โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

กสม.ลงพื้นที่ วิสามัญฯ 'ชัยภูมิ ป่าแส' พาพี่ชาย ขึ้นโรงพักลงบันทึกประจำวัน หลังถูกขู่

Posted: 25 Mar 2017 07:08 AM PDT

กสม. 'อังคณา-เตือนใจ' ลงพื้นที่ วิสามัญฯ 'ชัยภูมิ ป่าแส' พา ไมตรี พี่ชายบุญธรรม ไปลงบันทึกประจำวันเรื่องโดนข่มขู่ที่ สภ. นาหวาย พร้อมเยี่ยมบ้าน 'อาเบ แซ่หมู่' ที่ถูกวิสามัญฯ เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมาด้วย ด้านทหารแจงปมเปิดภาพจากกล้องวงจรปิด ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ

ที่มาภาพ เว็บไซต์ กสม.

25 มี.ค.2560 สืบเนื่องจากเหตุการณ์ทหารวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ที่ผ่านมา มีข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติการณ์การเสียชีวิตของชัยภูมิจากทั้งทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร รวมไปถึงพยานในเหตุการณ์หลายปาก (อ่านที่นี่) หลังจากวานนี้ (24 มี.ค.60) เครือข่ายเยาวชนต้นกล้าชนเผ่าพื้นเมืองเดินทางเข้าร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและลงพื้นที่ติดตามกรณีดังกล่าว และสร้างหลักประกันความปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่และคืนความเป็นธรรมให้แก่ผู้เสียชีวิตและครอบครัว เนื่องจาก ไมตรี จำเริญสุขสกุล ประธานกลุ่มรักลาหู่ ซึ่งเป็นพี่ชายบุญธรรมของชัยภูมิ ที่กำลังถูกคุกคาม ด้วยการวางกระสุนปืนไว้หน้าบ้านไมตรี

ล่าสุดวันนี้ (25 มี.ค.60) อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและการเมืองพร้อมด้วย เตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านสถานะบุคคล สิทธิกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ลงพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือในการประสานการคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชน กรณีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกข่มขู่คุกคาม พร้อมสร้างขวัญกำลังใจแก่ครอบครัวผู้เสียหาย ณ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

ที่มาภาพ เว็บไซต์ กสม.

อังคณา ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวประชาไทด้วยว่า ลงพื้นที่เกิดเหตุแล้ว ได้พาไมตรีไปลงบันทึกประจำวันเรื่องโดนข่มขู่ที่ สภ. นาหวาย

สำหรับกรณีการคุ้มครองการละเมิดสิทธิฯ อังคณา กล่าวว่า จะประสานต่อไปให้กรมคุ้มครองสิทธิฯ กระทรวงยุติธรรมดูแลต่อ

นอกจากนี้ อังคณา กล่าวด้วยว่า ได้ไปเยี่ยมบ้าน อาเบ แซ่หมู่ ที่ถูกวิสามัญฯ เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา พร้อมรับเรื่องร้องเรียนจากแม่และน้องชายของเขาแล้ว และจะตรวจสอบต่อไปว่ากระบวนการไปถึงไหนแล้ว เนื่องจากกรณีดังกล่าวเงียบหายไปนาน

สำหรับกระบวนการหลังจากนี้ อังคณา ระบุว่า จะกลับไปประเมินข้อมูลที่ได้มาเพื่อพิจารณาแนวทางต่อไป โดยในวันนี้เจ้าหน้าที่ให้ความร่วมมือดี หลังจากชี้แจงว่ามาทำอะไร เจ้าหน้าที่ก็เข้าใจและให้ทำงาน

PPTV รายงานบรรยากาศที่ กสม. เดินทางเข้าเยี่ยมบานของ อาเบ แซ่หมู่ ชาวลีซู ที่ถูกวิสามัญ ด้วยว่า เป็นอีกจุดที่อังคณาและเตือนใจ เข้าไปเยี่ยม ทำให้แม่ของผู้เสียชีวิตโผเข้ากอดและร่ำไห้ทันที เพราะเป็นหน่วยงานแรกที่เข้ามาพบ หลังพยายามร้องเรียนผ่านหลายหน่วยงาน โดย เตือนใจ รับปากจะนำกรณีวิสามัญ อาเบ เข้าพิจารณาให้ความเป็นธรรมเช่นเดียวกับคดีของ ชัยภูมิ

ทหารแจงปมเปิดภาพจากกล้องวงจรปิด ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ

วันเดียวกัน Voice TV รายงานด้วยว่า พล.ต.จิรเดช กมลเพ็ชร ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง พร้อมตัวแทนตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่  อัยการจังหวัดเชียงใหม่ และโรงพยาบาลนครพิงค์  ร่วมแถลงข่าวคืบหน้าการคลี่คลายคดีวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส โดยประเด็นสำคัญที่สื่อมวลชนให้ความสนใจ  คือการเปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดที่ด่านตรวจค้น ซึ่งเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.สมพงษ์ แจ้งจำรัส รองแม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบกรณีนี้ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า จะเปิดเผยภาพดังกล่าว ขณะที่วันนี้ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง ตอบเพียงสั้น ๆ ว่าอยู่ระหว่างดำเนินการ

ด้านตัวแทนตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า คดีนี้มีการทำ 3 สำนวนคือ ข้อหาครอบครองยาเสพติด และต่อสู้ขัดขืนเจ้าพนักงาน ไต่สวนการเสียชีวิตและสำนวนการชันสูตรพลิกศพ ซึ่งตามกฎหมายหากเป็นการเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ กำหนดให้อัยการเข้าร่วมทีมสอบสวนด้วย ซึ่งตัวแทนอัยการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในกรณีนี้ ได้ร่วมพิจารณาสำนวนไต่สวนการเสียชีวิตและการชันสูตรพลิกศพ  

ซึ่งขณะนี้ยังรอผลการชันสูตรพลิกศพอย่างเป็นทางการ จากทีมแพทย์โรงพยาบาลนครพิงค์ ด้านตัวแทนโรงพยาบาลเปิดเผยว่าเบื้องต้นผลการชันสูตรพลิกศพเบื้องต้นว่า ชัยภูมิ ถูกยิงด้วยกระสุน 1 นัดที่แขนซ้าย กระสุนแฉลบเข้าด้านสีข้าง กระทบปอด และหัวใจจนทำให้เสียชีวิต  ส่วนข้อสังเกตเรื่องการซ้อมทรมาน ยังต้องรอผลการตรวจอีก 3 - 4 วัน และหากญาติผู้เสียชีวิตติดใจในประเด็นนี้สามารถนำร่างมาชันสูตรได้อีกครั้ง  

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รถแดงเชียงใหม่เตรียมเข็น 'แกร็บสี่ล้อแดง' มาสู้ 'อูเบอร์'

Posted: 25 Mar 2017 06:10 AM PDT

กลุ่มคนขับสี่ล้อแดงเชียงใหม่ เตรียมกู้ภาพลักษณ์ยุคไอทีจัดทำแอปพลิเคชัน 'แกร็บสี่ล้อแดง' ขึ้นมาสู้ 'อูเบอร์' ระบุจากนี้ไปค่าบริการไม่เกิน 30 บาท และเหมาในพื้นที่ไม่เกิน 200 บาท มีมาตรการควบคุมเข้มขึ้นใครทำผิดซ้ำซากโทษหนักถอดใบสมาชิก ด้านขนส่งเชียงใหม่เชื่อหลังจากนี้ปัญหาจะลดลงแต่จะแข่งขันกันที่คุณภาพมากขึ้น 

 
 
ที่มาภาพ: presspeoplethailand.com
 
เว็บไซต์ presspeoplethailand.com รายงานเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2560 ที่ผ่านมาว่าที่สหกรณ์นครลานนาเดินรถ หรือ สี่ล้อแดง ถนนมหิดล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นายชาญชัย กีฬาแปง ขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมตัวแทนทหารมณฑลทหารบกที่ 33 กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จังหวัดเชียงใหม่ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หัวหน้าฝ่ายวิชาการขนส่งเชียงใหม่ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ และนาย สิงห์คำ นันติ ประธานสหกรณ์นครลานนาเดินรถ จำกัด จัดอบรมพนักงานขับรถสี่ล้อแดงรุ่นที่ 2 จำนวน 100 คน ตามโครงการยกระดับให้บริการรถสาธารณะจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีการอบรมทุกวันศุกร์รุ่นละ 100 คน ทั้งหมด 2,500 กว่าคน
 
ด้านนายสิงห์คำ กล่าวว่าขณะนี้กำลังมีการยกระดับมาตรฐานของรถสี่ล้อแดง ตามมาตรการของจังหวัดเชียงใหม่ให้กับรถสี่ล้อแดงของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นกลุ่มแรกที่จะทะยอยเข้าสู่การอบรมต่อการเข้าสู่ยุคไอทีทำให้พนักงานขับรถต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันกันของการให้บริการรถสาธารณะกลับมาให้มีความเชื่อมั่นของประชาชนมากยิ่งขึ้น โดยใช้ระบคิวอาร์โค้ดในการให้บริการในเบื้องต้น แต่หลังจากนี้ได้พัฒนาสู่แอปพลิเคชันแกร็บสี่ล้อแดงซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยจะให้ผู้สมัครใจเข้าร่วมก็มีลงทะเบียนแล้ว 100 กว่า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะใกล้เทศกาลสงกรานต์ จากนี้มาตรฐานค่าบริการจะเท่ากันที่ไม่เกิน 30 บาท และเหมาในพื้นที่ไม่เกิน 200 บาท จากนี้จะมีมาตรการควบคุมเข้มขึ้น ผู้กระทำความผิดซ้ำซากโทษหนักถอดใบสมาชิก
 
ด้านายชาญชัย กล่าวว่าเริ่มต้นของการยกระดับรถสาธารณะของจังหวัดเชียงใหม่ เริ่มรถสี่ล้อแดงเป็นกลุ่มแรกเพราะเป็นหนึ่งของสัญลักษณ์เมืองเชียงใหม่ เป็นที่รู้จักของชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาแล้วต้องใช้บริการสี่ล้อแดง แต่หลังจากเกิดปัญหาด้านมาตรฐาน คุณภาพ การบริการ และราคา แต่หลังจากนี้จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเพราะการแข่งขันมีสูงรถถูกต้องก็ต้องทำให้มีมาตรฐานเพื่อเรียกชื่อเสียงของรถสี่ล้อแดงกลับมา ทั้งการแต่งกาย การพูดจา การให้บริการ
 
ส่วนตัวแทนจากทหารมณฑลทหารบกที่ 33 กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จังหวัดเชียงใหม่ ได้นำคำสั่ง คสช. ถึงรถสาธารณะที่ออกมาให้แก่สมาชิกรถสี่ล้อแดงได้นำไปอ่านศึกษา ให้เข้าใจ ต่อการให้บริการรถสาธารณะ พร้อมทำความเข้าใจต่อปัญหาการร้องเรียน การกระทำความผิดต่างๆ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวถือปฎิบัติร่วมกันต่อการให้บริการต่อประชาชนและนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาได้รับความประทับใจอุ่นใจของการใช้บริการรถสาธารณะของจังหวัดเชียงใหม่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ จัดหนัก 'เอ็นจีโอ' ขอร้องอย่าเป็นอุปสรรคการพัฒนาในพื้นที่

Posted: 25 Mar 2017 05:56 AM PDT

ประยุทธ์ อัด 'เอ็นจีโอ' คิดจะต่อต้านอย่างเดียว ไม่สร้างสรรค์ บางทีไปพูดจาเสียหายในต่างประเทศ ขอร้องอย่าให้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาภายในพื้นที่ อย่าทำตัวกันเป็น "จระเข้ขวางคลอง" หรือไม่ก็ ปิดหู ปิดตา คัดค้านตลอดเวลา 

เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงประเด็นรายงานของเครือข่ายการแก้ปัญหาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDSN) ภายใต้องค์การสหประชาชาติที่ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมี  "ความสุข" อยู่ในอันดับที่ 32 จาก 155 ประเทศทั่วโลก ขยับขึ้นมา 1 อันดับจากปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งกล่าวถึงกรณีรัฐบาลได้บูรณาการ นโยบายการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  การส่งเสริมบัญชีนวัตกรรมไทย กลไกประชารัฐและ Thailand 4.0

พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวถึงปัญหาสำคัญและอุปสรรคของประเทศไทย เช่น การจัดทำผังเมือง การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ การศึกษา โครงสร้างทางเศรษฐกิจ รวมทั้งปัญหาน้ำท่วม–ภัยแล้ง มาตราการของกระทรวงพาณิชย์ที่พยายามในการรักษาความเป็นธรรมและสร้างความสุข 3 มาตรการ คือ การดูแลราคาสินค้า การลดภาระค่าครองชีพของประชาชนโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร และการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมทั้งกล่าวถึงการบิดเบือนข้อเท็จจริง และทิศทางการกระจายอำนาจ 
 
"หลายพื้นที่หลายแห่งมีปัญหาแล้วยังแก้ไขไม่ได้ ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร ทำให้ใช้จ่ายงบประมาณไม่คุ้มค่า ประชาชนไม่พึงพอใจ การพัฒนาองค์กรก็ไม่พร้อม ทั้งคน องค์กร ความรู้ กระบวนการทำงาน หลายคนอ้างว่าประชาธิปไตยต้องเป็นแบบนี้ ๆ ผมถามว่าประชาธิปไตยที่คนไม่พร้อม จะทำอย่างไรต้องเตรียมคนให้พร้อม วิธีการให้พร้อม ประสิทธิภาพให้พร้อม ถึงจะเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ว่าโดยสมบูรณ์ สากลที่เหมือนนานาประเทศ อารยะประเทศ เขาทำไปแล้ว" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการกระจายอำนาจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
 
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงการทำงานที่ยังไม่บูรณาการอย่างแท้จริงเกิดจากหลายปัจจัย และมีการพูดถึงการทำงานขององค์กรพัฒนาเอกชน หรือ เอ็นจีโอ ตอนหนึ่งด้วยว่า ขอร้องมากหน่อยจะได้ไม่ต่อต้านอีกต่อไป ถ้าคิดจะต่อต้านอย่างเดียวแล้วไม่สร้างสรรค์ บางทีไปพูดจาเสียหายในต่างประเทศทั้งที่บางเรื่องจริงบ้าง บางเรื่องไม่จริง และอย่าให้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาภายในพื้นที่
 
"ขอร้องเอ็นจีโอวันนี้ ขอร้องมากหน่อยจะได้ไม่ต่อต้านอีกต่อไป ถ้าคิดจะต่อต้านอย่างเดียวแล้วไม่สร้างสรรค์ ผมว่าไม่น่าจะใช่การทำงานที่ถูกต้อง อย่าลืมว่าท่านก็เป็นคนไทย บางทีไปพูดจาเสียหายในต่างประเทศทั้งที่บางเรื่องจริงบ้าง บางเรื่องไม่จริง ส่วนใหญ่ไม่จริงก็มาก เรื่องจริงก็มี ก็แก้กันไปไม่บอกเราแล้วจะไปแก้กันได้ยังไง จะให้ใครมาแก้ จะให้เขามาบังคับประเทศไทย คิดบ้างตรงนี้ ทำเพื่อประเทศชาติกันบ้าง ทุกคนมีเหตุมีผล มีหลักคิด ทำหน้าที่ของตน อย่าให้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาภายในพื้นที่ ถ้าไม่ทำ เศรษฐกิจก็ดีขึ้นไม่ได้ เงินทอง รายได้ ก็ไม่หมุนเวียน ไม่กระจาย บางคนก็บ่นว่ารวยเป็นกระจุก จนเป็นกระจาย  ถ้าไม่ร่วมมือก็เป็นอย่างนี้ ต้องช่วยกันสร้างความเชื่อมโยง เสียสละแบ่งปัน ปัญหาน้อยใหญ่ในอดีต จะได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นแก้ไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งถึงเอ็นจีโอ
 
โดยมีรายละเอียดดังนี้

แสดงความยินดี-ยกย่อง 'ศรีสะเกษ'

ผมมีข่าวที่น่ายินดีของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาอันได้แก่ การคว้าตำแหน่งแชมป์มวยโลก WBC รุ่นซุปเปอร์ฟลายเวต ของ "ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น" ซึ่งเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศ และสร้างความสุขให้กับคนไทยด้วย ผมขอแสดงความยินดี ขอยกย่องความมุ่งมั่น ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว จนสามารถเอาชนะอดีตแชมป์โลกได้ในที่สุด สำหรับความสำเร็จในครั้งนี้ คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยความมุมานะฝึกฝนอย่างหนัก ซึ่งสำคัญที่สุดต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ก่อนด้วย จึงอยากให้เยาวชนไทยดู ศรีสะเกษ เป็นแบบอย่าง แต่สิ่งที่ยากและสำคัญกว่านั้น คือการใช้สติ มีวินัย เพื่อการรักษาแชมป์ อยู่ในตำแหน่งอย่างสมศักดิ์ศรี คนไทยทุกคน ก็ต้องเป็นกำลังใจให้ทุกนักกีฬาของเราที่ไปแข่งขันที่ต่างประเทศ

อันดับความสุขโลกของไทยขยับมาอยู่ที่ 32

อีกความสุขของคนไทยก็คือ การรายงานของเครือข่ายการแก้ปัญหาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDSN) ภายใต้องค์การสหประชาชาติที่ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมี  "ความสุข" อยู่ในอันดับที่ 32 จาก 155 ประเทศทั่วโลก ขยับขึ้นมา 1 อันดับจากปีที่ผ่านมา ก็อยากให้พี่น้องประชาชน ร่วมภาคภูมิใจนะครับ บนบันไดสู่ความสำเร็จนั้น เราค่อย ๆ ก้าวกันที่ละขั้น อย่างค่อยเป็นค่อยไป และมั่นคง ก็จะเป็นภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่ดี ในสายตานานาอารยประเทศ อะไรที่ดีก็ช่วยกันรักษา อย่าทำลายกัน อย่าบิดเบือนกัน แล้วพัฒนากันให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่าสร้างการรับรู้ผิด ๆ ให้กับสังคม  สิ่งใดที่ยังบกพร่อง ต้องใช้เวลา ก็ต้องช่วยกันแก้ไขกันต่อไป ทั้งนี้ ก็เพื่อลูกหลานของเราในอนาคตด้วย อีกประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญมาตลอด คือ การแก้ปัญหาขยะที่ได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ และก็อยู่ในความสนใจของประชาคมโลกเช่นกัน  

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ขับเคลื่อนการดำเนินการ โครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะ เพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง RDF และปุ๋ยอินทรีย์ ที่เป็นเทคโนโลยีของคนไทยพัฒนาใช้เอง และดำเนินการจนเห็นผลแล้วหลายพื้นที่ โดยโครงการนี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปี 2559 ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยอย่างเป็นรูปธรรม และรับรองผลได้เป็นครั้งแรกที่ผ่านมาเราไม่ช่วยกัน หรือว่าเคยกำจัดขยะกันด้วยวิธีที่ถูกต้อง หรือเดินระบบไม่ได้จริง แล้วปล่อยทิ้งไว้เป็นอนุสาวรีย์สิ่งปฏิกูลครั้งนี้ รัฐบาลได้บูรณาการ 5 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบโจทย์ที่เป็นการสนองตอบรัฐบาลได้นะครับ ที่เป็นนโยบาย 4 ข้อด้วยกัน

เปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงาน

นโยบายแรก คือการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยนำขยะมาเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิง แล้วนำไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม หรือผลิตไฟฟ้า  ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิต ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งในปี 2560 นี้ การบริหารจัดการขยะ จะต้องมีความก้าวหน้าให้ได้มากที่สุดนะครับ

บัญชีนวัตกรรม

นโยบายที่สอง คือการส่งเสริมบัญชีนวัตกรรมไทย ที่เป็นหนึ่งในกลไกภาครัฐ ในการเชื่อมโยงระหว่างผลงานวิจัย ที่ สกว. และ กระทรวงพลังงาน ได้สนับสนุนการพัฒนาต่อเนื่องมาเกือบ 10 ปี ให้มีการขึ้นทะเบียนเป็นนวัตกรรมไทย เพื่อนำมาผลิตสู่เชิงพาณิชย์ อย่างมีคุณภาพและได้มาตรฐาน ซึ่งเทคนิคการกำจัดขยะนี้ ได้นำ เทคโนโลยีระบบการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มาพัฒนาต่อยอด เราจะไม่ปล่อยให้งานวิจัยดี ๆ ต่าง ๆ เหล่านี้ ขึ้นหิ้งนะครับ เราจะต้องนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม  สร้างระบบ Start Up แล้วก็ให้ กระทรวง วิทยาศาสตร์ฯ ตรวจสอบและรับรองเทคโนโลยี จากนั้นให้กระทรวงการคลังกำหนดราคากลางให้ชัดเจน รับรองเทคนิค รับรองราคา โดยภาครัฐจะต้องตัดวงจรทุจริตในการประมูล ฮั้วประมูลออกไปให้ได้ ก็นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการบูรณาการงานวิชาการกับงานด้านการปฏิบัติเป็นอย่างดี

ประชารัฐ - Thailand 4.0

นโยบายที่สาม คือกลไกประชารัฐ ที่ภาควิชาการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ภาครัฐ สนับสนุนงบประมาณ และชุมชนท้องถิ่น นำไปสร้างระบบเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์   SCG ลงนาม MOU รับซื้อระบบกำจัดขยะนี้ทั้งหมดที่ผลิตได้โดยนวัตกรรมไทย เป็นการสร้างความเข้มแข็ง และมั่นคงที่ยังยืนให้กับชุมชน ไม่ใช่แต่เพียงด้านเศรษฐกิจ แต่รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อมด้วย

นโยบายที่สี่ คือ Thailand 4.0  ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ ถือเป็นการนำเอานวัตกรรมมาปรับใช้ในการใช้ ในการใช้ชีวิตประจำวัน และดูแลสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนให้นวัตกรรมไทย ขายได้ ปลุกพลังนักวิจัยไทยให้ค้นคว้าเพื่อพัฒนาประเทศ และช่วยสะท้อนว่า Thailand 4.0 นั้น เกี่ยวข้องกับทุกด้านของการดำเนินชีวิต ของพวกเราทุกคน พี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม ก็คงไม่ใช่เฉพาะเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น 

นอกจากการสร้างระบบกำจัดขยะนี้ จะสอดคล้องกับมาตรการในประเทศของรัฐบาลแล้ว ยังสามารถตอบโจทย์นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของโลกอีก 2 ด้าน คือ (1) การช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจากบ่อขยะ ที่เป็นบ่อเกิดของก๊าซมีเทน สาเหตุของภาวะโลกร้อน (2) การสนับสนุนให้เกิดเศรษฐกิจสีเขียว  ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ทำให้พี่น้องประชาชนกินดีอยู่ดี ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม หรือระบบนิเวศน์ เป็นการประหยัดทรัพยากร ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ผมขอชมเชยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่เป็นแบบอย่างในการทำงานเชิงรุก มีวิสัยทัศน์ ประยุกต์นโยบายรัฐบาลสู่การปฏิบัติ อย่างบูรณาการ ขอให้ทุกภาคส่วนช่วยกันคิดช่วยกันทำ เพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนของประเทศชาติเป็นหลัก ผมขอยืนยันรัฐบาลและ คสช. จะพยายามสะสางปัญหาที่หมักหมมมายาวนาน เพื่อนำพาประเทศของเราสู่ความ "มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน" ให้จงได้

การจัดทำผังเมือง

ปัญหาสำคัญและอุปสรรคของประเทศไทยก็ยังมีอยู่หลายประการ ผมเคยกล่าวมาหลายครั้ง วันนี้ก็ขอหยิบยกขึ้นมาเพื่อจะสร้างความตระหนักรู้ และขอความร่วมมือในการแก้ไข ช่วยกันเดินไปด้วยกัน ดังนี้ เรื่องที่ 1 การจัดทำผังเมือง ซึ่งยังเป็นปัญหาที่เกิดจากการปล่อยปละในอดีต ส่งผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมายในปัจจุบัน   เนื่องจากการยึดครองพื้นที่ ที่ไม่เป็นไปตามผังเมือง การประกอบการใด ๆ ก็ตาม ส่งผลกระทบทั้งด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การพัฒนาเมือง แล้วก็กีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ ทำให้เกิดน้ำท่วม   เมื่อการจัดผังเมืองที่เราทำไปแล้ว ดำเนินการไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ก็มีผลไปถึงการปฏิรูปที่ดินต่างๆ อีกด้วย ซ้ำเติมด้วยปัญหาการบุกรุก แล้วก็ไม่ยอมออกเมื่อมีการใช้กฎหมาย ประชาชนไม่ยินยอมให้ดำเนินการใดๆ ก็สาเหตุอาจจะเกิดจากความไม่เข้าใจ หรือถูกบิดเบือนจนเข้าใจผิด หรือแม้กระทั่งถูกผลักให้เป็นนอมินีของบรรดานายทุนที่ไม่หวังดี ในส่วนนี้รัฐบาลได้กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ ที่เรียกว่า การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  1 ใน 6 ยุทธศาสตร์ของเรานะครับ 20 ปี เพื่อจะแก้ปัญหาระยะยาวต่อไปโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องการพัฒนาแต่ละเรื่องนั้น เราจะหลีกเลี่ยงผลกระทบเลยคงไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ได้ทั้งหมด 100%  ต้องมีผลกระทบบ้าง เพราะว่าเราละเมิด ละเลยกันมา ปล่อยปละละเลยกันมายาวนาน แต่ผมยืนยันว่า การกระทำใด ๆ ก็ตามนั้น เราเน้นในเรื่องของการที่มีส่วนร่วม ส่วนรวมจะต้องได้ประโยชน์ร่วมกัน มีผู้เสียผลประโยชน์ในเบื้องต้น ให้น้อยที่สุด แล้วก็จะได้รับการเยียวยาที่เหมาะสม ได้ผลประโยชน์กลับคืนมาในภายหลังอีกด้วย 

อีกเรื่องคือปัญหาทางเทคนิค มีการใช้แผนที่หลายอย่างด้วยกัน หลายหน่วยงานด้วยกัน อาจเป็นแผนที่ที่ไม่ตรงกัน มาตราส่วนอาจจะไม่ตรงกัน วันนี้เราต้องแก้ปัญหาตรงนี้ให้ได้ ก็จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดความทับซ้อน หรือเกิดช่องว่างระหว่างแผนที่ที่ไม่ตรงกัน ไม่ทันสมัย มีการทับซ้อน มีช่องว่าง เหล่านี้เป็นบ่อเกิดของการทุจริต พื้นที่จริงกับในแผนที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันนี้ รัฐบาลพยายามหาทางแก้อยู่ ได้พยายามเร่งดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ ที่มีมาตราส่วนเดียวกัน คือ 1:4,000 ที่เรียกว่า One Map  เอาอันนี้มาใช้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเป็นพื้นฐาน เมื่อเป็นพื้นฐานออกมาแล้ว ก็เอาแผนที่ของแต่ละหน่วยงานออกมาเทียบดู มีช่องว่าง มีจุดที่เหลื่อมล้ำตรงไหนก็ไปแก้ปัญหากันตรงนั้น ให้ตรงจุด ก็จะเป็นพื้นฐานในการแก้ไขปัญหา และเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการที่จะปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ เป็นหนึ่งยุทธศาสตร์เหมือนกัน ใน 6 ข้อ 6 ยุทธศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาในอดีต อย่างยั่งยืน

การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ 

เรื่องที่ 2 การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่ภาครัฐและภาคเอกชนต้องทำให้เกิดความเป็นธรรมร่วมกัน ทำทุกอย่างให้เป็นการถูกกฎหมาย ถูกต้อง แข่งขันเสรี มีการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส แล้วไม่ให้เกิดพัวพันไปถึงเรื่องการทุจริต ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ก็เป็นปัญหาของประเทศ มาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว ติดขัด ทำอะไรไม่ได้มากนักในการพัฒนาขนาดใหญ่  รัฐบาลนี้ก็ได้กำหนดให้เป็น "วาระแห่งชาติ"เช่นกัน เราจะมุ่งมั่นแก้ไขให้ได้ในเร็ว ทั้งนี้ การบังคับใช้กฎหมาย และการป้องกันสังคมของเรานั้น ให้ปราศจากคอร์รัปชั่น ผมเห็นว่าเราต้องไม่ปล่อยให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่ หรือหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานตรวจสอบต่าง ๆ องค์กรอิสระเท่านั้น ต้องเป็นหน้าที่ของพลเมือง "ทุกคน" ที่ต้องช่วยกันเป็นหู เป็นตา เพราะว่ามีผลเสียตกที่พวกเราทุกคน คือผู้ได้รับประโยชน์คือคนไทยทั้งประเทศ เพราะฉะนั้น ทั้งผู้ให้ ผู้รับ ทั้งฝ่ายรัฐ ผู้ประกอบการ เราต้องร่วมมือกัน ต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน แล้วเปลี่ยนผ่านตรงนี้ไปให้ได้ ไม่อยากให้โทษกันไป โทษกันมา องค์กรอิสระ หน่วยงานตรวจสอบก็มีหน้าที่ตรวจสอบ ก็ตรวจสอบไป ให้ได้ข้อยุติออกมาก็เป็นไปตามนั้น 

เรื่องการลงทุนเพื่ออนาคตนั้น เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์สร้างความมั่งคั่งของชาติ ใน "การสร้างความสามารถในการแข่งขัน" ก็เป็นอีกยุทธศาสตร์หนึ่งใน 6 ยุทธศาสตร์ ซึ่งในส่วนของการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตนั้น เป็นปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญ และต้องดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องในระยะยาว ที่ผ่านมานั้นเราค่อย ๆ แก้ปัญหามาทีละเปลาะ ๆ หลายอย่างด้วยกันที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ว่าสั่งวันนี้ว่าอย่าทุจริต แล้วจะแก้ได้เลย ย่อมไม่ได้ ต้องดูกฎหมาย ช่องโหว่กฎหมาย มาตรการ ราคากลาง การจัดซื้อจัดจ้าง วิธีการต่าง ๆ มากมายทั้งหมดแกะออกมา แล้วค่อยๆ แก้ วันนี้ก็แก้ไปมากแล้ว อาจยังไม่ได้ผล 100% แต่จะได้ 100% ทุกคนต้องช่วยกันดูแล แล้วแจ้งกันมาตั้งแต่ต้น จะได้ไม่ลุกลามบานปลายไปถึงตอนท้ายเสียหายมากขึ้น ต้องทำ ให้ได้มากที่สุด ก็ขอความร่วมมือทั้งฝ่ายข้าราชการ รัฐ ผู้ประกอบการ ประชาชน ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ต้องทำให้ได้มากที่สุด เริ่มกันวันนี้ วันหน้าก็จะเรียบร้อย แล้วประสบผลสำเร็จ 100% อย่างที่ทุกคนต้องการ และข้อสำคัญอะไรก็ตามที่ทำได้แล้วอย่าปล่อยให้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด  เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ "การปลูกจิตสำนึก" เราต้องการให้พี่น้องประชาชนลูกหลาน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ อีกข้อคือในเรื่องของการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนของประเทศอีกด้วย

ขอความร่วมมือกับบรรดา NGO

เรื่องนี้ต้องขอความร่วมมือกับบรรดา NGO ทั้งหลาย ทั้งที่หวังดีหรืออาจจะไม่เข้าใจช่วยกันดูแลในเรื่องการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งต้องให้สมดุลกับการรักษาทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม ถ้าอันใดอันหนึ่งไม่สมดุลกันก็ไปไม่ได้ทั้งคู่ แล้วก็รักษาไม่ได้ทั้งสองอย่าง แล้วประชาชนก็ไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกมิติ ยุทธศาสตร์ที่ยกตัวอย่างไป 3-4 ยุทธศาสตร์ เป็นส่วนหนึ่งของ 6 ยุทธศาสตร์หลัก 20 ปี ไม่เห็นน่ากลัวตรงไหนเลย เป็นหัวข้อยุทธศาสตร์กว้าง ๆ คราวนี้ทุกรัฐบาลก็ต้องไปคิดกิจกรรมมาว่าจะทำอะไร แก้ปัญหาขยะแก้ยังไง จะพัฒนาคน พัฒนาเรื่องอะไรบ้าง ก็ไปเขียนกันมา ไปทำโครงการกันมา แล้ววันหน้าก็บริหารกิจกรรมแบบเชิงยุทธศาสตร์ ก็เดินหน้าไปได้ ไม่ใช่ทำงานด้วยพันธะกิจอย่างเดียว หรือตั้ง Area Base อย่างเดียว ก็ไม่เกิดความเชื่อมโยง จึงจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ แล้วปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อสถานการณ์โลกมีความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

การศึกษา-พัฒนาทรัพยากรมนุษย์

เรื่องที่ 3 เรื่องการศึกษา ผมย้ำมาหลายครั้งแล้วว่า สำคัญที่สุด เกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การขาดหลักคิด ไม่ใช่คิดเป็น แต่ไม่มีหลักในการคิดที่มันถูกต้อง ชอบธรรม มีศีลธรรม มีคุณธรรม จริยธรรม ถ้าคิดแบบอะไรก็ได้ ก็อาจจะมีทั้งถูกทั้งผิด เพราะจะเป็น "ต้นตอ" ของทุกปัญหา ถ้าเรามีหลักที่ถูกต้อง แล้วปรับหลักคิดให้สอดคล้องต้องกัน รับฟัง ปรึกษาหารือกัน ก็จะไปได้เร็ว สำหรับการพัฒนาประเทศ สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว กำลังทุ่มเทอย่างมากในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ถึงมีผลสำเร็จมาโดยตลอด ของเราต้องเร่งดำเนินการ ให้มีคุณภาพ ด้วยการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ถ้าเรายังติดอยู่กับหลักคิดที่แย่ ๆ ไม่เท่ากัน ไม่เป็นพื้นฐานอันเดียวกัน หลักคิดพวกนี้ไม่ได้คิดเหมือน เขาเรียกว่าคิดในทางที่ดี ไม่ใช่คิดในทางที่อะไรก็ได้ คิดเป็นอย่างเดียวไม่ได้ อาจจะมีการคิดโดยผู้ประสงค์ร้ายต่อประเทศชาติก็มี หรือด้วยหวังอำนาจ ผลประโยชน์และเห็นแก่ตัว ที่อาจจะคิดง่าย ๆ ว่า "คนไม่มีการศึกษาและคนมีรายได้น้อย เขาจะปกครองได้ง่าย" ครอบครองได้ง่าย อะไรทำนองนั้น ยังมีการคิดแบบนี้อยู่เหมือนกัน ก็เลยไม่อยากจะพัฒนาให้เขาคิด รู้คิด มีหลักคิด ไม่ต้องการ ไม่สร้างโอกาสให้เขา เพราะจะปกครองยาก รัฐบาลนี้ต้องการให้ทุกคนคิดเป็นทั้งหมด เพราะฉะนั้นหลายอย่างติดขัด อาจจะเป็นเพราะความไม่รู้ ไม่เชื่อใจกันเอง หลายครั้งก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้ที่หวังผลประโยชน์ จากความไม่รู้ของเรานั้น ให้เป็นประโยชน์กับเขาด้วย รัฐบาลนี้มุ่งเน้นการน้อมนำ "ศาสตร์พระราชา" ทุกแขนงในการที่จะพัฒนาคน พัฒนาประชากรของประเทศ ได้กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ ในเรื่องของการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน เป็นพื้นฐาน เป็น "หัวใจ" ของยุทธศาสตร์อื่นๆ อีกด้วยนะครับ สำคัญที่สุดใน 6 ยุทธศาสตร์นั่นแหละ

ปัญหาเศรษฐกิจ

เรื่องที่ 4 ปัญหาเศรษฐกิจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น โครงสร้างทางเศรษฐกิจของเรามีปัญหา มีหน่วยเศรษฐกิจหลายอย่าง หลายขนาด ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน SMEs ที่ผ่านมามีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันน้อยมากนะครับ ต่างคนต่างทำ เพื่อจะสนับสนุนของตัวเองนะครับ แต่ไม่มีความเชื่อมโยงต่อกัน เพราะฉะนั้นมูลค่าก็ไม่เกิดในภาพรวม ไม่เพิ่มเป็นแมส เป็นจำนวนขนาดใหญ่ขึ้นมานะครับ บางที่ภาครัฐก็กำหนดนโยบายออกมา รัฐคิดไปทาง ภาคเอกชนคิดไปอีกทางหนึ่ง ไม่สนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ซึ่งจริงๆแล้วควรเจอกันตรงกลางนะครับ ให้เป็นแบบ win-win ที่ว่าทั้งสองทาง รัฐก็ได้ ประเทศชาติก็ได้ ผู้ประกอบการก็ได้ ประชาชนก็ได้ ทุกคนได้หมด เราจะต้องคิดเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในเรื่องเศรษฐกิจ และเดินหน้าต่อไปให้ได้ ต้องติดตามให้รู้เท่าทัน อีกทั้งกฎหมายซึ่งจะเป็นกฎเกณฑ์  เป็นหลักปฏิบัติที่จะทำให้กับทุกฝ่าย ได้มีการดำเนินทุกกิจกรรมด้วยความโปร่งใส เท่าเทียม ในตลาดการค้าเสรี  บางอย่างนั้นอาจจะยังไม่ทันสมัย ไม่ทันโลก ไม่ทันเทคโนโลยี ก็เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการทางธุรกิจ ทำให้เกิด "ช่องว่าง" ให้เกิดการ "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" สำหรับเจ้าหน้าที่ไม่มีอุดมการณ์ และนักลงทุน ผู้ประกอบการที่ไม่ดี แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว หรือการตอบแทนบุญคุณส่วนตัว ด้วยผลประโยชน์ส่วนรวม หากทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ที่รัดกุม เป็นสากลโปร่งใสทุกขั้นตอน เกื้อกูลทุกฝ่ายเท่าเทียมกัน อย่างที่รัฐบาลนี้พยายามทำอยู่ ก็ไม่น่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ใคร เป็นการเฉพาะ  หากยึดถือผลประโยชน์ส่วนใหญ่ ของประเทศชาติ และประชาชนเป็นที่ตั้ง บางทีก็กล่าวอ้างกันไปกันมา ว่ากฎหมายนี้เพื่อคนนี้ เพื่อคนนั้น ผมไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลย ลองไปดูให้ดี

เศรษฐกิจของประเทศ ประกอบไปด้วยธุรกิจขนาดใหญ่ อาจจะเรียกว่าข้ามชาติด้วย  การลงทุนทั้งในประเทศ ของคนไทยด้วยกัน หรือจากต่าง ประเทศเข้ามาลงทุน หรือเราไปลงทุนที่ต่างประเทศ การประกอบการ SMEs วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ หรือ ร้านค้าขายอิสระทั้งหมด ก็เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาไปพร้อมกัน จะต้องเกื้อกูลกัน ไม่เช่นนั้นก็จะมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่มีรายได้น้อย เพราะส่วนใหญ่มาไม่ถึง เพราะฉะนั้น ส่วนน้อยทำมากก็ได้น้อย เพราะฉะนั้นเราต้องทำทั้งหมดให้เชื่อมโยงกันให้ได้ เรากำลังทำอยู่ ไม่ได้แก้กันได้ง่าย ๆ แบบนั้น เพราะฉะนั้นก็อย่าไปบิดเบือนกันอีกเรื่องเศรษฐกิจแบบนี้ อันตราย   รัฐบาลนี้มีหน้าที่อำนวยความสะดวก ทางด้านกฎหมาย โครงสร้างพื้นฐาน กฎกติกาต่าง ๆ  แล้วในเรื่องของการคมนาคมขนส่ง ระบบสารสนเทศก็ทำตัวเหมือนเป็น "สะพาน" เชื่อมโยง สร้างห่วงโซ่ ในวงจรเศรษฐกิจ ทั้งภายในประเทศ และไปยังต่างประเทศ เราต้องสร้างบรรยากาศ ภาพลักษณ์ ความสัมพันธ์อันดี มีผลต่อความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ และความมั่นคง ในการค้าการลงทุน ทุกคนก็ต้องวางแผนหมดในการใช้จ่าย ใช้เงินทุน ถ้าเขาไม่เชื่อมั่นเขาก็ไปกู้เงินไม่ได้ กู้เงินไม่ได้ ลงทุนไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา

ชวนก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เราต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นในประเทศเราให้ได้ อย่าทำลายกันอีกเลย ว่ากันไป ว่ากันมา ผลกระทบก็ออกไปข้างนอก มีอะไรก็มาบอกกัน มาแก้ไขกัน ถ้าเป็นเจตนาที่บริสุทธิ์ เราก็ทำให้หมด เว้นแต่เจตนาไม่บริสุทธิ์ ผมไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ตรงไหนบกพร่อง ก็จะส่งผลกระทบต่อทุกกลุ่ม เป็นห่วงโซ่ อะไรดีก็ไปดีกันทุกกลุ่ม ถ้าเสียก็เสียทุกกลุ่ม ก็อยากให้ทุกคนได้มองตรงนี้  เข้าใจตรงนี้แล้วร่วมมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลไก "ประชารัฐ" ที่เริ่มมาหลายจังหวัด แล้วทุกจังหวัดก็กำลังเดินหน้าไปอยู่ ถึงแม้ว่าโดยธรรมชาติแล้วทุกคนทราบดี  นักธุรกิจผู้ประกอบการ ก็คงจะต้องหวังผลกำไรให้มากที่สุด เพื่อจะคืนให้ผู้ถือหุ้นด้วย หรือนักลงทุน ในขณะที่ประชาชนต้องการของที่มันถูกที่สุด มีคุณภาพดีที่สุด แต่ถูกที่สุด ซึ่งเป็นความต้องการอะไรที่ตรงกันข้ามอยู่แล้ว แต่ถ้าหากทุกคนเห็นอกเห็นใจกัน เข้าใจกัน รัฐเข้ามาดูแล ให้ความเป็นธรรม แต่ทุกอย่างบังคับมากไม่ได้ ถ้าเขาทำถูกกฎหมาย เขาว่าอย่างไร ก็ว่าอย่างนั้น แต่สิ่งที่เขาจะช่วยเราได้ ก็คือ ผู้ประกอบการต้องนึกถึงว่า คนของเราจะใช้ได้ มีเงินซื้อของเขาหรือเปล่า หรือจะผลิตไปเพื่อต่างประเทศอย่างเดียว ต้องคิดตรงนี้ว่าผลิตอะไรออกมา ต้องมุ่งหวังให้คนไทยใช้ของคนไทยที่ผลิตออกมาเอง แล้วราคาถูกลง ถ้าเราเห็นอกเห็นใจกันแบบนี้ ช่วยเหลือกัน ร่วมมือกันคิด ร่วมมือกันทำ เราก็จะ "ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" เราพูดกันหลายครั้งแล้ว รัฐบาลพร้อมที่จะหามาตรการอื่น ๆ ที่สำคัญ ๆ มาสนับสนุน และแก้ปัญหาให้กับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐ คือตัวข้าราชการ แล้วก็ฝ่ายประชาชน ผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่ทั้งหมดอย่างยั่งยืน 

ดูแลราคา-ลดภาระค่าครองชีพ-กระตุ้นเศรษฐกิจภายใน

ตัวอย่างหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์ได้มีความพยายามในการรักษาความเป็นธรรมและสร้างความสุขให้กับพี่น้องประชาชน ด้วย 3 มาตรการหลักดังนี้ คือ (1) การดูแลราคาสินค้า ได้มีการออกตรวจสอบราคาสินค้าในตลาดสด ห้างค้าปลีก และร้านค้าปลีก เป็นประจำเพื่อป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค อันนี้เราพอจะควบคุมได้บ้าง ต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและตรวจสอบเครื่องชั่ง ตวง วัดสินค้า ให้ได้มาตรฐานและเที่ยงตรงอยู่เสมอ มีกฎหมายนี้ (2)  การลดภาระค่าครองชีพของประชาชนโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร ก็ทำผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ วันนี้ร้านธงฟ้าทันสมัยมาก อยู่ในพื้นที่เอง ก็เหมือนกับห้างร้านทั่ว ๆ ไป มีความทันสมัย มีสินค้าที่จำเป็นที่จะต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เข้าไปดู มีราคาที่ต่ำกว่าท้อง ตลาด ต่ำกว่าห้างนี่ 15 – 20%  และงานธงฟ้า ซึ่งจัดขึ้นเป็นพิเศษในปีที่แล้ว ก็ประเมินแล้วสามารถลดค่าครองชีพของประชาชนได้ 430 ล้านบาท  

(3) การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น การส่งเสริมร้านอาหารหนูณิชย์ นะครับ ที่เน้นสร้างวัฒนธรรมที่ดีของร้านอาหาร คือจะต้อง "อร่อย คุณภาพดี สะอาด ประหยัด" มีการ ขายอาหารปรุงสำเร็จในราคาประหยัดไม่เกินจาน หรือชามละ 35 บาท ปัจจุบันนั้นมีร้านหนูณิชย์ กว่า 12,000 แห่ง ทั่วประเทศนะครับ ที่ไหนยังไม่มีก็คงจะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการต่อไปนะครับ และในอนาคต จะมีการจัดอันดับ"หนูณิชย์อร่อยติดดาว" ที่สามารถดาวน์โหลด Application "หนูณิชย์" เพื่อช่วยค้นหาร้านอาหารหนูณิชย์ทั่วประเทศด้วยครับ  เรื่องที่ 5 บทบาทของ NGOs ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน หากเรายังไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับการพัฒนาประเทศของเรา แล้วก็ไม่เข้าใจบทบาทของรัฐ คือคิดเดิม ๆ แล้วทำแบบเดิม ๆ วันนี้เราเปลี่ยนแปลงมามากแล้วในเรื่องของการบริหารจัดการแผ่นดิน ข้าราชการ ระเบียบ กฎหมาย เปลี่ยน แปลงมามาก ก็ไม่อยากจะให้มุ่ง แต่ประเด็นในกิจกรรมตนเองเท่านั้น คือจะต้องรักษาให้ได้มากที่สุด จะต้องทำอย่างนี้ อย่างนั้นโดยไม่คำนึงถึงส่วนประกอบของการรักษาในเรื่องสิทธิมนุษยชน หรือแม้แต่การรักษาสิ่งแวดล้อม คือถ้าเราคิดอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ผูกพันกับเรื่องการพัฒนาประเทศ

วอนอย่าทำตัวกันเป็น 'จระเข้ขวางคลอง' ค้านตลอดเวลา 

เพราะฉะนั้นเราอย่าไปคิดอะไรที่แบบตกขอบ มองข้ามประเด็นส่วนรวม  อะไรที่เป็นวาระแห่งชาติ อะไรเพื่อคนไทย เพื่อประเทศไทย เราก็จะต้องมีบทบาทร่วมกัน ในการช่วยส่งเสริม ช่วยตรวจสอบ แก้ผิดให้เป็นถูก หาทางออกร่วมกัน ถ้าโจมตีอย่างเดียว บางอย่างก็เสียหาย ช่วยกันแก้ดีกว่า ไม่เช่นนั้นก็เหมือนอย่างที่บอก ทุกคนก็ฟังเวลาพูดออกไป ต่างประเทศก็ฟัง อะไรก็ฟัง บางครั้งก็ถูกบ้าง ผิดบ้าง แล้วก็ไม่เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ การค้าในที่สุดก็มีปัญหา แล้วท่านก็มาบ่นว่าเศรษฐกิจไม่ดี พันไปหมด ไม่ดีตรงไหนก็มาบอก ผมก็แก้ให้หมดนะ เพราะฉะนั้นเราอย่าทำตัวกันเป็น "จระเข้ขวางคลอง" เลย หรือไม่ก็ ปิดหู ปิดตา คัดค้านตลอดเวลา โดยไม่ชั่งน้ำหนัก อย่างที่ผมว่า คือทุกอย่างมีได้ ก็มีเสีย แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะได้มาฟรี ๆ อยากได้อะไรก็ต้องทำเอง รัฐบาลก็จะช่วยให้ เสริมให้ สนับสนุนให้ แต่เราจะทำยังไง ให้ "ได้คุ้มกับที่เสียไป" ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผังเมือง เรืองพลังงาน คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ถนนหนทาง มีปัญหาหมด เพราะว่าเราปล่อยปละละเลยจนกระทั่งประชาชนเข้าไปอยู่ในพื้นที่ซึ่งทำให้ทำอะไรไม่ได้ ก็คัดค้าน ต่อต้านตลอด แล้วก็บอกว่ามีรายได้น้อย แล้วจะให้ทำอย่างไร เศรษฐกิจดีขึ้นไม่ได้ ถ้าทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันไม่ได้ เรารักษาแต่เพียงว่า ก็ดูแลให้เขาอยู่ที่เดิมไปเรื่อย ๆ

เราต้องช่วยกันทำให้โครงการที่สำคัญ เริ่มโครงการเหล่านี้ไปได้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรม บางส่วนเสียประโยชน์ ก็ต้องช่วยดูแลเขา เยียวยาเขา ถ้าไม่ทำอะไรเลย ต่อต้านไปแบบนี้ รัฐบาลทำไม่ได้ มีโครงการทำไม่ได้ ทุกเรื่องจะเดือดร้อนทีหลัง น้ำท่วม ฝนแล้ง พลังงานไม่พอ แหล่งเก็บกักน้ำก็ไม่เพียงพอ ทำระบบระบายน้ำ ก็ไม่ได้  ส่งน้ำก็ไม่ได้ แล้ววันหน้ามาโทษรัฐบาล ว่ารัฐบาลนี้ รัฐบาล คสช. ไม่ได้ รัฐบาลนี้คิดทุกเรื่อง แล้วเขียนแผนทำโครงการมาทุกเรื่อง แต่ติตรงนี้แหละครับ ไปทำตรงไหนก็ติดคน ติดคน บางที่ก็ไม่ติดคน ติดความคิด ติดความไม่เข้าใจ ต่อต้านกันอย่างนี้ตลอดจะเกิดได้อย่างไร คิด 2 ทางให้ผมบ้าง ขอให้ระลึกเสมอว่า รัฐบาลนี้มีเป้าหมายที่ประกาศชัดเจน "มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน" เปิดเผยทุกโครงการ จะทำอะไรก็บอกก่อนทุกครั้ง คิดแล้วก็บอก คิดแล้วก็แนะนำ คิดแล้วก็สร้างความเข้าใจ ยังติดขัดเลย ถ้าทำแบบเดิม ๆ จะยิ่งไปไม่ได้ใหญ่  รัฐบาลนี้คิดอย่างลึกซึ้ง คิดอย่างเชื่อมโยง ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง บางอย่างคิดต้นทางก่อน แล้วไปดูปลายทางว่าต้องการอะไร แล้วมาหาวิธีการทำตรงกลางทาง บางอย่างไปเอาปัญหาปลายทางขึ้นมา จากประชาชนขึ้นมา แล้วคิดย้อนกลับมาถึงต้นทาง ว่าเราจะแก้กลับไปยังไง ต้องคิดแบบนี้ สองทาง จากบนลงล่าง ต้นทาง ไป ปลายทาง แต่ตรงกลางทางสำคัญ วันนี้เราอยู่กลางทาง อยู่ตรงนี้ไง ในการที่จะเปลี่ยนแปลงปัญหา จะไม่เกิดขึ้นซ้ำซาก เราอยู่กลางทาง เพราะถ้าเราไม่ทำเส้นทางตรงนี้ ให้เคลียร์ ชัดเจน เดินไปข้างหน้าไปสู่ปลายทาง สิ่งที่เราคาดหวังก็ไม่เกิดขึ้น เราต้องทำให้เกิดความสมดุล และยั่งยืน  ก็ขอความกรุณาช่วยกันด้วย

ปัญหาน้ำท่วม–ภัยแล้ง

ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดคือเรื่อง "ปัญหาน้ำท่วม–ภัยแล้ง" ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อย แต่ส่งผลกระทบต่อน้ำอุปโภค บริโภค มีผลกระทบ ต่อระบบนิเวศน์ การผลักดันน้ำเค็ม มีผลต่อสัตว์น้ำ สิ่งแวดล้อมหากบริเวณปากอ่าว มี "น้ำต้นทุน" ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในบางช่วงเวลาที่เราต้องการน้ำเป็นปริมาณมาก ในการทำการเกษตร  ก็ทำให้น้ำในการผลักดันน้ำเค็มน้อยลง น้ำก็เข้ามาลึกเรื่อยๆ ดินก็เค็ม เพราะฉะนั้นเราต้องมีการบริหารจัดการน้ำต้นทุนให้ดีที่สุด โดยมีการทำอย่างบูรณาการ เป็นระบบ เราจะหวังน้ำฝนอย่างเดียว บางทีก็ตกบ้างไม่ตกบ้าง ตกมากตกน้อย ตกใต้เขื่อนเหนือเขื่อน บางครั้งเราก็คิดว่าไปทำฝนเทียมก็ได้แต่ เพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง บางพื้นที่ทำไปแล้วก็ไม่ได้ บินไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว ฝนก็ไม่ตก ปริมาณความชื้นไม่เพียงพอ ป่าเราน้อยลง เหล่านี้มันไม่มั่นคงทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเราจะทำยังไง  ต้องแก้ปัญหาระยะยาวให้ได้ ไม่ใช่แก้ปัญหาระยะสั้น ๆ ไปตลอด พอน้ำแล้งก็เอาน้ำไปส่ง พอน้ำท่วมก็ระบายน้ำช่วยเหลือบรรเทาความเสียหาย  เราจะต้องบริหารจัดการตั้งแต่ป่าต้นน้ำ ทุกคนต้องช่วยกันดูแล อะไรที่เป็นป่าต้นน้ำ อย่าไปบุกรุก เข้าไปอยู่อาศัย เราต้องช่วยกันปลูกป่าแซม เพิ่มเติมปริมาณต้นไม้ให้มากขึ้น ไม้ยืนต้น เราต้องช่วยเจ้าหน้าที่ ในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ถ้าท่านทำผิดกฎหมาย แล้วเจ้าหน้าที่เค้าปล่อยปละละเลย เค้าก็ผิด เสร็จแล้ววันหน้าพอจะต้องใช้จริง ๆ ขึ้นมา ท่านก็ต่อต้านอีก ผิดมาตั้งแต่ต้นทาง วันนี้เราต้องไม่ให้มีการบุกรุกป่าเพิ่มขึ้น รักษาที่อยู่นี้ให้ได้ แล้วก็ซ่อมแซมไป ใช้ระยะเวลา เรามีการสร้างฝายชะลอน้ำ เพิ่มเติมแหล่งเก็บกักน้ำ  แก้มลิง เขื่อน อย่างที่บอกแล้วมันต้องทำให้ได้ทุกพื้นที่ บางครั้งไปไม่ได้เพราะติดที่ประชาชนที่ส่วนตัวเหล่านี้ไม่ยอมเสียสละกัน ก็ไปไม่ได้หมด 

เพราะฉะนั้นการกระจายของน้ำก็ไปทำไม่ได้ ทำให้ไม่สอดคล้องกับการใช้น้ำทั้งสามกลุ่ม เราต้องทำให้เพียงพอ เก็บน้ำให้ได้ บางครั้งเราต้องแลกกับพื้นที่ลุ่ม น้ำท่วมเป็นประจำ แต่ความเสียหายกับสิ่งที่เรารักษาไว้ บุกรุกกันไว้ แลกกันไม่คุ้มค่า เพราะว่าต้องเสียหายไปเรื่อยๆ ท่านก็ต้องย้ายบ้าน ซ่อมบ้านไปตลอดทุกปี ๆ ไม่คุ้ม ถ้าย้ายทีเดียว ไม่ไปขวางทางน้ำ ให้เขาทำทางน้ำ หรือทำระบบส่งน้ำให้ได้ขยับจากบ้านซะหน่อย  เสียสละพื้นที่คนละนิดหน่อย ก็ทำต่อเนื่องได้ ไหลลงสู่ทะเล หรือลงไปสู่ปลายน้ำ  ปลายทางที่คนใช้น้ำได้ทั่วถึง เฉลี่ยให้คนอื่นเขาบ้าง  ไม่ใช่อยู่ต้นทางของน้ำก็ใช้ทั้งหมดเลยเวลาน้ำน้อย   เวลาน้ำเยอะก็รีบปล่อยลงมาข้างล่าง ๆ ก็ท่วม  ไม่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน  รัฐบาลต้องดำเนินการตรงนี้ แต่ประชาชนก็ต้องร่วมมือ เรื่องประสิทธิภาพคูคลอง ทางน้ำ ทั้งธรรมชาติ ทั้งสร้างขึ้น สร้างความเชื่อมโยงให้ได้ ระบบส่งน้ำ ระบายน้ำ  อันนี้สำคัญที่สุดเลย เนื่องจากว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม  หลายครั้ง ที่ถนน ทั้งรถไฟ หรือว่าชุมชนที่เกิดขึ้นมาใหม่ ไปอยู่กีดขวางลำน้ำเดิมตามธรรมชาติ นี่คือผลของการปล่อยปละละเลย  แล้วก็ปล่อยให้ประชาชนมีรายได้น้อย จนขยับขยายไม่ได้ ก็ต้องตรงนี้ด้วย  ถ้าเราไม่วางแผนให้ดี ไม่มีการวางแผนแบบบูรณาการ เช่นในอดีต ก็จะเกิดปัญหามาถึงปัจจุบันแล้วแก้ยากไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่แก้วันนี้ 

ขอร้องเอ็นจีโออย่าเป็นอุปสรรคในการพัฒนาภายในพื้นที่

วันนี้อยากให้ทุกคนมาสนใจ ดูผังเมืองที่ออกมาแล้ว วันนี้กระทรวงมหาดไทยเขาทำมาครบทั้ง 77 จังหวัดแล้ว เพราะฉะนั้นไปดูซิว่าผังเมืองใหม่เขาออกมายังไง ซึ่งเป็นการทำมาด้วยขั้นตอนปกติ ซึ่งที่ผ่านมาผมจำได้ ก่อนผมเข้ามา ทำมาได้ 10 กว่าจังหวัด 18 จังหวัด นี่เข้ามา 2 ปี กว่าๆ เกือบ 3 ปี  ทำครบ  ดูว่าต้องแก้ไขขนาดนั้น  ทีนี้ลองมาดูว่าผังเมืองที่ออกมา  เสร็จแล้วระหว่างที่ทำผังเมืองต้องใช้เวลาเป็นปีในการทำ ในระหว่างปีนั้นพอทำต้นปี  พอผ่านมาอีกปีบุกรุกเข้ามาอีก ผังเมืองต้องแก้ตลอด  ให้ทันสมัยตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็ต้องขอให้ทุกคนยึดมั่นดี ๆ ผังเมืองปัจจุบันคืออะไร แล้วอย่าไปฝ่าฝืนตรงนั้น ไม่ว่าผู้ประกอบการ นายทุน เจ้าของที่อะไรต่าง ๆ ที่กะเก็งกำไร และคิดโครงการอะไรต่าง ๆ ขึ้นมา ดูผังเมืองก่อน แล้วผลิตทีหลัง แล้วก็จะมาร้องว่า ทำให้เกิดความเดือดร้อน ก็ไม่ได้ 

วันนี้เราต้องแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน  และข้อสำคัญต้องถือว่า เราต้องได้รับความยินยอมจากชุมชนเมืองจากประชาชนด้วย เราไม่อยากใช้อำนาจที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มากจนเกินไป เพราะพี่น้องก็ยากจน รายได้น้อยหลายครัวเรือนด้วยกัน  หลายชุมชนเมือง หลายหมู่บ้าน มีที่ตั้งทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย  บางอย่างอยู่ก่อนมา การประกาศผังเดิมหรือพื้นที่ป่า เขาอะไรก็แล้วแต่ ก็มีปัญหามาทั้งหมด เราต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ ด้วยรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ อย่าปล่อยให้ซ้ำซากเหมือนเดิม การพัฒนาก็ไม่เกิด  ขอร้องเอ็นจีโอวันนี้ ขอร้องมากหน่อยจะได้ไม่ต่อต้านอีกต่อไป  ถ้าคิดจะต่อต้านอย่างเดียวแล้วไม่สร้างสรรค์ ผมว่าไม่น่าจะใช่การทำงานที่ถูกต้อง อย่าลืมว่าท่านก็เป็นคนไทย บางทีไปพูดจาเสียหายในต่างประเทศทั้งที่บางเรื่องจริงบ้าง บางเรื่องไม่จริง ส่วนใหญ่ไม่จริงก็มาก เรื่องจริงก็มี ก็แก้กันไป ไม่บอกเราแล้วจะไปแก้กันได้ยังไง จะให้ใครมาแก้ จะให้เขามาบังคับประเทศไทย  คิดบ้างตรงนี้ ทำเพื่อประเทศชาติกันบ้าง ทุกคนมีเหตุมีผล มีหลักคิด ทำหน้าที่ของตน อย่าให้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาภายในพื้นที่ ถ้าไม่ทำ เศรษฐกิจก็ดีขึ้นไม่ได้   เงินทอง  รายได้ ก็ไม่หมุนเวียน ไม่กระจาย  บางคนก็บ่นว่ารวยเป็นกระจุก จนเป็นกระจาย  ถ้าไม่ร่วมมือก็เป็นอย่างนี้ ต้องช่วยกันสร้างความเชื่อมโยง เสียสละแบ่งปัน ปัญหาน้อยใหญ่ในอดีต จะได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นแก้ไม่ได้  การแก้ไขนั้นคือแก้ปลายเหตุ ต้องสูญเสียเงินงบประมาณจำนวนมากมาย ทุกปี ๆ น้ำท่วม ฝนแล้ง ก็ใช้เงินมหาศาล แทนที่เราจะเอาเงินเหล่านั้นมาทำทางระบายน้ำ  ที่เก็บน้ำ แก้มลิง เขื่อน มากมายไปหมด เสียไปเปล่า ๆ พี่น้องก็เสียใจ หลายคนมีแต่ความทุกข์ เพราะฉะนั้นเราจะต้องสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมาใหม่  สร้างแนวคิดขึ้นมาใหม่ อย่าไปทำแบบนี้ทุกปี ๆ

ปัญหาการบิดเบือนข้อเท็จจริง

การบิดเบือนข้อเท็จจริง บางทีก็นำเสนอข้อมูลที่เป็นการให้ความหวังที่ผิด ๆ ที่ถูกๆไม่เป็นไร  ทุกคนก็ต้องมีความหวัง แต่ถ้าเป็นความหวังที่บิดเบือนผิด ๆ หวังผลทางการเมืองบ้าง หวังผลอะไรก็แล้วแต่  ในทางไม่สุจริตหรือทำให้การเมืองระหว่างประเทศมีปัญหา ทำให้สังคมสับสน ทำให้ถูกจับตามองจากองค์กรระหว่างประเทศ ทำให้ผู้คนในประเทศไทยมีความขัดแย้ง ประเทศแตกแยกทางความคิด ไม่มีเสถียรภาพ  ทุกอย่างก็เละไปหมด กระจัดกระจายไปหมด หลายพรรค หลายฝ่าย หลายกลุ่ม มีความแตกต่าง มีความเหลื่อมล้ำ  ประชาชนก็เหลื่อมล้ำ ความคิดก็เหลื่อมล้ำ นักการเมืองก็แตกแยกกันไปอีก ก็เลยไปไม่ได้ ยุทธศาสตร์ก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้นถึงต้องมียุทธศาสตร์ถึงจะรวมกันได้ในยุทธศาสตร์ทั้ง 6 อย่างอีก 6 ข้อที่ว่า รัฐบาลนี้พยายามจะแก้ปัญหาทั้งหมดในเชิงปฏิรูป ในเชิงโครงสร้าง ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่อยากให้มีแรงต่อต้าน ทำให้เจ้าหน้าที่เดือดร้อน กระบวนการยุติธรรมไม่ได้รับความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก อย่าบิดเบือนกันนักเลย เขาตรวจสอบแล้ว ตัดสินแล้ว ออกมาอย่างไรก็ต้องอย่างนั้น ศาลก็ต้องเป็นอย่างนั้น องค์กรอิสระก็ต้องเป็นอย่างนั้น  อย่าไปคิดว่าทำไมทำแต่ข้างนี้ แล้วข้างนี้ทำผิดข้างเดียวหรือไม่ อีกข้างเขาทำผิดแล้วเขายอมรับกระบวนการยุติธรรมใช่หรือไม่  ก็ไปเลือกเอาดู ไปคิดดู ฝ่ายไหนผมก็ไม่รู้ ก็คือทุกคนต้องรับฟังให้รอบด้าน  ตรวจสอบความถูกต้อง พิจารณาที่ครบทุกมิติ เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้องรอบคอบ เมื่อฟังข้อมูลจนอิ่มตัวแล้ว เราต้องยอมรับความรู้ที่ตกผลึก ตกลงใจร่วมกัน ที่จะเดินหน้าประเทศ

ตัวอย่างอีกอันหนึ่งก็คือเรื่องพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่เห็นชอบในหลักการ เพราะเป็นหนึ่งในหลายเรื่อง ที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นตามยุทธศาสตร์การสร้างโอกาสความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันทางสังคม   เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมในการถือครองที่ดิน และเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศ อย่างเต็มประสิทธิภาพ ได้มอบนโยบายไปแล้วว่า การจัดเก็บภาษีต้องสร้างความเป็นธรรมสร้างความเท่าเทียม ไม่เป็นภาระกับประชาชนส่วนใหญ่ หรือประชาชนผู้มีรายได้น้อยของประเทศ  ในทางกลับกันพี่น้องเหล่านี้จะต้องได้รับประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ผู้มีรายได้น้อยจำนวนมาก เช่น ได้รับการจัดสรรที่ดินทำกิน หรือมีสวัสดิการที่ดีขึ้น เพราะรัฐมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ก็จะลงทุนในอนาคตได้มากขึ้นเหล่านี้ เป็นต้น ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดิน อยากจะให้ท่านช่วยกันเสียสละ มองเห็นความตั้งใจจริงของรัฐบาล วันนี้เสียภาษี อาจจะเสียมากขึ้น วันหน้าราคาที่ดินก็สูงขึ้นเอง แล้วบางอย่างก็ท่านได้เผื่อแผ่แบ่งปัน ให้ประชาชนได้เช่าได้มากขึ้น แต่คนมาเช่าที่ก็ต้องรักษากติกา เมื่อเจ้าของที่เขาจะใช้ที่ก็ต้องคืนให้เขา  เพราะเราเช่าเขามา เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีปัญหามาตลอด ในการสร้างความเท่าเทียมและสร้างโอกาสให้กับพี่น้องคนไทย เราต้องการให้มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองทุกคนด้วย 

การกระจายอำนาจ ชี้อ้างประชาธิปไตยต้องทำคนให้พร้อมด้วย

การกระจายอำนาจ อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ หลายคนหลายพวก หลายฝ่ายก็พูดอยู่เสมอ กระจายอำนาจ ๆ ทุกคนต้องเข้าใจว่าคืออะไร กระจายอำนาจ ต้องทบทวน  หาข้อเท็จจริงบนพื้นฐานของความจริงว่า  หากเราพูดถึงการกระจายอำนาจว่าคือการปกครองตนเอง การบริหารจัดการตนเอง ทุกเรื่อง  มีงบประมาณเป็นของตนเอง ส่วนกลางก็ไม่ต้องมายุ่งมากนัก เพราะประชาชนรู้ปัญหาของพื้นที่ดี ผมถามว่าแล้วมันทำได้หรือยังเวลานี้  ยังไม่พร้อมตอนนั้นเพราะเราก็ได้อยู่ในวาระเปลี่ยนผ่านมานานพอสมควรแล้ว ที่มีราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น หลายคนบอกว่า บ้านของเรา จังหวัดของเราเก็บภาษีได้มากมาย ทำไมต้องไปแบ่งคนอื่นด้วย คิดแบบนี้ไม่ได้ ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้นรายได้ทั้งหมดก็ต้องมารวม แล้วก็มาที่ส่วนกลาง แล้วแบ่งปันไปจังหวัดอื่นซึ่งบางจังหวัดรายได้เขาน้อย เราก็ต้องไปดู การเก็บภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือนอันนั้นเป็นเรื่องของท้องถิ่น วันนี้ก็เก็บกันไม่ค่อยได้ ฉะนั้นก็ต้องไปดูกันอีกทีว่า กฎหมายตัวนี้ออกมาแล้วจะเก็บกันได้ยังไง ก่อนอื่นต้องไปทำกฎกติกาอีกมากมายเพื่อจัดเก็บให้ได้  เมื่อเก็บได้ งบของท้องถิ่นก็จะมากขึ้นเอง เมื่อมากขึ้น ส่วนกลางที่ต้องเอาเงินไปสนับสนุน ก็จะได้ลดน้อยลง เอาเงินไปทำอย่างอื่น วันนี้สับสนอลหม่านพอสมควร แก้มามากแล้ว

เพราะฉะนั้นอยากให้ปรับปรุงประสิทธิภาพตัวเองด้วย ท้องถิ่นอย่าเรียกร้องอย่างเดียว ถ้าท่านแสดงให้เห็นได้ว่าท่านเข้มแข็งทั้งหมด ทั้งประเทศแล้วไปว่ากันใหม่วันหน้า วันนี้เอาที่เดิม ทำให้ได้ก่อน ทั้งการทำงาน ประสิทธิภาพ การทุจริต ไม่โปร่งใส ผมไม่ได้ว่าทุกที่ หลายพื้นที่หลายแห่งมีปัญหาแล้วยังแก้ไขไม่ได้  ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร ทำให้ใช้จ่ายงบประมาณไม่คุ้มค่า ประชาชนไม่พึงพอใจ  การพัฒนาองค์กรก็ไม่พร้อม ทั้งคน องค์กร ความรู้ กระบวนการทำงาน หลายคนอ้างว่าประชาธิปไตยต้องเป็นแบบนี้ ๆ ผมถามว่าประชาธิปไตยที่คนไม่พร้อม จะทำอย่างไรต้องเตรียมคนให้พร้อม วิธีการให้พร้อม ประสิทธิภาพให้พร้อม ถึงจะเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ว่าโดยสมบูรณ์ สากลที่เหมือนนานาประเทศ อารยะประเทศ เขาทำไปแล้ว  เราเตรียมความพร้อม  ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ต้องเหน็ดเหนื่อยนะ รัฐบาลก็พยายามจะช่วย เอาปัจจุบันให้ดีที่สุดก่อน ทำให้เกิดความสมบูรณ์ให้มากที่สุด  รัฐบาลไหนก็ทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ปรับปรุง รายได้ประเทศก็มีไม่พอ พันกันทั้งหมด เราต้องแก้ปัญหาระยะยาว อย่าไปแก้ปัญหาระยะสั้น แล้วทำให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมา ระยะยาวก็เกิดปัญหาซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก ต้องแก้ปัญหาแบบมียุทธศาสตร์

รัฐบาลนี้ มีการกำหนดภารกิจที่เหมาะสม และมอบหมายในการทำงานของส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น รวมทั้ง กำหนดแนวทาง "การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ" ไว้แล้วด้วย วันนี้ผมเข้าไปลึกมาก  ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้แนะนำเป็นแนวทาง วันหน้าจะได้บริหารจัดการได้เหมาะสม หรือสอดคล้องกับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ช่วยยกระดับระบบบริหารจัดการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย รับผิดชอบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้ประชาชนมีส่วนร่วม

ปัญหาการทำงานไม่บูรณาการอย่างแท้

การทำงานที่ยังไม่บูรณาการอย่างแท้จริงเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งรู้และไม่รู้ หรือโดยวัฒนธรรมในองค์กร ทั้งระบบงบประมาณ มีการแทรกแซงจากใครก็แล้วแต่ ฝ่ายการเมืองหรือผู้มีอำนาจอะไรก็แล้วแต่ ที่กล่าวอ้างกัน  หรือการขาดธรรมาภิบาลของหัวหน้าหน่วยงานเหล่านี้ เป็นต้น ข้อจำกัดเหล่านั้นเหมือนติดอยู่ที่ตัวเอง ผมอยากให้ข้าราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานอะไรก็แล้วแต่ ภาคธุรกิจเอกชนทั้งหมด ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน ว่าอะไรที่เป็นนโยบาย อะไรที่ต้องเป็นประชารัฐ อะไรที่ต้องบูรณาการ ก็ต้องทำให้ได้โดยการบูรณาการ ต้องทำให้ได้ ไม่ทำแล้วมันเกิดผลเสีย วันนี้วันหน้าเสียมากกว่านี้ เป็นอุปสรรคมากกว่านี้ เราต้องทำให้ได้โดยเร็ว ถ้าคิดแบบเดิมมันก็จะติดทุกอันปลดล็อคไม่ได้ ปัญหาอุปสรรคติดที่ตัวเองก่อน ความคิดตัวเองก่อนแล้วก็เอากฎหมายมาว่าต่อ เสร็จแล้วก็ไปไม่ได้เลย คิดก็ไม่ได้ กฎหมายก็ติด ผมเข้ามาวันนี้ผมเข้ามาแก้ปัญหานี้ ให้เกิดการบูรณาการ ประสานสอดคล้อง รัฐบาลก็ตั้ง ป.ย.ป. คณะกรรมการเชิงยุทธศาสตร์  PMDU มาขับเคลื่อน มีมาตรา 44 มาแก้ปัญหาให้ แล้วไม่ทำวันนี้จะทำเมื่อไร  ต้องแก้ปัญหาให้ได้ทั้ง "แนวตั้งและแนวนอน" อะไรเป็นงานตามพันธกิจ ก็ต้องทำให้ได้ตามแผน อันนี้คือตามหน้าที่ของแต่ละกระทรวง จากเดิมทำงานแบบนี้อย่างเดียว พันธกิจ ของบประมาณมาแล้วก็ทำตามหน้าที่ของกระทรวงไม่ใช่ ต้องไปดูความต้องการของพื้นที่ของประชาชนด้วย นั้นคือ Area Based ก็คือ พันธกิจนี้แหละ ให้มันทำให้ครบก่อน จากนั้นก็มาสร้างความเชื่อมโยงด้วยการบูรณาการทำให้มันใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น จากถนนหนึ่งเลน เป็นสองเลน เป็นสามเลน เป็นสี่เลน เชื่อมต่อกันให้มากขึ้น เชื่อมต่อไม่ใช่สัญจรไปมาอย่างเดียว ไปเชื่อมต่อเรื่องเศรษฐกิจการขนส่ง การคมนาคม การท่องเที่ยว คิดให้มันกว้างกว่านี้ ถึงจะเกิดงานในพื้นที่ที่เรามองอยู่เป็น Area Based  เพื่อจะยกระดับคุณภาพชีวิต เพราะว่าอย่างไรก็ตามทุกประเทศในโลก ยังมีระบบราชการอยู่ ที่ยังเป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนประเทศ เชื่อมโยงกลไกประชารัฐ  ซึ่งเหมือนเป็น "ระบบกล้ามเนื้อ" ถ้ากล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบ หรือ ล้า ไม่เข้มแข็ง ประเทศชาติก็เดินหน้าไม่ได้ แข่งขันใครไม่ได้ เหมือนวิ่งไปแล้วสู้เขาไม่ไหว เดี๋ยวซ่อมแซม ๆ เดี๋ยวพัก เดี๋ยวก็หลุดขบวน "โลกศตวรรษที่ 21" แล้วไม่สามารถที่จะเป็น "ที่พึ่งสุดท้าย" ให้กับพี่น้องประชาชนได้เลย 

ตัวอย่างหนึ่ง ความพยายามของกระทรวงแรงงานที่ต้องการจะใช้กลไกประชารัฐเพิ่มคุณภาพชีวิตลูกจ้าง ลดอุปสรรคการค้า ในอุตสาหกรรมประมงทะเล อุตสาหกรรมสัตว์ปีก/โดยแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงานและการค้ามนุษย์ในกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานให้ได้ ด้วยการนำ"ศาสตร์พระราชา" เรื่องการมีส่วนร่วมสร้างกลไกประชารัฐ ประสานความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  องค์การแรงงานระหว่างประเทศ  สมาคมผู้ผลิตสินค้าประมงและปศุสัตว์ต่าง ๆ ในการจัดทำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี  และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำไปใช้ปฏิบัติต่อแรงงานอย่างมีจริยธรรมและสอดคล้องกับกฎหมายแรงงานของประเทศ เช่น การไม่ละเมิดสิทธิแรงงาน ไม่ใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมาย ไม่ค้ามนุษย์  รัฐบาลนี้ถือเป็น "วาระแห่งชาติ" เหมือนกัน ก็จะส่งผลให้ผู้ใช้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามมาตรฐานแรงงานสากล ควบคู่ไปกับการเสริมศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าของผู้ประกอบการไทย รวมทั้งเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าไทยในเวทีการค้าโลก และก็ประเทศไม่ต้องสูญเสียรายได้กว่า 130,000 ล้านบาท/ปี ด้วย

ย้ำคสช. คิดและทำเพื่อประชาชนทั้งประเทศ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

จากประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น สรุปได้ว่า สิ่งที่รัฐบาลและ คสช. คิดและทำเพื่อคนจำนวนมาก ก็คือเพื่อพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เลือกพื้นที่ ไม่เลือกจังหวัด ไม่เลือกตำบลอำเภอ มีใหญ่ตรงโน้นตรงนี้ กลางตรงนี้ เล็กตรงนั้นก็เสริมกันไปกันมา ก็เกิดทั้งประเทศถ้าทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ ก็ไม่เกิดความยั่งยืน  ถ้าเราทุกคนที่เป็น "เจ้าของประเทศ" ที่ทุกคนมีจิตสำนึกที่ดีอยู่แล้ว ถ้าทุกคน ทุกฝ่าย ไม่เข้าใจกัน ไม่ร่วมมือกัน ก็เป็นความรับผิดชอบร่วมกัน ในผลงาน ในผลกระทบที่จะเกิดจากปัญหาเหล่านั้นต่อไป น้ำท่วม น้ำแล้ง ปราศจากการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ การเก็บสำรองน้ำ การระบายน้ำ ทำไม่ได้ ราคาผลผลิตเกษตรกรตกต่ำ ไม่มีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืช ไม่มีการทำเกษตรแปลงใหญ่ ไม่มีการพัฒนาไปสู่สินค้า GAP หรือสินค้าอินทรีย์ หรือพัฒนานวัตกรรม เหล่านี้ไปไม่ได้ทั้งหมด แถมด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น ต่างคนต่างอยู่ ธุระไม่ใช่ เรียกร้องอย่างเดียวเจ้าหน้าที่ก็ทำงานไป เจ้าหน้าที่ก็ไม่กล้าทำผิดกฎหมาย ต้องคิดใหม่ทั้งหมด ความขัดแย้ง ไม่ยอมกัน ไม่รับฟังกันเลย คิดแต่เรื่องตัวเองเป็นหลัก ทำของตัวเองให้ดีแต่ปรากฏว่าไปทำให้คนอื่นเสียหายด้วย มันต้องคิดด้วยกันบูรณาการด้วยกันทั้งหมด เราต้องคิดถึงชาติ คิดถึงประเทศไปด้วย สอนให้คนรู้จักเสียสละแบ่งปั้น อย่างทำงานลูบหน้าปะจมูก เอาดีแต่เพียงคนเดียวฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องบูรณาการเหมือนที่รัฐบาลกำลังทำเวลานี้ ใช้วิสัยทัศน์ ปฏิรูปตัวเองเสมอ "ทุกอย่าง" ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในที่สุด ถ้าไม่ทำก็ไม่เปลี่ยนแปลง บ้านเมืองก็หยุดอยู่ที่เดิม 

เกษตรกร 4.0

พี่น้องครับ สิ่งที่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะก้าวไปข้างหน้าอีกอันคือ ไทยแลนด์ 4.0 ผมได้ไปพบพี่น้องทั้งนักวิชาการ ทั้งนักศึกษาแล้วก็นักวิจัยอื่นๆ  มีการกล่าวปาฐกถา ที่มหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์ มีเรื่องเล่าให้ฟัง เรื่องที่ 1 คือ มีการจัดนิทรรศการด้านเกษตรกรรมและนวัตกรรม นำผลงานวิจัยที่นำออกเผยแพร่ใช้ประโยชน์แล้ว และมีผลงานวิจัยที่พร้อมขยายผลเชิงพาณิชย์ จำนวนกว่า 50 ผลงาน  ซึ่งหลายผลงาน เป็นงานวิจัยที่จะช่วยต่อยอด เพิ่มมูลค่าและรายได้ให้แก่เกษตรกรเช่นพันธุ์พืชใหม่ ที่มีคุณภาพ ราคาสูง ให้ผลผลิตสูง เป็นเมล็ดพันธุ์ชนิดใหม่ ใช้น้ำน้อยในการเพาะปลูก เช่น พันธุ์ผักคุณภาพดี  สมุนไพร ที่รับรองการมีสารออกฤทธิ์สูง ไม่มีสารพิษเจือปน เหมาะสำหรับใช้ในอุตสาหกรรม และพันธุ์สัตว์ ที่มีการเสนอสายพันธุ์โคเนื้อคุณภาพสูง ลูกผสมพันธุ์กำแพงแสน-วากิว ซึ่งเป็นเนื้อคุณภาพดี เป็นทางเลือกให้เกษตรกร พัฒนาผลิตผลการเกษตรที่มีคุณภาพดีได้ เป็นต้น 

เรื่องที่ 2 การพัฒนาเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer ให้เข้าสู่ยุค 4.0  มีการบริหารจัดการการผลิตโคเนื้อคุณภาพสูง  เกษตรแปลงใหญ่   แอพลิเคชั่นสำหรับเกษตรกรในการพัฒนาชุมชน การบริหารจัดการการปลูกข้าว การใช้ปุ๋ยสั่งตัด การเลี้ยงปลาแบบแม่นยำสูง อีกหลายอย่าง ซึ่งมีเกษตรกรนำไปใช้แล้วได้ผลดี รวมทั้งมีการพัฒนาหลักสูตรศาสตร์แห่งแผ่นดิน สำหรับพัฒนาเกษตรกรให้ปรับตัวเข้ากับ "การเกษตร 4.0" เพื่อนำผลผลิตไปสู่การแปรรูปต่างๆในยุค 4.0 ให้มีราคาต้นทางที่สูงขึ้น ซึ่งก็ต้องช่วยกันคิด เพื่อจะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศอีกด้วย เรื่องที่ 3 การพัฒนาระบบสารสนเทศ สำหรับการจัดการการเกษตร ได้แก่ ศูนย์กลางข้อมูลความรู้การเกษตรแห่งชาติ เพื่อรวบรวมในรูปแบบดิจิทัลสำหรับเกษตรกร ใช้ง่าย ๆ ครอบคลุม เรื่องที่ 4 การวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับนำมาใช้เองในประเทศ รวมทั้งส่งออกเทคโนโลยีไปยังต่างประเทศ ที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศ ที่มีมูลค่า เช่น การพัฒนาชุดทดสอบสารก่อภูมิแพ้ การผลิตวัคซีนสำหรับปลาและสุกร การสร้างเครื่องวิเคราะห์ปริมาณน้ำมันในผลปาล์มอย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำสูง และเครื่องปลูกข้าวสำหรับนาประณีตและนาแปลงใหญ่ เป็นต้น 

เรื่องที่ 5 การวิจัยเพื่อต่อยอดทางการเกษตร โดยการแปรรูปอาหารเพื่อสุขภาพต่าง ๆ เช่น แผ่นควบคุมน้ำตาล ต้านอนุมูลอิสระ อาหารผู้สูงอายุ ที่มีภาวะอ้วน  ผลิต ภัณฑ์ข้าวแปรรูปต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า และการพัฒนาเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ สิ่งเหล่านี้เป็นการนำงานวิจัย มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง หากขยายผลออกไป ก็จะช่วยพัฒนาคุณภาพ สร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ในภาคเกษตร เพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรได้มากยิ่งขึ้น นอกจากงานวิจัยแล้ว ยังมีการวางรากฐานด้านข้อมูลต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนและใช้ต่อยอดงานวิจัยในอนาคตด้วย โดยทางมหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์ ได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ ( BEDO "เบโด้") ในการจัดทำบัญชีรายการทรัพย์สินชีวภาพสำหรับพืชชนิดต่างๆ รวมทั้งร่วมเครือข่ายกับ สวทช. และกรมวิชาการเกษตรในการสร้างธนาคารเชื้อพันธุ์พืช (Gene bank) ระดับชาติ  ต่อยอดการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทย ให้เกิดเป็นผลิตผลการเกษตรชนิดใหม่ เช่น เห็ด รา สมุนไพรนำไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพดีขึ้น 

เป็นที่น่าสังเกตว่า งานวิจัยที่ผมไปสัมผัสมาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในวันนั้นหรือที่อื่นก็ตามหลาย ๆ ชิ้น มีคุณภาพดีมาก และก็ถือเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจ แต่หลายอย่างก็รออยู่ระหว่างรอการขยายผล ซึ่งหากสามารถเร่งรัดให้มีการนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม ก็จะสามารถช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศได้ ขณะนี้ทางมหาวิทยาลัยฯ ได้เสนอรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสนับสนุนงานวิจัย การเผยแพร่งานวิจัยให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง และนำงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฯ ไปสู่ผู้ประกอบการ รวมทั้ง SMEs  การสร้างเวทีที่ส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกัน ระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร  รวมถึงการใช้ข้อมูลเพื่อการเกษตรร่วมกันทุกภาคส่วนซึ่งก็ตรงกับแนวทางของรัฐบาล ที่ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมด้วยงานวิจัยในทุก ๆ ด้าน  เป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ยุค 4.0 ซึ่งรัฐบาล กำลังเร่งรัดนะครับ เรื่องขึ้นทะเบียนการรับรองมาตรฐาน มอก. อย. เพื่อนำสู่การผลิตใช้งานให้ได้โดยเร็ว ปัญหาส่วนนั้นก็มีอยู่แล้วก็มีเหมือนกัน ไม่ทัน ช้า เสียเวลา คนไม่พอ ต้องไปแก้ตรงนั้นด้วย เช่น ในเรื่องของการขึ้นบัญชีวันนี้ก็ขึ้นไปหลายอย่างนะครับ ถ้าขึ้นบัญชีกันแล้ว แล้วไปผ่านมาตรฐาน ก็สามารถไปผลิตจำหน่ายได้ ใช้ได้ จะเป็นกลไกในการเชื่อมโยง บัญชีนวัตกรรมไทยที่ว่านี้ งานวิจัยกับเอกชนผู้ผลิต ที่ ครม. ครั้งที่ผ่านมาผมเร่งรัดทุกหน่วยงานไปรวบรวมงานวิจัย จากทั้งของรัฐ ของสถานศึกษา ของภาคธุรกิจเอกชนที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนที่มีศักยภาพ เราก็จะนำไปสู่การต่อยอดในเชิงพาณิชย์ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ได้มาตรฐานและไปหาแก้ไขอุปสรรคเหตุติดขัดทั้งหมดให้ทำให้ได้โดยเร็ว รวมทั้งเราก็ต้องมาดูเรื่องสิทธิประโยชน์ผู้วิจัยด้วยนะครับ หรือองค์กรของผู้วิจัย ว่าทำอย่างไรเขาถึงจะมีรายได้ ที่เป็นกำลังใจ จูงใจให้เขา นำผลงานใหม่ ผลิตผลงานใหม่ ๆ ออกมา ทำงานวิจัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับประเทศเรา ให้มีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป 

ขอผู้ชมอย่าเพิ่งเบื่ออย่าเพิ่งรำคาญ

วันนี้พูดมากหน่อย หลายเรื่องด้วยกันก็คงต้องทำความเข้าใจด้วยกันหลายเรื่อง เพราะบางเรื่องสลับสับซ้อนและต้องทำหลายอย่างด้วยกัน ผมอยากจะสร้างความเข้าใจเท่านั้นเอง อย่าเพิ่งเบื่ออย่าเพิ่งรำคาญเลย เพราะถ้าไม่ฟังก็จะไม่รู้ว่ารัฐบาลคิดอะไร และพอใครไม่หวังดีพูดอะไรมาก็ทำให้งานของรัฐบาลที่กำลังทำอยู่ช้าลง ช้าลงโดยไม่มีเหตุมีผล ผมขอร้องพี่น้องประชาชนกรุณาช่วยกันตั้งความหวังแบบผม เหมือนผมว่าเราจะต้องมีประเทศไทยที่มั่งคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ให้ได้โดยเร็วที่สุด ขอขอบคุณครับ  ขอให้ "ทุกคน" มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์  ขอให้เกิดความปลอดภัยในการเดินทาง ระมัดระวังเรื่องของการเดินทาง การใช้กฎหมายด้วย ทั้งวันนี้และวันหน้า อย่าให้มีผลกระทบซึ่งกันและกันอีกเลย และมีการบาดเจ็บสูญเสียมาก ไม่ว่าจะในสิ่งใด ก็ทำให้ครอบครัวเสียใจทั้งสิ้น ผมก็เสียใจไปกับท่านด้วยเหมือนกัน ฐานะเป็นผู้นำรัฐบาลขอบคุณนะครับสวัสดีครับ 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 19-25 มี.ค. 2560

Posted: 25 Mar 2017 05:45 AM PDT

 
ก.แรงงาน วอนสถานประกอบกิจการ ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ HIV
 
กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน วอนสถานประกอบกิจการปฏิบัติต่อลูกจ้างผู้ติดเชื้อเอชไอวี อย่างถูกต้องไม่เลือกปฏิบัติและพร้อมให้ความช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของลูกจ้าง
 
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า กสร.ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาลูกจ้างผู้ติดเชื้อเอชไอวีในสถานประกอบกิจการ ที่ส่งถึงผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของตัวลูกจ้างและผลประกอบการของสถานประกอบกิจการ รวมถึงส่งผลต่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศด้วย ซึ่งปัญหาที่ประสบคือ ลูกจ้างมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ ลูกจ้างที่ติดเชื้อเอชไอวีถูกรังเกียจและไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างถูกต้อง กสร. จึงขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการทำความเข้าใจกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม นายจ้างต้องปฏิบัติต่อลูกจ้างผู้ติดเชื้อเอชไอวีอย่างถูกต้องและพร้อมให้ความช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของลูกจ้าง ทั้งนี้ เพื่อสร้างหลักประกันให้กับสถานประกอบกิจการได้มีกลไกการป้องกันและการจัดการ ที่จะลดผลกระทบ เรื่องเอดส์อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของสากลบนพื้นฐานกรอบการทำงานที่มีคุณค่าและมีศักดิ์ศรีในการทำงาน
 
อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ลูกจ้างผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะอยู่ร่วมกันในสถานประกอบกิจการ ได้อย่างเหมาะสมนั้น นายจ้างควรส่งเสริมและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับลูกจ้างทุกคน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวี ตามหลักวิทยาศาสตร์และระบายวิทยา รวมถึงให้ลูกจ้างได้ทำงานตามปกติในตำแหน่งงานและลักษณะงานที่เหมาะสมสำหรับผู้ติดเชื้อที่ยังทำงานได้ และส่งเสริมสิทธิในการรักษาความลับส่วนบุคคล เพื่อสถานประกอบกิจการจะไม่สูญเสียบุคลากรที่มีคุณภาพ ทักษะและประสบการณ์ในการทำงาน และก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีของสถานประกอบกิจการที่มีต่อสังคมในการส่งเสริมให้ลูกจ้างมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีศักยภาพเพียงพอที่จะสนับสนุนขีดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศอันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม
 
ที่มา: กระทรวงแรงงาน, 19/3/2560
 
ขสมก.ระบุจะทยอยเลิกจ้างพนักงานเก็บค่าโดยสาร หลังนำระบบอี-ทิคเก็ตมาให้บริการ
 
ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. สุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ระบุ ขสมก.อยู่ระหว่างการประมูลติดตั้งระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-ทิคเก็ตบนรถโดยสารประจำทาง 2,600 คัน วงเงิน 1.7 พันล้านบาท คาดว่าจะลงนามสัญญาในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยระยะแรกจะใช้ระบบอี-ทิคเก็ตควบคู่กับพนักงานเก็บค่าโดยสาร หลังจากนั้นจะทยอยเลิกจ้างพนักงานเก็บค่าโดยสารที่มีอยู่กว่า 4 พันคนที่ผ่านมา ขสมก.มีนโยบายยกระดับพนักงานเก็บค่าโดยสารเป็นพนักงานขับรถให้มากที่สุดเพื่อลดผลกระทบ ปัจจุบันมีพนักงานเก็บค่าโดยสารเปลี่ยนมาเป็นพนักงานขับรถเฉลี่ยเดือนละประมาณ 20 คน คาดว่าจะมีพนักงานเก็บค่าโดยสารเปลี่ยนมาเป็นพนักงานขับรถได้ประมาณ 1 พันคน จากที่มีอยู่ 4 พันคน
 
 
ลอยแพพนักงานสหรัตนนคร 37 คน บากหน้าพึ่งศาลขอบริษัทจ่ายชดเชย
 
สืบเนื่องจากกรณีศาลปกครองกลางสั่งพิทักษ์ทรัพย์ บริษัท สหรัตนนคร จำกัด ในฐานะผู้บริหารและพัฒนา นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2559 และในเดือนกรกฎาคม 2559 ศาลมีคำสั่งให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เข้าไปมีอำนาจในการบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางและสิ่งอำนวยความ สะดวก พื้นที่ 536 ไร่ จากพื้นที่พัฒนาทั้งหมดของเฟสแรก 1,441 ไร่ นั้น
 
ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานจากศาลแรงงาน จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 ได้มีอดีตพนักงานของบริษัทสหรัตนนคร จำนวน 37 คน ซึ่งได้ถูกยกเลิกสัญญาจ้างนับตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2559 หลังจากบริษัทสหรัตนนครหมดอำนาจในการบริหารลง ได้เข้ายื่นหนังสือและเขียนคำร้องต่อศาลแรงงาน ภาคที่ 1 จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อขอให้บริษัทจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน นอกเหนือการจ่ายเพียงสวัสดิการ 6 เดือนของเงินเดือน ซึ่งศาลรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา และศาลจะเรียกบริษัทสหรัตนนคร
 
และ จพท. เข้ามาหารือเพื่อพิจารณาและไกล่เกลี่ยปัญหาต่าง ๆ ที่มีอยู่ระหว่างทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตาม หากทางบริษัทยังไม่ชดเชยใด ๆ ฝ่ายพนักงานเตรียมจะยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรม เพื่อขอความเป็นธรรม หรือให้ช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยต่อไป จนกว่าจะได้รับเงินชดเชยและช่วยเหลือที่ควรจะได้
 
ก่อนหน้านี้พนักงานได้ไปยื่นคำร้องกับสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อขอความช่วยเหลือมาแล้ว ดังนั้น ทางสำนักงานสวัสดิการฯ ได้ประสานไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ (จพท.) กรมบังคับคดีดำเนินการช่วยเหลือ แต่ทางบริษัทได้แจ้งต่อ จพท.ว่า ไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยได้ เนื่องจากไม่มีเงินเหลือแล้ว
 
"ส่วนใหญ่พนักงานทำงานกับบริษัทนานกว่า 20 ปี พนักงานได้รับเพียงสวัสดิการ เช่น บางคนระดับหัวหน้าควรได้รับชดเชยประมาณ 300,000 บาท/คน ในระดับพนักงานทั่วไปอีกคนละประมาณ 100,000 บาท ซึ่งรวมทั้งหมด 37 คน ประมาณ 5.7 ล้านบาท แต่บริษัทอ้างว่าเมื่อถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ทรัพย์สินของบริษัทไม่สามารถขายทอดตลาดได้จึงไม่มีเงินมาจ่าย และอำนาจจึงถูกโยนไปให้ จพท. พิจารณาทั้งหมด"
 
นายจักรรัฐ เลิศโอภาส รองผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า หลังจากที่ กนอ.เข้าไปบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคตามคำสั่งศาลตั้งแต่ปีที่แล้ว กนอ.ได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนเข้าไปบริหารระบบสาธารณูปโภคฯ เพื่ออำนวยความสะดวก และให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดกับผู้ประกอบการที่ตั้งโรงงานผลิตอยู่ในพื้นที่ ส่วนเรื่องของพนักงานที่ถูกเลิกจ้างต้องเจรจากับทางบริษัทสหรัตนนครเอง
 
นางธีรนาฏ โชควัฒนา ผู้อำนวยการ บริษัท สหรัตนนคร จำกัด เปิดเผยว่า เนื่องจากบริษัทยังคงอยู่ระหว่างการเจรจาประนอมหนี้กับทางเจ้าหนี้รายใหญ่ ซึ่งทางบริษัทไม่ได้มีเจตนาไม่จ่ายเงินชดเชย แต่เป็นเพราะถูกพิทักษ์ทรัพย์ไป จึงไม่สามารถจ่ายพนักงานได้ และยังคงยืนยันว่าหากการประนอมหนี้สามารถตกลงกันได้ บริษัทจะกลับมารับผิดชอบเงินชดเชยส่วนนี้
 
"ที่ผ่านมา เราพยายามเจรจากับทางพนักงานถึงเหตุผลและสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถูกปฏิเสธจึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดและขัดแย้งกันเรื่อยมา อดีตพนักงานจึงต้องหาคนมาช่วย ส่วนความคืบหน้าในการสร้างเขื่อนถาวรรอบนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ตามแผนที่ กนอ.กล่าวไว้นั้น ขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ เนื่องจากทาง กนอ.อ้างว่าต้องได้รับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากทางเราก่อน จึงจะอนุมัติงบฯก่อสร้างได้ ซึ่งเรามองว่าการฮุบนิคมจากเราครั้งนี้มันยืดยาวเกินไปทำให้นักลงทุนขาดความ เชื่อมั่น พื้นที่และโรงงานขายไม่ออก ไม่มีคนเช่าเพิ่ม"
 
 
ก.ค.ศ. เห็นชอบคนเก่งไร้ตั๋ว สอบครูผู้ช่วยได้ ประกาศรับสมัคร 21-29 มี.ค.นี้
 
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานก.ค.ศ.เสนอ เกี่ยวกับการสรรหาบุคคล เพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ดังนี้ คือ 1. อนุมัติให้ปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่งครูผู้ช่วย จากเดิมที่กำหนดว่า "มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ หรือหลักฐานที่ใช้แสดงในการประกอบวิชาชีพ ครูตามที่คุรุสภาออกให้เพื่อปฏิบัติหน้าที่สอน" กำหนดใหม่เป็น "มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หรือหลักฐานที่ใช้แสดงในการประกอบวิชาชีพครูตามที่คุรุสภาออกให้เพื่อปฏิบัติหน้าที่สอน ก่อนการบรรจุและแต่ตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา" ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานการศึกษาสามารถสรรหาบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถเหมาะสม ตามความจำเป็นในการใช้ครูของส่วนราชการ
 
นพ.ธีระเกียรติ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ซึ่งจะใช้สำหรับสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุแต่งตั้งครูผู้ช่วย ทั่วไป ครั้งที่ 1/2560 ที่จะประกาศรับสมัครวันที่ 21-29 มีนาคม โดยปรับปรุงในประเด็นที่ เกี่ยวข้องจากการปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่ง ดังนี้ 1 กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครสอบแข่งขัน จากเดิม ที่กำหนดว่า" ผู้มีสิทธิ์สมัครสอบต้องมีคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 30 และต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง ตามาตรฐานตำแหน่งครบถ้วนในวันที่สมัคร" กำหนดใหม่เป็น "ผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 30 และต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง ตามาตรฐานตำแหน่งครูผู้ช่วย" รวมถึงกำหนด การเรียกตัวผู้สอบแข่งขันได้เพื่อบรรจุแต่งตั้งครั้งแรก ให้ใช้ประกาศขึ้นบัญชีสอบแข่งขันได้เป็นการเรียกตัวผู้มีสิทธิ์ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามลำดับที่ที่ประกาศผลการสอบแข่งขันไว้ โดยกำหนดวันรายงานตัวไม่น้อยกว่า 7 วันแต่ไม่เกิน 10 วัน นับแต่วันประกาศผลการสอบแข่งขัน
 
"มตินี้สำคัญ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการปรับแก้หลักเกณฑ์การรับสมัคร ให้คนที่ยังไม่มีใบอนุญาตฯ หรือใบอนุญาตปฏิบัติการสอน ที่คุรุสภาออกให้ สามารถสมัครสอบแข่งขันจากเดิมที่ต้องมีใบอนุญาตฯ จึงจะสามารถสมัครได้ ซึ่งจะเริ่มประกาศรับสมัครในวันที่ 21 มีนาคม โดยสาขาที่ยังมีความต้องการจำนวนมากคือ สาขาด้านวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ดังนั้นหากใครมีความรู้ความสามารถก็ขอให้มาสมัคร เพราะเราอยากได้คนเก่งมาเป็นครู เมื่อสอบแล้ว ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการเพื่อให้ได้ใบอนุญาตฯ ที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนคุรุสภา"รัฐมนตรีว่าการศธ. กล่าว
 
 
ครม.มติอนุมัติหลักการลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้าง-ผู้ประกันตน ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ 12 จังหวัดภาคใต้
 
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ รวมถึงให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอครม.ตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับสาระสำคัญของร่างประกาศกระทรวงแรงงานฉบับนี้ได้กำหนดให้นายจ้างและผู้ประกันตนในจ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ ตรัง พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ระนอง และประจวบคีรีขันธ์ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง กรณีวาตภัย และอุทกภัย ได้รับการลดหย่อนการออกเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมประจำงวดเดือน ม.ค.2560 ถึงงวดเดือน มี.ค.2560 โดยส่งเงินสมทบในอัตราฝ่ายละร้อยละ 3 ของค่าจ้างของผู้ประกันตน
 
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ให้กำหนดให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 สิ้นสภาพการจ้างงานซึ่งมีทะเบียนผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรงในท้องที่ดังกล่าวได้รับการลดหย่อนการออกเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมประจำงวดเดือน ม.ค.2560 ถึงงวดเดือน มี.ค.2560 โดยส่งเงินสมทบในอัตราเดือนละ 288 บาท กำหนดให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2560 เป็นต้นไป
 
 
เปิดแผนดูแล "กระเป๋ารถเมล์" กว่า 4 พันคน จ่อถูก ขสมก.โละ เล็งใช้ E-Ticket แทน
 
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษก ก.แรงงาน กล่าวถึงกรณีองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) อยู่ระหว่างการประมูลติดตั้งระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-Ticket) บนรถโดยสารประจำทาง 2,600 คัน และจะทยอยเลิกจ้างพนักงานเก็บค่าโดยสารที่มีอยู่กว่า 4,000 คน ในปี 2560 ว่า จากแผนของ ขสมก. นั้น กระทรวงแรงงานมีแนวทางช่วยเหลือพนักงานที่จะถูกเลิกจ้าง ดังนี้ 1. กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ได้เตรียมแนวทางเข้าไปพูดคุยกับผู้บริหาร ขสมก. ในการดูแลและช่วยเหลือพนักงานเก็บค่าโดยสารที่อยู่ในข่ายการเลิกจ้าง โดยการนำโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด (เออร์ลี รีไทร์) และได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย พ.ร.บ. แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
 
นายอนันต์ชัย กล่าวว่า 2. กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) จะเข้าไปเสริมทักษะการขับรถสาธารณะให้พนักงานที่ปรับไปเป็นพนักงานขับรถ รวมถึงเสริมทักษะอาชีพอื่นให้กลุ่มที่ถูกเลิกจ้างหากต้องการปรับเปลี่ยนงานด้วย เพื่อให้มีทักษะที่ตรงกับความต้องการ และ 3. กรมการจัดหางาน จะเข้าไปหาตำแหน่งงานใหม่รองรับและสำนักงานประกันสังคม (สปส.) จะดูแลเรื่องเงินทดแทนกรณีว่างงาน
 
"สำหรับสิทธิประโยชน์กรณีเออร์ลี รีไทร์ ตามกฎหมายของพนักงานรัฐวิสาหกิจ คือ ลูกจ้าง/พนักงาน ผู้ได้ปฏิบัติในช่วงก่อนเกษียณอายุติดต่อกันครบ 5 ปีขึ้นไป ให้ได้รับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงาน เป็นจำนวนเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน และปฏิบัติงานในช่วงก่อนเกษียณอายุติดต่อกัน 15 ปีขึ้นไป ให้ได้รับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเป็นจำนวนเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน ทั้งนี้ ในกรณีที่นายจ้างมีข้อบังคับ ข้อกำหนดระเบียบ หรือคำสั่งในการจ่ายค่าชดเชยกรณีพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุเกษียณอายุ ให้ถือว่าเงินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของเงินเพื่อตอบแทนความชอบ" นายอนันต์ชัย กล่าว
 
นายอนันต์ชัย กล่าวว่า ขณะที่พนักงานที่ถูกเลิกจ้าง จะได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมาย คือ ทำงาน 3 เดือนแต่ไม่ครบ 1 ปี ได้ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 30 วัน / ทำงาน 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปีได้ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 90 วัน / ทำงาน 3 ปี ไม่ครบ 6 ปี ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 180 วัน /ทำงาน 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 240 วัน และทำงาน 10 ปีขึ้นไป ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 300 วัน
 
 
กนอ. จับมือพันธมิตรแก้ปัญหาขาดแรงงาน รับนิคมฯสงขลา
 
กนอ. เตรียมจับมือ สำนักงานแรงงานจังหวัดสงขลา และสถาบันการศึกษาต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ร่วมแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ให้มีความพร้อมรองรับการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดสงขลาอย่างเพียงพอทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ โดยในระยะสั้น มุ่งเน้นการจัดหาแรงงานที่มีอยู่แล้วในตลาด ส่วนระยะกลาง-ระยะยาว มุ่งเน้นการพัฒนาหลักสูตร เพื่อผลิตแรงงานให้สอดรับกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
 
นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ตามที่ กนอ. เปิดตัวโครงการนิคมอุตสาหกรรมยางพารา (Rubber City) จังหวัดสงขลา ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2558 เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ในการเพิ่มอุปสงค์การใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรมขั้นกลางน้ำและปลายน้ำที่สำคัญ ตลอดจนมุ่งเน้นนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ยางพารา ส่งผลให้เกิดการแก้ไขปัญหายางพาราอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนนั้น ขณะนี้ กนอ. อยู่ระหว่างเดินหน้างานด้านการตลาด เพื่อหาผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับยางพาราที่มีศักยภาพเข้ามาลงทุนในโครงการ ขณะเดียวกัน ก็ให้ความสำคัญกับการรับฟังเสียงของลูกค้า/นักลงทุน (Voice Of Customer : VOC) เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการปรับปรุง/แก้ไขปัญหา และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ซึ่งปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญและมีผลต่อการตัดสินใจเป็นอย่างมาก คือ ความพร้อมทางด้านแรงงาน ดังนั้น กนอ. จึงได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออก ในเรื่องดังกล่าว
 
"ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรม ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ สวนทางกับสภาวะการจ้างงานในภาคการผลิตที่มีแนวโน้มการขยายตัวสูงขึ้น จึงเป็นประเด็นข้อกังวลใจของผู้ประกอบการในการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมยางพารา (Rubber City) จังหวัดสงขลา กนอ. จึงได้ดำเนินการใน 2 เรื่องหลัก คือ 1. การพัฒนาความร่วมมือกับสำนักงานแรงงานจังหวัดสงขลา ด้านการจัดหาแรงงานให้เพียงพอสำหรับสถานประกอบการ ในนิคมอุตสาหกรรม ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ซึ่งครอบคลุมทั้งแรงงานมีฝีมือ แรงงานทั่วไป และแรงงานต่างด้าว 2. การพัฒนาความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในจังหวัดสงขลา โดยเฉพาะสถาบันอาชีวศึกษา ด้านการพัฒนาและเตรียมความพร้อม ของแรงงานในอนาคตให้มีความเหมาะสม/สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ในพื้นที่จังหวัดสงขลา โดยคาดว่า จะมีการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOC) ระหว่าง กนอ. กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2560"
 
ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวต่อไปว่า การแก้ไขปัญหาในระยะสั้น จะมุ่งเน้นการจัดหาแรงงานที่มีอยู่แล้วในตลาด ส่วนในระยะกลาง-ระยะยาว จะมุ่งเน้นการพัฒนาหลักสูตร เพื่อผลิตแรงงานให้สอดรับกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้งของนิคมอุตสาหกรรมยางพารา นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ และนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ สงขลา ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมเหล่านี้ นอกจากจะเป็นแหล่งการจ้างงานที่มั่นคงให้กับชาวสงขลาและจังหวัดใกล้เคียงแล้ว ยังเป็นแหล่ง ฝึกประสบการณ์ในการทำงานที่ดี ตลอดจนการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่แรงงาน และนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้แก่ภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคตอีกด้วย
 
 
ซีพีเอฟร่วมกับภาครัฐ สร้าง "สังคมพึ่งตน" จ้างงานคนพิการ ยกระดับคุณภาพชีวิตดีขึ้น
 
ซีพีเอฟ สนับสนุนการจ้างงานคนพิการทั่วประเทศเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ ล่าสุดร่วมกับอำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี คัดเลือกคนพิการ 6 คน ร่วมทำงานในชุมชน เพื่อแก้ปัญหาการเดินทางไปทำงานไกลบ้าน ยกระดับคุณภาพชีวิต นำไปสู่การพึ่งพาตนเองอย่างมั่นคง
 
ปัจจุบัน "โครงการจ้างงานคนพิการ" ของซีพีเอฟ มีการจ้างงานคนพิการรวมทั้งสิ้น 723 คน ในจำนวนนี้เป็นพนักงานประจำสำนักงานของบริษัท 270 คน อีก 242 คน เป็นการจ้างงานให้ทำงานใกล้บ้านเป็นงานบริการสาธารณะในชุมชน ส่วนที่เหลือ 211 คน เป็นการจ้างงานในลักษณะสนับสนุนองค์กร-มูลนิธิเพื่อจ้างคนพิการ
 
นายศราวุธ สุวรรณจูฑะ นายอำเภอวังม่วง จ.สระบุรี เปิดเผยว่า โครงการจ้างงานคนพิการ ของ ซีพีเอฟ สอดคล้องกับนโยบายของอำเภอวังม่วง สังกัดกระทรวงมหาดไทย ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลการอยู่ดีกินดีของประชาชนไทย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม อำเภอวังม่วง ได้ร่วมมือกับ ซีพีเอฟ คัดเลือกคนพิการจำนวน 6 คนในอำเภอที่มีฐานะยากจน และเป็นคนดี มาเป็นพนักงานซีพีเอฟ เพื่อทำงานสาธารณะประโยชน์ให้แก่ชุมชนตนเองตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2559 เป็นต้นมา โดยรับผิดชอบทำงานแตกต่างกัน เช่น ช่วยงานโรงเรียน วัด สถานที่ราชการ หรือฟาร์มไก่และฟาร์มสุกรที่อยู่ใกล้บ้าน จากการติดตามประเมินผลจากคนพิการที่เข้าร่วมโครงการฯ พบว่าทุกคนพึ่งพาตัวเองได้ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น จากที่มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว และได้ทำประโยชน์กับชุมชน โดย ซีพีเอฟ เป็นคนรับผิดชอบค่าจ้างแรงงาน
"คนพิการที่ร่วมโครงการฯกับซีพีเอฟเป็นบุคลากรที่มีศักยภาพของชุมชน เป็นการช่วยให้คนพิการที่มีความประพฤติดีแต่ด้อยโอกาส มีรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ลดความเหลื่อมล้ำของคนในสังคมได้ ขณะเดียวกันยังส่งเสริมให้คนพิการได้ทำประโยชน์ให้กับชุมชนของตนเองด้วย" นายศราวุธกล่าว
 
นายอับดุลเหล๊าะ เลิศอริยะพงษ์กุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตตามแนวทาง "สังคมพึ่งตน" ซึ่งเป็น 1 ในสามเสาหลักสู่ความยั่งยืนของบริษัท ประกอบด้วย อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่ เพื่อสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โครงการจ้างแรงงานคนพิการนี้ เป็นการดำเนินโครงการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
 
ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2559 ที่ผ่านมา ซีพีเอฟ ได้ร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่น วัด และโรงเรียน จัดจ้างคนพิการได้ทำงานใกล้บ้าน 2 รูปแบบ รูปแบบแรก จัดจ้างให้ทำงานสาธารณประโยชน์ ช่วยเหลือวัด โรงเรียน สำนักงานเทศบาล ในชุมชน รูปแบบที่สอง จัดจ้างคนพิการให้ ทำงานช่วยดูแล "โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน" ในโรงเรียนที่ ซีพีเอฟ ให้การสนับสนุนอยู่กว่า 660 แห่งทั่วประเทศ
 
ภายใต้โครงการจัดจ้างคนพิการ ซีพีเอฟ มีการจ้างคนพิการให้ทำงานใน 3 รูปแบบ คือ เป็นพนักงานบริษัท รูปแบบให้การสนับสนุนองค์กรหรือมูลนิธิเพื่อคนพิการ โดยเปิดพื้นที่ให้คนพิการเข้ามาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในโรงงาน หรือฟาร์มทุกเดือน และรูปแบบการจ้างคนพิการให้ทำงานบริการชุมชน เช่น ที่อำเภอวังม่วง เป็นต้น
 
นายอับดุลหล๊าะกล่าวว่า คนพิการ 6 คน ของอำเภอวังม่วง ทำงานในชุมชนตนทั้งในโรงเรียน และวัดใกล้บ้าน มีหน้าที่รับผิดชอบช่วยงานทำความสะอาดสถานที่ ตัดหญ้า หรืองานทั่วๆ ไปตามที่เจ้าอาวาสและผู้อำนวยการโรงเรียนมอบหมาย ทำงานทุกวันจันทร์-วันศุกร์ ได้รับค่าจ้างรายเดือนตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำ โดยบริษัทฯ ร่วมกับองค์กรท้องถิ่นในการดูแลติดตามประเมินผลการดำเนินงานและคุณภาพชีวิตของคนพิการอย่างใกล้ชิด
 
"อำเภอวังม่วงเป็นอีกตัวอย่างของความสำเร็จของความร่วมมือกันของรัฐและเอกชน ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการในสังคมไทย ไม่เพียงช่วยให้คนพิการมีรายได้เลี้ยงตัวเองได้ แต่ยังช่วยให้คนพิการมีความภูมิใจในคุณค่าและศักดิ์ศรีของตนเอง" นายอับดุลเหล๊าะกล่าว
 
ซีพีเอฟจะมีการประเมินผลโครงการจัดจ้างคนพิการทำงานใกล้บ้านทั่วประเทศอย่างสม่ำเสมอ และมีแผนจะร่วมมือกับภาครัฐในท้องถิ่นจ้างคนพิการทำงานช่วยชุมชนเพิ่มขึ้น จากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวนบุคลากรตามแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในอนาคต เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ผู้ด้อยโอกาสทางสังคมได้มีโอกาสพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
 
 
กระทรวงแรงงาน จัดหลักสูตรการตลาดห้องพักออนไลน์ เสริมการท่องเที่ยวอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
 
นายธีรพล ขุนเมือง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน(กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ในปี 2560 กพร.มีนโยบายด้านการพัฒนาฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับทิศทางของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ด้านการลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ เพียงใช้สื่ออินเตอร์เน็ตให้เป็นธุรกิจ และการประกอบธุรกิจด้านการท่องที่ยว อย่างเช่น การจองห้องพักผ่านออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางไปสำรวจหรือดูที่พักในสถานที่จริงได้ การจองห้องพักผ่านเว็บไซต์จึงเป็นทางเลือกที่สะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย
 
ดังนั้น กพร. เห็นความสำคัญและการพัฒนาที่ต้องทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง จึงจัดฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจด้านการท่องเที่ยวให้สูงขึ้น ด้วยการจัดอบรมหลักสูตร การบริหารจัดการด้านการตลาด E – Commerce สร้างรายได้จากการให้เช่าที่พักออนไลน์ เพื่อพัฒนาทักษะให้เยาวชนที่จะเป็นแรงงานใหม่ ให้มีความพร้อมสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และกลุ่มผู้ประกอบการเกี่ยวกับห้องพัก ให้มีความรู้เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจผ่านออนไลน์ เป็นการเพิ่มช่องทางการดำเนินธุรกิจอีกช่องทางหนึ่งโดย ผู้เข้าอบรมจะได้ฝึกปฏิบัติการจำลองสถานการณ์จริง ทั้งในส่วนของผู้ให้เช่าที่พัก และผู้เข้าพัก ได้เรียนรู้การประกอบธุรกิจ Start Up เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้จริงหลังจากจบฝึก และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพในอนาคตต่อไป
 
 
งานวิจัยชี้บัณฑิตจบ ป.ตรี ปี'59 ตกงานเฉียดเกือบ 1.8 แสนคน เหตุตลาดต้องการแรงงาน 'ปวช.-ปวส.-ม.6'
 
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้ช่วยรองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) กล่าวในการนำเสนอผลวิจัย "การปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อสร้างความพร้อมในการประกอบอาชีพแก่เยาวชน" จัดโดยสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยธุรกิจบันฑิตย์ ว่า ข้อมูลจากการวิจัยสถานการณ์ตลาดแรงงานในกลุ่มจังหวัด 18 กลุ่ม พบว่า ตลาดแรงงานไทยในวันนี้ต้องการแรงงานในสายวิชาชีพที่จบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และ ม.6 ที่มีทักษะอาชีพพอที่จะไปทำงานได้ ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้จะเป็นกำลังในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ยุค 4.0 โดยข้อมูล Human Capital Report 2016 พบว่า สัดส่วนแรงงานฝีมือของประเทศสวีเดน เยอรมณี สิงค์โปร์ และฟินแลนด์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 48 ส่วนไทยมีเพียงร้อยละ 14.4 ถือว่าแตกต่างค่อนข้างมาก
 
"โครงสร้างแรงงานที่จะช่วยให้ไทยก้าวไปสู่ยุค 4.0 ได้ คือต้องมีแรงงานฝีมือเพิ่มขึ้น 40-50% แต่ปัจจุบันมีเพียง 20% ขณะที่ผู้เรียนจบปริญญาตรีในปี 2559 ว่างงานถึง 1.79 แสนคน ซึ่งหลายๆ จังหวัดของไทยยังเป็นเศรษฐกิจในยุค 2.0 การจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 3.0 และ 4.0 นั้นต้องถูกขับเคลื่อนด้วยแรงงานในสายวิชาชีพ ถ้ายังผลิตคนป้อนไม่ได้ จะมีบางจังหวัดที่พร้อมไปสู่ 4.0 แต่อีกหลายจังหวัดยังอยู่ที่ 2.0 หรือ 3.0 จะยิ่งเกิดความเหลื่อมล้ำมากกว่าเดิม ทั้งนี้ การผลิตคนในสายอาชีพไม่จำเป็นจะต้องผลิตผู้เรียนที่จบอาชีวะอย่างเดียว แต่ขยายสู่โรงเรียนในระดับมัธยมศึกษา ให้นักเรียนได้เรียนวิชาชีพที่สอดคล้องกับตลาดแรงงานในพื้นที่เป็นวิชาเสริมในการเรียนได้ ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันคือกระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องร่วมกันฝึกทักษะวิชาชีพให้นักเรียน รวมถึง คนที่อยู่ในวัยทำงานตอนต้นให้มีทักษะวิชาชีพที่ดีขึ้นด้วย เชื่อว่าภายใน 5 ปี จะเริ่มเห็นภาพการขับเคลื่อนที่การพัฒนากำลังคน และเป้าหมายที่ชัดเจน คาดว่าไทยจะก้าวเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ได้เต็มตัวในอีก 15 ปีข้างหน้า หรือปี 2575" ดร.เกียรติอนันต์ กล่าว
 
 
ช่วยลูกจ้างสหรัตนนคร พายื่นฟ้องศาลแรงงาน ให้นายจ้างปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจฯ
 
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการดำเนินการให้ความช่วยเหลือลูกจ้าง ๓๗ คน ของบริษัท สหรัตนนคร จำกัด ที่ถูกเลิกจ้างว่ากรณีสืบเนื่องมาจากบริษัท สหรัตนนคร จำกัด ประกอบกิจการจัดสรรที่ดินและบริการสาธารณูปโภคสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ ๖๑๑/๔๐ ถนนเจริญกรุง บางคอแหลม กทม. และมีสาขาอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายจ้างขาดสภาพคล่องทางการเงินและศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกาศให้นายจ้างหยุดประกอบกิจการและให้เลิกจ้างพนักงานของบริษัทฯโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นมา พนักงานตรวจแรงงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้รับคำร้องของลูกจ้างทั้ง ๓๗ คน และได้มีคำสั่งให้บริษัท สหรัตนนคร จำกัดโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัท สหรัตนนคร จำกัด นายจ้าง จ่ายค่าจ้าง ค่าชดเชย และค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้กับลูกจ้าง ซึ่งทางนายจ้างได้รับคำสั่งแล้วและไม่ได้นำคดีไปสู่ศาลคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานจึงเป็นที่สุด นอกจากนี้กสร.ได้ให้ลูกจ้างมาใช้สิทธิขอรับเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ
 
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐ พนักงานตรวจแรงงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ประสานให้ลูกจ้างยื่นคำฟ้องต่อศาลแรงงานภาค ๑ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อบังคับให้บริษัท สหรัตนนคร จำกัด โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของ บริษัท สหรัตนนคร จำกัด นายจ้างปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน ซึ่งศาลแรงงานภาค ๑ นัดพิจารณาและไกล่เกลี่ยในวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐
 
 
เจ้าของโรงงานผลิตซองบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ชลบุรีถูกไฟไหม้ ให้คำสัญญาจะไม่ทอดทิ้งคนงานกว่า 100 ชีวิต พร้อมจ่ายค่าแรงตามปกติ
 
วันนี้ (23มี.ค.60) นายชัยวุฒิ โชติพุฒศิลป์ เจ้าของโรงงานผลิตซองบรรจุภัณฑ์พลาสติก บริษัท เอสพีซี อินเตอร์พรินท์ จำกัด ที่ถูกเพลิงไหม้ได้ให้คำสัญญากับพนักงาน กว่า 100 คน ว่าจะไม่ทอดทิ้ง ไม่ปลด หรือ ไล่ออก โดยเรื่องค่าจ้างจะให้เหมือนปกติ ไม่หักค่าอะไร เคยได้เท่าไหร่ ก็ให้เท่านั้น แต่อาจล่าช้าในช่วงแรกเพราะข้อมูลค่าแรงพนักงานถูกไฟไหม้ไปด้วย พร้อมได้ปลุกใจพนักงานว่าจะร่วมสร้างกันมาใหม่
 
สำหรับโรงงานแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมทองโกรว์ ถนนบางนา-ตราด อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง ตั้งแต่เวลา 16.00 น.ของเมื่อวานที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาควบคุมเพลิงนานกว่า 6 ชั่วโมงเพลิงจึงสงบ ส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าน่าจะเกิดจาก แท่นพิมพ์ที่ทำงานหนัก จนเกิดความร้อนเป็นเปลวไฟ ไปถูกวัตถุซองพลาสติก ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงและสารประเภทส่วนผสมที่เป็นวัตถุไวไฟ ประกับกับลมพัดอย่างรุนแรง ทำให้ไฟไหม้โกดัง 2-5 เสียหายทั้งหลัง มูลค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท
 
ส่วนบริเวณที่เกิดเหตุตลอดทั้งคืนจนถึงช่วงเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ยังคงฉีดน้ำเพื่อควบคุมเพลิง ในจุดที่ยังที่ไฟลุกไหม้อยู่ โดยเฉพาะจุดที่มีฟิลม์ซองพลาสติก ทินเนอร์ ซึ่งวัตถุประเภทไวไฟและเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี จึงเกิดเพลิงปะทุเป็นหย่อมๆเจ้าหน้าที่ต้องผลัดเปลี่ยนกันคอยฉีดน้ำเลี้ยงควบคุมให้ไฟดับ ส่วนสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ที่แท้จริงต้องรอให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบและสรุปอีกครั้ง
 
 
สหภาพ กฟน.บุก มท.ยื่นหนังสือถึง "บิ๊กป๊อก" ค้านยกเลิกสวัสดิการขั้นพื้นฐาน กฟน.
 
เมื่อวันที่ 23 มี.ค.60 ที่กระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง และตัวแทนพนักงานการไฟฟ้านครหลวง นำโดย นายเพียร ยงหนู อดีตกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจ และผู้นำแรงงานการไฟฟ้านครหลวง ยื่นหนังสือถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย โดยมีเจ้าหน้าที่เป็นผู้รับแทน เรื่องขอคัดค้านการยกเลิกสวัสดิการขั้นพื้นฐานของการไฟฟ้านครหลวง
 
ทั้งนี้ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 18 ต.ค.59 เห็นชอบปรับปรุงค่าตอบแทนระบบจูงใจและสวัสดิการของรัฐวิสาหกิจนั้น คณะกรรมการสหภาพแรงงาน กฟน.ไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้เกิดความหวั่นไหวต่อพนักงาน ทำให้เกิดการขับเคลื่อนนำไปสู่ความแตกแยก และมีความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่รัฐบาลขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการหลายครั้ง แต่พนักงานรัฐวิสาหกิจได้ไม่เท่าเทียม จึงขอให้ยกเลิกและทบทวนมติดังกล่าว
 
 
เตือนแรงงานไทยบินทำงานเก็บผลไม้ป่าฟินแลนด์อาจไม่คุ้มเงินลงทุน
 
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า เนื่องจากช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.ของทุกปี จะมีแรงงานไทยเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศฟินแลนด์เป็นจำนวนมาก เนื่องจากคาดหวังว่าจะมีรายได้กลับมายังประเทศไทยจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามยังมีแรงงานไทยที่มีรายได้ไม่ตรงตามเป้าหมาย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการเก็บผลไม้ป่า โดยปีที่ผ่านมาแรงงานไทยประสบปัญหาราคาผลไม้ป่าตกต่ำ ส่งผลให้รายได้น้อยกว่าทุกปี อีกทั้งยังมีบางรายถูกร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากบริษัทผู้รับซื้อ ดังนั้นในปี 2560 นี้ ทางการฟินแลนด์ได้กำหนดโควตาให้แรงงานต่างชาติเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าไม่เกิน 3,500 คน
 
กรมการจัดการงานเตือนคนไทยที่เตรียมบินไปทำงานเก็บผลไม้ป่าฟินแลนด์ในปีนี้ คิดให้ดีอาจไม่คุ้มกับเงินที่ลงทุนดังนั้น ผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าควรพิจารณาให้รอบครอบก่อนตัดสินใจเดินทางไป เนื่องจากมีรายได้ไม่แน่นอน เพราะจำนวนเงินที่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนผลไม้ที่เก็บได้ ประกอบกับราคาผลไม้ไม่คงที่ โดยเฉพาะหากปีใดสภาพอากาศแปรปรวน ผลไม้ป่าก็จะมีผลผลิตน้อย ทำให้เก็บได้น้อย รายได้อาจไม่พอรายจ่าย และยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานอื่น ๆ เช่น ค่าเดินทาง ค่าวีซ่า ค่าประกัน ค่าตรวจสุขภาพ ค่าที่พัก ค่ารถ เป็นต้น รวมแล้วประมาณ 8 หมื่น -1 แสนบาท ดังนั้นควรคำนวณความคุ้มทุน และความเสี่ยง ที่สำคัญต้องประเมินสุขภาพว่ามีพร้อมต่อการทำงานหนักในสภาพอากาศที่หนาวเย็นและความเป็นอยู่ที่ไม่สะดวกสบายได้หรือไม่ แต่หากประสงค์จะเดินทางทำงาน ก็สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1649 อย่างไรก็ตามขณะนี้หลังจากที่ได้มีการหารือร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ประจำประเทศไทย ก็ได้ขอให้ทางการฟินแลนด์ยกเลิกโควตากับบริษัทผู้รับซื้อที่เอาเปรียบแรงงานไทย และขอให้ดูแลแรงงานไทยที่จะไปเก็บผลไม้ป่าในเรื่องสภาพการทำงาน ความเป็นอยู่ และรายได้ โดยเน้นนโยบายแรงงานไทยจะต้องมีรายได้คุ้มกับค่าใช้จ่ายและได้รับการคุ้มครองที่ดี รวมทั้งจัดให้มีกลไกการร้องทุกข์และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับแรงงานระหว่างการทำงานอีกด้วย
 
 
กระทรวงแรงงาน เพิ่มสถานพยาบาลเอกชน 5 แห่ง บริการทางการแพทย์กรณีทันตกรรมแก่ผู้ประกันตน
 
นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ตามที่สำนักงานประกันสังคมได้ประกาศรับสมัครสถานพยาบาลเข้าร่วมเพื่อให้บริการทางการแพทย์กรณีทันตกรรมแก่ผู้ประกันตน เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการปิดรับสมัคร นั้น ล่าสุด สำนักงานประกันสังคมขอประกาศรายชื่อสถานพยาบาลที่ทำข้อตกลงในการให้บริการทางการแพทย์กรณีทันตกรรมแก่ผู้ประกันตนเพิ่มเติม โดยมีสถานพยาบาล/คลินิกที่ประสงค์เข้าร่วม เขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ โรงพยาบาลวิชัยเวช แยกไฟฉาย คลินิกทันตกรรมยูสมาย เดนเท็ล จังหวัดเพชรบุรี ได้แก่ คลินิกทันตกรรมซียูสไมล์ และจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ โรงพยาบาลเซ็นทรัลเชียงใหม่เมโมเรียล คลินิกหมอสุรจิตรทำฟัน ซึ่งผู้ประกันตนสามารถเข้ารับบริการทางการแพทย์กรณีทันตกรรม กรณีถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และผ่าตัดฟันคุด โดยผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นในอัตราไม่เกิน 900 บาท/ครั้ง/ปี ไม่สามารถยกยอดไปใช้ในปีถัดไปได้ ดังนั้นผู้ประกันตนควรหมั่นดูแลสุขภาพในช่องปาก และเบิกค่ารักษาตามสิทธิภายในรอบปีปฏิทินเท่านั้น เพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตนต่อไป
 
ส่วนหลักฐานที่ต้องใช้ในการยื่นคำขอรับประโยชน์กรณีทันตกรรม ดังนี้ 1.แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีทันตกรรม (สปส.2-16) 2.ใบรับรองแพทย์ 3.ใบเสร็จรับเงิน 4.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้ ในกรณีขอรับเงินทางธนาคารให้แนบสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์หน้าแรกซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชี ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)สำหรับผู้ประกันตนที่ไม่สะดวกในการใช้บริการกับสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถเข้ารับบริการคลินิกอื่น ๆ ได้เช่นกัน เพียงนำใบเสร็จมาเบิกได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขาที่สะดวก (ยกเว้นสำนักงานใหญ่ในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข)
 
 
ญี่ปุ่นขยายระยะเวลาการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคถึง 5 ปี พร้อมเพิ่มสาขาอาชีพการดูแลบริบาล
 
กระทรวงแรงงาน เผยญี่ปุ่นออกกฎหมายว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับการฝึกงานด้านเทคนิคสำหรับชาวต่างชาติช่วยเปิดโอกาสให้แรงงานไทยสามารถฝึกงานได้ถึง 5 ปี พร้อมเปิดสาขาอาชีพการดูแลบริบาลทักษะฝีมือที่สูงขึ้น ล่าสุดส่งแรงงานไทยไปฝึกแล้วเกือบ 4,000 ราย
 
กระทรวงแรงงาน โดย นายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2559 ประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับการฝึกงานด้านเทคนิคสำหรับชาวต่างชาติให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและการคุ้มครองผู้ฝึกงานด้านเทคนิค ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ภายใน 1 ปี ซึ่งสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้จะเป็นโอกาสดีของแรงงานไทยที่จะสามารถขยายระยะเวลาการฝึกงานจาก 3 ปี เป็น 5 ปี ทั้งยังได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือที่สูงขึ้น และเพิ่มสาขาอาชีพ "การดูแลบริบาล (Nursing Care) ในระบบการฝึกงานด้านเทคนิค ตลอดจนมีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่คือองค์กรฝึกงานด้านเทคนิคสำหรับชาวต่างชาติ (Organization for Technical Intern Training : OTIT) ทำหน้าที่ควบคุมตรวจสอบและสั่งลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อคุ้มครองผู้ฝึกงานโดยตรงอีกด้วย
 
"ประเทศญี่ปุ่นเป็นตลาดแรงงานที่น่าสนใจมากประเทศหนึ่งของกลุ่มแรงงานที่ต้องการไปทำงานในต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานได้มีความร่วมมือกับองค์กร IM ประเทศญี่ปุ่นจัดส่งแรงงานไทยไปฝึกปฏิบัติงานเทคนิคในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปี 2559 โดยการจัดส่งไม่ต้องเสียค่าบริการใดๆ นอกจากค่าใช้จ่ายส่วนตัวของคนหางาน เช่น ค่าหนังสือเดินทาง ค่าวีซ่า ค่าตรวจสุขภาพ ค่าตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ค่าสมาชิกกองทุน เป็นต้น มีการจัดส่งไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 3,967 คน มีผู้สำเร็จการฝึกฯ จำนวน 2,729 คน โดยมีเบี้ยเลี้ยงตลอดการฝึกฯ 3 ปี ซึ่งเดือนแรกจะได้รับเบี้ยเลี้ยง 80,000 เยน เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 2 จะได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดคือไม่ต่ำกว่า 120,000 เยน/เดือน หรือประมาณ 36,000 บาทต่อเดือน และยังได้รับเงินสนับสนุนในการประกอบอาชีพเมื่อฝึกครบ 3 ปี เป็นเงินคนละ 600,000 เยน หรือประมาณ 180,000 บาท ผู้ฝึกงานจะได้รับการพัฒนาฝีมือแรงงาน สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นและเรียนรู้การทำงานแบบญี่ปุ่น ดังนั้น เมื่อกลับประเทศไทยจะมีโอกาสได้ทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นที่มาลงทุนในไทย ดังนั้น จึงขอให้แรงงานไทยที่สนใจไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นเตรียมพร้อมเรื่องภาษาและการบริบาลเบื้องต้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน เว็บไซต์ www.overseas.doe.go.th หรือโทร.สายด่วนกรมการจัดหางาน 1694" นายวรานนท์ฯ กล่าว
 
ที่มา: กรมการจัดหางาน, 25/3/2560
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พบหัวกะโหลกมนุษย์ อาจเชื่อมโยงการหายตัวของ 'เด่น คำแหล้'

Posted: 25 Mar 2017 04:40 AM PDT

เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่ยังไม่พบร่องรอยหรือเบาะแสที่จะเชื่อมโยงได้ว่า"พ่อเด่นหายไปไหน"กระทั่งมาถึงวันนี้ได้พบวัตถุพยานเพิ่มเติม ที่นางสุภาพยืนยันว่าเป็นของสามี หลักฐานเหล่านี้ อาจเป็นปมสำคัญในการติดตามค้นหา และหากพิสูจน์แล้วว่า หัวกะโหลกที่พบล่าสุดเป็นของนายเด่น คำแหล้ สิ่งที่ต้องหาเบาะแสต่อไปคือ"ใครฆ่าพ่อเด่น"
 
 
 
 
25 มี.ค.2560 วันนี้  25 มี.ค.2560 เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตำรวจจังหวัดชัยภูมิ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจห้วยยาง ต.ห้วยยาง อ.คอนสาร ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบบริเวณที่พบวัตถุและสิ่งของต่างๆ รวมทั้งห่างออกไปประมาณ 25 เมตรได้พบหัวกะโหลกเพิ่มเติม
 
จากการตรวจสอบหัวกะโหลกอย่างละเอียดเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตำรวจแจ้งว่า เป็นกะโหลกมนุษย์ จึงได้รวบรวมเก็บวัตถุพยานทั้งหมด รวมทั้งหัวกะโหลกไปตรวจสอบและพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ รวมทั้งหาหลักฐานต่อไปว่ากะโหลกที่เป็นของมนุษย์ จะเชื่อมโยงไปสู่การหายตัวและใช่กะโหลกนายเด่น คำแหล้ ที่หายตัวไป หรือไม่
 
 
 
 
สืบเนื่องจากวานนี้ (23 มี.ค.2560) ชาวบ้านชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ(สมาชิกเครือข่ายปฎิรูปที่ดินภาคอีสาน คปอ.)ได้พบวัตถุสิ่งของ เช่น กางเกงขายาว รองเท้า 1 คู่ เป้สะพาย 2 ใบ กระปุกปลาร้าบอง ขวดน้ำ ถุงดำ และมีดพกสั้น ในบริเวณป่าเช้าเก่า(หนองไรไก่) รอยต่อระหว่างเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว กับเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม วัตถุทั้งหมดพบในบริเวณจุดที่ใกล้เคียงกันบนเนินเขาลาดเอียงลงไปสู่ลำห้วยน้อยที่เชื่อมต่อกับลำน้ำพรม สถานที่ดังกล่าวห่างจากบริเวณชุมชนโคกยาวประมาณ  4 กิโลเมตร ซึ่งสิ่งของที่ค้นพบ ชาวบ้านได้ทำการบันทึกภาพ และประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ และพิสูจน์หลักฐานตำรวจจังหวัดชัยภูมิ เข้ามาตรวจสอบสถานที่ (ในวันที่ 25 มี.ค.2560) และได้ค้นหาเจอหัวกะโหลกได้เพิ่มเติม
 
โดย นางสุภาพ คำแหล้ (ภรรยานายเด่น) ยืนยันว่าสิ่งของทุกอย่างที่พบเป็นของสามี ที่นำติดตัวไป ในช่วงเช้าของวันที่ 16 เม.ย.ปีที่ผ่านมา ยกเว้นหัวกะโหลกของมนุษย์ที่ต้องรอการตรวจพิสูจน์ว่า เป็นของสามี หรือไม่
 
 
 
 
เป็นเวลาเกือบ 1 ปีแล้ว ที่เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน ต้องสูญเสียสมาชิกระดับแกนนำชุมชน หลังจากได้รับแจ้งว่า นายเด่น คำแหล้ อายุ 65 ปี หรือพ่อเด่น (ประธานโฉนดชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ) หายตัวไปในป่าในวันที่ 16 เม.ย.2559 ภายหลังจากเข้าไปหาหน่อไม้ในบริเวณสวนป่าโคกยาว พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนามรอยต่อกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่ยังไม่พบร่องรอย หรือเบาะแสที่จะเชื่อมโยงได้ว่า "พ่อเด่นหายไปไหน"
 
 
 
กระทั่งมาถึงวันนี้ได้พบวัตถุพยานเพิ่มเติม ที่นางสุภาพยืนยันว่าเป็นของสามี หลักฐานเหล่านี้ อาจเป็นปมสำคัญในการติดตามค้นหาพ่อเด่น ที่สำคัญนั้น หากพิสูจน์แล้วว่า หัวกะโหลกที่พบล่าสุดเป็นของนายเด่น คำแหล้ สิ่งที่ต้องดำเนินการหาเบาะแสต่อไปคือ "ใครฆ่าพ่อเด่น"
 
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดีเอสไอฝากขังเครือข่ายโกตี๋แล้ว

Posted: 25 Mar 2017 04:09 AM PDT

คุมตัวผู้ต้องหา 9 คน เครือข่ายโกตี๋ ขออำนาจศาลอาญาฝากขังผัดแรก ด้าน 'พงศ์เทพ เทพกาญจนา' แกนนำพรรคเพื่อไทยมั่นใจ 'จารุพงศ์' ไม่เกี่ยวข้องกับ 'โกตี๋' ชี้เป็นคนสุภาพเรียบร้อย

25 มี.ค. 2560 สำนักข่าวไทย รายงานว่าเมื่อเวลา 09.30 น. เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ควบคุมตัวผู้ต้องหา 9 คน เครือข่ายนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำคนเสื้อแดง จ.ปทุมธานี ผู้ต้องหาตามหมายจับในความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ และข้อหาซ่องโจร ไปขออำนาจศาลอาญาฝากขังผัดแรก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม - 5 เมษายน 2560 หลังจากเมื่อวานนี้ ดีเอสไอรับตัวผู้ต้องหาจากกองปราบปรามไปดำเนินคดี เพราะเป็นคดีที่มีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อปี 2553 เบื้องต้นพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง โดยพบอาวุธสงครามเป็นจำนวนมาก และเกรงว่าผู้ต้องหาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานในคดี
 
ทั้งนี้ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยแนวทางการจับกุมตัวโกตี๋ และพวกรวม 4 คน ที่อยู่ระหว่างการหลบหนีอยู่ในต่างประเทศว่า ต้องใช้ พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยใช้หลักต่างตอบแทน และวิธีทางการทูต เพื่อนำตัวผู้ต้องหากลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย พร้อมยืนยันดีเอสไอจะทำให้ดีที่สุด
 
'พงศ์เทพ' มั่นใจ 'จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ' ไม่เกี่ยวโกตี๋
 
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่านายพงศ์เทพ เทพกาญจนา แกนนำพรรคเพื่อไทยกล่าวกรณีที่นายธีรชัย อุตรวิเชียร แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่านายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ อ้างว่ามีอดีตรัฐมนตรีที่ลี้ภัยในต่างประเทศ ระบุว่ามีอาวุธอยู่ในตู้คอนเทรนเนอร์ ว่า ไม่อยากตั้งข้อสังเกตอะไรเพราะไกลจากข้อมูล แต่รู้สึกแปลกใจในหลายเรื่องและเป็นที่น่าคิดว่านายวุฒิพงศ์ออกจากประเทศไทยไปนานแล้วทำไมเพิ่งจะมีการพูดคุยกันเรื่องนี้ ในช่วงเวลานี้ 
 
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีข้อสังเกตว่าอดีตรัฐมนตรีที่นายวุฒิพงศ์ อ้างถึงนั้นอาจหมายถึงนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.มหาดไทยและอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายพงศ์เทพ กล่าวว่า "ผมเห็นนายจารุพงศ์ สมัยเป็นรัฐมนตรี ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องอาวุธหรือจะเป็นนักเพราะนายจารุพงศ์เป็นคนสุภาพ เรียบร้อย จึงแปลกใจว่ามีชื่อได้อย่างไร"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรุงเทพโพลล์ระบุสอบภาษีย้อนหลังนักการเมือง คนรู้สึกว่าเลือกปฏิบัติ 50%

Posted: 25 Mar 2017 03:35 AM PDT

กรุงเทพโพลล์เผยผลสำรวจกรณี สตง. สั่งสรรพากรตรวจสอบภาษีย้อนหลัง 60 นักการเมืองยุค รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 50 เห็นว่าสรรพากรมีการเลือกปฏิบัติ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ เอื้อประโยชน์ต่อการเลี่ยงภาษี ร้อยละ 40.1 เห็นว่าสรรพากรมีผลประโยชน์ทับซ้อนและมีการเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมืองจึงไม่ตรวจสอบตามที่ สตง.แจ้งตั้งแต่ต้นปี 2558 

 
 
 
25 มี.ค. 2560 กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง "การตรวจสอบภาษีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง...ใครผิด ใครถูก" โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ  จำนวน 1,216 คน พบว่า
 
จากกรณี สตง. สั่งสรรพากรตรวจสอบภาษี 60 นักการเมืองยุค รัฐบาล นายกฯอภิสิทธิ์ และ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ประชาชนร้อยละ 20.5 มีความเห็นว่า เป็นเกมทางการเมืองเพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้าม รองลงมาร้อยละ 17.8 มีความเห็นว่าเป็นกระบวนการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินนักการเมืองเมื่อหมดวาระ และร้อยละ 14.2 มีความเห็นว่า นักการเมืองตั้งใจโกง/ตั้งใจไม่ยื่นภาษี
 
 เมื่อถามว่า การเรียกเก็บภาษีย้อนหลังของ 60 นักการเมือง จะกระทบกับโรดแมปความปรองดอง สมานฉันท์หรือไม่ ประชาชน ร้อยละ 61.4 ระบุว่า ไม่กระทบความปรองดอง โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 35.6 เห็นว่าการเสียภาษี เป็นหน้าที่ต้องพึงปฏิบัติอยู่แล้ว และ ร้อยละ 25.8  เห็นว่าการปรองดองไม่ควรเชื่อมโยงกับการละเว้นความผิด ในขณะที่ร้อยละ 38.6 ระบุการเรียกเก็บภาษีย้อนหลังของ 60 นักการเมืองจะกระทบความปรองดอง โดยในจำนวนนี้ร้อยละ  22.0 เห็นว่า อาจเกิดกระแสการเลือกปฏิบัติ  สองมาตรฐาน และร้อยละ 16.6 เห็นว่าอาจสร้างความไม่พอใจต่อนักการเมือง 
             
ทั้งนี้สาเหตุที่กรมสรรพากรไม่มีการตรวจสอบภาษีของนักการเมืองตามที่ สตง. แจ้ง ตั้งแต่ต้นปี 2558 นั้น ประชาชนร้อยละ 40.1 ระบุว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนและมีการเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมือง รองลงมาร้อยละ 27.9 ระบุว่า สรรพากรมีกระบวนการดำเนินงานและตรวจสอบล่าช้า และร้อยละ16.6 ระบุว่า เกรงกลัวอิทธิพลของนักการเมือง
 
สำหรับความเห็นว่าควรมีการใช้มาตรการพิเศษเข้ามาในกระบวนการตรวจสอบภาษีย้อนหลังของนักการเมืองหรือไม่ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 81.5 ระบุว่าควรมี ขณะที่ร้อยละ11.3 ไม่ควรมี ที่เหลือร้อยละ 7.2 ระบุว่า ไม่แน่ใจ
 
ส่วนความเห็นต่อการตรวจสอบภาษีของนักการเมืองในบ้านเมืองเรา ประชาชน ร้อยละ 50.0 เห็นว่า สรรพากรมีการเลือกปฏิบัติ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ เอื้อประโยชน์ต่อการเลี่ยงภาษี รองลงมาร้อยละ 30.2 เห็นว่า มีกระบวนการตรวจสอบที่ล่าช้า ขณะที่ร้อยละ 14.1 เห็นว่ามีกระบวนการตรวจสอบที่ดี บริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่ละเลยผู้กระทำผิด
 
ทั้งนี้หน่วยงานที่ควรทำหน้าที่ชี้ชัดว่านักการเมืองคนใดเข้าข่ายควรถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลังหรือไม่ ประชาชนร้อยละ 39.1 ระบุว่าควรเป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช. ) รองลงมาร้อยละ 31.9 ระบุว่า ควรเป็นหน้าที่ของ กรมสรรพากร  และร้อยละ 29.0 ระบุว่า ควรเป็นหน้าที่ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เผยศาลรับฟ้องคดี "ดร.นิด้า" หมิ่นประมาทกล่าวหาเอ็นจีโอมีผลประโยชน์โครงการ สปสช.

Posted: 25 Mar 2017 03:12 AM PDT

นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์เผย ศาลรับฟ้อง คดี "ดร.นิด้า" หมิ่นประมาทกล่าวหา กลุ่มเอ็นจีโอมีผลประโยชน์จากโครงการ สปสช. ยันการทำหน้าที่โปร่งใส เป็นไปตามกฎหมาย ชี้ที่ผ่านมาดูแลผลประโยชน์หลักประกันสุขภาพให้กับประชาชน ร่วมผลักดันสิทธิประโยชน์หลายเรื่อง เพิ่มสิทธิรักษาผู้ป่วยไตวาย เอดส์ ดูแลสิทธิฉุกเฉิน

 
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2560 ที่ผ่านมานายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ และอดีตกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ยื่นฟ้อง นายอานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ในคดีหมิ่นประมาทหลังจากนายอานนท์เขียนข้อความพาดพิงกล่าวหาเอ็นจีโอตระกูล ส. ซึ่งมีการระบุชื่อว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อน โกงงบประมาณแผ่นดินในโครงการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)  ทั้งนี้ หลังจากศาลได้ไต่สวนพบว่า คดีมีมูลจึงรับฟ้อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนพยานโจทก์หลังจากไต่สวนฝั่งพยานจำเลยเสร็จแล้ว
 
นายนิมิตร์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ได้ทำหนังสือขอให้นิด้าสอบสวนเรื่องนี้เพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงและลบข้อความที่กล่าวหาออก แต่เมื่อไม่ดำเนินการจึงจำเป็นต้องฟ้องร้อง
 
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ แกนนำภาคประชาชน นำโดย นส.รสนา โตสิตระกูล, นส.สารี อ๋องสมหวัง, นายนิมิตร์ เทียนอุดม, นส.บุญยืน ศิริธรรม, นส.สุภัทรา นาคะผิว และ นส.สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ทำจดหมายใช้สิทธิ​ร้องเรียนตามกฎหมายโดยสุจริตต่อนายกสภาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เพื่อให้สอบสวนจริยธรรมและพิจารณาลงโทษ นายอานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ หากมีความผิดจริงเนื่องจาก นายอานนท์ เขียนข้อความในเฟสบุ๊คของตนเอง กล่าวหาบุคคลองค์กรจำนวนมาก โดยใช้ถ้อยคำดูถูก ดูหมิ่น และยังได้เขียนบทความนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง เผยแพร่ในสื่อสิ่งพิมพ์ พูดกล่าวหาในเวทีสาธารณะ โดยไม่มีการตรวจสอบ ในหลายการกระทำ
 
นายนิมิตร์ กล่าวว่า ข้อกล่าวหาที่พูดกันว่า เอ็นจีโอบางกลุ่มเข้าไปมีบทบาทในการร่างกฎหมาย สปสช. เมื่อร่างเสร็จ ก็เข้าไปนั่งเป็นกรรมการ และแสวงประโยชน์จากโครงการต่างๆ นั้น ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง และขอชี้แจงว่า ช่วงที่ภาคประชาชนร่วมกันล่ารายชื่อประชาชน 5 หมื่นคนเพื่อให้มีกฎหมายหลักประกันสุขภาพ เพราะเห็นว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ ที่ประชาชนคนไทยทุกคนต้องมีหลักประกันสุขภาพในยามเจ็บป่วยที่ควรมีระบบมารองรับ ดูแลการรักษาพยาบาล ซึ่งในที่สุดก็ผลักดันสำเร็จ ทำให้กฎหมายฉบับนี้มีเนื้อหาที่ดีและสนับนสนุนให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ วางนโยบายของระบบหลักประกันสุขภาพ ถือว่าเป็นกฎหมายฉบับแรกๆ ของประเทศที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม ตั้งแต่ระดับนโยบายไปจนถึงระดับปฏิบัติในพื้นที่
 
นายนิมิตร์ กล่าวว่า เอ็นจีโอกลุ่มตนเองที่เข้าไปเป็นกรรมการ สปสช. ก็ไปตามช่องทางของกฎหมาย ที่เขียนไว้ชัดว่า ต้องมีประชาชน 9 ด้านที่มีส่วนร่วมในการดูแลจัดการระบบหลักประกันสุขภาพเข้าร่วมเป็นกรรมการ กฎหมายกำหนดต่อว่า ให้แต่ละด้านเลือกตัวแทนขึ้นมา 1 คน ให้ครบ 9 ด้าน และตัวแทนทั้ง 9 คน ก็เลือกกันเองให้เหลือ 5 คน ซึ่งตรงนี้เป็นบทบาทที่ตัวแทนประชาชนเข้าไปตามกฎหมายเพื่อดูนโยบายและทิศทางให้เป็นหลักประกันว่า ระบบนี้จะรับผิดชอบการดูแลรักษาพยาบาลให้กับประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งกฎหมายก็รอบคอบเพราะได้กำหนดขอบเขตและบทบาทของกรรมการไว้ชัดเจนว่า ทำอะไรได้หรือไม่ได้ ฉะนั้นกรรมการไม่ได้มีหน้าที่ที่จะไปอนุมัติโครงการหรือการใช้จ่ายงบประมาณให้กับใคร หรือโครงการใดโครงการหนึ่ง 
 
นายนิมิตร์ กล่าวว่า โครงการที่จะใช้จ่ายเงินในระบบหลักประกันสุขภาพนั้นถูกเขียนเงื่อนไขไว้ชัดเจนตั้งแต่การจัดทำงบประมาณว่า จะใช้เพื่ออะไร เช่น ค่ารักษาพยาบาลเหมาจ่ายรายหัวอย่างไร เพื่อส่งเสริมและป้องกันโรคแบบไหน หรือ ในโครงการโรคเฉพาะ ดังนั้นกฎหมายและระเบียบที่ สปสช.ดำเนินการรอบคอบ รัดกุม และโปร่งใส ภาคประชาชนที่เข้าไปมีส่วนร่วมไม่มีอำนาจหน้าที่ใดๆ ที่จะไปเกี่ยวกับการอนุมัติและใช้จ่ายเงินตามที่เขากล่าวหากัน
 
"เราขอยืนยันว่า จะยังทำงานกับระบบหลักประกันสุขภาพต่อไป เพราะมันจำเป็นที่ต้องมีคนคอยส่งเสียง บอกความเดือดร้อนของประชาชน คอยดูและทบทวนว่าสิทธิประโยชน์ที่วางไว้ ครอบคลุมการรักษาเรื่องใด มันเพียงพอ มีจุดอ่อน จุดแข็งอะไรหรือไม่ เพราะในบางมุมมองของผู้รักษา หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ สปสช. และกระทรวงสาธารณสุข มันก็เป็นมุมมองหนึ่งซึ่งบางทีอาจจะไม่เห็นปัญหาด้านสุขภาพของประชาชน ดังนั้นการมีตัวแทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะช่วยสะท้อนปัญหาที่แท้จริงได้ดี" อดีตกรรมการ สปสช. กล่าว
 
นายนิมิตร์ กล่าวว่า ตัวแทนภาคประชาชนที่เข้าร่วมเป็นกรรมการ สปสช. ได้เข้าไปผลักดันเรื่องต่างๆ ที่เป็นประโยชน์หลายเรื่อง เช่น ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ฉุกเฉินไม่จำกัดจำนวนครั้ง การเรียกร้องให้เพิ่มสิทธิประโยชน์การดูแลรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง การจัดระบบให้มีการรักษาด้วยยาต้านไวรัสในกรณีที่มีการติดเชื้อเอชไอวี การผลักดันให้เกิดศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ที่เป็นอิสระ การเข้าไปมีส่วนร่วมในการดูว่า กองทุนสุขภาพตำบล และกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่ควรเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างไร ทั้งหมดเกิดขึ้นเนื่องจากการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่เข้าไปช่วยจัดตั้งภาคีที่เกี่ยวข้อง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แอร์โฮสเตสฟ้องต้นสังกัดหลังถูกเพื่อนร่วมงานชายเหยียดเพศ

Posted: 25 Mar 2017 03:02 AM PDT

พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหญิง 2 ราย ยื่นฟ้องต่อสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์สชดเชยค่าเสียหาย ชี้ต้นสังกัดไม่สามารถบังคับใช้นโยบายห้ามพนักงานแสดงความเห็นดูหมิ่นและคุกคามทางเพศทางโซเชียลมีเดียได้

สายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ส (American Airlines) ถูกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหญิง 2 รายได้ยื่นฟ้องร้อง หลังถูกเพื่อนร่วมงานชายใช้โซเชียลมีเดียเหยียดหยามและคุกคามทางเพศ ที่มาภาพประกอบ: Flickr/Briyyz

25 มี.ค. 2560 การเหยียดหยามและคุกคามทางเพศผ่านเฟซบุ๊กจากเพื่อนร่วมงานด้วยกันเอง กำลังเป็นอีกหนึ่งปัญหาในยุคปัจจุบัน อย่างกรณีล่าสุดที่เว็บไซต์ travelpulse.com รายงานเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2560 ที่ผ่านมาว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหญิง 2 คนได้ยื่นฟ้องต่อสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ (American Airlines) ให้ชดเชยค่าเสียหาย หลังถูกพนักงานชายใช้โซเชียลมีเดียเหยียดหยามและคุกคามทางเพศพวกเธอ หลังที่พวกเธอสมัครเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานและมองหาตำแหน่งในสหภาพ

พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน 2 คนนี้ คนหนึ่งทำงานอยู่ที่ฟิลาเดเฟีย ส่วนอีกคนอยู่ที่ชาร์ลอต ซึ่งสื่อท้องถิ่นได้รายงานว่าพวกเธอได้ร้องเรียนต่อรัฐบาลกลางที่เพนซิวาเนีย เมื่อเดือน พ.ย. 2559 ที่ผ่านมา โดยทั้งคู่ระบุว่าสายการบินฯ ไม่สามารถบังคับใช้นโยบายห้ามไม่ให้พนักงานแสดงความเห็นดูหมิ่นและคุกคามทางเพศเพื่อนร่วมงานในโซเชียลมีเดียได้

เมลิสซา ชินเนอรี (Melissa Chinery) หนึ่งในโจทก์ยื่นฟ้องร้องระบุว่าเธอถูกกลุ่มพนักงานต้อนรับผู้ชายคุกคามและใช้คำหยาบคายเรียกชื่อ หลังเธอประกาศว่ากำลังหาตำแหน่งในสหภาพแรงงาน นอกจากนี้เธอยังถูกนำข้อมูลส่วนตัวไปโพสต์ในเฟซบุ๊ก ขณะที่โจทก์อีกคนหนึ่งระบุว่าเธอถูกคุกคามเช่นเดียวกันหลังประกาศลาออกจากตำแหน่งในสหภาพแรงงาน

ด้านทนายความระบุว่าพนักงานผู้หญิงบางส่วนรู้สึกว่าสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ไม่ได้ติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดการข่มขู่ที่ไม่เหมาะสมจากพนักงานด้วยกันเอง

อนึ่งประเด็นเหยียดเพศในอุตสาหกรรมสายการบินเป็นข่าวมาอยู่เนือง ๆ ทั่วโลก แม้แต่บ้านเราเอง โดยเมื่อปีที่แล้ว (2559) นักบินของสายการบินนกแอร์นัดประท้วงด้วยการหยุดบิน ทำให้ผู้โดยสารหลายพันคนตกค้างที่สนามบิน จากนั้นก็เกิดความขัดแย้งกันระหว่างซีอีโอและพนักงาน กระทั่งซีอีโอนกแอร์ 'พาที สารสิน' ได้โพสต์ข้อความต่อว่าซึ่งมีคำสำคัญ 'ไปใส่กระโปรงไป' ก็ถูกกระแสตีกลับจากสังคม โดยเฉพาะกลุ่มสิทธิสตรีที่ได้ออกมาต่อว่าการกระทำของพาทีว่าคือการเหยียดเพศ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครุศาสตร์ จุฬาฯ อัดปมไม่มีใบประกอบวิชาชีพมาสอบครู ชี้สร้างปัญหา ยก ตปท.คัดแล้วคัดอีก

Posted: 25 Mar 2017 02:04 AM PDT

นักวิชาการครุศาสตร์ จุฬาฯ เห็นพ้อง ปัญหาระบบการศึกษาไทยมีมากอยู่แล้ว ให้คนไม่มีใบประกอบวิชาชีพมาสอบครูรังแต่จะสร้างปัญหาเพิ่ม ยกต่างประเทศทำแล้วดีมีคุณภาพ แนะไทยไม่ควรสอนไปฝึกไป แต่ต้องได้ใบประกอบวิชาชีพครูก่อนแล้วจึงบรรจุเหมือนต่างประเทศ

จากซ้าย อรรถพล อนันตวรสกุล ภาวิณี โสธายะเพ็ชร ศิริเดช สุชีวะ อมรวิชช์ นาครทรรพ และสมพงษ์ จิตระดับ

เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ผ่านมา ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดให้เสวนาวิชาการในหัวข้อ "มุมมองเชิงวิชาการต่อการเปิดโอกาสให้ผู้ไม่มีใบประกอบวิชาชีพสอบบรรจุครู"  โดยมี สมพงษ์ จิตระดับ ศาสตราจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ  อมรวิชช์ นาครทรรพ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ  และ โฆษกกรรมาธิการปฏิรูปการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) อรรถพล อนันตวรสกุล และ ภาวิณี โสธายะเพ็ชร เป็นวิทยากร อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ดำเนินการเสวนา โดย คณบดีคณะครุศาสตร์ รศ. ศิริเดช สุชีวะ

ศ.ครุ จุฬาฯ เรียนพิเศษหลังเลิกเรียนไม่แก้ปัญหา แนะสร้างกระบวนการเรียนรู้

สมพงษ์ กล่าวว่า ไทยกำลังตกอยู่ภายใต้วิกฤติในเชิงคุณภาพการศึกษา ผู้ออกนโยบายจึงต้องพยายามทำทุกอย่างให้คุณภาพการศึกษามันดีขึ้น ผลสอบ PISA ไทยอยู่ลำดับที่ 57 จาก 70 เรื่องการอ่าน ส่วนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์อยู่ลำดับที่ 54 ในขณะที่การสอบวัดความรู้พื้นฐานทั่วประเทศ O - NET นั้น ค่าเฉลี่ยสำหรับวิชาภาษาอังกฤษอยู่ที่ 27 คะแนน

ศาสตราจารย์จากคณะครุศาสตร์กล่าวว่า การแก้ปัญหาที่ดีไม่ได้มาจากการไปเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน แต่ต้องมาจากการสร้างกระบวนการของการเรียนรู้ ให้เด็กสร้างโจทย์ สร้างการค้นหา การนำคนที่รู้เนื้อหาดีๆ มาสอนอย่างที่กำลังจะเกิดนั้น ในสายตาของแวดวงครุศาสตร์ศึกษา มองว่ากำลังทำผิด เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

"เรากำลังก้าวย่างไปสู่ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของประเทศ โดยการเอาคนที่รู้เนื้อหาเยอะๆ มาสอน แต่ผมจะบอกว่ามันสอนไม่มีเสน่ห์ มันเป็นสากกะเบือ ไม่มีชีวิตชีวา ไม่รู้ว่าจะนำบทเรียนยังไง สอนยังไงให้มีลีลา เด็กหลังห้องจะจัดการยังไง จะวัดผลยังไง" สมพงษ์ กล่าว

สมพงษ์ ทิ้งท้ายว่า ครูเองก็ต้องพิจารณาตัวเองด้วย ถ้าหากยังทยอยส่งครูที่ด้อยคุณภาพ  ผู้บริหารโรงเรียนมีผลในการจะผลักดันการปฏิรูปการศึกษาจากระดับโรงเรียน โดยต้องดึงทรัพยากรครูที่เป็นเสือนอนกิน ทำงานกินเงินเดือน กินตำแหน่งไปวันๆ ให้ลุกขึ้นมาเริ่มต้นปรับปรุงระบบการศึกษาไทย  ต้องเปลี่ยนกรอบความคิดของครูทั้งประเทศ แล้วจะเห็นการปฏิวัติทางการศึกษาครั้งใหญ่ เพิ่มจำนวนครูเข้าไปอย่างเดียวไม่ได้แก้ไขอะไร และการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปใช้เวลานาน ต้องค่อยเป็นค่อยไป

อดีต สปช. ระบุสิ่งที่ รบ.ทำเคยทำมาก่อนสมัย รบ.ทักษิณ แต่บริบทต่างกัน

อมรวิชช์ กล่าวว่า ตนคิดว่ามีเรื่องที่อาจจะใหญ่กว่าครูผู้ช่วย ได้แก่ปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบการศึกษาไทย ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาในอนาคต การคัดเลือกครูผู้ช่วยแบบใหม่นั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง จากผลสำรวจในปี 2557 ครูเสียเวลาไป 42 เปอร์เซนต์จากการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่เกี่ยวกับการสอน ทั้งที่ในระดับสากลยอมรับแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

อดีต โฆษก กมธ.ปฏิรูปการศึกษาฯ สปช. กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลทำตอนนี้เคยทำมาก่อนในสมัยรัฐบาลทักษิณ แต่ในตอนนี้อยู่ในบริบทที่ต่างกัน สมัยก่อนคนไม่อยากเรียนครู แถมในสมัยนั้นยังส่งผลลัพธ์ในด้านลบต่อผลิตผลทางการศึกษา อมรวิชช์ ให้ความเห็นว่า ถ้าตอนนี้มีระบบเลือกแบบนี้ จะมีผลต่อการเลือกคณะของเด็กตอนเลือกเข้ามหาวิทยาลัยด้วย เพราะเด็กจะคิดว่าเรียนที่อื่นใช้เวลาน้อยกว่าเรียนครุศาสตร์แต่ก็สามารถสอบเป็นครูได้เหมือนกัน อาจสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าก็คือคนเก่งไม่มาเรียนครูโดยตรง

3 เหตุผลค้านผู้ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูมาสอบบรรจุ

อมรวิชช์ ไม่เห็นด้วยกับการให้คนที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูมาสอบบรรจุด้วยเหตุผลว่า หนึ่ง ปัจจุบันการสอนเด็กรุ่นใหม่ยากขึ้น หลักสูตรครุศาสตร์ในต่างประเทศได้เพิ่มเนื้อหาใหม่มากมาย เช่น การทำงานของสมองเด็กในวัยต่างๆ และจะปรับการเรียนการสอนให้เหมาะอย่างไร สอง เรื่องของการดูแลเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เป็นเงื่อนไขที่ต้องสร้างขีดความสามารถให้ครูสามารถดูแลเด็กได้  สาม การทำให้ผู้เรียนผูกพันกับการเรียน ในยุคดิจิทัลที่เด็กจะพร้อมใจสมาธิสั้นกับการมีเทคโนโลยีสมาร์ทโฟน เป็นเงื่อนไขที่คนเป็นครูจะต้องเข้าใจและแก้ปัญหาที่เกิดจากปัจจัยดังกล่าวให้ได้ การเรียนและอบรมแค่ไม่กี่วันไม่ได้ทำให้ครูมีคุณภาพเพียงพอ ตนสังเกตว่า รัฐบาลนี้เปลี่ยน รมว. กระทรวงศึกษาฯ มา 3 คนแล้ว และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีฯ ก็ยิ่งส่งผลต่อความต่อเนื่องของนโยบาย  กลายเป็นว่านโยบายเปลี่ยนไปตามหัวหน้า ซึ่งประเทศที่จะก้าวหน้าด้านการศึกษาไม่ควรมีนโยบายการศึกษาที่เปลี่ยนตามตัวคน ควรจะมีหมุดหมายการพัฒนา และหมุดหมายนโยบายที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง การตัดสินใจออกนโยบายที่ขาดความรู้ หรือรู้ไม่ครบ ทำให้เกิดปรากฎการณ์การตัดสินใจเชิงนโยบายอย่างใจร้อน แทนที่จะกลายเป็นวิธีแก้ปัญหากลับสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่า

ทั้งนี้ อมรวิชช์ ทิ้งท้ายว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นโอกาสให้แวดวงครุศาสตร์กลับมาถามตัวเองว่า จะต้องตอบสนองความคาดหวังของสังคมอย่างไรในเวลาที่มีความคาดหวังเชิงคุณภาพไว้สูง เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ครูต้องพัฒนาคุณภาพของตนเอง

ชี้กระบวนการที่จะได้ครูจะต้องไม่รวดเร็ว ฉาบฉวย

ภาวิณี กล่าวว่า ประเด็นที่ถกเถียงเกิดจากคนที่จบครูและไม่จบครู ที่ต้องการเข้าระบบสอบเป็นครูเหมือนกัน ส่วนตัวดีใจที่คนอยากเป็นครู แต่กระบวนการที่จะได้มาซึ่งครูจะต้องไม่รวดเร็ว ฉาบฉวยแบบนี้ ควรจะหาวิธีที่จะทำให้คนที่จบครูมารู้สึกว่าได้รับความยุติธรรม อาจจะต้องฝากถึงระดับผู้คิดนโยบายเรื่องกระบวนการที่ทำให้กลุ่มครูยอมรับว่าคนที่ไม่ได้เรียนครูอ

อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงปัญหาในระบบการศึกษาที่ทำให้ครูไม่ได้สอนว่าเป็นอุปสรรคที่ทำให้ครูไม่ได้สอน และนักเรียนก็ไม่ได้เรียน ทั้งยังเปรียบเทียบไทยกับฟินแลนด์ในเรื่องความต่อเนื่องของนโยบายการศึกษาว่าต้องมีความต่อเนื่องแม้จะเปลี่ยนตัวคน

นโยบายนี้เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหา 

"ถ้าได้คนเก่งมาเป็นครู แต่ระบบการทำงานไม่เอื้อ ต่อให้ไม่เก่งแค่ไหน แต่ไม่ได้สอนนักเรียน ไม่มีความหมาย ถูกจับไปอบรม ทำโน่นทำนี่ มันก็ไม่มีประโยชน์ บางคนเข้าสู่ระบบโรงเรียน บางทีก็มีบ่น ไม่ได้สอน ไปอบรมอย่างเดียว ทำทุกอย่างยกเว้นงานสอน" อรรถพล กล่าว

อรรถพล ให้ความเห็นว่า ถ้าจะโต้แย้งกันต้องอยู่บนหลักการความรู้ ไม่ใช่อารมณ์ นโยบายนี้เป็นเพียงภูเขาน้ำแข็งของปัญหา มีปัญหาอีกมากที่ต้องแก้ไข โจทย์สำคัญของผู้ตัดสินใจในกระทรวงคือการส่งเสริมให้งานหลักของครูคือการอยู่กับเด็ก ทุกชั่วโมงที่อยู่กับเด็กต้องเป็นชั่วโมงที่คุณภาพ ผ่านการออกแบบมาดีแล้ว งานทุกชิ้นที่ออกมาต้องมีความหมายกับเด็ก ครูเองจะทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ได้ ต้องพักผ่อนด้วย

อรรถพล ตั้งคำถามต่อว่า จะให้โรงเรียนลงทุน ลงเวลาเพื่อใช้เวลาดูแลครูที่ไม่มีประสบการณ์การสอนจริงเหรอ รัฐบาลกำลังเพิ่มโจทย์ให้กับตัวเองโดยไม่จำเป็น นโยบายนี้มีเจตจำนงที่น่าสนใจ แต่จะยอมรับได้คือต้องผ่านการอบรมก่อนแล้วค่อยเข้าโรงเรียน หรือประกาศปีนี้แล้วใช้ปีหน้าเพื่อให้มีเวลาปรับตัว ต้องมีเวลาให้ครูผู้ช่วยพัฒนาตัวเองกับการสอน แต่อย่าสื่อสารห้วนๆแล้วทำให้คนมีความหวังแล้วจากนั้นก็ผิดหวังกับการศึกษาไทยเลย เนื่องจากในระบบการศึกษาไทยมีสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาจนขนาดเด็กที่จบครุศาสตร์ยังพากันลาออกจากโรงเรียนเพราะรับไม่ได้ นโยบายที่ออกมากระทบครูทั้งประเทศจำนวนกว่า 6 แสนคนควรจะต้องถามไถ่กลุ่มวิชาชีพกันบ้าง

อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า แวดวงครูจะต้องมีการทำงานเชิงรุกมากขึ้น เพื่อมีพื้นที่สื่อสารกับสังคมให้เข้าใจว่าการศึกษาคืออะไรกันแน่ ตนเป็นห่วงสภาวะการผลิตบัณฑิตคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ออกมาจนล้นตลาด แล้วยังเป็นห่วงอนาคตของนักเรียนที่จะต้องเรียนหนังสือกับครูที่ไม่มีหลักการจัดการการศึกษา ที่ต้องสอนไปด้วยอบรมไปด้วย ทั้งนี้ ในมุมกลับกัน แวดวงครุศาสตร์ก็ต้องรับผิดชอบคุณภาพการบริหารจัดการการศึกษาให้ดีด้วย

ยกสิงคโปร์ - ฟินแลนด์ ครูมีสิทธิ์เสียงในนโยบายการศึกษา กว่าจะได้เป็นต้องคัดแล้วคัดอีก

อรรถพล กล่าวว่า ทุกวันนี้สังคมเข้าใจคำว่าครูในบทบาทที่หลากหลายจากการผุดขึ้นมาของรูปแบบการเรียนการสอนนอกหลักสูตรการศึกษาและนอกห้องเรียน ซึ่งต่อให้ผู้สอนไม่ได้จบจากสายวิชาชีพครู เขาก็คือครู ความเป็นครูก็เติบโตขึ้นจากการที่ได้สอนเด็กเช่นกัน อาจารย์ที่เป็นแรงบันดาลใจของตนก็ไม่ได้จบจากคณะครุศาสตร์ เพราะความเป็นครูเป็นคุณลักษณะ ความคาดหวังดังกล่าวจึงทำให้เกิดศาสตร์ที่จะสร้างคุณลักษณะดังกล่าว สิ่งนี้จึงเป็นจุดต่างของหลักสูตรครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ การมีเป้าหมายหลักสูตรต่างกัน จึงส่งผลให้มีอัตลักษณ์ของผลผลิตต่างกัน

อาจารย์จากคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ยกตัวอย่างสถาบันผลิตครู NIE (National Institute of Education) ครูถูกพัฒนาให้เป็นครูที่เก่งที่สุดเพื่อไปสร้างพลเมืองที่ดีที่สุด ต้องได้คนเก่งมาเป็นครู มีการสร้างค่านิยมร่วมกัน เวล มีโรดโชว์ไปตาม รร. ยกค่านิยม 'การเป็นผู้สร้างสังคม' ในการหาผู้สมัครเรียน เพราะสิงคโปร์มีประชากรน้อย  เขาจึงจะให้ประชากรด้อยคุณภาพไม่ได้แม้แต่คนเดียว ในขณะเดียวกัน สิงคโปร์เน้นคุณลักษณะครูที่จะสอนให้เด็กมีคุณภาพ ความแม่นในเนื้อหาเป็นคุณสมบัติรองลงมา

ต่อประเด็นการรับบุคคลที่จบจากสาขาวิชาอื่นมาเป็นครูนั้น อรรถพลกล่าวว่า สิงคโปร์ก็รับครูจากวิชาอื่นด้วย แต่ต้องผ่านการอบรมก่อนอย่างน้อย 16 เดือน ผ่านประสบการณ์ชั้นเรียน มีหลักสูตรปริญญา ต้องมีคุณลักษณะที่เหมือนกันกับคนที่เรียนครูมา

กลับมาที่สังคมไทยซึ่งเน้นการแข่งขัน แต่อรรถพลย้ำว่า ต้องอย่าลืมสร้างคนที่เป็นอนาคตของสังคมด้วยไม่ใช่แค่จะสร้างคนเก่งอย่างเดียว การรับทรัพยากรบุคคลจะต้อไม่มีการปล่อยให้คนที่ไม่ถูกฝึกฝนไปสอนในโรงเรียน ตนเชื่อว่าทุกคนสามารถฝึกฝนคุณลักษณะการเป็นครูได้ แต่ว่านโยบายการรับสมัครครูผู้ช่วยดังกล่าว ไม่บ่งชี้แน่ชัดว่ากระบวนการฝึกหัดเป็นอย่างไร การสวนนักเรียนไปด้วย และอบรมไปด้วยนั้นจะยิ่งเป็นการสร้างความไม่เชื่อใจในระบบการศึกษาของผู้ปกครอง

ภาวิณี อธิบายตัวแบบการศึกษาในฟินแลนด์ว่า ระดับการยกย่องอาชีพครูในฟินแลนด์นั้นสูงกว่าไทยมาก สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะชาวฟินแลนด์มีความเชื่อใจในระบบการศึกษามาก ความเชื่อใจจึงเป็นเหตุให้ระบบการผลิตครูต้องผลิตครูให้ตอบสนองความคาดหวังดังกล่าว ครูเองก็ถูกหล่อหลอมให้มีจิตวิญญาณ และทักษะในการสอนนักเรียนตั้งแต่เริ่มศึกษาในวิชาชีพครู ส่งผลให้ฟินแลนด์มีคุณภาพการศึกษาที่ดี ที่เกิดขึ้นบนฐานของความไว้วางใจระหว่างครูและผู้ปกครอง ทั้งที่อาชีพครูในฟินแลนด์ไม่ได้มีอัตราเงินเดือนที่สูงมากเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า อัตราการรับสมัครผู้ประสงค์จะเรียนครูในฟินแลนด์นั้นน้อยมากถึง 1 ต่อ 10 โดยกระบวนการคัดเลือกนั้นต้องผ่านการสอบข้อเขียนและการสัมภาษณ์ที่ผู้สมัครต้องแสดงวิสัยทัศน์และคุณสมบัติที่เหมาะสมในการเป็นครูออกมาให้มากที่สุด

ทั้งนี้ ที่ฟินแลนด์ก็มีช่องทางให้ผู้ที่ไม่ได้เรียนครูสมัครบรรจุเป็นครู แต่ต้องใช้ 1 ปี – 1 ปีครึ่ง ในการสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งประกาศนียบัตร ในขณะที่บ้านเราสอบไปก่อน ได้แล้วค่อยว่ากัน เดี๋ยวค่อยมาอบรม ซึ่งตรงนี้อาจจะให้ผลที่ไม่เหมือนกัน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น