โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

เกิดเหตุทหารวิสามัญนักกิจกรรมชาวลาหู่อายุ 17 ปี อ้างตรวจพบยาเสพติด-วัตถุระเบิด และขัดขืนการจับกุม

Posted: 18 Mar 2017 10:36 AM PDT

18 มี.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ที่ด่านตรวจบ้านรินหลวง ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ทหารจาก ร้อย.ม.2.บก.ควบคุมพื้นที่ 1 ฉก.ม.5 ร่วมกับ ชสท.ที่ 5 กกล.ผาเมือง ได้กระทำการวิสามัญ ชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ อายุ 17 ปี ซึ่งเป็นผู้โดยสารรถคันดังกล่าว โดยนั่งด้านข้างคนขับ

เจ้าหน้าที่ทหารอ้างว่า ในวันดังกล่าวได้เรียกตรวจค้นรถ Honda Jazz สีดำ ป้ายทะเบียน  ขก 3774 เชียงใหม่ พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวนมากซุกซ่อนอยู่ในกรองอากาศของรถคันดังกล่าว พร้อมอ้างด้วยว่าผู้ตายพยายามขัดขืนการจับกุม โดยหยิบมีดจากหลังรถพยายามต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ และวิ่งหลบหนีเข้าไปในป่า เมื่อเจ้าหน้าที่ตามไปพบว่า ผู้ตายกำลังจะปาระเบิดชนิดขว้างสังหารใส่ จึงได้ทำการวิสามัญโดยยิงเข้าที่ตัวผู้ตาย 1 นัด

แหล่งข่าวแจ้งว่า มีผู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงคนเดียวที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ คือ พงศนัย คนขับรถ ซึ่งขณะนี้ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้ขออำนาจศาลฝากขังที่เรือนจำจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้พยายามต่อติดญาติของชัยภูมิ ทราบแต่เพียงว่าขณะนี้ญาติได้ไปรับศพของชัยภูมิกลับมาเพื่อประกอบพิธีทางศาสนาแล้ว หากมีความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป

อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวได้มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้ในสื่อโซเชียลมีเดียหลายคน พร้อมกับไว้อาลัย โดยหลายคนระบุว่า ชัยภูมิ เป็นเด็กที่เติบมากับการทำกิจกรรมทางสังคม เช่นการออกค่ายต่างๆ แต่งเพลง เล่นดนตรี และทำหนังสั้น และเคยได้รับรางวัลหนังสั้นรางวัลดีเด่นช้างเผือกพิเศษ จาก 16th Thai Short Film and Video Festival เรื่อง "เข็มขัดกับหวี" อีกทั้งชัยภูมิ ยังเคยทำสารคดีหลายเรื่องส่งออกอากาศผ่านทางสถานนีโทรทัศน์ TPBS

 

ภาพจาก Kowit Phothisan

ภาพจาก Pornsuk 'Pim' Koetsawang

นอกจากนี้ ชัยภูมิ ยังได้เป็นตัวแทนเครือข่ายเยาวชนต้นกล้า จ.เชียงราย ในฐานะตัวแทนของ 19 ชนเผ่า เข้าร่วมโครงการ "เด็กและเยาวชนส่งเสียงเพื่อสื่อสารสังคม" ซึ่่งจัดโดยมูลนิธิส่งเสริมเพื่อเด็กและเยาวชน สถาบันเด็กและเยาวชน (สสย.) เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งจัดขึ้นที่ โรงแรม ทีเค. พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โดยชัยภูมิ ได้พูดไว้ตอนหนึ่งในเวทีแสดงความคิดเห็นว่า

"เรื่องสถานะส่วนบุคคล ต้องยอมรับว่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ชายแดนส่วนใหญ่ไม่ได้รับสถานะส่วนบุคคล ผมเองขณะนี้ก็ยังไม่มีสถานะบุคคล ทั้งที่เกิดในประเทศไทย เมื่อไม่มีสัญชาติทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น การเดินทางออกนอกพื้นที่ก็ต้องทำเรื่องขออนุญาตทางอำเภอ เวลาจะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลก็ไม่ได้สิทธิเหมือนคนไทย ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายสูง ส่วนแรงจูงใจในการเรียนสูงๆ ก็ไม่มี เนื่องจากจบมาสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถเข้าทำงานในหน่วยงานของราชการได้ จึงอยากให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ด้วย" ชัยภูมิกล่าว (อ่านต่อที่นี่)

สำหรับผลงานเพลง ชัยภูมิ ได้แต่งเนื้อร้อง และทำนอง เพลงขอโทษ และ เพลงจงภูมิใจ เผยแพร่ผ่านทางยูทูปช่อง Motha Lahu โดยมียอดผู้เข้าชม 11,548 และ 19,617 (ยอดผู้ชมเมื่อวันที่ 18 มี.ค.)

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'หมอเหวง' ระบุไม่สนับสนุนความรุนแรง อย่าเหมารวม 'โกตี๋' เป็นแกนนำ นปช.

Posted: 18 Mar 2017 07:32 AM PDT

'นพ.เหวง โตจิราการ' ตั้งข้อสงสัยทำไมรัฐบาลมาค้นเอาตอนนี้ ทั้งที่ผ่านมาแล้ว 3 ปี ระบุ 'โกตี๋' ไม่ใช่ นปช. เพราะเคลื่อนไหวในแนวทางที่รุนแรง แค่ใส่เสื้อแดงและอย่าเหมารวมว่าเป็นแกนนำ นปช.

 
18 มี.ค. 2560 เว็บไซต์แนวหน้า รายงานว่านพ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ บุกเข้าตรวจค้นบ้านพักเครือข่ายของ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำคนเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ จ.ปทุมธานี และพบว่ามีระเบิด อาวุธปืนสงคราม กระสุนปืน ซุกซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก ว่าโดยส่วนตัวตนไม่เคยติดต่อไม่เคยโทรหา และไม่เคยประชุมร่วมกันกับนายโกตี๋ ถ้าเรื่องนี้เจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายก็ให้ดำเนินการไปตามกฎหมาย และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องไปสืบสวนข้อเท็จจริงและขอว่าอย่าสร้างเรื่องอย่ายัดเยียดความผิดให้ใคร
 
ทั้งนี้ นพ.เหวง กล่าวต่อว่าแต่ที่น่าสงสัยคือทำไมรัฐบาลมาค้นเอาตอนนี้ ทั้งที่มันผ่านมาแล้ว 3 ปี ทำไมเพิ่งจะมาค้นตอนนี้ แกนนำ นปช.เราไม่สนับสนุนความรุนแรง และถ้าจะมาบอกว่าเป็นแกนนำ นปช.ก็ควรที่จะแยกแยะด้วย เพราะว่านายโกตี๋ไม่ใช่ นปช.เพราะเขาเคลื่อนไหวในแนวทางที่รุนแรง ซึ่งไม่ใช่แนวทางเดียวกันกับ นปช.ดังนั้น นายโกตี๋ไม่ใช่ นปช.เขาอาจจะใส่แค่เสื้อสีแดงและก็โปรดอย่าเหมารวมว่าเป็นแกนนำ นปช.ด้วย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์เกิน 50 มก. ไม่ได้ความคุ้มครองจากกรมธรรม์ เริ่ม 1 มิ.ย.นี้

Posted: 18 Mar 2017 02:52 AM PDT

คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยเผยมีการแก้คำสั่งกรณีที่ผู้ขับขี่รถเอาประกันภัยภาคสมัครใจ หากมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประสบอุบัติเหตุจะไม่ได้รับความคุ้มครองทั้งชีวิตและทรัพย์สินจากกรมธรรม์ แต่ในส่วนของผู้ประสบภัยหรือบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายจากรถคันที่เอาประกันภัยดังกล่าวยังคงได้รับความคุ้มครอง เริ่ม 1 มิ.ย. 2560 นี้

 
18 มี.ค. 2560 สำนักข่าวไทย รายงานว่านายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย  (คปภ.) เปิดเผยว่า เพื่อมีส่วนช่วยลดอุบัติเหตุบนถนนที่ประเทศไทย มีสถิติผู้เสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเหตุผลอันดับต้นๆ คือ การเมาแล้วขับ เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลง  คปภ. เห็นว่าการปรับแก้ข้อยกเว้นในกรมธรรมประกันภัยรถยนต์เรื่องลดปริมาณแอลกอฮอล์ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบกกำหนด จะเป็นผลดีต่อประชาชน
 
ดังนั้นเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 ในฐานะนายทะเบียนอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 29 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 จึงออกคำสั่งที่ 11/2560 เรื่องให้แก้ไขแบบ ข้อความกรมธรรม์ประกันภัย และเอกสารแนบท้ายของกรมธรรม์ประกันภัย โดยปรับแก้ข้อยกเว้นตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 22/2551 ลงวันที่ 29 กันยายน พ.ศ.2551 ข้อ 2 และ ข้อ 3 (เดิม) "การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดไม่น้อยกว่า 150มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์" สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์และเอกสารแนบท้ายของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่บริษัทได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน
 
แก้ไขข้อความเป็น "การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดให้ถือว่า "เมาสุรา" ซึ่งคำสั่งนี้ให้มีผลใช้บังคับสำหรับการทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไป  ทั้งนี้เพื่อให้สำนักงาน คปภ. และบริษัทประกันภัยได้มีระยะเวลาในการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน และให้บริษัทประกันภัยได้มีเวลาเตรียมความพร้อมในการปรับแก้เอกสารเกี่ยวข้องกับการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยให้กับผู้เอาประกันภัย ตลอดจนความพร้อมด้านข้อมูลที่จะต้องแจ้งให้ผู้เอาประกันภัยทราบ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนเกี่ยวกับเงื่อนไขที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
 
สำหรับสาระสำคัญของคำสั่งนายทะเบียนนี้ คือ กรณีที่ผู้ขับขี่รถเอาประกันภัยภาคสมัครใจ มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประสบอุบัติเหตุจะไม่ได้รับความคุ้มครองทั้งชีวิตและทรัพย์สินจากกรมธรรม์ แต่ในส่วนของผู้ประสบภัยหรือบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายจากรถคันที่เอาประกันภัยดังกล่าวยังคงได้รับความคุ้มครอง โดยบริษัทประกันภัยของรถคันที่เอาประกันภัยฝ่ายผิดจะต้องให้ความคุ้มครองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้ที่ได้รับความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน โดยบริษัทประกันภัยจะไปไล่เบี้ยเรียกคืนค่าสินไหมทดแทนที่บริษัทจ่ายไปจากผู้ขับขี่ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อไป
 
ทั้งนี้การปรับเปลี่ยนปริมาณแอลกอฮอล์ดังกล่าว ไม่กระทบต่อความคุ้มครองของการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.)
 
"มาตรการต่าง ๆ ด้านประกันภัย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการลดเบี้ยประกันภัยให้กับผู้เอาประกันภัยที่ติดกล้อง CCTV ภายในรถยนต์ และในเรื่องการปรับลดปริมาณแอลกอฮอล์ให้เป็นไปตามกฎหมายจราจรทางบก ทั้งสองมาตรการที่ออกมาในช่วงนี้ก็เพื่อเป็นกลไกที่ช่วยลดอุบัติเหตุทางถนน โดยจะทำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญในการใช้รถใช้ถนนอย่างระมัดระวังและมีความปลอดภัย ซึ่งจะส่งผลให้สามารถลดจำนวนอุบัติเหตุบนท้องถนน  อีกทั้ง ยังเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนมีความปลอดภัยจากอุบัติเหตุบนท้องถนน" นายสุทธิพล กล่าว
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 12-18 มี.ค. 2560

Posted: 18 Mar 2017 01:53 AM PDT

 
กรมการจัดหางานจับมือ BOI และ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง นำระบบ E-Service ให้บริการยื่นขอวีซ่าและใบอนุญาตทำงานช่างฝีมือผู้ชำนาญการต่างประเทศที่เข้ามาปฏิบัติงานในกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
 
กระทรวงแรงงาน โดยนายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินโครงการพัฒนาระบบนำร่องการจัดหาและพัฒนาระบบ Single Window ศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ซึ่งเมื่อวันก่อนได้มีการประชุมร่วมกับผู้อำนวยการศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เกี่ยวกับเทคนิคและหลักการของระบบ Single Window ศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ณ อาคารจตุรัสจามจุรี ชั้น 18 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
 
ศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เป็นการให้บริการยื่นคำร้องและพิจารณาคำร้องแบบ Online : Single Entry ผ่านระบบนำร่อง Single Window ซึ่งเป็นช่องทางบริการที่สะดวก รวดเร็วและทันสมัย เป็นการให้บริการแบบ E-Service ลดการมาติดต่อด้วยตนเองของผู้ใช้บริการ ลดการใช้เอกสารและไม่ขอข้อมูลที่ภาครัฐมีอยู่แล้ว เนื่องจากใช้ข้อมูลร่วมกัน เข้าใจง่ายและสอดคล้องกัน โดยมีหลักเกณฑ์การพิจารณาที่ชัดเจนและเปิดเผยหลักเกณฑ์ให้ทราบอย่างทั่วถึง ทั้งยังดำเนินการโดยระบบอัตโนมัติในขั้นการพิจารณา
 
ระบบดังกล่าวนี้จะเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการยกระดับการให้บริการของภาครัฐให้เกิดการเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ลดการใช้เอกสารซ้ำซ้อน มุ่งสู่การเป็น SMART THAILAND ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อให้บริการแบบจุดเดียว ทันที และทั่วไทย โดยในปีงบประมาณ 2560 (เป็นเวลา 5 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559-กุมภาพันธ์ 2560) มีผู้มาใช้บริการศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน จำนวน 19,213 คน เฉลี่ย 3,843 คน/เดือน นายวรานนท์ กล่าว
 
ที่มา: กรมการจัดหางาน, 12/3/2560
 
กอช.แจงสมาชิก รับเงินสมทบจากรัฐทันทีในเดือนถัดไปที่ออมเงิน
 
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช.แจงการจ่ายเงินสมทบให้สมาชิก กอช.เป็นไปตามกฎหมาย โดยจ่ายเข้าบัญชีสมาชิกทันทีภายในเดือนถัดไป หลังจากสมาชิกส่งเงินออมเข้ากองทุน แต่จะได้เท่าไหร่ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ออมและอายุสมาชิก เตรียมแก้ไขกฎหมายเพิ่มเงินสมทบ
 
นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ชี้แจงถึงวิธีการจ่ายเงินสมทบแก่สมาชิก กอช. ว่า รัฐบาลได้จ่ายเงินสมทบ สำหรับแรงงานนอกระบบที่สมัครสมาชิกและมีการส่งเงินสะสมหรือเงินออมเข้ากองทุนซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย โดยการจ่ายเข้าบัญชี กอช. ของสมาชิกภายในเดือนถัดไปหลังจากที่สมาชิกส่งเงิน และที่ผ่านมาไม่เคยมีการค้างจ่ายสมทบ เป็นการที่รัฐมอบประโยชน์เป็นเงินออมแก่ผู้ประกอบอาชีพอิสระทั้งหลายที่ไม่มีนายจ้างมาดูแลและเข้าไม่ถึงสวัสดิการบำนาญชราภาพรูปแบบอื่น ซึ่งเงินสมทบที่ได้จากรัฐบาลนี้จะอยู่ในบัญชีเงินออมของสมาชิกแต่ละคน ไปจนถึงวันที่สิ้นสุดสมาชิกภาพเมื่ออายุ 60 ปี จากนั้น กอช. จะเริ่มจ่ายเงินออมคืนให้สมาชิกเป็นรายเดือนพร้อมกับเงินสมทบและดอกผลจากการลงทุน
 
ทั้งนี้ อัตราเงินสมทบที่สมาชิก กอช. ได้รับจะมีอัตราไม่เท่ากันตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนี้
 
- สมาชิกอายุ 15-30 ปี รับเงินสมทบ 50% ของเงินออมที่ส่งแต่ละครั้ง แต่รวมทั้งปีรัฐสมทบให้ไม่เกิน 600 บาท
- สมาชิกอายุ 30 ปีขึ้นไปถึง 50 ปี รับเงินสมทบ 80% ของเงินออมทีส่งแต่ละครั้ง แต่รวมทั้งปีรัฐสมทบให้ไม่เกิน 960 บาท
- สมาชิกอายุ 50 ปีขึ้นไป รับเงินสมทบ 100% ของเงินออมสมาชิกแต่ละครั้ง แต่ไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี
 
"แต่เพื่อให้เงินออมเพื่อชีวิตยามชราภาพของสมาชิกมีการเติบโตเพิ่มจำนวนรวดเร็วมากขึ้น ให้สมาชิกมีโอกาสได้รับ ′บำนาญตลอดชีวิต′ ง่ายมากขึ้นด้วย กอช.จึงอยู่ระหว่างขั้นตอนกระบวนการแก้ไขกฎหมาย ขอรัฐบาลปรับขึ้นอัตราการจ่ายเงินสมทบ ซึ่งจะเป็นการผลักดันขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมการออมภาคประชาชนเพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่สังคมสูงวัยให้เห็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรมได้ต่อไป" นายสมพร กล่าว
 
 
ก.แรงงาน สนับสนุน"ผู้ชาย"ลาเลี้ยงดูบุตร 90 วัน เหมือนสวีเดน ปัจจุบันได้ให้สิทธิพ่อลาได้ 15 วัน
 
นายสิงหเดช ชูอำนาจ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมงานแถลงข่าวเกี่ยวกับให้สิทธิการลาเลี้ยงดูบุตรของผู้ชายที่จัดขึ้นโดยสถานทูตสวีเดน และบริษัทอิเกีย ประเทศไทย ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครBangkok Art & Culture Centre(BACC) เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าประเทศสวีเดนได้ใช้กฎหมายการลาเลี้ยงดูบุตรโดยได้รับค่าจ้าง ซึ่งเป็นสิทธิที่พ่อและแม่ควรจะได้รับ และเป็นนโยบายที่มีส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสมอภาคระหว่างเพศ
 
"สวีเดนให้ผู้ชายมีสิทธิลาเลี้ยงดูบุตรรวม 90 วัน จากวันลาทั้งหมด 480 วัน (16 เดือน) แต่สำหรับประเทศไทยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับสตรีลาคลอดและให้สิทธิผู้เป็นพ่อสามารถลาหยุดเช่นกัน เพื่อเป็นการลดภาระในการเลี้ยงดูบุตร"นายสิงหเดช กล่าว
 
นายสิงหเดช กล่าวอีกว่า ขณะนี้สิ่งที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังดำเนินการเรื่องของสิทธิการลาคลอดและการลาเลี้ยงดูบุตรคือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับแม่ที่ทำงานอยู่ในทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถลาคลอดได้ 90 วัน รวมถึงจัดคู่มือการศึกษาเรียนรู้ในการดูแลสุขภาพให้กับแม่ด้วย แต่ยังไม่ให้สิทธิการลาช่วยเลี้ยงดูบุตรแก่พ่อที่ทำงานภาคเอกชน
 
"ขณะที่ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจของประเทศไทย ได้ให้สิทธิพ่อสามารถลาเลี้ยงดูบุตรได้ 15 วันแล้ว ซึ่งขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการผลักดันให้เกิดขึ้นในภาคเอกชนตามมาตรฐานสากล เช่นเดียวกับประเทศสวีเดนที่ให้สิทธิทั้งผู้ทำงานภาครัฐและเอกชนเท่าเทียมกัน ต่อไป" นายสิงหเดช กล่าว
 
 
ชี้สำนักงานประกันสังคมไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการจัดตั้งโรงพยาบาล
 
นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ชี้แจงกรณีมีข้อเรียกร้องให้สำนักงานประกันสังคมจัดตั้งโรงพยาบาลประกันสังคม ซึ่งสำนักงานประกันสังคมได้ให้ทุนแก่สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวสร.) ทำการวิจัยเรื่องรูปแบบการบริหารจัดการจัดตั้งโรงพยาบาลเพื่อผู้ประกันตน ผลการวิจัยสรุปได้ว่าสำนักงานประกันสังคมสามารถดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลประกันสังคมได้โดยต้องมีการแก้ไขกฎหมายและมีข้อเสนอแนะว่าการที่สำนักงานประกันสังคมบริหารโรงพยาบาลเองโดยตรงเป็นการเบี่ยงเบนในหลักการถ่วงดุลของผู้ซื้อบริการและให้บริการทางการแพทย์
 
นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยตอบข้อหารือประเด็นดังกล่าวว่า สำนักงานประกันสังคมไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการจัดตั้งโรงพยาบาล เนื่องจากการนำเงินกองทุนประกันสังคมไปใช้จ่ายเพื่อก่อสร้างอาคาร ซื้ออุปกรณ์การแพทย์ไม่ถือว่าเป็นการจ่ายประโยชน์ทดแทนและไม่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของสำนักงานประกันสังคม แต่ทั้งนี้ หากรัฐบาลเห็นว่าการจัดตั้งโรงพยาบาลประกันสังคมเป็นนโยบายสำคัญและมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา สำนักงานประกันสังคมอาจเสนอเรื่องต่อกระทรวงแรงงานให้พิจารณาเสนอรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติหลักการในเรื่องดังกล่าวและแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติของกฎหมายต่อไป
 
ในปี 2560 สำนักงานประกันสังคมมีโรงพยาบาลที่เข้าร่วมให้บริการในระบบประกันสังคมกระจายอยู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศโดยเป็นโรงพยาบาลของรัฐจำนวน 159 แห่ง และโรงพยาบาลเอกชน 80 แห่ง รวมถึงสถานพยาบาลเครือข่ายที่เข้าร่วมให้บริการอีกจำนวน 3,823 แห่ง ให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนอย่างเต็มกำลังความสามารถ และจัดหายาเวชภัณฑ์ ครุภัณฑ์และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ เพื่อให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนอย่างเพียงพอ ทั้งนี้ ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมมีการตรวจสอบโรงพยาบาลที่อยู่ในโครงการประกันสังคมทุก 6 เดือน เพื่อดูความพร้อมของโรงพยาบาลในด้านการบริการทางการแพทย์เป็นสำคัญ
 
สำนักงานประกันสังคมพร้อมปรับปรุงการให้บริการทางการแพทย์ตามความต้องการของผู้ประกันตนโดยอาจจะเป็นหุ้นส่วนของโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการเพื่อที่จะควบคุมมาตรฐานการให้บริการทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้ตัวแทนนายจ้าง และตัวแทนลูกจ้าง สามารถตรวจสอบมาตรฐานการให้บริการของสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ และให้คำแนะนำแก่สำนักงานประกันสังคมปรับปรุงการให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนมีความพึงพอใจมากขึ้น
 
 
ตม.อยุธยา ลุยกวาดล้างจับต่างด้าวทำงานผิดประเภท ได้ผู้ต้องหาจำนวนมาก
 
วานนี้ (14 มี.ค.) พ.ต.ต.วิโรจน์ ลี้กุล สว.ตม.ชพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยชุดสืบสวน ชตม.พระนครศรีอยุธยา จัดหางานจังหวัด และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัท ลอสแคม จำกัด เลขที่ 169/3-14 หมู่ 5 ต.ลำไทร อ.วังน้อย ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับไม้พาเลท
 
ภายในโรงงานมีแรงงานจำนวนมากกำลังทำงาน มีแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า 29 คน กัมพูชา 37 คน กำลังทำงาน จากการตรวจสอบพบว่า แรงงานต่างด้าวทั้งหมดขึ้นบัญชีถูกต้องจาก จ.ปทุมธานี เป็นส่วนใหญ่ แต่เข้ามาทำงานใน จ.พระนครศรีอยุธยา โดยทั้งหมดเป็นคนงานที่มาจากบริษัทที่รับเหมา 4 บริษัทจัดส่งคนงานมา ระหว่างการเข้าตรวจค้นไม่พบผู้จัดหาแรงงานทั้ง 4 บริษัท จึงได้ควบคุมแรงงานต่างด้าวทั้งหมดมาที่ ตม.พระนครศรีอยุธยา
 
พ.ต.ต.วิโรจน์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดต่อบริษัทที่จัดหางานให้แก่แรงงานต่างด้าวทั้งหมด เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาบริษัทในข้อหาให้คนต่างด้าวที่มีใบอนุญาตทำงาน ทำงานนอกเหนือหรือลักษณะงานที่ระบุไว้ในใบอนุญาต ตามมาตรา 27 ปรับตั้งแต่ 1,000-100,000บาท สำหรับแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีบัตรประจำตัว (สีชมพู) เจ้าหน้าที่จะทำการผลักดันกลับสู่ประเทศ ส่วนที่มีบัตรแล้วแต่มีการเปลี่ยนนายจ้างก็จะให้ไปดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
 
 
แรงงานต่างด้าวเฮ! ครม.ยกเลิกค่าธรรมเนียมเเรงงานลาว กัมพูชา เมียนมา เดินทางไป-กลับบ้านช่วงสงกรานต์
 
เมื่อวันที่ 14 มี.ค.2560 เวลา 15.30 น. พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการอนุมัติความเห็น เรื่อง การอนุมัติผ่อนผันให้แรงงานต่างชาติ ลาว กัมพูชา เมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ โดยระหว่างวันที่ 5-30 เมษายน 2560 รวม 26 วัน
 
โดยครั้งนี้ก็ได้มอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ รีบไปดำเนินการ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยก็ให้ออกกฎกระทรวงเพื่อยกเว้นค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากการเดินทางออกและกลับเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงแรงงานออกหนังสือรับรองให้แรงงานต่างด้าว เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อไปร่วมงานใช้เป็นหลักฐานแสดงเจ้าหน้าที่จากการเดินทางให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตำรวจตรวจคนเข้าเมืองยกเว้นค่าธรรมเนียมและรายงานผลการเดินทางให้กระทรวงแรงงานทราบ และให้หน่วยงานด้านความมั่นคงแจ้งข้อมูลการดำเนินการให้หน่วยงานทั้งหมดในสังกัดทราบ
 
พร้อมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศประสานกับประเทศเพื่อนบ้านต่างประเทศ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้กระทรวงสาธารณสุขติดตามและเฝ้าระวังโรคที่จะติดมาจากแรงงานต่างด้าวที่กลับมา ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการเพิ่มเติมให้ระมัดระวังเกี่ยวกับการเรียกผลประโยชน์จากแรงงานต่างด้าว
 
 
กรมส่งเสริมฯแจงคำสั่งชะลอจ้างไม่กระทบสิทธิพนักงานราชการ
 
นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า จากกรณีมีกระแสข่าว กรมส่งเสริมการเกษตร ได้ทำหนังสือแจ้งผู้อำนวขการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 1-9 รวมทั้งหน่วยงาน ในสังกัด ให้ชะลอการจ้างพนักงานราชการเอาไว้ก่อนเป็นการชั่วคราวนั้น กรมส่งเสริมการเกษตร ขอชี้แจงว่า การชะลอการจ้างพนักงานราชการดังกล่าว เนื่องจาก กรมส่งเสริมการเกษตร ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อเป็นค่าตอบแทนของพนักงานราชการตาม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2560 จากสำนักงบประมาณ เป็นจำนวนเงิน 458,957,500 บาท จากที่ได้ทำเรื่องขออนุมัติวงเงินใช้จ่ายจำนวน 462,257,265 บาท จำนวน 2,058 อัตรา ซึ่งถือว่ายังขาดกับอัตรากำลังในส่วนพนักงานราชการของกรมส่งเสริมการเกษตร 10 อัตรา เป็นเงิน 3 ล้านบาท ดังนั้นจึงทำให้ต้องมีคำสั่งให้ชะลอการจ้างดังกล่าวไปก่อนเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อให้เหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับ ซึ่งทั้ง 10 อัตรานี้ เป็นตำแหน่ง ที่มีการลาออกหรือว่างอยู่ จึงไม่กระทบกับสิทธิใดๆ หรือกระทบกับบุคคลใด ทั้งนี้การจะพิจารณาจ้างเพิ่มอีกหรือไม่นั้น จะต้องรอดูจากงบประมาณปี 2561 ว่าเพียงพอต่อการจ้างหรือไม่
 
 
เร่งทำแผนดูแล "แรงงานนอกระบบ" กว่า 21 ล้านคน รับการคุ้มครองทางสังคม
 
ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2560 - 2564 ว่า แรงงานนอกระบบถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องให้การดูแลแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปเนื่องจากมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเมื่อเปรียบเทียบจำนวนแรงงานนอกระบบกับแรงงานในระบบแล้ว แรงงานนอกระบบมีสัดส่วนที่มากกว่าแรงงานในระบบ และมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่ทำงาน โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า แรงงานนอกระบบในปี 2559 มีจำนวน 21.3 ล้านคน แยกเป็นภาคเกษตรกรรม 54.8% ภาคการค้าและภาคบริการ 34.0 % และภาคการผลิต 11.3%
 
"กระทรวงแรงงาน มีนโยบายในการส่งเสริมพัฒนาอาชีพ เพื่อเพิ่มรายได้ ออกกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และสร้างหลักประกันทางสังคมให้แรงงานนอกระบบมาโดยตลอด มีกฎหมายคุ้มครองแรงงานในภาคเกษตร กลุ่มรับงานไปทำที่บ้าน ซึ่งแม้ว่าจะไม่สามารถทำให้ครอบคลุมกลุ่มแรงงานนอกระบบทุกกลุ่มได้ แต่หน่วยงานกำลังเร่งดำเนินการขยายความคุ้มครองให้มากขึ้น ในส่วนของกระทรวงแรงงาน อาทิ สำนักงานประกันสังคมกำลังพิจารณาว่า การดูแลแรงงานนอกระบบตามมาตรา 40 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2 ล้านคนนั้น สามารถเพิ่มทางเลือกให้มีโอกาสได้เข้าถึงหลักประกันทางสังคมได้มากขึ้น กรมการจัดหางาน ได้บริการส่งเสริมเงินทุนแก่กลุ่มรับงานไปทำที่บ้าน กลุ่มประกอบอาชีพอิสระและให้การแนะแนวอาชีพ ส่วนกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ให้การฝึกทักษะฝีมือแรงงานและการใช้เทคโนโลยีให้สามารถเท่าทันต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว" ปลัดแรงงาน กล่าว
 
รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบเพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยแผนปฏิบัติการนี้จะสามารถนำเสนอผ่านคณะกรรมการกลางและคณะกรรมการระดับชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการพิจารณาโดยจะนำไปสู่การจัดสรรงบประมาณและการปฏิบัติในระดับพื้นที่ต่อไป
 
 
กสร. เร่งสอบเหตุไฟไหม้โรงงานหลอมยางรถยนต์ โคราชจนนเป็นเหตุให้ลูกจ้างบาดเจ็บสาหัส 1 ราย ย้ำนายจ้างต้องให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน
 
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงกรณีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานหลอมยางรถยนต์ที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 13 มี.ค.60 ที่ผ่านมาว่า จากการตรวจสอบพบว่าสถานที่เกิดเหตุเป็นบริษัท วี.เค.พี.เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 33 หมู่7บ้านดอนใหญ่ ตำบลพะงาด อำเภอขามสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมา ประกอบกิจการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากยางรถยนต์เก่า เบื้องต้นได้รับรายงานว่าก่อนเกิดเหตุลูกจ้างชาย นำยางรถยนต์เก่าเข้าหลอมในเตาซึ่งยังไม่ทันได้เวลาที่กำหนดแต่เปิดฝาเตาหลอมก่อนทำให้ไฟพุ่งออกมาจนลุกลาม อย่างรุนแรง เป็นเหตุให้ลูกจ้างถูกไฟคลอกบาดเจ็บสาหัส 1 ราย และเพลิงไหม้ลุกลามภายในโรงงานที่มีทั้งถังน้ำมันและยางรถยนต์เก่าจำนวนมากส่งผลให้หลังคาอาคารของโรงงานทรุดตัวลง
 
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนครราชสีมา เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป พร้อมทั้งประสานสำนักงานประกันสังคมจังหวัดให้ความช่วยเหลือลูกจ้างแล้ว ทั้งนี้ ขอย้ำเตือนไปยังสถานประกอบกิจการอื่น ๆ ให้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการดูแลเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
 
 
เตรียมเฮ! ผู้กู้ กยศ.เปลี่ยนระดับการศึกษา ไม่อิง 2.00
 
จากการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) เมื่อเร็ว ๆนี้ ดร.สุภัทร จำปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการตามที่คณะทำงานศึกษาข้อดี-ข้อเสียของการกำหนดผลคะแนนเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า 2.00 มาเป็นหลักเกณฑ์การคัดกรองผู้กู้ยืมและเกณฑ์การคัดกรองสถานศึกษา เสนอ คือให้ปรับหลักเกณฑ์การคัดกรองผู้กู้ยืมเงินกยศ. จากเดิมกำหนดว่าผู้ที่จะกู้ยืมกยศ.ทั้งรายเก่าและรายใหม่จะต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมไม่น้อยกว่า 2.00 และเข้าโครงการที่มีประโยชน์ต่อสังคมและสาธารณะ เป็นผู้กู้รายใหม่และผู้กู้รายเก่าเปลี่ยนระดับการศึกษาไม่ต้องกำหนดผลการเรียน แต่ต้องมีคุณสมบัติสำเร็จการศึกษาในระดับม.3หรือ ม.6 เพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น และไม่ต้องกำหนดการเข้าร่วมโครงการที่มีประโยชน์ต่อสังคมและสาธารณะ
 
ทั้งนี้สำหรับผู้กู้ยืมรายเก่าเลื่อนชั้นปีนั้นผู้ขอกู้ยืมสามารถเลือกใช้คะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรม.ปลายหรือจีพีเอเอ็กซ์ หรือใช้คะแนนเฉลี่ยสะสมประจำปีการศึกษาก่อนหน้าที่จะขอกู้ยืม แต่ต้องอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถสำเร็จการศึกษาตามเกณฑ์ที่หน่วยงานควบคุมหรือกำกับดูแลสถานศึกษากำหนดและผู้กู้จะต้องแสดงหลักฐานการเข้าร่วมโครงการที่มีประโยชน์ต่อสังคมและสาธารณะ ต้องไม่น้อยกว่า 36 ชั่วโมง ในปีการศึกษาก่อนหน้าที่จะขอกู้ยืม ทั้งนี้ยกเว้นผู้กู้ยืมในระดับม.ปลายที่ต้องมีผลการเรียน 1.00 ก็ให้กู้ยืมกยศ.ได้ ซึ่งจากนี้ทางกองทุนฯก็จะต้องไปร่างประกาศดังกล่าว เพื่อใช้ในปีการศึกษา 2560
 
ส่วนกรณีผู้กู้ยืมรายเก่าที่ศึกษาในชั้นปีสุดท้ายตามภาคการศึกษาปกติ และมีคะแนนเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า 1.95 และมีหน่วยกิตคงเหลือตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรไม่เกิน 24 หน่วยกิตที่บัญชีจ่ายที่ 2 เคยเสนอจะขอให้มีสิทธิ์กู้ยืมกยศ.ด้วยนั้น ทางบอร์ด กยศ.ไม่เห็นชอบ เพราะเกรงว่านักศึกษาจะเรียนไม่จบ และจะทำให้เป็นหนี้กยศ.เพิ่มขึ้นอีก
 
 
เตือนคนหางานระวังถูกหลอกให้เสียเงินทำบัตรปลอมไปทำงานนวด งานโรงงาน และงานเกษตรที่ญี่ปุ่น โดยหลอกให้จ่ายเงินกว่า 60,000 บาท อ้างมีบัตรเดียวทำงานได้ทุกที่
 
กระทรวงแรงงาน โดย นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานได้รับแจ้งจากสำนักงานแรงงานในประเทศญี่ปุ่นว่ามีการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อผ่านทางเฟสบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า "Elizabeth Mamasung" ชักชวนให้ไปทำงานที่ญี่ปุ่น โดยจะดำเนินการออกบัตรประจำตัวผู้พำนัก (ไซริวการ์ด) ปลอมเพื่อใช้ในการหางาน โดยแอบอ้างว่าเป็นบัตรทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถทำงานได้ทุกที่ หางานง่าย มีแต่คนอยากรับเข้าทำงาน ทำบัตรเสร็จสามารถเลือกงานได้เลย ซึ่งมีทั้งงานนวด งานสวน งานในโรงงาน และร้านอาหารไทย บัตรมีอายุ 1 ปี โดยหลอกให้โอนเงินก่อนจำนวน 15,000 บาท และเตรียมเงินไปจ่ายค่าบัตร อีก 45,000 บาท เมื่อเดินทางถึงประเทศญี่ปุ่น
 
กรมการจัดหางาน ขอแจ้งเตือนว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมามีแรงงานไทยหลายรายถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกให้เสียเงินฟรีเพื่อไปทำงานที่ญี่ปุ่น แต่ไม่ได้ทำงานตามที่ต้องการ สุดท้ายถูกจับ ติดแบ็คลิสต์ ต้องมาร้องขอความช่วยเหลือกลับประเทศไทย โดยเป็นการหลอกลวงผ่านทางสื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางที่เข้าถึงได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว ดังนั้นจึงอย่าหลงเชื่อ เดินทางเข้าไปทำงานอย่างผิดกฎหมายที่ญี่ปุ่น ทั้งนี้ผู้ที่หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 -10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยคนหางานสามารถสอบถามข้อมูลตำแหน่งงานหรือร้องทุกข์ แจ้งเบาะแสการหลอกลวงคนหางาน ได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน โทร. 02-245-6763 หรือโทรสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
 
ที่มา: กรมการจัดหางาน, 16/3/2560
 
ปค.เปิดเกณฑ์เลื่อนเงินเดือน "นายอำเภอ-ปลัดจังหวัด" ปี 2560 ได้เพิ่มร้อยละ 2.90
 
(17 มี.ค.) มีรายงานจากกระทรวงมหาดไทยว่า เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา ร.ต.ท.อาทิตย์ บุญญะโสภัต อธิบดีกรมการปกครอง ได้ออกประกาศกรมการปกครองถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ และผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อชี้แจงแนวทางการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนข้าราชการและเลื่อนขั้นค่าจ้างลูกจ้างประจำในสังกัดกรมการปกครอง ครั้งที่ 1 (1 เมษายน 2560) เพื่อชี้แจงต่อข้าราชการในสังกัดกรมการปกครอง ทั้งนี้จะมีการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับต้นและระดับสูง ข้าราชการประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ระดับชำนาญการพิเศษ ระดับชำนาญการ และทั่วไป ระดับอาวุโส ระดับชำนาญการ ระดับปฏิบัติงาน และข้าราชการในราชการบริหารส่วนภูมิภาค ผู้ดำรงตำแหน่งอำนวยการ ระดับต้นและระดับสูง รวมถึงข้าราชการที่มีเงินเดือนตั้งจ่ายอยู่ที่จังหวัด และลูกจ้างประจำ รวมถึงข้าราชการในสำนัก/กอง สังกัดกรมการปกครอง ตั้งแต่ระดับชำนาญการพิเศษลงมา
 
ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามแนวทางสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ที่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ ให้มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการ เพื่อให้การเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการสังกัดกรมการปกครอง ครั้งที่ ประจำปี 2560 (1 ต.ค. 2559 - 31 มี.ค. 2560) เป็นไปตามหลักเกณฑ์
 
มีรายงานว่า กลุ่มข้าราชการกรมการปกครอง ที่จะได้เลื่อนเงินเดือนประกอบด้วย 1. กลุ่มประเภทบริหาร ได้แก่ ผู้บริหารระดับต้น (รองอธิบดี) ให้อธิบดีกรมการปกครองเป็นผู้ประเมิน 2. กลุ่มดำรงตำแหน่งประเภทอำนวยการ ได้แก่ กลุ่มอำนวยการ ระดับสูงส่วนกลาง (ผู้ตรวจราชการกรม ผอ.สำนัก/กอง อธิการบดีวิทยาลัยกรมการปกครอง ปลัดจังหวัด ที่ช่วยราชการ หรือรักษาการ/กลุ่มอำนวยการระดับสูงในภูมิภาค (ปลัดจังหวัด นายอำเภอ ระดับสูง)/กลุ่มอำนวยการระดับต้นส่วนกลาง (ผอ.กอง)/กลุ่มอำนวยการ ระดับต้น ส่วนภูมิภาค (นายอำเภอระดับต้น)
 
3. กลุ่มดำรงตำแหน่งประเภทอำนวยการ ประเภทวิชาการและประเภททั่วไป ได้แก่ กลุ่มอำนวยการ ระดับสูงและระดับต้น (นายอำเภอ)/กลุ่มวิชาการ เชี่ยวชาญ ชำนาญการพิเศษ และชำนาญการ ที่เป็นหัวหน้าหน่วยที่รายงานตรงต่ออธิบดีกรมการปกครอง เช่น เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ด้านความมั่นคง ผอ.ศูนย์สารสนเทศ ฯลฯ)/กลุ่มประเภทวิชาการระดับอาวุโส ได้แก่ กลุ่มข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ในสำนัก/กอง/กลุ่มประเภทวิชาการที่มีอัตราตำแหน่งในสังกัด (กรม/จังหวัด/กระทรวง) แต่มาช่วยราชการกรมการปกครอง (ส่วนกลาง) เช่น ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการอธิบดี และเลขานุการรองอธิบดีกรมการปกครอง
"ทั้งนี้ ให้แบ่งวงเงินงบประมาณในการเลื่อนเงินเดือนร้อยละ 3.00 ของฐานอัตราเงินเดือนรวมของข้าราชการสังกัดกรมการปกครอง ณ วันที่ 1 มีนาคม 2560 ดังนี้ วงเงินร้อยละ 2.90 จัดสรรให้ข้าราชการในแต่ละกลุ่มโดยนำผลการประเมินมาประกอบเลื่อนเงินเดือน ส่วนระดับภูมิภาคที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ประเมินให้บริหารวงเงินการเลื่อนเงินเดือนไม่เกินร้อยละ 2.90 และจังหวัดอาจพิจารณาแยก/รวมวงเงินตามความเหมาะสม"
 
นอกจากนี้ กรมการปกครองยังกำหนดวงเงินที่ ร้อยละ 0.10 ไว้เพื่อบริหารวงเงินในภาพรวมของกรมการปกครอง โดยจะจัดสรรให้แก่ขาราชการในแต่ละกลุ่มด้วย อย่างไรก็ตามยังมีการเลื่อนเงินเดือนให้ข้าราชการในโควตาพิเศษ โดยจะรับเพิ่มเติมจากอัตราปกติ ไม่เกินร้อยละ 1.00/คน แต่ต้องเป็นข้าราชการที่ได้รับการประเมินในระดับดีเด่นหรือระดับดีมาก และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์และบังเกิดผลดีต่อราชการ
 
 
กรมการจัดหางาน ยกเลิกใบอนุญาตจัดหางานในประเทศ 6 แห่ง
 
กรมการจัดหางาน ยกเลิกใบอนุญาตจัดหางานให้คนหางานทำงานในประเทศ จำนวน 6 แห่งเนื่องจากขอยกเลิกใบอนุญาต ฯ หากผู้ใดมีเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับบริษัทจัดหางาน สำนักงานจัดหางานดังกล่าว ให้รีบแจ้งนายทะเบียนจัดหางานกลางภายใน 30 วัน
 
กระทรวงแรงงาน โดยนายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานยกเลิกใบอนุญาตจัดหางานให้คนหางานทำงานในประเทศของบริษัทจัดหางาน สำนักงานจัดหางานและ ห้างหุ้นส่วนจำกัดจัดหางาน จำนวน 6 แห่ง เนื่องจากขอยกเลิกใบอนุญาต ฯ ดังนี้
 
1. ห้างหุ้นส่วนจำกัดจัดหางาน วีซ่า คอมปานาร์ ใบอนุญาตเลขที่ น.1378/2556 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 340 ถนนมหาราช เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2559 เป็นต้นไป
2. บริษัทจัดหางาน มิลเลี่ยน ดรีม (ไทยแลนด์) จำกัด ใบอนุญาตเลขที่ น.1336/2556 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 121/42 ซอยวิภาวดีรังสิต 60 แยก 18 – 1 ถนนพหลโยธิน 49/1 เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2560 เป็นต้นไป
3. บริษัทจัดหางาน เดอะ ริชดารีญา แมเนจเม้น จำกัด ใบอนุญาตเลขที่ น.1470/2557 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 5 ซอยจันทน์ 44 ถนนจันทน์ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2560 เป็นต้นไป
4. บริษัทจัดหางาน ไอเดียล เทรดเดอร์ จำกัด ใบอนุญาตเลขที่ น.1430/2557 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 5/88 โฮมอินทาวน์ ซอย 73 ถนนพหลโยธิน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2560 เป็นต้นไป
5. บริษัทจัดหางาน เอช.เอ็ม.พาวเวอร์ จำกัด ใบอนุญาตเลขที่ น.1376/2556 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 121 ซอยเทียนทะเล 26 แยก 6 – 1 ถนนบางขุนเทียน – ชายทะเล เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2560 เป็นต้นไป
6. สำนักงานจัดหางาน สุเทพ บริการ ใบอนุญาตเลขที่ น.1392/2556 สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 2 ซอยพระยามนธาตุฯ แยก 35 – 7 เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2560 เป็นต้นไป
 
ทั้งนี้หากผู้ใดมีเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับการจัดหางานของบริษัทจัดหางาน สำนักงานจัดหางานและ ห้างหุ้นส่วนจำกัดจัดหางานดังกล่าวให้รีบแจ้งนายทะเบียนจัดหางานกลางทราบภายใน 30 วัน เพื่อจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
 
นายวรานนท์ฯ กล่าวว่า หากคนหางานใดประสงค์จะทำงานขอให้ตรวจสอบข้อมูลของบริษัทจัดหางานหรือตำแหน่งงานให้รอบคอบก่อนตัดสินใจเพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงทำให้ต้องสูญเสียทรัพย์สิน โดยสามารถสอบถามข้อมูลหรือแจ้งเรื่องร้องทุกข์/แจ้งเบาะแสการหลอกลวงคนหางานได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด ทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน โทร. 02–248-6763 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694
 
ที่มา: กรมการจัดหางาน, 18/3/2560
 
จี้ สธ.เพิ่มอายุราชการทวีคูณให้พยาบาลที่ทุพพลภาพจากการทำงาน
 
ประธานชมรมผู้บริหารทางการพยาบาลแห่งประเทศไทยเผย พยาบาล รพ.ชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ยังนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราหลังรถ Refer ผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุตั้งแต่ปี 2553 จี้กระทรวงสาธารณสุขตั้งกองทุนดูแลผู้บาดเจ็บจากการทำงาน ออกระเบียบนับอายุราชการแบบทวีคูณเพื่อให้ได้สิทธิบำนาญ และเพิ่มค่าเสี่ยงภัยให้พยาบาลที่ออกไปกับรถ Refer ผู้ป่วย
 
น.ส.ปิยนุช ประทีปทัศน์ หัวหน้าพยาบาล รพ.ชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และประธานชมรมผู้บริหารทางการพยาบาลแห่งประเทศไทย เปิดเผยสถานการณ์ของ น.ส.อารีย์ แก้ววารีย์ พยาบาล รพ.ชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งทุพพลภาพจากกรณีรถพยาบาลประสบอุบัติเหตุขณะปฏิบัติหน้าที่ส่งต่อผู้ป่วย (Refer) ในปี 2553 ว่า ปัจจุบัน น.ส.อารีย์ ยังนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ในห้องพิเศษของโรงพยาบาลโดยใช้สิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการและใช้เงินสวัสดิการของโรงพยาบาลสำหรับค่าใช้จ่ายของใช้ส่วนตัว
 
อย่างไรก็ดี แม้ปัจจุบัน น.ส.อารีย์ จะได้รับการดูแลอย่างดี แต่ในภาพรวมแล้วทางกระทรวงสาธารณสุขควรมีมาตรการรองรับที่เป็นระบบมากกว่านี้
 
น.ส.ปิยนุช กล่าวว่า น.ส.อารีย์ ประสบอุบัติเหตุในวันที่ 17 พ.ค. 2553 ขณะเดินทางกลับจากการ Refer ผู้ป่วย พนักงานขับรถเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วน น.ส.อารีย์ บาดเจ็บสาหัส กระดูกสะโพกหักและสมองถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก ในระยะแรกต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองหลายครั้ง และเมื่ออาการทางสมองดีขึ้น ก็ถูกส่งตัวไปรักษาสะโพกที่ รพ.เลิดสิน จากนั้นก็กลับมารักษาตามอาการที่ รพ.ชุมพรฯ จนถึงปัจจุบัน
 
"ตอนนี้ก็รักษาไปตามอาการ เราจัดเวรให้มีผู้ช่วยพยาบาลคอยดูแลวันละ 3 เวร พยายามทำกายภาพบำบัด พยายามให้ยืน คือถึงแม้น้องเขาไม่รู้สึกตัวแต่ก็ไม่ได้ปราศจากการรับรู้โดยสิ้นเชิง ยังจำพี่ๆ ได้ ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมเขาก็เหมือนจะร้องไห้ ก็แสดงว่ายังรับรู้ได้ แต่จะให้หายเหมือนเดิมคงไม่ได้ ได้แต่หวังแค่ให้เขานั่งได้ ทานอาหารทางปากเองได้" น.ส.ปิยะนุช กล่าว
 
น.ส.ปิยนุช กล่าวต่อไปว่า การประสบอุบัติเหตุของ น.ส.อารีย์ กระทบต่อฐานะของครอบครัวอย่างยิ่ง เนื่องจากบิดาเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่เกษียณแล้ว ไม่มีบำนาญ ส่วนมารดาก็เป็นแม่บ้าน ทั้งครอบครัวมี น.ส.อารีย์ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการดูแลครอบครัว ทางโรงพยาบาลจึงให้การดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย โดยใช้เงินสวัสดิการของโรงพยาบาลมาจ่ายค่าของใช้ส่วนตัว อาทิ แป้ง สบู่ กระดาษชำระ ฯลฯ รวมประมาณเดือนละ 7,000 บาท และค่าตอบแทนผู้ช่วยพยาบาล ตลอดจนรับพี่สาวของผู้ป่วยเข้ามาทำงานในโรงพยาบาล เพื่อให้มีรายได้ดูแลครอบครัว
 
"ค่าใช้จ่ายในการดูแล พี่ขอผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลย ผู้อำนวยการเปลี่ยนมาแล้ว 3 คน ทุกครั้งพี่ก็เข้าไปคุย พาไปเยี่ยมน้อง แล้วก็ขออนุมัติให้ใช้เงินสวัสดิการสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ เพราะน้องประสบอุบัติเหตุจากการทำหน้าที่ จึงเป็นความรับผิดชอบของโรงพยาบาลที่ต้องดูแล และก็บอกพ่อเขาว่าไม่ต้องกังวล เดี๋ยวจะดูแลให้เอง ถ้าพี่ยังอยู่ก็จะช่วยดูแลให้ถึงที่สุด แต่ก็กังวลว่าถ้าพี่ตายไปแล้วน้องจะเป็นยังไง มันไม่มีระบบอะไรมารองรับชัดเจน" น.ส.ปิยนุช กล่าว
 
น.ส.ปิยนุช กล่าวว่า กรณีเช่นนี้เป็นการดูแลแบบ Case by case ซึ่งหากเกิดกรณีลักษณะนี้กับพยาบาลคนอื่นๆ แล้วโรงพยาบาลไม่มีศักยภาพดูแล พยาบาลคนนั้นก็จะลำบาก ดังนั้นควรมีมาตรการในเชิงระบบเพื่อดูแลปัญหาเหล่านี้ ซึ่งที่ผ่านมาวิชาชีพพยาบาลได้เสนอข้อเรียกร้องไปหลายอย่าง แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากกระทรวงสาธารณสุข ยื่นหนังสือไปก็เงียบ สุดท้ายมีมาตรการออกมาว่าห้ามขับรถเร็วและให้ติดกล้องวงจรปิด ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่หากจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นอย่างไรก็ต้องเกิด ต่อให้ขับช้าก็มีรถคันอื่นมาชนได้อยู่ดี
 
ดังนั้นส่วนตัวเห็นว่าควรทำใน 3 ประเด็นคือ 1.จัดให้มีกองทุนสำหรับดูแลพยาบาลที่ได้รับบาดเจ็บจากการทำงาน ไม่เฉพาะอุบัติเหตุจากการ Refer ผู้ป่วย แต่รวมถึงการบาดเจ็บทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ด้วย
 
2.มีระบบการปูนบำเหน็จ คล้ายๆ กับทหารที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยอาจเป็นการเพิ่มอายุราชการแบบทบทวีคูณ เพื่อให้ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับเงินบำนาญได้ และ 3.เพิ่มค่าตอบแทนเมื่อต้องปฏิบัติหน้าที่ Refer ผู้ป่วย รวมทั้งมีค่าเสี่ยงภัยให้ด้วย
 
"เวลาทหารบาดเจ็บก็มีกองทุนทหารผ่านศึกช่วยดูแล มีระบบปูนบำเหน็จหลายชั้นยศ แต่น้องไม่ได้อะไรเลย ตอนประสบอุบัติเหตุน้องอายุราชการ 6 ปีและเขาจะให้สิ้นสุดการเป็นข้าราชการเพราะทำงานต่อไม่ได้แล้ว แต่เราไม่ยอม เราต่อสู้มากเลยเพื่อให้น้องคงไว้ซึ่งสิทธิ ตอนนี้ก็ขอต่ออายุออกไปเรื่อยๆ อย่างน้อยน่าจะมีการเพิ่มอายุราชการเพื่อให้พ่อแม่เขาได้เงินบำนาญ ลองคิดดูว่าพ่อแม่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบส่งลูกเรียนพยาบาล หวังว่าแก่ตัวมาจะได้พึ่งพิง แต่พอเรียนจบแล้วลูกกลับมาเป็นแบบนี้และต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนาน แล้วพ่อแม่จะอยู่อย่างไร เงินบำนาญมันไม่เยอะหรอก เดือนละ 3,000-4,000 บาท ก็น่าจะให้พ่อแม่เขาได้มีเงินใช้ จะแก้กฎหมายหรือออกระเบียบอะไรมาช่วยตรงนี้ได้ไหม รวมทั้งเพิ่มค่าตอบแทนและค่าเสี่ยงภัย เพราะทุกครั้งที่ล้อหมุนมันคือความเสี่ยงของพยาบาลทั้งนั้น ค่าตอบแทนพยาบาลที่ไป refer ก็น้อย ไม่มีระเบียบการจ่ายค่าตอบแทน บางที่จ่ายเป็น OT บางที่เหมาจ่าย ดังนั้นควรจะออกระเบียบให้ชัดเจนว่าระยะทางเท่าไหร่ได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่และค่าเสี่ยงภัยก็ควรมากกว่าเงิน OT ด้วย" น.ส.ปิยนุช กล่าว
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แม่ทัพภาค 4 ชวนผู้เห็นต่างร่วมพัฒนาชาติไทย หากไม่ชอบก็ยังกลับขึ้นเขาได้

Posted: 18 Mar 2017 01:42 AM PDT

แม่ทัพภาคที่ 4 ชี้เหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่เกิดมาจากความขัดแย้งส่วนบุคคลไม่ใช่เหตุการณ์ด้านความมั่นคง เชิญชวนผู้เห็นต่างกลับเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทย ระบุ "ให้มาคุยกันก่อน ภูเขายังอยู่ที่เดิม หากลงมาคุยแล้วไม่ชอบกลับขึ้นเขาไปได้ หากถ้าตกลงให้ลงมาช่วยกันทำงานช่วยกันพัฒนา"

 
 
พลโทปิยะวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ที่มาภาพ: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
 
18 มี.ค. 2560 สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่าพลโทปิยะวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในขณะนี้ว่าเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นและพบว่าเหตุความไม่สงบในปัจจุบันร้อยละ 80–90 เกิดมาจากความขัดแย้งส่วนบุคคล ไม่ใช่เหตุการณ์ด้านความมั่นคง ส่วนภาพของความรุนแรงที่เกิดขึ้น เป็นความพยายามของบางคนที่หวังผลทางธุรกิจ เพื่อไม่ให้นักธุรกิจคนอื่นมาลงทุนในพื้นที่
 
ในขณะที่การสร้างความเข้าใจกับประชาชนที่มีความเห็นต่างในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ล่าสุดได้รับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยออกมาจากป่าแล้ว 4 คน และกำลังอยู่ระหว่างประสานผู้พัฒนาชาติไทยในพื้นที่ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เพิ่มอีก 1 คน กองทัพและรัฐบาลมุ่งพัฒนาให้พี่น้องประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ และป้องกันภัยที่จะเกิดกับประชาชนในพื้นที่ ไม่ได้มาปราบปราม ดังนั้นจึงขอให้ออกมาเจรจาพูดคุยกัน หากไม่พอใจผลการเจรจา สามารถกลับสู่ที่มั่นเดิมได้
 
"ให้มาคุยกันก่อน ภูเขายังอยู่ที่เดิม หากลงมาคุย แล้วไม่ชอบ กลับขึ้นเขาไปได้ หากถ้าตกลง ให้ลงมา ช่วยกันทำงาน ช่วยกันพัฒนา เราเน้นทางด้าน การส่งเสริมอาชีพให้มีรายได้ มีงานทำ ทหารไม่ได้มาปราบ เน้นการป้องกันภัยที่จะเกิดกับประชาชนในพื้นที่"
 
แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวเพิ่มเติมว่า ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ให้ความร่วมมือดีมาก กองทัพภาคที่ 4 เข้าไปมีส่วนร่วมพัฒนาหมู่บ้าน ให้ชาวไทย พุทธ มุสลิม อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สร้างงาน สร้างอาชีพ และส่งเสริมการท่องเที่ยว ทำให้ประชาชนมีรายได้ มีความเป็นอยู่ดีขึ้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รัฐบาลโต้โซเชียลระบุอุปถัมภ์อิสลามมากกว่าพุทธ

Posted: 18 Mar 2017 12:54 AM PDT

โฆษกรัฐบาลยืนยันรัฐบาลดูแลทุกศาสนาเท่าเทียมกัน หลังกรณีที่มีการแชร์ข้อความในโซเชียลมีเดียว่ารัฐบาลอนุมัติงบประมาณจำนวนมาก สร้างมัสยิดกลางประจำจังหวัดหลายจังหวัด พร้อมกับให้เงินเดือนโต๊ะอิหม่าม เดือนละ 18,000 บาท

 
18 มี.ค. 2560 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่มีการแชร์ข้อความในโซเชียลมีเดียว่า รัฐบาลอนุมัติงบประมาณจำนวนมาก สร้างมัสยิดกลางประจำจังหวัดหลายจังหวัด พร้อมกับให้เงินเดือนโต๊ะอิหม่าม เดือนละ 18,000 บาท และคณะกรรมการมัสยิดทุกคน แต่ไม่เคยสนับสนุนการสร้างวัด ให้ความสำคัญกับศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาพุทธ ว่า รัฐบาลมีหน้าที่อุปถัมภ์ดูแลทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน และส่งเสริมให้ศาสนิกชนทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ดังนั้นข้อความที่มีการแชร์ต่อกัน จึงเป็นเรื่องที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ จึงขอเตือนผู้ไม่หวังดีหยุดสร้างกระแสบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างศาสนา ส่วนผู้รับข้อมูลต้องใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสาร อย่าหลงเชื่อ และไม่ส่งต่อหรือวิพากษ์วิจารณ์ เพราะจะตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มผู้ไม่หวังดี โดยไม่รู้ตัว
 
"จากการตรวจสอบข้อมูล พบว่า มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงหลายเรื่อง เช่น การสร้างมัสยิดที่ จ.นนทบุรีนั้น เป็นงบประมาณขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ไม่ใช่งบประมาณของรัฐบาลส่วนกลาง ส่วนมัสยิดที่ จ.นครศรีธรรมราช มีการอนุมัติงบประมาณสนับสนุนการก่อสร้าง ตั้งแต่ปี 2555 โดย ครม.ในขณะนั้น แต่มาแล้วเสร็จในปี 2559 ขณะที่ภาพของโรงเรียนอิสลามขนาดใหญ่บนเขายายเที่ยง แท้จริงแล้วตั้งอยู่ที่เขตลาดพร้าว กทม. นอกจากนี้ อัตราค่าตอบแทนของโต๊ะอิหม่ามที่มีการเผยแพร่ ก็ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน โดยระเบียบ มท.ว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าตอบแทนประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัด อิหม่าม คอเต็บ และบิหลั่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2552 กำหนดให้บุคคลดังกล่าวมีค่าตอบแทนระหว่าง 1,000-3,500 บาทต่อเดือน ไม่ใช่ 18,000 บาท ตามที่มีการกล่าวอ้าง" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทหาร-ตำรวจ บุกค้นบ้านเครือข่าย 'โกตี๋'

Posted: 17 Mar 2017 10:21 PM PDT

 
 
18 มี.ค. 2560 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่าเมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 18 มีนาคม 2560 พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รอง ผบช.ภ.1 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าหน้าที่ตำรวจ จ.ปทุมธานี บุกเข้าตรวจค้น บริษัท ไทยแม็กซ์กรุ๊ป จำกัด บ้านเลขที่ 1/1 หมู่ 6 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านปูน 2 ชั้น เนื้อที่ประมาณ 100 ตารางวา และเป็นบ้านพักเครือข่ายของนาย โกตี๋ แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี 
 
จากการตรวจค้นภายในบ้าน พบระเบิดหลายชนิด จำนวนมาก อาวุธปืนสงครามหลายชนิด จำนวนมาก เครื่องกระสุนปืน บรรจุใส่กล่องลังบรรจุ สมุดบัญชีธนาคาร พาสปอร์ต และเอกสารสำคัญต่างๆ อีกหลายรายการ และสามารถควบคุมตัวผู้ดูแลบ้านได้ 1 คน ส่วนตัวนายโกตี๋ เจ้าหน้าที่ไม่พบตัวตั้งแต่หลังจากมีการยุบพรรคเพื่อไทยเมื่อหลายปีที่ผ่านมา 
 
เบื้องต้นส่งตัวผู้ดูแลบ้านพร้อมของกลาง ให้ พ.ต.ท.ชาญชล พรหมชนะ สารวัตรเวรสอบสวน สภ.คูคต คุมตัวไปสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง โดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. แถลงรายละเอียดในการตรวจค้นในเวลา 11.00 น. ของวันที่ 18 มีนาคม 2560
 
เตรียมขยายผลหลังพบอาวุธสงคราม
 
มติชนออนไลน์ รายงานเมื่อเวลา 14.12 น. ว่าพล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาค 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) กองทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าหน้าที่ตำรวจ จ.ปทุมธานี บุกเข้าตรวจค้น บริษัท ไทยแม็กซ์กรุ๊ป จำกัด เลขที่ 1/1 หมู่ 6 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี และบ้านปูน 2 ชั้น ซึ่งเป็นบ้านพักของเครือข่ายนายวุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ (โกตี๋) แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี ซึ่งภายในบ้านพบอาวุธสงครามเป็นจำนวนมาก ว่า เบื้องต้นได้รับทราบรายงานการปฏิบัติการแล้ว ว่าพบสิ่งผิดกฎหมาย อาวุธหลายชนิด แต่ยังไม่ทราบว่าแต่ละชนิดมีจำนวนเท่าใด รวมถึงยังพบเอกสารที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มการเมืองด้วย ทั้งนี้ ต้องรอเจ้าหน้าที่ในการสอบสวนสืบสวนเพื่อขยายผลต่อไป ว่าอาวุธดังกล่าว และกลุ่มบุคคลที่เป็นเจ้าของ มีเป้าหมายอย่างไร หรือจะเป็นกลุ่มเดียวกันที่ไป ป่วนการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการตรวจค้นวัดธรรมกาย และขู่ปองร้าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่าย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือไม่ หากมีความชัดเจนก็จะมีการชี้แจงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
 
รายงานข่าวเปิดเผยว่า จากการข่าวทราบมาว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการซุกซ้อนอาวุธสงครามจำนวนมาก จึงใช้มาตรา 44 (ม.44) เข้าตรวจค้นพบนายธีรชัย อุดรเชียร ผู้ต้องหาพร้อมของกลางจำนวนมาก สอบสวนเบื้องต้น รับว่าได้รับฝากของกลางดังกล่าวมาจากสถานีวิทยุชุมชนของนายโกตี๋ ซึ่งรู้จักกันช่วงที่เปิดเวทีเสื้อแดง ตนเป็นช่างไฟฟ้าของเวทีในขณะนั้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อว่าจะมีของกลางเพียงเท่านี้ น่าจะมีซุกซ่อนไว้ในพื้นที่ใกล้เคียงอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนนำตัวผู้ต้องหามาควบคุมที่ มทบ.11 เพื่อสอบสวน เป็นเวลา 7 วัน ก่อนส่งพนักงานสอบดำเนินคดีต่อไป

เพิ่มเติมเนื้อหาเมื่อเวลา 14.46 น.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘การเลือกปฏิบัติ’ ยังเป็นอุปสรรคของผู้หญิงในจีน

Posted: 17 Mar 2017 09:24 PM PDT

จากการสำรวจพบพนักงานหญิงในจีนได้เลื่อนตำแหน่งช้ากว่าผู้ชาย ผู้หญิงที่ไม่เคยได้เลื่อนตำแหน่งมีมากกว่าผู้ชาย และแม้จะมีการศึกษาที่สูงแต่ผู้หญิงยังถูกเลือกปฏิบัติมากกว่าผู้ชายในระดับการศึกษาเดียวกัน

ผู้หญิงจีนยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติทางเพศซึ่งเป็นอุปสรรคในการทำงานและความก้าวหน้าทางอาชีพ ที่มาภาพประกอบ: pexels.com (CC0)

18 มี.ค. 2560 'Zhaopin' บริษัทด้านทรัพยากรมนุษย์ของจีนเปิดเผย รายงานการสำรวจเรื่องการเลือกปฏิบัติในที่ทำงานต่อพนักงานหญิง เมื่อช่วงวันสตรีสากลที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการสำรวจความเห็นผู้เกี่ยวข้อง 128,500 คน รายงานนี้ระบุว่าพนักงานหญิงในจีนยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติทางเพศซึ่งเป็นอุปสรรคในการทำงานและความก้าวหน้าทางอาชีพ โดยผู้หญิงที่ตอบแบบสำรวจนี้ร้อยละ 22 ระบุว่าตนเองมีประสบการเกี่ยวกับการถูกเลือกปฏิบัติ 'อย่างรุนแรง' ในที่ทำงาน ส่วนผู้ชายที่ตอบแบบสอบถามนี้มีเพียงร้อยละ 14 เท่านั้น และแม้จะมีการศึกษาที่สูงขึ้น ผู้หญิงที่มีการศึกษาสูงที่ตอบแบบสอบถามก็ระบุว่าพวกเธอก็ยังคงถูกเลือกปฏิบัติ 'อย่างรุนแรง' ถึงร้อยละ 43 ส่วนผู้ชายที่จบในระดับการศึกษาเดียวกันระบุว่าถูกเลือกปฏิบัติแค่ร้อยละ 18

ความก้าวหน้าในอาชีพการงานของผู้หญิงก็ดูจะด้อยกว่าผู้ชาย โดยร้อยละ 59 ของผู้ชายที่ตอบแบบสอบถามระบุว่าพวกเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งภายใน 2 ปี ส่วนผู้หญิงมีเพียงร้อยละ 49 เท่านั้น ขณะที่ร้อยละ 44 ของผู้หญิงที่ตอบแบบสอบถามระบุว่าไม่เคยได้รับการเลื่อนตำแหน่งเลย ส่วนผู้ชายมีเพียงร้อยละ 31 ที่หน้าตกใจคือตำแหน่งผู้บังคับบัญชาในสายงานสัดส่วนผู้ชายยังมีมากกว่าผู้หญิงอย่างเห็นได้ชัด โดยร้อยละ 72 ของตำแหน่งหัวหน้างานในจีนเป็นผู้ชาย ส่วนผู้หญิงมีเพียงร้อยละ 28

การเลือกปฏิบัติ (Discrimination): (ในทางการจ้างงาน)หมายถึงการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อแรงงานในสิ่งที่เป็นการกระทบกระเทือนต่อการจ้าง การตั้งข้อรังเกียจกีดกันในเรื่องต่าง ๆ เช่น ในเรื่องการว่าจ้าง การสั่งพักงาน การเลื่อนขั้น การไม่ยอมรับคนบางคนหรือบางจำพวก เนื่องจากเพศ, เชื้อชาติ และศาสนา รวมทั้งการไม่ยอมรับการรวมตัวจัดตั้งสหภาพแรงงาน เป็นต้น

จากการสำรวจในปี 2558 โดย womenofchina.cn ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของสหพันธ์สตรีจีน (All China Federation of Women) พบว่าร้อยละ 87 ของผู้หญิงที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาต้องประสบกับปัญหาการเลือกปฏิบัติเมื่อไปสมัครงานยังสถานประกอบการต่าง ๆ และเมื่อปีที่ (2559) แล้วสหพันธ์สตรีจีนระบุว่าผู้หญิงจีนที่ไปสมัครงานมักจะถูกสัมภาษณ์งานด้วยคำถามว่า "มีแผนจะมีลูกหรือไม่?" ซึ่งหากตอบว่า "มี" พวกเธอก็มีโอกาสสูงที่จะถูกปฏิเสธให้เข้าทำงาน นอกจากนี้โอกาสในการได้งานทำสำหรับหญิงที่แต่งงานแล้วมีน้อยมากเมื่อเทียบกับหญิงโสด และความกังวลใจของพนักงานหญิงส่วนใหญ่ก็คือเรื่องการตั้งครรภ์ที่จะกระทบต่องานที่ทำอยู่ และความก้าวหน้าในอาชีพ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรุงเทพโพลล์ระบุคนเห็นด้วย-ค้าน 'ลดหย่อนโทษแทนการนิรโทษกรรม' สูสีกัน

Posted: 17 Mar 2017 09:15 PM PDT

ประชาชนส่วนใหญ่มองสถานการณ์ความปรองดองมีความคืบหน้า แต่ไม่เชื่อจะปรองดองสำเร็จ เหตุความเห็นต่างในขณะที่มีสัดส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยและผู้ที่เห็นด้วยกับแนวคิดการลดหย่อนโทษแทนการนิรโทษกรรมมีใกล้เคียงกัน 49.8% ไม่เห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมการกลางที่มาจากคู่กรณีขัดแย้งเป็นผู้เลือกวอนรัฐรีบปฏิรูปการป้องกันคอร์รัปชั่น และกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม การมีสองมาตรฐาน เพื่อปรองดองจะสำเร็จเร็วขึ้น 

 
 
 
18 มี.ค. 2560 กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ  ได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง "จุดใด? บนเส้นทางความปรองดองของรัฐบาล" โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,288  คน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 37.2 เห็นว่าสถานการณ์แนวทางการสร้างความปรองดองของรัฐบาลมีความคืบหน้าไปในทิศทางที่ดี  ขณะที่ร้อยละ 33.9 เห็นว่า ยังไม่เห็นมีอะไรเป็นรูปธรรม ส่วนร้อยละ 24.7 เห็นว่ามีความล่าช้า เพราะมีอุปสรรค มีความเห็นต่างกัน ที่เหลือร้อยละ 4.2 ไม่แน่ใจ
 
เมื่อถามว่าเห็นด้วยหรือไม่กับแนวคิดการสร้างความปรองดอง โดยการลดหย่อนโทษทางการเมืองสำหรับผู้มาชุมนุม  เช่น  การรอลงอาญา  แทนที่การนิรโทษกรรม ส่วนใหญ่ร้อยละ 47.3 ระบุว่าไม่เห็นด้วย เพราะ ถ้ายอมได้ในอนาคตก็จะมีคนทำแบบนี้อีก ซึ่งมีสัดส่วนใกล้เคียงกับผู้ที่ระบุว่า เห็นด้วย เพราะ ได้รับการลงโทษแล้ว ประเทศจะได้สงบสุขไม่มีความแตกแยก คิดเป็นร้อยละ 47.0 ส่วนที่เหลือร้อยละ 5.7 ไม่แน่ใจ
 
ส่วนความเห็นต่อการตั้งคณะกรรมการกลางเพื่อสร้างความปรองดอง ที่มาจากคู่กรณีขัดแย้งทางการเมืองเป็นผู้เสนอรายชื่อ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 49.8 ไม่เห็นด้วย เพราะ กรรมการแต่ละฝ่ายจะเข้าข้างฝ่ายของตัวเองคิดว่ารัฐบาลควรหาคนกลางมาให้คู่ขัดแย้งเลือกเป็นคณะกรรมการ ขณะที่ร้อยละ 44.3 เห็นด้วย เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ปัญหาจะได้ช่วยกันการแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดความปรองดองได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ที่เหลือร้อยละ 5.9 ไม่แน่ใจ
 
สำหรับเรื่องที่คิดว่ารัฐบาลควรเน้นปฏิรูปมากที่สุด เพื่อให้เกิดแนวทางความปรองดองอย่างรวดเร็วคือ กระบวนการป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชั่น (ร้อยละ 60.5) รองลงมาคือ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม การมีสองมาตรฐาน (ร้อยละ 54.6) และพรรคการเมือง นักการเมือง (ร้อยละ 45.7)
 
สุดท้ายเมื่อถามว่าคิดว่าสุดท้ายแล้วเส้นทางความปรองดองของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่ร้อยละ 49.9 คิดว่าจะไม่สามารถปรองดองได้ เพราะความเห็นของแต่ละฝ่ายขัดแย้งกันเหมือนเดิม ขณะที่ร้อยละ 43.7 คิดว่าเส้นทางความปรองดองจะประสบความสำเร็จ ทุกฝ่ายยอมรับเงื่อนไขข้อตกลงร่วมกัน ที่เหลือร้อยละ 6.4 ไม่แน่ใจ
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น