ประชาไท | Prachatai3.info |
- คลิปศาล รธน. ระลอกสอง ว่อนอีก
- ศาลยกฟ้องไชยยันต์ ฉีกบัตรเลือกตั้ง
- สนธิฉะมาร์คตระบัดสัตย์ขายชาติตอนน้ำท่วม นักธุรกิจเพื่อปชต. ระดมพลค้านมติ ก.ก. ร่วมไทย-กัมพูชา
- สาวสวยซาอุฯ มีเฮ รัฐยื่นมือจัดการธุรกิจจัดหาคู่ในซาอุดี้
- กวีประชาไท: คิดถึงลุงนวมทอง ไพรวัลย์
- นูรวาตี ทุยเลาะ ชีวิตบ้านเล็กเหยื่อชายแดนใต้
- “ประวิตร” สั่งเช็กทหารแตงโมโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบัน
- ศุขปรีดา พนมยงค์ ถึงแก่กรรมด้วยวัย 75 ปี
Posted: 29 Oct 2010 02:43 PM PDT คลิปซึ่งถูกอ้างว่าเป็นบทสนทนาของตุลการศาลรัฐธรรมนูญหลุดอีก 3 ตอน เนื้อหาตั้งรับสถานการณ์หลังคลิปหลุดระลอกแรก ซับไตเติ้ลระบุชื่อ พิสิฐ จรูญ และสุพจน์ เมื่อวันที่ 29 ต.ค. มีการเผยแพร่คลิปพร้อมซับไตเติ้ล โดยใช้ชื่อว่า “พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย” 3 ตอนต่อเนื่อง ผ่านเว็บไซต์ยูทูปว์ และระบุว่าเป็นบทสนทนาระหว่างบุคคลที่ชื่อว่า พิสิฐ จรูญ และสุพจน์ เกี่ยวกับการเผยแพร่คลิปซึ่งมีการอ้างว่าเป็นบทสนทนาของข้าราชการระดับสูงในศาลรัฐธรรมนูญกเกี่ยวกับการยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยคลิปทั้งหมดถูกโพสต์โดยบุคคลที่ใช้ชื่อว่า ohmygod3009 ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการยูทูปว์รายเดียวกันกับที่โพสต์คลิปที่ถูกอ้างว่าเป็นบทสนทนาของข้าราชการระดับสูงในศาลรัฐธรรมนูญและทนายความของพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 5 คลิปก่อนหน้านี้ สำหรับคลิปทั้งสามมีรายละเอียดดังนี้ 1 พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย ตอนที่ 1 2 พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย ตอนที่ 2 3 พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย ตอนที่3 เขียนบรรยายคลิปว่า “การให้คำแนะนำพรรคพวกในการให้ข่าว หากมีการนำบทสนทนา ที่นำข้อสอบไปให้ญาติ และพรรคพวก ถูกเปิดโปงออกมา โดยโยนให้เป็นเรื่อง ของขบวนการทำลายเครดิตศาลรัฐธรรมนูญ และคลิปมีการตัดต่อโดยอ้างว่า อภิสิทธิ์ก็โดนเช่นกัน อีกทั้ง คนของพรรคเพื่อไทยอยู่เบื้องหลัง การนำคลิปไปเผยแพร่. "(ท่านเห็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจเยี่ยงจิ้งจอกของบุคคลกลุ่มนี้ในคราบของตุลาการ ท่านคิดว่าประเทศไทยจะอยู่อย่างไร ศาลสั่งได้จริงหรือเปล่า ลองไปนึกถึงคำตัดสิน กรณีต่างๆใช้ทั้งอารมณ์ เปิดทั้งพจนานุกรม และขาดชึ่งมาตรฐานตามหลักสากล) "หมายเหตุ: ภายหลังคลิปนี้คงมีคำสั่งให้ตุลาการพวกนี้ออกเพื่อให้องค์คณะไม่ครบ จึง ทำกระบวนการพิพากษาชะงักงัน การยุบพรรคจึงต้องทอดเวลาออกไป ประชาธิปัตย์ก็ทำหน้าที่รัฐบาลต่อไปอีก หรือ ทำการยึดอำนาจเพื่อแก้ปัญหาศาลรัฐธรรมนูญถูกคุกคาม เพราะตุลาการจัดฉาก และสารภาพด้วยตนเอง นี่คือตัวอย่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เริ่มทำงานแล้ว” ทั้งนี้ ภายหลังที่คลิปชุดแรกแพร่สะพัดออกไป มีการพยายามค้นหาว่าใครเป็นผู้เผยแพร่คลิปโดยทางกองปราบระบุว่าจะดำเนินการออกหมายจับผู้เผยแพร่คลิปยุบพรรคประชาธิปัตย์ ขณะเดียวการมีการถอดนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ออกจากตำแหน่งเลขาประธานศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่นายพสิษฐ์นั้นเดินทางออกนอกประเทศไปก่อนหน้านั้นแล้ว นอกจากนี้ ทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ยังฟ้องนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยด้วยข้อหาหมิ่นประมาทจากการเผยแพร่คลิปชุดดังกล่าว ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้แถลงเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคลิปที่อ้างว่าเป็นบันทึกการสนทนา ระหว่างเจ้าหน้าที่ตุลาการระดับสูงและทนายความของพรรคประชาธิปัตย์ โดยระบุเป็นปัญหาความซื่อสัตย์เที่ยงธรรม หากทำจริงต้องลาออก และอย่าเบี่ยงประเด็นที่มาของคลิป อย่างไรก็ตาม ขณะที่ยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการหาข้อเท็จจริงในคลิปชุดแรกว่าใครเป็นผู้ปล่อยคลิปและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีพฤติกรรมตามที่ปรากฏในคลิปจริงหรือไม่ ก็มีการเผยแพร่คลิประลอกที่ 2 ออกมาดังกล่าว สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ศาลยกฟ้องไชยยันต์ ฉีกบัตรเลือกตั้ง Posted: 29 Oct 2010 12:48 PM PDT ศาลจังหวัดพระโขนงยกฟ้องคดีนายไชยยันต์ ไชยพร ฉีกบัตรเลือกตั้ง อ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญระบุการเลือกตั้งปี 2549 ไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 บัตรเลือกตั้งที่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งมอบให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จึงไม่ใช่บัตรเลือกตั้งเป็นเพียงแบบพิมพ์บัตรเลือกตั้ง การกระทำของจำเลยจึงไม่อาจเป็นความผิด เว็บไซต์เมเนเจอร์ออนไลน์รายงานว่า วันที่ 29 ต.ค. ที่ ศาลจังหวัดพระโขนง ถ.สรรพาวุธ ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง นายไชยยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นจำเลยฐานกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 ม.108 ที่ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดทำบัตรเลือกตั้งดีให้เป็นบัตรเสีย และ ป.อาญา ม.358 ฐานทำให้เสียทรัพย์ คดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 2 เม.ย.49 เวลากลางวัน จำเลยฉีกบัตรเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 1 ใบ และแบบบัญชีรายชื่อ 1 ใบ ของ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขาดออกเป็นหลายชิ้นจนเสียหายใช้ลงคะแนนไม่ได้ อันเป็นการจงใจกระทำด้วยประการใดๆ ให้บัตรเลือกตั้งดังกล่าวชำรุดเสียหาย เหตุเกิดที่หน่วยเลือกตั้ง โรงเรียนเตรียมอุดมพัฒนาการ แขวงและเขตสวนหลวง กรุงเทพฯ ขอให้จำเลยตามความผิดและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี จำเลยให้การปฏิเสธและนำสืบว่า การยุบสภาผู้แทนฯของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ไม่ได้มีสาเหตุมาจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ แต่เพื่อหลีกเลี่ยง การตรวจสอบในสภาเรื่องการถือครองหุ้นชินคอร์ป ของครอบครัวชินวัตร การยุบสภาจึงมิได้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และจะใช้ผลการเลือกตั้งซักฟอกความผิดของตน และกำหนดวันเลือกตั้งไปไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยฉีกบัตรเลือกตั้งดังกล่าวโดยเจตนาที่จะต่อต้านการเลือกตั้งที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย โดยมิได้มีเจตนาทำลายบัตรเลือกตั้ง ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 49 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 9/2549 ว่า เป็นการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรม ไม่เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 บัตรเลือกตั้งที่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งมอบให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จึงไม่ใช่บัตรเลือกตั้งเป็นเพียงแบบพิมพ์บัตรเลือกตั้ง การกระทำของจำเลยจึงไม่อาจเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. ม.108 และการที่จำเลยมาใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วฉีกบัตรเฉพาะในส่วนที่ได้รับมาทั้ง สองใบอย่างเปิดเผยเพื่อสื่อให้ประชาชนตระหนักถึงการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรม โดยไม่ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวาย หรือความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จึงเป็นการใช้สิทธิต่อต้านการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยสันติวิธี ทั้งบัตรเลือกตั้งดังกล่าวก็เป็นทรัพย์ที่ กกต.ใช้ในการทำความผิดในการเลือกตั้งและมีราคาเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองของประเทศโดยวิธี การซึ่งมิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สนธิฉะมาร์คตระบัดสัตย์ขายชาติตอนน้ำท่วม นักธุรกิจเพื่อปชต. ระดมพลค้านมติ ก.ก. ร่วมไทย-กัมพูชา Posted: 29 Oct 2010 12:41 PM PDT สนธิ จวกนายกรัฐมนตรี ฉวยโอกาสน้ำท่วมนำเรื่องแบ่งปันเขตแดนไทย-กัมพูชาเข้าสภา ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตยร่อนจะหมายผ่านเครือข่ายและสื่อมวลชนให้ออกมาแสดงพลังคัดค้านการในวันอังคารที่ 2 พ.ย. ที่จะถึง อ้างไทยจะเสียดินแดนมหาศาล โดยจดหมายเรียกร้องให้ออกมาแสดงพลังคัดค้านมติคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชา มีข้อความว่า “ตามที่รัฐบาลมีความพยายามที่จะให้รัฐสภาให้การรับรองบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมชายแดนไทย-กัมพูชาโดยได้ลักไก่นำเข้าพิจารณาและผลักดันให้รัฐสภารับรองเมื่อวันที่ 26 ที่ผ่านมา โดยผลที่เกิดขึ้นคือ “มีผลให้รัฐบาลไทยให้คำรับรอง และยอมรับแผนที่มาตรส่วน 1:200000 ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว แทนข้อตกลงร่วมไทย-ฝรั่งเศส ที่ให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา อันจะเป็นความสุ่มเสี่ยงที่ทำให้ไทยอาจเสียดินแดงให้แก่กัมพูชานับล้านไร่” โดยจะมีการพิจารณาในรัฐสภาอีกครั้งในเช้าวันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน 2553 “เพราะเมื่อคราวที่แล้วไม่ครบองค์ประชุม” ในการนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีมติคัดค้าน และจะร่วมกันแสดงความเห็นให้สมาชิกรัฐสภาตระหนักในผลที่จะเกิดกับประเทศ โดยสูญเสียดินแดนจำนวนมหาศาล “จึงเรียนให้ท่านสมาชิกได้พิจารณาเห็นด้วย โปรดร่วมกันแสดงพลัง ที่บริเวณหน้ารัฐสภาในช่วงเช้าวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 ให้มากที่สุด” ลงชื่อ นายสมเกียรติ หอมลออ ประธานชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย ด้านเว็บไซต์เมเนเจอร์ออนไลน์รายงานการวิเคราะห์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งกล่าวในรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 29 ต.ค. กรณีที่รัฐบาลเสนอวาระการพิจารณาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนไทย(เจ บีซี)ไทย-กัมพูชา 3 ฉบับ เข้าสู่ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวันที่ 2 พ.ย.นี้ว่า หากรัฐสภามีมติรับรองบันทึกการประชุมเจบีซีดังกล่าวจะทำให้ไทยสูญเสียดิน แดนอย่างแน่นอน และเป็นการสูญเสียในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เหมือนที่เคยสูญเสียช่วงหลังปี 2540 ที่ให้ฝรั่งเข้ามาซื้อทรัพย์สินราคาถูก รวมทั้งก่อนหน้านั้นที่เปิดให้มีบีไอบีเอฟ นายสนธิ กล่าวต่อว่า บันทึกการประชุมเจบีซีที่สภาจะลงมติรับรองในวันที่ 2 นี้ จัดทำขึ้นตามเอ็มโอยูปี 2543 ซึ่งมีการลงนามในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลเช่นกัน โดยขณะนั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็น รมช.ต่างประเทศ ซึ่งนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีขณะนั้นก็ยอมลงนามตามที่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเสนอมา ทั้งที่ในเรื่องเขตแดนนั้น หากแต่ละประเทศจะยืนยันเขตแดนของตัวเองตามหลักฐานที่แต่ฝ่ายมีอยู่แม้จะตกลง กันไม่ได้เป็น 50 ปี 100 ปีก็ไม่เป็นไร แต่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศของไทยขี้ขลาดตาขาว หลังจากที่เราเสียตัวปราสาทให้กัมพูชาเมื่อปี 2505 จึงเอาตัวรอด ไม่กล้าปกป้องแผนดินของตัวเอง ยิ่งในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มักจะทำตามที่ข้าราชการประจำเสนอมา พรรคประชาธิปัตย์ก็ปล่อยให้ทำไป ไม่กล้าเข้าไปแทรกแซง เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นนายกฯ ก็มักจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ นายสนธิระบุว่า รัฐบาลได้ฉวยโอกาสน้ำท่วมนำเรื่องที่ตัวเองขายชาติเข้าสภา โดยในวันที่ 26 ต.ค.ที่วาระนี้เข้าสภาครั้งแรก โฆษกรัฐบาลกัมพูชาก็บอวก่นายฮุนเซนจะไม่เอาเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชาเข้า หารือกับนายบันคีมูน เลขาธิการสหประชาติ เพราะฝ่ายไทยรับปากว่ารัฐสภาไทยจะผ่านบันทุกการประชุมเจบีซีให้ จึงไม่ทราบว่าใครไปตกลงขายชาติเอาไว้ล่วงหน้า ฝ่ายเขมรจึงรู้ว่าสภาไทยจะผ่านให้ ใครเป็นคนไปรับปาก นายอภิสิทธิ์หรือนายกษิต นายสนธิ กล่าวอีกว่า นายอภิสิทธิ์เคยพูดกับพันธมิตรฯ ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง เมื่อวันที่ 7 ส.ค.และพูดระหว่างการออกโทรทัศน์ช่อง 11 กับตัวแทนเครือข่ายประชาชนเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ว่าจะยึดหลักสันปันน้ำ และยอมรับว่าการที่คนกัมพูชาเข้าไปอยู่บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร เป็นการละเมิดเอ็มโอยู. 2543 ซึ่งรัฐบาลจะใช้มาตรการทั้งทางการทูตและการทหารผลัดกันคนกัมพูชาออกไป แต่จนบัดนี้ผ่านมา 3 เดือนแล้วนายอภิสิทธิ์ยังไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อผลักดันคนกัมพูชาออกไปเลย ทุกอย่างยังเหมือนเดิม แสดงว่าที่นายอภิสิทธิ์พูดวันนั้นแค่โกหกใช่หรือไม่ และถ้าวันนี้ยังยึดหลักสันปันน้ำอยู่ นายอภิสิทธิ์ต้องสั่งห้ามเจบีซีไม่ไปทำเขตแดนใหม่ในบริเวณที่ไทยกับฝรั่งเศส ได้ตกลงกันไว้แล้ว และถ้าบอกว่ามีการละเมิดเอ็มโอยู 2543 ก็จะต้องยกเลิก แต่เหตุที่ไม่ยกเลิก ก็เพราะเป็นผลงานที่พรรคประชาธิปัตย์เคยทำไว้ เป็นความพยายามรักษาพรรคเอาไว้ โดยยอมให้ประเทศเสียดินแดน นายสนธิย้ำว่า ถ้าให้บันทึกการประชุมเจบีซีผ่านสภา จะมีผลให้ไทยเสียดินแดนอย่างแน่นอน นายอภิสิทธิ์ นายกษิต ส.ส.ส.ว.คนไหนก็ตามที่ลงมติ รวมทั้งนายวศิน ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง จะต้องเข้าข่ายเป็นคนขายชาติอย่างแน่นอน ดังนั้น พันธมิตรฯ จะต้องแสดงพลังในวันที่ 2 พ.ย.นี้ เพื่อปกป้องแผ่นดินไทย ขอให้พี่น้องมาร่วมชุมนุมกันตั้งแต่เช้า แต่จะไม่ปิดทางเข้าออกรัฐสภา แต่เราจะแสดงพลังให้เขาเห็นว่าเราไม่เห็นด้วย เพราะเขาหาว่าเราไม่มีน้ำยา “ปัญหาไม่ใช่เราไม่มีน้ำยา ปัญหาคือเราเป็นคนมีเหตุผล เห็นเขาตั้งใจทำงานเราก็พร้อมที่จะหาทางออกให้เขา แต่การที่เขาเอาเจบีซีเข้าสภา แสดงว่าเขาตระบัดสัตย์ เพราะเนื้อหาเจบีซีนั้นเป็นเนื้อหาที่มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาพูดหมด ที่คุณพูดเอาไว้ไง ว่าคุณยึดถือสันปันน้ำ และวันนี้เจบีซีมายึดถือสันปันน้ำหรือเปล่าล่ะ “กระทรวงการต่างประเทศมันเป็นหนึ่งกระทรวงภายใต้รัฐบาล คุณสั่งไม่ได้เชียวหรือ คุณอภิสิทธ์ คุณกษิต ภิรมย์ คุณบอกเขาไมได้เหรอว่าผมไม่เอาแบบนี้ คุณดูรายละเอียดเจบีซีซิคุณต้องรู้ คุณต้องอ่านรายละเอียด ... คุณปล่อยเลยตามเลย เพราะคุณเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น คุณต้องการลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ถึงชาติบ้านเมืองจะเสียดินแดนไปก็ช่างมัน ...ผมเสียดาย ผมเสียใจ ผมสนับสนุนคุณมาตลอดด้วยความสัตย์จริง หลายต่อหลายอย่าง ผมเห็นว่าควรให้โอกาสคุณ เกือบสองปีที่ผมอยู่เฉยๆ เพราะผมคิดว่าให้คุณทำ ทั้งๆ ที่หลายต่อหลายครั้งผมไม่สบายใจและผมหงุดหงิดในความเป็นคุณ”นายสนธิกล่าว สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สาวสวยซาอุฯ มีเฮ รัฐยื่นมือจัดการธุรกิจจัดหาคู่ในซาอุดี้ Posted: 29 Oct 2010 12:00 PM PDT อาชีพพ่อสื่อแม่ชักในซาอุดิอาระเบียกำลังจะได้รับการยอมรับว่าถูกต้องตามกฎหมายและหลักศาสนา หลังพบสถิติสาวโสดในเมืองซาอุพุ่งสูงถึง 1.5 ล้านคน ริยาดฮฺ – บรรดาแม่สื่อ และนักจัดคู่ นับร้อยๆ คนในซาอุดี้ กำลังติดตามข่าวที่ทางการได้จัดให้มีการประชุมครั้งแรก เพื่อจัดการขึ้นทะเบียนอาชีพนี้ให้ถูกต้อง และจะมีการให้การอบรมสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าสู่วงการอย่างเป็นเรื่องเป็น ราวซึ่งจะมีการออกประกาศนียบัตรรับรองผู้เข้าอบรมให้ด้วย การประชุมที่จะจัดขึ้นมีชื่อว่า Matchmakers in the Saudi Society เพื่อปรึกษาหารือในการสร้างมาตรฐาน สำหรับนักจัดคู่ทั้งหญิง – ชาย และเพื่อส่งเสริมให้เป็นอาชีพที่ถูกต้องทั้งตามศาสนา และกฎหมายในอนาคต มุฮัมมัด อัล-อับดุล อัลกาเดอร์ เลขาธิการสมาคม Weaam ซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับการบริการแต่งงาน กล่าวว่า จำนวนสาวโสดที่เพิ่มสูงขึ้นในซาอุดี้ เป็นหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่ทำให้เกิดการประชุมครั้งนี้
เขากล่าวว่า ตาม สถิติเมื่อเร็วๆ นี้ สาวโสดในซาอุดี้มีจำนวนถึง 1.5 ล้านคน และหากไม่เริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ จำนวนอาจพุ่งขึ้นถึง 4 ล้านคนในอีกไม่นาน ธุรกิจการหาคู่ได้เข้าสู่ความนิยมในซาอุดี้ หลังจากอัตราการแต่งงานได้ลดน้อยถอยลง และกลายเป็นธุรกิจที่ทำเงินรายได้ให้เจ้าของเป็นจำนวนมาก มีรายงานที่เผยแพร่ในนิตยสาร Laha ของซาอุดี้ ที่ระบุว่า ผู้จัดหาคู่ได้เงินจากการทำงานที่สำเร็จตามความคาดหมายครั้งละประมาณ 1,066 ดอลล่าร์ ในที่นี้หมายถึงคู่ที่เป็นหญิง-ชายสามัญชน แต่หากเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ค่าตอบแทนจะพุ่งขึ้นเป็นราว 26,664 ดอลล่าร์ มีความกริ่งเกรงกันว่า หากทางการไม่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ธุรกิจจัดหาคู่จะสุ่มเสี่ยงจากการเห็นแก่ผลประโยชน์เป็นเรื่องสำคัญเหนือ จริยธรรม และความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้คนในสังคมอนุรักษ์ของซาอุดี้ เพราะถึงแม้สตรีที่มีความรู้ระดับ แพทย์ อาจารย์ และวิศวกร ในซาอุดี้ ก็ยังอาจถูกหลอกต้มให้ตกลงแต่งงานแบบลับๆ ได้
ที่มา: สำนักข่าวมุสลิมไทย สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
กวีประชาไท: คิดถึงลุงนวมทอง ไพรวัลย์ Posted: 29 Oct 2010 11:39 AM PDT 4 ปีแล้ว...ลุง มนุษย์หนึ่งเกิดมา นวมทอง ลุงนวมทอง ความตาย คายความงาม นวมทอง ลุงนวมทอง แม้นเทวาจักได้รู้
คิดถึงลุงเสมอ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
นูรวาตี ทุยเลาะ ชีวิตบ้านเล็กเหยื่อชายแดนใต้ Posted: 29 Oct 2010 11:26 AM PDT อีกหนึ่งตัวอย่างของผู้ได้รับผลกระทบจากชายแดนใต้ นูรวาตี ทุยเลาะ ชีวิตบ้านเล็กเหยื่อชายแดนใต้ กับโจทย์เรื่องการเยียวยา สะอื้น – นางนูรวาตี ทุยเลาะ ร้องไห้สะอื้นขณะเล่าเรื่องของตัวเองที่ได้รับผลกระทบจากเหตุสามีเสียชีวิตจากเหตุการณ์ไม่สงบ ถึงคราวที่ผู้ชายมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีเมียหลายคน ประสบเหตุไม่สงบจนถึงกับเสียชีวิ บรรดาผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังก็ต้องลำบากกันถ้วนหน้า ไหนจะลูกอีกหลายคน เช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นกับนายเจ๊ะบาเหม ทุยเลาะ อายุ 47 ปี กำนันตำบลทุ่งพอ อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตที่ตลาดสะบ้าย้อย เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2553 ขณะเสียชีวิตนายเจ๊ะบาเหม มีภรรยา 2 คน ชื่อนางฮามีดะห์ ลีเงาะ มีลูกด้วยกัน 4 คน อีกคนนางนูรวาตี ทุยเลาะ มีลูกด้วยกัน 1 คน อายุ 2 ขวบครึ่ง ก่อนหน้านั้นนายเจ๊ะบาเหม มีภรรยามาแล้วอีก 2 คน แต่ได้เลิกร้างกันไปแล้ว โดยมีลูกรวมกันทั้งหมด 13 คน นางนูรวาตี ทุยเลาะ อายุ 33 ปี คือภรรยาคนล่าสุดของนายเจ๊ะบาเหม ถือเป็นภรรยาคนสุดท้อง เธอเคยแต่งงานมาแล้ว มีลูก 3 คน และเป็นหม้ายมา 2 – 3 ปี ก่อนจะแต่งงานกับกำนัน เนื่องจากสามีคนแรกเป็นโรคเสียชีวิต หลังจากสามีถูกยิงเสียชีวิต นางนูรวาตี จึงได้พาบุตรสาวคนเดียวที่เกิดกับนายเจ๊ะบาเหม กลับไปอยู่อาศัยอยู่กับมารดาที่บ้านเลขที่ 40/1 บ้านป่าขี้เหล็ก หมู่ที่ 15 ตำบลนาทวี อำเภอนาทวี ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมของตนเอง นางนูรวาตี ซึ่งเรียกแทนตัวเองว่า “สาว” เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง กับผลกระทบและการเยียวยาที่ได้รับ ดังนี้ บ้านหลังนี้ กำนันกู้เงินจากธนาคารมาสร้างบ้าน แต่หลังจากกำนันเสียชีวิต เงินงวดสุดท้ายที่จะนำมาเป็นค่าใช้จ่าจากการสร้างบ้านที่เหลือยังไม่ได้รับ ทางธนาคารก็ไม่ได้โอนมาให้ จึงจำเป็นต้องยืมเงินคนอื่นมาจ่าย อาชีพเดิมของกำนันคือทำธุรกิจขายไม้ยางพารา มีลูกน้องหลายคน ทำให้มีรายได้เข้ามาพอสมควร ทำให้สามารถสร้างบ้านและซื้อสวนยางพาราได้ จากที่เมื่อก่อนกำนันไม่เคยคิดจะซื้อไว้ เมื่อได้แต่งานกับสาว สาวก็แนะนำให้ซื้อเก็บไว้บ้าง กำนันจึงซื้อไว้ หลังจากกำนันตาย บ้านกับสวนยาพาราก็ถูกญาติของกำนันจัดการขายไปหมด เพื่อเอาเงินมาแบ่งกัน แม้กระทั่งรถสิบล้อที่มี ก็ต้องขายหมดเพื่อเอามาจ่ายหนี้ บ้านก็ซื้อกันเองในราคาที่ถูกมาก เขาอยากได้ก็ให้ไป เงินที่ได้มาก็ไม่ภูมิใจเท่าไร เหมือนขายสมบัติเราแล้วเอาเงินมาแบ่งให้เราคิดว่าไม่ยุติธรรม ช่วงหลังมีการฝากคำพูดกับคนอื่นมาว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สาวคิดว่าไม่ต้องพูดแล้ว ทำไมตอนที่เราอยู่ที่นั่นจึงไม่พูด สาวไม่อยากทะเลาะ เพราะแย่งสมบัติ เพราะเราไปตัวเปล่า แล้วไปสร้างเอาที่นั่น หลังจากกำนันเสียชีวิต สาวอยู่ที่นั่นอีกเกือบ 2 เดือน ก็ทนไม่ไหว มีปัญหาเยอะ แต่ละวันไม่เหมือนกัน เช่น มีคนมาทวงเงิน บางครั้งญาติพี่น้องของกำนันพยายามบีบให้ออกจากวง เพราะเกรงว่า ถ้าสาวยังอยู่อาจจะคัดค้านในสิ่งที่เขาต้องการก็ได้ คงเห็นว่าเราเป็นเมียน้อย สาวไม่อยากทะเลาะกับใคร จึงย้ายออกมาจากที่นั่น และไม่ต้องการสมบัติที่กำนันทิ้งไว้ แม้โต๊ะอิหม่ามต้องการให้อยู่ต่อเพื่อแก้ปัญหาเรื่องมรดกตามหลักศาสนาอิสลามให้เสร็จก่อน กำนันไม่ได้ทำพินัยกรรม บ้านที่สร้างก็ไม่มีเอกสารอะไร เพราะไม่คิดว่าสร้างบ้านแล้วจะเสียชีวิต กำนันเคยพูดว่าบ้านหลังนี้จะให้สาวกับลูก ซึ่งคนอื่นก็รู้กันทั่ว แต่ญาติของกำนันยืนยันที่จะขายบ้านหลังนั้น เงินที่ขายบ้าน เขาแบ่งให้มาบ้างไม่มาก เอาไปซื้อสวนยางก็ไม่ได้ เงินที่ได้มันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่สร้างไว้ ซึ่งเราไม่พอใจเพราะน่าจะได้มากกว่านั้น แต่เราไม่ต้องการแย่งสมบัติ กลัวคนที่ตายไปแล้วไม่สบายใจ เขาอยากได้ ก็ให้เขาไป เราสามารถเลี้ยงลูกเองได้ กับภรรยาอีกคนของกำนันเคยทะเลาะบ้างกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แม้กำนันเคยบอกว่า อยากให้เมียทั้งสองคนรักกัน แต่สาวบอกว่า ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า เขาคงคิดว่าเราไปแย่งของเขา แต่ช่วงหลังๆ กำนันก็มักจะมาอยู่กับสาวมากกว่า สาวใช้นามสกุลเดียวกับกำนัน เพราะเป็นภรรยาคนเดียวที่กำนันพาไปจดทะเบียนสมรส เหตุที่กำนันพาไปจนทะเบียนสมรส เพราะจะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งต้องใช้ทะเบียนสมรสเป็นหลักฐานในการเดินทางด้วย แต่หลังจากจดทะเบียนสมรสแล้ว สาวได้ตั้งครรภ์ แผนที่จะเดินทางไปกระกอบพิธีฮัจย์พร้อมกับกำนันก็ถูกยกเลิก หลังจากที่สาวกลับมาอยู่ที่บ้านเดิม ได้ข่าวว่า ทางศาลากลางจังหวัดสงขลาได้มอบเงินช่วยเหลือจากการเสียชีวิตของกำนัน 100,000 บาท ซึ่งตามหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ กำนันต้องได้รับเงินช่วยเหลือ 500,000 บาท แต่ตอนนั้นเจ้าหน้าที่ยังสรุปไม่ได้ว่า กำนันเสียชีวิตเพราะเหตุการณ์ไม่สงบหรือเรื่องส่วนตัว เมื่อยังไม่สามารถสรุปได้ ทางศาลากลางจังหวัดจึงมอบเงินช่วยเหลือให้ก่อน 25% เงินที่ได้ก็ต้องเอามาแบ่งกันหลายคน ซึ่งตกมาถึงสาวด้วยจำนวนหนึ่งซึ่งไม่มาก ซึ่งเงินที่ได้มานั้น นำมาเก็บไว้ให้ลูกคนสุดท้อง เพราะเป็นทรัพย์สินอย่างเดียวที่ได้มาจากกำนัน ส่วนเงินช่วยเหลือเยียวยาที่เหลือจะได้ด้วยหรือไม่นั่น ไม่ทราบ เพราไม่ได้ติดตามข่าว ซึ่งหลังจากกลับมาอยู่บ้านเดิม ก็ไม่เคยติดต่อกลับไปที่บ้านเดิมของสามีเลย สาวเองก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้ เพราะเสียความรู้สึกกับเรื่องนี้มาก พูดทุกทีก็ช้ำใจทุกที ก็เลยไม่อยากพูดกับใคร ไม่อยากไปไหน เพราะเจอแล้ว เขาก็ถามว่าทำไมถึงกลับมาอยู่บ้าน สาวก็ต้องเริ่มต้นเล่าเรื่องใหม่อีกครั้งไม่รู้จบ กลับมาอยู่บ้านใหม่ๆ คนก็พูดว่า ไปอยู่ที่โน่นแล้ว กลับมาไม่ได้อะไรมาบ้างหรือ ยิ่งทำให้ไม่อยากให้ใครรู้ด้วยซ้ำว่า สาวกลับมาอยู่บ้านแล้ว หลังจากกลับมาอยู่ที่บ้านเดิม ก็สบายใจขึ้นระดับหนึ่ง เหมือนถอยมาตั้งหลักให้กับชีวิต เพราะสาวไม่ชอบบอกคนอื่นว่า เราลำบาก ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็น กลับมาอยู่บ้านทำงานรับจ้างกรีดยางพารา เพราะกรีดยางเป็น มีรายได้วันละ 200 – 250 บาท ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ให้ลูกไปโรงเรียน ขายของก็ได้ เพราะตอนอยู่กับกำนัน เคยลงทุนเปิดร้านขายของหน้าโรงงานใกล้บ้าน แต่เมื่อคลอดลูกก็เลิก ตอนนี้ยังไม่ได้คิดที่จะเปิดร้านขายของ ที่ผ่านมา เคยขอทุนมูลนิธิเยียวยาและสร้างความสมานฉันท์ชายแดนใต้ นำมาเลี้ยงปลาดุกแต่เนื่องจากเป็นงานที่เราไม่เคยทำ ไม่มีความชำนาญ ก็เลยล้มเหลวและไม่ได้ทำต่อ เมื่อกลับมาอยู่บ้าน ลูกทั้ง 4 คนก็ได้มาอยู่ด้วยกัน จากที่ฝากเลี้ยงไว้กับอดีตแม่ยายและแม่ของตัวเอง ส่วนบ้านที่อาศัยอยู่ก็เป็นบ้านของอดีตสามีสร้างไว้ แต่สร้างไม่เสร็จอดีตสามีก็เสียชีวิต จากนั้นอดีตพ่อตาสร้างต่อให้เสร็จและมั่นคงแข็งแรงดี ก่อนหน้านี้อยู่กับแม่ แต่ที่บ้านแม่ถูกน้ำท่วมบ่อย จึงขนของมาอยู่กันที่บ้านหลังนี้ สำหรับลูกทั้ง 4 คน คนโตเป็นผู้หญิง อายุ 15 ปี ชื่อสางสาวนาวียะห์ ขะมิโดย เรียนจบชั้นประถามศึกษาปีที่ 6 และไม่ได้เรียนต่อ คนที่สองเป็นผู้ชาย อายุ 13 ปี ชื่อเด็กชายกัดดาฟี ขะมิโดย ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมบูรณ์ศาสน์ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา คนที่สาม เป็นผู้หญิง อายุ 11 ปี ชื่อเด็กหญิงปนัสยา ขะมิโดย กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และคนสุดท้อง ซึ่งเกิดกับกำนันเจ๊ะบาเหม ชื่อเด็กหญิงนัฟตาลี ทุยเลาะ อายุ 3 ขวบ ส่งเข้าเรียนอนุบาลแล้ว หลังจากกลับมาอยู่ที่บ้านไม่นาน ก็มีคนโทรศัพท์มาจีบบ่อย ส่วนใหญ่จะพูดจาหยาบคาย คงคิดว่าเราเป็นแม่หม้าย จึงพูดอะไรตรงๆ ได้ ไม่ต้องให้ความสำคัญกับคำพูดที่สวยหรูมากก็ได้ แต่สาวเองคิดว่า เราต้องให้เกียรติกับตัวเอง อย่างน้อยก็เพื่อตัวเราเองและเพื่อลูก เมื่อมีคนโทรศัพท์มาจีบมากๆ ก็รู้สึกรำคาญ จึงตัดปัญหาด้วยการเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์มือถือเสียเลย แม้บางคนมาถึงที่บ้านก็ไม่ยอมให้เข้าบ้าน ไล่เขากลับไป ตอนนี้ไม่มีคนโทรศัพท์มากวนแล้ว ทุกวันนี้สาวรู้สึกมีความสุขดีและเลี้ยงลูกทั้ง 4 คนเองได้ พอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่แล้ว สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
“ประวิตร” สั่งเช็กทหารแตงโมโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบัน Posted: 29 Oct 2010 02:33 AM PDT เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 53 ที่ผ่านมา ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่าพ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 10/2553 ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุม ว่า ในที่ประชุมได้มีการพูดถึงการเผยแพร่ข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในสังคมออ นไลน์ ที่ปัจจุบันมีการใช้กันอย่างกว้างขวาง เป็นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารสู่สาธารณะได้เป็นวงกว้างภายในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งที่เป็นทหารและพลเรือน และที่ผ่านมา มีการตรวจพบเว็บไซต์ที่มีการเผยแพร่ข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นจำนวน มาก โดยมีผู้โพสต์ข้อความ มีทั้งคนไทยที่อยู่ในประเทศไทย และอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นขบวนการเครือข่ายที่มุ่งร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง ที่มาข่าว: “ประวิตร” สั่งเช็กทหารแตงโมโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบัน หากพบไล่ออก เอาผิดอาญา (ASTVผู้จัดการออนไลน์, 28-10-2553) สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ศุขปรีดา พนมยงค์ ถึงแก่กรรมด้วยวัย 75 ปี Posted: 28 Oct 2010 11:51 PM PDT Voice TV รายงานเมื่อเวลา 12.59 น. ว่า นายศุขปรีดา พนมยงค์ บุตรชายคนที่สามของนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ถึงแก่กรรมแล้วเมื่อเวลาประมาณ 2.00 น. ของคืนวันที่ 29 ตุลาคม 2553 ที่ร.พ.ธรรมศาสตร์ ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด โดยก่อนที่จะเสียชีวิตนายศุขปรีดาได้บริจาคร่างกายไว้กับร.พ.ธรรมศาสตร์ สำหรับพิธีรดน้ำศพกำหนดจัดที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ในวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2553 และจะจัดพิธีรำลึกที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น