โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

คลิปศาล รธน. ระลอกสอง ว่อนอีก

Posted: 29 Oct 2010 02:43 PM PDT

คลิปซึ่งถูกอ้างว่าเป็นบทสนทนาของตุลการศาลรัฐธรรมนูญหลุดอีก 3 ตอน เนื้อหาตั้งรับสถานการณ์หลังคลิปหลุดระลอกแรก ซับไตเติ้ลระบุชื่อ พิสิฐ จรูญ และสุพจน์

เมื่อวันที่ 29 ต.ค. มีการเผยแพร่คลิปพร้อมซับไตเติ้ล โดยใช้ชื่อว่า “พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย” 3 ตอนต่อเนื่อง ผ่านเว็บไซต์ยูทูปว์ และระบุว่าเป็นบทสนทนาระหว่างบุคคลที่ชื่อว่า พิสิฐ จรูญ และสุพจน์ เกี่ยวกับการเผยแพร่คลิปซึ่งมีการอ้างว่าเป็นบทสนทนาของข้าราชการระดับสูงในศาลรัฐธรรมนูญกเกี่ยวกับการยุบพรรคประชาธิปัตย์

โดยคลิปทั้งหมดถูกโพสต์โดยบุคคลที่ใช้ชื่อว่า ohmygod3009 ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการยูทูปว์รายเดียวกันกับที่โพสต์คลิปที่ถูกอ้างว่าเป็นบทสนทนาของข้าราชการระดับสูงในศาลรัฐธรรมนูญและทนายความของพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 5 คลิปก่อนหน้านี้

สำหรับคลิปทั้งสามมีรายละเอียดดังนี้

1 พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย ตอนที่ 1
เขียนบรรยายคลิปว่า “การปรึกษาหารือของตุลาการ( จรูญ, สุพจน์ ) เพื่อจะแก้ปัญหา คลิปที่ถูกบันทึกในกรณีที่พวกตัวเองลักลอบ­เอาข้อสอบไปให้ญาติและพวกตัวเองอ่านก่อนสอบ ชึ่งตุลาการเกือบทั้งคณะ สมคบกัน มีทั้งชื่อผู้ให้และผู้รับ ครบกันถ้วนหน้า ยากที่จะแก้ตัวว่าถูกจัดฉากเพราะบทสนทนาคือคำสารภาพ ที่ล่อนจ้อน”

2 พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย ตอนที่ 2
เขียนบรรยายคลิปว่า “ต่อเนื่องจากตอนที่ 1”

3 พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย ตอนที่3 เขียนบรรยายคลิปว่า

“การให้คำแนะนำพรรคพวกในการให้ข่าว หากมีการนำบทสนทนา ที่นำข้อสอบไปให้ญาติ และพรรคพวก ถูกเปิดโปงออกมา โดยโยนให้เป็นเรื่อง ของขบวนการทำลายเครดิตศาลรัฐธรรมนูญ และคลิปมีการตัดต่อโดยอ้างว่า อภิสิทธิ์ก็โดนเช่นกัน อีกทั้ง คนของพรรคเพื่อไทยอยู่เบื้องหลัง การนำคลิปไปเผยแพร่.

"(ท่านเห็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจเยี่ยงจิ้งจอกของบุคคลกลุ่มนี้ในคราบของตุลาการ ท่านคิดว่าประเทศไทยจะอยู่อย่างไร ศาลสั่งได้จริงหรือเปล่า ลองไปนึกถึงคำตัดสิน กรณีต่างๆใช้ทั้งอารมณ์ เปิดทั้งพจนานุกรม และขาดชึ่งมาตรฐานตามหลักสากล)

"หมายเหตุ: ภายหลังคลิปนี้คงมีคำสั่งให้ตุลาการพวกนี้ออกเพื่อให้องค์คณะไม่ครบ จึง ทำกระบวนการพิพากษาชะงักงัน การยุบพรรคจึงต้องทอดเวลาออกไป ประชาธิปัตย์ก็ทำหน้าที่รัฐบาลต่อไปอีก หรือ ทำการยึดอำนาจเพื่อแก้ปัญหาศาลรัฐธรรมนูญถูกคุกคาม เพราะตุลาการจัดฉาก และสารภาพด้วยตนเอง นี่คือตัวอย่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เริ่มทำงาน­แล้ว”

ทั้งนี้ ภายหลังที่คลิปชุดแรกแพร่สะพัดออกไป มีการพยายามค้นหาว่าใครเป็นผู้เผยแพร่คลิปโดยทางกองปราบระบุว่าจะดำเนินการออกหมายจับผู้เผยแพร่คลิปยุบพรรคประชาธิปัตย์ ขณะเดียวการมีการถอดนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ออกจากตำแหน่งเลขาประธานศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่นายพสิษฐ์นั้นเดินทางออกนอกประเทศไปก่อนหน้านั้นแล้ว

นอกจากนี้ ทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ยังฟ้องนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยด้วยข้อหาหมิ่นประมาทจากการเผยแพร่คลิปชุดดังกล่าว

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้แถลงเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคลิปที่อ้างว่าเป็นบันทึกการสนทนา ระหว่างเจ้าหน้าที่ตุลาการระดับสูงและทนายความของพรรคประชาธิปัตย์ โดยระบุเป็นปัญหาความซื่อสัตย์เที่ยงธรรม หากทำจริงต้องลาออก และอย่าเบี่ยงประเด็นที่มาของคลิป

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการหาข้อเท็จจริงในคลิปชุดแรกว่าใครเป็นผู้ปล่อยคลิปและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีพฤติกรรมตามที่ปรากฏในคลิปจริงหรือไม่ ก็มีการเผยแพร่คลิประลอกที่ 2 ออกมาดังกล่าว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลยกฟ้องไชยยันต์ ฉีกบัตรเลือกตั้ง

Posted: 29 Oct 2010 12:48 PM PDT

ศาลจังหวัดพระโขนงยกฟ้องคดีนายไชยยันต์ ไชยพร ฉีกบัตรเลือกตั้ง อ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญระบุการเลือกตั้งปี 2549 ไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 บัตรเลือกตั้งที่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งมอบให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จึงไม่ใช่บัตรเลือกตั้งเป็นเพียงแบบพิมพ์บัตรเลือกตั้ง การกระทำของจำเลยจึงไม่อาจเป็นความผิด

เว็บไซต์เมเนเจอร์ออนไลน์รายงานว่า วันที่ 29 ต.ค. ที่ ศาลจังหวัดพระโขนง ถ.สรรพาวุธ ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง นายไชยยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นจำเลยฐานกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 ม.108 ที่ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดทำบัตรเลือกตั้งดีให้เป็นบัตรเสีย และ ป.อาญา ม.358 ฐานทำให้เสียทรัพย์

คดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 2 เม.ย.49 เวลากลางวัน จำเลยฉีกบัตรเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 1 ใบ และแบบบัญชีรายชื่อ 1 ใบ ของ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขาดออกเป็นหลายชิ้นจนเสียหายใช้ลงคะแนนไม่ได้ อันเป็นการจงใจกระทำด้วยประการใดๆ ให้บัตรเลือกตั้งดังกล่าวชำรุดเสียหาย เหตุเกิดที่หน่วยเลือกตั้ง โรงเรียนเตรียมอุดมพัฒนาการ แขวงและเขตสวนหลวง กรุงเทพฯ ขอให้จำเลยตามความผิดและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี

จำเลยให้การปฏิเสธและนำสืบว่า การยุบสภาผู้แทนฯของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ไม่ได้มีสาเหตุมาจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ แต่เพื่อหลีกเลี่ยง การตรวจสอบในสภาเรื่องการถือครองหุ้นชินคอร์ป ของครอบครัวชินวัตร การยุบสภาจึงมิได้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และจะใช้ผลการเลือกตั้งซักฟอกความผิดของตน และกำหนดวันเลือกตั้งไปไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยฉีกบัตรเลือกตั้งดังกล่าวโดยเจตนาที่จะต่อต้านการเลือกตั้งที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย โดยมิได้มีเจตนาทำลายบัตรเลือกตั้ง

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 49 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 9/2549 ว่า เป็นการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรม ไม่เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 บัตรเลือกตั้งที่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งมอบให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จึงไม่ใช่บัตรเลือกตั้งเป็นเพียงแบบพิมพ์บัตรเลือกตั้ง การกระทำของจำเลยจึงไม่อาจเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. ม.108 และการที่จำเลยมาใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วฉีกบัตรเฉพาะในส่วนที่ได้รับมาทั้ง สองใบอย่างเปิดเผยเพื่อสื่อให้ประชาชนตระหนักถึงการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรม โดยไม่ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวาย หรือความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จึงเป็นการใช้สิทธิต่อต้านการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยสันติวิธี ทั้งบัตรเลือกตั้งดังกล่าวก็เป็นทรัพย์ที่ กกต.ใช้ในการทำความผิดในการเลือกตั้งและมีราคาเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองของประเทศโดยวิธี การซึ่งมิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สนธิฉะมาร์คตระบัดสัตย์ขายชาติตอนน้ำท่วม นักธุรกิจเพื่อปชต. ระดมพลค้านมติ ก.ก. ร่วมไทย-กัมพูชา

Posted: 29 Oct 2010 12:41 PM PDT

สนธิ จวกนายกรัฐมนตรี ฉวยโอกาสน้ำท่วมนำเรื่องแบ่งปันเขตแดนไทย-กัมพูชาเข้าสภา ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตยร่อนจะหมายผ่านเครือข่ายและสื่อมวลชนให้ออกมาแสดงพลังคัดค้านการในวันอังคารที่ 2 พ.ย. ที่จะถึง อ้างไทยจะเสียดินแดนมหาศาล

โดยจดหมายเรียกร้องให้ออกมาแสดงพลังคัดค้านมติคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชา มีข้อความว่า “ตามที่รัฐบาลมีความพยายามที่จะให้รัฐสภาให้การรับรองบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมชายแดนไทย-กัมพูชาโดยได้ลักไก่นำเข้าพิจารณาและผลักดันให้รัฐสภารับรองเมื่อวันที่ 26 ที่ผ่านมา โดยผลที่เกิดขึ้นคือ “มีผลให้รัฐบาลไทยให้คำรับรอง และยอมรับแผนที่มาตรส่วน 1:200000 ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว แทนข้อตกลงร่วมไทย-ฝรั่งเศส ที่ให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา อันจะเป็นความสุ่มเสี่ยงที่ทำให้ไทยอาจเสียดินแดงให้แก่กัมพูชานับล้านไร่” โดยจะมีการพิจารณาในรัฐสภาอีกครั้งในเช้าวันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน 2553 “เพราะเมื่อคราวที่แล้วไม่ครบองค์ประชุม” ในการนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีมติคัดค้าน และจะร่วมกันแสดงความเห็นให้สมาชิกรัฐสภาตระหนักในผลที่จะเกิดกับประเทศ โดยสูญเสียดินแดนจำนวนมหาศาล

“จึงเรียนให้ท่านสมาชิกได้พิจารณาเห็นด้วย โปรดร่วมกันแสดงพลัง ที่บริเวณหน้ารัฐสภาในช่วงเช้าวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 ให้มากที่สุด” ลงชื่อ นายสมเกียรติ หอมลออ ประธานชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย

ด้านเว็บไซต์เมเนเจอร์ออนไลน์รายงานการวิเคราะห์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งกล่าวในรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 29 ต.ค. กรณีที่รัฐบาลเสนอวาระการพิจารณาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนไทย(เจ บีซี)ไทย-กัมพูชา 3 ฉบับ เข้าสู่ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวันที่ 2 พ.ย.นี้ว่า หากรัฐสภามีมติรับรองบันทึกการประชุมเจบีซีดังกล่าวจะทำให้ไทยสูญเสียดิน แดนอย่างแน่นอน และเป็นการสูญเสียในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เหมือนที่เคยสูญเสียช่วงหลังปี 2540 ที่ให้ฝรั่งเข้ามาซื้อทรัพย์สินราคาถูก รวมทั้งก่อนหน้านั้นที่เปิดให้มีบีไอบีเอฟ

นายสนธิ กล่าวต่อว่า บันทึกการประชุมเจบีซีที่สภาจะลงมติรับรองในวันที่ 2 นี้ จัดทำขึ้นตามเอ็มโอยูปี 2543 ซึ่งมีการลงนามในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลเช่นกัน โดยขณะนั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็น รมช.ต่างประเทศ ซึ่งนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีขณะนั้นก็ยอมลงนามตามที่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเสนอมา ทั้งที่ในเรื่องเขตแดนนั้น หากแต่ละประเทศจะยืนยันเขตแดนของตัวเองตามหลักฐานที่แต่ฝ่ายมีอยู่แม้จะตกลง กันไม่ได้เป็น 50 ปี 100 ปีก็ไม่เป็นไร แต่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศของไทยขี้ขลาดตาขาว หลังจากที่เราเสียตัวปราสาทให้กัมพูชาเมื่อปี 2505 จึงเอาตัวรอด ไม่กล้าปกป้องแผนดินของตัวเอง ยิ่งในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มักจะทำตามที่ข้าราชการประจำเสนอมา พรรคประชาธิปัตย์ก็ปล่อยให้ทำไป ไม่กล้าเข้าไปแทรกแซง เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นนายกฯ ก็มักจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ

นายสนธิระบุว่า รัฐบาลได้ฉวยโอกาสน้ำท่วมนำเรื่องที่ตัวเองขายชาติเข้าสภา โดยในวันที่ 26 ต.ค.ที่วาระนี้เข้าสภาครั้งแรก โฆษกรัฐบาลกัมพูชาก็บอวก่นายฮุนเซนจะไม่เอาเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชาเข้า หารือกับนายบันคีมูน เลขาธิการสหประชาติ เพราะฝ่ายไทยรับปากว่ารัฐสภาไทยจะผ่านบันทุกการประชุมเจบีซีให้ จึงไม่ทราบว่าใครไปตกลงขายชาติเอาไว้ล่วงหน้า ฝ่ายเขมรจึงรู้ว่าสภาไทยจะผ่านให้ ใครเป็นคนไปรับปาก นายอภิสิทธิ์หรือนายกษิต

นายสนธิ กล่าวอีกว่า นายอภิสิทธิ์เคยพูดกับพันธมิตรฯ ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง เมื่อวันที่ 7 ส.ค.และพูดระหว่างการออกโทรทัศน์ช่อง 11 กับตัวแทนเครือข่ายประชาชนเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ว่าจะยึดหลักสันปันน้ำ และยอมรับว่าการที่คนกัมพูชาเข้าไปอยู่บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร เป็นการละเมิดเอ็มโอยู. 2543 ซึ่งรัฐบาลจะใช้มาตรการทั้งทางการทูตและการทหารผลัดกันคนกัมพูชาออกไป แต่จนบัดนี้ผ่านมา 3 เดือนแล้วนายอภิสิทธิ์ยังไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อผลักดันคนกัมพูชาออกไปเลย ทุกอย่างยังเหมือนเดิม แสดงว่าที่นายอภิสิทธิ์พูดวันนั้นแค่โกหกใช่หรือไม่ และถ้าวันนี้ยังยึดหลักสันปันน้ำอยู่ นายอภิสิทธิ์ต้องสั่งห้ามเจบีซีไม่ไปทำเขตแดนใหม่ในบริเวณที่ไทยกับฝรั่งเศส ได้ตกลงกันไว้แล้ว และถ้าบอกว่ามีการละเมิดเอ็มโอยู 2543 ก็จะต้องยกเลิก แต่เหตุที่ไม่ยกเลิก ก็เพราะเป็นผลงานที่พรรคประชาธิปัตย์เคยทำไว้ เป็นความพยายามรักษาพรรคเอาไว้ โดยยอมให้ประเทศเสียดินแดน

นายสนธิย้ำว่า ถ้าให้บันทึกการประชุมเจบีซีผ่านสภา จะมีผลให้ไทยเสียดินแดนอย่างแน่นอน นายอภิสิทธิ์ นายกษิต ส.ส.ส.ว.คนไหนก็ตามที่ลงมติ รวมทั้งนายวศิน ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง จะต้องเข้าข่ายเป็นคนขายชาติอย่างแน่นอน ดังนั้น พันธมิตรฯ จะต้องแสดงพลังในวันที่ 2 พ.ย.นี้ เพื่อปกป้องแผ่นดินไทย ขอให้พี่น้องมาร่วมชุมนุมกันตั้งแต่เช้า แต่จะไม่ปิดทางเข้าออกรัฐสภา แต่เราจะแสดงพลังให้เขาเห็นว่าเราไม่เห็นด้วย เพราะเขาหาว่าเราไม่มีน้ำยา

“ปัญหาไม่ใช่เราไม่มีน้ำยา ปัญหาคือเราเป็นคนมีเหตุผล เห็นเขาตั้งใจทำงานเราก็พร้อมที่จะหาทางออกให้เขา แต่การที่เขาเอาเจบีซีเข้าสภา แสดงว่าเขาตระบัดสัตย์ เพราะเนื้อหาเจบีซีนั้นเป็นเนื้อหาที่มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาพูดหมด ที่คุณพูดเอาไว้ไง ว่าคุณยึดถือสันปันน้ำ และวันนี้เจบีซีมายึดถือสันปันน้ำหรือเปล่าล่ะ

“กระทรวงการต่างประเทศมันเป็นหนึ่งกระทรวงภายใต้รัฐบาล คุณสั่งไม่ได้เชียวหรือ คุณอภิสิทธ์ คุณกษิต ภิรมย์ คุณบอกเขาไมได้เหรอว่าผมไม่เอาแบบนี้ คุณดูรายละเอียดเจบีซีซิคุณต้องรู้ คุณต้องอ่านรายละเอียด ... คุณปล่อยเลยตามเลย เพราะคุณเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น คุณต้องการลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ถึงชาติบ้านเมืองจะเสียดินแดนไปก็ช่างมัน ...ผมเสียดาย ผมเสียใจ ผมสนับสนุนคุณมาตลอดด้วยความสัตย์จริง หลายต่อหลายอย่าง ผมเห็นว่าควรให้โอกาสคุณ เกือบสองปีที่ผมอยู่เฉยๆ เพราะผมคิดว่าให้คุณทำ ทั้งๆ ที่หลายต่อหลายครั้งผมไม่สบายใจและผมหงุดหงิดในความเป็นคุณ”นายสนธิกล่าว
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สาวสวยซาอุฯ มีเฮ รัฐยื่นมือจัดการธุรกิจจัดหาคู่ในซาอุดี้

Posted: 29 Oct 2010 12:00 PM PDT

อาชีพพ่อสื่อแม่ชักในซาอุดิอาระเบียกำลังจะได้รับการยอมรับว่าถูกต้องตามกฎหมายและหลักศาสนา หลังพบสถิติสาวโสดในเมืองซาอุพุ่งสูงถึง 1.5 ล้านคน

ริยาดฮฺ บรรดาแม่สื่อ และนักจัดคู่ นับร้อยๆ คนในซาอุดี้ กำลังติดตามข่าวที่ทางการได้จัดให้มีการประชุมครั้งแรก เพื่อจัดการขึ้นทะเบียนอาชีพนี้ให้ถูกต้อง และจะมีการให้การอบรมสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าสู่วงการอย่างเป็นเรื่องเป็น ราวซึ่งจะมีการออกประกาศนียบัตรรับรองผู้เข้าอบรมให้ด้วย

การประชุมที่จะจัดขึ้นมีชื่อว่า Matchmakers in the Saudi Society เพื่อปรึกษาหารือในการสร้างมาตรฐาน สำหรับนักจัดคู่ทั้งหญิง ชาย และเพื่อส่งเสริมให้เป็นอาชีพที่ถูกต้องทั้งตามศาสนา และกฎหมายในอนาคต

มุฮัมมัด อัล-อับดุล อัลกาเดอร์ เลขาธิการสมาคม Weaam ซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับการบริการแต่งงาน กล่าวว่า จำนวนสาวโสดที่เพิ่มสูงขึ้นในซาอุดี้ เป็นหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่ทำให้เกิดการประชุมครั้งนี้

เขากล่าวว่า ตาม สถิติเมื่อเร็วๆ นี้ สาวโสดในซาอุดี้มีจำนวนถึง 1.5 ล้านคน และหากไม่เริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ จำนวนอาจพุ่งขึ้นถึง 4 ล้านคนในอีกไม่นาน

ธุรกิจการหาคู่ได้เข้าสู่ความนิยมในซาอุดี้ หลังจากอัตราการแต่งงานได้ลดน้อยถอยลง และกลายเป็นธุรกิจที่ทำเงินรายได้ให้เจ้าของเป็นจำนวนมาก

มีรายงานที่เผยแพร่ในนิตยสาร Laha ของซาอุดี้ ที่ระบุว่า ผู้จัดหาคู่ได้เงินจากการทำงานที่สำเร็จตามความคาดหมายครั้งละประมาณ 1,066 ดอลล่าร์ ในที่นี้หมายถึงคู่ที่เป็นหญิง-ชายสามัญชน แต่หากเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ค่าตอบแทนจะพุ่งขึ้นเป็นราว 26,664 ดอลล่าร์

มีความกริ่งเกรงกันว่า หากทางการไม่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ธุรกิจจัดหาคู่จะสุ่มเสี่ยงจากการเห็นแก่ผลประโยชน์เป็นเรื่องสำคัญเหนือ จริยธรรม และความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้คนในสังคมอนุรักษ์ของซาอุดี้ เพราะถึงแม้สตรีที่มีความรู้ระดับ แพทย์ อาจารย์ และวิศวกร ในซาอุดี้ ก็ยังอาจถูกหลอกต้มให้ตกลงแต่งงานแบบลับๆ ได้

 

ที่มา: สำนักข่าวมุสลิมไทย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีประชาไท: คิดถึงลุงนวมทอง ไพรวัลย์

Posted: 29 Oct 2010 11:39 AM PDT

4 ปีแล้ว...ลุง
ดังเข็มมุ่งไม่เปลี่ยนผัน
ปณิธานลุงแสนสามัญ
แต่ยืนยันความยิ่งใหญ่

มนุษย์หนึ่งเกิดมา
จะมีค่าเพียงใด
หากเราเป็นเพียงไพร่
หาได้มีสิทธิ์เสรี

นวมทอง ลุงนวมทอง
ประกาศก้องปฐพี
สละได้แม้นชีวี
ศักดิ์ศรีแลกลมหายใจ

ความตาย คายความงาม
เป็นไฟลามระอุไหม้
จุดวิญญาณประชาธิปไตย
ธำรงไว้ให้เชิดชู

นวมทอง ลุงนวมทอง
ยังเรียกร้องให้เราสู้
เผด็จการจักได้รู้
อย่าหาญสู้คนสามัญ

แม้นเทวาจักได้รู้
อย่าหาญสู้คนสามัญ!

 

คิดถึงลุงเสมอ
Homo erectus

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นูรวาตี ทุยเลาะ ชีวิตบ้านเล็กเหยื่อชายแดนใต้

Posted: 29 Oct 2010 11:26 AM PDT

อีกหนึ่งตัวอย่างของผู้ได้รับผลกระทบจากชายแดนใต้ นูรวาตี ทุยเลาะ ชีวิตบ้านเล็กเหยื่อชายแดนใต้ กับโจทย์เรื่องการเยียวยา

สะอื้น – นางนูรวาตี ทุยเลาะ ร้องไห้สะอื้นขณะเล่าเรื่องของตัวเองที่ได้รับผลกระทบจากเหตุสามีเสียชีวิตจากเหตุการณ์ไม่สงบ

ถึงคราวที่ผู้ชายมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีเมียหลายคน ประสบเหตุไม่สงบจนถึงกับเสียชีวิ บรรดาผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังก็ต้องลำบากกันถ้วนหน้า ไหนจะลูกอีกหลายคน

เช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นกับนายเจ๊ะบาเหม ทุยเลาะ อายุ 47 ปี กำนันตำบลทุ่งพอ อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตที่ตลาดสะบ้าย้อย เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2553

ขณะเสียชีวิตนายเจ๊ะบาเหม มีภรรยา 2 คน ชื่อนางฮามีดะห์ ลีเงาะ มีลูกด้วยกัน 4 คน อีกคนนางนูรวาตี ทุยเลาะ มีลูกด้วยกัน 1 คน อายุ 2 ขวบครึ่ง

ก่อนหน้านั้นนายเจ๊ะบาเหม มีภรรยามาแล้วอีก 2 คน แต่ได้เลิกร้างกันไปแล้ว โดยมีลูกรวมกันทั้งหมด 13 คน

นางนูรวาตี ทุยเลาะ อายุ 33 ปี คือภรรยาคนล่าสุดของนายเจ๊ะบาเหม ถือเป็นภรรยาคนสุดท้อง เธอเคยแต่งงานมาแล้ว มีลูก 3 คน และเป็นหม้ายมา 2 – 3 ปี ก่อนจะแต่งงานกับกำนัน เนื่องจากสามีคนแรกเป็นโรคเสียชีวิต

หลังจากสามีถูกยิงเสียชีวิต นางนูรวาตี จึงได้พาบุตรสาวคนเดียวที่เกิดกับนายเจ๊ะบาเหม กลับไปอยู่อาศัยอยู่กับมารดาที่บ้านเลขที่ 40/1 บ้านป่าขี้เหล็ก หมู่ที่ 15 ตำบลนาทวี อำเภอนาทวี ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมของตนเอง

นางนูรวาตี ซึ่งเรียกแทนตัวเองว่า “สาว” เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง กับผลกระทบและการเยียวยาที่ได้รับ ดังนี้
............................
อยู่อาศัยกับกำนันที่บ้านปลักไม้ไผ่ ตำบลทุ่งพอ โดยกำนันสร้างบ้านหลังใหม่ให้อยู่ 1 หลัง ราคา 2,300,000 บาท สร้างเสร็จแต่ยังไม่ทันได้ขึ้นบ้านใหม่ กำนันก็ถูกยิงเสียชีวิตก่อน กำนันยังได้ซื้อสวนยางพาราให้เธออีก 17 ไร่

บ้านหลังนี้ กำนันกู้เงินจากธนาคารมาสร้างบ้าน แต่หลังจากกำนันเสียชีวิต เงินงวดสุดท้ายที่จะนำมาเป็นค่าใช้จ่าจากการสร้างบ้านที่เหลือยังไม่ได้รับ ทางธนาคารก็ไม่ได้โอนมาให้ จึงจำเป็นต้องยืมเงินคนอื่นมาจ่าย

อาชีพเดิมของกำนันคือทำธุรกิจขายไม้ยางพารา มีลูกน้องหลายคน ทำให้มีรายได้เข้ามาพอสมควร ทำให้สามารถสร้างบ้านและซื้อสวนยางพาราได้ จากที่เมื่อก่อนกำนันไม่เคยคิดจะซื้อไว้ เมื่อได้แต่งานกับสาว สาวก็แนะนำให้ซื้อเก็บไว้บ้าง กำนันจึงซื้อไว้

หลังจากกำนันตาย บ้านกับสวนยาพาราก็ถูกญาติของกำนันจัดการขายไปหมด เพื่อเอาเงินมาแบ่งกัน แม้กระทั่งรถสิบล้อที่มี ก็ต้องขายหมดเพื่อเอามาจ่ายหนี้

บ้านก็ซื้อกันเองในราคาที่ถูกมาก เขาอยากได้ก็ให้ไป เงินที่ได้มาก็ไม่ภูมิใจเท่าไร เหมือนขายสมบัติเราแล้วเอาเงินมาแบ่งให้เราคิดว่าไม่ยุติธรรม

ช่วงหลังมีการฝากคำพูดกับคนอื่นมาว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สาวคิดว่าไม่ต้องพูดแล้ว ทำไมตอนที่เราอยู่ที่นั่นจึงไม่พูด สาวไม่อยากทะเลาะ เพราะแย่งสมบัติ เพราะเราไปตัวเปล่า แล้วไปสร้างเอาที่นั่น

หลังจากกำนันเสียชีวิต สาวอยู่ที่นั่นอีกเกือบ 2 เดือน ก็ทนไม่ไหว มีปัญหาเยอะ แต่ละวันไม่เหมือนกัน เช่น มีคนมาทวงเงิน บางครั้งญาติพี่น้องของกำนันพยายามบีบให้ออกจากวง เพราะเกรงว่า ถ้าสาวยังอยู่อาจจะคัดค้านในสิ่งที่เขาต้องการก็ได้

คงเห็นว่าเราเป็นเมียน้อย สาวไม่อยากทะเลาะกับใคร จึงย้ายออกมาจากที่นั่น และไม่ต้องการสมบัติที่กำนันทิ้งไว้ แม้โต๊ะอิหม่ามต้องการให้อยู่ต่อเพื่อแก้ปัญหาเรื่องมรดกตามหลักศาสนาอิสลามให้เสร็จก่อน

กำนันไม่ได้ทำพินัยกรรม บ้านที่สร้างก็ไม่มีเอกสารอะไร เพราะไม่คิดว่าสร้างบ้านแล้วจะเสียชีวิต กำนันเคยพูดว่าบ้านหลังนี้จะให้สาวกับลูก ซึ่งคนอื่นก็รู้กันทั่ว แต่ญาติของกำนันยืนยันที่จะขายบ้านหลังนั้น

เงินที่ขายบ้าน เขาแบ่งให้มาบ้างไม่มาก เอาไปซื้อสวนยางก็ไม่ได้ เงินที่ได้มันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่สร้างไว้ ซึ่งเราไม่พอใจเพราะน่าจะได้มากกว่านั้น แต่เราไม่ต้องการแย่งสมบัติ กลัวคนที่ตายไปแล้วไม่สบายใจ เขาอยากได้ ก็ให้เขาไป เราสามารถเลี้ยงลูกเองได้

กับภรรยาอีกคนของกำนันเคยทะเลาะบ้างกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แม้กำนันเคยบอกว่า อยากให้เมียทั้งสองคนรักกัน แต่สาวบอกว่า ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า เขาคงคิดว่าเราไปแย่งของเขา แต่ช่วงหลังๆ กำนันก็มักจะมาอยู่กับสาวมากกว่า

สาวใช้นามสกุลเดียวกับกำนัน เพราะเป็นภรรยาคนเดียวที่กำนันพาไปจดทะเบียนสมรส เหตุที่กำนันพาไปจนทะเบียนสมรส เพราะจะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งต้องใช้ทะเบียนสมรสเป็นหลักฐานในการเดินทางด้วย

แต่หลังจากจดทะเบียนสมรสแล้ว สาวได้ตั้งครรภ์ แผนที่จะเดินทางไปกระกอบพิธีฮัจย์พร้อมกับกำนันก็ถูกยกเลิก

หลังจากที่สาวกลับมาอยู่ที่บ้านเดิม ได้ข่าวว่า ทางศาลากลางจังหวัดสงขลาได้มอบเงินช่วยเหลือจากการเสียชีวิตของกำนัน 100,000 บาท ซึ่งตามหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ กำนันต้องได้รับเงินช่วยเหลือ 500,000 บาท แต่ตอนนั้นเจ้าหน้าที่ยังสรุปไม่ได้ว่า กำนันเสียชีวิตเพราะเหตุการณ์ไม่สงบหรือเรื่องส่วนตัว

เมื่อยังไม่สามารถสรุปได้ ทางศาลากลางจังหวัดจึงมอบเงินช่วยเหลือให้ก่อน 25% เงินที่ได้ก็ต้องเอามาแบ่งกันหลายคน ซึ่งตกมาถึงสาวด้วยจำนวนหนึ่งซึ่งไม่มาก ซึ่งเงินที่ได้มานั้น นำมาเก็บไว้ให้ลูกคนสุดท้อง เพราะเป็นทรัพย์สินอย่างเดียวที่ได้มาจากกำนัน

ส่วนเงินช่วยเหลือเยียวยาที่เหลือจะได้ด้วยหรือไม่นั่น ไม่ทราบ เพราไม่ได้ติดตามข่าว ซึ่งหลังจากกลับมาอยู่บ้านเดิม ก็ไม่เคยติดต่อกลับไปที่บ้านเดิมของสามีเลย

สาวเองก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้ เพราะเสียความรู้สึกกับเรื่องนี้มาก พูดทุกทีก็ช้ำใจทุกที ก็เลยไม่อยากพูดกับใคร ไม่อยากไปไหน เพราะเจอแล้ว เขาก็ถามว่าทำไมถึงกลับมาอยู่บ้าน สาวก็ต้องเริ่มต้นเล่าเรื่องใหม่อีกครั้งไม่รู้จบ

กลับมาอยู่บ้านใหม่ๆ คนก็พูดว่า ไปอยู่ที่โน่นแล้ว กลับมาไม่ได้อะไรมาบ้างหรือ ยิ่งทำให้ไม่อยากให้ใครรู้ด้วยซ้ำว่า สาวกลับมาอยู่บ้านแล้ว

หลังจากกลับมาอยู่ที่บ้านเดิม ก็สบายใจขึ้นระดับหนึ่ง เหมือนถอยมาตั้งหลักให้กับชีวิต เพราะสาวไม่ชอบบอกคนอื่นว่า เราลำบาก ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็น

กลับมาอยู่บ้านทำงานรับจ้างกรีดยางพารา เพราะกรีดยางเป็น มีรายได้วันละ 200 – 250 บาท ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ให้ลูกไปโรงเรียน

ขายของก็ได้ เพราะตอนอยู่กับกำนัน เคยลงทุนเปิดร้านขายของหน้าโรงงานใกล้บ้าน แต่เมื่อคลอดลูกก็เลิก ตอนนี้ยังไม่ได้คิดที่จะเปิดร้านขายของ

ที่ผ่านมา เคยขอทุนมูลนิธิเยียวยาและสร้างความสมานฉันท์ชายแดนใต้ นำมาเลี้ยงปลาดุกแต่เนื่องจากเป็นงานที่เราไม่เคยทำ ไม่มีความชำนาญ ก็เลยล้มเหลวและไม่ได้ทำต่อ

เมื่อกลับมาอยู่บ้าน ลูกทั้ง 4 คนก็ได้มาอยู่ด้วยกัน จากที่ฝากเลี้ยงไว้กับอดีตแม่ยายและแม่ของตัวเอง

ส่วนบ้านที่อาศัยอยู่ก็เป็นบ้านของอดีตสามีสร้างไว้ แต่สร้างไม่เสร็จอดีตสามีก็เสียชีวิต จากนั้นอดีตพ่อตาสร้างต่อให้เสร็จและมั่นคงแข็งแรงดี ก่อนหน้านี้อยู่กับแม่ แต่ที่บ้านแม่ถูกน้ำท่วมบ่อย จึงขนของมาอยู่กันที่บ้านหลังนี้

สำหรับลูกทั้ง 4 คน คนโตเป็นผู้หญิง อายุ 15 ปี ชื่อสางสาวนาวียะห์ ขะมิโดย เรียนจบชั้นประถามศึกษาปีที่ 6 และไม่ได้เรียนต่อ

คนที่สองเป็นผู้ชาย อายุ 13 ปี ชื่อเด็กชายกัดดาฟี ขะมิโดย ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมบูรณ์ศาสน์ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา

คนที่สาม เป็นผู้หญิง อายุ 11 ปี ชื่อเด็กหญิงปนัสยา ขะมิโดย กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และคนสุดท้อง ซึ่งเกิดกับกำนันเจ๊ะบาเหม ชื่อเด็กหญิงนัฟตาลี ทุยเลาะ อายุ 3 ขวบ ส่งเข้าเรียนอนุบาลแล้ว

หลังจากกลับมาอยู่ที่บ้านไม่นาน ก็มีคนโทรศัพท์มาจีบบ่อย ส่วนใหญ่จะพูดจาหยาบคาย คงคิดว่าเราเป็นแม่หม้าย จึงพูดอะไรตรงๆ ได้ ไม่ต้องให้ความสำคัญกับคำพูดที่สวยหรูมากก็ได้ แต่สาวเองคิดว่า เราต้องให้เกียรติกับตัวเอง อย่างน้อยก็เพื่อตัวเราเองและเพื่อลูก

เมื่อมีคนโทรศัพท์มาจีบมากๆ ก็รู้สึกรำคาญ จึงตัดปัญหาด้วยการเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์มือถือเสียเลย แม้บางคนมาถึงที่บ้านก็ไม่ยอมให้เข้าบ้าน ไล่เขากลับไป ตอนนี้ไม่มีคนโทรศัพท์มากวนแล้ว

ทุกวันนี้สาวรู้สึกมีความสุขดีและเลี้ยงลูกทั้ง 4 คนเองได้ พอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่แล้ว
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“ประวิตร” สั่งเช็กทหารแตงโมโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบัน

Posted: 29 Oct 2010 02:33 AM PDT

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 53 ที่ผ่านมา ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่าพ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 10/2553 ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุม ว่า ในที่ประชุมได้มีการพูดถึงการเผยแพร่ข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในสังคมออ นไลน์ ที่ปัจจุบันมีการใช้กันอย่างกว้างขวาง เป็นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารสู่สาธารณะได้เป็นวงกว้างภายในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งที่เป็นทหารและพลเรือน และที่ผ่านมา มีการตรวจพบเว็บไซต์ที่มีการเผยแพร่ข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นจำนวน มาก โดยมีผู้โพสต์ข้อความ มีทั้งคนไทยที่อยู่ในประเทศไทย และอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นขบวนการเครือข่ายที่มุ่งร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง
      
“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงสั่งการให้หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพ เข้มงวดกวดขันวินัยในการใช้สังคมออนไลน์ของข้าราชการทหารในสังกัดทุกระดับ ชั้น โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ตรวจสอบการใช้งานของข้าราชการทหาร หากพบว่ามีการใช้งานในลักษณะดังกล่าว ให้รายงานหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพทราบ เพื่อดำเนินการลงโทษตามวินัยทหารอย่างเด็ดขาด เพื่อมิให้เป็นตัวอย่างต่อบุคคลอื่น”
      
พ.อ.ธนาธิป กล่าวว่า หากตรวจพบว่า ทหารคนใดเข้าไปเกี่ยวข้อง และมีความผิดในทางอาญาฐานบ่อนทำลายสถาบันก็จะต้องสั่งให้ปลดออกจากราชการ รวมถึงนำตัวดำเนินการตามกฎหมายต่อไป เพราะสถาบันทหารมีหน้าที่ในการพิทักษ์รักษา และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชน ซึ่งทหารทุกคนจะต้องยึดถือปฏิบัติ ตามค่านิยมหลักของมาตรฐานจริยธรรมอย่างเคร่งครัด

ที่มาข่าว:

“ประวิตร” สั่งเช็กทหารแตงโมโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบัน หากพบไล่ออก เอาผิดอาญา (ASTVผู้จัดการออนไลน์, 28-10-2553)
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000152077

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศุขปรีดา พนมยงค์ ถึงแก่กรรมด้วยวัย 75 ปี

Posted: 28 Oct 2010 11:51 PM PDT

 Voice TV รายงานเมื่อเวลา 12.59 น. ว่า นายศุขปรีดา พนมยงค์ บุตรชายคนที่สามของนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ถึงแก่กรรมแล้วเมื่อเวลาประมาณ 2.00 น. ของคืนวันที่ 29 ตุลาคม 2553 ที่ร.พ.ธรรมศาสตร์ ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด โดยก่อนที่จะเสียชีวิตนายศุขปรีดาได้บริจาคร่างกายไว้กับร.พ.ธรรมศาสตร์ 

สำหรับพิธีรดน้ำศพกำหนดจัดที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ในวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2553 และจะจัดพิธีรำลึกที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น