นการกำเนิดกลุ่มนักรบไซเบอร์แดงนนท์อย่างเป็นทางการ และมีความพร้อในการเคลื่อนไหวเพื่อรวบรวมชาวนนทบุรีทั้งหมดให้มารวมตัวกันเพื่อเคลื่อนไหวกิจกรรมร่วมกันในการชุมนุมครั้งใหญ่ของนปช. แดงทั้งแผ่นดิน ในเดือนเมษายน 2552 ที่กำลังใกล้จะมาถึงในขณะนี้

 
9. ลงสนามครั้แรก แดงนนท์แจ้งเกิด

หลังจากผ่านมีทติ้งครั้งแรกของแดงนนท์ไปแล้ว เรายังมีการจัดมีทติ้งกันอีกหลายครั้ง และในแต่ละครั้ง กลุ่มแดงนนท์ก็มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับเป็นความสำเร็จอย่างมากที่สุด จากการจัดชุมนุมมีทติ้งร้านเล็กๆ จนกระทั่งกลายเป็นสวนอาหาร กระแสตอบรับของคนเสื้อแดงในจังหวัดนนทบุรีเป็นไปอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ เป็นเพราะสมาชิกกลุ่มที่เราได้จัดตั้งกันขึ้นนั้นประกอบด้วยคนมีความสามารถเป็นจำนวนมาก มีความตั้งใจที่จะเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างจริงจัง และเรามีการกระจายงานกันทำอย่างทั่วถึง คนละไม้คนละมือ จากปากต่อปากจึงทำให้ประสบความสำเร็จกันอย่างรวดเร็ว สำคัญที่สุดก็คือ ทางกลุ่มเรามีเว็บไซต์อย่างเป็นทางการซึ่งผมรับผิดชอบอยู่ การประชาสัมพันธ์ข่าวสารของกลุ่มจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วโดยอาศัยการกระจายข่าวทางอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะในเครือข่ายเสื้อแดงที่มีอยู่แล้ว

และเมื่อถึงกำหนดการชุมนุมใหญ่เดือนเมษายน 2552 ของนปช. ทางกลุ่มจึงได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ณ ท้องสนามหลวง โดยมีเพื่อนๆ สมาชิกเข้าร่วมมากมาย แม้จะเป็นกลุ่มที่ไม่มากนักแต่ก็ถือว่าเราได้แจ้งเกิดกลุ่มแดงนนท์โดยสมบูรณ์แล้วจริงๆ

การชุมนุมในครั้งนี้ผมเองก็ไปร่วมด้วย แต่ก็ไปแบบรีบๆ ส่วนใหญ่ผมจะไปเพื่อถ่ายรูปลงเว็บไซต์ จากนั้นก็ต้องรีบกลับบ้านเพื่อดูแลลูกชาย และบางคืนถ้ามีโอกาส ผมก็จะพาลูกแวะไปทำเนียบด้วย เพื่อพบปะเพื่อนๆ เป็นกำลังใจให้กับผู้ชุมนุมและสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “การถ่ายรูป” กลับมาฝากชาวไซเบอร์ในเว็บไซต์แดงนนท์อยู่เสมอ

ผมพยายามวางตัวเองให้เป็นแค่คนดูแลเว็บ ควบคุมเว็บเท่านั้น เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้ดีที่สุด และสามารถทำได้ ช่วยเหลือเพื่อนๆ ผู้รักประชาธิปไตยได้ โดยไม่เสียงานหลักที่ผมทำอยู่ รวมถึงมีเวลาให้กับลูกชายที่กำลังเล็กอยู่โดยไม่ขาดตกบกพร่อง

 
10. เมษาเลือด 52 ...การสลายเพื่อการกลับมาใหม่

ภายหลังจากการถูกสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงในเดือนเมษายน 2552 เว็บไซต์ต่างๆ ของคนเสื้อแดงถูกกีดกันโดยรัฐบาลไม่ให้เข้าดูได้ เว็บไซต์ที่มีเซิฟเวอร์อยู่ในเมืองไทยถูกอำนาจรัฐถอดปลั๊กและที่มีเซิฟเวอร์อยู่ต่างประเทศก็ถูกบล็อก URL ทำให้เข้าไม่ได้ สำหรับเว็บไซต์แดงนนท์มีเซิฟเวอร์อยู่เมืองไทยก็ต้องมีอันต้องปิดตัวลงไปชั่วคราวเช่นกัน จากบทเรียนครั้งนี้ทำให้ผมเองคิดวางแผนการต่อสู้ทางไซเบอร์ใหม่ โดยขยับจากทำเว็บที่รองรับมวลชนเฉพาะในจังหวัดนนทบุรีเท่านั้น ไปสู่การทำเว็บที่รองรับมวลชนเสื้อแดงทั่วทั้งประเทศ โดยเว็บที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้จะต้องมีประสิทธิภาพ และแก้ปัญหาการถูกปิดกั้นจากหน่วยงานรัฐ โดยใช้เซิฟเวอร์ที่อยู่ในต่างประเทศซึ่งจะต้องใช้ทุนก้อนหนึ่งในการเตรียมการ หลังจากได้วางแผนการรุกทางไซเบอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมจึงได้พยายามติดต่อประสานงาน พบปะพูดคุยกับเพื่อนๆ ในหลายๆ กลุ่ม จนกระทั่งได้พบกับเพื่อนคนหนึ่งที่บอกว่าพอจะช่วยเหลือผมได้

 
11. จากเรดนนท์ สู่เรดไทย

จากความพยายามที่จะก่อตั้งเว็บไซต์เพื่อรองรับการกลับมาอีกครั้งของพี่น้องเสื้อแดงที่ต้องสลายตัวกันไปภายหลังการสลายการชุมนุมในเดือนเมษายน 52 ในที่สุดผมจึงได้รับการแนะนำให้รู้จักกับผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ โดยการแนะนำของเพื่อนชาวแดงนนท์คนหนึ่งให้ผมติดต่อกับลูกสาวของผู้ใหญ่ท่านนี้ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย (ซึ่งต่อมาผู้หญิงท่านนี้ได้กลายมาเป็นคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งในชีวิตผมในเวลาต่อมา) เพื่อขอรับความช่วยเหลือด้านเซิฟเวอร์ ด้วยความช่วยเหลือของผู้หญิงท่านนี้ช่วยประสานงานให้ จึงทำให้ผมได้รับการสนับสนุนเซิฟเวอร์คุณภาพดีมา 1 ตัวที่มีที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ โดยผู้หญิงท่านนี้ได้มอบหมายให้ผมเป็นผู้บริหารจัดการเซิฟเวอร์ตัวนี้โดยอิสระ ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ให้แต่เพียงแนวทางในการนำเซิฟเวอร์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการเคลื่อนไหวทางประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นแนวทางของผมด้วยเช่นกัน

เมื่อได้เซิฟเวอร์มาแล้วผมจึงได้ลงมือทำเว็บไซต์ตามโครงการที่ผมวางแผนเอาไว้ในทันที ดังนี้
1.     เรดไทย www.redthai.org  เว็บบทความประชาธิปไตย เว็บไซต์แม่ของเครือข่ายเรดไทย
2.     เรดไทย www.redthai.net เว็บบทความประชาธิปไตย ภาคภาษาอังกฤษ
3.     ดีเด็ก www.d-dek.org  เว็บส่งเสริมประชาธิปไตยสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่
4.     แดงนนท์ www.rednon.org เว็บไซต์กลุ่มนักรบไซเบอร์แดงนนท์ ภาค2
5.     เรดไทย เหนือ  http:\\northern.redthai.org เว็บเรดไทย ภาคเหนือ
6.     เรดไทย อีสาน http:\\isan.redthai.org เว็บเรดไทย อีสาน
7.     เรดไทย ตะวันออก http:\\eastern.redthai.org เว็บเรดไทย ภาคตะวันออก
8.     เรดไทยภาคกลาง http:\\central.redthai.org เว็บเรดไทย ภาคกลาง
9.     เรดไทย ภาคตะวันตก http:\\western.redthai.org เว็บเรดไทย ภาคตะวันตก
10. เรดไทย ภาคใต้ http:\\southern.redthai.org เว็บเรดไทย ภาคใต้
11. ศูนย์กระจายข่าวสารเรดไทย http:\\rednews.redthai.org สำหรับเผยแพร่ข่าวสารการชุมนุมเสื้อแดง
12. ไอทีเรดไทย http:\\it.redthai.org ศูนย์อบรมความรู้ด้านไอที
13. เว็บไซต์กลุ่มตะวันฉาย http:\\sunshine.redthai.org
14. เว็บไซต์ชมรมคนรักประชาธิปไตยหนองบัวลำภู http:\\nongbualumphu.redthai.org
15. กลุ่มอาสาพยาบาลไนติงเกล http:\\nightingale.redthai.org
หมายเหตุ: 1-3 , 11, 12 ผมเป็นผู้ดูแลเอง เว็บที่เหลือผมทำให้ และมอบหมายให้คนที่รู้จักนำไปดูแลกันเอง
 
12. ทุ่มสุดตัว เพื่อนำประชาธิปไตยของเรากลับมา

นอกเหนือจากเว็บไซต์ที่อยู่ในโครงการของ “เครือข่ายเรดไทย” แล้ว ผมยังได้เข้าไปช่วยพัฒนาเว็บไซต์แนะนำให้คำปรึกษากับเพื่อนๆ เสื้อแดงอีกหลายกลุ่มโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุนเซิฟเวอร์นี้ ทุกเว็บที่ผมเข้าไปพัฒนาให้ เมื่อพัฒนาเสร็จแล้วก็จะส่งกรรมสิทธิ์ในการจัดการคืนกลับไปยังเจ้าของเว็บนั้นๆ และจะไม่กลับไปก้าวก่ายใดๆ อีกยกเว้นกรณีเว็บไซต์นั้นๆ มีปัญหา ผมก็จะเข้าไปช่วยแก้ไขเป็นกรณีๆ ไป

ผมมีความสุขมากกับการเข้ามาทำประโยชน์ให้กับคนเสื้อแดงในด้านงานที่ผมถนัด จากก้าวแรกจนถึงปัจจุบัน ผมยังสามารถทำโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยด้วยมองเห็นว่าสักวันสิ่งที่ผมทำมันจะเกิดประโยชน์กับการต่อสู้ของพวกเรา ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ไม่ว่ามันจะเห็นผลในรุ่นนี้ รุ่นลูก หรือรุ่นหลานก็ตาม การทุ่มเทอย่างเต็มตัวของผมแม้มันจะทำให้ผมต้องสูญเสียโอกาสในการทำธุรกิจ ในการสร้างตัวหรือในชีวิตส่วนตัวก็ตาม ผมก็ยังเต็มใจและภาคภูมิใจที่อย่างน้อยในชีวิตนี้ของผมก็เคยได้ชื่อว่ามี “ส่วนร่วม” ในการสร้างสรรค์กระบวนการทางประชาธิปไตยของไทยในช่วงเวลาหนึ่ง เพียงเท่านี้ผมก็ไม่เสียดายอะไรแล้ว

 

13. บทส่งท้าย ..แด่ชนชั้นกลาง

จากเรื่องราวต่างๆ ที่ผมได้เล่ามาทั้งหมด ผมเพียงต้องการให้รู้ว่าความจริงแล้วผมเองก็เหมือนคนไทยส่วนใหญ่ทั่วไปที่ต้องดิ้นรนเพื่อการอยู่รอดของตัวเองและครอบครัว และผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าปัจจุบันนี้ผมจะมายืนอยู่ในฝั่งนี้ได้ ทั้งๆ ที่ขาดความพร้อมในหลายๆ ด้าน พื้นฐานการเมืองก็มีน้อยมาก ไม่เคยฝักใฝ่สนใจทางการเมืองใดๆ แต่วันหนึ่ง ความจริงที่เกิดขึ้น ความอยุติธรรม ความไร้มาตรฐาน และอำนาจมืดได้นำพาผมมายืนอยู่ตรงจุดนี้โดยธรรมชาติ ไม่มีการขู่บังคับให้เชื่อหรือไม่เชื่ออะไร ผมโตพอและมีวุฒิภาวะมากเกินกว่าจะมีใครชักนำได้

ผมก็ได้แต่หวังเพียงว่าประสบการณ์ของผมทั้งหมดนี้ มันอาจจะไปตรงกับใครสักคน สองคน หรือมากกว่านั้น เพื่อหวังให้คนเหล่านั้น ได้หยุดคิดและยอมที่จะเข้าใจวิถีทางของคนเสื้อแดงอย่างผมที่ถือเป็นคนชั้นกลางของสังคมบ้าง เพราะขนาดคนเล็กๆ อย่างผม ขาดความพร้อมอย่างผม ยังกล้าที่จะยอมเสียสละและลงมือทำด้วยกำลังอันน้อยนิด แต่พลังอันน้อยนิดที่รวมตัวกันเป็นจำนวนมากก็อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เช่นกัน ประเทศไทยต้องการการเปลี่ยนแปลงเพื่อลูกหลานของเราในวันข้างหน้า อย่าปล่อยให้คนเขาประณามว่า “คนชั้นกลางกรุงเทพ” เห็นแก่ตัวอีกต่อไปเลย.

 

หนุ่มเรดไทย

12 มีนาคม 2552

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องได้ที่: category/ ธันย์ฐวุฒิ-ทวีวโรดมกุล (คลิก)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น