ประชาไท | Prachatai3.info |
- แม่ค้ารองเท้าแตะลายคล้ายหน้านายกฯได้ประกันตัวแล้ว ลั่น“รองเท้าไม่ใช่อาวุธ”
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 27 ก.ย. - 3 ต.ค. 2553
- ‘สุริชัย หวันแก้ว’ ชี้ปรากฏการณ์เหลือง-แดง/ฟิล์ม-แอนนี่ สะท้อนสังคมสุดขั้ว
- เลขาฯอาเซียนชี้สังคมมุสลิมต้องปรับตัวรับโลกาภิวัฒน์ อัดทุนอาหรับเน้นสร้างวัตถุ
- กวีประชาไท:เพ็ญ ภัคตะ ทวาทศมาสฉบับไพร่
- แถลงการณ์เพื่อไทย5ก้าวสร้างปรองดอง หยุดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แดง ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ห้ามจาบจ้วงสถาบัน
- ใบตองแห้งออนไลน์:ไหนล่ะ...??? คุณธรรม...!!!
แม่ค้ารองเท้าแตะลายคล้ายหน้านายกฯได้ประกันตัวแล้ว ลั่น“รองเท้าไม่ใช่อาวุธ” Posted: 03 Oct 2010 09:33 AM PDT มีรายงานจากจังหวัดอยุธยาว่า เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงกำลังจัดกิจกรรมวันอาทิตย์อยู่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุม นางอมรวัลย์ เจริญกิจ อายุ 42 ปี แม่ค้าขายรองเท้าแตะในข้อหา ร่วมกันจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์ หรือสิ่งอื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักร ตามมาตรา 9(3) แห่งพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และมาตา 9(3) ข้อ 2 ลงวันที่ 7 เม.ย.53 รายงานล่าสุดเวลา 23.00 น. นางอมรวัลย์กำลังอยู่ระหว่างสอบคำให้การ หลังนายสุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.อยุธยา พรรคเพื่อไทยใช้ตำแหน่งประกันตัว นางอมรวัลย์ให้สัมภาษณ์ว่า ตอนแรกนั้นตั้งใจจะไม่ประกันตัว เพราะโกรธมากกับข้อกล่าวหานี้ เนื่องจากตัวเองตระเวนขายรองเท้าแตะทั้งที่ราชประสงค์ เชียงใหม่ อิมพีเรียล เป็นการหารายได้เสริม หลังจากที่ก่อนหน้านี้เข้าร่วมการชุมนุมกับคนเสื้อแดงจนหมดตัว จึงเริ่มขายข้าวไข่เจียว และเริ่มขายรองเท้าในเวลาต่อมา "จริงๆ ป้าพร้อมอยู่ในคุก แต่ส.ส.เขามาบอกว่าประกันตัวเถอะกลับไปนอนที่บ้าน แล้วค่อยมาสู้กันชั้นศาลดีกว่า ป้าอยากอยู่คุกไปเลย ประชดชีวิต ไม่อยากอยู่ข้างนอกแล้ว มันไม่น่าอยู่ หากินก็ลำบาก .. ข้อหาแค่ขายรองเท้าจะมีความผิดอะไรนักหนา ทำใจแล้วเป็นคนเสื้อแดงทำอะไรนิดหน่อยก็ผิด ” อมรรัตน์กล่าวพร้อมบอกว่ามาร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งแต่ 3-4 ปีก่อนที่สนามหลวง เพราะทนไม่ได้กับความไม่ถูกต้อง ทั้งที่ตนเองเกิดจังหวัดตรังและเคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด นางอมรวัลย์กล่าวด้วยว่า รองเท้าที่เตรียมาขาย 60 คู่ ยังเหลืออยู่ 40 กว่าคู่ คาดว่าจะโดนยึดเป็นของกลางทั้งหมด ทั้งนี้ รองเท้าดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ราชประสงค์มีคนตาย และเป็นหน้าคนคล้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ “ตำรวจเขาถามป้าก็บอกตรงๆ ว่ามันมีคนตายจริงๆ จะให้ป้าบอกว่ายังไง เคยขายทุกที่ไม่เห็นมีปัญหา มันมากเกินไป นี่ไม่ใช่อาวุธอะไรเลย” อมรวัลย์กล่าวและเสริมว่า อันที่จริงก่อนหน้านี้มีตำรวจในพื้นที่มาอุดหนุนรองเท้าของเธอหลายคู่ และคาดว่าตำรวจคงนำไปอวดกันจนผู้บังคับบัญชาเห็นจึงทำให้มีการจับกุมเกิดขึ้น ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุมระบุว่าเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า อย่างไรก็ตาม นางอมรวัลย์คาดว่า หลังเสร็จสิ้นกระบวนการประกันตัว ก็จะไปนอนที่สถานีรถไฟอยุธยาเพื่อรอรถเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ในช่วงเช้า พร้อมกับเพื่อนจำนวนหนึ่งที่ไม่ยอมกลับบ้านและอยู่เป็นเพื่อนโดยตลอด ด้านนายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนอนวันอาทิตย์สีแดงกล่าวว่า การจับลักษณะนี้มีความไม่เป็นธรรม และแปลกประหลาด โดยตำรวจอ้างพ.ร.ก.ฉุกเฉินในการจับกุมทั้งที่จังหวัดอยุธยาไม่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน อีกทั้งสินค้าดังกล่าวก็เป็นสินค้ารณรงค์ทางการเมือง หากเป็นเรื่องหมิ่นประมาทก็ควรให้เจ้าตัวเป็นผู้ฟ้อง สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 27 ก.ย. - 3 ต.ค. 2553 Posted: 03 Oct 2010 08:34 AM PDT ทหารสั่งเข้มสกัดแรงงานต่างด้าวทะลักชายแดนไทย เจ้าหน้าที่ทหารจากหน่วยเฉพาะกิจกรม ทหารราบที่ 4 อ.แม่สอด จ.ตาก ได้รับคำสั่งให้ทหารเข้มงวดกวดขันกับยานพาหนะต่างๆ โดยเฉพาะรถยนต์ที่เดินทางไป อ.เมืองตาก และจังหวัดชั้นใน ที่จุดตรวจบ้านห้วยหินฝน ตำบลแม่ปะ อ.แม่สอด ซึ่งตั้งที่ถนนสายเอเชีย 1 เชื่อมระหว่างถนนสายอ.แม่สอด กับ อ.เมืองตาก ทั้งนี้เนื่องมาจาก หลังเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ลักลอบขนแรงงานต่างด้าวพลิกคว่ำ ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นแรงงานต่างด้าวชาวพม่า 6 คน และได้รับบาดเจ็บ 17 คน เหตุเกิดในพื้นที่ ตำบลปะด่าง อ.วังเจ้า จ.ตาก ขณะที่ศพชาวพม่า 6 ศพ ยังคงเก็บไว้ที่โรงพยาบาลตากสินมหาราช และยังไม่มีญาติติดต่อไปรับศพแต่อย่างใด เพราไม่สามารถเดินทางเข้าไปในพื้นที่ อ..เมืองตาก ได้ สำหรับการหลั่งไหลของแรงงานต่างด้าว ในช่วงนี้ มีเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากการปิดด่านพรมแดนไทย - พม่า และท่าข้ามขนส่งสินค้าทั้งหมด จึงทำให้ชาวพม่าจำนวนนับ 10 , 000 คน ต้องตกงาน และหนีข้ามเข้ามายังเขตไทยเพื่อหางานทำ นอกจากนี้ทหารพม่ากำลังเข้มงวดกวดขันดูแลความสงบเรียบร้อยในพม่าเพื่อเตรียม การเลือกตั้งทั่วไป จึงทำให้ชาวพม่าไม่สามารถทำการค้าได้สะดวก จนกระทบเป็นลูกโซ่ (เนชั่นทันข่าว, 27-9-2553) "วิปรบ." ดัน ร่างพ.ร.บ.บำนาญประชาชนเข้าสภาฯ นายวิทยา แก้วภราดัย ประธานคณะกรรมการประงานพรรคร่วมรัฐบาล กล่าวว่า วิปรัฐบาลได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ที่คณะรัฐมนตรีเสนอมาคือ ร่าง พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ..หรือที่เรียกกันว่าเงินบำนาญประชาชน เป็นการพิจารณาให้หน่วยงานที่จะให้ประชาชนอายุระหว่าง 20 - 60 ปี ที่ไม่อยู่ภาคแรงงาน ภาคราชการ ประมาณ 26 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร อาชีพอิสระ ไม่อยู่ในแรงงานและประกันสังคม ไม่อยู่ในพ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญ และกองทุนประกันสังคม ได้เข้าสู่ระบบ เมื่อเกษียณอายุ 60 ปี จะมีบำนาญเอง โดยสาระสำคัญคือประชาชนอายุตั้งแต่ 20 ขึ้นไป สามารถที่จะแสดงความจำนงสะสมเงินออมเป็นรายเดือนของตัวเอง และรัฐบาลจะสมทบเงินออมให้ เมื่อครบอายุ 60 ปี คนเหล่านี้จะได้กินบำนาญตามอัตราส่วนที่ได้สมทบกันไว้ และรัฐบาลสมทบเข้ามา บวกกับเงินบำเหน็จค่ายังชีพผู้สูงอายุซึ่งรัฐบาลจ่าย 500 บาทอยู่แล้ว ซึ่งวิปมีมติจะส่งร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสู่สภา เมื่อบรรจุระเบียบแล้วก็พยายามที่จะเร่งรัดพิจารณาเป็นกรณีที่เร่งด่วน เพราะจะเป็นประโยชน์และเป็นการเริ่มต้นดูแลภาคประชาชน ทั้งนี้ สำหรับรายละเอียดการออมเงินมีดังนี้ สามารถออมได้ตั้งแต่ 50 - 1500 บาท โดยรัฐจะสมทบทุกเดือนประมาณร้อยละ 50 แต่ไม่เกินปีละ 600 บาท ต่อเดือน สำหรับผู้ที่อายุ 20 ไม่เกิน 30 ปี ส่วนอายุ 30 ไม่เกิน 50 ปี สมทบร้อยละ 80 แต่ไม่เกินปีละ 960 บาท มากกว่า 50 ปี แต่ไม่เกิน 60 ปี สมทบร้อยละ 100 แต่ไม่เกินปีละ 1,200 บาท (แนวหน้า, 27-9-2553) เอกชนส่ายหน้าขยับค่าจ้าง 421 บาทท้ากลับฝีมือถึง 500 บาท ก็ยอมจ่าย จากการที่กลุ่มตัวแทนคณะกรรมการ สมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) เข้ายื่นข้อเสนอเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงานต่อ เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.แรงงาน โดยมีประเด็นเร่งด่วนที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการโดยเร็วที่สุด คือ พิจารณาปรับค่าจ้างให้สอดคล้องกับสภาพการครองชีพที่แท้จริง โดยเสนอตัวเลขที่ 421 บาท/วัน/คน เนื่องจากทุกวันนี้แรงงานมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ต้องทำงานล่วงเวลาเฉลี่ย 2 ชั่วโมง/วัน เสียเวลาดูครอบครัวและสภาพการทำงานหนัก ทำให้ขาดคุณภาพชีวิตที่ดี ขณะที่ท่าทีของกระทรวงแรงงานก็พร้อม จะนำตัวเลขนี้เข้าที่ประชุมร่วมระหว่างกระทรวงแรงงานกับกระทรวงการคลัง ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ทำให้ภาคเอกชนผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ต้องออกมาท้วงติงรัฐบาลและผู้ใช้แรงงานอีกรอบให้คำนึงถึงภาพรวมด้วย เพื่อความเป็นธรรมของนายจ้างหลังจากที่ก่อนหน้านี้ก็เคยทักท้วงกรณีนายก รัฐมนตรีเสนอเคาะค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำจาก206 บาท เป็น 250 บาท/วัน/คน หรือขยับขึ้น 20% ซึ่งหากยึดตัวเลขใหม่ที่ 421 บาทเท่ากับว่าขยับขึ้นถึงกว่า 68% ธนิต โสรัตน์รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ข้อเสนอให้ปรับค่าแรงเป็น 421 บาท/วัน/คน หรือประมาณ 1.2 หมื่นบาท/เดือน หากรัฐบาลทำจริงจะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตอย่างมาก ระบบอุตสาหกรรมจะอยู่ไม่ได้ เพราะค่าแรงในระดับนี้เทียบเท่ากับค่าแรงของแรงงานญี่ปุ่นที่ผลิตสินค้าโดย ใช้เทคโนโลยี ชั้นสูง ขณะที่ไทยยังผลิตสินค้าเทคโนโลยีต่ำอยู่ การกำหนดแรงงานขั้นต่ำเป็นค่าแรง สำหรับแรงงานที่ไม่มีทักษะ จบการศึกษาใหม่หรือไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อน โดยเฉลี่ยอายุแรงงานในระดับนี้จะอยู่ที่ประมาณ 18-20 ปี ไม่มีครอบครัว รายได้ที่ได้มาก็ใช้จ่ายส่วนตัวสามารถเช่าที่พักได้ตามความเหมาะสม ขณะนี้หลายคนนำเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ มาปะปนกับเรื่องค่าครองชีพซึ่งค่าครองชีพหมายถึงรายได้ที่แต่ละคนพึงมี ในแต่ละช่วงวัยเช่น อายุ 25 ปี ทำงานมาแล้ว 5 ปี มีครอบครัวมีบุตร 2 คน ควรจะมีรายได้เท่าไหร่ การที่คนทำงานมีประสบการณ์มาแล้ว 5 ปีรายได้ที่ควรได้ย่อมมากกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว การนำทั้งสองเรื่องนี้มารวมกัน จะก่อให้เกิดความแปรปรวนในระบบการจ้างงานได้ ดังนั้น เวลาพูดถึงค่าจ้างต้องระบุให้ชัดเจนการเสนอตัวเลขที่ 421 บาท/วัน/คน ด้วยเหตุผลว่าแรงงานมีรายได้ไม่เพียงพอ ต้องทำงานล่วงเวลา (โอที) อย่างน้อย 2 ชั่วโมง/วัน ทำให้เสียเวลาในการดูแลครอบครัว ขาดคุณภาพชีวิตที่ดี ก็ควรจะระบุด้วยว่าแรงงานดังกล่าวอายุเท่าไหร่ มีประสบการณ์ทำงานมากี่ปีแล้วไม่ใช่พูดรวมๆ ว่าเป็นค่าแรงขั้นต่ำ เพราะค่าแรงขั้นต่ำเป็นพื้นฐานของการจ่ายค่าจ้างสำหรับแรงงานที่เพิ่งเริ่ม ต้นทำงาน คิดว่ารัฐบาลควรจะมีวิจารณญาณในการ พิจารณาด้วย ไม่ใช่จะประชานิยมเพียงอย่างเดียว เพราะอุตสาหกรรมจะอยู่ไม่ได้จริงๆรายได้ส่วนใหญ่จะกลายไปเป็นค่าจ้างทั้งหมด อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมากจะได้รับ ผลกระทบมากที่สุด และจะทำให้ภาคการผลิตย้ายไปอยู่ต่างประเทศ รัฐบาลจึงควรจะใช้เวลาไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ดีให้ประชาชน มากกว่ามาเล่นเรื่องค่าจ้างแรงงาน ฉะนั้น ตัวเลข 421 บาท/วัน/คน ที่มีคนนำเสนอ น่าจะเป็นเรื่องค่าครองชีพมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่กำหนดได้ยากว่าแต่ละคนควรจะมีค่าครองชีพเท่าไหร่ เพราะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้จ่ายรายบุคคลด้วย แต่รัฐบาลก็ควรจะต้องทำโครงสร้างค่าครองชีพพื้นฐานของประชาชนในประเทศ ว่าในแต่ละระดับอายุแรงงานควรจะมีรายได้โดยรวมอยู่ที่ระดับใดเพื่อเป็นการ อ้างอิง หากสำรวจประชาชนโดยรวมแล้วมีค่าครองชีพต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ก็ต้องหาทางแก้ปัญหาว่าเกิดจากความเหลื่อมล้ำ หรือนายจ้างเอาเปรียบ ทำงานมานานแล้วเงินเดือนไม่ขึ้นเป็นต้น พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการรองเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ค่าจ้าง 421 บาท/วัน/คน คิดว่าไม่น่ามีปัญหา หากแรงงานสามารถผลิตสินค้าได้เพิ่มขึ้นในเวลาการทำงานที่ลดลง แต่ถ้าไม่อยากทำโอทีแถมต้องการทำงานน้อยลงโดยได้ค่าจ้างมากขึ้นก็คงเป็นไป ได้ยาก ตัวอย่างเช่น ตอนนี้ทำงานรวมโอทีมีรายได้421 บาท ผลิตงานได้ 100 ชิ้น ถ้าต้องการรายได้เพิ่ม โดยไม่ทำโอที เท่ากับเวลาการทำงานจะลดลง แต่หากยังสามารถผลิตสินค้าได้ 100 ชิ้นเท่าเดิม ผู้ประกอบการก็พร้อมที่จะจ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้นให้อยู่แล้ว โดยปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเงิน แต่อยู่ที่ประสิทธิภาพการทำงานของแรงงานมากกว่า อยากได้เงินเพิ่มงานก็ต้องเพิ่ม เพื่อความยุติธรรมของทุกฝ่าย ดังนั้น การเพิ่มค่าจ้างเป็น 250 บาท หรือ421 บาท คงจะเป็นไปไม่ได้ หากประสิทธิภาพการทำงานไม่เพิ่มขึ้น แต่ถ้าแรงงานมีความสามารถในการทำงาน สามารถผลิตงานได้มากขึ้น มีทักษะมากขึ้น ค่าจ้าง 500 บาทผู้ประกอบการก็ยอมจ่าย นอกจากนี้ อยากให้มองว่าคนงานกับเจ้าของบริษัทก็ถือเป็นคนเดียวกัน เพราะเจ้าของก็ต้องการให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพที่ดี เพราะถ้าแรงงานอยู่ไม่ได้ บริษัทก็อยู่ไม่ได้ ส่วนแรงงานก็อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกันถ้าบริษัทอยู่ไม่ได้ จึงต้องมองทั้งสองด้าน อย่าคิดถึงแต่ตัวเองฝ่ายเดียว สุดท้าย หากค่าแรงต้องปรับขึ้นสูงจริงๆ สถานประกอบการแต่ละแห่งก็คงต้องปรับตัวโดยนำเครื่องจักรเข้ามาใช้งานแทน ปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อความอยู่รอดของบริษัท ซึ่งก็จะตามมาด้วยการใช้แรงงานที่ลดลง (โพสต์ทูเดย์, 27-9-2553) หน่วยงานไทยในบรูไนสนองนโยบายจับมือร่วมพัฒนานักเรียน-นศ.ไทย นายอาณาจักร สุทธายน อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงาน สนร.บรูไน เผยว่า สนร.บรูไนเดินหน้าตามแนวนโยบายของ รมว.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในการยกระดับฝีมือให้แรงงานไทย โดยการเพิ่มศักยภาพและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้านแรงงานกับประเทศในแถบภูมิภาค พร้อมทั้งการเตรียมแรงงานรองรับในสายงานที่ขาดแคลน ในการนี้หน่วยงานภาครัฐของไทยในประเทศบรูไน 3 หน่วยงานคือ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการของไทยจับมือร่วมกันพัฒนาศักยภาพให้แก่นักเรียน และนักศึกษาไทย โดยในวันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2553 เวลา 09.00-12.00 น. จะมีพิธีลงนามความตกลงความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างวิทยาลัยการอาชีพพล และวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีขอนแก่นกับผู้ประกอบการ 6 รายในประเทศบรูไน ณ สถานเอกอัครราชทูตไทยณบันดาร์เสรีเบกาวัน โดยมีนายพิทักษ์ พรหมบุบผา เอกอัครราชทูตไทยเป็นประธานในพิธี มีผู้เข้าร่วมได้แก่ผู้อำนวยการองค์กรอาชีวศึกษาอาเซียน SEAMEO VOCTECH คณบดีคณะภาษาศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งชาติบรูไน นายกสมาคม-ชาวไทยในบรูไนกรรมการบริหารสมาคมฯ ผู้ประกอบการไทยเป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การสนับสนุนนักเรียนสายอาชีวะและนักศึกษาจาก ประเทศไทยได้มาฝึกทักษะการทำงานกับผู้ประกอบการในประเทศบรูไน ใน 4 สาขาช่าง ได้แก่ ช่างเครื่องยนต์สาขาการเกษตร สาขาด้านการเงิน และสาขาคอมพิวเตอร์กราฟิก การลงนามครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นใน การขยายความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาของไทยกับผู้ประกอบการในประเทศ บรูไนให้เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยนักเรียน/นักศึกษาไทยสามารถเดินมาฝึกทักษะการทำงานเพื่อการมีฝีมือ การมีประสบการณ์การทำงานจริง และสามารถมีงานทำหรือเป็นเจ้าของกิจการได้ในอนาคตด้วย ทั้งนี้จะได้มีการสร้างรูปธรรมการพัฒนากำลังคน กำลังแรงงาน และพัฒนาการศึกษาในกลุ่มประเทศอาเซียนต่อไป (พิมพ์ไทย, 27-9-2553) ทีดีอาร์ไอค้านขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวรอบใหม่ นายยงยุทธ แฉล้มวงศ์ ผู้อำนวยการวิจัยการพัฒนาแรงงาน มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่าไม่เห็นด้วยกับกรณีที่กระทรวงแรงงานมีแนวคิดจะเปิดขึ้นทะเบียนแรง งานต่างด้าวรอบใหม่เนื่องจากจะทำให้กระบวนการพิสูจน์สัญชาติซึ่งกำลังได้รับ ความร่วมมือด้วยดีจากประเทศเพื่อนบ้านหยุดชะงักลง “ที่สำคัญการเปิดขึ้นทะเบียนอีกครั้งไม่ช่วยแก้ปัญหาเดิมแต่จะยิ่งทำให้แรงงานต่างด้าวทะลักเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น”นายยงยุทธกล่าว ส่วนปัญหาการขาดแคลนแรงงานระดับล่าง นั้น เสนอว่าให้นำเข้าแรงงานต่างด้าวใหม่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ต้องควบคุมการเก็บค่าหัวคิวนำเข้าแรงงานให้เป็นธรรม และอีกทางหนึ่งต้องกวดขันจับกุมผลักดันส่งกลับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอย่าง จริงจังควบคู่ไปด้วย อีกทั้งต้องร่วมมือกับประเทศปลายทางทำการพิสูจน์สัญชาติเพื่อเปลี่ยนคนเหล่า นี้ให้เป็นแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมายหากประสงค์จะกลับเข้ามาทำงานในประเทศ ไทยอีก ด้านน.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่าเห็นด้วยกับแนวคิดเปิดให้ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวรอบใหม่เพื่อแก้ ปัญหาการขาดแคลนแรงงานระดับล่าง “ขณะนี้มีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย กว่า 2 ล้านคน ที่ผ่านมาแม้จะใช้นโยบายกวาดล้างจับกุมอย่างจริงจังแต่ก็ไม่สามารถจับกุมได้ ทั้งหมด กลายเป็นช่องทางทุจริตของเจ้าหน้าที่บางรายด้วย” ทั้งนี้ขอเสนอให้ใช้วิธีสร้างแรงจูง ใจแรงงานต่างด้าวเพื่อดึงเข้ามาอยู่ในระบบ โดยการรับประกันว่าแรงงานต่างด้าวจะได้รับสิทธิและสวัสดิการเท่าเทียมกับแรง งานไทยทั้งค่าจ่างขั้นต่ำ การรักษาพยาบาล หรือสิทธิในการรวมตัวเพื่อเจรจาต่อรอง รวมทั้งเสนอให้นำเงินที่ได้จากการ จัดเก็บในขั้นตอนขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวรวมถึงการพิสูจน์สัญชาติจำนวน หลายพันล้านบาทมาจัดตั้งเป็นกองทุนดูแลแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะ (โพสต์ทูเดย์, 27-9-2553) สหภาพกฟผ.ทำประกันอุบัติเหตุ 5 พันล้านให้สมาชิก นายสาธิต ลิปตะสิริ ผู้อำนวยการธุรกิจตัวแทน บริษัท กรุงเทพประกันภัย หรือ BKI เปิดเผยว่า ได้ลงนามร่วมกับนายศิริชัย ไม้งาม ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (สร.กฟผ.) ในโครงการ “การประกันภัยอุบัติเหตุ”วงเงินประกันภัย หรือ ความคุ้มครอง จำนวน 5,699.70 ล้านบาท แก่สมาชิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย คู่สมรส บุตร ธิดา และบิดา มารดาของสมาชิกฯ ระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 1 ต.ค. 2553 ถึง 30 มิ.ย. 2555 (โพสต์ทูเดย์, 27-9-2553) เตือนจับแรงงานหลอกไปทำงานที่ สปป.ลาว นายบุญเลิศ ธีระตระกูล ผอ.กองวิจัยตลาดแรงงาน เปิดเผยที่ จ.ขอนแก่น ว่า ขณะนี้ได้มีกลุ่มบุคคลที่อ้างตัวเป็นนายหน้า จัดหางาน ได้ชักชวนแรงงานไทยให้เดินทาง ไปทำงานในประเทศ สปป.ลาว โดยอ้างว่า บ.ภูเบี้ยมายนิ่ง จก. ในประเทศ สปป.ลาว ต้องการรับสมัครคนงานไปทำงานในเหมือง แร่ของลาว ซึ่งจะจัดส่งคนงานให้กับ บ.แพน ออส (PANAUST) ผู้ได้รับสัมปทานเหมืองแร่จากทางการลาว แต่คนงานจะต้องจ่ายค่าดำเนินการ เช่น ค่าตรวจโรค ค่า CID รายละ 15,000-20,000 บาท ปรากฏว่า มีคนงานไทยหลงเชื่อ จ่ายเงินให้สายหรือนายหน้าจัดหางานไปแล้วหลายราย และไม่ได้เดินทางไปทำงาน ซึ่งเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2553 ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ของสำนักงานจัดหางาน จ.หนองคาย ได้พาคนหางาน 6 ราย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองหนองคาย ให้ดำเนินคดีกับนายอนันต์ ผันผ่อน อายุ 26 ปี อยู่ บ้านเลขที่ 19 หมู่ 16 ต.หนองไฮ อ.เมือง จ.อุดรธานี ข้อหาหลอกลวงคนหางานไปทำงานที่ประเทศ สปป.ลาว ซึ่งนอกจากคนหางานทั้ง 6 รายแล้ว ยังพบว่ามีคนหางานที่สมัครงานกับนายอนันต์ และเป็นผู้เสียหาย อีกมากถึง 282 ราย และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ปรากฏว่า นายอนันต์ ผันผ่อน ไม่ได้รับอนุญาตจัดหางาน เพื่อไปทำงานต่างประเทศและไม่ได้จดทะเบียนเป็นลูกจ้างตัวแทนจัดหางานของ บริษัทจัดหางานใด ๆ (เดลินิวส์, 28-9-2553) ผบ.นรข.เผยปัญหาใหม่แรงงานต่างด้าวเวียดนาม-เกาหลีเหนือลอบเข้าไทยเพิ่ม เช้าวันนี้ (28 ก.ย.) ที่กองบัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงจังหวัดนครพนม ดร.ภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ รองประธานคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฏร์พร้อมคณะเดินทางมารับฟังข้อมูลสถานการณ์ยาเสพติดตามแนวลำน้ำ โขง ตลอดจนปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วย (ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 28-9-2553) ก.แรงงาน เล็งเปิดจดทะเบียนต่างด้าวรอบใหม่ ผ่านระบบศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ เชื่อเสร็จปลายปี 53 ที่กระทรวงแรงงาน นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวถึงความคืบหน้าในการเปิดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวรอบใหม่ว่า หลังจากกระทรวงแรงงานได้รับนโยบายให้เตรียมจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว โดยเปิดจดทะเบียนรอบใหม่ เพื่อนำแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย กว่า 2 ล้านคน เข้าสู่ในระบบ โดยในจำนวนนี้เป็นแรงงานที่หายไปจากระบบระหว่างขั้นตอนการขึ้นทะเบียนกว่า 5 แสนคน ขณะที่อีกกว่า 1 ล้านคน เป็นพวกที่หลบซ่อนอยู่ ขณะนี้กำลังวางแผนเพื่อเปิดจดทะเบียน โดยกรมการจัดหางานมีแนวคิดจะทำเป็น รูปแบบศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว“One Stop Service”เพื่ออำนวยความสะดวกให้นายจ้าง และแรงงานต่างด้าว ซึ่งต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมการปกครอง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อจัดทำระบบคอมพิวเตอร์ ในการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงปลายปีนี้ ทั้งนี้ หลังจัดทำระบบคอมพิวเตอร์เสร็จแล้ว จะมีการนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าว (กบร.) เพื่อกำหนดรายละเอียดอีกครั้ง ส่วนกรณีที่นักวิชาการจากมูลนิธิ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ออกมาคัดค้านการเปิดจดทะเบียน เพราะเชื่อว่าจะทำให้กระบวนการพิสูจน์สัญชาติหยุดชะงักนั้น นายจีรศักดิ์ มองว่า เป็นคนละส่วนกัน เนื่องจากแรงงานต่างด้าวที่ผ่านการขึ้นทะเบียนก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการ พิสูจน์สัญชาติเช่นกัน แต่ทั้งนี้อาจต้องมีการขยายระยะเวลาในการพิสูจน์สัญชาติออกไปเพื่อรองรับ จำนวนแรงงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคณะรัฐมนตรีจะพิจารณาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หากประเทศปลายทางให้ความร่วมมือในการส่งเจ้าหน้าที่ประจำด่านพิสูจน์สัญชาติ เพิ่มเติมอีก 2 จุด ก็อาจจะดำเนินการพิสูจน์สัญชาติแล้วเสร็จตามกำหนดเดิมในปี 2555 สำหรับมาตรการในการกวาดล้างจับกุมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย หลังมีตั้งเฉพาะกิจปราบปรามจับกุม ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา ล่าสุดมีการจับกุมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายไปแล้วกว่า 4,000 คน ด้านนายยงยุทธ แฉล้มวงศ์ ผู้อำนวยการวิจัยการพัฒนาแรงงาน มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า ไม่เห็นด้วยกับกรณีที่กระทรวงแรงงานมีแนวคิดจะเปิดขึ้นทะเบียนแรงงาน ต่างด้าวรอบใหม่ เนื่องจากจะทำให้กระบวนการพิสูจน์สัญชาติซึ่งกำลังได้รับความร่วมมือด้วยดี จากประเทศเพื่อนบ้านหยุดชะงักลง “ที่สำคัญการเปิดขึ้นทะเบียนอีกครั้งไม่ช่วยแก้ปัญหาเดิมแต่จะยิ่งทำให้แรงงานต่างด้าวทะลักเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น”นายยงยุทธ กล่าว ส่วนปัญหาการขาดแคลนแรงงานระดับล่าง นั้น เสนอว่าให้นำเข้าแรงงานต่างด้าวใหม่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ต้องควบคุมการเก็บค่าหัวคิวนำเข้าแรงงานให้เป็นธรรม และอีกทางหนึ่งต้องกวดขันจับกุมผลักดันส่งกลับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอย่าง จริงจังควบคู่ไปด้วย อีกทั้งต้องร่วมมือกับประเทศปลายทางทำการพิสูจน์สัญชาติเพื่อเปลี่ยนคนเหล่า นี้ให้เป็นแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมายหากประสงค์จะกลับเข้ามาทำงานในประเทศ ไทยอีก ขณะที่ น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่าเห็นด้วยกับแนวคิดเปิดให้ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวรอบใหม่เพื่อแก้ ปัญหาการขาดแคลนแรงงานระดับล่าง “ขณะนี้มีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย กว่า 2 ล้านคน ที่ผ่านมาแม้จะใช้นโยบายกวาดล้างจับกุมอย่างจริงจังแต่ก็ไม่สามารถจับกุมได้ ทั้งหมด กลายเป็นช่องทางทุจริตของเจ้าหน้าที่บางรายด้วย”น.ส.วิไลวรรณ กล่าว และว่า ขอเสนอให้ใช้วิธีสร้างแรงจูงใจแรงงานต่างด้าวเพื่อดึงเข้ามาอยู่ในระบบ โดยการรับประกันว่าแรงงานต่างด้าวจะได้รับสิทธิและสวัสดิการเท่าเทียมกับแรง งานไทยทั้งค่าจ่างขั้นต่ำ การรักษาพยาบาล หรือสิทธิในการรวมตัวเพื่อเจรจาต่อรอง รวมทั้งเสนอให้นำเงินที่ได้จากการจัดเก็บในขั้นตอนขึ้นทะเบียนแรงงาน ต่างด้าวรวมถึงการพิสูจน์สัญชาติจำนวนหลายพันล้านบาทมาจัดตั้งเป็นกองทุน ดูแลแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะ (แนวหน้า, 28-9-2553) คลังยื่นมือปลดหนี้นอกระบบ/ถก 3 ฝ่ายช่วยแรงงานในลิเบีย เมื่อวันที่ 28 ก.ย.53 นายสนิท บุญทวี อดีตส.อบต.ไทยสามัคคี อ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ ผู้ประสานงานแรงงานไทยในประเทศลิเบีย เปิดเผยกับ"สยามรัฐ"ว่า ในวันที่ 29 ก.ย.นี้ นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ได้นัดประชุม 3 ฝ่าย ได้แก่ บริษัทจัดหางาน ,แรงงานไทยในลิเบีย และกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เพื่อหาข้อยุติแก้ไขปัญหาแรงงานไทยที่ได้รับความเดือดร้อนจากการทำงานที่ ลิเบีย ไม่ว่าจะเป็นนายจ้างผิดสัญญา การจ่ายค่าจ้างเงินเดือนไม่ครบและไม่ตรงเวลา การไม่จ่ายค่าล่วงเวลา การเรียกค่าหัวคิวสูง 1.4-1.7 แสนบาทต่อหัว
(สยามรัฐ, 29-9-2553) ก.แรงงานหนุนอนุสัญญาILO ฉบับที่ 87/98 ชี้เตรียมเข้าสู่ ครม.ภายในเดือน ต.ค.นี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรับ หนังสือข้อตกลงร่วมระหว่างสมาพันธ์แรงงานโลก (สำนักงานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก) ITUCAP สมาพันธ์แรงงานโลก-สำนักงานประจำประเทศไทย ITUC-TC และสมาพันธ์แรงงานโลก GUF ว่าด้วยการรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 จากเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานโลก โดยกระทรวงแรงงานพร้อมให้การสนับสนุนและผลักดันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 เข้าสู่คณะรัฐมนตรีภายในเดือนตุลาคม 2553 นี้ (พิมพ์ไทย, 29-9-2553) สรส.ภูเก็ตยื่นทวงสัญญาการให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 ก.ย. ที่บริเวณศาลากลางจังหวัดภูเก็ต สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) สาขาภูเก็ต นำโดยนายโสภณ มิ่งเมือง เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์สาขาภูเก็ต ยื่นหนังสือทวงสัญญาในการให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 9 8 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยมีนายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นผู้รับหนังสือ สมาพันธ์แรงงานสัมพันธ์ฯทั่วทั้งประเทศได้ยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีแรงงาน พร้อมกันทั่วทั้งประเทศ ที่ผ่านมารัฐบาลได้เคยให้คำมั่น สัญญากับผู้ใช้แรงงานว่าจะเร่งดำเนินการเพื่อให้มีการให้สัตยาบันโดยเร็วแต่ จนถึงวันนี้กระบวนการดังกล่าวเป็นไปอย่างล่าช้ามีการประวิงเวลา เพื่อดึงให้กระบวนการการให้สัตยาบันล่าช้าออกไป เช่น พยายามเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายก่อนที่จะให้สัตยาบัน ทั้งๆ ที่ ILO ได้ชี้แจงและให้คำแนะนำอย่างชัดเจนมาก่อนหน้านี้แล้วว่าสามารถให้สัตยาบัน ก่อนแล้ว จึงค่อยปรับแก้กฎหมายภายหลังได้ พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความไม่จริงใจของรัฐบาลในประเด็นดังกล่าว อย่างไรก็ตามในส่วนของสมาพันธ์แรง งานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการแรงงานไทยในการร่วมรณรงค์เรียกร้อง เพื่อให้รัฐบาลให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และฉบับที่ 98 มาอย่างต่อเนื่อง จึงขอแสดงจุดยืนร่วมกับขบวนการแรงงานไทยในนามของคณะทำงานผลักดันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ทั้งสองฉบับโดยด่วนที่สุด ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานต้อง ประกาศจุดยืนในการให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ทั้งสองฉบับให้ชัดเจนว่า จะให้สัตยาบันอนุสัญญาฯทั้งสองฉบับก่อนการแก้กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งต้องประกาศกรอบระยะเวลาในการดำเนินงานขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้มีความชัดเจนติดตามตรวจสอบได้ แต่หากยังไม่มีการส่งสัญญาณใดๆ ออกมาทางสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ จะรวมตัวกันในวันที่ 7 ตุลาคม 2553 นี้ ในการเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง (เนชั่นทันข่าว, 30-9-2553) 13 องค์กรแถลงการณ์หนุนจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติ แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน 30 ก.ย. 2553 - กลุ่มเครือข่ายฟ้ามิตร, เครือข่ายปฏิบัติการแรงงานข้ามชาติ (Action Network for Migrant-ANM), เครือข่ายองค์กรด้านแรงงานข้ามชาติ (Migrant Working Group-MWG), สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้การจัดการแถลงข่าวเรื่องการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติรอบใหม่ที่ โรงแรมกานต์มณี พาเลช โดยได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนนโยบายจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติรอบใหม่ เรียกร้องรัฐต้องดูแลสิทธิแรงงาน สิทธิสุขภาพแรงงานข้ามชาติและครอบครัวในฐานะมนุษย์อย่างจริงจัง เนื้อหาในแถลงการณ์ระบุถึงการสนับ สนุนการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติ เพราะจะแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และจะทำให้แรงงานสามารถเข้าถึงสิทธิต่าง ๆได้มากขึ้น การมีนโยบายระยะยาวในการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติและคนข้ามชาติโดยให้มีสม ดุลย์ระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและสิทธิมนุษยชน มีมาตรการเร่งด่วนที่จะทำให้มีการบังคับใช้กฎหมายในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ของแรงงานข้ามชาติอย่างจริงจัง รวมถึงสนับสนุนการมีส่วนร่วมของแรงงานข้ามชาติ เอ็นจีโอ และองค์กรแรงงานไทย ในกระบวนการจดทะเบียนและการกำหนดนโยบายทุกขั้นตอน โฆษก ก.แรงงาน ขู่ฟัน ขรก.ทุจริตใช้งบไม่เหมาะสม ก.แรงงาน 30 ก.ย. - โฆษก ก.แรงงาน ยอมรับงบฯ ประชาสัมพันธ์งานฝีมือแรงงานอาเซียนไม่เหมาะสม เผยพบค่าแต่งเพลงสูงกว่าปกติหลายเท่า ยืนยันดึงเรื่องประมูล รอจัดซื้อวิธีพิเศษ ผิดกฎหมาย ป.ป.ช. พร้อมเรียกร้องข้าราชการใช้งบให้คุ้มค่า ขู่ฟันหากทุจริต ด้านกรรมการจัดซื้อฯ เผยล่าสุดยกเลิกทีโออาร์ฉบับใหม่แล้ว นายสุธรรม นทีทอง โฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การใช้งบประมาณไม่เหมาะสมในการจัดซื้อจัด จ้างการประชาสัมพันธ์การแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 8 วงเงิน 21.4 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายนนี้ ณ อิมแพค เมืองทองธานี จนมีการร้องเรียน และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งให้มีการประมูลใหม่ ว่า จากการที่ได้ตรวจสอบร่างทีโออาร์ฉบับใหม่ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ยอมรับว่า การใช้เงินในบางจุดยังไม่เหมาะสมจริง เช่น งบประมาณค่าผลิตเพลง 2 เพลง วงเงิน 680,000 บาท ซึ่งสูงกว่าการผลิตเพลงทั่วไปหลายเท่า จากปกติที่นักแต่งเพลงทั่วไปรับแต่งเพลงละ 50,000 บาท ขณะที่ระดับแถวหน้าของเมืองไทย อาทิ สุรสีห์ อิทธิกุล คิดค่าแต่งเพลงรวมคำร้องและทำนอง สูงสุดไม่เกินเพลงละ 100,000 บาทเท่านั้น รวมถึงการจัดทำป้ายบิลบอร์ด วงเงินสูงถึง 4.1 ล้านบาท ก็มีความน่าสงสัย อย่างไรก็ตาม จะต้องรอดูรายละเอียดของการประมูลอีกครั้ง เพราะเป็นราคาเฉลี่ยทุกรายการ นายสุธรรม กล่าวอีกว่า ส่วนข้อสังเกตที่ว่ามีการดึงเวลา เพื่อให้ประมูลไม่ทัน จนอาจต้องใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ ซึ่งเปรียบเสมือนการล็อกสเปกนั้น เรื่องดังกล่าวไม่สามารถทำได้ เพราะสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เคยชี้มูลความผิดในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว เนื่องจากผู้เกี่ยวข้องมีเวลาในการเตรียมจัดประมูลเป็นเวลานานนับปี ตั้งแต่รู้ว่าไทยจะเป็นเจ้าภาพเมื่อ 2 ปีที่แล้ว หากยังทำได้ ต่อไปทุกหน่วยราชการ เวลาจะจัดซื้อจัดจ้างก็จะเก็บเรื่องไว้จนใกล้ถึงเวลา พอไม่ทันก็ใช้วิธีพิเศษ โดยอ้างว่าอาจสร้างความเสียหายให้ทางราชการ และสามารถเลือกบริษัทได้ตามใจชอบ ซึ่งหากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ผู้อนุมัติก็จะต้องรับผิดชอบไปชี้แจงหรือต่อสู้ในชั้น ป.ป.ช.ด้วย นายสุธรรม กล่าวอีกว่า อยากเรียกร้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะข้าราชการที่มีส่วนรับผิดชอบ ให้ใช้งบประมาณทุกบาททุกสตางค์อย่างมีคุณค่า เพราะการแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ และไม่อยากให้เกิดความเสียหายเหมือนการแข่งขันฝีมือแรงงานโลก ที่ประเทศแคนาดา เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งข่าวการทุจริต งบประมาณได้รับความสนใจกว่าความสำเร็จจากการแข่งขันที่เยาวชนไทยสามารถคว้า รางวัลได้ถึง 2 เหรียญทอง ทั้งนี้ หากตรวจพบว่ามีการทุจริต ก็จะต้องถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ให้นโยบายไว้ชัดเจนแล้ว ด้านนายประวิทย์ เคียงผล รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในฐานะคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างฯ ยืนยันว่า ล่าสุดคณะกรรมการฯ ได้สั่งยกเลิกทีโออาร์ฉบับดังกล่าวแล้ว โดยเฉพาะในส่วนของการระบุชื่อนักร้อง หรือค่าแต่งเพลงที่สูงถึง 680,000 บาท และกำลังจัดทำฉบับใหม่ เพื่อเสนออธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานพิจารณา ส่วนค่าจ้างการจัดทำบิลบอร์ดสูงกว่า 4.1 ล้านบาทนั้น ก็ได้มาจากการสำรวจราคากลาง พร้อมยืนยันว่า การจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าวไม่ได้มีเจตนาล็อกสเปก แต่หวังดีอยากได้นักร้องชั้นนำมาเปิดงาน และเชื่อว่าจะสามารถจัดทำโครงการให้แล้วเสร็จ โดยไม่ต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษแต่อย่างใด (สำนักข่าวไทย, 30-9-2553) พนักงานกรมจัดหางานร้องทุกข์ ถูกเลิกจ้างกระทันหัน นางสาวอุษา ผลนา อายุ 30 ปี พนักงานราชการ ตำแหน่งเจ้าพนักงานแรงงาน กรมการจัดหางาน เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนประจำกระทรวงแรงงานว่า ถูกกรมการจัดหางาน ประกาศเลิกจ้างพร้อมกับ พนักงานราชการในสังกัดเดียวกันรวม 50 คน สาเหตุเพราะมีการปรับลดอัตรากำลังพนักงานราชการ ตามที่ ก.พ.กำหนด โดยให้มีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ( 1 ต.ค. 53 ) นางสาวอุษา ระบุว่าการเลิกจ้างดังกล่าวไม่มีการบอกล่วงหน้าให้พนักงานได้เตรียมตัวมา ก่อน ทำให้รู้สึกตกใจ และรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมามีการประเมินผลพนักงานประจำปีทั้งในช่วงเดือน ตุลาคม หรือ เมษายน ทุกคนก็ผ่านเกณท์การประเมิน ได้คะแนนสูงกว่าร้อยละ 90 จึงไม่มีใครรู้ตัว กระทั่งกองการเจ้าหน้าที่ กรมการจัดหางาน ได้มีหนังสือคำสั่ง ที่ รง 0310/17936 ลงวันที่ 29 กันยายน แจ้งให้พนักงานทราบในวันนี้ และบอกให้พนักงานที่ถูกเลิกจ้างไปลงทะเบียนคนหางานที่ ศูนย์จัดหางาน (อี - จ็อบเซ็นเตอร์) เพื่อรอการคัดเลือกเป็นลูกจ้างชั่วคราวของกองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับ ไปนอกราชอาณาจักร ร่วมกับคนหางานอื่นๆ ซึ่งไม่มีความชัดเจนว่าจะได้รับการคัดเลือกหรือไม่ และเมื่อไหร่ จึงอยากเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องหาทางช่วยเหลือพวกตนด้วย ที่ผ่านมาตนเคยเป็นลูกจ้างชั่วคราว ของกรมการจัดหางาน โดยได้รับสัญญจ้างปีต่อปีมาตั้งแต่ปี 2547 กระทั่งปี 2552 สามารถสอบบรรจุเป็นพนักงานราชการได้ จึงดีใจมาก เพราะคิดว่าจะมีความมั่นคงเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นสัญญาจ้าง 4 ปีครั้ง และได้รับการพิจารณาเงินเดือนเพิ่มขึ้นทุกปี เหมือนพนักงานราชการสังกัดอื่น แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกเลิกจ้างในวันนี้ทั้งที่สัญญาจ้างยังไม่หมดอายุ ที่สำคัญตอนเปิดสอบคัดเลือก ก.พ.ไม่ได้ระบุว่าหน่วยงานมีอัตรากำลังมากน้อยเพียงใด แต่พอจะเลิกจ้างกลับอ้างเหตุผลเรื่องอัตรากำลังทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของ พนักงาน เชื่อว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป คงไม่มีใครอยากมาทำงานเป็นพนักงานราชการอีก เพราะไม่รู้ว่าจะถูกเลิกจ้างเมื่อไหร่ และยังเป็นการเลิกจ้างที่ไม่ได้รับเงินชดเชยใดๆ ซึ่งหากเป็นภาคเอกชน การเลิกจ้างลักษณะนี้ต้องจ่ายเงินชดเชย รวมถึงค่าบอกกล่าวล่วงหน้าด้วย (เนชั่นทันข่าว, 1-10-2553) ก.แรงงาน ยันไม่ทิ้ง 50 พนักงาน ก.แรงงาน 1 ต.ค.- นายสุธรรม นทีทอง โฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีที่พนักงานราชการสังกัดกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ออกมาร้องทุกข์ว่าถูกเลิกจ้างอย่างกะทันหัน พร้อมกัน 50 คน โดยต้นสังกัดอ้างสาเหตุการปรับลดอัตรากำลังพนักงานราชการ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) กำหนด ให้มีผลตั้งแต่วันนี้ว่า กระทรวงแรงงานกำลังอยู่ในระหว่างหาทางช่วยเหลือพนักงานเหล่านี้ โดยทำเรื่องอุทธรณ์ไปยัง ก.พ. แล้ว เนื่องจากคำสั่ง ก.พ.ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในการทำงาน ระหว่างรอคำสั่งอุทธรณ์ จะเยียวยาโดยให้มาเป็นลูกจ้างชั่วคราวของกองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับไป นอกราชอาณาจักร ภายใน 1 เดือนนี้ ยืนยันว่าจะไม่ทอดทิ้งพนักงาน พร้อมยอมรับว่าที่ผ่านมาระดับเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการชี้แจงทำความเข้าใจให้ พนักงานรู้ตัวมาก่อน อย่างไรก็ตาม ขอฝากไปถึงผู้บริหารก.พ. ให้ทำความเข้าใจกับจุดยืนของตัวเอง ให้ชัดเจนก่อนจะกำหนดกรอบให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก.พ. สร้างแต่ปัญหา เช่น กรณีของกระทรวงสาธารณสุข หรือกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งขาดแคลนอัตรากำลังแต่กลับไม่ยอมบรรจุพนักงาน ซึ่งไม่ทำให้ขวัญและกำลังใจของข้าราชการหรือพนักงานราชการดีขึ้น (สำนักข่าวไทย, 1-10-2553) ตร.ลำปางพร้อมให้ข้อมูลคดีขนแรงงานไปสหรัฐอเมริกา นายสุวรรณ กล่าวสุนทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า จากรณีหน่วยงานการสืบสวนสอบสวนกลาง ของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ FBI ได้จับกุมขนแรงงานไทย ไปทำงานในสหรัฐอเมริกากว่า 400 คน ซึ่งดำเนินการในนามของบริษัทจัดหางาน โกบอลออร์ไซลอน แมนเพาเวอร์ ในนครลอสแอนเจลิส โดยในการจับกุมก็ได้เชื่อมโยงกับนายหน้าจัดหางานในประะเทศไทย ที่ถูกเจ้าหน้าที่ ตำรวจจับกุมไว้แล้วคือ นางพจนีย์ สินไชย หรือเจ๊แมว อายุ 55 ปี เป็น ชาว จ.ลำปาง เป็นนายหน้าจัดหางานชื่อดัง ของทางภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งขณะนี้ถูกดำเนินคดีในหลายพื้นที่ของ สถานีตำรวจภูธรของ จ.ลำปาง หลังจากถูกหมายจับในข้อหาจัดหางานคนงานไปต่างประเทศ โดยไม่ได้รับอนุญาต ด้าน ด้าน พล.ต.ต.อรรถกิจ กรณ์ทอง ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ลำปาง เปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็พร้อมที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องหากับทางการสหรัฐอเมริกา หากทาง FBI มีการร้องขอ และต้องการข้อมูลทางประเทศไทย ก็สามารถจัดส่งให้ได้ทันที ซึ่งเรื่องนี้ถือว่า เป็นเรื่องระหว่างประเทศ ซึ่งจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ ให้เกิดความเป็นธรรม โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมายของไทยก่อน (ไอเอ็นเอ็น, 1-10-2553) กยศ.ปรับนโยบายเงินกู้เน้นส่งเสริมอาชีวะ-วิชาชีพขาดแคลน กรุงเทพฯ 1 ต.ค. - รศ.นพ.ธาดา มาร์ติน ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวถึงนโยบายการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาในปีงบประมาณ 2554 ว่า จะพิจารณาจัดสรรเงินกู้เพื่อการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการผลิตบัณฑิตให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะจะเพิ่มการสนับสนุนในสาขาวิชาที่ขาดแคลน เช่น วิทยาศาสตร์ วิศวกร แพทย์ และเน้นสายอาชีพหรืออาชีวศึกษามากกว่าสายสามัญ โดยตั้งเป้าหมายให้เป็นสายอาชีวศึกษาร้อยละ 50 กับสายสามัญร้อยละ 50 แต่ยืนยันจะไม่มีการลดการจัดสรรเงินกู้ในสายสามัญ ทั้งนี้ จะมีงบประมาณจัดสรรเพื่อการกู้ยืม 37,000 ล้านบาท ในปี 2554 มีผู้กู้เพิ่มขึ้นจาก 830,000 คนในปีก่อน เป็น 900,000 คนในปีนี้ ขณะที่มีผู้กู้ค้างชำระหนี้สินประมาณ 500,000 คน จาก 2.4 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 25 ซึ่งมีแนวโน้มลดลงทุกปี อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาพบว่าสถาบันการศึกษาบางแห่งปฏิบัติไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ในการให้ กู้ยืม โดยใช้กองทุนในการชักชวนนักเรียนมาให้เข้ามาเรียน ซึ่งเป็นการใช้กองทุนไปในทางที่ไม่เหมาะสม จึงขอความร่วมมือสถานศึกษาไม่ดำเนินวิธีการดังกล่าว โดยจะยังไม่มีการขึ้นบัญชีดำแต่อย่างใด และยืนยันว่ากองทุนจะไม่มีการขึ้นบัญชีดำผู้กู้รวมทั้งจะไม่มีการส่งข้อมูล เครดิตให้กับสถาบันการเงินแต่อย่างใด เพราะถือว่าเป็นการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา (สำนักข่าวไทย, 1-10-2553) รวบนายหน้าสาวใหญ่ตุ๋นคนงานไปเกาหลี พ.ต.ท.ภูมิ ทองโพธิ์ สารวัตรกองกำกับการสืบสวนสอบสวน 1 สนง.ตำรวจภูธรภาค 3 ( สว.กก.สส. 1 ) พร้อมด้วย พ.ต.ท.อดิศร สุวรรณรักษ์ สว.กก.สส.1 และกำลัง จนท.ชุดจับกุม ได้ควบคุมตัว นางสายสมร สุทธิไชยา อายุ 55 ปี อยู่อ.หนองเรือ ขอนแก่น นายหน้าหลอกลวงแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ พฤติการณ์ของคดีว่า หลังจากได้รับการแจ้งความร้องทุกข์จากประชาชน ในเขตพื้นที่หลายจังหวัดในภาคอีสาน ว่ามีบุคคลแอบอ้างสามารถจัดส่งคนไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ได้ และได้จัดส่งไปหลายรายแล้ว มีตำแหน่งว่างงานส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งงานในสวนเกษตร มีอัตราเงินเดือนละ 3 หมื่นบาท ไม่รวมค่าล่วงเวลา ผู้ที่ต้องการจะไปทำงานต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ 120,000 บาท โดยต้องจ่ายค่าล่วงหน้า คนละ 15,000 - 30,000 บาท จากนั้นก็ได้ถูกส่งไปที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยกลุ่มผู้ต้องหาบอกว่าเมื่อไปถึงจะมีคนมารับที่สนามบิน แต่เมื่อไปถึงกลับไม่มีผู้มารับ ทั้งนี้ผู้ถูกหลอกลวงดังกล่าวไม่ สามารถเข้าประเทศเกาหลีใต้ได้ในฐานะคนทำงาน อีกทั้งไม่สามารถเข้าประเทศได้ในฐานะนักท่องเที่ยวได้ เนื่องจากตรวจสอบแล้วไม่มีสถานะทางการเงินเพียงพอที่จะเป็นนักท่องเที่ยวได้ เจ้าหน้าที่จึงดำเนินการสืบสวนสอบสวนจนกระทั่งทราบว่านางสายสมร มีพฤติกรรมหลอกลวงผู้อื่น โดยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง ต่อมาได้จับกุมที่บริเวณริมถนนหน้าตลาดสดเทศบาลตำบลห้วยแถลง อ.ห้วยแถลง นครราชสีมา ในช่วงเช้าวันที่ 2 ต.ค. โดยนางสายสมร ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับ สารภาพว่าตนเคยไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้มาแล้ว จึงรู้ช่องทางและขั้นตอนการเข้าประเทศ จึงเป็นช่องทางในการหาเงินของตนเอง ทั้งนี้ตำรวจทราบว่ายังมีผู้ร่วมขบวนการกับผู้ต้องหาอีกหลายคน ซึ่งตำรวจกำลังติดตามจับกุมตัวอยู่ (เนชั่นทันข่าว, 2-10-2553) จับขบวนการขนแรงงานต่างด้าว เหิมพุ่งชนรถจนท.แต่ไปไม่รอดขับรถชนกันเอง เมื่อเวลา 05.30 น.วันนี้( 2 ต.ค.53) ร.อ.สุรศักดิ์ พึ่งแย้ม ผบ.ร้อย.ร.2521 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 25 (ฉก.ร.25) กองกำลังเทพสตรี ที่รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนจังหวัดระนอง-ชุมพร พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารกำลังออกกลาดตระเวณบนถนนลูกรังบริเวณรอยต่อ จังหวัดระนองกับจังหวัดชุมพร ที่บ้านปากจั่น ตำบลปากจั่น อ.กระบุรี จ.ระนอง พบรถกระบะจำนวน 3 คันวิ่งตามกันมา จึงส่งสัญญาณให้จอด แต่คนขับรถคันแรกกลับขับรถพุ่งชนรถเจ้าหน้าที่จนเสียหลักตกข้างทาง รถได้รับความเสียหาย จากนั้นคนร้ายได้ถอยรถแต่กลับไปชนกันเองทั้ง 3 คันแต่ยังสามารถขับหลบหนีไปได้ (ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 2-10-2553) เหยื่อแรงงานเฮในลิเบีย! ล็อตท้าย 26 ชีวิต รอดพ้นขุมนรก บินกลับบ้านเกิด หลังจากแรงงานไทยที่ไปตกระกำลำบากใน ประเทศลิเบียกว่า 200 ชีวิต ได้ดิ้นรนหนีความทุกข์ยาก โดยร้องเรียนให้"นสพ.สยามรัฐ"เป็นสื่อกลางช่วยเหลือให้ได้กลับบ้านเกิดเมือง นอน และแล้วนับจากวันแรกที่ร้องทุกข์มาจนถึงวันนี้ รวมทั้งสิ้น 122 วันเต็มๆ ความพยายามของพวกเขาก็ประสบผลสำเร็จ
(สยามรัฐ, 3-10-2553) แรงงานไทยในสวีเดนยืนยันยังไม่กลับ หลังช่อง 7 สี นำเสนอข่าว แรงงานไทย 156 คน ถูกนายหน้าเถื่อนคนไทย หลอกไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศสวีเดน ล่าสุด ทั้งหมดยังคงปักหลักอยู่ในแคมป์ที่พัก เมืองกัวเซล่า เพื่อรอรับค่าจ้างที่ยังไม่ได้ กว่า 1,700,000 โครน หรือประมาณ 7,600,000 บาท แต่จนถึงขณะนี้ยังไร้เงานายจ้างชาวฟินแลนด์ ทั้งๆ ที่พรุ่งนี้เป็นกำหนดที่ทุกคนจะต้องเดินทางกลับประเทศไทย แต่แรงงาน ยืนยันยังไม่กลับประเทศจนกว่าจะได้ค่าจ้างที่เหลือ เพราะได้เสียค่าหัวให้กับนายหน้า ไปคนละ 85,000 บาท ซึ่งตอนนี้หลายคนไม่มีเงินติดตัว ถ้ากลับตอนนี้ ไม่มีเงินไปใช้หนี้ ส่วนความช่วยเหลือ สถานฑูตไทยนำอาหารมาให้เท่านั้น จึงวอนผู้เกี่ยวข้องช่วยตามเงินค่าแรงให้ด้วย (ช่อง 7, 3-10-2553)
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
‘สุริชัย หวันแก้ว’ ชี้ปรากฏการณ์เหลือง-แดง/ฟิล์ม-แอนนี่ สะท้อนสังคมสุดขั้ว Posted: 03 Oct 2010 08:15 AM PDT 2 ต.ค. 53 มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ร่วมกับ AMRON (ASEAN Muslim Research Organization Network) เครือข่ายองค์กรวิจัยมุสลิมอาเซียน จัดประชุมนานาชาติAMRON ครั้งที่ 1 ภายใต้หัวข้อ ‘มุสลิมในประเทศอาเซียนกับการศึกษา : เปลี่ยนแปลงจากภายในผ่านการศึกษา’ ณ หอประชุมใหญ่ อาคารไทยบุรี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ดร.สุชาติ เศรษฐมาลินี สถาบันศาสนา วัฒนธรรม และสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวในหัวข้อ ‘การศึกษากับสันติภาพ’ว่า ปัจจุบันเรากำลังอยู่ในสังคมที่แตกแยก ในขณะที่ตัวเลขความรุนแรงพุ่งขึ้นไปอีก 7% เราจึงต้องตระเตรียมความพร้อมที่จะนำสันติภาพให้เด็กๆ ซึ่งต้องเคารพในความแตกต่างหลากหลาย “ทำไมเราจึงเกลียดกันได้โดยที่เราไม่รู้จักกัน ซึ่งมันเป็นเส้นแบ่งเทียมๆ อะไรบางอย่างที่เราสร้างขึ้นมา” ดร.สุชาติตั้งคำถามเปิดและยกตัวอย่างการสร้างความเกลียดจากการฝึกทหารในอเมริกาที่ครั้งหนึ่งเคยให้ดูการฆ่าเพื่อให้การฆ่ากลายเป็นเรื่องธรรมดา หรือการทิ้งระเบิดในสงครามเวียดนามโดยให้มองคนเป็นกระต่าย หรือการบอกว่าคนเหล่านี้กินหมาจึงป่าเถื่อน สามารถบอมบ์ได้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นอคติที่สำคัญ ดร.สุชาติ ยกตัวอย่างที่มีในสังคมมุสลิมเช่นกันว่า ทำไมตอลีบันจึงมีความชอบธรรมที่ทำลายพระพุทธรูปบามิยัน ทั้งที่ตัวเขาเข้าใจว่า คำสอนของศาสดามีว่า ศาสนาของท่านก็คือของๆท่าน ศาสนาของเราก็คือของเรา แต่อคติเหล่านี้นำไปสู่การที่สถาบันการศึกษาที่สอนอิสลามศึกษาถูกเลิกสอนไปหลายแห่งในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นของการเสียโอกาส ส่วนจะปลดล็อคเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร ดร.สุชาติ ระบุว่า การเรียนการสอนเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งต้องใช้กิจกรรมที่มีส่วนร่วมและหลากหลาย ประเทศที่สำเร็จในเรื่องนี้ ครูเป็นกุญแจสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ดังนั้น ครูก็ต้องซึมซับ ความรู้ทักษะ ทัศนคติ ด้วย นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่า ปัจจุบันเรากำลังถูกครอบงำกำหนดโดยสิ่งที่ไม่รู้ตัว เช่น หลังเหตุการณ์ 911 มีภาพมุสลิมกำลังออกมาดีใจแพร่ออกมา แต่ภายหลังจึงรู้ว่าภาพนั้นเป็นภาพตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซีย ดังนั้น ต้องรู้เท่าทันเพื่อการสร้างทัศนคติเชิงบวก และในการตั้งคำถามเรื่องสันติภาพอย่าดูไปที่คู่ขัดแย้งอย่างเดียว เช่น การตายของนักมวยบนเวที ถามว่าใครเป็นผู้ใช้ความรุนแรง นักมวย กรรมการ สปอนเซอร์ หรือใคร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะบางครั้งหลายส่วนก็มีส่วน ปัญหาสังคมทุกวันนี้ไม่ใช่เพียงเกิดจากคนทำไม่ดี แต่มันรวมถึงเกิดจากการที่เราไม่ริเริ่มทำสิ่งที่ดีๆ ด้าน ดร. สุริชัย หวันแก้ว อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในหัวข้อเดียวกันว่า มีคนถามว่า ทำไมสีเหลือง สีแดง จึงใหญ่กว่าสีรุ้ง และทำให้คนฆ่ากันได้ มันไร้สาระมาก แต่คนที่อยู่ในที่นั้นรู้สึกว่ากำลังทำในสิ่งที่ถูกที่สุดแล้ว เราอยู่ในโลกแบบนี้ ทำไมจึงเอาแค่สองสีมาเป็นเรื่อง ปัญหาของสันติภาพจึงไม่มีคำตอบแบบสำเร็จ “โลกเรานี้เป็นโลกที่มีความสุดขั้ว โลกาภิวัตน์มีความสุดขั้วและชวนให้เราสุดขั้วได้ง่ายมาก ถ้าเราไม่เท่าทัน มีสติไม่เท่าทันซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก” ดร.สุริชัย กล่าวโดยยกตัวอย่างกรณีข่าว ฟิล์ม - แอนนี่ ซึ่งในช่วงแรกที่ผู้หญิงออกมาพูด เรทติ้งรายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศได้พุ่งขึ้นถึง 20 ล้านคน “เรากำลังสนใจอะไรกัน มันสุดขั้วจนเสพข่าวจนไม่รู้ว่าพลังอะไรขับเคลื่อนเราทุกวันนี้ คนทำรู้สึกว่าทำถูกต้องแล้ว อย่าเสือกมาสอน ผู้ใหญ่จะเชื่ออย่างนี้ ส่วนเด็กก็เชื่อว่ารู้หมดแล้ว เสิร์ชเน็ทได้ เรื่องนี้จึงใหญ่มาก” ดร.สุริชัย ระบุว่า เรากำลังมีความเสี่ยงอย่างสูงต่อความรุนแรงที่ไร้สาระ คนจึงหันไปพึ่งศาสนามาก แต่ไม่มีที่ไหนสอนให้เข้าใจคนอื่นซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ขณะเดียวกันเขาก็ไม่เชื่อว่าการสร้างประชาคมอาเซียนที่มุ่งแต่การค้าพาณิช แต่ไม่สร้างจิตวิญญาณร่วมกัน โดยปล่อยให้คนยังดูถูกกันจะไปได้ จุดบอดนี้เป็นเรื่องที่ต้องการการศึกษาการเรียนรู้ร่วมกัน แต่เรากำลังอยู่ในโลกาภิวัตน์ตลาด เศรษฐกิจต้องมาก่อนซึ่งยอมรับว่าสำคัญจริง เพราะคนต้องกินต้องอยู่ แต่โลกาภิวัตน์สังคมก็เป็นเรื่องต้องพูดกัน อย่างประเทศไทยก็กลายเป็นที่พึ่งของคนที่ไม่ถูกดูแลหรือมีคนไม่มีทะเบียนมากมาย และน่าจะมากขึ้นหลังการเลือกตั้งในพม่า เช่นเดียวกับเรทติ้งของนายกรัฐมนตรีที่สูงมาก ยิ่งเมื่อสั่งสลายการชุมนุมก็ยิ่งสูง เพราะเราอยู่ในโลกของความสะใจในวิธีความรุนแรง ซึ่งเป็นเรื่องน่ากลัว ดร.สุริชัย กล่าวอีกว่า เราอาจจะต้องตั้งหลักใหม่ เพราะเรากำลังอยู่ในโลกที่ขาดดุลสูงใน 4 เรื่องหลัก คือ ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม ขาดดุลด้านสังคมเพราะมีความเหลื่อมล้ำสูงแต่มันต้องคิดไกลกว่าเรื่องวัตถุ ขาดดุลด้านธรรมาภิบาลและประชาธิปไตย ซึ่งการใช้งบประมาณในกรณี 3 จังหวัดภาคใต้ก็สะท้อนเรื่องนี้ ขาดดุลด้านความมั่นคงของมนุษย์ ดังที่มีการติดอาวุธให้กันเหมือนกรณีอินเดียกับปากีสถาน ดังนั้น ต้องสร้างความรู้สึกต่อกัน การคิดร่วมกัน ต้องมีศาสนสัมพันธ์ ต้องมีสายสัมพันธ์ต่อกัน สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
เลขาฯอาเซียนชี้สังคมมุสลิมต้องปรับตัวรับโลกาภิวัฒน์ อัดทุนอาหรับเน้นสร้างวัตถุ Posted: 03 Oct 2010 07:49 AM PDT 2 ต.ค.53 ที่หอประชุมใหญ่ อาคารไทยบุรี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน เดินทางมาเป็นประธานเปิดงานการประชุมนานาชาติ AMRON ครั้งที่ 1 ภายใต้หัวข้อ “มุสลิมในประเทศอาเซียนกับการศึกษา: เปลี่ยนแปลงจากภายในผ่านการศึกษา” ซึ่งมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์และ ASEAN Muslim Research Organization Network (AMRON) หรือเครือข่ายองค์กรวิจัยมุสลิมอาเซียนร่วมกันจัดขึ้น โดยนายสุรินทร์ได้แสดงปาฐกถาพิเศษ “การศึกษาสร้างพลังชุมชน” โดยเนื้อหาส่วนใหญ่สะท้อนถึงปัญหาการปรับตัวของสังคมมุสลิมต่อกระแสโลกาภิวัตน์ ซึ่งใจความตอนหนึ่ง เลขาธิการอาเซียนกล่าวว่า สังคมมุสลิมอาเซียนในอดีตไม่ค่อยมีปัญหา เพราะไม่มีความขัดแย้งตึงเครียดใดๆ พอมีความรู้ใหม่ ความเจริญและเทคโนโลยีเข้ามามากขึ้นสังคมมุสลิมอาเซียนก็ไม่มีความราบรื่นอีกต่อไป นายสุรินทร์กล่าวอีกว่า ดูเหมือนความเจริญและความใหม่เหล่านั้นจะก้าวข้าม(Bypass) สังคมมุสลิมไป เพราะสังคมมุสลิมส่วนใหญ่ปรับตัวไม่ได้ พอปรับไม่ได้จึงนำไปสู่ความตึงเครียดขัดแย้งต่างๆ เช่น ปัญหาความขัดแย้งในมินดาเนา อาเจะห์ บอเนียว หมู่เกาะโมลุกู และจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เลขาธิการอาเซียนยังกล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจุบันปอเนาะดั้งเดิมในภาคใต้ของประเทศไทยยังใช้กีต๊าบกูนิง (เป็นกีต๊าบเก่าอักษรยาวีที่เขียนขึ้นเมื่อร้อยปีที่แล้ว –กองบรรณาธิการ) เรียนกันอยู่ทั่วไป ไม่มีการปรับเนื้อหาให้พัฒนาทันโลกปัจจุบัน และไม่มีการเพิ่มวิชาอื่นเข้าไป ทำให้เยาวชนส่วนหนึ่งที่เติบโตขึ้นมาไม่มีการปรับตัวและยกระดับความรู้ความสามารถของตนเองให้พัฒนาก้าวหน้า โดยนายสุรินทร์ยกตัวอย่างตนเองที่เป็นอดีตเด็กปอเนาะ ก้าวขึ้นมาเป็นโต๊ะครู นักการเมือง และปัจจุบันกลายเป็นเลขาธิการอาเซียน ซึ่งเกิดจากการปรับตัวตลอดเวลา นายสุรินทร์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์หลายสมัยในฐานะเลขาธิการอาเซียนคนปัจจุบันกล่าวอีกว่าโครงการ AMRON มีบทบาทในการทำงานวิจัยเพื่อให้สังคมมุสลิมในภูมิภาคก้าวทันความเปลี่ยนแปลงซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากมูลนิธิซาซากาว่า จากประเทศญี่ปุ่น(sasakawa peace foundation) เพื่อให้สังคมมุสลิมมีการเปลี่ยนแปลงในการรับมือกับกระแสโลกาภิวัฒน์ในปัจจุบัน เมื่อถามว่าทำไมไม่ใช่ทุนอาหรับหรือโลกมุสลิมซึ่งมีเงินทุนมหาศาล ก็เพราะทุนเหล่านี้สนใจแต่การสร้างมัสยิด ซึ่งเป็นวัตถุเพียงอย่างเดียว ไม่สนใจการพัฒนาคนหรือให้งบประมาณสนับสนุนทางด้านการศึกษา สร้างเยาวชน สร้างโรงเรียน “การมองเพียงมิติของวัตถุจะไม่มีวันรู้ปัญหาที่ลึกลงไปข้างในได้” เลขาธิการอาเซียนกล่าวในตอนหนึ่ง และเขายังยกตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ทับซ้อนกันหลายปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกัน ทั้งยาเสพติด การศึกษา และการมองไม่เห็นอนาคตของคนรุ่นใหม่ ล้วนเป็นการก้าวไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก ทั้งนี้ เลขาธิการอาเซียนยังกล่าวถึงประเด็นการก่อตั้งประชาคมอาเซียนซึ่งจะเกิดขึ้นในปี 2015 หรืออีก 5ปีข้างหน้าว่า จะมีบทบาทในการสร้างกลุ่มประเทศอาเซียนให้เป็นชุมชน(community) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และไม่มีกำแพงขวางกั้นคนหนุ่มสาวใน 10 ประเทศของกลุ่มอาเซียนทั้งในการศึกษาและการทำงาน “แล้วอนาคตของมุสลิมที่มีจำนวน 40-50 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดในอาเซียนจะอยู่ที่ไหนถ้าไม่มีประสิทธิภาพ โดยมุมมองของผมคนมุสลิมที่มีจำนวนมหาศาลเหล่านี้ต้องมีส่วนร่วมกับประชาคมอาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพ ในฐานะเลขาธิการอาเซียน ผมเตือนแล้วว่าให้สังคมมุสลิมปรับตัว ซึ่งถ้ามันล้มเหลวเราก็ต้องโทษตนเอง” นายสุรินทร์กล่าวทิ้งท้าย. สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
กวีประชาไท:เพ็ญ ภัคตะ ทวาทศมาสฉบับไพร่ Posted: 02 Oct 2010 10:26 PM PDT เดือนสิบเอ็ดเสร็จงานกรานกฐิน ห้วงมหาวิปโยคโศกกวิน ออกพรรษาไพร่สูญสิ้นแผ่นดินทอง
วางพวงหรีดกรวดน้ำพร้อมคว่ำขัน ล้างตุลาอาถรรพณ์แด่เพื่อนผอง ที่แยกทางห่างไกลไม่เหลียวมอง คืนฟ้าหมองพิราบขาวสู่ราวไพร
เดือนสิบสองลอยกระทงทะเลเลือด ปณิธานมิแห้งเหือดยังโหยไห้ โอ้พระแม่คงคาร่ำอาลัย โปรดเยียวยาพิษไข้ใจอาดูร
ครั้นเดือนอ้ายไอหนาวจากป่าเหนือ มิอาจเจือจางศัลย์คนขวัญสูญ ร่วมฉลองวันรัฐธรรมนูญ แตกช่อผลิเพิ่มพูนเพื่อมวลชน
ฝากเคาท์ดาวน์เดือนยี่ปีใหม่ฝรั่ง หทัยยังถมทับความสับสน ไม่เคยขอพรใดให้บันดล ปลอบกมลตนเองบทเพลงเดิม
ภุมภาพันธ์วันพิศวาสหวัง ปลุกพลังรักสู้เคียงคู่เสริม เราจักก้าวพร้อมกันพลันเต็มเติม น้ำค้างหยดหวานเยิ้มหยัดวิญญาณ์
ต้นเดือนสี่ปลายเดือนสามตามประทีป ประจงจีบเทียนธูปพวงบุปผา คืนมาฆะฆาตกรรมเห็นตำตา บทปาณาติปาตาสวดขาดตอน
โอ้ละหนอสงกรานต์สาดโลหิต ผ่านฟ้ามืดมัวมิดจิตผุกร่อน ปีใหม่ไทยแล้งน้ำใจไร้อาทร ไม่รู้หนาวรู้ร้อนคนนอนตาย
ยิ่งเดือนหกนรกฟาดราษฎร์ประสงค์ ศพปลิดปลงธงสะบัดแดงสาดสาย วิสาขะเวียนเทียนเวียนกันวาย สาดโคลนก่อการร้ายกบฏทราม
เดือนเจ็ดลุมิถุนาน้ำตาตก ดั่งวิหกปีกหักถูกกักห้าม เขาออกกฎจับกุมคุมนิคาม คณะราษฎร์เคยทวงถามความเท่าเทียม
ยิ่งเดือนแปดแปดเปื้อนประโคมป้าย เข้าพรรษาฝนพรายไม่อายเหนียม ปืนจ่อปากจงปรองดองใจมิเจียม ได้แค่เสี้ยมเขาควายข้าแผ่นดิน
เดือนเลวโหดสิงหาศรัทธาสลาย มิเคยหมายมารดรด้วยหมอนหมิ่น มีแต่ลูกกำพร้าทั่วธรณินทร์ ปลอบชีวินสิ้นหวังหลังรอดตาย
เดือนกันยาเกือบอดร่วมพิธีฮัจห์ สลากภัตวันสารทไพร่มาดหมาย รวมพลังตาสว่างอย่างท้าทาย แดงกระจายจรัสด้าวสะดุ้งมาร
จารกวีสิบสองเดือนแด่เพื่อนกล้า ร่วมชะตากรรมเดียวฝ่าเกลียวด่าน วันเวลาอย่ากลืนกลบอุดมการณ์ มิต้องรอพระศรีอาริย์โลกศิวิไล สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
แถลงการณ์เพื่อไทย5ก้าวสร้างปรองดอง หยุดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แดง ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ห้ามจาบจ้วงสถาบัน Posted: 02 Oct 2010 08:57 PM PDT 2 ต.ค. นายปลอดประสพ สุรัสวดี รักษาการรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อ่านแถลงการณ์พรรคในชื่อ"ย่างก้าวเล็กๆ เพื่อก้าวให้พ้นอุปสรรคของการปรองดอง" ว่า ตามที่ทุกภาคส่วนของสังคมเห็นพ้องต้องกันว่าการปรองดองและความสมานฉันท์เท่า นั้นที่จะแก้ปัญหาความแตกแยกที่ร้ายลึกของสังคมไทยในปัจจุบันได้ และแม้ว่าจะได้มีคณะบุคคลที่หวังดีต่อประเทศและประชาชนชาวไทยได้ กรุณาผลักดันจนในทางการเมืองจะมองดูมีลู่ทางบ้างแล้วก็ตาม แต่ขบวนการปรองดองที่เป็นรูปธรรมตามที่ทุกคนแสวงหาก็ดูเหมือนจะยังไม่ขยับ เขยื้อน ดังนั้นเพื่อให้สามารถบรรลุถึงการปรองดองได้อย่างต่อเนนื่องมั่นคงและสามารถ สัมผัสได้ พรรค พท.ใคร่ขอเสนอย่างก้าวเล็กๆ เพื่อให้สามารถก้าวข้ามอุปสรรคของการปรองดอง "ดังนี้ ก้าวที่ 1 หยุดตามล่าล้างเผ่าพันธุ์คนเสื้อแดง เพราะมิเช่นนั้นนผลที่ได้ก็คือความกลัวและความอาฆาตแค้น ก้าวที่ 2 หยุดระเบิดซึ่งก่อเกิดความหวาดผวาต่อสังคม ก้าวที่ 3 หยุดเรียกร้องการชุมนุมขนาดใหญ่ที่ล่อแหลม ซึ่งจะเสี่ยงต่อการเผชิญหน้าและการใช้กำลัง ก้าวที่ 4 หยุดจาบจ้วงสถาบัน และนำสถาบันมาใช้ประโยชน์ทางการเมืองเพราะผิดกฎหมายอย่างร้ายแรงและขัดกับ ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวไทย และก้าวที่ 5 หยุด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้เชื่อว่าหากทุกภาคส่วนของสังคมได้แก่ทางราชการ รัฐบาล พรรคการเมือง และภาคประชาชนได้ละเว้นจากการกระทำที่จะเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์และ สถาปนาความปรองดองโดยยินยอมพร้อมใจหยุดในสิ่งที่ชั่วร้ายทั้ง 5 ข้อแล้าว ความปรองดอง ความสมานฉันท์ ความสามัคคีก็จะสามารถกลับคืนมาสู่สังคมไทยได้อีกครั้งหนึ่ง" นายปลอดประสพ อ่านแถลงการณ์
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ใบตองแห้งออนไลน์:ไหนล่ะ...??? คุณธรรม...!!! Posted: 02 Oct 2010 08:48 PM PDT อยากรู้จังว่าพรรคการเมืองใหม่จะกล้าส่งสมัครเลือกตั้งซ่อมที่สุราษฎร์แข่งกับเทพเทือกหรือเปล่า อย่าอ้างนะว่ากลัวจะไปตัดคะแนนกันทำให้พรรคเพื่อไทยชนะ หัวร่อท้องคัดท้องแข็งตายเลย ในขณะที่พันธมิตรบางคนเย้ยหยันว่าเสื้อแดงหมดท่าแล้ว ที่ไปชุมนุมราชประสงค์วันที่ 19 กันยา เป็นแค่อาฟเตอร์ช็อก เราก็ต้องถามกลับว่าแล้วพันธมิตรล่ะ เหลืออะไร คุณว่าคุณชนะแล้ว ตกลงคุณได้อะไรบ้าง ที่ไม่ใช่แค่ผลประโยชน์หรือลาภยศสรรเสริญสำหรับบางคน แต่เป็นสิ่งที่คุณสัญญิงสัญญากับมวลชนไว้บนเวที โดยเฉพาะเมื่อยึดทำเนียบ สถาปนาอุดมการณ์ “การเมืองใหม่” ในปี 2551 โอ้ การเมืองใหม่อันใสสะอาด ปราศจากทุจริตคอรัปชั่น สถาปนาระบบคุณธรรมจริยธรรมให้ยั่งยืนสถาพรในประเทศไทย การเมืองใหม่ของเราไม่ใช่ 70-30 นะ นั่นเป็นแค่ตุ๊กตา แต่เราต้องการไปให้พ้นจากการเมืองเก่าน้ำเน่า นักการเมืองฉ้อฉลโกงกิน ฯลฯ พูดกันไปเรื่อย แต่กลับมาช่วยค้ำจุนการเมืองเก่าเน่าโคตรๆ ภายใต้ลัทธิมาร์ค-เนวิน อ.เกษียร เตชะพีระ ชอบเล่าให้ฟังว่าน้องสาวท่านเป็นพันธมิตร ไปร่วมชุมนุมด้วยความเชื่อความหวังว่า นับแต่นี้ไปบ้านเมืองจะใสสะอาด ไม่มีทุจริตคอรัปชั่นอีกเลย มวลชนพันธมิตรที่ผมรู้จักส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เขียนจดหมายมาคุยในไทยโพสต์ ล้วนคิดว่าพวกท่านจะทำให้บ้านเมืองมีคุณธรรมจริยธรรมสืบทอดชั่วลูกชั่วหลาน ไม่ทราบว่าป่านนี้อกแตกกันไปหรือยัง เมื่อเห็นโผแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ผู้ว่าฯ ที่สุดอัปลักษณ์ หรือ “ปลง” กันได้แล้วว่า สุดท้ายเมืองไทยก็ได้แค่นี้ คุณประสาร มฤคพิทักษ์ สว.ลากตั้ง (ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตั้งแต่ 14 ตุลา แต่ประชาธิปไตยไม่เคยให้อะไรท่านเลย มีแต่เผด็จการที่ทำให้ได้เป็น สว.) ออกมาพูดว่าการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้เป็นเหมือนระบบ “บาเตอร์เทรด” แล้วนายกฯ จริตนิยมก็ตั้งกรรมการสอบว่าที่ปลัดมหาดไทยพอเป็นพิธี เป็นข่าวไม่กี่วัน ก็ดูท่าจะลอยนวล แล้วไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์อีก พวก สว.“น้ำดี” หรือนักวิชาการเครือข่ายพันธมิตรปิดปากเงียบ สื่ออาจจะตีข่าว แต่เป็นแค่ข่าวรอง หันไปพาดหัวข่าวคนโรคจิตโทรบาทเดียวขู่ระเบิดศิริราช (โดยพุ่งเป้าให้เป็นคนเสื้อแดง) หรือไม่ก็ข่าวฟิล์ม แอนนี่ สนุกกว่า อย่าอ้างนะว่าเป็นธรรมดาที่รัฐบาลต้องกวาดล้างข้าราชการแตงโมมะเขือเทศ เพราะโผที่ออกมาตามข่าวหนังสือพิมพ์ (หัวเหลืองทั้งหลายนี่แหละ) เป็นเรื่องของเส้นใครสายมัน สุดท้าย ข้าราชการที่ไม่มีเส้น ข้าราชการที่เป็นกลาง คนดีๆ ที่ไม่เข้าข้างไหน ก็กลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกแป๊ก “บาเตอร์เทรด” ของคุณประสาร ไม่ทราบว่ารวมถึงการที่นายตำรวจคนสนิทของสนธิ ลิ้ม ได้เป็น ผบช.ภ.5 ด้วยหรือเปล่า แต่ไม่เป็นไร เพราะเป็นพล.ต.ต.มาหลายปีดีดักแล้ว นายตำรวจท่านนี้เคยเป็นข่าวถูกพรรคพลังประชาชนร้องเรียน เมื่อเข้ามาเป็นฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ กกต.ในการเลือกตั้งปี 2550 นั่นทำให้ผมนึกขึ้นได้ถึง “ฮีโร่” สม้ยเลือกตั้งปี 2550 อดีตรองผู้ว่าฯ ประธาน กกต.จังหวัด ผู้สร้างวีรกรรมแจกใบแดง “เด็กเนวิน” ผู้สมัครพรรคพลังประชาชน 3 คน จนเป็นที่แซ่ซ้องของบรรดาสื่อ นักวิชาการ และพันธมิตรในขณะนั้น “สังคมวันนี้ต้องมีเกษม วัฒนธรรม” เถ้าแก่เปลวของผมเขียนบทความไว้ วิทยุผู้จัดการ รายการสภาท่าพระอาทิตย์ เชิญท่านไปออกรายการ ชื่นชมว่าท่านเป็นข้าราชการตัวอย่างในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แผ่นดินไม่สิ้นคนดี คนดีแห่งยุคสมัย ฯลฯ แล้วสังคมวันนี้ เกษม วัฒนธรรม อยู่ที่ไหน นู่นครับ รองผู้ว่าฯ น่านปู๊น 4 ผ่านไปก็ยังเป็นรองผู้ว่าฯ อยู่ ทั้งที่เป็นซี 9 อาวุโสลำดับสอง โดนเด้งกระดอนไปมา จากรองผู้ว่าฯ ชลบุรี ถูกส่งไปร้องเพลงล่องน่าน ได้ยินว่าท่านจะเกษียณอายุปี 2555 ยังไงๆ ก็ฝาก ปชป.ช่วย “บาเตอร์เทรด” ให้คนดีของแผ่นดินได้เป็นผู้ตรวจฯ ก่อนเกษียณด้วยนะครับ คุณเกษมเคยให้สัมภาษณ์มติชนว่า ท่านเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เมื่อเห็นคนดีลุกขึ้นสู้แล้ว ก็อย่าปล่อยให้คนดีต้องสู้อย่างโดดเดี่ยว แล้วคอยยืนให้กำลังใจห่างๆ แต่อยากให้พลังเงียบต้องลุกขึ้นมายืนสู้ แล้วช่วยกันคนไม่ดี คนคดโกง ไม่ให้มีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง” ซึ้งมากเลย แต่วันนี้คุณเกษมคงซึ้งแล้วว่าความโดดเดี่ยวเป็นไง แล้วถามว่ามีข้าราชการซักกี่คนอยากเป็นฮีโร่อย่างคุณเกษม เห็นตัวอย่างอยู่ทนโท่ ถ้าขืนทำไป เพื่อนฝูงก็จะด่าเป็นไอ้โง่ ระบบราชการไทย มีแรมโบ้มากี่คนแล้ว จุดจบก็เห็นๆ อยู่ ถ้าลูกหลานผมรับราชการ ผมก็จะสอนให้ดูตัวอย่างผู้ว่าฯ หนุ่มที่สุดในประเทศดีกว่า เพิ่งอ่านในมติชน พบว่าเป็นรุ่นน้องสุดเลิฟของชานนท์ สุวสิน คนสนิทพจมาน และเป็นเพื่อนเรียน ร.ร.นายอำเภอกับศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรี ยุค พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา (ที่สมัยนั้นพูดกันว่าเมียเป็นเพื่อนพจนมาน) แล้วก็อยู่มาได้แม้จะเปลี่ยนเป็นอารีย์ วงศ์อารยะ มาจนพ่อไอ้ปื๊ด กระทั่งได้เป็นผู้ว่าในยุค “ร.ร.เนฯ” เป็นข้าราชการต้องให้มันได้อย่างนี้ ต้องรู้จักสนองนโยบาย เหมือนอ่านประวัติธาริต เพ็งดิษฐ์ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าแจ้งเกิดเพราะหมอมิ้งดึงมาช่วยงานสมัยรัฐบาลทักษิณ ก่อนโอนย้ายไปกรมสอบสวนคดีพิเศษ ข้าราชการที่น่าสงสารอีกรายคือคุณจาดุร อภิชาตบุตร หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายกสมาคมข้าราชการพลเรือน ผมเคยสัมภาษณ์ท่านสมัยคัดค้านไชยา สะสมทรัพย์ เด้งหมอศิริวัฒน์ ทิพธราดล เลขา อ.ย. ท่านเป็นคนที่ยกย่องชื่นชม อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นแบบอย่างของสมาคมฯ คุณจาดุรเป็นรองปลัดสำนักนายกฯ ควรจะได้เป็นปลัด แต่ถูกรัฐบาลสมัครเด้งมาเป็นหัวหน้าผู้ตรวจมหาดไทย ฟ้องศาลปกครองแล้ว ชนะคดีแล้ว เปลี่ยนรัฐบาลแล้ว ก็ยังไม่ได้กลับ คราวก่อนคุณจาดุรออกมาแฉว่ามีการซื้อขายเก้าอี้ในกระทรวงมหาดไทย แต่โทษที ม.ร.ว.ปนัดดา ดิศกุล เหลนกรมพระยาดำรงฯ ที่จะไปเป็นผู้ว่าเชียงใหม่นี่แหละ ออกมาปกป้องนักการเมืองว่าไม่จริ๊งไม่จริง ไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง โผย้ายตำรวจอาจอื้อฉาวน้อยกว่ามหาดไทยนิดนึง เพราะปลัดมหาดไทยพุ่งพรวดมาจากผู้ว่าบุรีรัมย์เมื่อ 2 ปีก่อน ขณะที่ ผบ.ตร.มาจากนายตำรวจราชสำนัก ซึ่งพ้นจากวงจรวิ่งเต้นเส้นสายรับส่วย มาตั้งแต่สมัยท่านยังเป็นนายตำรวจเด็กๆ (ว่าแต่มีอำนาจแล้วจะทันเกมพวกเขี้ยวลากหรือเปล่า) แต่ถ้าดูโผระดับผู้บัญชาการ ก็รู้กันให้แซ่ดว่าตรงไหนคนของใคร “บาเตอร์เทรด” อย่างไร นายตำรวจหลายคนไม่ใช่คนแปลกหน้า เป็นพวกนกมีหู หนูมีปีก สนองนโยบายได้ตั้งแต่ยุคทักษิณจนยุคปัจจุบัน บางคนก็เป็นนักปั้นคดี สามารถหาพยานมาเอาคนเข้าคุกได้โดยคดีไม่มีมูล บางคนก็ถูกร้องว่าชื่อไปอยู่ภาคใต้เพื่อเอาอายุราชการทวีคูณ แต่ตัวจริงไม่ได้ไป กระนั้นโผก็ยังผ่าน (ไม่อายดวงวิญญาณวีรบุรุษ “จ่าเพียร” มั่งหรือไง) โผเซอร์ไพรส์ที่สุดคือ ผบช.น.ไปเป็นจเรตำรวจ โห ตำรวจมะเขือเทศยังไม่โดนขนาดนี้เลย ตอนแต่งตั้งเมื่อปีที่แล้วก็ว่ากันว่าเป็นเด็กเทพเทือก แถมยังเป็นเพื่อน ผบ.ทบ.คนใหม่ ไหงโดนเล่นแรงซะขนาดนี้ ไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่บอกเหตุผล หลังมีโผย้ายแล้วจึงมีตำรวจบุกจับบ่อน พบรายชื่อส่งส่วย “น.1” กลั่นแกล้งกันหรือเปล่า ถ้ากลั่นแกล้ง เทพเทือกก็ต้องให้ความเป็นธรรม ถ้าไม่ผิดแล้วไปย้ายเขาทำไม แต่ถ้าไม่กลั่นแกล้งล่ะ ถ้าของจริงล่ะ เทพเทือกต้องรับผิดชอบไหมที่เอามาเป็น ผบช.น. แวดวงนักข่าวเขาลือสะพัดว่า ช่วงที่ผ่านมา บ่อนใน กทม.ต้องจ่ายส่วยแพงขึ้นระยับ แต่นั่นแหละ จะกลั่นแกล้งกันหรือเปล่า ต้องทำให้ชัดเจน โผแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการยุคนี้ อัปลักษณ์ไม่น้อยกว่า-หรือมากกว่ายุคทักษิณที่เคยวิพากษ์วิจารณ์กันด้วยซ้ำ ถามว่าสื่อ นักวิชาการ สว. พันธมิตร ผู้ร่วมกันไล่ทักษิณมา วิพากษ์วิจารณ์ไหม ก็วิพากษ์วิจารณ์ครับ แต่พูดไปก็เท่านั้น เพราะพวกคุณสร้างเขาขึ้นมา สร้างและค้ำจุน “ระบอบอภิสิทธิ์” ด้วยความเกลียดกลัวผี “ระบอบทักษิณ” ลึกๆ พวกคุณก็ยอมรับ ว่าต้องให้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจห้อยวางกลไกตำรวจผู้ว่าฯ เพื่อเอาชนะพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้ง ซึ่งถึงเวลาเลือกตั้ง พวกคุณก็เชียร์เขา เหมือนเลือกตั้งซ่อม พรรคภูมิใจห้อยลงแข่งกับพรรคเพื่อไทย รู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่าอะไรเป็นอะไร พวกคุณก็สะใจที่พรรค “เพื่อแม้ว” มันแพ้พรรคการเมืองที่ “ปกป้องสถาบัน สงบ สันติ สามัคคี” นี่คืออาการปากอย่างใจอย่างของพันธมิตร สื่อ นักวิชาการ และแกนนำภาคประชาสังคมทั้งหลายที่จะ “ปฏิรูปประเทศไทย” แก้ปัญหาให้ชาวมาบตาพุด แก้ปัญหาชุมชนที่นั่นที่นี่ คุยว่าจะลดความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ แต่ปล่อยให้มีการซื้อขายตำแหน่ง เก็บส่วย ตั้งพวกพ้อง หรือให้ทหารเอางบประมาณมหาศาลไปซื้ออาวุธอย่างไม่โปร่งใส เพื่อเป็น “ค่าตอบแทน” ของการไล่ทักษิณและต่อต้านโลกาภิวัตน์ ถ้าผมเป็นเนวิน ผมจะแยแสพวกคุณไปทำไม นี่คือช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยวและสร้างฐานอำนาจ โดยที่พวกคุณก็ได้แต่ตีโพยตีพาย ถึงที่สุดก็ต้องพึ่งเนวินสู้ทักษิณอยู่ดี พักหลังๆ ผมชักชอบบทบาทของเนวินด้วยซ้ำ เพราะเนวินคือสัญลักษณ์แทงใจดำของชนชั้นนำ ผู้ลากมากดี ผู้อวดอ้างว่ามีศีลธรรมจรรยาสูงส่ง ชนชั้นกลางจริตนิยม มวลชนเฟซบุค ที่แห่กันออกมาสนับสนุนระบอบอภิสิทธิ์ ทำไมจะต้องเกลียดเนวิน เพราะเนวินก็คือเนวิน พวกที่น่าเกลียดกว่าเนวิน คือพวกจริตจะก้านมารยาปากถือศีลที่ยอมสมสู่กับเนวินต่างหาก แกนนำพันธมิตรเคยอ้างกับผมว่าอุดมการณ์ของพันธมิตรคือต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น (จนไม่ใช่เพื่อประชาธิปไตย เพราะเชื่อว่าระบอบอภิสิทธิ์ชนจะทุจริตคอรัปชั่นน้อยกว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง) มวลชนพันธมิตรต่างบอกว่าพวกเขาต่อสู้เพื่อจรรโลงคุณธรรมจริยธรรม ให้คนชั่วได้รับการลงโทษ ให้คนดีได้รับการยกย่อง (และปกครองบ้านเมือง) ไม่ทราบว่าคนเหล่านี้หายไปไหนหมด ชนะแล้ว? ยุติบทบาท ปลง? หายบ้า? คิดได้แล้วว่าในที่สุดมันก็แค่นี้ แต่ยังกลับไปนอนกอดวีรกรรม หลอกตัวเอง หลอกลูกหลาน ว่าหลังจากยึดทำเนียบยึดสนามบิน บาดเจ็บล้มตายไปหลายคน อย่างน้อยเราก็ไล่ทักษิณและร่างทรงสำเร็จ ไม่งั้นทักษิณจะล้มสถาบัน ทักษิณจะขายชาติ ทักษิณจะนำบ้านเมืองไปสู่หายนะ ฯลฯ ไอ้ที่สุดขั้วสุดโต่งกันมาว่าจะทำบ้านเมืองให้ใสสะอาด ลืมไปหมดแล้ว หรือรู้แล้วว่าแค่หลอกขายฝันกันไปวันๆ ถึงวันนี้ก็พับอุดมการณ์ใส่เก๊ะ ใส่กุญแจล็อกไว้อย่างดี ไม่ให้มันผุดมาหลอกมาหลอน แล้วกลับไปทำมาหากินตามปกติ ถ้าจะปลงก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ให้ความเป็นธรรมกับคนที่ถูกพวกคุณทำลายล้างบ้างเลยหรือครับ ซึ่งมันไม่ใช่แค่ทักษิณ แต่รวมถึงนักการเมือง ข้าราชการ และประชาชนที่ถูกพวกคุณสมคบกับอำมาตย์ปล้นชิงอำนาจ ข้าราชการดีๆ เก่งๆ หลายคนถูกเล่นงาน เพราะความสุดขั้วสุดโต่งจะตามล่าตามล้างเอาผิดทักษิณให้ได้ ทั้งที่เขาไม่ผิดก็ต้องผิด พลิกระเบียบทุกตัวอักษรให้มีความผิด ตัวอย่างชัดๆ เช่นคุณศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อดีตปลัดคลัง แล้วถามว่าตอนนี้เหลืออะไร ก็เหลือแต่พวกนกมีหูหนูมีปีก พวกตามน้ำ หรือพวกที่รู้จักวิ่งเต้นเส้นสาย เกาะขาขั้วอำนาจใหม่ พันธมิตร สื่อ นักวิชาการ ผู้นำภาคประชาสังคม ที่ค้ำจุนระบอบอภิสิทธิ์ ไม่ได้จรรโลงคุณธรรมจริยธรรมอย่างที่พวกเขาพูด เพราะสิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้ให้สังคม คือสัจธรรมใต้บรรทัด ที่รู้กันในสังคมไทยตั้งแต่สมัยโบราณ ว่าเมื่อเปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่ ใครมีอำนาจเราต้องวิ่งเข้าหาคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ชาวบ้าน นักธุรกิจ ที่ต้อง “จิ้มก้อง” ทุกยุคทุกสมัย คนขับแท็กซี่รายหนึ่ง จึงคุยกับผมว่า บ้านเมืองเราก็เท่านี้ ใครล้มเหยียบ ใครใหญ่เลีย นี่ต่างหากคือสัจธรรมที่จะประจักษ์ไปชั่วลูกชั่วหลาน ใบตองแห้ง 3 ต.ค.53 ...............................
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น