โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

ดัน สปส.เป็นหน่วยงานอิสระ-เลือกตั้งตรงผู้แทนลูกจ้างชี้เป็นผลดี เพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน

Posted: 12 Oct 2010 11:01 AM PDT

ดัน สปส.เป็นหน่วยงานอิสระ-เลือกตั้งตรงผู้แทนลูกจ้างชี้เป็นผลดี เพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน

ที่มาภาพ: voicelabour.org

12 ต.ค. 53 - เว็บไซต์นักสื่อสารแรงงานรายงานว่าที่ โรงแรมอิสติน มักกะสัน กรุงเทพฯ เครือข่ายแรงงาน อาทิ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย สภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานไทย จัดแถลงข่าว “ผลักดันร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. … (ฉบับบูรณาการแรงงาน) สู่การปฏิรูป สปส.เป็นองค์กรอิสระ”เพื่อเป็นการเปิดตัวร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ประกันสังคม ฉบับบูรณาการแรงงาน ทั้งในส่วนสาระสำคัญของร่าง และประเด็นที่ต่างจาก พ.ร.บ.ฉบับเดิม รวมทั้ง กิจกรรมที่จะดำเนินการต่อเพื่อผลักดันร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับบูรณาการแรงงาน

น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวถึงความเป็นมาของร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับบูรณาการแรงงาน ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2552 คณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม (ฉบับที่ …) พ.ศ. … มีสาระสำคัญขยายการคุ้มครองให้รวมถึงบุตรและคู่สมรสของผู้ประกันตนในเรื่อง การเจ็บป่วย รวมทั้งขยายสิทธิประโยชน์อื่นๆเพิ่มเติมแก่ผู้ประกันตน และเตรียมเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ซึ่งเครือข่ายแรงงานเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวของรัฐบาลยังขาดสาระสำคัญอีกหลายประการที่จะคุ้มครองผู้ ใช้แรงงาน เช่น นิยามของคำว่าลูกจ้าง ที่ยังไม่ครอบคลุมกลุ่มแรงงานนอกระบบและแรงงานข้ามชาติ การบริหารจัดการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ที่ส่อว่าอาจจะไม่โปร่งใส เครือข่ายแรงงานจึงได้ยกร่าง พ.ร.บ.ฉบับบูรณาการแรงงาน โดยอิงกับร่างของรัฐบาล แต่ได้ปรับเปลี่ยน และเพิ่มรายละเอียดในบางมาตรา ซึ่งยกร่างแล้วเสร็จไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2553

นายชัยสิทธิ์ สุขสมบูรณ์ ประธานสหพันธ์แรงงานธนาคารและการเงินแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับบูรณาการแรงงาน ว่า สาระสำคัญที่เป็นสิ่งใหม่ในกฎหมายนี้มีหลายประการ เช่น ขยายความคุ้มครองไปถึงลูกจ้างชั่วคราวทุกประเภทของส่วนราชการ แก้ไขนิยามของคำว่า ลูกจ้าง เพื่อให้รวมถึงลูกจ้างทำงานบ้านอันมิได้ประกอบธุรกิจ และคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน แก้ไของค์ประกอบ กระบวนการได้มา คุณสมบัติ อำนาจหน้าที่และวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นตำแหน่งของคณะกรรมการประกัน สังคม กำหนดให้ สปส.เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ กำหนดให้มีเลขาธิการสำนักงาน โดยมาจากกระบวนการสรรหา แก้ไขวิธีการคำนวณค่าจ้างรายวันในการจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้

ระบบการตรวจสอบเป็นประเด็นที่สำคัญ เพราะสภาพปัญหาของการนำเงินประกันสังคมไปลงทุน หรือไปใช้ผิดประเภททำให้ขาดความโปร่งใส ขาดความน่าเชื่อถือ เกิดการตรวจสอบ การแก้กฎหมายใหม่ เราต้องการให้เกิดระบบตรวจสอบง่าย มีการทำรายงาน ตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบการทำงาน การลงทุน ซึ่งเป็นอิสระ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น

นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงสร้างที่สำคัญของกฎหมายฉบับนี้จะเปลี่ยนแปลงการได้มาของกรรมการประกัน สังคม ในส่วนของผู้ประกันตน ให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จากแต่เดิมจะมาจากการเลือกตั้งขององค์กรสหภาพแรงงาน ซึ่งมีเพียง 3 แสนคน คิดเป็น 1-2 % เท่านั้นของผู้ประกันตนทั้งหมดประมาณ 9 ล้านคน ซึ่งดูไม่เหมาะสม หากเลือกตั้งโดยตรงจะเป็นการเปิดกว้างมากขึ้น จะเป็นผลดีต่อผู้ประกันตน ในเรื่องของการบริหารจัดการและการขับเคลื่อนในเรื่องสิทธิประโยชน์ของผู้ ประกันตน นอกจากนี้ ในส่วนของเลขาธิการ ก็ให้มาจากการสรรหา จะทำให้การบริหารงานในสำนักงานโปร่งใสและดีขึ้น

นางสุจิน รุ่งสว่าง ผู้ประสานงานเครือข่ายแรงงานนอกระบบ กทม.กล่าวว่า การแก้กฎหมายประกันสังคมครั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความคุ้มครองแรงงานทุกกลุ่ม ซึ่งแรงงานนอกระบบเองมีกว่า 23 ล้านคน แม้ว่าขณะนี้มีมาตรา 40ของกฎหมายประกันสังคมให้การคุ้มครองอยู่แต่ไม่ครอบคลุมทางสิทธิประโยชน์ ทำให้ไม่จูงใจในการเข้าไปสมัครเป็นสมาชิก ซึ่งทางเครือข่ายได้มีการเสนอให้มีการแก้ไขปรับปรุงขยายสิทธิประโยชน์ให้ ครอบคลุมและมีความจูงใจมากขึ้น

นายชาลี  ลอยสูง ประธานสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และโลหะแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ต่อประเด็นการขับเคลื่อนทางกฎหมายของขบวนการแรงงานนั้นจะมีการจัดให้การ ศึกษากับผู้ใช้แรงงานโดยจะเริ่มทำความเข้าใจกับผู้นำแรงงานในวันที่ 28 ตุลาคม 2553แล้วให้กลับไปทำความเข้าใจกับผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ ซึ่งจะให้เวลาในการขับเคลื่อนประมาณ 1 เดือน พร้อมกับจะมีการล่าลายมือชื่อเพื่อสนับสนุนร่าง พระราชบัญญัติประกันสังคมพ.ศ. …. ฉบับบูรณาการจำนวน 20,000ลายชื่อด้วย

ที่มาข่าว:

เปิดตัวร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับบูรณาการแรงงาน ดัน สปส.เป็นหน่วยงานอิสระ (เว็บไซต์นักสื่อสารแรงงาน, 12-10-2553)
http://voicelabour.org/?p=711

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักข่าวพลเมือง: ชาวบ้านท้า กฟผ.เปิดข้อมูลแผนหยุดซ่อมโรงไฟฟ้า อย่าปัดลอยๆ

Posted: 12 Oct 2010 10:41 AM PDT

 
ตามที่นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่ากฟผ.ได้ชี้แจงว่า ไม่ได้หยุดซ่อมโรงไฟฟ้าช่วงฤดูร้อนตามที่เครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ยื่นจดหมายร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรีนั้น
นางสาวสุรีรัตน์ แต้ชูตระกูล แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลว่า ขอเรียกร้องให้ผู้ว่ากฟผ.แก้ไขระบบเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะตลอดไปถึงแผนการหยุดซ่อมโรงไฟฟ้าในแต่ละเดือนในแต่ละปีตลอดอายุแผนพีดี2010 เพื่อความโปร่งใส
ที่ผ่านมาก็มีการทำการหยุดซ่อมโรงไฟฟ้าในหน้าร้อนกันมาแล้ว เครือข่ายอนุรักษ์ฯ ได้ปรึกษาหารือและมีข้อสรุปร่วมกันว่า จะดำเนินการยื่นหนังสือขอให้คณะกรรมมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมมาภิบาลวุฒิสภา ตรวจสอบในประเด็นดังกล่าวทั้งที่ปีผ่านๆ มาและแผนในอนาคตอย่างเร่งด่วน
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กรีนพีซเตือนอุตสาหกรรมข้าวไทยเสียหาย 9 หมื่นล้านถ้าปนเปื้อนจีเอ็มโอ

Posted: 12 Oct 2010 10:31 AM PDT

12 ต.ค.53 กรีนพีซเปิดเผยรายงาน “อุตสาหกรรมข้าวไทยตกอยู่ในอันตราย: ความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อข้าวไทยปนเปื้อนจีเอ็มโอ” ก่อนหน้าที่จะมีการจัดประชุมผู้ส่งออกข้าวโลก TRT World Rice Conference ที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหากมีการปนเปื้อนข้าวจีเอ็มโอเกิดขึ้นในประเทศไทย อุตสาหกรรมข้าวไทยจะเสียหายถึง 96,327 ล้านบาท หรือราว 2,031 ล้านยูโร ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 56 ของมูลค่าการส่งออกข้าวไทยในปี 2552

 
กรีนพีซเรียกร้องให้รัฐบาลไทยให้ปกป้องเศรษฐกิจข้าวไทย ย้ำให้มีกฎหมายที่ชัดเจนที่ห้ามการทดลองข้าวจีเอ็มโอทุกรูปแบบ ทั้งในห้องปฏิบัติการและในระดับไร่นา
 
นางสาวณัฐวิภา อิ้วสกุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านเกษตรกรรมยั่งยืน กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ผลการศึกษาครั้งนี้ยังชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเอาจริงเอาจังในการปกป้องข้าวไทยให้ปลอดจากการปนเปื้อนจีเอ็มโอ เพราะเมื่อไรก็ตามที่ข้าวไทยปนเปื้อนจีเอ็มโอ ทั้งรัฐบาลและอุตสาหกรรมข้าวไทยจะถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับการดำเนินการต่างๆที่ล้วนแล้วแต่มีต้นทุนในการดำเนินการที่สูงลิบเพื่อสร้างความมั่นใจว่าการปนเปื้อนจีเอ็มโอนั้นได้ถูกกำจัดจนหมดสิ้นและอุตสาหกรรมค้าข้าวของไทยปลอดจีเอ็มโอทั้งระบบ กระบวนการเหล่านั้นอาจรวมถึงการออกมาตรการด้านการทดสอบเมล็ดพันธุ์ การสุ่มตรวจเมล็ดพันธุ์ปลอดจีเอ็มโอ การออกใบรับรองแก่ผู้ผลิตข้าว การบังคับใช้มาตรการต่างๆเพื่อให้ความรู้กับผู้ผลิตข้าว และการออกคำสั่งห้ามใช้เมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอ เป็นต้น”
 
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์การปนเปื้อนของข้าวจีเอ็มโอ LL601 จะสร้างความเสียหายต่อเกษตรกรชาวอเมริกันและอุตสาหกรรมข้าวในสหรัฐอเมริกามีมูลค่าสูงถึง 48,587 ล้านบาท หรือ 1,024 ล้านยูโร แต่ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมเคมีเกษตรยังคงพยายามผลักดันให้ทั่วโลกยอมอนุมัติข้าวจีเอ็มโอ ถือเป็นความพยายามเปิดโอกาสให้การปนเปื้อนของข้าวจีเอ็มโอเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก  
 
ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลก กรีนพีซจัดทำรายงาน “อุตสาหกรรมข้าวไทยตกอยู่ในอันตราย: ความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อข้าวไทยปนเปื้อนจีเอ็มโอ” เพื่อเน้นย้ำถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากมีการปนเปื้อนจีเอ็มโอในอุตสาหกรรมข้าวไทย การศึกษานี้ได้ใช้เหตุการณ์การปนเปื้อนของข้าวจีเอ็มโอ LL601 ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2549 รวมถึงเหตุการณ์การปนเปื้อนของพืชจีเอ็มโอในที่อื่นๆ เป็นตัวอ้างอิง
 
ในรายงานฉบับนี้ยังได้ระบุถึงเหตุการณ์การสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เป็นไปได้หากใช้เหตุการณ์การปนเปื้อนของข้าวจีเอ็มโอ LL601 เป็นตัวอ้างอิง นั้นคือปริมาณการส่งออกข้าวทั้งในระยะสั้นและระยะยาวลดลง ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการตรวจสอบและจำแนกข้าวจีเอ็มโอออกจากระบบการค้าและการแปรรูปข้าว นั่นหมายถึงมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจและความเสียหายอื่นๆสูงถึง 96,327 ล้านบาท หรือ 2,031 ล้านยูโร ซึ่งมูลค่าความเสียหายดังกล่าวได้รวมความสูญเสียต่อการส่งออกครอบคลุมระยะเวลาทั้งสิ้น 4 ปี คิดเป็นร้อยละ 56 ของมูลค่าการส่งออกข้าวไทยในปี 2549  
 
“ข้าวเป็นพืชที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การนำข้าวจีเอ็มโอเข้ามาในภูมิภาคนี้ หรือในประเทศไทย จะทำลายทั้งอุตสาหกรรมการส่งออกข้าวไทยและเกษตรกรรมในประเทศ ประเทศไทยจะต้องไม่เปิดรับข้าวจีเอ็มโอเข้าสู่ประเทศในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทดลองในพื้นที่เปิด การนำเข้าข้าวจีเอ็มโอจากต่างประเทศ และการปลูกข้าวจีเอ็มโอเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ควรมีมาตรการอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น การเฝ้าระวังอาหารที่นำเข้าจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ดูแลระบบการเฝ้าระวังพืชจีเอ็มโอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาข้าวจีเอ็มโอในแถบประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการร่วมมือกับประเทศคู่ค้าข้าวในต่างประเทศ” นางสาวณัฐวิภากล่าวเสริม 
 
ข้าวเป็นอาหารหลักของโลก ในแต่ละวัน มีผู้บริโภคข้าวเป็นอาหารราว 2.5 พันล้านคนทั่วโลก
 
กรีนพีซรณรงค์เพื่อต่อต้านพืชจีเอ็มโอรวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมของพืชจีเอ็มโอทั้งหมด ซึ่งเป็นกลไกสำคัญบนหลักการของความยั่งยืน ทั้งนี้เพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าและปลอดภัย การดัดแปลงพันธุกรรมเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัยและไม่เป็นที่ต้องการของสังคมโลกอีกทั้งยังทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และสร้างความเสี่ยงให้กับผู้บริโภค
 
ทั้งนี้ รายงาน “อุตสาหกรรมข้าวไทยตกอยู่ในอันตราย: ความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อข้าวไทยปนเปื้อนจีเอ็มโอ” จัดทำโดยกรีนพีซ เขียนโดย อี. นีล บลู ที่ปรึกษาด้านเกษตรกรรม ให้แก่มหาวิทยาลัย องค์กรพัฒนาเอกชน และธุรกิจการเกษตรที่ครอบคลุมถึงแนวทางการกำกับดูแลพืชดัดแปลงพันธุกรรม รวมถึงการควบคุมมาตรฐานอาหารในสหรัฐอเมริกา สามารถดาวน์โหลดรายงานได้ที่ www.greenpeace.or.th/thai-rice-industry-at-risk 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักปรัชญาชายขอบ: ปลดล็อกความรุนแรง!

Posted: 12 Oct 2010 09:51 AM PDT

เหตุผลของอภิสิทธิ์ที่ว่า ต้องการให้มีการเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรม สงบสันติ ความจริงแล้วมันเป็นเหตุผลที่ดี เพราะว่าการเลือกตั้งที่ดีต้องเป็นการเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรม และสงบสันติ แต่ว่าเขาไม่ได้ใช้เหตุผลนี้อย่างจริงใจ ตรงไปตรงมา เขาใช้มันเป็นเพียงแค่ ข้ออ้าง เพื่อเตะถ่วง ยืดเวลา หรือชิงไหวชิงพริบในเกมการเมืองเท่านั้น

เพราะถ้าคนอย่างเขาต้องการสิ่งที่เรียกว่า เสรี เป็นธรรม และสงบสันติ จริง เขาคงไม่ก้าวขึ้นสู่อำนาจโดยการอุ้มของอำนาจนอกระบบเช่นนั้น และคงไม่ยอมใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้ประชาชนต้องบาดเจ็บล้มตายมากขนาดนั้น!

แต่ถึงตอนนี้อภิสิทธิ์ก็ยังอ้างเรื่อง สงบสันติ บอกว่าถ้าบ้านเมืองปรองดอง สงบสันติ หรือคนเสื้อแดงพร้อมที่จะทำให้ บรรยากาศบ้านเมืองสงบสันติ เมื่อใด เขาก็พร้อมที่จะยุบสภาเลือกตั้งใหม่เมื่อนั้น

พร้อมกับข้ออ้างนี้การเกิดเหตุระเบิดรายวันก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่รัฐก็ออกมาปล่อยข่าวความรุนแรงเป็นระยะๆ สื่อเสื้อเหลือง ก็พยายามโยงการเคลื่อนไหวอย่างสันติของคนเสื้อแดงว่าสอดประสานกับการเคลื่อนไหวใต้ดินที่ใช้วิธีรุนแรง พร้อมกับวาดภาพว่า การเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ เป็นความรุนแรงที่น่ากลัวยิ่งกว่า!

แน่นอนว่าความรุนแรงไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายใด ย่อมเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้! ทว่าความรุนแรงไม่ได้มีเฉพาะความรุนแรงเชิงปรากฏการณ์เท่านั้น ความรุนแรงเชิงโครงสร้างต่างหากที่อันตรายกว่า

โครงสร้างอำนาจรัฐที่เป็นอยู่นี้คือ โครงสร้างความรุนแรง เพราะ 1) มันเป็นโครงสร้างที่ค้ำยันระบบอำนาจจารีต หรือระบบอำนาจนอกการเลือกตั้งที่พยายามลดทอนอำนาจของประชาชน เป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำของอำนาจต่อรองทางการเมืองของชนชั้นในสังคม 2) โดยการค้ำยันนั้นมันใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่เรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ และอำนาจของตัวเอง และ 3) มันจึงเป็น เงื่อนไขหลัก ของความรุนแรงเชิงปรากฏการณ์ที่เป็นมาและเป็นอยู่ เช่น ระเบิดรายวัน เป็นต้น

การเป็นเงื่อนไขหลักของความรุนแรงเชิงปรากฏการณ์ อาจเป็นได้อย่างน้อยสองลักษณะ คือ การพยายามอยู่ในอำนาจต่อไปโดยที่ไม่สามารถ หรือไม่มี ความชอบธรรม ที่จะก่อให้เกิดความยุติธรรม เช่น การพิสูจน์ข้อเท็จจริงกรณีสลายการชุมนุม การดำเนินคดีกับเสื้อเหลือง-เสื้อแดง ใน มาตรฐานเดียวกัน ฯลฯ ที่อาจก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่คนบางกลุ่มจนนำไปสู่การตอบโต้ด้วยวิธีรุนแรง

และ/หรือ อาจจะเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายที่แสวงหาประโยชน์จากความรุนแรงโดยการใช้ความรุนแรงเสียเอง หรือกุข่าวความรุนแรง (เช่น นายเก่าจ้างฆ่า 20 ล้าน) เพราะเกรงว่าหากมีการเลือกตั้งแล้วฝ่ายเสื้อแดงชนะ แน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามกับเสื้อแดงย่อมสูญเสียอำนาจอยู่แล้ว อำนาจนอกระบบ อำมาตย์ก็ยิ่งกลัวว่าจะถูกระทบกระเทือน ฉะนั้น ทำอย่างไรจะให้อำนาจอยู่ในมือ จะยืดเวลาของรัฐบาลนี้ต่อไป จะสร้างสถานการณ์เพื่อตั้งรัฐบาลแห่งชาติ หรือทำรัฐประหาร ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาอาจจะทำ!

ฉะนั้น ความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลนั่นเองคือ ต้นเหตุ ของความรุนแรง ถ้าปลดล็อกความไม่ชอบธรรมเรื่องที่มาโดยให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ตั้งแต่แรก ความรุนแรง เมษา-พฤษภา 53 ก็ไม่เกิดขึ้น

แต่ตอนนี้ความไม่ชอบธรรมเรื่องที่มาของรัฐบาลได้บวกกับ 91 ศพ บวกกับความไม่จริงใจในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง หรือความไม่ชอบธรรมในการอำนวยความยุติธรรมในทุกเรื่อง มันยิ่งกลายเป็นเงื่อนที่มีน้ำหนักมากขึ้นๆ ของความรุนแรงที่เป็นอยู่และต่อๆ ไป ไม่ว่าผู้ก่อความรุนแรงจะเป็นฝ่ายเจ็บแค้น หรือฝ่ายใช้ความรุนแรงเพื่อหวังจะรักษาอำนาจของตัวเองก็ตาม

จะไปเรียกร้องให้ฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงหยุด หรือให้จับกุมปราบปรามให้สิ้นซาก! (แม้จะเป็นสิ่งที่ควรทำ) ก็คงไม่สำเร็จ เพราะเงื่อนไขหลักของความรุนแรงมันยังคงอยู่ หรือ อภิสิทธิ์จะเรียกร้องให้สังคมสงบสันติแล้วจึงจะยุบสภาเลือกตั้งใหม่ การเรียกร้องนั้นก็เป็นแค่การแสดงละคร เพราะว่าตัวเขาหรือฝ่ายเขาเองเป็นฝ่ายค้ำยัน โครงสร้างความรุนแรง ซึ่งเป็นที่มาของความรุนแรงอื่นๆ แล้วจะเรียกร้องให้ฝ่ายอื่นๆ หยุดใช้ความรุนแรงได้อย่างไร

การดำรงอยู่ของรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมนั่นเองคือความรุนแรงในตัวของมันเอง รุนแรงโดยค้ำยันอำนาจนอกระบบที่พยายามรักษาระบบความเหลื่อมล้ำเชิงอำนาจ รุนแรงโดยฉ้อฉลอำนาจของประชาชน รุนแรงโดยทำให้คนตาย รุนแรงโดยเป็นอุปสรรคต่อความยุติธรรมในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง รุนแรงโดยการปิดกั้นเสรีภาพทางการเมือง เป็นอุปสรรคต่อการปรองดอง ฯลฯ

ฉะนั้น ความรุนแรงเชิงโครงสร้างดังกล่าวจึงเป็นต้นตอของความรุนแรงเชิงปรากฏการณ์ที่เป็นอยู่!

การเรียกร้องสังคมสงบสันติ ความปรองดอง การปฏิรูปประเทศ ไม่อาจกลบเกลื่อน ปกปิด ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ที่เห็นตำตาดังกล่าวได้ ทางเดียวที่จะปลดล็อกความรุนแรงได้คือ ยกเลิกโครงสร้างความรุนแรงนี้เสีย โดยยุบสภาเลือกตั้งใหม่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่อำนาจอำมหิตจะทำรัฐประหารอีก!

ฉะนั้น คนเสื้อแดง หรือใครก็ตามที่รักประชาธิปไตยต้องเดินหน้ากดดันให้รัฐบาลยุบสภาเพื่อปลดล็อกเงื่อนไขหลักของความรุนแรง ไม่ต้องเรียกร้องความยุติธรรมจากรัฐบาลนี้ เพราะรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมจะให้ความยุติธรรมได้อย่างไร

ขอให้มีการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม ประชาชนเลือกพรรคไหนมาเป็นรัฐบาล ทุกฝ่ายต้องยอมรับ แล้วค่อยเดินหน้าต่อเรื่องเสรีภาพ ความเป็นธรรม การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และอื่นๆ !

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชาวบ้านสุโขทัย 3,000 กว่าคนประท้วงกรมศิลป์ค้านออกโฉนดที่ดินเขตอุทยานประวัติศาสตร์

Posted: 12 Oct 2010 09:42 AM PDT

เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ที่ผ่านมา โพสต์ทูเดย์รายงานว่าชาวบ้านต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย กว่า 3,000 ราย รวมตัวกันประท้วง และเขียนป้ายประณามกรมศิลปากรที่คัดค้านการออกโฉนดที่ดินของชาวบ้าน ที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย พร้อมกับพูดข่มขู่ผ่านบนเวที ว่าหากไม่มีการถอนการคัดค้าน ชาวบ้านจะรวมตัวกันปิดถนน และห้ามนักท่องเที่ยวเดินทางเข้า-ออกอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อีกด้วย

นายสุวรรณ  วัชรถาวรศักดิ์ (อดีตรองนายกเทศมนตรีตำบลเมืองเก่า) ตัวแทนชาวบ้าน กล่าวว่า การชุมนุมประท้วงครั้งนี้ เนื่องจากชาวบ้านไม่พอใจที่นายอนันต์  ชูโชติ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย ได้มีการทำหนังสือคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของชาวบ้าน ที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย

“ชาวบ้านเขาอาศัยอยู่มาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ตายาย มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง ก่อนมีการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ. 2518 และเมื่อเร็วๆ นี้ ก็มีการออกโฉนดที่ดินให้กับชาวบ้านไปบ้างแล้ว อีกทั้งกรมธนารักษ์ก็ได้ทำการรังวัด กันพื้นที่ให้ราษฎรแล้ว และไม่คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน แต่ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย กลับออกมาคัดค้าน โดยอ้างความเป็นเขตโบราณสถาน และบอกให้ไปฟ้องศาลเอาเอง” ตัวแทนชาวบ้าน กล่าว

นายสุวรรณ กล่าวอีกว่า ข้อเรียกร้องครั้งนี้ นอกจากต้องการให้มีการถอนการคัดค้าน การขอออกโฉนดที่ดินของราษฎร ที่มีสิทธิครอบครองตามกฎหมายที่ดิน ในพื้นที่ประกาศเป็นเขตโบราณสถาน เมืองเก่าสุโขทัยแล้ว ยังต้องการให้มีการตั้งคณะกรรมการฯ เอาผิดทางวินัยร้ายแรง แก่ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย ด้วย เพราะละเมิดสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน และเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง ที่ได้โฉนดที่ดินไปก่อนหน้านี้

ด้านนางน้ำอ้อย  ชูศิริ ชาวบ้าน ต.เมืองเก่า กล่าวว่า ครอบครองที่ดิน 17 ไร่ 2 งาน มีเอกสารสิทธิ์เป็นใบ ส.ค.1 ออกโดยกรมที่ดิน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2498 และได้ยื่นขอโฉนดแล้ว แต่ถูกคัดค้าน ขณะที่เพื่อนบ้านนั้นได้โฉนดที่ดินไปแล้ว ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตนไม่ได้

ขณะที่นายชาติชาย  สงวนพงษ์ นายอำเภอเมืองสุโขทัย ที่เดินทางมารับหนังสือร้องเรียน แทนผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย กล่าวว่า ทางอำเภอยินดีที่จะประสานงาน และอำนวยความสะดวกให้ แต่ขอร้องอย่าได้ปิดถนนเส้นทางอุทยานฯเพราะเป็นการละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น รวมทั้งทำให้ภาพลักษณ์ของจังหวัด และการท่องเที่ยวเสียหาย อีกด้วย

เจ้าหน้าที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย รายหนึ่ง กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า นายอนันต์  ชูโชติ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย เบื้องต้นได้รายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ทราบเรื่องแล้ว และจะเดินทางมาตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง

สำหรับ ข้อกล่าวหาของชาวบ้าน ไม่เป็นความจริง และยังมีผู้ครอบครองที่ดิน ที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่อุทยานฯสุโขทัย อีกหลายคน ที่ยังไม่ได้โฉนด เพราะต้องมีการตรวจสอบก่อน และเป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง หากไม่มีการคัดค้าน ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย ก็จะถูกกล่าวหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้

"แม้ชาวบ้านจะมีเอกสารสิทธิ์ ก่อนการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน แต่เนื่องจากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เป็นหน่วยงานที่ควบคุมดูแล จึงยึดถือปฏิบัติตาม พรบ.โบราณสถานฯ หากมีการดำเนินการใดๆ บนพื้นที่ในเขตรับผิดชอบ จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบจากทางอุทยานฯ ทุกครั้งเช่นกัน"เจ้าหน้าที่อุทยานฯกล่าว

ที่มาข่าว:

โวยกรมศิลป์ค้านออกโฉนดที่ดิน (โพสต์ทูเดย์, 11-10-2553)
http://bit.ly/a155Vu

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

10 บทกวีเข้ารอบสุดท้าย รางวัล FREE Write กวีประชาชน

Posted: 12 Oct 2010 09:40 AM PDT

 
 
 
รูปจาก Thailand Mirror/Wiboon พี่น้องผองเพื่อน
 
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่หอประชุมศรีบูรพา (หอเล็ก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการจัดงานประกาศรางวัลบทกวีประชาชน FREE Write ‘จากราชดำเนินถึงราษฎร์ประสงค์’ โดยกลุ่มกวีตีนแดง Thailand Mirror และกลุ่มพี่น้องผองเพื่อน และยังมีการเสวนาตุลาการณ์ หัวข้อ ประชาธิปไตยใต้ร่มเงาเผด็จการ (เมื่อนายเป็นผู้เลือกกบ) โดย พ.อ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย, ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์, วัฒน์ วรรลยางกูร, เพ็ญ ภัคตะ, ดำเนินการเสวนาโดย จอม เพชรประดับ
ทั้งนี้ ภายในงานมีการแสดงดนตรีสลับกับการอ่านบทกวี 10 บทสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบ ก่อนประกาศผลในช่วงสุดท้ายของงาน ซึ่งผู้ที่ได้รางวัลได้แก่ สมเจตน์ ไชยเกิด ได้รางวัลชนะเลิศ, กฤษณะ สัตตบุศย์ ได้รองชนะเลิศอันดับที่1, ชัชชล อัจนากิตติ ได้รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ขณะที่คณะกรรมการตัดสินผลงาน ได้แก่  วัฒน์ วรรลยางกูร, ประกาย ปรัชญา, เดือนวาด พิมวนา, ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์, บัณฑิต อานียา, ทองขาว ทวีปรังษีนุกูล, มาโนช พรหมสิงห์, ณัฐพร อึ๊งศรีวงศ์, อนุสรณ์ ติปยานนท์
วัฒน์ วรรลยางกูร ได้กล่าวถึงที่มาของรางวัลนี้ว่า มันถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวรองรับความคิด ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นในบรรดาประชาชน และไม่มีพื้นที่เวทีในแหล่งเดิมๆ อีกต่อไป เนื่องจากการเมืองไทย ไม่ได้ผูกขาดเฉพาะด้านการเมืองเท่านั้น แต่ผูกขาดทั้งเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม แม้แต่ในแวดวงวรรณกรรมก็บีบให้นักเขียนอยู่ใต้อุปถัมภ์ของรางวัล ต้องรู้ว่าทำตัวอย่างไรจึงจะได้รับการดูแลจากรัฐที่ได้รับการอุปถัมภ์จากชนชั้นสูง
“อย่างเดือนวาดฯ เคยได้ซีไรท์ ก็อย่าหวังว่าจะได้ครั้งที่ 2 พอเข้าสู่การเป็นศิลปินรุ่นกลางหน่อย เขาก็จะมีรางวัลศิลปาธร เดือนวาดฯ ก็คงไม่ได้ และแก่ตัวลงก็คงไม่ได้เป็นศิลปินแห่งชาติด้วย” วัฒน์กล่าวพร้อมเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ฟัง
วัฒน์กล่าวว่า ศิลปินเพื่อชีวิตทั้งหลายตายตั้งแต่ปี 2526 หลังอุทิศตัวให้กับการตลาด และในช่วงปี 2549 สถานการณ์ยิ่งหนักขึ้น เพราะศิลปินใหญ่ได้เหินห่าง ทอดทิ้งประชาชนรากหญ้า ตอนมีรัฐประหารก็เฉยๆ หลังการฆาตรกรรมหมู่กลางเมืองเดือนพฤษภาที่ผ่านมาก็ยังเฉยๆ
“คนเป็นศิลปิน ถ้าขาดมนุษยธรรมก็ควรเลิกร้องเพลง เลิกเป็นกวีได้แล้ว” วัฒน์กล่าว
 

 
กลุ่ม กวีตีนแดง กับภารกิจของกวีภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน FREE WRITE AWARD ครั้งที่ 1 : ประกวดบทกวีเพื่อเสรีภาพ ความเท่าเทียม และศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์


บนดินแดนที่ผู้ยากไร้ถูกเข่นฆ่า ด้วยความผิดเพียงข้อหาเดียวคือ "สะเออะลุกขึ้นมาเรียกร้องศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์ที่เท่าเทียม" และความตายของพวกเขาถูกละเลยอย่างน่าตกใจ สะท้อนความไม่ปกติของเมืองแห่งศีลธรรมที่ต้นไม้รอบสนามหลวงออกผลเป็นจริยธรรมสีทอง เกร่อไปทั่วเมือง

เมื่อประชาชนมือเปล่าสู้จนหลังพิงฝา เหลียวหน้าแลหลังไม่เห็นผู้ใด ในความว่างเปล่า พวกเขาบอกแก่กันและกันอย่างน่าเศร้าว่า "มีเพียงเราเท่านั้น โดดเดี่ยวในคืนวันอันยากแค้นลำเค็ญ"

เมื่อพวกเขาถูกเข่นฆ่า ด้วยสองมือไร้ศัสตราวุธใดๆ ในสมรภูมิแห่งอธรรม ภายใต้กติกาโสมมที่ผู้ถูกเหยียบย่ำไม่อาจต่อกร --- มวลกวีไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป

ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินอันทารุณ มีเพียงปากกาอันแหลมคมของกวีเท่านั้น ที่จักแทนหอกดาบแหลนหลาว...พุ่งเข้าประจันผู้เข่นฆ่าที่เลือดเย็น

ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินอันเหี้ยมโหด มีเพียงวาทะอันหนักแน่นดุจหินผาของกวีเท่านั้น ที่จักตระหง่านเป็นกำแพงเหล็กกั้นปกป้องมวลชนให้พ้นจากอาวุธร้าย

ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินอันเดียวดาย มีเพียงถ้อยคำอ่อนไหวจากก้นบึ้งหัวใจของกวีเท่านั้น ที่จักปลอบประโลมผู้แพ้ให้คลายเจ็บปวดทรมานจากบาดแผล. ..และฝันร้าย

เมื่อมวลกวีแห่งรัตนโกสินทร์ต่างพร้อมใจกันถอนคำสาปของ ฌอง ปอล ซาร์ต ที่ว่า ?มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ? พ้นไปจากอาณาจักร บางกวีเอาใจออกห่างจากผู้ยากไร้ ไปซบแทบเท้าฝ่ายกดขี่ โดยมินำพาต่อเลือดเนื้อและน้ำตาแห่งความยากแค้นของประชาชนที่ไหลตกต้องนองแผ่นดิน --- แล้วไยเราต้องรอคอยกวีใหญ่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เหล่านั้นลงจากวอทองมาเช็ดน้ำตาให้ประชาชน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คงมีเพียงเราเท่านั้น!!!
กลุ่ม "กวีตีนแดง" ซึ่งเติบใหญ่ขึ้นมาบนบ่าเทียมแอกของประชาชนผู้ยากไร้ ขอเชิญชวนมวลกวีน้อยใหญ่มาร่วมปฏิบัติภารกิจของกวีภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน ด้วยความเชื่อที่ว่า กวีมิใช่เพียงผู้นั่งจิบไวน์ภายใต้แสงจันทร์ แล้วคิดฝันถึงถ้อยคำไพเราะหวานหู และบทกวีก็มิใช่เพียงกลุ่มคำที่ถูกร้อยเรียงอย่างวิจิตรโดยช่างเทคนิคทางภาษา ทว่าปราศจากเจตจำนงเสรีและจุดยืนแห่งยุติธรรม

แม้คนพันบัญชาชี้หน้าเย้ย
จงขวางคิ้วเย็นชาเฉยเถิดสหาย
ต่อผองเหล่านวชนเกิดกร่นราย
จงน้อมกายก้มหัวเป็นงัวงาน

บทกวีโดย หลู่ซวิ่น
แปลโดย จิตร ภูมิศักดิ์

และภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินอันเดียวดายเช่นนี้ ใครก็ตามที่ลุกขึ้นสู้กับผู้กดขี่อย่างซื่อสัตย์ต่อเจตจำนงเสรีของตน อาวุธของคุณคือบทกวี เช่นนั้นคุณต้องเป็นกวี...และคุณต้องเขียนบทกวี! !!

เพื่อลบคราบน้ำตาประชาราษฎร์
สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์
แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน
จักน้อมพลีชีพนั้น...เพื่อมวลชน

บทกวีโดย อเวตีก อีสสากยัน (Awetik Issaakjan) กวีประชาชนแห่งอาร์มาเนีย แปลโดย จิตร ภูมิศักดิ์ ในนามปากกา "ศรีนาคร"

 

 00000
 
บทกวีชนะเลิศ รางวัล Free Write Award ครั้งที่ 1 ปี 2553 : สมเจตน์ ไชยเกิด
จากราชดำเนิน ถึง ราษฎร์ประสงค์

ราขดำเนิน เดินผ่าน มิพานพบ
มิบรรจบ ความหวังคาด ราษฎร์ประสงค์
เพราะคนกลาง ขวางกั้น อ้างมั่นคง
แล้วไสส่ง ราษฎร์ไพร่ ไม่ใยดี
 
ถนนที่ ทุกชนผอง ต้องคลานกราบ
แล้วซึมซาบ ซึ้งจินต์ ทุกถิ่นที่
อบอวลคลุ้ง ด้วยบุญญา บารมี
สดุดี แซ่ซ้อง ก้องแผ่นดิน
 
อีกถนน ที่ทนทุกข์ ทุกย่างก้าว
ล้วนเรื่องราว ฉาวโฉด อย่างโหดหิน
ถูกป้ายสี ยัดข้อหา เป็นอาจินต์
จวนจะสิ้น กำหนด ความอดทน
 
ราษฎร์ฎีกา หลายหีบห่อ เพื่อขอพึ่ง
มิอาจถึง ราชได้ ให้ฉงน
ถูกยักย้าย ถ่ายเท ด้วยเล่ห์กล
ใครเป็นคน อยู่เบื้องหลัง คอยสั่งการ
 
ความประสงค์ ของราษฎร์ ของชาติไพร่
ไม่ถูกใจ รัฐบาล และทหาร
ความใสซื่อ ถูกโถมถา พ่ายสามานย์
จมดักดาน เอน็จอนาจ โถ...ชาติไทย

ถนนทั้ง สองสาย ขยายห่าง
มิมีทาง จะบรรจบ พบกันได้
และถนนที่ โหยหา ประชาธิปไตย
ทันเห็นไหม จะเฝ้าดู อยากรู้นัก
           
 
 
รางวัล รองชนะเลิศอันดับ 1 : กฤษณะ สัตตบุศย์
 
จากราชดำเนินถึงราชประสงค์
 
1.
จตุพรนำกระบวนชนชั้นไพร่ พากันเดินเป็นกระบวน  กระบวรผ้าสีแดง งามกระบวร
เต็มด้วยแบบกระบวนแล้วพากันเดินเป็นกระบวน กระบวนไป
ชาวกระบวนไม่ล่วงพ้นกระทู้รัฐสภา นายจตุพรเข้านั่งในสภา แล้วกระทู้
กระทู้แพร่พันธุ์เสียหายต่อชาวนาชาวไร่  ชาวบ้านต้องกระทุ่มไปในแม่น้ำ
เจอกระทุ่มก็กระทุ่มออกเป็นสองซีกเพื่อทำลายที่อาศัยของกระทู้
เจอกะเทยครองเมือง กระทู้นี้ต้องปล่อยฟ้า ให้ลิขิต
ในกระบวนบ้างใส่เสื้อกระบอกแดงกระบวรด้วยกระบอกหอม
ถือกระบอกใส่กระบอกเป็นอาหาร
เอากระบอกดั่งอาวุธ อีกบ้องกระบอกไฟ
เคาะกระบอกขับลำนำ แลร่ายรำเพลงกระบอก
ข้อยน้อยเป็นข้อยข้า ขอดเหลือล้าจนเหลือขอด
สังคมขอด เสรีขอด ขอดเท่าเทียม อกไหม้เกรียม ให้ขอดใจ
น้ำขอดคลองข้าวขอดหม้อ  ยังขอดน้ำขอดก้นหม้อ พออาศัย
ขอดเสรี ขอดศักดิ์ศรี ขอดวิญญาณเสรีชน
สุดขอดทน ต้องต่อสู้ ขอดเอามา
 
2.
พอเหนื่อยล้า ชาวกระบวนนำกระบอกแลกระพอกออกมากระพอกกัน
มีกระพอกข้าวกระพอกปลา ต่างกินไปกระพอกไป ไม่อนาทร
บางกระลากระบวนเป็นไพร่กะลาแดง
บ้างไว้ผมทรงกะลา  ใส่หมวกกะลาแดงประดับปีกกันลองสวย งามกระลา
แล้วเอากะลาใส่ข้าวปลากระพอกกัน
ถือเสรีภาพเป็นกระลา กระลาตนเป็นกบนอกกะลา หูตาสว่าง
ไม่ใส่ใจใครจะว่ากะลาแดง ไม่หนักใจเพราะไม่ได้หนัก กะลาใคร
 
 
ชีวิตขัดสน คนขัดค่าราคาน้อย
เสรียัง ขัดไว้ ใต้ เผด็จการ
สังคมยัง ขัดแย้ง ขัดแข้งขา
ขัดความคิด จนขัดข้อง
ต้องร่วมขัด เสรีภาพให้ผ่องใส ประชาไท  หายข้อขัด ขัดใจกัน
 
3.
กระลากะลาแดงกินกระพอก กลางถนน บางกระลาอยู่นอกลานหน้าสภา
กลับถูกก่นกันลองรัฐสภา เป็นโทษฐานกันลอง ต่างตกใจพากันกันลองข้ามกระทู้รัฐสภา
กันลองพ้นหน้าสภา บรรดากากกากีก็แตกตื่น พลันเห็นกากขาวกลายดำ
กะลาแดงบางกระลาก็โชคดี มีกำนันมากำนัน กำนันไว้ ไม่แตกตื่น
เสียงปืนลั่น กระชับวงล้อม ตัดเกียกกาย ไพร่มึงหยุด ตะเกียกตะกายหาเสรี
กระลาเกียกกายกระบวนไพร่กะลาแดง  ต่างเกียกกายส่งเกียกกาย หลายวิธี
เข็นเสรีแม้ยากเข็ญ ก็จะเข็นให้ได้มา
เข็นออกมา เข็นเสรี ให้ออกมา
เข็นกายใจ ร่วมต่อสู้ เพื่อเสรี
ขอลาทีเหลือเข็ญแล้ว เผด็จการ ฯลฯ

 

 
 
รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 : ชัชชล อัจนากิตติ
 
บทกวีที่ข้าพเจ้าไม่มีวันเขียน
 
ไม่จำเป็นเลย
ท่านผู้ปกครอง
ไม่มีความจำเป็นเลย
ความหวาดกลัวเหล่านั้นของท่าน
ต่อถ้อยคำของข้าพเจ้า
ตัวอักษรพวกนี้เงียบกริบเสียยิ่งกว่าอะไร
มันไม่สอดใส่สัญญะใด ๆ ที่หมายถึงตัวท่าน
ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ไดโนเสาร์ หรือท้องฟ้า
ไม่ชำแหละโครงสร้างเหลื่อมล้ำกดขี่
ไม่รื้อสร้างประวัติศาสตร์ลวงโลกคลั่งผู้นำคลั่งชาติ
ไม่ก่นด่าวัฒนธรรมระยำดูถูกคนบ้านนอก
ไม่สบถ”เหี้ย” ใส่ความร่ำรวยระดับโลกขณะที่กล่อมให้คนค่อนประเทศทนอดอยากยากแค้น
ไม่หลั่งน้ำตาให้ชีวิตดิ้นรนของคนจนเมือง
ไม่อุทิศตนให้หยาดเหงื่อของกรรมกร
ไม่พูดถึงชีวิตล้มละลายของชาวไร่ชาวนา
ไม่โอดครวญถึงชะตากรรมบัดซบในนิคมอุตสาหกรรม
ไม่รำลึกถึงการอภิวัฒน์ 2475
ไม่สนใจเบื้องหลังรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่ถามถึงฆาตกรสังหารหมู่ 6 ตุลา
ไม่ตะโกนว่ามีคนตายที่ราชประสงค์ราชดำเนิน
ไม่ปลุกเร้าประชาชนให้ลุกขึ้นนำตนเอง
ไม่บอกให้พวกเขาทวงคืนสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียมในฐานะมนุษย์
ถ้อยคำของข้าพเจ้าจะเคารพกฎหมายของเรา
บทกวีของข้าพเจ้าจะไม่บรรจุสิ่งเหล่านี้
และข้าพเจ้าจะไม่มีวันเขียนมันขึ้นมา
เพื่อความมั่นคงของเรา
ข้าพเจ้าให้สัญญา
 
 
บทกวีเข้ารอบ 10 บทสุดท้าย
 
ผู้แต่ง                ปานจิต จันทรา
 
อำมาตย์ทมิฬมาร บงการฆ่าประชาชน
กาพย์ยานี 11
เกริ่น
ฉันเห็นคนถูกยิง                           ทั้งชายหญิงต่างวิ่งหนี
บาดเจ็บล้วนมากมี                         ตายเป็นผีก็มากมาย
           
(1)       
ไพร่ตื่น ลุกขึ้นสู้                            เพื่อกอบกู้อธิปไตย
ทวงสิทธิ ความเป็นไท                                ความเป็นธรรมกลับคืนมา
ต่อต้าน รัฐประหาร                                    และคัดค้านศักดินา
โค่นล้ม อำมาตยา                         เผชิญหน้าอย่างท้าทาย
เรียกร้องยุบสภา                                       ถูกกล่าวหาผิดกฎหมาย
ล้มเจ้า-ก่อการร้าย                         เพื่อทำลายคนเสื้อแดง
 
(2)
ณ ที่ ราชประสงค์              ไพร่ทะนงอย่างกล้าแกร่ง
ต่อสู้ เพื่อเปลี่ยนแปลง                               ชูธงแดงโบกสบัด
อาสา พยาบาล                                         ถูกสังหารในเขตวัด
ฝีมือ อภิสัตว์                                            กลไกรัฐเผด็จการ
หกศพนอนแน่นิ่ง                          กระสุนจริงลั่นสังหาร
อำมาตย์ทมิฬมาร                          บงการฆ่าประชาชน
ที่นั่นมีคนตาย                                          ศพเรียงรายกลางถนน
พลีชีพอุทิศตน                                         เพื่อประชาธิปไตย
แท้จริง ราชประสงค์                                   กระชับวงล้อมปราบไพร่
สั่งยิงอย่างสะใจ                                       ไอ้พวกไพร่ไม่ใช่คน
 
                                                                        อา...ไม่ใช่คน...พวกมันไม่ใช่คน
                                                                        เสื้อแดง........ไม่ใช่คน(ของฉัน)
 
--------------------------------------------------------
ผู้แต่ง                นายวรเทพ  วิชชุประภา 
 
จากราชดำเนินถึงราชประสงค์
 
เหมือนดังลิ่มทิ่มแทงอกประชาราษฎร์
หมดโอกาสได้เป็นไทเสียแล้วหรือ
ต้องอยู่ในใต้บังคับคนหยิบมือ
ที่คอยถืออาวุธร้ายหมายฟาดฟัน
 
เราจึงมาราชดำเนินเพื่อเรียกร้อง
ตามครรลองของคนไทยใช้เพ้อฝัน
คนนับหมื่นคนนับแสนมารวมกัน
จริงแล้วนั้นท่านต้องไปใช่หน้าทน
 
แต่พวกเขาหลงระเริงในอำนาจ
ใจอุบาทว์จิตวิบัติไร้เหตุผล
พวกเรามาด้วยคับแค้นและยากจน
เพราะถูกปล้นอำนาจไปไว้ครอบครอง
 
ใช้เวทีเพื่อต่อสู้อย่างชัดแจ้ง
คนเสื้อแดงมาด้วยใจประกาศก้อง
เพียงต้องการประชาธิปไตยสิ่งหมายปอง
คืนอำนาจให้เป็นของมวลประชา
 
เสียงปืนดังขึ้นทุกทั่วหัวระแหง
เลือดสีแดงของปวงชนคนผู้กล้า
ต้องหลั่งลงรดราดผืนพสุธา
โอ้ฟากฟ้าหมดสิ้นแล้วความปราณี
 
 
วีรชนต่างล้มลงทั้งมือเปล่า
ไฉนเจ้าจึงร้ายนักพวกบัดสี
เจ้าฆ่าได้แม้แต่เด็กและสตรี
ด้วยมือที่ซ่อนเอาไว้ใจแสนดำ
 
อ้างอำนาจความชอบธรรมนำมาฆ่า
เหมือนดังว่ามวลประชาราคาต่ำ
ตามไล่ล่าฆ่าให้หมดเช้ายันค่ำ
กระสุนซ้ำให้แดดิ้นสิ้นชีวัน
 
แม้ในเขตอภัยทานยังหาญกล้า
ยิงเข้ามาดังสายฝนจนอาสัญ
นอนเรียงรายตายในเขตที่ป้องกัน
ดับความฝันวีรชนคนเสื้อแดง
 
ราชประสงค์ไหลท่วมนองเลือดน้องพี่
เหมือนเป็นดังดวงสุรีที่อับแสง
เลือดชาวไพร่ที่ไหลนองเป็นสีแดง
จะเปลี่ยนแปลงความชอบธรรมกลับคืนมา
 
ขอทวยเทพที่สถิตย์ทั่วสถาน
ดลบันดาลช่วยปกป้องและรักษา
ให้เสื้อแดงได้นำชัยกลับคืนมา
เพื่อประชาได้สุขสันต์นิรันดร
 
---------------------------------------
ผู้แต่ง                สมบูรณ์  บำรุงเมือง
 
จากราชดำเนินถึงราษฎร์ประสงค์
จากราชดำเนิน’ผ่านฟ้า มาราชประสงค์
จากขอคืนพื้นที่ ถึงกระชับวง’ล้อมแล้วฆ่า
จาก 10 เมษายน จนถึง 19 พฤษภา....(2553)
ชีวิตคนเสื้อแดง เหมือนผักปลา เขาฆ่าตาย
 
เกือบเกือบ ร้อยชีวิต ที่ดับดิ้น
กว่าสองพัน ชีวิน บาดเจ็บสูญหาย
แล้วถูกโยน ข้อหา ผู้ก่อการร้าย
เพียงเพราะ มาทวงประชาธิปไตย’ ให้ยุบสภา
 
แกนนำ ถูกจับกุม คุมขัง
แกนรวม ร่วมพลัง ถูกเข่นฆ่า
ถูกตามล้ม ตามล้าง ไม่สร่างซา
พรก.ฉุกเฉินฯ ขนมา ใช้บังคับ
 
อนาถหนอ ประชาธิปไตย แบบไทยไทย
ความยุติธรรม อยู่ที่ไหน ใครขังใครจับ...(ไว้)
สิทธิ-เสรีภาพ เสมอภาค จึงเลือนลับ
แล้วภราดรภาพ จะคืนกลับ ได้อย่างไร
 
“เท่าเทียม – ยุติธรรม ค้ำจุนโลก”
คือเมตตา ฆ่าโศก เจ็บป่วยไข้
คือยาขนานเอก ที่ยังยึด เสื้อแดงไว้
ให้สันติอหิงสา สู้ต่อไป เพื่อชัยของเรา
 
-------------------------------------------------------
ผู้แต่ง                สมพงษ์ โหละสุต (อายุ 72 ปี)
 
ฝ่าภัยในฝูงพาล
 
“สิบเมษาห้าสาม” มหาโศก             “วันมหาวิปโยค” ขยายผล
วันที่ “ไทยฆ่าไทย” ใครจะทน                                  จึง..เจ็บ..ตาย..เกลื่อนถนนกลางเมืองไทย
            “พุธ..สิบสี่เมษาศกห้าสาม”                       ได้ฤกษ์ยามเคลื่อนย้ายเวทีใหญ่
จากถนน “ราชดำเนิน” ด้วยอาลัย                              มุ่งหน้าไป “ราชประสงค์” ในทันที
            “ที่สิบเก้าพฤษภาห้าสามศก”                        “ทรราชจากนรก” โผล่ที่นี่
มันไม่พังแม้ “พระจะสัพพี”                                    “มวลชน” จึงถูกขยี้จนย่อยยับ         
            “หนังสะติ๊กด้ามไม้” กับ “ลูกแก้ว”                 ทั้ง “หัวน็อตใช้แล้ว” และ “โทรศัพท์”
รวมทั้ง “หมวกกันน็อก” มันก็นับ                               พร้อมสำทับเป็น “อาวุธก่อการร้าย”
            ความเจ็บปวดรวดร้าว...ยังร้าวลึก                  เรามาพร้อม “สู้ศึก” เถิดสหาย...
แม้ถูกยัด “ข้อหา” มามากมาย                                 ก็อย่าหมาย..เราจะล่มจนล้มครืน
            ณ บัดนี้...เพื่อนรักแค่ “พักรบ”                     แต่หัวใจใช่สยบเช่นเขาอื่น
ในท่ามกลาง “ทะเลหมอก” จาก “ควันปืน”      ก็จะยืนฝ่าภัยในฝูงพาล
 
-----------------------------------------------------
 
ผู้แต่ง                ช.เฉลิมพระเกียรติ (ชาญชัย มวลบุญเลี้ยง)
 
จากราชดำเนินสู่ราชประสงค์
            จากถิ่นฐานบ้านฉันสัญจนมุ่ง                                    สู่กลางกรุงรุ่งเรืองเมืองสวรรค์
ราชดำเนินเดินพบบรรจบกัน                                     ณ ที่นั้นผ่านฟ้ามรรคาแดง
            ด้วยดวงใจใสซื่อคือมุ่งมาด                          ทวงอำนาจราษฎร์กลับจากอับแสง
ที่คนโหดโฉดเขลาเข้าแทรกแซง                                          ถูกตะแบงแปลงเปลี่ยนจนเจียนตาย
            ไม่อาจอึดยึดโยงโคลงเคลงยิ่ง                                 สรรพสิ่งกลิ้งหล่นจนคว่ำหงาย
แลหลากล้วนรวนเรเทกระจาย                                              จนสุดท้ายปลายเสร็จเผด็จการ
            ถูกหันเหเสรีไม่มีเหลือ                                           ทั้งเลือดเนื้อเถือโยนโดนล้างผลาญ
ไม่ลดละประชิดจิตวิญญาณ                                     ดังเป็นมารซ่านซ่าเที่ยวฆ่าคน
            จึงต้องมาคว้าไขว่รวมใจมั่น                         แดงทั้งนั้นผันผายขยายผล
ให้มาร์คหุบยุบสภาเยี่ยงสากล                                              เพื่อทุกคนชนเผ่าเขาเลือกเอง
            ไม่ยอมให้ใครเลือกยังเสือกร่าน                               สั่งทหารกรานปืนยืนโฉงเฉง
สไนเปอร์เกลอกล้องแอบมองเล็ง                                         ตรงเป็นเฉ่งเร่งรัวหัวกระจาย
            สิบเมษาฆ่ายิบสิบกว่าศพ                                        ควันตลบพบมากลากศพหาย
หาไม่พบศพบญาติคาดหลายราย                                          บาดเจ็บกายก่ายกองร้องครวญคราง
            นั่นคือผลคนหล่อขอพื้นที่                                     แลกชีวีพี่น้องคล้องแขนขวาง
เอ็มสิบหกยกเกร็งเล็งสรรพางค์                                            ล้มวายวางอย่างที่มีบัญชา
            เกิดเหตุร้ายใหญ่ยิ่งชายหญิงบ่ง                               ยังมั่นคงทรงได้ไร้ปัญหา
สู้ต่อไปใช้สติมิโรยรา                                                         ตามสมญาฆ่าแกงแดงไม่ตาย
            มิใช่แมวพราวพราวเก้าชีวิต                                  เป็นนิมิตคิดเทียบเฉียบเหลือหลาย
คนเสื้อแดงแกร่งจริงทั้งหญิงชาย                                          ไม่ละลายหายลับกลับเพิ่มวง
            ถึงเวลามาคิดพินิจใหม่                                           ควรย้ายไปใกล้ญาติราชประสงค์
หรือเนาว์นานผ่านฟ้าตั้งท่าชง                                               ถ้าตกลงปลงใจไม่ว่ากัน
            เสียงส่วนใหญ่ย้ายไปในที่โน่น                                 หลอมรวมพลผลดีสร้างสีสัน
จะผ่องผุดจุดเดียวเกลียวสัมพันธ์                                           คงลือลั่นมันกว่าเมื่อมารวม
            ราชประสงค์ลงหลักปักฐานแน่น                                เป็นตามแผนแกนใหญ่ไม่หละหลวม
ตั้งหกด่านสานคำไม่กำกวม                                               ป้องมารร่วมสวมรอยคอยโจมตี
            อยู่มานานมารมาร์คทุกข์ยากขึ้น                               ถึงกับยื่นคำขาดน่าหวาดหนี
สั่งระดมกรมทหารบานบุรี                                                กระชับที่ตีอ้อมล้อมทุกทาง
            ตัดทางตรงส่งเสบียงมาเลี้ยงชีพ                                ทุกทิศบีบลีบล่านัยน์ตาขวาง
คอยสกัดทัดทานและกั้นกลาง                                              ประกาศกางพลางห้ามยามวิกาล
            จะเดินทางกลางคืนฝืนไม่ได้                                    หากเจ็บไข้ไปผ่านด่านทหาร
อาจสิ้นใจไร้ลมเจอยมบาล                                            ดูดวิญญาณคลานออกนอกร่างไป
            ด่านหลายแห่งแรงยิ่งยิงคนผ่าน                                ถูกสังหารผลาญดิ้นเลือดรินไหล
ด้วยน้ำมือคือมารทหารไทย                                          ที่จัญไรไร้รักสุนัขปลง
            แดงชุมนุมกลุ่มใหญ่ให้ปลดแอก                              กลางสี่แยกแผกญาติราชประสงค์
สงบมั่นสันติดำริตรง                                                           ทูตเจาะจงลงเกี่ยวไม่เดียวดาย
            ท่าน ส.ว.ก็มีมาชี้แจง                                             แกนเสื้อแดงแจ้งพร้อมยอมสลาย
มาร์คไม่หยุดยุทธการจนบานปลาย                           ทหารร้ายรายล้อมพร้อมปืนรัว
            มีพี่น้องต้องตายหลายชีวิต                          ดูมืดมิดคิดไปไม่อาจฝืน
จนแกนนำจำหยุดสุดกล้ำกลืน                                              น้ำตารื้นตื้นตันยันมอบตัว
            บอกพี่น้องผองเพื่อนเคลื่อนกลับไป               หยุดความตายขยายแผ่แม้หนึ่งหัว
จะดึงดันรั้นสู้ดูมืดมัว                                                          รักษาตัวชัวร์ก่อนค่อยย้อนมา
            สรุปผลคนตายใกล้ร้อยท่าน                                    เจ็บสองพันนั่นคือฝีมือหมา
ได้พื้นที่นี้คืนคงชื่นตา                                                         อำมาตยาหน้ารื่นยืนอยู่ยง
            หกสิบแปดแวดวันมันนานเนิ่น                                  ราชดำเนินเกินคาดราชประสงค์
ถูกปราบปรามหยามหมิ่นจมดินดง                                        แดงยังคงปลงใจไม่ทิ้งกัน
            เมื่อเวลาฟ้าใหม่เกริกไกรแน่                                    แดงพันธุ์แท้แผ่ไกลได้สร้างสรรค์
หากเลือกตั้งครั้งใหม่ให้โจษจัน                                            สิ่งสำคัญฉันรอ...ขอเอาคืน
 
----------------------------------------------------------
 
ผู้แต่ง         นายจารึก เมี้ยนละม้าย 
 
อำมาตย์โบราณผลาญไพร่
 
                           เสียงเพรียกเสียงพร่ำพร้อม                      ความหวัง
                  เสียงอื้ออึงคะนึงดัง                                          ทั่วหล้า
               มวลชนท่วมพลพลัง                                            แสนหมื่น
               หยัดยื่นฎีกากล้า                                                กู่กู้ยุติธรรม
                           วิบัติวิบากเบื้อง                                     ธรรมาภิบาล
               ศาลโฉดสื่อวิชาการ                                            ลากข้าง
               อำมาตย์รัฐประหาร                                             เหิมหื่น
               สองมาตรฐานอ้าง                                              อวดโอ้โองการสวรรค์
                           คนดีหนีหลีกเลี้ยว                                  ลงรู
               กระเบื้องบาปเฟื่องฟู                                           เชิดหน้า
               รวมหัวมั่วตราชู                                                    ขืนข่ม
               เข็ญขู่คุกคามฆ่า                                                ขีดเข้มพ.ร.ก.(พอรอกอ)               
                        กระชับพื้นที่แล้ว                                       ประทับปืน
               ราษฎร์ล้มตายทั้งยืน                                           เยี่ยงไพร่
               สุมไฟเพื่อสุมฟืน                                                สุมประเทศ
               ฤาจักปรองดองได้                             หมื่นแค้นจะเอาคืน                                                
                       เปิดดินเปิดฟ้ากล้า                                     เปิดสวรรค์                                  
               เปิดกรุความจริงพลัน                                           สว่างจ้า
               ปิดนรกผกผันพลัน                                             พลิกโลก
               ทวงสิทธิ์อำมาตย์บ้า                           สิ้นชาติอาชญากร                                                
                        มาเถิดขวัญแห่งข้า                                     ประชาชน
               ปิดฉากทมิฬมนต์                                               หม่นไหม้
               ปลดแอกแหกค่ายกล                                         กดขี่
                 สู่ฝันบรรเจิดได้                                                เช่นไพร่ทรนง               
 
----------------------------------------------
ผู้ส่ง      “กูไพร่ รักกูปรี (นางเพ็ญแข เมี้ยนละม้าย) 
 
จาก.. ผ่านฟ้า...ถึงราษฎร์ประสงค์
 
 ประเทศไทยควรต้องดีกว่านี้...พ่อ                       ฤา..ผ่านฟ้า..มิพอดื่มเลือดไพร่
ลานศักดิ์สิทธ์แว่นฟ้าประชาธิปไตย                           ฤามีไว้เพื่อฆ่าประชาชน
            ราชดำเนินเดินย่ำอยู่กับที่                            จากสิบสี่ตุลาฯ กี่หน้าฝน
พฤษภา ฯ ห้าสามซ้ำอับจน                                      ราษฎรทุกข์ท้นไม่ทนแล้ว
               ประชาธิปไตยควรต้องดีกว่านี้...แม่                    ผู้ปกครองที่แท้ดุจรากแก้ว
ทะยานต้นเชิดยอดตลอดแนว                                              จรดปลายแถวเท่าเทียมยุติธรรม      
               เลิกมนต์สาบบาปบังดังม่านหมอก              เปิดปอก...เปลือกมารให้บานฉ่ำ
ปลดปล่อยประชาชนพ้นเคราะห์กรรม                         สว่างนำข้ามวังวัฏฏ์จากรัฐไทย
               ประเทศไทยจะดีได้ด้วยมือ...ลูก                        ราษฎร์ประสงค์ ประจงปลูกศรัทธาใหม่
ล้างเมฆหมอกหมดฟ้าสว่างตาใจ                                          รอวันใหม่เมื่อรุ่งรางจักเรืองรอง
                 เพาะกล้าพันธุ์ผ่านชีวิตหลากชีวิต             ผ่าวิกฤตประวัติศาสตร์ประกาศก้อง
ราษฎร์ประสงค์ประชาธิปไตยในครรลอง                 แห่งพี่น้องวีรชนคนเสื้อแดง
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

10 บทกวีเข้ารอบสุดท้าย รางวัล FREE Write กวีประชาชน

Posted: 12 Oct 2010 09:40 AM PDT

 
 
รูปจาก Thailand Mirror/Wiboon พี่น้องผองเพื่อน
 
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่หอประชุมศรีบูรพา (หอเล็ก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการจัดงานประกาศรางวัลบทกวีประชาชน FREE Write ‘จากราชดำเนินถึงราษฎร์ประสงค์’ โดยกลุ่มกวีตีนแดง Thailand Mirror และกลุ่มพี่น้องผองเพื่อน และยังมีการเสวนาตุลาการณ์ หัวข้อ ประชาธิปไตยใต้ร่มเงาเผด็จการ (เมื่อนายเป็นผู้เลือกกบ) โดย พ.อ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย, ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์, วัฒน์ วรรลยางกูร, เพ็ญ ภัคตะ, ดำเนินการเสวนาโดย จอม เพชรประดับ
ทั้งนี้ ภายในงานมีการแสดงดนตรีสลับกับการอ่านบทกวี 10 บทสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบ ก่อนประกาศผลในช่วงสุดท้ายของงาน ซึ่งผู้ที่ได้รางวัลได้แก่ สมเจตน์ ไชยเกิด ได้รางวัลชนะเลิศ, กฤษณะ สัตตบุศย์ ได้รองชนะเลิศอันดับที่1, ชัชชล อัจนากิตติ ได้รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ขณะที่คณะกรรมการตัดสินผลงาน ได้แก่  วัฒน์ วรรลยางกูร, ประกาย ปรัชญา, เดือนวาด พิมวนา, ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์, บัณฑิต อานียา, ทองขาว ทวีปรังษีนุกูล, มาโนช พรหมสิงห์, ณัฐพร อึ๊งศรีวงศ์, อนุสรณ์ ติปยานนท์
วัฒน์ วรรลยางกูร ได้กล่าวถึงที่มาของรางวัลนี้ว่า มันถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวรองรับความคิด ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นในบรรดาประชาชน และไม่มีพื้นที่เวทีในแหล่งเดิมๆ อีกต่อไป เนื่องจากการเมืองไทย ไม่ได้ผูกขาดเฉพาะด้านการเมืองเท่านั้น แต่ผูกขาดทั้งเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม แม้แต่ในแวดวงวรรณกรรมก็บีบให้นักเขียนอยู่ใต้อุปถัมภ์ของรางวัล ต้องรู้ว่าทำตัวอย่างไรจึงจะได้รับการดูแลจากรัฐที่ได้รับการอุปถัมภ์จากชนชั้นสูง
“อย่างเดือนวาดฯ เคยได้ซีไรท์ ก็อย่าหวังว่าจะได้ครั้งที่ 2 พอเข้าสู่การเป็นศิลปินรุ่นกลางหน่อย เขาก็จะมีรางวัลศิลปาธร เดือนวาดฯ ก็คงไม่ได้ และแก่ตัวลงก็คงไม่ได้เป็นศิลปินแห่งชาติด้วย” วัฒน์กล่าวพร้อมเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ฟัง
วัฒน์กล่าวว่า ศิลปินเพื่อชีวิตทั้งหลายตายตั้งแต่ปี 2526 หลังอุทิศตัวให้กับการตลาด และในช่วงปี 2549 สถานการณ์ยิ่งหนักขึ้น เพราะศิลปินใหญ่ได้เหินห่าง ทอดทิ้งประชาชนรากหญ้า ตอนมีรัฐประหารก็เฉยๆ หลังการฆาตรกรรมหมู่กลางเมืองเดือนพฤษภาที่ผ่านมาก็ยังเฉยๆ
“คนเป็นศิลปิน ถ้าขาดมนุษยธรรมก็ควรเลิกร้องเพลง เลิกเป็นกวีได้แล้ว” วัฒน์กล่าว
 

 
กลุ่ม กวีตีนแดง กับภารกิจของกวีภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน FREE WRITE AWARD ครั้งที่ 1 : ประกวดบทกวีเพื่อเสรีภาพ ความเท่าเทียม และศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์


บนดินแดนที่ผู้ยากไร้ถูกเข่นฆ่า ด้วยความผิดเพียงข้อหาเดียวคือ "สะเออะลุกขึ้นมาเรียกร้องศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์ที่เท่าเทียม" และความตายของพวกเขาถูกละเลยอย่างน่าตกใจ สะท้อนความไม่ปกติของเมืองแห่งศีลธรรมที่ต้นไม้รอบสนามหลวงออกผลเป็นจริยธรรมสีทอง เกร่อไปทั่วเมือง

เมื่อประชาชนมือเปล่าสู้จนหลังพิงฝา เหลียวหน้าแลหลังไม่เห็นผู้ใด ในความว่างเปล่า พวกเขาบอกแก่กันและกันอย่างน่าเศร้าว่า "มีเพียงเราเท่านั้น โดดเดี่ยวในคืนวันอันยากแค้นลำเค็ญ"

เมื่อพวกเขาถูกเข่นฆ่า ด้วยสองมือไร้ศัสตราวุธใดๆ ในสมรภูมิแห่งอธรรม ภายใต้กติกาโสมมที่ผู้ถูกเหยียบย่ำไม่อาจต่อกร --- มวลกวีไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป

ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินอันทารุณ มีเพียงปากกาอันแหลมคมของกวีเท่านั้น ที่จักแทนหอกดาบแหลนหลาว...พุ่งเข้าประจันผู้เข่นฆ่าที่เลือดเย็น

ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินอันเหี้ยมโหด มีเพียงวาทะอันหนักแน่นดุจหินผาของกวีเท่านั้น ที่จักตระหง่านเป็นกำแพงเหล็กกั้นปกป้องมวลชนให้พ้นจากอาวุธร้าย

ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินอันเดียวดาย มีเพียงถ้อยคำอ่อนไหวจากก้นบึ้งหัวใจของกวีเท่านั้น ที่จักปลอบประโลมผู้แพ้ให้คลายเจ็บปวดทรมานจากบาดแผล. ..และฝันร้าย

เมื่อมวลกวีแห่งรัตนโกสินทร์ต่างพร้อมใจกันถอนคำสาปของ ฌอง ปอล ซาร์ต ที่ว่า ?มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ? พ้นไปจากอาณาจักร บางกวีเอาใจออกห่างจากผู้ยากไร้ ไปซบแทบเท้าฝ่ายกดขี่ โดยมินำพาต่อเลือดเนื้อและน้ำตาแห่งความยากแค้นของประชาชนที่ไหลตกต้องนองแผ่นดิน --- แล้วไยเราต้องรอคอยกวีใหญ่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เหล่านั้นลงจากวอทองมาเช็ดน้ำตาให้ประชาชน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คงมีเพียงเราเท่านั้น!!!
กลุ่ม "กวีตีนแดง" ซึ่งเติบใหญ่ขึ้นมาบนบ่าเทียมแอกของประชาชนผู้ยากไร้ ขอเชิญชวนมวลกวีน้อยใหญ่มาร่วมปฏิบัติภารกิจของกวีภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน ด้วยความเชื่อที่ว่า กวีมิใช่เพียงผู้นั่งจิบไวน์ภายใต้แสงจันทร์ แล้วคิดฝันถึงถ้อยคำไพเราะหวานหู และบทกวีก็มิใช่เพียงกลุ่มคำที่ถูกร้อยเรียงอย่างวิจิตรโดยช่างเทคนิคทางภาษา ทว่าปราศจากเจตจำนงเสรีและจุดยืนแห่งยุติธรรม

แม้คนพันบัญชาชี้หน้าเย้ย
จงขวางคิ้วเย็นชาเฉยเถิดสหาย
ต่อผองเหล่านวชนเกิดกร่นราย
จงน้อมกายก้มหัวเป็นงัวงาน

บทกวีโดย หลู่ซวิ่น
แปลโดย จิตร ภูมิศักดิ์

และภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินอันเดียวดายเช่นนี้ ใครก็ตามที่ลุกขึ้นสู้กับผู้กดขี่อย่างซื่อสัตย์ต่อเจตจำนงเสรีของตน อาวุธของคุณคือบทกวี เช่นนั้นคุณต้องเป็นกวี...และคุณต้องเขียนบทกวี! !!

เพื่อลบคราบน้ำตาประชาราษฎร์
สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์
แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน
จักน้อมพลีชีพนั้น...เพื่อมวลชน

บทกวีโดย อเวตีก อีสสากยัน (Awetik Issaakjan) กวีประชาชนแห่งอาร์มาเนีย แปลโดย จิตร ภูมิศักดิ์ ในนามปากกา "ศรีนาคร"

 

 
 
บทกวีชนะเลิศ รางวัล Free Write Award ครั้งที่ 1 ปี 2553 : สมเจตน์ ไชยเกิด
จากราชดำเนิน ถึง ราษฎร์ประสงค์

ราขดำเนิน เดินผ่าน มิพานพบ
มิบรรจบ ความหวังคาด ราษฎร์ประสงค์
เพราะคนกลาง ขวางกั้น อ้างมั่นคง
แล้วไสส่ง ราษฎร์ไพร่ ไม่ใยดี
 
ถนนที่ ทุกชนผอง ต้องคลานกราบ
แล้วซึมซาบ ซึ้งจินต์ ทุกถิ่นที่
อบอวลคลุ้ง ด้วยบุญญา บารมี
สดุดี แซ่ซ้อง ก้องแผ่นดิน
 
อีกถนน ที่ทนทุกข์ ทุกย่างก้าว
ล้วนเรื่องราว ฉาวโฉด อย่างโหดหิน
ถูกป้ายสี ยัดข้อหา เป็นอาจินต์
จวนจะสิ้น กำหนด ความอดทน
 
ราษฎร์ฎีกา หลายหีบห่อ เพื่อขอพึ่ง
มิอาจถึง ราชได้ ให้ฉงน
ถูกยักย้าย ถ่ายเท ด้วยเล่ห์กล
ใครเป็นคน อยู่เบื้องหลัง คอยสั่งการ
 
ความประสงค์ ของราษฎร์ ของชาติไพร่
ไม่ถูกใจ รัฐบาล และทหาร
ความใสซื่อ ถูกโถมถา พ่ายสามานย์
จมดักดาน เอน็จอนาจ โถ...ชาติไทย


ถนนทั้ง สองสาย ขยายห่าง
มิมีทาง จะบรรจบ พบกันได้
และถนนที่ โหยหา ประชาธิปไตย
ทันเห็นไหม จะเฝ้าดู อยากรู้นัก
           
 
 
รางวัล รองชนะเลิศอันดับ 1 : กฤษณะ สัตตบุศย์
 
จากราชดำเนินถึงราชประสงค์
 
1.
จตุพรนำกระบวนชนชั้นไพร่ พากันเดินเป็นกระบวน  กระบวรผ้าสีแดง งามกระบวร
เต็มด้วยแบบกระบวนแล้วพากันเดินเป็นกระบวน กระบวนไป
ชาวกระบวนไม่ล่วงพ้นกระทู้รัฐสภา นายจตุพรเข้านั่งในสภา แล้วกระทู้
กระทู้แพร่พันธุ์เสียหายต่อชาวนาชาวไร่  ชาวบ้านต้องกระทุ่มไปในแม่น้ำ
เจอกระทุ่มก็กระทุ่มออกเป็นสองซีกเพื่อทำลายที่อาศัยของกระทู้
เจอกะเทยครองเมือง กระทู้นี้ต้องปล่อยฟ้า ให้ลิขิต
ในกระบวนบ้างใส่เสื้อกระบอกแดงกระบวรด้วยกระบอกหอม
ถือกระบอกใส่กระบอกเป็นอาหาร
เอากระบอกดั่งอาวุธ อีกบ้องกระบอกไฟ
เคาะกระบอกขับลำนำ แลร่ายรำเพลงกระบอก
ข้อยน้อยเป็นข้อยข้า ขอดเหลือล้าจนเหลือขอด
สังคมขอด เสรีขอด ขอดเท่าเทียม อกไหม้เกรียม ให้ขอดใจ
น้ำขอดคลองข้าวขอดหม้อ  ยังขอดน้ำขอดก้นหม้อ พออาศัย
ขอดเสรี ขอดศักดิ์ศรี ขอดวิญญาณเสรีชน
สุดขอดทน ต้องต่อสู้ ขอดเอามา
 
2.
พอเหนื่อยล้า ชาวกระบวนนำกระบอกแลกระพอกออกมากระพอกกัน
มีกระพอกข้าวกระพอกปลา ต่างกินไปกระพอกไป ไม่อนาทร
บางกระลากระบวนเป็นไพร่กะลาแดง
บ้างไว้ผมทรงกะลา  ใส่หมวกกะลาแดงประดับปีกกันลองสวย งามกระลา
แล้วเอากะลาใส่ข้าวปลากระพอกกัน
ถือเสรีภาพเป็นกระลา กระลาตนเป็นกบนอกกะลา หูตาสว่าง
ไม่ใส่ใจใครจะว่ากะลาแดง ไม่หนักใจเพราะไม่ได้หนัก กะลาใคร
 
 
ชีวิตขัดสน คนขัดค่าราคาน้อย
เสรียัง ขัดไว้ ใต้ เผด็จการ
สังคมยัง ขัดแย้ง ขัดแข้งขา
ขัดความคิด จนขัดข้อง
ต้องร่วมขัด เสรีภาพให้ผ่องใส ประชาไท  หายข้อขัด ขัดใจกัน
 
3.
กระลากะลาแดงกินกระพอก กลางถนน บางกระลาอยู่นอกลานหน้าสภา
กลับถูกก่นกันลองรัฐสภา เป็นโทษฐานกันลอง ต่างตกใจพากันกันลองข้ามกระทู้รัฐสภา
กันลองพ้นหน้าสภา บรรดากากกากีก็แตกตื่น พลันเห็นกากขาวกลายดำ
กะลาแดงบางกระลาก็โชคดี มีกำนันมากำนัน กำนันไว้ ไม่แตกตื่น
เสียงปืนลั่น กระชับวงล้อม ตัดเกียกกาย ไพร่มึงหยุด ตะเกียกตะกายหาเสรี
กระลาเกียกกายกระบวนไพร่กะลาแดง  ต่างเกียกกายส่งเกียกกาย หลายวิธี
เข็นเสรีแม้ยากเข็ญ ก็จะเข็นให้ได้มา
เข็นออกมา เข็นเสรี ให้ออกมา
เข็นกายใจ ร่วมต่อสู้ เพื่อเสรี
ขอลาทีเหลือเข็ญแล้ว เผด็จการ ฯลฯ

 

 
 
รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 : ชัชชล อัจนากิตติ
 
บทกวีที่ข้าพเจ้าไม่มีวันเขียน
 
ไม่จำเป็นเลย
ท่านผู้ปกครอง
ไม่มีความจำเป็นเลย
ความหวาดกลัวเหล่านั้นของท่าน
ต่อถ้อยคำของข้าพเจ้า
ตัวอักษรพวกนี้เงียบกริบเสียยิ่งกว่าอะไร
มันไม่สอดใส่สัญญะใด ๆ ที่หมายถึงตัวท่าน
ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ไดโนเสาร์ หรือท้องฟ้า
ไม่ชำแหละโครงสร้างเหลื่อมล้ำกดขี่
ไม่รื้อสร้างประวัติศาสตร์ลวงโลกคลั่งผู้นำคลั่งชาติ
ไม่ก่นด่าวัฒนธรรมระยำดูถูกคนบ้านนอก
ไม่สบถ”เหี้ย” ใส่ความร่ำรวยระดับโลกขณะที่กล่อมให้คนค่อนประเทศทนอดอยากยากแค้น
ไม่หลั่งน้ำตาให้ชีวิตดิ้นรนของคนจนเมือง
ไม่อุทิศตนให้หยาดเหงื่อของกรรมกร
ไม่พูดถึงชีวิตล้มละลายของชาวไร่ชาวนา
ไม่โอดครวญถึงชะตากรรมบัดซบในนิคมอุตสาหกรรม
ไม่รำลึกถึงการอภิวัฒน์ 2475
ไม่สนใจเบื้องหลังรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่ถามถึงฆาตกรสังหารหมู่ 6 ตุลา
ไม่ตะโกนว่ามีคนตายที่ราชประสงค์ราชดำเนิน
ไม่ปลุกเร้าประชาชนให้ลุกขึ้นนำตนเอง
ไม่บอกให้พวกเขาทวงคืนสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียมในฐานะมนุษย์
ถ้อยคำของข้าพเจ้าจะเคารพกฎหมายของเรา
บทกวีของข้าพเจ้าจะไม่บรรจุสิ่งเหล่านี้
และข้าพเจ้าจะไม่มีวันเขียนมันขึ้นมา
เพื่อความมั่นคงของเรา
ข้าพเจ้าให้สัญญา
 
 
บทกวีเข้ารอบ 10 บทสุดท้าย
 
ผู้แต่ง                ปานจิต จันทรา
 
อำมาตย์ทมิฬมาร บงการฆ่าประชาชน
กาพย์ยานี 11
เกริ่น
ฉันเห็นคนถูกยิง                           ทั้งชายหญิงต่างวิ่งหนี
บาดเจ็บล้วนมากมี                         ตายเป็นผีก็มากมาย
           
(1)       
ไพร่ตื่น ลุกขึ้นสู้                            เพื่อกอบกู้อธิปไตย
ทวงสิทธิ ความเป็นไท                                ความเป็นธรรมกลับคืนมา
ต่อต้าน รัฐประหาร                                    และคัดค้านศักดินา
โค่นล้ม อำมาตยา                         เผชิญหน้าอย่างท้าทาย
เรียกร้องยุบสภา                                       ถูกกล่าวหาผิดกฎหมาย
ล้มเจ้า-ก่อการร้าย                         เพื่อทำลายคนเสื้อแดง
 
(2)
ณ ที่ ราชประสงค์              ไพร่ทะนงอย่างกล้าแกร่ง
ต่อสู้ เพื่อเปลี่ยนแปลง                               ชูธงแดงโบกสบัด
อาสา พยาบาล                                         ถูกสังหารในเขตวัด
ฝีมือ อภิสัตว์                                            กลไกรัฐเผด็จการ
หกศพนอนแน่นิ่ง                          กระสุนจริงลั่นสังหาร
อำมาตย์ทมิฬมาร                          บงการฆ่าประชาชน
ที่นั่นมีคนตาย                                          ศพเรียงรายกลางถนน
พลีชีพอุทิศตน                                         เพื่อประชาธิปไตย
แท้จริง ราชประสงค์                                   กระชับวงล้อมปราบไพร่
สั่งยิงอย่างสะใจ                                       ไอ้พวกไพร่ไม่ใช่คน
 
                                                                        อา...ไม่ใช่คน...พวกมันไม่ใช่คน
                                                                        เสื้อแดง........ไม่ใช่คน(ของฉัน)
 
--------------------------------------------------------
ผู้แต่ง                นายวรเทพ  วิชชุประภา 
 
จากราชดำเนินถึงราชประสงค์
 
เหมือนดังลิ่มทิ่มแทงอกประชาราษฎร์
หมดโอกาสได้เป็นไทเสียแล้วหรือ
ต้องอยู่ในใต้บังคับคนหยิบมือ
ที่คอยถืออาวุธร้ายหมายฟาดฟัน
 
เราจึงมาราชดำเนินเพื่อเรียกร้อง
ตามครรลองของคนไทยใช้เพ้อฝัน
คนนับหมื่นคนนับแสนมารวมกัน
จริงแล้วนั้นท่านต้องไปใช่หน้าทน
 
แต่พวกเขาหลงระเริงในอำนาจ
ใจอุบาทว์จิตวิบัติไร้เหตุผล
พวกเรามาด้วยคับแค้นและยากจน
เพราะถูกปล้นอำนาจไปไว้ครอบครอง
 
ใช้เวทีเพื่อต่อสู้อย่างชัดแจ้ง
คนเสื้อแดงมาด้วยใจประกาศก้อง
เพียงต้องการประชาธิปไตยสิ่งหมายปอง
คืนอำนาจให้เป็นของมวลประชา
 
เสียงปืนดังขึ้นทุกทั่วหัวระแหง
เลือดสีแดงของปวงชนคนผู้กล้า
ต้องหลั่งลงรดราดผืนพสุธา
โอ้ฟากฟ้าหมดสิ้นแล้วความปราณี
 
 
วีรชนต่างล้มลงทั้งมือเปล่า
ไฉนเจ้าจึงร้ายนักพวกบัดสี
เจ้าฆ่าได้แม้แต่เด็กและสตรี
ด้วยมือที่ซ่อนเอาไว้ใจแสนดำ
 
อ้างอำนาจความชอบธรรมนำมาฆ่า
เหมือนดังว่ามวลประชาราคาต่ำ
ตามไล่ล่าฆ่าให้หมดเช้ายันค่ำ
กระสุนซ้ำให้แดดิ้นสิ้นชีวัน
 
แม้ในเขตอภัยทานยังหาญกล้า
ยิงเข้ามาดังสายฝนจนอาสัญ
นอนเรียงรายตายในเขตที่ป้องกัน
ดับความฝันวีรชนคนเสื้อแดง
 
ราชประสงค์ไหลท่วมนองเลือดน้องพี่
เหมือนเป็นดังดวงสุรีที่อับแสง
เลือดชาวไพร่ที่ไหลนองเป็นสีแดง
จะเปลี่ยนแปลงความชอบธรรมกลับคืนมา
 
ขอทวยเทพที่สถิตย์ทั่วสถาน
ดลบันดาลช่วยปกป้องและรักษา
ให้เสื้อแดงได้นำชัยกลับคืนมา
เพื่อประชาได้สุขสันต์นิรันดร
 
---------------------------------------
ผู้แต่ง                สมบูรณ์  บำรุงเมือง
 
จากราชดำเนินถึงราษฎร์ประสงค์
จากราชดำเนิน’ผ่านฟ้า มาราชประสงค์
จากขอคืนพื้นที่ ถึงกระชับวง’ล้อมแล้วฆ่า
จาก 10 เมษายน จนถึง 19 พฤษภา....(2553)
ชีวิตคนเสื้อแดง เหมือนผักปลา เขาฆ่าตาย
 
เกือบเกือบ ร้อยชีวิต ที่ดับดิ้น
กว่าสองพัน ชีวิน บาดเจ็บสูญหาย
แล้วถูกโยน ข้อหา ผู้ก่อการร้าย
เพียงเพราะ มาทวงประชาธิปไตย’ ให้ยุบสภา
 
แกนนำ ถูกจับกุม คุมขัง
แกนรวม ร่วมพลัง ถูกเข่นฆ่า
ถูกตามล้ม ตามล้าง ไม่สร่างซา
พรก.ฉุกเฉินฯ ขนมา ใช้บังคับ
 
อนาถหนอ ประชาธิปไตย แบบไทยไทย
ความยุติธรรม อยู่ที่ไหน ใครขังใครจับ...(ไว้)
สิทธิ-เสรีภาพ เสมอภาค จึงเลือนลับ
แล้วภราดรภาพ จะคืนกลับ ได้อย่างไร
 
“เท่าเทียม – ยุติธรรม ค้ำจุนโลก”
คือเมตตา ฆ่าโศก เจ็บป่วยไข้
คือยาขนานเอก ที่ยังยึด เสื้อแดงไว้
ให้สันติอหิงสา สู้ต่อไป เพื่อชัยของเรา
 
-------------------------------------------------------
ผู้แต่ง                สมพงษ์ โหละสุต (อายุ 72 ปี)
 
ฝ่าภัยในฝูงพาล
 
“สิบเมษาห้าสาม” มหาโศก             “วันมหาวิปโยค” ขยายผล
วันที่ “ไทยฆ่าไทย” ใครจะทน                                  จึง..เจ็บ..ตาย..เกลื่อนถนนกลางเมืองไทย
            “พุธ..สิบสี่เมษาศกห้าสาม”             ได้ฤกษ์ยามเคลื่อนย้ายเวทีใหญ่
จากถนน “ราชดำเนิน” ด้วยอาลัย                              มุ่งหน้าไป “ราชประสงค์” ในทันที
            “ที่สิบเก้าพฤษภาห้าสามศก”                        “ทรราชจากนรก” โผล่ที่นี่
มันไม่พังแม้ “พระจะสัพพี”                          “มวลชน” จึงถูกขยี้จนย่อยยับ         
            “หนังสะติ๊กด้ามไม้” กับ “ลูกแก้ว”                 ทั้ง “หัวน็อตใช้แล้ว” และ “โทรศัพท์”
รวมทั้ง “หมวกกันน็อก” มันก็นับ                               พร้อมสำทับเป็น “อาวุธก่อการร้าย”
            ความเจ็บปวดรวดร้าว...ยังร้าวลึก                  เรามาพร้อม “สู้ศึก” เถิดสหาย...
แม้ถูกยัด “ข้อหา” มามากมาย                                 ก็อย่าหมาย..เราจะล่มจนล้มครืน
            ณ บัดนี้...เพื่อนรักแค่ “พักรบ”                     แต่หัวใจใช่สยบเช่นเขาอื่น
ในท่ามกลาง “ทะเลหมอก” จาก “ควันปืน”      ก็จะยืนฝ่าภัยในฝูงพาล
 
-----------------------------------------------------
 
ผู้แต่ง                ช.เฉลิมพระเกียรติ (ชาญชัย มวลบุญเลี้ยง)
 
จากราชดำเนินสู่ราชประสงค์
            จากถิ่นฐานบ้านฉันสัญจนมุ่ง                                    สู่กลางกรุงรุ่งเรืองเมืองสวรรค์
ราชดำเนินเดินพบบรรจบกัน                                     ณ ที่นั้นผ่านฟ้ามรรคาแดง
            ด้วยดวงใจใสซื่อคือมุ่งมาด                          ทวงอำนาจราษฎร์กลับจากอับแสง
ที่คนโหดโฉดเขลาเข้าแทรกแซง                                          ถูกตะแบงแปลงเปลี่ยนจนเจียนตาย
            ไม่อาจอึดยึดโยงโคลงเคลงยิ่ง                                 สรรพสิ่งกลิ้งหล่นจนคว่ำหงาย
แลหลากล้วนรวนเรเทกระจาย                                              จนสุดท้ายปลายเสร็จเผด็จการ
            ถูกหันเหเสรีไม่มีเหลือ                                           ทั้งเลือดเนื้อเถือโยนโดนล้างผลาญ
ไม่ลดละประชิดจิตวิญญาณ                                     ดังเป็นมารซ่านซ่าเที่ยวฆ่าคน
            จึงต้องมาคว้าไขว่รวมใจมั่น                         แดงทั้งนั้นผันผายขยายผล
ให้มาร์คหุบยุบสภาเยี่ยงสากล                                              เพื่อทุกคนชนเผ่าเขาเลือกเอง
            ไม่ยอมให้ใครเลือกยังเสือกร่าน                               สั่งทหารกรานปืนยืนโฉงเฉง
สไนเปอร์เกลอกล้องแอบมองเล็ง                                         ตรงเป็นเฉ่งเร่งรัวหัวกระจาย
            สิบเมษาฆ่ายิบสิบกว่าศพ                                        ควันตลบพบมากลากศพหาย
หาไม่พบศพบญาติคาดหลายราย                                          บาดเจ็บกายก่ายกองร้องครวญคราง
            นั่นคือผลคนหล่อขอพื้นที่                           แลกชีวีพี่น้องคล้องแขนขวาง
เอ็มสิบหกยกเกร็งเล็งสรรพางค์                                            ล้มวายวางอย่างที่มีบัญชา
            เกิดเหตุร้ายใหญ่ยิ่งชายหญิงบ่ง                               ยังมั่นคงทรงได้ไร้ปัญหา
สู้ต่อไปใช้สติมิโรยรา                                                         ตามสมญาฆ่าแกงแดงไม่ตาย
            มิใช่แมวพราวพราวเก้าชีวิต                          เป็นนิมิตคิดเทียบเฉียบเหลือหลาย
คนเสื้อแดงแกร่งจริงทั้งหญิงชาย                                          ไม่ละลายหายลับกลับเพิ่มวง
            ถึงเวลามาคิดพินิจใหม่                                           ควรย้ายไปใกล้ญาติราชประสงค์
หรือเนาว์นานผ่านฟ้าตั้งท่าชง                                               ถ้าตกลงปลงใจไม่ว่ากัน
            เสียงส่วนใหญ่ย้ายไปในที่โน่น                                 หลอมรวมพลผลดีสร้างสีสัน
จะผ่องผุดจุดเดียวเกลียวสัมพันธ์                                           คงลือลั่นมันกว่าเมื่อมารวม
            ราชประสงค์ลงหลักปักฐานแน่น                                เป็นตามแผนแกนใหญ่ไม่หละหลวม
ตั้งหกด่านสานคำไม่กำกวม                                     ป้องมารร่วมสวมรอยคอยโจมตี
            อยู่มานานมารมาร์คทุกข์ยากขึ้น                               ถึงกับยื่นคำขาดน่าหวาดหนี
สั่งระดมกรมทหารบานบุรี                                        กระชับที่ตีอ้อมล้อมทุกทาง
            ตัดทางตรงส่งเสบียงมาเลี้ยงชีพ                                ทุกทิศบีบลีบล่านัยน์ตาขวาง
คอยสกัดทัดทานและกั้นกลาง                                              ประกาศกางพลางห้ามยามวิกาล
            จะเดินทางกลางคืนฝืนไม่ได้                                    หากเจ็บไข้ไปผ่านด่านทหาร
อาจสิ้นใจไร้ลมเจอยมบาล                                      ดูดวิญญาณคลานออกนอกร่างไป
            ด่านหลายแห่งแรงยิ่งยิงคนผ่าน                                ถูกสังหารผลาญดิ้นเลือดรินไหล
ด้วยน้ำมือคือมารทหารไทย                                     ที่จัญไรไร้รักสุนัขปลง
            แดงชุมนุมกลุ่มใหญ่ให้ปลดแอก                              กลางสี่แยกแผกญาติราชประสงค์
สงบมั่นสันติดำริตรง                                                           ทูตเจาะจงลงเกี่ยวไม่เดียวดาย
            ท่าน ส.ว.ก็มีมาชี้แจง                                             แกนเสื้อแดงแจ้งพร้อมยอมสลาย
มาร์คไม่หยุดยุทธการจนบานปลาย                           ทหารร้ายรายล้อมพร้อมปืนรัว
            มีพี่น้องต้องตายหลายชีวิต                          ดูมืดมิดคิดไปไม่อาจฝืน
จนแกนนำจำหยุดสุดกล้ำกลืน                                              น้ำตารื้นตื้นตันยันมอบตัว
            บอกพี่น้องผองเพื่อนเคลื่อนกลับไป               หยุดความตายขยายแผ่แม้หนึ่งหัว
จะดึงดันรั้นสู้ดูมืดมัว                                                          รักษาตัวชัวร์ก่อนค่อยย้อนมา
            สรุปผลคนตายใกล้ร้อยท่าน                                    เจ็บสองพันนั่นคือฝีมือหมา
ได้พื้นที่นี้คืนคงชื่นตา                                                         อำมาตยาหน้ารื่นยืนอยู่ยง
            หกสิบแปดแวดวันมันนานเนิ่น                                  ราชดำเนินเกินคาดราชประสงค์
ถูกปราบปรามหยามหมิ่นจมดินดง                             แดงยังคงปลงใจไม่ทิ้งกัน
            เมื่อเวลาฟ้าใหม่เกริกไกรแน่                                    แดงพันธุ์แท้แผ่ไกลได้สร้างสรรค์
หากเลือกตั้งครั้งใหม่ให้โจษจัน                                            สิ่งสำคัญฉันรอ...ขอเอาคืน
 
----------------------------------------------------------
 
ผู้แต่ง         นายจารึก เมี้ยนละม้าย 
 
อำมาตย์โบราณผลาญไพร่
 
                           เสียงเพรียกเสียงพร่ำพร้อม                      ความหวัง
                  เสียงอื้ออึงคะนึงดัง                                          ทั่วหล้า
               มวลชนท่วมพลพลัง                                            แสนหมื่น
               หยัดยื่นฎีกากล้า                                                กู่กู้ยุติธรรม
                           วิบัติวิบากเบื้อง                          ธรรมาภิบาล
               ศาลโฉดสื่อวิชาการ                                            ลากข้าง
               อำมาตย์รัฐประหาร                                             เหิมหื่น
               สองมาตรฐานอ้าง                                              อวดโอ้โองการสวรรค์
                           คนดีหนีหลีกเลี้ยว                                  ลงรู
               กระเบื้องบาปเฟื่องฟู                                           เชิดหน้า
               รวมหัวมั่วตราชู                                      ขืนข่ม
               เข็ญขู่คุกคามฆ่า                                                ขีดเข้มพ.ร.ก.(พอรอกอ)               
                        กระชับพื้นที่แล้ว                                       ประทับปืน
               ราษฎร์ล้มตายทั้งยืน                                           เยี่ยงไพร่
               สุมไฟเพื่อสุมฟืน                                                สุมประเทศ
               ฤาจักปรองดองได้                                              หมื่นแค้นจะเอาคืน                                                เปิดดินเปิดฟ้ากล้า                                     เปิดสวรรค์                                  
               เปิดกรุความจริงพลัน                                           สว่างจ้า
               ปิดนรกผกผันพลัน                                             พลิกโลก
               ทวงสิทธิ์อำมาตย์บ้า                                           สิ้นชาติอาชญากร                                                 มาเถิดขวัญแห่งข้า                                               ประชาชน
               ปิดฉากทมิฬมนต์                                               หม่นไหม้
               ปลดแอกแหกค่ายกล                                         กดขี่
                 สู่ฝันบรรเจิดได้                                                เช่นไพร่ทรนง               
 
----------------------------------------------
ผู้ส่ง      “กูไพร่ รักกูปรี (นางเพ็ญแข เมี้ยนละม้าย) 
 
จาก.. ผ่านฟ้า...ถึงราษฎร์ประสงค์
 
 ประเทศไทยควรต้องดีกว่านี้...พ่อ                       ฤา..ผ่านฟ้า..มิพอดื่มเลือดไพร่
ลานศักดิ์สิทธ์แว่นฟ้าประชาธิปไตย                           ฤามีไว้เพื่อฆ่าประชาชน
            ราชดำเนินเดินย่ำอยู่กับที่                            จากสิบสี่ตุลาฯ กี่หน้าฝน
พฤษภา ฯ ห้าสามซ้ำอับจน                                      ราษฎรทุกข์ท้นไม่ทนแล้ว
               ประชาธิปไตยควรต้องดีกว่านี้...แม่                    ผู้ปกครองที่แท้ดุจรากแก้ว
ทะยานต้นเชิดยอดตลอดแนว                                              จรดปลายแถวเท่าเทียมยุติธรรม      
               เลิกมนต์สาบบาปบังดังม่านหมอก              เปิดปอก...เปลือกมารให้บานฉ่ำ
ปลดปล่อยประชาชนพ้นเคราะห์กรรม                         สว่างนำข้ามวังวัฏฏ์จากรัฐไทย
               ประเทศไทยจะดีได้ด้วยมือ...ลูก                        ราษฎร์ประสงค์ ประจงปลูกศรัทธาใหม่
ล้างเมฆหมอกหมดฟ้าสว่างตาใจ                                          รอวันใหม่เมื่อรุ่งรางจักเรืองรอง
                 เพาะกล้าพันธุ์ผ่านชีวิตหลากชีวิต             ผ่าวิกฤตประวัติศาสตร์ประกาศก้อง
ราษฎร์ประสงค์ประชาธิปไตยในครรลอง                 แห่งพี่น้องวีรชนคนเสื้อแดง
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักศึกษาร้อง ปคม.ช่วยไกล่เกลี่ยบริษัทเกมออนไลน์

Posted: 12 Oct 2010 09:31 AM PDT

นักศึกษาร้องตำรวจช่วยประสานไกล่เกลี่ยกับบริษัทจัดแข่งขันเกมเพลงออ นไลน์ หลังถูกฟ้องหมิ่นฯ ฐานโพสต์ข้อความ อ้างไม่ได้รับรางวัลที่ 1 ตามที่โฆษณา

12 ต.ค. 53 - สำนักข่าวไทยรายงานว่านายวชิรวิทย์ ฉัตรวิริยะเจริญ นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ขอความเป็นธรรมกับตำรวจปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ปคม.) เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วได้สมัครแข่งขันเกมออนไลน์ ในชื่อ “เอสดีโอ อินเตอร์เนชั่นแนล คอมพลีสทีชั่น” ซึ่งเป็นการแข่งขันออนไลน์เกี่ยวกับเพลง ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง และได้รับรางวัลที่ 1 เป็นตั๋วเครื่องบินไป-กลับมาเลเซีย 1 ใบ พร้อมที่พัก และจะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันที่มาเลเซีย แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รางวัลตามที่โฆษณา

เมื่อสอบถามไปยังบริษัท วินเนอร์ ออนไลน์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้จัดการแข่งขัน ได้รับคำตอบว่า รางวัลยังไม่พร้อม ตนจึงตัดสินใจโพสต์ข้อความเล่าเรื่องราวทั้งหมดลงในเว็บไซต์ออนไลน์สเตชั่น ทำให้บริษัทฯ ยื่นฟ้องหมิ่นประมาท และศาลนัดไต่สวนวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ ยืนยันไม่มีเจตนา แต่อยากได้รางวัลเท่านั้น ตำรวจรับเรื่องทั้งหมดไว้ และรับปากจะเป็นตัวกลางประสานบริษัทดังกล่าวมาไกล่เกลี่ยต่อไป

ที่มาข่าว:

นักศึกษาร้อง ปคม.ช่วยไกล่เกลี่ยบริษัทเกมออนไลน์ (สำนักข่าวไทย, 12-10-2553)
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/114016.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จี้นายกฯ สกัดเฟซบุ๊กปล่อยโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบัน

Posted: 12 Oct 2010 09:23 AM PDT

12 ต.ค.53 - ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายบวร ยสินทร ตัวแทนเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโยลีสารสนเทศและการสื่อสาร และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอให้ประท้วงเครือข่ายเฟซบุ๊ค ที่ปล่อยให้ผู้กระทำความผิดใช้เป็นช่องทางการแสดงรูปภาพ คลิปวีดีโอ ข้อความเท็จ พาดพิงสถาบัน ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญ โดยไม่ได้มีการกลั่นกรอง หรือมีระบบปฏิบัติการที่ระงับยังยั้ง ทั้งนี้มีนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนในการรับหนังสือจากเครือข่าย
      
นายบวร กล่าวว่า จากการเฝ้าระวังและติดตามของเครือข่าย เราพบว่ามีผู้กระทำความผิดในสังคมออนไลน์เฟซบุ๊คจำนวนมาก โดยใช้นามแฟง ซึ่งเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักรไทย แห่งประมวลกฎหมายอาญา และกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดจากคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งทางครือข่ายเห็นว่ามีการกระทำความผิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยอาศัยเครือข่ายออนไลน์เฟซบุ๊ค ทั้งนี้ เพื่อให้มีการจัดการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพ และเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อรัฐบาลไทยนั้น จึงอยากให้ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ทำการประท้วงไปยังเฟซบุ๊คอย่างเป็นทาง การ และให้ดำเนินการแก้ไขปัญหา โดยให้ขอความร่วมมือกับทางเฟซบุ๊คในการจัดการให้มีมาตรการในการบังคับ ระงับ หรือแก้ไข มิให้ผู้กระทำผิดได้ใช้เฟซบุ๊คเป็นที่พักพิงและให้ความสะดวกในการกระทำความ ผิดต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรไทยต่อไป
      
เมื่อถามว่า ตัวอย่างที่มีการพบมาก คืออะไร นายบวร กล่าวว่า ที่พบมากมีหลายรูปแบบ อาทิ การนำคลิปวิดิโอ ภาพถ่าย ข้อความที่เป็นเท็จแต่มีความหมายจาบจ้วงและทำให้เกิดความเคยชินต่อผู้ที่ เข้าไปอ่าน ไปดู รวมทั้งมีการใช้คำแฝงในการกล่าวพาดพิง ดูหมิ่นสถาบัน ซึ่งการกระทำในลักษณะนี้จะทำให้เกิดความเคยชินในอนาคต ประชาชนที่จงรักภักดีจะเกิดความสับสน เข้าใจผิดในสาระสำคัญ เราจึงต้องออกมาเพื่อยุติการกระทำเและขอประณามบุคคลเหล่านั้นด้วยว่าท่าน กำลังทำลายชาติบ้านเมือง สร้างความไม่สงบสุขให้เกิดขึ้นในสังคม

ที่มา:

จี้นายกฯ สกัดเฟซบุ๊กปล่อยโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบัน (ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 12-10-2553)
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000143284

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อัยการปัดถอนฟ้อง "สนธิ ลิ้มทองกุล" คดีหมิ่นเบื้องสูง

Posted: 12 Oct 2010 09:13 AM PDT

อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวปฏิเสธกรณีที่มีกระแสข่าวว่า อัยการยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

12 ต.ค. 53 - โลกวันนนี้รายงานว่านายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าวปฏิเสธกรณีที่มีกระแสข่าวว่า อัยการยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือ แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ หรือ พระราชินี จากกรณีนำคำปราศรัยของ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล จำเลยคดีดูหมิ่นสถาบัน มาเผยแพร่ซ้ำ ที่ปราศรัยบนเวทีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยนายกายสิทธิ์ คดีที่อัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว จะขอถอนฟ้อง จะต้องมีเหตุผลหลายประการ อาทิ ภายหลังจากยื่นฟ้องคดีแล้วปรากฏข้อเท็จจริงใหม่ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด หรือเหตุผลอย่างอื่น อัยการอาจจะพิจารณายื่นถอนฟ้องต่อศาล ซึ่งตามกระบวนการแล้ว อัยการเจ้าของสำนวนเดิม จะต้องตั้งสำนวนเสนอเหตุผลมาให้ตนพิจารณาว่า จะสามารถถอนฟ้องได้หรือไม่ ซึ่งตนจะมีความเห็น เสนอไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบด้วย จึงจะขอถอนฟ้องคดีได้ และอัยการยังคงยืนยันว่า คดีนายสนธิ ขณะนี้ยังไม่ได้ขอถอนฟ้อง ทั้งนี้ศาลได้นัดสืบพยานโจทก์ปากแรกในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปีหน้า

ที่มา:

อัยการปัดถอนฟ้องสนธิลิ้มฯคดีหมิ่นเบื้องสูง (โลกวันนี้, 12-10-2553)
http://www.dailyworldtoday.com/hotnews.php?hotnews_id=35574

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พม่ากวาดจับรถหนีภาษีในท่าขี้เหล็ก-เชียงตุงรอบใหม่

Posted: 12 Oct 2010 06:51 AM PDT

ทางการพม่าออกปฏิบัติการตรวจยึดรถหนีภาษีในพื้นที่รัฐฉานภาคตะวันออกรอบใหม่ พร้อมมีการรณรงค์ชาวบ้านหนุนพรรคข้างรัฐบาล USDP ในการเลือกตั้ง 7 พ.ย. นี้

มีรายงานจากแหล่งข่าวว่า ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทางการพม่าในจังหวัดเชียงตุง และจังหวัดท่าขี้เหล็ก รัฐฉานภาคตะวันออก ตรงข้ามอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้ออกตรวจยึดรถไม่มีใบอนุญาตในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

แหล่งข่าวซึ่งเป็นนักธุรกิจเดินทางไปมาระหว่างเมืองท่าขี้เหล็ก-เชียงตุงเป็นประจำเปิดเผยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ในเมืองเชียงตุงสามารถตรวจยึดรถไม่มีใบอนุญาตแล้ว 41 คัน ส่วนที่ท่าขี้เหล็กยึดได้จำนวน 28 คัน โดยการตรวจยึดของเจ้าหน้าที่ยังคงดำเนินต่อไป ที่เมืองเชียงตุง เจ้าหน้าที่ได้แบ่งกำลังออกตรวจค้นตามบ้านเรือนชาวบ้าน ส่วนในจังหวัดท่าขี้เหล็กพบมีการตั้งด่านดักเป็นจุดๆ ซึ่งยังไม่เข้าตรวจค้นตามบ้านเรือน

ทั้งนี้ การตรวจยึดรถไม่มีใบอนุญาตของทางการพม่ารอบใหม่นี้มีขึ้นหลังทางการได้ประกาศปิดรับการจดทะเบียนรถไม่มีใบอนุญาตเมื่อวันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งการเปิดจดทะเบียนรถไม่มีใบอนุญาตของทางการได้เริ่มมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยมีผู้นำรถหนีภาษีเข้ารับการจดทะเบียนเป็นจำนวนมาก

มีรายงานว่า หลังจากทางการพม่าได้เปิดจดทะเบียนรถไม่มีใบอนุญาต ได้มีกลุ่มพ่อค้ารถแห่เข้ามากว้านซื้อรถมือสองจากฝั่งไทยเข้าไปเป็นจำนวนมาก โดยนำไปจดทะเบียนเป็นรถถูกต้องตามกฎหมายแล้วขายทอดในตลาด โดยรถที่ซื้อเข้าส่วนใหญ่เป็นรถนั่งส่วนบุคคล เช่นรถยี่ห้อมาสด้า รุ่นแฟมิลี่ และรถยี่ห้อ ไดฮัสซุ รุ่นมิร่า ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 80,000-140,000 บาท แล้วแต่สภาพรถ

ส่วนค่าจดทะเบียนรถยนต์ที่ทางการพม่ากำหนดอยู่ที่ 8,000-100,000 บาท/คัน และรถจักรยานยนต์อยู่ที่คันละ 5 แสนจั๊ต (ราว 16,500 บาท) ถึง 2 ล้านจั๊ต (ราว 66,000 หมื่นบาท)

ชาวบ้านในเมืองเชียงตุงคนหนึ่งได้เปิดเผยกับแหล่งข่าวว่า ระหว่างเจ้าหน้าที่ออกตรวจค้นรถไม่มีใบอนุญาตในเมืองเชียงตุงนั้น ได้มีการรณรงค์บอกกล่าวให้ชาวบ้านให้การสนับสนุนพรรคสหภาพเอกภาพและการพัฒนา USDP ซึ่งเป็นพรรคข้างรัฐบาล ในการเลือกตั้งวันที่ 7 พ.ย. นี้ และมีการบอกด้วยว่า จะนำรถยนต์ที่ยึดได้ไปประมูลขายในวันที่ 15 ต.ค.นี้

ทั้งนี้ เมื่อในช่วง 2 - 3 ปี ที่ผ่านมา ทางการพม่าได้มีการจัดสรรระบบทะเบียนรถทั่วประเทศ โดยมีการกวดขันตรวจยึดรถไม่มีทะเบียนอย่างเข้มงวด และสามารถตรวจยึดรถไม่ถูกต้องตามกฎหมายทั่วประเทศได้เป็นจำนวนมาก เฉพาะในพื้นที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก มีรถยนต์และรถจักรยานยนต์ถูกยึดไม่ต่ำกว่า 1,000 คัน

ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/

"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org

 
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รัฐบาลพม่าห้ามจัดงานทุกชนิดในช่วงใกล้วันเลือกตั้ง

Posted: 12 Oct 2010 06:39 AM PDT

ทางการพม่าสั่งห้ามจัดงานและการแสดงทุกชนิดในช่วงใกล้วันเลือกตั้งนี้ ซึ่งรวมถึงงานที่จัดขึ้นทุกปีหลังออกพรรษาก็ถูกสั่งให้ยกเลิกจัด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังไม่ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการถึงสาเหตุที่ห้ามจัดงานทุกชนิดในช่วงเดือนตุลาคม – พฤศจิกายนนี้

ปาร์ปาร์เลย์ หนึ่งในนักแสดงตลกจากคณะแสดงสามพี่น้องตลกหนวด (Moustache Brothers) จากมัณฑะเลย์กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ผมได้ยินมาเหมือนกันว่า รัฐบาลห้ามทุกคนจัดการแสดงบนเวทีในช่วงเทศกาล แต่รัฐบาลยังไม่ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า เหตุใดพวกเขาถึงห้ามจัดงานในช่วงนี้” ปาร์ปาร์เลย์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า คำสั่งนี้มาจากกองบัญชาการทหารพม่าในมัณฑะเลย์โดยตรง

ด้านผู้จัดการจากคณะแสดงอีกกลุ่มหนึ่งในมัณฑะเลย์ออกมาเปิดเผยเช่นกันว่า ก่อนหน้านี้ ทางการพม่าได้บอกกับคณะผู้จัดงานว่า หากต้องการจัดงานและมีการแสดงบนเวทีจะต้องให้เงินประกันจำนวน 1 ล้านจั๊ต(33, 557 บาท) เพื่อรับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย โดยทางการได้ขอให้คณะผู้จัดงานว่า จะต้องดูแลรับผิดชอบในด้านการรักษาความปลอดภัยเอง โดยถ้าหากเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น ทางการสามารถยึดเงินประกันจำนวน 1 ล้านจั๊ตได้

“คนที่จัดงานทั่วไปจึงไม่กล้าจ้างคณะแสดงมาแสดง เพราะกลัวเสียเงินประกัน” ผู้จัดการคนเดิมกล่าว

ขณะที่ในช่วงเดือนตุลาคม – พฤศจิกายนนี้อยู่ในช่วงการจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลต่างๆ อย่างงานออกพรรษา ที่ทุกปีมักจะมีการจัดงาน และมีการแสดงบนเวที รวมถึงการร้องเพลงและการแสดงตลกเป็นต้น โดยมีประชาชนแห่ไปเที่ยวชมงานเป็นจำนวนมาก แต่การจัดงานออกพรรษาไม่ได้รับอนุญาตให้จัดขึ้นในปีนี้ ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าอาจเป็นเพราะทางการต้องการรักษาความปลอดภัยในช่วงใกล้วันเลือกตั้ง มีรายงานจากแหล่งข่าวท้องถิ่นด้วยเช่นกันว่า นักแสดงถูกสั่งห้ามเดินทางเป็นเวลา 20 วันก่อนการเลือกตั้ง

“การสั่งห้ามคืองานของพวกเขา (รัฐบาลพม่า) แต่การรำเป็นงานของผม” ปาร์ปาร์เลย์กล่าว โดยยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ทางการพม่ายังสั่งห้ามเขาจัดการแสดงที่บ้านของเขาด้วยเช่นกัน

“ผมบอกพวกเขาแล้ว ถ้าหากพวกเขามาหาผม ผมก็จะไปกับพวกเขาอย่างเงียบๆ ผมไม่ได้กลัว พวกเราเป็นนักแสดง พวกเราจำเป็นต้องรำ และถ้าหากเราไม่สามารถจัดการแสดงได้ แล้วจะให้เราทำอะไร เราทำอย่างอื่นไม่เป็น” ปาร์ปาร์เลย์กล่าวทิ้งท้าย 

การห้ามจัดงานทุกชนิดยังส่งผลกระทบไปในรัฐมอญและรัฐฉาน ไนทินอ่อง จากเมืองตานพยูซัด รัฐมอญเปิดเผยว่า ขณะนี้จำเป็นต้องเลื่อนงานและการแสดงทุกอย่างออกไปก่อนในปีนี้ ถึงแม้วัตถุประสงค์ของการจัดงานก็เพื่อหาทุนให้กับพระสงฆ์ก็ตาม เช่นเดียวกับที่การจัดงานที่มีขึ้นทุกปีในเมืองน้ำคำ ทางตอนเหนือของรัฐฉานก็เป็นอันต้องล้มเลิกในปีนี้ มีเพียงพิธีทางศาสนาอย่างการทำบุญเลี้ยงพระที่จัดขึ้นอย่างเล็กๆเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตจากทางการพม่า

(Irrawaddy 11 ต.ค.53)

แปลและเรียบเรียงโดย สาละวินโพสต์ "สื่อทางเลือกเพื่อแบ่งปันความเข้าใจสู่เพื่อนบ้าน"อ่านข่าวและบทความอื่นๆ อีกมากมายได้ที่เว็บไซต์ www.salweennews.org เฟซบุ๊ค http://www.facebook.com/Salweenpost ทวิตเตอร์ http://twitter.com/salweenpost     

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"ชาติวุฒิ บุณยรักษ์" นักเขียนเรื่องสั้น ยิงตัวเองอาการโคม่า

Posted: 12 Oct 2010 06:16 AM PDT

12 ต.ค. 53 - เนชั่นทันข่าวรายงานว่านายชาติวุฒิ บุณยรักษ์ นักเขียนเรื่องสั้น ได้ก่อเหตุยิงตัวเอง เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 11 ตค.ที่ผ่านมา โดยนายชาติวุฒิได้เขียนจดหมายกล่าวขอโทษกับคนรู้จักทุกคนที่ไม่ได้ร่ำลา และขอให้บริจาคร่างกายของตนเองแก่โรงพยาบาลจุฬาฯ รวมทั้งห้ามจัดงานศพ

หลังจากเกิดเหตุ นายชาติวุฒิได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเมโย และถูกนำตัวเข้ารักษาอาการบาดเจ็บสาหัส ในห้องไอซียู อาการโคม่า สมองบางส่วนยังไม่ตาย ล่าสุดยังไม่มีการถอดเครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากผู้ตายได้แสดงความจำนงค์ในการบริจาคร่างกายไว้ และทางญาติคาดว่าจะเคลื่อนย้ายนายชาติวุฒิ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ์ต่อไป

นายชาติวุฒิ บุณยรักษ์ เกิดเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2518 จบการศึกษาปริญญานิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาสื่อสารการตลาด จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อปี 2543 มีผลงานหนังสือเรื่องส้ันหลายเล่ม โดยเรื่องแรก “รักลอยลม” ตีพิมพ์ในนิตยสารสุดสัปดาห์ เมื่อปีพ.ศ. 2546 ปลายปีพ.ศ. 2547 ออกหนังสือรวมเรื่องสั้น 2 เล่มชื่อ “ตำนานสุดท้าย-ไอ้มดแดง” และ “วันพิพากษา” ในปีพ.ศ. 2548 รวมเรื่องสั้น “ตำนานสุดท้าย-ไอ้มดแดง” เข้ารอบ 1 ใน 20 เล่มสุดท้ายของการประกวดรางวัลซีไรท์ประจำปี 2548 ปีพ.ศ. 2549 มีรวมเรื่องสั้นลำดับที่สามในชื่อ “นาฏกรรมเมืองหรรษา” ออกกับสำนักพิมพ์มติชน

นอกจากนี้เขายังได้รับรางวัลทางวรรณกรรมหลายรางวัล อาทิ รางวัลชมเชยจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ และ รางวัลชนะเลิศเซเว่น บุ๊ค อวอร์ด ปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ

ที่มาข่าว:

"ชาติวุฒิ บุณยรักษ์" นักเขียนเรื่องสั้น จ่อยิงตัวเอง โคม่า (เนชั่นทันข่าว, 12-10-2553)
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=473579&lang=T&cat=

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แม่ค้ารองเท้าแตะรับทราบข้อหาอีก"บิดเบือนข้อมูล" ตำรวจตั้งคณะกรรมการดูแลคดี

Posted: 11 Oct 2010 10:24 PM PDT

  


บก.ลายจุด ,อมรวัลย์และเพื่อน ถ่ายในวันหลังถูกจับกุม
 
เมื่อวันที่ 11 ต.ค.53 พ.ต.ต.จักรพันธ์ ธูปะเตมีย์ พนักงานสอบสวน สภ.พระนครศรีอยุธยา ได้นัดหมายให้นางสาวอมรวัลย์ เจริญกิจ อายุ 42 ปี แม่ค้าขายรองเท้าแตะลายภาพพิมพ์หน้านายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมทนายความและเพื่อนสนิท เข้าพบเพื่อขยายความข้อกล่าวหาให้ชัดเจนมากขึ้น โดยพล.ต.ต.จักรพันธ์ ระบุด้วยว่า คดีดังกล่าวถูกพิจารณาในรูปของคณะกรรมการร่วมซึ่งมีผู้บังคับบัญชาหลายระดับเข้ามาดูแล เนื่องจากเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ
บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาซึ่งทำเมื่อวันเกิดเหตุระบุว่า เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 18.00 น. เจ้าพนักงานตร.ปจว.พระนครศรีอยุธยา กำลังปฏิบัติหน้าที่ตรวจพื้นที่ด้านหน้าวิหารมงคลบพิตร ปรากฏว่าพบผู้ต้องหาจำหน่วยรองเท้าแตะสีดำแดงอยู่ริมทางเท้าถนนศรีสรรเพชร ข้างซ้ายของรองเท้าแตะมีข้อความว่ามีคนตายที่ราชประสงค์และมีภาพพิมพ์ใบหน้าของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส่วนข้างขวามีข้อความว่า ที่ราชประสงค์มีคนตายและมีภาพพิมพ์ใบหน้าของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการกระทำความผิด
พ.ต.ต.จักรพันธ์ ได้แจ้งการบรรยายความผิดเพิ่มเติมว่า “ข้อความและภาพที่ปรากฏนั้นไปในทางบิดเบือนข้อมูลให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีส่วนทำให้คนตายที่ราชประสงค์ โดยจำหน่ายให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมและบุคคลทั่วไป อันเป็นการเผยแพร่ อีกทั้งการนำหน้าบุคคลไปปรากฏที่รองเท้านั้นเป็นการไม่เหมาะสมตามขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมอันดีของชาวไทยอันเป็นความผิดตามพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548”  
ในบันทึกระบุต่อว่า พล.ต.ต.จารุวัฒน์ ไวศยะ รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้สั่งการให้ลูกน้องซื้อรองเท้าแตะดังกล่าวโดยผู้ต้องหาได้เสนอรองเท้าแตะให้จำนวน 4 คู่ และแถมให้อีก 1 คู่ รวมเป็น 5 คู่ ในราคารวม 100 บาทหลังจากนั้น พล.ต.ต.จารุวัฒน์ได้นำรองเท้าไปให้ พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิตพราหมณกุล รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1 ตรวจสอบดูเห็นว่าเป็นสิ่งพิมพ์หรือสิ่งอื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนทั้งในพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือทั่วราชอาณาจักร โดยเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายตามความตามมาตรา 9 อนุ 3 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 อนุ 3 ข้อ 2 ลงวันที่ 7 เมษายน 2553 ผู้ต้องหาจึงได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมตัว พร้อมกับยึดรองเท้าแตะจำนวน 5 คู่ซึ่งซื้อมาจากผู้ต้องหาและรองเท้าแตะลักษณะเดียวกันที่อยู่ในความครอบครองของผู้ต้องหาอีก 49 คู่ เป็นของกลาง ขณะถูกจับกุมผู้ต้องหาได้ให้ถ้อยคำรับว่า ได้ขายรองเท้าแตะ 5 คู่ให้พนักงานตำรวจจริง และรับว่าซื้อรองเท้าแตะของกลางดังกล่าวมาจากชายไทยไม่ทราบชื่อที่มาเร่ขายที่ราชประสงค์ในวันที่ 17 พ.ค. และผู้ต้องหาได้ขายรองเท้าดังกล่าวมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม หลังรับทราบข้อกล่าวหา น.ส.อมรวัลย์ยังคงให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาและขอให้การในชั้นศาล
น.ส.อมรวัลย์กล่าวภายหลังว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจบางส่วนได้มาเตือนให้เลิกขายรองเท้าในงานที่จะจัดที่อยุธยาอีกครั้งเพราะเกรงจะมีความยุ่งยากในทางคดี แม้ตำรวจชั้นผู้น้อยไม่อยากดำเนินการ แต่ต้องทำตามหน้าที่เพราะผู้ใหญ่เพ่งเล็ง อย่างไรก็ตาม ตนก็ยังลังเลเพราะเห็นว่าเป็นการทำมาหากินตามปกติ กำไรก็ได้ไม่มากนัก ต้นทุนคู่ละ 22-23 บาท ขายเพียง 3 คู่ 100 บาท เพราะต้องการให้ประชาชนซื้อไปใส่ได้โดยไม่ลำบากนัก อีกทั้งหลังจากตกเป็นข่าวยอดขายรองเท้าแตะก็ดีขึ้นมากหลายเท่าตัว
“ป้าเห็นตำรวจไม่ได้ รักมาก ที่ราชประสงค์เห็นตำรวจก็แจกของตลอด” น.ส.อมรวัลย์กล่าวถึงเหตุผลในการแถมรองเท้าให้ตำรวจในวันที่ถูกจับกุมเป็น 5 คู่ 100 บาท  

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น