โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

บีบีซีชี้แจงข่าวปิดเสาส่งวิทยุในไทย-ผู้ฟังยังรับวิทยุคลื่นสั้นได้จากที่ตั้งอื่น

Posted: 09 Mar 2017 01:09 PM PST

กรณียุติการใช้สถานีส่งสัญญาณวิทยุคลื่นสั้นที่นครสวรรค์ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2560 - บีบีซีแถลงว่ามีความพยายามเจรจาเพื่อต่อสัญญาใช้สถานีกับรัฐบาลไทยแล้ว แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลง-ด้วยข้อจำกัดด้านการเงินจึงตัดสินใจปิดสถานีส่งทั้งที่ไม่เต็มใจ ต้องเลิกจ้างเจ้าหน้าที่ 45 ตำแหน่ง สำหรับผู้ฟังวิทยุคลื่นสั้นยังคงสามารถรับฟังได้จากตำแหน่งที่ตั้งอื่น

กรณีบีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส ยุติการออกอากาศจากสถานีถ่ายทอดสัญาณวิทยุซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.บ้านแก่ง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ หลังล้มเหลวในการเจรจาเพื่อต่อสัญญากับรัฐบาลไทย หลังหมดสัญญาเช่าตั้งแต่ 1 มกราคม 2560 นั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ต่อมาบรรษัทกระจายเสียงแห่งอังกฤษ หรือ บีบีซี ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ระบุว่า สถานีส่งสัญญาณวิทยุคลื่นสั้นของบีบีซี ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ไม่ได้ส่งสัญญาณออกอากาศมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 หลังจากสัญญาอนุญาตใช้สถานีที่ทำไว้กับรัฐบาลไทยหมดอายุลง

"แม้ว่าจะมีความพยายามเจรจาในเนื้อหาที่ครอบคลุมแล้ว แต่เราไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อให้กลับมาส่งสัญญาณได้ ด้วยข้อจำกัดด้านการเงินโดยรวมในองค์กร เราได้ตัดสินใจทั้งที่ไม่เต็มใจ ปิดสถานีส่งสัญญาณคลื่นวิทยุดังกล่าวลง"

บีบีซีแถลงว่า ผู้ฟังของบีบีซียังสามารถเข้าถึงบริการของบีบีซีได้ ยังสามารถรับฟังรายการภาคภาษาต่างๆ ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษผ่านการกระจายเสียงด้วยคลื่นสั้นจากตำแหน่งที่ตั้งอื่น

"เราต้องขอแสดงความเสียใจที่เราไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลไทยในการใช้สถานีฯ ต่อ เพื่อนำเสนอข่าวสารที่แม่นยำและเป็นกลางให้กับผู้ฟังในภูมิภาคได้ เราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาวิธีอื่น ๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการข่าวสารจาก บีบีซีได้ รวมถึงช่องทางอินเทอร์เน็ต และการสตรีมมิ่งผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ คลื่นวิทยุเอฟเอ็ม และการออกอากาศทางโทรทัศน์"

การตัดสินใจปิดสถานีฯทำให้ต้องเลิกจ้างเจ้าหน้าที่ 45 ตำแหน่ง ที่ร่วมงานมา 20 ปี

"เจ้าหน้าที่เหล่านี้ ได้ดำเนินงานและดูแลสถานีออกอากาศสัญญาณวิทยุคลื่นสั้นแห่งนี้ ด้วยความเชี่ยวชาญและความเป็นมืออาชีพ และบีบีซี รู้สึกขอบคุณในความสามารถและความตั้งใจทำงานของพวกเขา"

อนึ่ง ในวันที่ 9 มีนาคม กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศก็มีคำชี้แจง กรณีวิทยุคลื่นสั้นภาคเอเชียของบีบีซีหยุดดำเนินการในไทย โดยระบุว่าเพราะหมดสัญญาเช่าตั้งแต่สิ้นปี และบีบีซีเพิ่งส่งหนังสือต่อสัญญาเมื่อ 21 ธันวาคม 2559 ซึ่งกระชั้นชิดรัฐบาลพิจารณาไม่ทัน และระหว่างที่ฝ่ายไทยกำลังดำเนินการ เมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2560 บีบีซีก็แจ้งถอนตัวจากการเจรจา โดยเป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียว (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับสถานีวิทยุคลื่นสั้น BBC ตั้งอยู่ที่ ต.บ้านแก่ง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เป็นสถานีถ่ายทอดสัญญาณที่รับตรงมาจากวิทยุ BBC ที่ลอนดอน ออกอากาศครอบคลุมทวีปเอเชียทั้งหมด ตลอดจนครอบคลุมพื้นที่เกือบครึ่งโลก มีทั้งภาษาอังกฤษ จีน อะเซริ เบงกาลิ พม่า ฮันติ เปอร์เซียน ปาทาน รัสเซีย ทมิฬ และอุซเบค ฯลฯ ยกเว้นภาษาไทย

ก่อนหน้านี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ โดยให้อนุมัติการขยายอายุความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยสถานีวิทยุกระจายเสียง 1,000 กิโลวัตต์ ของสถานีวิทยุเสียงอเมริกา (Voice of America ภาคภาษาไทย หรือ VOA Thai) โดยกระทำผ่านการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการ

โดยการขออนุมัติการขยายสถานีวิทยุกระจายเสียง 1,000 กิโลวัตต์ ของ VOA มีผลขยายออกไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 หลังความตกลงได้หมดอายุลงแล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2559 แต่สถานีวิทยุกระจายเสียงยังคงดำเนินการจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งบอกยกเลิกความตกลงฯ ล่วงหน้าอย่างน้อย 18 เดือน โดยสถานีวิทยุ VOA ครอบคลุมพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตอนใต้ของจีน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เคท ครั้งพิบูลย์: TU101 เพศสภาพ เพศวิถีในสังคมไทย อาเซียน และโลก

Posted: 09 Mar 2017 12:39 PM PST

เคท ครั้งพิบูลย์ บรรยายในชั้นเรียน TU101 เรื่องเพศวิถีในสังคมไทยเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ชี้เป็นเรื่องน่าเสียดายหากสังคมไทยยังไม่สามารถสอนหรือพูดเรื่องเพศในที่สาธารณะ หรือยังมองเรื่องเพศเป็นเรื่องสกปรก และยิ่งรัฐมองว่าเป็นเรื่องทำลายศีลธรรม-จริยธรรม เยาวชนยิ่งถูกจำกัดในการพูดเรื่องดังกล่าว และจะไม่สามารถเปิดพื้นที่พูดคุยสำหรับทุกเพศได้อย่างแท้จริง

เคท ครั้งพิบูลย์ (แฟ้มภาพ)

เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2560 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในการบรรยายวิชา TU101 โลก อาเซียน และไทย เคท ครั้งพิบูลย์ ผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายเพื่อนกะเทยไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (TGA) ได้รับเชิญให้บรรยายหัวข้อ"เพศสภาพ เพศวิถีในสังคมไทย อาเซียน และโลก"

ก่อนเริ่มบรรยาย เคทกล่าวถึงกิจกรรมเดินเพื่อความเท่าเทียมเนื่องในวันสตรีสากล จัดที่สวนลุมพินีในเวลา 16.00 น. ในวันที่ 8 มีนาคม และกล่าวด้วยว่าเป็นส่วนหนึ่งเกี่ยวกับประเด็นเรื่องเพศที่จะสอนในวันนี้

เมื่อเริ่มบรรยาย เคทกล่าวถึงประเด็นหลักๆ เรื่องเพศสภาพและเพศวิถีของสังคมไทยว่า เรื่องเพศในสังคมไทยตั้งแต่ในอดีตคนชั้นสูงจะถูกควบคุมในเรื่องเพศมากกว่าชาวบ้าน เพราะเป็นกลุ่มคนที่ใกล้ศูนย์กลางของอำนาจในการปกครองประเทศและจะถูกกำหนดให้คนมีอัตลักษณ์ที่จะแสดงออกหรือการนำเสนอร่างกายให้เป็นไปตามเพศสภาพที่ตนเองเป็นรวมไปถึงการประพฤติปฏิบัติในทางเพศด้วย

โดย คนใดเป็นผู้ชายก็จะถูกวางกรอบไว้ว่า จะต้องผมสั้น ใส่กางเกง เข้มแข็ง เป็นช้างเท้าหน้าให้กับครอบครัว เป็นต้น ส่วนใครเป็นผู้หญิงก็จะต้องผมยาว ใส่กระโปรง อ่อนโยน เป็นแม่ศรีเรือนดูแลลูก ซึ่งสิ่งเหล่านี้หากใครทำนอกกรอบก็จะถูกมองว่าแปลก

รวมถึงเรื่องของเพศสัมพันธ์ จะมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดกันในที่สาธารณะ ควรถามหรือพูดในพื้นที่ส่วนตัว เพราะจะทำให้คนพูดถูกมองว่าเป็นคนไม่ดีและเรื่องเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องสกปรก แล้วมีการนำเรื่องเพศไปผูกโยงในเรื่องของศีลธรรมและจริยธรรม เพราะรัฐมักมองว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ทำลายศีลธรรมและจริยธรรม โดยเฉพาะเยาวชนจะถูกจำกัดในการพูดเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก จึงทำให้ยังไม่สามารถเปิดพื้นที่ให้กับเรื่องเพศทั้งเรื่องเพศกระแสหลักและเพศทางเลือก

เมื่อเปรียบเทียบกับบริบทต่างประเทศ เคทยกตัวอย่างสังคมตะวันตก ที่หลายครอบครัวให้ลูกมีอิสระในการใช้ชีวิตตอนเด็ก จะเป็นเพศอะไรก็ได้ ตอนโตจึงจะค่อยเลือกเพศว่าจะเป็นเพศอะไร จะเห็นได้ว่าบางคนเลือกแปลงเพศเมื่ออายุเกือบ 40 ปีแล้ว ไม่เหมือนในฝั่งเอเชียที่มีบุคคลข้ามเพศผ่าตัดแปลงเพศกันตั้งแต่อายุ 20 ปี

ส่วนในประเด็นเรื่องการกีดกันทางเพศ ที่มองเห็นได้ชัดกรณีของชาติตะวันออกที่ชอบเอากรอบความเป็นเพศชายและหญิงมาใส่ โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ที่ใช้มาตรการในการตรวจเข้มบุคคลข้ามเพศในการเข้าประเทศของตนซึ่งตัวเขาเจอมากับตัวเอง

แม้กระทั่งประเทศไทยเองที่บอกว่าเปิดกว้างในการยอมรับความหลากหลายทางเพศก็ยังมีการปลูกฝังเรื่องการแบ่งเพศชายหญิงในสถานศึกษาโดยเฉพาะในโรงเรียนสหศึกษา จะเห็นได้จากการแบ่งแถวชายหญิงก่อนเคารพธงชาติ เป็นต้น หรืออิทธิพลทางเพศที่นิยมเพศชาย เมื่อมีบุคคลข้ามเพศที่แปลงเพศจากเพศหญิงมาเป็นเพศชายก็จะถูกยอมรับมากกว่าบุคคลที่แปลงเพศจากเพศชายไปเป็นเพศหญิง

นอกจากนี้ในสังคมยังคงมีการตีตราว่าอาชีพขายบริการของเพศหญิงเป็นอาชีพที่ไม่ดี ซึ่งผู้บรรยายไม่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชนที่เขียนข่าวในทางลบเกี่ยวกับอาชีพขายบริการ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไทยมีความสุขเชิงเศรษฐกิจที่สุดในโลก? 'บลูมเบิร์ก' ตั้งข้อสังเกตว่างงานต่ำ เหตุนอกระบบใหญ่มาก

Posted: 09 Mar 2017 08:24 AM PST

โฆษกสำนักนายกฯ เผย 'ประยุทธ์' พอใจหลังไทยติดอันดับมีความสุขเชิงเศรษฐกิจที่สุดในโลก 3 ปีซ้อน แต่ 'บลูมเบิร์ก' ตั้งข้อสังเกตไทยมีวิธีการคำนวณอัตราการมีงานทำที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร ชี้ว่างงานต่ำ เหตุเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่มาก

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

9 มี.ค. 2560 จากกรณีเมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (ฺBloomberg) ได้เผยแพร่ดัชนีความทุกข์ยาก (Misery Index) ประจำปี 2560 ว่า ประเทศไทยมีระดับความทุกข์ยากต่ำที่สุดในโลก หรือมีความสุขที่สุดนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบข้อมูลแล้ว โดยรู้สึกพอใจและชื่นชมหน่วยงานของรัฐที่สามารถรักษาระดับอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อได้ดีเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่องกัน

"ท่านนายกฯ กล่าวว่า ในสายตาของต่างประเทศ ไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นหลายด้าน เช่น การบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี การแก้ไขปัญหาใหญ่ ๆ ทั้งเรื่องไอยูยู ไอเคโอ หรือการละเมิดลิขสิทธิ์ และเศรษฐกิจยังมีลู่ทางที่แจ่มใสท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจโลก ซึ่งหลายประเทศมีสภาพที่แย่กว่าเรา โดยปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3.2 จากการใช้จ่ายของภาครัฐ การลงทุนด้านคมนาคมขนส่ง การบริโภคภาคเอกชน รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว 

สำหรับ 10 ประเทศที่มีความสุขเชิงเศรษฐกิจมากที่สุดตามลำดับ คือ 1.ไทย 2.สิงคโปร์ 3.สวิตเซอร์แลนด์ 4.ญี่ปุ่น 5.ไอซ์แลนด์ 6.ไต้หวัน 7.เดนมาร์ก 8.อิสราเอล 9.เกาหลีใต้ 10.ฮ่องกง

วันเดียวกัน พิภพ อุดมอิทธิพงศ์ นักแปลอิสระโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะสาธารณะถึงกรณีดังกล่าวว่า แต่ที่ไทยได้คะแนน Misery Index ต่ำสุดสามปีซ้อนนั้น ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี บลูมเบิร์ก ก็ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ประเทศไทยมีวิธีการคำนวณอัตราการมีงานทำที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร  ปีที่แล้ว บลูมเบิร์ก เขาก็เตือนแบบนี้ เตือนทุกปี แต่นักข่าวที่เขียนข่าวไม่อ่านกัน โดย พิภพได้ให้ ลิงค์สำหรับอ่านเพิ่มเติมด้วย 2 ยูอาร์แอล จากบลูมเบิร์ก คือ http://bloom.bg/2lkCu4x และ http://bloom.bg/2mnTOoo)

พิภพ กล่าวว่า Blomberg เคยวิเคราะห์ไว้แล้วว่า อัตราการว่างงานของไทยมันโคตรต่ำ ต่ำสุดในโลกก็ว่าได้ เพราะไทยมีเศรษฐกิจนอกระบบ หรือ informal sector ที่ใหญ่มาก ๆ คนว่างงานก็กลับไปทำไร่ไถนา ไม่ถูกจัดเป็นคนว่างงาน อีกส่วนหนึ่งคือระบบประกันการว่างงาน ประกันสังคมของเราไม่ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ ใครจะยอมตกงานเป็นเวลานาน? ฝรั่งที่ตกงานจะได้รับเงินชดเชย จึงมีคนที่พร้อมจะ "ตกงาน" เป็นเวลานาน  ส่วนคนไทยต้องดิ้นรน เพื่อไม่ให้ตกงาน เพราะไม่มีเงินจากรัฐหรือกองทุนไหนมาช่วย พึ่งตนเองมาก ๆ อย่างนั้น

"การที่เรามีอัตราการว่างงานต่ำก็ดี เรามี Misery Index ต่ำสุดในโลกก็ดี ไม่ได้เป็น ของดี เสมอไป กลับแสดงว่าระบบสวัสดิการสังคมของเราไม่เข้มแข็งและครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ และเรามีเศรษฐกิจสีเทา ๆ ที่อยู่นอกระบบมาก มันจะเป็นของดีได้ยังไง สื่อไทยลงข่าวเชียร์แบบนี้" พิภพ โพสต์

หมายเหตุจาก บลูมเบิร์ก ไทยว่างงานต่ำ เหตุเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่มาก

บลูมเบิร์ก รายงานว่า ไทยมีอัตราว่างงานต่ำกว่า 1 เปอร์เซนต์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 โดยจิรเทพ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นว่า มีสาเหตุมาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ดังนี้ เศรษฐกิจนอกระบบของไทยมีอัตราส่วนแรงงานสูงถึง 64 เปอร์เซนต์จากจำนวนแรงงานทั้งหมดในปี พ.ศ. 2556 สะท้อนถึงขนาดเศรษฐกิจนอกระบบที่สามารถดูดซับแรงงานที่หลุดจากการจ้างงานในระบบ แรงงานในเศรษฐกิจนอกระบบยังรวมถึงร้านค้ารถเข็น แท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้างและเจ้าของธุรกิจส่วนบุคคลบางจำพวก ประกอบกับไทยไม่มีโครงสร้างสวัสดิการเพื่อรองรับผู้ว่างงาน จึงไม่มีแรงจูงใจต่อภาวะตกงานเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดจึงต้องไปเข้าตลาดแรงงานนอกระบบซึ่งจะไม่ถูกนับเป็นบุคคลว่างงาน

ที่มา : https://www.bloomberg.com/news/articles/2017-03-03/these-countries-are-getting-more-miserable-this-year

ประชากรไทยมากกว่า 40 เปอร์เซนต์ทำงานอยู่ในภาคการเกษตร โดยภาคส่วนนี้จะมีสัดส่วนของแรงงานไม่เต็มเวลา (Underemployment) และอัตราว่างงานนอกฤดูเกษตรกรรมสูง โดยแรงงานไม่เต็มเวลาถูกรวมอยู่กับแรงงานปรกติ และมีสัดส่วนถึง 0.5 เปอร์เซนต์ ยกตัวอย่างเช่น คนตกงานที่กลับไปทำการเกษตรที่บ้านเกิดวันละไม่กี่ชั่วโมงก็ถูกนับว่าได้รับการว่าจ้าง

ไทยมีแรงงานข้ามชาติจากกัมพูชา ลาวและเมียนมาร์ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นจำนวนถึง 3 ล้านคนจากสถิติของ Human Rights Watch และปัญหาด้านภาษายังคงเป็นอุปสรรคในการนำจดทะเบียนแรงงาน รวมถึงยกระดับแรงงานเหล่านี้ให้เป็นแรงงานมีฝีมือ

อัตราการเกิดในไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 - 2555 มีอัตราส่วน 1.4 จากสถิติของ United Nations Population Fund เปรียบเทียบกับฟิลิปปินส์ที่มีอัตราส่วนสูงถึง 3.4 ผนวกกับไทยมีกลุ่มประชากรที่อายุเกิน 60 ปี สูงถึง 15 เปอร์เซนต์ สะท้อนว่ามีประชากรออกจากตลาดแรงงานมากกว่ากลุ่มที่เข้ามาใหม่

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ASEAN Weekly: สหรัฐอเมริกายุคโดนัลด์ ทรัมป์ และภาวะอำนาจนำเอเชีย-แปซิฟิก

Posted: 09 Mar 2017 07:25 AM PST

กดติดตามรับชมคลิปใหม่ๆ ได้ที่

 

 

9 มี.ค. 2560 - ASEAN Weekly เทปนี้พูดคุยกับ ดุลยภาค ปรีชารัชช ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาหลังยุคบารัก โอบามา เข้าสู่ยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงหรือไม่ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก ซึ่งเป็นห้วงที่จีนกำลังขยายอำนาจ

โดยดุลยภาค เสนอว่า สหรัฐอเมริกาซึ่งประสบภาวะตกต่ำทางการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งตกต่ำด้วยตัวเอง และตกต่ำโดยเปรียบเทียบเมื่อเทียบกับมหาอำนาจอื่น ดังนั้นเมื่อมีผู้บริหารชุดใหม่ก็ย่อม คิดฟูมฟักให้ตัวเองลดความตกต่ำ ให้กลับมาเข้มแข็งผงาดขึ้น สหรัฐอเมริกาก็จะทำ 2 สิ่งเพื่อให้กลับมามีกำลังวังชามากขึ้น และกลับมาโลดโจนทยานขับเคี่ยวกับคู่แข่งอีกครั้ง

ด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาจะพบทั้งความเปลี่ยนแปลงและความสืบเนื่อง ทั้งนี้ประธานาธิบดีอาจเป็นผู้กุมกลไกหลักของนโยบายต่างประเทศ ทั้งการตั้งรัฐมนตรีต่างประเทศ ที่ปรึกษาความมั่นคงชุดใหม่ กลุ่มผลประโยชน์ใหม่ ซึ่งมีโลกทัศน์และนโยบายที่ปรับเปลี่ยน และบุคลิกที่คาดเดาไม่ได้ของทรัมป์ก็อาจสร้างความหวือหวาหลายประการ

ดังนั้นนโยบายต่างประเทศของโดนัลด์ ทรัมป์ จึงอาจมีทั้งความเปลี่ยนแปลงและความสืบเนื่อง เราอาจจะเห็นการลดขนาดกิจกรรมทางการทูตในบางพื้นที่ แต่ก็ไม่ได้ถอนกำลังฮวบฮาบ หรือลด ปฏิบัติการทางทหาร หรือการทูตอย่างฮวบฮาบ เพราะมีประเพณีปฏิบัติในทางการทูตว่าสหรัฐอเมริกาพยายามเข้ามาถ่วงดุลอำนาจกับจีนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือรักษาฐานอำนาจในเอเชีย-แปซิฟิกที่เป็นกระดานหมากรุกทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้สหรัฐอเมริกามีประเพณียุทธศาสตร์ของรัฐที่ได้ชื่อว่าเป็นเอกอภิมหาอำนาจของโลก ในยุคหลังสงครามเย็นสหรัฐอเมริกามีความเป็นหนึ่งในเวทีการเมืองโลก และต้องการรักษาความคงเส้นคงวานี้ แม้กระทั่งในยุคที่จีนผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกาก็พยายามหาทางลดทอนเพื่อไม่ให้จีนขึ้นมาท้าทายภาวะเอกอภิมหาอำนาจของตน

ที่มาของภาพปก: กองทัพสหรัฐเมริกาที่ฐานทัพยองซาน กรุงโซล ระหว่างลำเลียงอุปกรณ์เพื่อติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธระบบ THAAD สำหรับเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2017 หลังจากที่เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธพิสัยกลางและพิสัยไกลหลายหน (ที่มา: Flickr/U.S. Pacific Command)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สรุปไอเดียปรองดองเพื่อไทย 6 ตัวแทนพรรคเสนอ 6 หลักการ เน้นให้อภัย ปัดพูดเรื่องนิรโทษกรรม

Posted: 09 Mar 2017 06:27 AM PST

6 แกนนำพรรคเพื่อไทย ถกเวทีปรองดอง ยันไม่ได้เสนอเรื่องนิรโทษกรรม แต่ขอให้มีการให้อภัยต่อกัน ระบุฝ่ายกระทำต้องขอโทษ แนะตั้ง กรรมการอิสระดำเนินการปรองดอง พร้อมขอ คสช. ดำเนินการด้วยความจริงใจ และยึดหลัก "นิติธรรม"

เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2560 ตัวแทนพรรคเพื่อไทย ได้เข้าเสนอข้อคิดเห็นเสนอแนวทางสร้างความปรองดอง 10 ประเด็น กับพล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง พร้อมคณะอนุกรรมการฯ

โดยในครั้งนี้มีตัวแทนพรรคเพื่อไทยเข้าให้ความเห็นประกอบด้วย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยตัวแทนแกนนำพรรคเพื่อไทย ได้แก่ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, โภคิน พลกุล คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย, ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย, ชัยเกษม นิติสิริ อดีต รมว.ยุติธรรม และชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมพูดคุย

โภคิน พลกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังการให้ข้อคิดเห็นต่อคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ที่กระทรวงกลาโหมว่า หากจะให้การปรองดองประสบผลสำเร็จ รัฐบาล และ คสช.ต้องมีความจริงใจ ยึดหลักนิติธรรม พร้อมเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในอดีต พร้อมทั้งขอให้หยุดใช้วาทกรรมการใส่ร้าย และเสนอให้ตั้ง คณะกรรมการอิสระที่มาจากทุกภาคส่วน เน้นความจริงใจ ไม่มีอคติ และให้อภัย 

โภคิน กล่าวอีกว่าหากมองในมุมกว้างคู่ขัดแย้งทางการเมือง อาจรวมถึงคู่ขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวยกับคนยากจน คู่ขัดแย้งที่อยู่ในอำนาจมีทั้งพรรคการเมือง กองทัพ และราชการ ที่ได้ประโยชน์แฝง รวมทั้งประชาชนที่ต้องการใช้อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ดังนั้น คู่ขัดแย้งไม่ได้มีเฉพาะ 2 พรรคการเมืองใหญ่ หรือ เสื้อเหลือง เสื้้อแดง แต่ต้องถือว่าทุกคนมีส่วนร่วมในความขัดแย้งนี้ 

รวมทั้งควรปฏิรูปให้ภาคประชาชนสามารถตรวจสอบองค์กรยุติธรรม ทั้งศาล และองค์กรอิสระ ควรมีความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด อย่าให้รู้สึกว่าเกิด 2 มาตรฐาน ทุกองค์กรต้องระมัดระวังในการใช้อำนาจให้ถูกต้อง โดยหลักทุกคนต้องหยุดเฮทสปีช และองค์กรของรัฐอย่ามีอคติในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้ที่ผ่านมาประมาณ 1 เดือน เห็นความตั้งใจที่ดีของรัฐบาล แต่ยังอยากให้กระบวนคงอยู่แม้มีการเลือกตั้ง หากมีคณะกรรมการอิสระซึ่งเป็นตัวแทนจากทุกภาคส่วน ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วม จะทำให้ทุกฝ่ายยอมรับ 

เมื่อถามว่า เหตุใดพรรคเพื่อไทยถึงตัดสินใจเข้าร่วมการปรองดองในครั้งนี้ นายโภคินกล่าวว่า เพราะสังคมตระหนักแล้วว่าเราจะอยู่ในความขัดแย้งต่อไปแบบนี้ไม่ได้ และไม่เกี่ยวว่าใครเป็นคนริเริ่ม ส่วนข้อเสนอของพรรคได้หารือกับนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่นั้น ไม่ได้ไปถึงขั้นนั้น แต่ได้สอบถามความคิดเห็นจากหลายๆ คน พร้อมทั้งศึกษาเพิ่มเติมจากงานวิชาการ

"ผมหวังว่าเวทีปรองดองครั้งนี้จะไม่ใช่แค่พิธีกรรม และขอให้นักวิชาการ สื่อมวลชนเสนอความคิดเห็นได้อย่างเสรี ทำนองเดียวกันหากการปรองดองในครั้งนี้ประชาชนไม่มีส่วนร่วม ก็จะตอบโจทย์การปรองดองไม่ได้ ส่วนการลงนามข้อตกลงการอยู่ร่วมกันในอนาคต ผมคิดว่าเรายังไม่ควรพูดถึงอนาคต เราไม่รู้ว่าอนาคตต่อไปจะเป็นเช่นไร เลยไม่อยากเอาอนาคตมาทะเลากัน" นายโภคินกล่าว

อย่างไรก็ตาม นายโภคิน ย้ำว่าวันนี้ไม่มีการพูดถึงการนิรโทษกรรม เพราะมีรายละเอียดที่ต้องทำความเข้าใจในเชิงหลักการ และวิธีคิดให้ตรงกันก่อน เพราะอาจมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ส่วนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อต้องเป็นฝ่ายให้อภัย ส่วนสิ่งที่ผู้มีอำนาจพึงกระทำคือ ขอโทษ และการที่พรรคเพื่อไทยเข้าร่วมการปรองดองครั้งนี้เป็นเพราะต้องการให้ประเทศเดินหน้า ไม่เกี่ยงว่าทหาร หรือใครเป็นผู้จัด เพราะหากปฏิเสธก็เท่ากับไม่อยากเห็นการปรองดองอย่างแท้จริง 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสารเรื่องหลักการและแนวทางการปรองดองของพรรคเพื่อไทยที่เสนอต่อคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นฯ ประกอบด้วย 6 ประเด็น คือ

1.ปัจจัยที่จะทำให้การปรองดองเกิดความสำเร็จ รัฐบาลและ คสช.ต้องจริงใจในการดำเนินการ มีความเข้าใจและมีองค์ความรู้ที่ถูกต้องในกระบวนการปรองดอง และปราศจากอคติ

2.การปรองดองและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ต้องอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมทางสังคมเช่นไร โดยระบุให้องค์กรของรัฐทุกองค์กรต้องยึดหลัก "นิติธรรม" ในการปฏิบัติหน้าที่ และสิ่งที่ละเลยไม่ได้คือ "การให้อภัย" ซึ่งต้องเป็นไปในสองแนวทาง ดังนี้ หนึ่ง-ผู้ที่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้ง ต้องเลิกคิดหาประโยชน์จากความขัดแย้ง ต้องไม่ย่ำยีผู้ที่เป็นเหยื่อของความขัดแย้งอีกต่อไป ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือเหยื่อของความขัดแย้งต้องปรับจิตใจตนเอง โดยยอมรับการให้อภัยต่อผู้ที่กระทำต่อตน สอง-ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องยอมรับในกระบวนการยุติธรรมที่จะนำไปสู่ความสมานฉันท์ นั่นคือการนำการให้อภัยไปสู่การปฏิบัติต่อไป

3.ค้นหาสาเหตุของความขัดแย้ง เพื่อการยอมรับและนำไปสู่การแก้ปัญหา

4.การกำหนดคู่ขัดแย้งต้องไม่พิจารณาแบบอัตวิสัยเพื่อโทษบางคนบางกลุ่ม หรือมุ่งไปที่สองพรรคการเมืองใหญ่ และกลุ่มอิทธิพลใหญ่คือ กลุ่มเสื้อเหลืองกับกลุ่ม กปปส.และกลุ่มคนเสื้อแดง

5.กระบวนการในการสร้างความปรองดอง ต้องพิจารณาและยอมรับในสาเหตุร่วมกัน, การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม และการหามาตรการเสริม "หลักนิติธรรม" เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในอนาคต

6.ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ควรจัดตั้ง "คณะกรรมการอิสระ" ที่มาจากทุกภาคส่วนมาเป็นผู้ดำเนินการในกระบวนการปรองดอง ต้องเปิดโอกาสให้นักวิชาการ สื่อมวลชน องค์กรภาคประชาชน และผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งร่วมเสนอความคิดเห็นในเรื่องนี้ได้อย่างเสรี และผลสรุปของแนวทางการสร้างความปรองดอง ต้องเป็นข้อตกลงร่วมกันบนพื้นฐานของการคำนึงถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์อย่างเท่าเทียม ผูกพันกับหลักประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมที่เป็นสากล ไม่ใช่เกิดจากการบังคับด้วยอำนาจ

ด้านพล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ได้แถลงข่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 6 - 8 มี.ค. มีพรรคการเมืองที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย พรรคภราดรธรรม พรรคพลังพลเมือง พรรคพลังประเทศไทย และพรรคเพื่อไทย โดยบรรยากาศการพูดคุยเป็นกันเอง ให้เกียรติซึ่งกัน มีความสร้างสรรค์และมุ่งมั่นในการเสนอทางออกให้กับประเทศ ซึ่งแต่ละพรรคต่างเอาใจช่วยให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของการเกิดความปรองดองในครั้งนี้ ทั้งนี้การแถลงผลทุกครั้ง มาจากความคิดเห็นของพรรคการเมืองต่างๆที่เข้ามาให้ข้อคิดเห็นมิใช่ความคิดเห็นส่วนตัวหรือการสรุปเรื่องส่วนตัวแต่เป็นความเห็นของพรรคการเมืองต่างๆ

พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า พรรคการเมืองมองเรื่องการปรองดองว่า ความขัดแย้งถือเป็นเรื่องปกติของสังคม ซึ่งทุกพรรค เห็นประโยชน์ร่วมกันในการเดินหน้ารับทราบความจริง และหาทางออกจากความขัดแย้งร่วมกัน โดยการเปิดกว้างให้พรรคการเมือง ทุกฝ่าย แสดงความคิดเห็น หาทางด้วยกันด้วยใจเป็นกลาง และเป็นที่ยอมรับของประชาชนที่ช่วยกำหนดทิศทาง เพื่อหาทางออกร่วมกัน และให้ความรู้สึกที่เท่าเทียมในสังคม

พล.ต.คงชีพ กล่าวต่อว่า พรรคการเมืองมองอีกว่า การปรองดองจะต้องรับฟังจากผู้ระดับ ทุกภาคส่วน และทุกพรรคการเมืองเห็นร่วมกันว่าควรจะทำให้เกิดความสำเร็ จและขอให้มีความจริงใจ มีสายกระบวนการองค์ความรู้ที่ถูกต้อง โดยไม่มีอคติ มีความจริงจัง และไม่อยากให้เสียโอกาสในการทำงานครั้งนี้ เพราะเป็นการเริ่มต้นของการวางรากฐานการปรองดองที่จะพัฒนาไปสู่กระบวนการปรองดองในระบอบประชาธิปไตยในอนาคต ซึ่งอยากให้กำหนดเป็น road map เพื่อให้เกิดการยอมรับทุกฝ่าย โดยมีการเสนอกันว่ามีความจำเป็นจะต้องใช้หลักนิติธรรม หลักการให้อภัยซึ่งกันและกัน โดยไม่มีอคติและขอให้ใช้ข้อมูลการศึกษาทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งและใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์เพื่อหาทางออกและอยากให้กระบวนการปรองดองมีอิสระ เปิดกว้างรับฟังทุกฝ่ายนำไปสู่ข้อสรุปปรองดองที่ยอมรับและมีความไว้วางใจร่วมกัน

พล.ต.คงชีพ ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนโครงสร้างความขัดแย้งพรรคการเมืองมองว่า เป็นโครงสร้างเชิงระบบซึ่งมีความเชื่อมโยงในหลายมิติ ไม่ใช่เพียงภาคการเมืองเป็นผู้ขัดแย้งเท่านั้น ทุกฝ่ายต้องทบทวนตัวเองว่ามีบทบาทเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งที่ผ่านมาอย่างไร และยังมีการพูดถึงการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ความรู้สึก ที่คั่งค้างจำเป็นต้องใช้เวลา แล้วทุกฝ่ายจำเป็นที่จะต้องก้าวเดินร่วมกัน ในส่วนของกระบวนการยุติธรรมนั้นมีความสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง การเคารพและการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นธรรม ใช้ระบบ กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาร่วมแก้ปัญหาเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ และให้อภัยซึ่งกันและกัน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำการอย่างจริงจัง ทั่วถึง เป็นธรรมและจำเป็นจะต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบเพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และองค์กรอิสระ ฉะนั้นการปฏิรูปจำเป็นจะต้อง ดำเนินการทุกฝ่าย เริ่มจากการปฏิรูปตัวเองไปไปพร้อมๆกัน ทั้งพรรคการเมือง ส่วนราชการรวมถึงกองทัพ กระบวนการยุติธรรม ภาคเศรษฐกิจกลุ่มทุน ภาคสังคมในทุกมิติ

"การให้ข้อมูลของพรรคเพื่อไทยในวันนี้ มีความตั้งใจจริงและจริงใจที่จะนำเสนอข้อมูลที่เกิดประโยชน์ และการพูดคุยเป็นประโยชน์อย่างมากที่จะดำเนินการเดินหน้าการสร้างความปรองดองสู่กระบวนการประชาธิปไตยต่อไป ยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยมีการเสนอการให้อภัยซึ่งกันและกัน แต่ไม่ได้พูดถึงการนิรโทษกรรม พร้อมยื่นเอกสารให้กับกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง ส่วนจะมีจดหมายแทรกของ อดีตนายกรัฐมนตรีมาด้วยหรือไม่นั้นผมไม่สามารถตอบได้ และยืนยันว่าการพรรคภูมิใจไทยไม่ได้มีการเสนอในเรื่องของการ อภัยโทษ" พล.ต.คงชีพ กล่าว

ด้าน พล.อ.ต.รังสรรค์ เยาวรัตน์ ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ในส่วนของการรับฟังความคิดเห็นในระดับภูมิภาคนั้น ได้ดำเนินการคู่ขนานไปกับศูนย์กลาง ปัจจุบันมีการดำเนินการในหลายพื้นที่ มีประชาชนสนใจเข้าร่วมทุกภาคส่วน โดยบรรยากาศทั่วไปเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีการเสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ในขณะนี้จังหวัดที่ได้มีการกำหนดให้เข้ารับฟังความคิดเห็นมีจำนวน 39 จังหวัด เหลือเพียง 37 จังหวัดที่อยู่ระหว่างการประสานงานกับกลุ่มที่จะเข้ามาแสดงความคิดเห็น ซึ่งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในแห่งราชอาณาจักร (กอ.รมน.)คาดว่าจะสามารถกำหนด ให้ทั้ง 76 จังหวัดได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นได้ครบภายในสัปดาห์นี้ สำหรับในวันที่ 9 มี.ค.เวลา 13.30 น.พรรคประชาธิปไตยใหม่จะเดินทางมาแสดงความคิดเห็น ในขณะที่วันที่ 10 มี.ค.เวลา 09.00 เป็นต้นไป จะมี 3 พรรคการเมืองประกอบด้วย พรรคเพื่ออนาคต พรรคร่วมพัฒนาชาติไทย พรรคถิ่นกาขาว เข้าเสนอความเห็น ในขณะที่กลุ่มนปช.จะเข้าเสนอความเห็น วันที่ 15 มี.ค. และ กลุ่มกปปส.วันที่ 17 มี.ค.

เรียบเรียงจาก : ไทยโพสต์ออนไลน์ , กรุงเทพธุรกิจ ,ครอบครัวข่าวสาม

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้หญิงอยากออกไปทำงานนอกบ้านและดูแลครอบครัวพร้อมกัน

Posted: 09 Mar 2017 06:26 AM PST

ผลสำรวจใหม่ของ ILO ระบุทั้งผู้หญิงและผู้ชายอยากเห็นผู้หญิงออกไปทำงานหารายได้ ทั้งนี้ผู้หญิงต้องการแบ่งเวลาการทำงานและให้เวลาแก่ครอบครัวอย่างสมดุลกัน

รายงานฉบับใหม่ของ ILO ที่ร่วมทำกับ Gallup เผยผลสำรวจความคิดเห็นคนวัยทำงานถึงทัศนะต่อการทำงานหารายได้และการดูแลครอบครัวของผู้หญิง ที่มาภาพ: ILO

11 มี.ค. 2560 เนื่องในวันสตรีสากลเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2560 ที่ผ่านมา องค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO ได้เปิดเผยผลสำรวจจากรายงาน "Towards a better future for women and work: Voices of women and men" ที่ทำร่วมกับ Gallup ที่ได้สำรวจความคิดเห็นคนวัยทำงานทั้งชายและหญิง 149,000 ตัวอย่างใน 142 ประเทศ ทั้งนี้พบว่าในด้านอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน (labour force participation rate) ณ ปี 2559 นั้น ค่าเฉลี่ยของทั้งโลกอยู่ที่ร้อยละ 63 ค่าเฉลี่ยของผู้ชายอยู่ที่ร้อยละ 76 ค่าเฉลี่ยของผู้หญิงอยู่ที่ร้อยละ 50 ส่วนอัตราการว่างงาน (unemployment rate) ค่าเฉลี่ยของทั้งโลกอยู่ที่ร้อยละ 6 โดยอัตราว่างงานของผู้ชายอยู่ที่ร้อยละ 5 และอัตราการว่างงานของผู้หญิงอยู่ที่ร้อยละ 6 สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกนั้นอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานรวมอยู่ที่ร้อยละ 70 โดยค่าเฉลี่ยของผู้ชายอยู่ที่ร้อยละ 81 ค่าเฉลี่ยของผู้หญิงอยู่ที่ร้อยละ 59 ส่วนอัตราการว่างงานค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ร้อยละ 4 โดยอัตราว่างงานของผู้ชายอยู่ที่ร้อยละ 4 และอัตราการว่างงานของผู้หญิงอยู่ที่ร้อยละ 4

ในด้านสัดส่วนสถานการณ์จ้างงานตามเพศ (employment status by gender) จากภาพรวมทั้งโลกพบว่าอัตราของผู้ที่ทำงานได้รับค่าแรง/เงินเดือนผู้ชายอยู่ที่ร้อยละ 54 ผู้หญิงร้อยละ 55 อัตราการเป็นนายจ้างผู้ชายอยู่ที่ร้อยละ 3 ผู้หญิงอยู่ที่ร้อยละ 1 อัตราของการเป็นคนงานที่ทำกิจการของตนเองผู้ชายอยู่ที่ร้อยละ 37 ผู้หญิงอยู่ที่ร้อยละ 28 ส่วนอัตราของการเป็นแรงงานในครอบครัวผู้ชายอยู่ที่ร้อยละ 6 ผู้หญิงอยู่ที่ร้อยละ 15 ส่วนภาพรวมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกนั้นพบว่าอัตราของผู้ที่ทำงานได้รับค่าแรง/เงินเดือนผู้ชายอยู่ที่ร้อยละ 48 ผู้หญิงร้อยละ 44 อัตราการเป็นนายจ้างผู้ชายอยู่ที่ร้อย 4 ผู้หญิงอยู่ที่ร้อยละ 2

เมื่อถามถึงทัศนะต่อการทำงานหารายได้ (การทำงานแบบมีค่าจ้าง/เงินเดือน) ในภาพรวมระดับโลกพบว่าร้อยละ 70 ของผู้หญิง และร้อยละ 66 ของผู้ชายที่ตอบแบบสอบถามต้องการให้ผู้หญิงทำงานที่มีรายได้ ทั้งนี้มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ต้องการให้ผู้หญิงอยู่บ้านอย่างเดียว

สำหรับประเทศไทยจาก การสืบค้นในเว็บไซต์ของ ILO ผลสำรวจระบุว่าผู้หญิงไทยคิดว่าผู้หญิงต้องทำงานหารายได้ร้อยละ 31 คิดว่าผู้หญิงต้องดูแลครอบครัวเพียงอย่างเดียวร้อยละ 11 คิดว่าผู้หญิงต้องทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไปร้อยละ 58 ส่วนผู้ชายไทยคิดว่าผู้หญิงต้องทำงานหารายได้ร้อยละ 10 คิดว่าผู้หญิงต้องดูแลครอบครัวเพียงอย่างเดียวร้อยละ 39 และคิดว่าผู้หญิงต้องทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไปร้อยละ 47

จากการสำรวจเมื่อถามว่าผู้หญิงที่ทำงานมีรายได้เผชิญกับปัญหาและต้องการอะไร พบว่าภาพรวมในระดับโลกนั้น อันดับ 1 ต้องการแบ่งเวลาการทำงานและให้เวลาแก่ครอบครัวอย่างสมดุลกันที่ร้อยละ 22 อันดับ 2 ต้องการประกันสุขภาพที่ร้อยละ 12 อันดับ 3 รู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมร้อยละ 10 อัน อันดับ 4 ปัญหาการขาดแคลนชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นร้อยละ 9 อันดับ 5 ปัญหาด้านค่าตอบแทนจากการทำงานที่ไม่ค่อยดีนักร้อยละ 7 อันดับ 6 ปัญหาการจ่ายค่าแรงที่ไม่มีความเสมอภาคทางเพศ ร้อยละ 4 อันดับ 7 ปัญหาการไม่ได้รับการยอมรับร้อยละ 4 และอันดับ 8 ต้องการการเดินทางที่ปลอดภัยร้อยละ 2

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'พระสนิทวงศ์ ผอ.สื่อสาร ธรรมกาย' ได้ประกันตัว พร้อม 3 เงื่อนไข 'ป้าเช็ง' รายงานตัวปัดหนุน

Posted: 09 Mar 2017 04:30 AM PST

ลำดับเวลาการเข้ามอบตัวของ 'พระสนิทวงศ์ ผอ.สื่อสาร ธรรมกาย' จนกระทั่ง ได้ประกันตัว  4 แสน ห้ามขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่เจ้าพนักงาน-ไม่ให้ออกนอกประเทศ ด้านธรรมกายแจงพระสนิทวงศ์ ไม่มีเจตนาว่าร้ายหรือยุยงปลุกปั่น ขณะที่โฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ ปัดเผด็จศึกธรรมกายภายใน 5 วัน ป้าเช็งรายงานตัวปัดหนุน  ศิษย์ธรรมกายผลักดันทหาร เจ็บ 1 ราย

พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย (แฟ้มภาพจากเฟซบุ๊กพระภัทรารุจ ฌานภทฺโท)

9 มี.ค. 2560  รายงานข่าวระบุว่า จากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย เดินทางถึงกองบังคับการปราบปราม โดยรถของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อม วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ เพื่อเข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ตามหมายจับศาลอาญา ในข้อหา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลความพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือหนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายของแผ่นดิน

13.00 น. พระสนิทวงศ์ ถูกตำรวจกองปราบปรามควบคุมตัวไปยังศาลอาญา รัชดาภิเษก เพื่อขออำนาจศาลฝากขังทันที โดย พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้บังคับการกองปราบปราม เปิดเผยว่า ภายหลังแจ้งข้อหาตามหมายจับคือ หมิ่นประมาท, ยุยงปลุกปั่น และความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ แต่พระสนิทวงศ์ ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตามพระสนิทวงศ์จะถูกควบคุมตัวไปขออำนาจศาลฝากขัง โดยพนักงานสอบสวนได้คัดค้านประกันตัว ซึ่งหากศาลอาญาไม่อนุญาตให้ประกัน ขั้นตอนต่อไปพระสนิทวงศ์จะถูกให้สละสมณเพศทันทีก่อนนำไปควบคุมตัวที่เรือนจำ ส่วนหากศาลอนุญาตให้ประกัน สภ.คลองห้า จะดำเนินการอายัดตัวพระสนิทวงศ์เพื่อดำเนินคดีต่อไป ซึ่งส่วนตัวไม่ทราบว่าเป็นคดีใดทั้งนี้คดีความของพระสนิทวงศ์ในส่วนของกองปราบ ถือว่าเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว

14.00 น. เศษ ศาลพิจารณาคำร้องฝากขังแล้ว ผู้ต้องหาไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาได้ตามคำร้อง ขณะที่ วิญญัติ ซึ่งเป็นทนายความของพระสนิทวงศ์ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 600,000 บาท ขอปล่อยชั่วคราวในชั้นฝากขังนี้

15.30 น.ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว พระสนิทวงศ์ ผู้ต้องหาได้ โดยศาลพิเคราะห์คำร้องและหลักทรัพย์แล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ตีราคาประกัน 400,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขกับผู้ต้องหา 3 ข้อ คือ 1.ห้ามขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน 2.ห้ามยุยงปลุกปั่นประชาชน อันจะก่อให้เกิดความไม่สงบและล่วงละเมิดกฎหมายของแผ่นดิน 3.ห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล โดยผู้ต้องหามารายงานตัวต่อศาลในวันที่ 26 เม.ย.นี้

15.40 น. พนักงานสอบสวน บก.ป. ได้นำพระสนิทวงศ์ ผู้ต้องหา ขึ้นรถตู้หน่วยคอมมานโด เดินทางไปไปยัง สภ.คลองห้า พร้อมขบวนรถด้วยรถวิทยุตำรวจกองปราบปราม เพื่อไปดำเนินกระบวนการตามขั้นตอนแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานที่เรียกให้มารายงานตัว ตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 5/2560 ซึ่งระหว่างที่พระสนิทวงศ์ กำลังจะเดินทางออกจากศาลอาญา องอาจ ธรรมนิทา อดีตโฆษกศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย และประชาชนที่ศรัทธาประมาณ 10 คน มาคอยให้กำลังใจพระสนิทวงศ์ด้วย โดยพระสนิทวงศ์ มีสีหน้านิ่งเฉย ไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ตลอดเวลาการยื่นฝากขัง

สำหรับคำร้องฝากขังนั้น รายงานข่าวระบุพฤติการณ์พระสนิทวงศ์ สรุปว่า เมื่อวันที่ 9 มี.ค. เวลา 10.00 น. ผู้ต้องหาตามหมายจับ ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน ซึ่งผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่า หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา , นำข้อมูลที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยน่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน , กระทำการด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใดที่ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็น เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนถึงขนาดจะก่อความไม่สงบในบ้านเมือง หรือให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (2)(3) , 326 , 328 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1)(2)

โดยมีผู้ใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า "Phra Sanitwong Charoenrattwong" โพสต์ข้อความทำนองว่า ให้มาร้องเรียนการกระทำรุนแรงต่อพระภิกษุสงฆ์ ต่อการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งทำให้บุคคลทั่วไปพบเห็นได้จากการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยน่าเชื่อว่าจะก่อให้ประชาชนที่ศรัทธาในวัดพระธรรมกาย เกิดความไม่พอใจ รู้สึกโกรธแค้น จนนำไปสู่การเกิดความปั่นป่วนในราชอาณาจักร และอาจก่อให้เกิดการล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายมีการชุมนุมต่อต้านการปฏิบัติหน้าที่ ชั้นสอบสวนสอบ พระสนิทวงศ์ ผู้ต้องหา ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

15.40 น. วิญญัติ กล่าวว่า ต้องขอบคุณศาลอาญาที่มีความเมตตาในการใช้ดุลยพินิจปล่อยตัวชั่วคราว โดยกำหนดเงื่อนไข 3 ข้อ ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้อายัดตัวเพื่อนำไป สภ.คลองห้านั้น เป็นการนำไปรับทราบข้อกล่าวหาละดำเนินตามกระบวนการของพนักงานสอบสวน ขณะที่ข้อกล่าวฝ่าฝืนประกาศคำสั่ง คสช.นั้นอันตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี เราก็จะเตรียมหลักทรัพย์ไว้เพื่อยื่นขอปล่อยชั่วคราวมูลค่า 24,000 บาท ตามมาตรฐานของศาลจังหวัดธัญบุรี

"นี่แสดงให้เห็นว่าพระสนิทวงศ์ และพระที่ทยอยกันเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาและรายงานตัว ยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้หลบหนีไปไหน ซึ่งคือเหตุผลสำคัญที่ศาลให้ประกันตัว อย่างไรก็ดีคดีที่ สภ.คลองห้า หากวันนี้เดินทางไปไม่ทัน พรุ่งนี้ก็ไปได้ ยังมีเวลาอยู่ ไม่ได้หลบหนีไปไหนอยู่แล้วยืนยัน "นายวิญญัติ ทนายความ กล่าวและว่า พระสนิทวงศ์ไม่มีความกังวล มีสิ่งเดียวคือ อยากให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ควบคุมพิเศษและที่วัดพระธรรมกาย ให้ใช้วิธีการที่คำนึงสิทธิเสรีภาพมหาชนให้มากที่สุด โดยกระบวนการที่ดำเนินต่อไปจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่

วิญญัติ ทนายความ กล่าวย้ำด้วยว่า ที่บางสำนักข่าวให้ความสนใจ นำตนไปเชื่อมโยงกับกลุ่มการเมือง ขอบอกว่าอาชีพทนายความ คือ วิชาชีพและตนก็ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมาตั้งแต่มี คสช.ดังนั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใด การเข้ามาช่วยเป็นทนายความให้กลุ่มพระนั้นก็เป็นหน้าที่ของทนายความและตนเองก็อยากเห็นความเป็นธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม จึงไม่มีอะไร

"การจะเป็นทนายความให้บุคคลใด ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจ และได้รับการปรึกษาทางกฎหมายที่ชัดเจน  การที่ผมเข้ามาเป็นเรื่องที่แสดงต่อสังคมอยู่แล้วว่าไม่ค่อยเห็นด้วยกับกระบวนการใช้อำนาจที่ไม่คำนึงถึงสิทธิประชาชน ละเมิดสิทธิมนุษยชน เมื่อแนวทางตรงกันเช่นนี้ถ้าพระท่านเห็นว่าผมเป็นทนายความได้ ผมก็มาเป็นทนาย ไม่มีอย่างอื่นนอกจากนี้"  วิญญัติ  กล่าว

ธรรมกาย แจงพระสนิทวงศ์ ไม่มีเจตนาว่าร้ายหรือยุยงปลุกปั่น

โดยก่อนหน้านั้น เฟซบุ๊กแฟนเพจ สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ได้ออก คำชี้แจงวัดพระธรรมกาย โดยระบุว่า 1.สืบเนื่องจากกระแสข่าวที่ว่า ได้มีการขออนุมัติออกหมายจับ พระสนิทวงศ์ จากการที่ได้โพสต์ข้อความในโซเชียลเน็ตเวิร์ก และถูกกล่าวหาว่าการโพสต์ข้อความดังกล่าว เป็นการหมิ่นประมาท ยุยง ปลุกปั่น แก่ประชาชนก่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบแก่ประชาชน ก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้น ขอชี้แจงว่า พระสนิทวงศ์  มีหน้าที่ในการนำเสนอ ข้อมูลข่าวสารงานบุญ หรือกรณีอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นข้อมูลในแง่มุมของวัดเพื่อสื่อสารต่อลูกศิษย์และประชาชนทั่วไป ให้ทราบถึงข้อแท้จริงของวัด ไม่มีเจตนาว่าร้ายใครและไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทใคร รวมทั้งไม่มีเจตนายุยง ปลุกปั่น กระด้างกระเดื่องหรือก่อความไม่สงบต่อประชาชนและราชอาณาจักรไทย ไม่มีเจตนายุยงให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดินแต่ประการใด 
 
กรณีข่าวการออกหมายจับของศาลอาญาจึงประสานตำรวจเข้ามอบตัวแต่ขอชี้แจงว่า ไม่ได้รับหมายเรียก และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบดีอยู่แล้วว่าอยู่ที่วัดไม่ได้ไปไหน เพราะถ้าหากทราบและได้รับหมายเรียกก็จะเข้ามอบตัวอยู่แล้ว
ยืนยันว่าเคารพกฎหมายและให้ความร่วมมือต่อกระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอด
 
คำชี้แจงวัดพระธรรมกาย ระบุใน 2. ด้วยว่า กรณีเชิญชวนสาธุชนทั่วโลก สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เริ่มต้นตั้งแต่วันอาสาฬหบูชา ปีพุทธศักราช 2559 เป็นต้นมา เพื่อปลูกฝังให้ประชาชนทุกเพศ ทุกวัย ได้เข้าใกล้พระพุทธศาสนาด้วยการสวดมนต์ที่ถือว่าเป็นแม่บททางพระพุทธศาสนา โดยมีการนับยอดสวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ระลึกนึกถึงบุญจากการสวด ผ่านยอดสวดแต่ตามวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาต่างๆ เช่น ครบรอบยอดสวดในวันวิสาขบูชา มาฆบูชา หรือวันพระแต่ละเดือน โดยล่าสุดจัดสวดให้ครบ 30 ล้านจบ ในวันพระ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ซึ่งตรงกับวันที่ 12 มี.ค. พ.ศ. 2560 ที่จะถึงนี้ 
โดยกิจกรรมนี้สามารถสวดได้ที่บ้าน และศูนย์ปฏิบัติธรรมใกล้บ้าน แต่หากท่านใดสะดวกในการเดินทางก็สามารถมาสวดร่วมกันได้ที่มหารัตนวิหารคด วัดพระธรรมกาย อย่างเช่นที่ผ่านมาก็มีนักเรียนนักศึกษาจากหลายโรงเรียนทั่วประเทศเข้าร่วมกิจกรรม และส่งยอดสวดมาที่วัดมากกว่าล้านจบ ไม่ได้มีเจตนาปลุกระดมประชาชน เพื่อหวังกำลังมวลชนร่วมปกป้องวัดพระธรรมกายจากสถานการณ์พิเศษนี้ ตามที่เป็นข่าวแต่ประการใด

โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ปัดเผด็จศึกธรรมกายภายใน 5 วัน

วันเดียวกัน รายงานข่าวระบุว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเดินทางกลับจากการลงพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าภายใน 5 วันนี้จะดำเนินการกับวัดพระธรรมกายให้จบ ว่า นายกรัฐมนตรีได้ฝากมาชี้แจงว่า จากการตรวจสอบการให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไม่ได้พูดในลักษณะนั้น และขอร้องสื่อมวลชนอย่าตีความว่าจะมีการดำเนินการให้จบภายใน 5 วัน แต่สิ่งที่พูด หมายถึงจะมีความก้าวหน้าในการดำเนินการมากขึ้นตามลำดับ
 
"ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ 5 วัน ไม่ได้หมายความว่าเผด็จศึก หรือเข้าตี ไม่ใช่แบบนั้น เจ้าหน้าที่ทำงานด้วยความระมัดระวัง ไม่อยากให้เกิดเป็นปมประเด็น ที่ทำให้ฝ่ายต่าง ๆ นำไปขยายผลในเชิงเสียหายได้ จึงต้องมีความรอบคอบในการดำเนินการ มีความยืดหยุ่นอย่างสูง เพราะฉะนั้น 5 วันที่พูด หมายความว่า มีความคืบหน้าให้เห็นเป็นระยะ ๆ" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
 
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวถึงข้อเรียกร้องที่อยากให้มีการจับสึกพระธัมมชโย ว่า นายกรัฐมนตรีเคยชี้แจงไปแล้วว่าขั้นตอนการสึกของพระ ต้องไปดูจาก พ.ร.บ.สงฆ์ คือ ต้องมีการจับกุมตัวได้ จึงจะดำเนินการจับสึกได้ เพราะถ้าไม่เช่นนั้น ต้องมีการจับสึกทางโซเซียลมีเดียกัน ซึ่งสิ่งที่ทำได้ คือ ต้องมีการดำเนินการเป็นขั้นตอน ค่อย ๆ กดดัน เพื่อให้สังคม ประชาชนบางส่วน และพระหลายรูปที่ไม่ใช่พระลูกวัดที่ยังอยู่ในพื้นที่ได้ทยอยเดินทางออก เชื่อว่าเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง จะสามารถเข้าไปดำเนินการตรวจค้นได้
 

ป้าเช็งรายงานตัว ปัดหนุน

ขณะที่ ศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์ หรือป้าเช็ง เจ้าของตลาดป้าเช็ง คลองหลวง กล่าวว่า ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ว่า วันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา มีบุคคลมาติดต่อขอใช้พื้นที่เพื่อทำบุญตักบาตรในวันที่ 5 มี.ค. ตนเป็นลูกศิษย์ทุกศาสนาจึงอนุญาต โดยไม่ได้เก็บค่าเช่าพื้นที่เพื่อร่วมทำบุญด้วย แต่ยอมรับทราบว่าการจัดกิจกรรมดังกล่าวเป็นของวัดพระธรรมกาย และตนไม่ได้อยู่ร่วมทำบุญเนื่องจากเดินทางไปต่างจังหวัดจึงไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่เรียกตนเข้าพบ

ป้าเช็ง ยังยืนยันว่า ไม่มีการสนับสนุนให้มีการชุมนุมและได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอว่า จะไม่อนุญาตให้จัดชุมนุมในพื้นที่ตน ส่วนเรื่องเงิน 10,000,000 บาทของพระเสถียร คำบ่อ หนึ่งในพระสงฆ์ ที่ถูกควบคุมตัวจากตลาดป้าเช็ง ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

 ศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์ หรือป้าเช็ง เจ้าของตลาดป้าเช็ง คลองหลวง (ภาพจากเพจ Banrasdr Photo)

ด้าน พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล ผู้บัญชาการสำนักคดีผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากการสอบถามป้าเช็ง ทราบว่าไม่มีเจตนาให้พื้นที่ชุมนุม โดยยินดีให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่ตลอด จึงขอความร่วมมือในการดูแลพื้นที่ตนไม่ให้บุคคลใดมาใช้เป็นที่ชุมนุม แต่ไม่ได้ห้ามเรื่องการทำบุญ

เจ็บ 1 ราย ศิษย์ธรรมกายผลักดันทหาร

วันเดียวกัน รายงานข่าวระบุว่า เมื่อเวลา 13.30 น. บริเวณสะพานเชื่อมต่อเข้าวัดพระธรรมกาย ประตู 4 ข้ามถนนเลียบคลองสาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ทหาร ตำรวจ สนธิกำลังเพื่อเข้าตรวจสอบบนสะพานดังกล่าว หลังรถลาดตระเวนทหาร ร.2 พัน 3 รอ. ถูกยิงกระจก และมีการส่องไฟเลเซอร์ลงมา รวมถึงมีกลุ่มคณะศิษยานุศิษย์ ได้ปักหลักเฝ้าอยู่จำนวนหนึ่ง

ทั้งนี้ เมื่อทาง คณะศิษยานุศิษย์ ทราบเรื่อง จึงได้เรียกระดม พระสงฆ์ และมวลชน เข้ามาสมทบบริเวณดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยบนสะพานมีการใช้สแลนสีเขียวขึงด้วยไม้ต่อกันเป็นที่ปิดบังแสงแดด มีการทำแผงตาข่ายขนาดใหญ่จากเหล็กเส้นขึงเป็นประตูบนสะพาน 1 ชั้น ตู้คอนเทนเนอร์ 1 ตู้ และ กำแพงสังกะสีอีก 1 ชั้น ป้องกันเจ้าหน้าที่บุกเข้าตรวจค้น นอกจากนี้ ระหว่างเจ้าหน้าที่ได้ปีนเชิงสะพาน เพื่อตรวจสอบบนสะพานดังกล่าว แต่กลุ่มลูกศิษย์ได้ขัดขวางและผลักดันเจ้าหน้าที่ทำให้ร่วงหล่นสะพาน ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย
 
ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้เจรจากับตัวแทนพระสงฆ์ ก่อนสุดท้ายเจ้าหน้าที่ถอยร่นกำลังกลับตั้งจุดประจำการ ส่วนทางวัดได้ทำการปิดประตูสังกะสี เพื่อลดการเผชิญหน้า ซึ่งห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ยังมีการสวดมนต์ของพระสงฆ์ และลูกศิษย์อยู่เป็นจำนวนมาก ผ่านเครื่องขยายเสียงดังออกมา ซึ่งคาดว่ารอสังเกตการณ์เจ้าหน้าที่ให้ออกจากพื้นที่ดังกล่าวให้หมดเสียก่อน 

 

ที่มา : คมชัดลึกออนไลน์, เพจ สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย  ผู้จัดการออนไลน์  และสำนักข่าวไทย 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'วันที่ไม่มีผู้หญิง' ปฏิบัติการสะท้อนความสำคัญของสตรีที่สหรัฐอเมริกา

Posted: 09 Mar 2017 04:07 AM PST

ผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาชวนกันสวมเสื้อแดง บ้างก็หยุดงานหรืองดใช้จ่าย รวมถึงออกไปเดินรณรงค์ต่อต้านความไม่เป็นธรรมเนื่องในวันสตรีสากลปี 2017 โดยหัวข้อใหญ่ของปีนี้คือ 'วันที่ไม่มีผู้หญิง' หรือ #ADayWithoutWoman ต้องการสื่อให้เห็นว่าผู้หญิงมีความสำคัญต่อสังคมถ้าขาดพวกเธอไปจะเป็นอย่างไร

การเดินขบวนวันสตรีสากลที่ฟิลลาเดเฟีย สหรัฐอเมริกา เมื่อ 8 มีนาคม 2017 (ที่มา: Joe Piette/Flickr/CC BY-NC 2.0)

เนื่องในวันสตรีสากลที่ตรงกับวันที่ 8 มี.ค. ของทุกปี กลุ่มผู้หญิงในสหรัฐฯ จัดการประท้วงใหญ่ในชื่อ 'A Day Without a Woman' หรือ "วันที่ไม่มีผู้หญิง" ซึ่งเป็นแผนการให้ผู้หญิงหยุดงานประท้วงและหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายเงิน รวมถึงเป็นการประท้วงต่อเนื่องจากความสำเร็จของ 'Women's March' หรือ 'การเดินขบวนของผู้หญิง' ที่เป็นการประท้วงใหญ่ช่วงเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา

โดย Time รายงานตั้งแต่ก่อนหน้าการประท้วงว่าถึงแม้จะมีความเป็นไปได้ที่จำนวนผู้หญิงทำงานที่เข้าร่วมจะมีแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมการนัดหยุดงานประท้วงได้ แต่ก็มีการนำเสนอแผนภาพทีแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงเป็นเพศที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมจากหลายภาคส่วนของการทำงาน เช่น การทำงานในภาคการศึกษามากถึงร้อยละ 84 ภาคส่วนการธนาคารร้อยละ 85 ภาคส่วนทันตกรรมร้อยละ 78 สายการแพทย์และพยาบาลทั่วไปร้อยละ 78 นอกจากนี้ยังมีความสำคัญในภาค่วนอื่นๆ อย่างงานด้านกฎหมาย เป็นต้น

สถานีวิทยุแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ NPR รายงานว่าการประท้วงในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายต้องการเน้นย้ำให้เห็นถึงพลังทางเศรษฐกิจที่มาจากผู้หญิงรวมถึงชี้ให้เห็นว่ายังคงมีปัญหาการกีดกันและค่าจ้างที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศ โดยใช้การประท้วงหยุดงานทั้งงานที่มีค่างจ้างและงานที่ไม่มีค่าจ้าง ยกเว้นผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยที่เป้นเจ้าของกิจการขนาดเล็ก

NPR รายงานอีกว่าการประท้วงในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากสหพันธ์แรงงานคนทำงานบ้านของสหรัฐฯ (National Domestic Workers Alliance) โดยที่ไอเจ็นปู ผู้อำนวยการสหพันธ์บอกว่านี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้หญิงอย่างผู้หญิงที่ได้ค่าแรงต่ำในการเข้าร่วมเมื่อแสดงตัวออกมาให้เห็นว่าผู้หญิงก็มีอำนาจในเศรษฐกิจและช่วยกันคิดว่าจะร่วมกันสานสร้างอนาคตด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจของผู้หญิงอย่างไร

อนึ่งข้อมูลจากเอพี รายงานในเชิงจำนวนตัวเลขว่าถึงแม้จะมีผู้หญิงทำงานในหลายภาคส่วนมากขึ้นแต่โดยรวมแล้วพวกเธอก็ยังได้รับค่าแรงน้อยกว่าผู้ชาย จากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี 2558 ระบุว่าในสหรัฐฯ ผู้หญิงมีค่าเฉลี่ยรายได้อยู่ที่ 40,742 เหรียญสหรัฐ เปรียบเทียบกับผู้ชายที่มีรายได้เฉลี่ย 51,212 เหรียญสหรัฐ

การประท้วงในวันพุธที่ผ่านมา (8 มี.ค. 2560) ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ ยังมีการจัดการเดินขบวนของผู้หญิงทำงานที่นอกกระทรวงแรงงาน โดยผู้จัดการประท้วงยังเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนร่วมแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวเพื่อหยุดยั้งความรุนแรงและการข่มเหงรังแกในที่ทำงาน ค่าแรงที่เป้นธรรมและสิทธิแรงงานต่างๆ อย่างการหยุดงานด้วย ถึงแม้จะมีกลุ่มอนุรักษ์นิยมบางกลุ่มอ้างว่าการนัดหยดงานของผู้หญิงมีความกำกวมและทำไปเพื่อประโยชน์ของตัวเองรวมถึงเอื้อต่อผู้หญิงที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ผู้จัดบอกอีกว่าสำหรับผู้ที่ออกมาประท้วงไม่ได้สามารถแสดงการสนับสนุนด้วยการสวมชุดสีแดง ซึ่งพวกเขาบอกว่าเป็นสีที่บ่งบอกถึงความรักกับการเสียสละ รวมถึงความแน่วแน่ ทะเยอทะยาน อีกทั้งยังเป็นสีที่เกี่ยวกับขบวนการต่อสู้แรงงานและเพื่อสิทธิมนุษยชนด้วย

 

เป็นการเคลื่อนไหวเฉพาะผู้หญิงที่มีสิทธิพิเศษจริงหรือ?

การนัดชุมนุมของผู้หญิงในสหรัฐฯ ทำให้มีข้อวิจารณ์ว่าลักษณะการประท้วงอาจจะทำให้ผู้หญิงหลายคนถูกผูกมัดไม่สามารถทำได้จริง นอกจากนี้การที่โรงเรียนหลายแห่งประกาศปิดล่วงหน้าเพื่ออนุญาตให้ครูและพนักงานอื่นๆ สามารถเข้าร่วมชุมนุมได้และเป็นการแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับการประท้วงของผู้หญิง ยังมีคนวิจารณ์ว่าทำให้ครอบครัวที่ต้องไปทำงานเดือดร้อนกับการหาแหล่งรับเลี้ยงเด็ก

เช่น กรณีการงดการเรียนการสอนของโรงเรียนรัฐบาลปรินซ์จอร์จในแมรีแลนด์ทำให้ผู้ปกครองแสดงความไม่พอใจ โดยบอกว่าการปิดเรียนจะส่งผลเสียต่อนักเรียนที่ต้องพึ่งพาอาหารกลางวันของโรงเรียน โรงเรียนรัฐอีกแห่งหนึ่งคืออเล็กซานเดรียซิตี้ก็ประกาศแบบเดียวกันจนทำให้ผู้คนไม่พอใจ ทำให้ทางเขตที่ประกาศปิดโรงเรียนประกาศเพิ่มเติมว่าจะยังคงมีฝ่ายดูแลจัดหาอาหารเช้าและอาหารกลางวันให้นักเรียนอยู่

อีกข้อวิจารณ์ที่ถกเถียงกันในวงกว้างกว่าคือการที่บางส่วนที่มี "สิทธิพิเศษ" เท่านั้นถึงจะสามารถหยุดงานเข้าร่วมได้ แต่ผู้จัดก็ระบุว่าคนที่มีกิจการขนาดเล็กไม่จำเป็นต้องหยุดงานแต่แต่งชุดสีแดงแสดงการสนับสนุนได้ นอกจากนี้ผู้จัดยังแนะนำให้ผู้ต้องการแสดงการเข้าร่วมหลีกเลี่ยงการช็อปปิ้งในวันนัดหยุดงานด้วย

แต่ซีเอ็นเอ็นก็รายงานว่าถึงแม้จะมีข้อวิจารณ์และความไม่สะดวกทั้งหลายเหล่านี้ คนจำนวนมากก็ยอมให้เกิดความไม่สะดวกสบายที่คุ้มค่าเมื่อแลกมากับการส่งสารที่ยิ่งใหญ่กว่า พวกเขาส่งเสียงสนับสนุนเหล่าครูที่หยุดงานในวันสตรีสากลเพื่อแสดงให้เห็นว่าการที่ไม่มีผู้หญิงชีวิตจะขาดอะไรไปบ้าง

ส่วนเว็บสื่ออิสระ อย่าง "โนวารามีเดีย" ลงบทความจาก คามิล บาร์บากัลโล ที่ระบุว่าที่การนัดหยุดงานนี้เป็นไม่ได้สำหรับผู้หญิงหลายคนที่จะเข้าร่วมยิ่งทำให้ย้ำเตือนว่าทำไมถึงต้องมีการประท้วงด้วยวิธีนี้มีความสำคัญ บาร์บากัลโลอธิบายว่าการประท้วงหยุดงานของผู้หญิงไม่ได้มีลักษณะของการประท้วงหยุดงานแบบวงกว้าง "จริงๆ" ในแบบที่มีสหภาพแรงงานเดินออกจากโรงงาน แต่เป็นการทำให้เราได้เผชิญหน้ากับสภาพความเป็นจริงของการทำงานของผู้หญิง

บทความของบาร์บากัลโลระบุถึงบทบาทของผู้หญิงกับหน้าที่ความคาดหวังในสังคมทุนนิยมที่ผุ้หญิงบ้างก้ต้องทำงานในชีวิตประจำวันท่ได้ค่าจ้างบ้างไม่ได้ค่าจ้างบ้างและมักจะถูกคาดหวังจากการแบ่งส่วนแรงงานให้ดูแลบ้านหรือทำงานในบ้านมากกว่า แต่การทำงานของผู้หญิงก็เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทุนนิยมทั้งหลายคือ มีการต่อสู้ ความขัดแย้ง ความรุนแรง การกดขี่ และการเวนคืน รวมถึงพวกเขากลายเป็นผู้ผลิตซ้ำผู้คนออกมาเป็นแรงงานที่ถูกปั้นแต่งและทำให้เชื่อง ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการ เป็นแม่ หรือทำงานตรากตรำเพื่อให้ได้เงินน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำก็ตาม ซึ่งกับผู้หญิงนั้นนอกจากจะถูกกดขี่ในดลกของทุนแล้วยังถูกควบคุมจากแนวคิดแบบชายเป็นใหญ่ด้วย

 

บรรยากาศการประท้วง

นิวยอร์กไทม์รายงานบรรยากาศการประท้วงในช่วงเช้าของเมืองโพรวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์ ระบุว่าเสมียน 7 คนและเจ้าหน้าที่ศาลอีกคนหนึ่งร่วมประท้วงหยุดงานทำให้ศาลท้องถิ่นแทบจะต้องปิดทำการแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงมีส่วนสำคัญในงานสายนี้

ขณะที่ในเมืองลาฟาแยต รัฐอินเดียนา มีผู้หญิงเสื้อแดงหลายสิบคนประท้วงที่ลานในย่านใจกลางเมืองกล่าวโจมตีระบบที่ทำลายสิทธิสตรี รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์โดนัลด์ ทรัมป์ ให้นำประชาชนมาก่อนผลกำไร และมีป้ายเรียกร้องสวัสดิการสังคม กลอเรีย โกอิงส์ พยาบาลเกษียณอายุ 63 ปี ประท้วงเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ เธอบอกว่ามันให้ความรู้สึกว่าเธอมีพลังมาก เธอรู้สึกสนใจการประท้วงครั้งนี้เพราะผู้หญิงต้องเผชิญกับความอยุติธรรมในชีวิตประจำวัน

ถึงแม้จะไม่ได้มีความคึกคักในการชุมนุมมากเท่าช่วงเดือน ม.ค. แต่ท้องถนนของลาฟาแยตก็ยังคงมีธุรกิจบางส่วนร่วมประท้วงด้วยการปิดร้าน โคลลีน แมทธิวส์ เจ้าของร้านกาแฟ Fuel กล่าวว่าเธอหวงว่าการปิดร้านในวันสตรีสากลของเธอจะช่วยทำให้เกิดการอภิปราย เธอบอกว่าเธอรู้สึกเหมือนคนที่เคยทำงานเป็นบริกรจนสามารถซื้อร้านกาแฟได้ทำให้เธอมาถึงจุดที่เป้นคนเข้าร่วมการประท้วงได้

ในกรุงวอชิงตัน ดีซี มีผู้คนหลายร้อยคนรวมถึงนักข่าวปิดกั้นถนนที่ล้อมรอบทำเนียบขาวอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ในช่วงเช้ามีการจัดงานประท้วงจากกลุ่มหลายกลุ่ม จนกระทังถึงช่วงพักอาหารกลางวันก็มีการเดินขบวนไปที่อาคารรัฐสภาซึ่งนักการเมืองกลายคนแสดงการประท้วงด้วยการเดินออกจากห้องประชุมและจัดแถลงข่าว โดยที่การประท้วงที่ทำเนียบขาวเน้นประท้วงกฎหมายสกัดกั้นงบประมาณสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ของสตรีโดยทรัมป์

วายิฮา ไรส์ ทนายความอายุ 25 ปีผู้ถือป้ายประท้วงทรัมป์บอกว่าเธอรู้สึกประเทศของเธอล้าหลังลง พวกเธอต้องการพื้นที่สำหรับพวกเธอเพื่อใเป็นปากเป็นเสียงให้พวกเธอเองแทนที่จะมีคนพูดแทนพวกเธอ

อย่างไรก็ตามมีนักกิจกรรมผู้ที่เคยร่วมจัดการชุมนุมวูแมนมาร์ข คือ ลินดา ซาร์ซัวร์, ทามิกา ดี มัลลอรี, บ็อบ แบลนด์และ คาร์เมน เปเรซ ถูกจับกมขณะกำลังร่วมประท้วงที่นอกโรงแรมทรัมป์อินเตอร์เนชันแนลในนิวยอร์กซิตี้ช่วงราวบ่ายโมงครึงในช่วงที่วกเขากำลังเดินขบวนไปที่นอกโรงแรมนอกจากพวกเขาแล้วยังมีคนอื่นๆ ถูกจับกุมรวม 13 ราย

นิวยอร์กไทม์ยังระบุถึงความเชื่อมโยงการประท้วงในวันสตรีสากลในสหรัฐฯ ปีนี้กับการประท้วง "วูแมนมาร์ช" หรือ "การเดินขบวนของผู้หญิง" ที่เป็นการประท้วงใหญ่ทรัมป์ในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นการประท้วงที่ประสบความสำเร็จในแง่การแสดงพลัง แต่นักวิชาการก็เตือนว่าการประท้วงวันเดียวอาจจะยังไม่สามารถสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่คงทนได้ ผู้สนับสนุนการชุมนุมต้องหาวิธีการส่งพลังไปเป็นการกดดันให้เกิดผลทางการเมืองให้ได้

ในวันเดียวกับที่มการประท้วง #ADayWithoutWoman ในสหรัฐฯ ทั่วโลกก็มีการจัดงานเกี่ยวกับวันสตรีสากล ที่มีทั้งการเฉลิมฉลองผู้หญิง การประท้วงต่อต้านคามรุนแรงทางเพศ และเรื่องความไม่เท่าเทียม เช่นใน จอร์เจียมีผู้หญิงร่วมกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับ "เพดานกระจก" ซึ่งเป็นคำเปรียบเปรยที่ใช้พูดถึงการที่ผู้หญิงถูกจำกัดความก้าวหน้าในการทำงาน ในรัสเซีย มีกลุ่มผู้ชายยืนเรียงแถวกันที่ร้านดอกไม้ที่ตลาดริชสกีเพื่อมอบช่อดอกไม้เป็นการแสดงความนับถือญาติพี่น้องฝ่ายหญิงของพวกเขา ขณะที่ในอินเดียการเข้าถึงห้องน้ำยังเป็นประเด็นสำคัญสำหรับผู้หญิง

 

เรียบเรียงจาก

Here's What a Day Without Women Would Really Look Like, Time, 07-03-2017

Female Workers Asked To Join In 'A Day Without A Woman' Protests, NPR, 08-03-2017

'Day Without a Woman' strike puts some parents in a bind amid school closures, CNN, 08-03-2017

The Impossibility of the International Women's Strike is Exactly Why It's So Necessary, Camille Barbagallo, Novara Media, 06-03-2017

'A Day Without a Woman' Protest: Marches and Closings, New York times, 08-03-2017

Activists Linda Sarsour, Tamika Mallory arrested at NYC's A Day Without a Woman protest, Mic., 08-03-2017

Twitter #ADayWithoutWoman

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: คนตรงในประเทศมาตรฐานซ้อน มิต้องการ

Posted: 09 Mar 2017 03:06 AM PST


"ผมเกลียดชังเผด็จการ
ไม่ว่าจะมีรูปแบบสีสันอย่างไรก็ตาม"

ตรงประเด็น ชัดเจน เน้นถ้อยความ
มิเห็นใน แง่งาม ระบอบนี้

ข้อความ ข้างต้น
เป็นของคนตรง ในประเทศคนดี

ฝากไว้เป็น อนุสรณ์ สอนชีวี
แก่ลูกหลาน ในประเทศที่ ทุกวันวี่
ยังเต็มไปด้วย เรื่องมากมี ที่สั่นคลอน

ข้อความ ข้างต้น
เป็นของคนตรง ฝากไว้ถึงเชิงตะกอน

ฝากไว้เป็น อนุสรณ์
ร้อยหนึ่งปี ชาตกาลก่อน
เกิดบุคลากร ผู้เคยผ่านหนาวผ่านร้อน
"ป๋วย อึ๊งภากรณ์"
คนตรงที่ประเทศมาตรฐานซ้อน
มิต้องการ

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มีชัย เผยเตรียมกำหนดให้พิจารณาคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองลับหลังได้

Posted: 09 Mar 2017 02:51 AM PST

ประธาน กรธ. เผย เตรียมกำหนดลงใน พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้สามารถพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ ชี้เป็นไปเพื่อความรวดเร็ว ย้ำเพราะนักเมืองบางคนหนีคดีไปต่างประเทศ แต่ยังส่งทนายมาฟ้องคนอื่นได้ ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรม

แฟ้มภาพสำนักข่าวไทย

9 มี.ค. 2560 สำนักข่าวไทย รายงานว่า มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า เท่าที่พิจารณาในเบื้องต้น มีแนวโน้มจะกำหนดให้สามารถพิจารณาคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นไปด้วยความรวดเร็ว โดยที่ไม่จำเป็นต้องยกเว้นการนับอายุความในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ไปศาล ตามร่างของศาลที่เสนอมา เพราะการใช้วิธีไม่นับอายุความ เกรงว่าเมื่อระยะเวลาผ่านไป อาจมีผลกระทบต่อพยานหลักฐาน

ประธาน กรธ. กล่าวว่า การดำเนินคดีกับ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีความจำเป็นต้องใช้มาตรฐานสูงกว่า ประชาชนทั่วไป เพราะการดำเนินการของนักการเมือง มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ทุจริตส่วนใหญ่เมื่อทำผิดแล้วมักจะหนีคดีไปต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถดำเนินคดีได้ แต่ในทางกลับกันสามารถส่งทนายความไปฟ้องร้องคนอื่นได้ ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรม

"ไม่ถือเป็นการริดรอนสิทธิ เพราะไม่ได้ห้ามนักการเมืองมาสู้คดี แต่หากไม่มี ก็ต้องให้พิจารณาคดีได้ ไม่เช่นนั้นคดีจะค้างอยู่ที่ศาลจำนวนมาก แต่ในทางกลับกัน นักการเมืองที่ทุจริตได้เงินไปมาก ๆ หนีคดีไปต่างประเทศ ยังสามารถส่งคนมาฟ้องคนอื่นได้ ซึ่งก็ไม่เป็นธรรมกับคนอื่นเหมือนกัน" มีชัย กล่าว

มีชัย กล่าวว่า เรื่องของอายุความในคดีต่าง ๆ นั้นยังคงมีอายุความ 10 ปี มีเพียงกรณีเดียวที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญใหม่ คือการแปรญัตตินำเงินงบประมาณไปให้ ส.ส. ใช้โดยมิชอบ ที่กำหนดให้มีอายุความเพิ่มขึ้นจาก 10 ปีเป็น 20 ปี

ทั้งนี้เมื่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ ก็จะใช้กับคดีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยไม่มีผลย้อนหลัง เว้นแต่กรณีที่เป็นคุณ อย่างเช่น การให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอุทธรณ์ได้ ทั้งข้อกฎหมายและหลักฐานใหม่ กรณีที่ไปศาล

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กต.ชี้แจงวิทยุบีบีซีคลื่นดับทั่วเอเชีย-เพราะขอต่อสัญญากระชั้นรัฐบาลพิจารณาไม่ทัน

Posted: 09 Mar 2017 02:51 AM PST

กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงวิทยุคลื่นสั้นภาคเอเชียของบีบีซีหยุดดำเนินการในไทย เพราะหมดสัญญาเช่าตั้งแต่สิ้นปี บีบีซีเพิ่งส่งหนังสือต่อสัญญาเมื่อ 21 ธ.ค. ซึ่งกระชั้นชิดรัฐบาลพิจารณาไม่ทัน และระหว่างที่ฝ่ายไทยกำลังดำเนินการ เมื่อ 27 ก.พ. บีบีซีก็แจ้งถอนตัวจากการเจรจา โดยเป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียว - ขณะที่ก่อนหน้านี้ไทยเพิ่งต่อสัญญาให้วิทยุเสียงอเมริกาจนถึงปี 2566

ที่ตั้งของสถานีถ่ายทอดสัญญาณวิทยุคลื่นสั้นของบีบีซีที่ ต.บ้านแก่ง อ.เมือง จ.นครสวรรค์

จากข่าวบีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส ยุติการออกอากาศจากสถานีถ่ายทอดสัญญาณวิทยุ ที่จ.นครสวรรค์ หลังล้มเหลวเจรจาเพื่อต่อสัญญากับรัฐบาลไทย ทั้งนี้บีบีซี เวิลด์ เซอร์วิสดังกล่าว ทำหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณวิทยุคลื่นสั้นหลักสำหรับภูมิภาคเอเชียทั้งหมด รวมทั้งจีน เกาหลีเหนือ และประเทศที่ยังคงใช้วิทยุเป็นสื่อหลักอย่างปากีสถาน และอัฟกานิสถาน โดยการกระจายเสียงยุติลงตั้งแต่ 1 มกราคม หลังหมดสัญญาเช่า

ทั้งนี้สถานีถ่ายทอดสัญญาณวิทยุประจำภูมิภาคเอเชีย ได้ย้ายจากฮ่องกงเข้ามาอยู่ในไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2540 หลังจากอังกฤษส่งมอบฮ่องกงคืนให้กับทางการจีน

ล่าสุด กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่คำแถลง "กรณี BBC World Service ยุติการกระจายเสียงผ่านสถานีถ่ายทอดวิทยุคลื่นสั้น ที่จังหวัดนครสวรรค์" มีรายละเอียดดังนี้ "ตามที่ปรากฏข่าวว่า BBC World Service ซึ่งเป็นบริการหนึ่งของบรรษัทกระจายเสียงแห่งอังกฤษ  ได้ยุติการออกอากาศจากสถานีถ่ายทอดวิทยุคลื่นสั้นที่จังหวัดนครสวรรค์ นั้น"

"กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจง ดังนี้ 1. สถานีถ่ายทอดวิทยุคลื่นสั้น (Shortwave Relay Station) ที่จังหวัดนครสวรรค์ ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดย BBC ตามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับการจัดตั้งและการดำเนินการสถานีถ่ายทอดวิทยุของ BBC ลงนามเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2537 เพื่อกระจายเสียงรายการของ BBC World Service ใน 8 ภาษา (ไม่มีรายการภาษาไทย) ซึ่งผลิตที่กรุงลอนดอน ไปยังประเทศในภูมิภาคโดยความตกลงหมดอายุเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2559

2. ในห้วงปี 2559 ฝ่ายไทยได้ประชุมหารือ รวมทั้งเจรจากับฝ่าย BBC อย่างต่อเนื่อง เพื่อพิจารณาการขยายอายุความตกลงฯ ดังกล่าวออกไป 7 ปี และโดยที่การขยายอายุความตกลงฯ ดังกล่าวจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ จึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐบาลไทยจึงต้องพิจารณาร่างความตกลงฯ ฉบับใหม่อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน เพื่อให้ไทยได้ประโยชน์สูงสุดจากการขยายอายุความตกลงฯ และเพื่อให้พันธกรณีต่าง ๆ ภายใต้ความตกลงฯ สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของไทย

3. อย่างไรก็ดี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดของความตกลงฯ นั้น BBC ได้ใช้เวลาหลายเดือนในการพิจารณายื่นข้อเสนอแก่ฝ่ายไทย โดยฝ่ายไทยได้ติดตามกับฝ่าย BBC มาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2559 ซึ่งใกล้กับวันหมดอายุของความตกลงฯ (31 ธันวาคม 2559) ฝ่าย BBC ถึงได้ส่งร่างความตกลงฯ ซึ่งมีเนื้อหาตรงตามที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องเพื่อการขยายอายุความตกลงครั้งนี้ แต่เนื่องจากระยะเวลากระชั้นชิดและไม่เพียงพอที่ฝ่ายไทยจะดำเนินการตามขั้นตอนในการเสนอเรื่องเพื่อขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีได้ทันก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2559 สถานีดังกล่าวจึงต้องระงับการส่งสัญญาณเป็นการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 จนกว่าจะมีการขยายอายุความตกลงฯ

4. ในช่วงที่ฝ่ายไทยอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนภายในที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกำลังมีความคืบหน้าตามลำดับนั้น เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 BBC ได้มีหนังสือแจ้งกระทรวงการต่างประเทศเรื่องการตัดสินใจขอถอนตัวจากกระบวนการเจรจาเพื่อขยายอายุความตกลงฯ ซึ่งเป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียวของ BBC" แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับสถานีวิทยุคลื่นสั้น BBC ตั้งอยู่ที่ ต.บ้านแก่ง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เป็นสถานีถ่ายทอดสัญญาณที่รับตรงมาจากวิทยุ BBC ที่ลอนดอน ออกอากาศครอบคลุมทวีปเอเชียทั้งหมด ตลอดจนครอบคลุมพื้นที่เกือบครึ่งโลก มีทั้งภาษาอังกฤษ จีน อะเซริ เบงกาลิ พม่า ฮันติ เปอร์เซียน ปาทาน รัสเซีย ทมิฬ และอุซเบค ฯลฯ ยกเว้นภาษาไทย

ก่อนหน้านี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ โดยให้อนุมัติการขยายอายุความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยสถานีวิทยุกระจายเสียง 1,000 กิโลวัตต์ ของสถานีวิทยุเสียงอเมริกา (Voice of America ภาคภาษาไทย หรือ VOA Thai) โดยกระทำผ่านการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการ

โดยการขออนุมัติการขยายสถานีวิทยุกระจายเสียง 1,000 กิโลวัตต์ ของ VOA มีผลขยายออกไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 หลังความตกลงได้หมดอายุลงแล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2559 แต่สถานีวิทยุกระจายเสียงยังคงดำเนินการจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งบอกยกเลิกความตกลงฯ ล่วงหน้าอย่างน้อย 18 เดือน โดยสถานีวิทยุ VOA ครอบคลุมพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตอนใต้ของจีน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ ชี้ปชช.สละจ่ายภาษี VAT เพิ่มเป็น 8% ได้รายได้พัฒนาประเทศแสนล้าน

Posted: 09 Mar 2017 01:47 AM PST

9 มี.ค.2560 รายงานข่าวระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระบุว่า ประเทศไทยอยู่ด้วยระบบทุนนิยมเสรี เงินภาษีเป็นรายได้ของประเทศ ซึ่งมีการเรียกเก็บจากหลายส่วน โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น ผู้ที่มีรายได้เป็นเงินเดือนอย่างข้าราชการต้องเสียภาษีเต็มจำนวนทั้งหมด ในขณะที่ประชาชนจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ 7% ในอัตรานี้มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ดังนั้นหากเก็บเพิ่มอีกเพียง 1% ก็จะทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มขึ้นกว่าแสนล้านบาท

"อยากขอร้องว่าจะมีการเสียสละได้หรือไม่ เพราะทำให้งบประมาณของรัฐเพิ่มขึ้น เพื่อเอางบประมาณดังกล่าวไปทำในสิ่งที่ประชาชนเรียกร้อง ขณะเดียวกันราคาสินค้าไม่ควรปรับเพิ่มขึ้นมากนัก แต่ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ตูดขาด เพราะเดินด้วยความระมัดระวังและมีภูมิคุ้มกันอยู่ตลอด สามารถบริหารจัดการได้ เงินกู้ต่างๆ อยู่ในกรอบทั้งหมด และหนี้สาธารณะลดลง" นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังลงทุนในโครงการต่างๆจะก่อให้เกิดมูลค่าและรายได้ในปีหน้าและปีต่อไป ทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ แต่หลายอย่างรัฐบาลไม่สามารถทำเร็วมากได้ เพราะยังติดขัดเรื่องข้อกฎหมาย พร้อมกับขอร้องให้อย่าทำอะไรตามใจมากนัก

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภาครัฐไม่เคยหารือหรือพูดคุยกันว่าจะปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากปัจจุบันที่ใช้อัตรา 7% ให้เป็น 8% ดังนั้น กระแสข่าวดังกล่าวไม่ใช่ข้อมูลที่ออกมาจากภาครัฐ

 

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ และ TNN24

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนช.ไม่อนุญาต ‘สุรพงษ์’ ยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติม ปมถอดถอน กรณีออกหนังสือเดินทางให้ ‘ทักษิณ’

Posted: 09 Mar 2017 01:09 AM PST

สนช. นัดแถลงเปิดคดีถอดถอน สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล กรณีออกหนังสือเดินทางธรรมดาให้ ทักษิณ ชินวัตร  ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาขอเพิ่มเติมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการขาดคุณสมบัติของ ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิด แต่ สนช.ไม่อนุญาต

ที่มาภาพจาก: สำนักข่าวไทย

9 มี.ค. 2560 ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งมี สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้มีการพิจารณากระบวนการถอดถอน สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกจากตำแหน่ง กรณีใช้อำนาจหน้าที่ออกหนังสือเดินทางธรรมดาให้ ทักษิณ ชินวัตร โดยมิชอบ เพื่อช่วยเหลือนายทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างการติดตามตามหมายจับ ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ประกอบมาตรา 64 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สุรพงษ์ ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนความไม่ชอบมาพากล 5 ฉบับต่อ สนช.เพื่อประกอบการพิจารณา ได้แก่ ฉบับที่ 1 เรื่องพบความไม่ชอบในการแจ้งข้อกล่าวหา ฉบับที่ 2 การตรวจพบสถานะการเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ของปรีชา เลิศกมลมาศและ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ฉบับที่ 3 เรื่องตรวจสอบพบว่าคำร้องถอดถอนตนเอง ออกจากตำแหน่ง ส.ส.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฉบับที่ 4 การปฏิเสธที่จะให้พยานหลักฐานสำคัญ และไม่ยอมให้ถ่ายสำเนาในการประกอบการชี้แจงข้อกล่าวหา และฉบับที่ 5 เรื่องมติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีภักดี โพธิศิริ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าขาดคุณสมบัติการเป็นกรรมการ ป.ป.ช. มาตั้งแต่ต้น ร่วมประชุมด้วย

นอกจากนี้ นายสุรพงษ์ ยังได้ยื่นเอกสารลับให้กับสมาชิก สนช. ได้พิจารณาด้วย  โดยประธานแจ้งว่า ให้สมาชิกพิจารณาเอกสารลับภายในห้องประชุมเท่านั้น ไม่อนุญาตให้สมาชิกนำเอกสารดังกล่าวออกจากห้องประชุม

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้กำหนดวันแถลงเปิดคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้กล่าวหา และสุรพงษ์ ผู้ถูกกล่าวหา ในวันที่ 16 มี.ค. จากนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาคำขอเพิ่มเติมพยานหลักฐานของสุรพงษ์ จำนวน 2 คำขอ 5 รายการ ได้แก่ 1.หนังสือของสำนักงาน ป.ป.ช. เรื่องขอทราบผลการตรวจสอบการจ่ายเงินเดือนและค่าตอบแทนให้แก่ ภักดี โพธิศิริ  2. หนังสือของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เรื่อง ขอทราบผลการตรวจสอบการจ่ายเงินเดือนและค่าตอบแทนให้ภักดี โพธิศิริ  3. รายงานการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2555  4. รายงานการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2556 และ  5.รายงานการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2559

จากนั้น นายสุรพงษ์  ชี้แจงเหตุผลการขอเพิ่มเติมพยานหลักฐานต่อที่ประชุมว่า การเพิ่มเติมหนังสือเรื่องการตรวจสอบการจ่ายเงินเดือนและค่าตอบแทนของภักดี เนื่องจากภักดีได้ร่วมลงมติชี้มูลว่าตนมีความผิด แต่เมื่อตรวจสอบพบว่า ภักดีขาดคุณสมบัติการเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ตั้งแต่ต้น ซึ่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินชี้ว่า ภักดีไม่ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท องค์การเภสัชกรรมเมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ภายใน 15 วันตามที่กฎหมายกำหนด

ขณะที่ สุภา ปิยะจิตติ  คณะกรรมการ ป.ป.ช. คัดค้านการขอเพิ่มเติมพยานหลักฐาน พร้อมชี้แจงว่า ภักดีได้ชี้แจงและแสดงหลักฐานการลาออกจากทุกบริษัทผ่านสื่อมวลชนไปแล้ว ดังนั้น สถานะของภักดีถือว่าสมบูรณ์ ซึ่งสุรพงษ์ได้เคยขอยื่นหลักฐานนี้ต่อ ป.ป.ช. แต่ ป.ป.ช.เห็นว่า เอกสารดังกล่าวไม่เกี่ยวกับคดีนี้แต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  หลังเสร็จสิ้นการชี้แจง ที่ประชุมมีมติไม่อนุญาตให้สุรพงษ์เพิ่มเติมพยานหลักฐานทั้ง 5 รายการ และมีมติไม่ตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่สรุปข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานอันจำเป็นของคู่กรณี เนื่องจากที่ประชุมเห็นว่า ไม่ใช่คดีที่มีความซับซ้อนแต่อย่างใด

สุรพงษ์" รับรู้สึกกังวลผลถอดถอน เผยอยากให้สังคมเห็นว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการออกหนังสือเดินทาง "ทักษิณ"

สุรพงษ์ ได้กล่าวภายหลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไม่อนุญาตให้เพิ่มเติมพยานเอกสารที่ขอเพิ่มทั้ง 5 รายการว่า ตอนแรกที่ตัดสินใจมาชี้แจงเพราะคิดว่าสนช.จะพิจารณาด้วยความเป็นธรรม แต่เมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ ก็ยอมรับว่ากังวลถึงผลการลงมติถอดถอนที่แม้จะชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทราบอย่างไร ผลลัพธ์ไม่น่าจะแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามยังอยากมาชี้แจงทั้งในวันแถลงเปิดคดีและปิดคดี เพื่อให้สังคมได้เห็นว่าข้อกล่าวหาของป.ป.ช.ไม่น่าเชื่อถืออย่างไร และมีหลักฐานชัดว่าตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับการออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เป็นเรื่องของข้าราชการประจำที่ดำเนินการ  ดังนั้นจึงอยากให้รัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งไม่มีมาตราเรื่องการถอดถอน อย่าเพิ่งมีผลบังคับใช้ เพราะจะได้แถลงความจริงให้ประชาชนรับทราบ

"ใจผมยังไม่อยากให้รัฐธรรมนูญออกมาตอนนี้ อยากให้พิสูจน์ความจริง สังคมจะได้เห็นประจักษ์ว่าผมได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ เหมือนกับเอาหลักฐานมาแฉกันเลย เพราะเรื่องนี้ข้าราชการ ผู้หลักผู้ใหญ่ของกระทรวงต่างให้ข้อมูลมา"นายสุรพงษ์ กล่าว

สำหรับกรณีที่ร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวิธีพิจารณาคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะไม่นับอายุความของนักการเมืองที่หนีคดีนั้น นายสุรพงษ์ กล่าวว่า กฎหมายใดก็ตาม ควรต้องมีบทบัญญัติที่เท่าเทียมกันทั้งนักการเมือง ข้าราชการ และประชาชน เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและเป็นธรรม ไม่ควรยกเว้นให้ผู้หนึ่งผู้ใด หากทำเช่นนี้ได้ ความสามัคคีปรองดองจึงจะเกิดขึ้น และกรณีของข้าราชการประจำ หากทำผิด ควรจะมีบทบัญญัติที่รุนแรงกว่านักการเมืองด้วยซ้ำ เพราะอยู่นาน นักการเมืองมาแล้วก็ไป

เรียบเรียงจาก: สำนักข่าวไทย 1, 2

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คนทำงาน กุมภาพันธ์ 2560

Posted: 09 Mar 2017 12:45 AM PST

ศาลยกฟ้อง กรณีทุ่งคำฟ้องประธานสภาอบต.เขาหลวง ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ

Posted: 09 Mar 2017 12:26 AM PST

ศาลพิพากษายกฟ้อง สมัย ภักดิ์มี ประธานสภาอบต.เขาหลวง กรณี บ.ทุ่งคำ ฟ้องผิดต่อหน้าที่ราชการ เหตุถอนเรื่องการขออนุญาติใช้ที่ดินส.ป.ก. เพื่อทำเหมืองแร่ทอง ออกจากการพิจารณา ศาลชี้ประธานสภาฯ ทำถูกต้องแล้ว และไม่ได้ทำให้หน่วยงานราชการเสียหายแต่อย่างใด

สมัย ภักดิ์มี ประธานสภา อบต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย

9 มี.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลจังหวัดเลย ได้มีการนัดฟังคำพิพากษา กรณีบริษัททุ่งคำ จำกัด ผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำ ในพื้นที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง สมัย ภักดิ์มี ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง ในฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ คดีดำหมายเลข อ.244/2559

เวลา 09.00 น. สมัย ภักดิ์มี ได้เดินทางมาที่ศาล พร้อมกับชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดกว่า 200 คน ที่เดินทางมาร่วมคำพิพากษาพร้อมให้กำลังใจแก่ประธานสภา อบต.เขาหลวง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้บริษัททุ่งคำ จำกัด ได้อ้างหนังสือที่ประธานสภา อบต.เขาหลวง ส่งถึงบริษัททุ่งคำ จำกัด เมื่อวันที่ 7 ก.ย 2559 ระบุว่า การประชุมสภาเมื่อวันที่ 28 ส.ค 2558 ได้ถอนเรื่องการขออนุญาติใช้ที่ดินส.ป.ก. เพื่อทำเหมืองแร่ทองของบริษัททุ่งคำ จำกัด ออกจากวาระการประชุม โดยอ้างว่าคำขอของบริษัททุ่งคำ จำกัด ขัดต่อพ.ร.บ.ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรเนื่องจากการทำเหมืองแร่ไม่ใช่การทำเกษตรกรรม แม้ว่าสมาชิกมากสภา อบต. จำนวน 16 คน ได้อภิปรายอนุญาตให้ใช้พื้นที่ป่า แต่ประธานสภาฯ ได้ยุติการพิจารณาเรื่องของบริษัทลง ด้วยเหตุที่ประธานสภาฯ มีเจตนาให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท นอกจากนี้ ยังเคยแสดงออกถึงการต่อต้านบริษัทมาก่อน การกระทำการดังกล่าวของประธานสภาฯ จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาตรา 157 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 13

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้บริษัทได้พยายามที่จะฟ้องร้องคดีเพื่อให้ศาลลงโทษประธานสภาฯ ในข้อหาเดียวกันนี้ ตามคดีหมายเลขดำที่ อ.687/2558 ในกรณีที่ประธานสภาฯ ไม่นำเรื่องการขอต่อใบอนุญาตใช้พื้นที่ป่าและพื้นส.ป.ก. เพื่อทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัททุ่งคำ จำกัด เข้าที่ประชุมสภาอบต.เขาหลวง คดีดังกล่าวนี้ศาลพิพากษา "ยกฟ้อง" เนื่องจากพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์ไม่ชัดเจน ไม่สามารถรับฟังได้ว่าประธานสภาอบต.เขาหลวงผิดจริงตามข้อกล่าวหา

เวลา 10.00 น.ศาลพิพากษาคดีสมัย ภักดิ์มี ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ศาลมีความเห็นยกฟ้องในคดีนี้ โดยให้เหตุผลว่า ระเบียบกรมป่าไม้ที่ให้ขอความเห็นทาง อบต. เพื่อประกอบการตัดสินใจ แม้ไม่ใช่อำนาจหน้าที่โดยตรงของ อบต. เพียงแต่ว่าระเบียบกรมป่าไม้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นมีโอกาสได้สะท้อนปัญหา แสดงความคิดเห็นมาตั้งแต่ต้น เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาเมื่อมีการอนุมัติอนุญาตไปแล้ว อบต.ไม่มีอำนาจโดยตรงในการอนุญาตหรือไม่อนุญาตการขอใช้พื้นที่ป่าไม้

นายสมัย ภักดิ์มีได้จัดการให้มีการประชุมสภาแล้ว และได้เชิญหน่วยงานราชต่างๆ มาชี้แจงข้อมูล และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพูดถึงปัญหา ซึ่งศาลเห็นว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบมี 6 หมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่ต่ำกว่าเหมือง และอีก 7 หมู่บ้านซึ่งมากกว่าที่ไม่ได้รับผลกระทบ ฉะนั้นการรับฟังข้อมูลเหล่านี้ จะเอาจำนวนมาตัดสินไม่ได้ว่าใครมากกว่าหรือน้อยกว่า ในเมื่อมีผลกระทบแล้ว แม้จะมีแค่หมู่บ้านเดียวก็เป็นเรื่องที่หน่วยงานควรจะรับฟังเพื่อเอาไปประกอบการตัดสินใจ เพราะฉะนั้นจะมีการลงมติหรือไม่ลงมติ ไม่ใช่สาระสำคัญ ในเมื่อนายสมัย ภักดิ์มีได้จัดให้มีการประชุมแล้ว ให้หน่วยงานต่างๆ แสดงความเห็น และได้นำบันทึกการประชุมที่มีการแสดงความคิดเห็นส่งไปให้หน่วยงานพิจารณา ถือว่าทำถูกแล้ว ไม่ได้ทำให้หน่วยงานราชการและโจทก์เสียหายแต่อย่างใด

สำหรับ เรื่อง ส.ป.ก. ก็มีหนังสือจากกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้ชลอเรื่องนี้ และก็มีคำพิพากษาศาลที่ให้เพิกถอนระเบียบส.ป.ก.ที่อนุญาตให้ใช้ทำเหมืองแร่ทองคำได้ นายสมัย ภักดิ์มีได้เอามาประกอบการพิจารณา ศาลเห็นว่าการทำแบบนี้เป็นประโยชน์กับพื้นที่และราษฎร ไม่ได้ทำผิดกฏหมายเมื่อนายสมัย ภักดิ์มี ได้ทำเรื่องหารือกับส.ป.ก.แล้วและประกอบกับวันที่ประชุมสภาอบต.เขาหลวงที่ไม่มีมติในที่ประชุม ก็ทำไปเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย เพราะถ้าไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ ศาลจึงพิพากษาว่า นายสมัย ภักดิ์มี ประธานสภาอบต.เขาหลวงไม่มีความผิด ยกฟ้อง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น