ประชาไท | Prachatai3.info |
- “สนธิ” ลั่นถ้า “โหวตโน” ผสมกับ “โนโหวต” แล้วเกิน 50% จะเป็นฐานปฏิรูปการเมือง
- นักปรัชญาชายขอบ: เมื่อ ‘เสียงกระซิบ’ ของคนเสื้อแดงดังไปทั่วโลก
- จดหมายเปิดผนึกถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ‘เจ็บแล้วจำคือคน’
- “เทพไท” ชี้ “จตุพร” อยากออก “วู้ดดี้เกิดมาคุย” ถือเป็นการกระทบสถาบันเบื้องสูง
- อดีตผู้นำไอวอรี่โคสต์ ถูกจับกุมแล้ว ยูเอ็นประกาศสนับสนุนรัฐบาลใหม่
- วิพากษ์ บทความ “Chrysotile” และผลกระทบทางกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้น
- การสื่อสารเพื่อสานสันติภาพในการลดความขัดแย้ง
- เว็บ ปชป. ชี้กรณี “จิตรา” ชูป้ายเป็นการละเมิดเสรีภาพผู้ร่วมสัมมนาที่ต้องการจะฟังนายกฯ
- ทบ.รับ มีทหารลงพื้นที่ แต่เพื่อภารกิจเทิดทูนสถาบัน
- สภาความมั่นคงแห่งชาติ เล็งปิดศูนย์ผู้อพยพเพราะพม่ามีรัฐบาลชุดใหม่แล้ว
- "กรณ์" เผยประสบการณ์นั่งแท็กซี่เสื้อแดงกลับบ้าน พร้อมแนะอย่าใช้ความรุนแรง
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 3 - 9 เม.ย. 2554
- “ณัฐวุฒิ” อัดรัฐบาลใช้วาทกรรมอำมหิต “ขอคืนพื้นที่” แต่เอาปืนออกมาฆ่าประชาชน
- “จตุพร” เผยอยากให้ "วู้ดดี้" เชิญไปออกรายการบ้าง ท้า “ประยุทธ์” นักเลงจริงไม่ต้องโกงเลือกตั้ง ยึดอำนาจเลย
“สนธิ” ลั่นถ้า “โหวตโน” ผสมกับ “โนโหวต” แล้วเกิน 50% จะเป็นฐานปฏิรูปการเมือง Posted: 11 Apr 2011 02:32 PM PDT สนธิ ลิ้มทองกุล ลั่นให้กองทัพ-ปชป. เผชิญหน้าเสื้อแดง-เพื่อไทยเอง ส่วน พธม. จะทำเหมือนกองทัพพระเจ้าตากตีฝ่ากรุงศรีฯ ชี้หมดยุคกินยาแทนแล้ว เก่งนักไม่ใช่หรือมีมวลชนก็เอามาปะทะเสื้อแดงเอง ด้านจำลองชี้ถ้าโหวตโนไม่เป็นประชาธิปไตย ทำไมในบัตรเลือกตั้งจึงมีช่องไม่ลงคะแนน จำลองเผย พธม. เตรียมรณรงค์โหวตโนที่ขอนแก่น ช่วงบ่ายวานนี้ (11 เม.ย.) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยว่า ในวันที่ 17 เม.ย. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ และคณะจะไปร่วมการเสวนาที่ จ.ขอนแก่น เพื่อรณรงค์ให้พี่น้องประชาชนร่วมลงคะแนนในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือโหวตโน หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น พล.ต.จำลองกล่าวตอนหนึ่งด้วยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาที่มีการชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์มักมีผู้ กล่าวหาว่าพันธมิตรฯ ออกมาชุมนุมเพื่อหวังผลประโยชน์ให้แก่พรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคการเมืองใหม่ แต่ในความเป็นจริงชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่ เพราะการชุมนุมไม่ได้กล่าวถึงพรรคการเมืองใหม่ มีเพียงการเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมาทำหน้าที่ปกป้องดินแดน ไม่มีการพูดถึงพรรคการเมืองใด และเวลาที่กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรค หรือนายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรค มาขึ้นเวทีปราศรัยก็ไม่ได้มีเนื้อหาในการสนับสนุนพรรคแต่ประการใด
ชี้ถ้าโหวตโนไม่เป็นประชาธิปไตย ทำไมในบัตรเลือกตั้งจึงมีช่องไม่ลงคะแนน ส่วนกรณีที่มีหลายฝ่ายโจมตีว่าการรณรงค์โหวตโนของพันธมิตรฯ ไม่เป็นประชาธิปไตย พล.ต.จำลองกล่าวตอบโต้ว่า ตนขอยืนยันว่าสิ่งที่พันธมิตรฯ รณรงค์เป็นประชาธิปไตย และสนับสนุนการเลือกตั้ง เพราะชวนให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ไม่เลือกใคร และหากว่าการลงคะแนนช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนผิดหลักประชาธิปไตย เหตุใดจึงมีช่องดังกล่าวในบัตรเลือกตั้ง
เรื่องกัมพูชาไม่ปล่อยวีระ-ราตรี ไม่เกี่ยวกับที่ พธม. โจมตีฮุนเซน พล.ต.จำลองยังได้กล่าวถึงการช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ยังถูกคุมขังอยู่ที่ประเทศกัมพูชาด้วยว่า เรื่องดังกล่าวค่อนข้างเงียบ ไม่มีสัญญาณว่ามีการดำเนินการช่วยเหลืออย่างไรต่อ มีเพียงคนในรัฐบาลที่ออกมากล่าวหาว่า การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯที่โจมตีนายฮุนเซน นายกฯ กัมพูชาอย่างหนักเป็นเหตุให้นายวีระและ น.ส.ราตรีไม่ได้รับการลดโทษหรืออภัยโทษนั้น ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะการที่พันธมิตรฯ โจมตีนายฮุนเซนนั้นเป็นเพราะกัมพูชามีแนวคิดที่ไม่หวังดีต่อประเทศไทย ดังนั้นคงจะให้ไปสรรเสริญเยินยอคงเป็นไปไม่ได้ โดยเรื่องนี้ทางครอบครัวของนายวีระ และ น.ส.ราตรีมีความเข้าใจดี
สนธิอัด “ประยุทธ์” เก่งแต่ปากเหมือน ผบ.ทบ. คนก่อน ขณะเดียวกัน เมื่อคืนวานนี้ บนเวทีปราศรัยของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า สาเหตุที่บ้านเมืองวุ่นวายเกิดจาก คนมีหน้าที่ต้องทำงานไม่ทำงานตามหน้าที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ผบ.ทบ. คนนี้ไม่ได้ต่างจากคนที่แล้ว คือ เก่งแต่ปาก วันดีคืนดีอยากให้ความชอบธรรมกับพรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาพูดว่า “บ้านเมืองอย่าได้จาบจ้วงสถาบัน ตนไม่ยอม” ซึ่งก็พูดมาหลายครั้ง หากเทียบกับพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งเป็นลูกพี่เก่า ก็ไม่ต่างกัน รายนี้เมื่อนักข่าวถาม มีกระบวนการจาบจ้วงท่านมีความเห็นอย่างไร เขาบอกไม่มีความเห็น ทั้งนี้วันที่ทหารซึ่งเป็นลูกน้องเขา ถูกชายชุดดำยิงตาย ก็ไม่ได้แสดงอาการเดือดร้อนเลย ว่าจะจัดการกับคนที่ยิงลูกน้องอย่างไรบ้าง ปล่อยให้นายจตุพร พรหมพันธ์ เอาเท้าตบหน้าทุกวันโดยไม่รู้สึกอะไรเลย ทำได้อย่างเดียวออกมาโต้ฝีปาก
ลั่น พธม. จะทำเหมือนกองทัพพระเจ้าตากตีฝ่ากรุงศรีฯ แล้วให้กองทัพ-ปชป. เผชิญหน้าเสื้อแดงเอง ส่วนสถานภาพรัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่สร้างให้เกิดความวุ่นวายถึงทุกวันนี้ จนหาทางออกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อรัฐบาลมีอำนาจ แทนที่จะเอาหลักนิติรัฐที่พร่ำพูดตลอดมาใช้ แต่ไม่ทำ มิหนำซ้ำวันดีคืนดีก็ให้ประกันตัวผู้ก่อการร้ายอย่างเสื้อแดงออกมาหน้าตาเฉย และกรณีทหารตายก็ออกมาบอก ว่า ต้องให้ดีเอสไอ มาตรวจสอบว่าใครเป็นคนยิงประชาชนตาย ในที่สุดผลสอบออกมาว่าทหารยิงประชาชนตาย ทั้งที่ตัวเองเป็นคนใช้ทหาร ด้านหัวหน้าใหญ่ทหาร แทนที่จะออกมาปกป้องศักดิ์ศรี บอกว่าลูกน้องตายไปเพราะคุณสั่งให้ไปปราบปรามเสื้อแดงยังจะสั่งให้ดีเอสไอมาสอบอีก หรือ ก็ไม่พูด ทำให้เห็นว่านายทหารใหญ่ มีหน้าที่อย่างเดียว คือ เก่งแต่ปากเหมือนนายกฯ เมื่อเป็นดังนี้แล้วจะให้พวกเราทำอะไรได้อย่างไร “นี่คือการเผชิญหน้าที่เราต้องปล่อยให้ พรรคเพื่อไทยและเสื้อแดง เผชิญหน้ากันโดยตรงกับทหารและประชาธิปัตย์ เพราะเขามีหน้าที่ต้องแก้ปัญหา จึงต้องปล่อยให้เขาแก้ หมดยุคที่เราต้องกินยาแทนเขาแล้ว ในเมื่อเขาเก่งนักไม่ใช่หรือพรรคประชาธิปัตย์ที่มีมวลชน ก็ให้เขาเอามวลชนออกมาปะทะเสื้อแดงเอง ส่วนพวกเรามีหน้าที่ทำตัวเหมือนกองทัพพระเจ้าตากสินที่ตีฝ่า กรุงศรี ไปพักที่ จันทบุรี แล้วปล่อยให้ทหารกรุงศรีกับพม่ารบกันเอง”
ลั่นให้ “โหวตโน” เมื่อผสมกับ “โนโหวต” แล้วเกิน 50% จะเป็นฐานปฏิรูปการเมือง นายสนธิ กล่าวต่อว่า เราทำได้อย่างเดียว คือ ส่งเสริมให้คนไทยทั้งประเทศออกมาเลือกตั้งแต่ กาในช่องโหวตโน เพื่อประท้วงนักการเมืองทุกฝ่าย เมื่อทหารแน่นัก ในเมื่อพรรคประชาธิปัตย์เกิดขึ้นจากน้ำมือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา, พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ไปลากคอพรรคร่วมมาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น คุณก็เผชิญหน้ากับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเสื้อแดงเองก็แล้วกัน เมื่อโหวตโนมีมากพอ ผสมกับโนโหวต หากเกิน 50 % นั่นคือพื้นฐานที่เราจะลุกขึ้นมาพร้อมกันทั่วประเทศเพื่อปฏิรูปการเมือง เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ทหารสร้างก็แก้ปัญหาเอาเอง พูดตลอดไม่ใช่หรือว่าเสื้อเหลืองตัวป่วน แล้ววันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และลูกไล่พรรคประชาธิปัตย์ จะว่าอย่างไรในเมื่อ นายอภิสิทธิ์ ที่เคยถ่มน้ำลายขึ้นฟ้าจนตกลงสู่พื้น แล้วต้องก้มหน้าเลียน้ำลายตัวเอง ในเรื่องไม่เอาทหารอินโดนีเซียเข้ามาอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ยังมาบอกพื้นที่ 4.6 ตร.กม. เป็นของไทย ซึ่งพูดช้าไปหรือป่าว
ย้ำ พธม. ที่ชุมนุมและที่ดูทีวีคือกองกำลังพระเจ้าตากแท้จริง ลั่นจะไม่ให้ใครมาตีกินต่อไป “อะไรที่ใช้ธรรมนำหน้าไม่มีวันผิด หนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ จะเอาใครที่เป็นศัตรูกับเราไปสัมภาษณ์ ก็เชิญให้เต็มที่ เพราะของปลอมมันอยู่ได้ไม่นาน” นายสนธิกล่าว นายสนธิ กล่าวอีกว่า ก่อนที่พระเจ้าตาก จะแหกวงล้อมพม่าออกไปจันทบุรี ได้รวบรวมพรรคพวกที่รักแผ่นดินจริงๆ พี่น้องที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่นั่งเฝ้าหน้าจออยู่ที่บ้าน คือกองกำลังพระเจ้าตากที่แท้จริง ตนเคยพูดตลอดว่า การต่อสู้ของเราครั้งนี้เป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด การสู้ไม่ใช่สักแต่สู้ทุกเรื่อง เราต้องดูให้ดีๆ อย่าให้พวกนี้มาตีกินอีกต่อไป อย่าทำตัวเป็นกันชนอีกต่อไป ใครไม่สบายต้องกินยาด้วยตัวเอง อย่ากินยาแทนเขา เรากินยาแทนเขาตั้งแต่ปี่ 49 นอกจากกินยาแทนแล้วยังโดนกระทืบซ้ำอีกต่างหาก
ที่มา: เรียบเรียงจาก เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ [1] . [2] สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
นักปรัชญาชายขอบ: เมื่อ ‘เสียงกระซิบ’ ของคนเสื้อแดงดังไปทั่วโลก Posted: 11 Apr 2011 11:41 AM PDT นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ เคยประกาศอย่างแข็งขันว่า จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาดกับการชุมนุมที่ละเมิดกฎหมายเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง แต่เขาลืมไปว่า การบังคับใช้กฎหมายจำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของ “หลักนิติธรรม” ทว่าหลักนิติธรรมถูกทำลายไปแล้วตั้งแต่เกิดรัฐประหาร 19 กันยา 49 และกระบวนการสืบเนื่องหลังจากนั้น คือกระบวนการ “สองมาตรฐาน” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แน่นอนว่า ฝ่ายที่ได้ประโยชน์เต็มๆ จากรัฐประหาร 19 กันยา ย่อมไม่ใช่พันธมิตรที่เชียร์ให้เกิดรัฐประหาร แต่เป็นพรรคประชาธิปัตย์ หากไม่มีรัฐประหาร พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล และหากไม่มีกระบวนการใช้สองมาตรฐานซ้ำซากและอย่างหน้าด้านมากขึ้นเรื่อยๆ พรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่หลุดจากคดียุบพรรคถึงสองคดี แต่ทว่าทั้งรัฐประหารและสองมาตรฐาน การใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกำลังทหารที่จบลงด้วย “การเข่นฆ่าประชาชน” ในสายตาของคนเสื้อแดงพวกเขาไม่เชื่อว่า ลำพังเพียงนายอภิสิทฺธิ์ นายสุเทพ พรรคประชาธิปัตย์ กองทัพ และกองเชียร์ เช่นพันธมิตร เสื้อหลากสี จะมี “บารมี” หรือความกล้าหาญชาญชัย หรือแม้กระทั่งสามารถมี “เหตุผล” เพียงพอที่จะสั่งฆ่าประชาชน คนเสื้อแดงเชื่อว่าทั้งหมดนั้นมี “อำนาจนอกระบบ” อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น แต่คนเสื้อแดงก็พูดถึง “อำนาจนอกระบบ” ได้ในลักษณะเป็นเพียง “เสียงกระซิบ” เท่านั้น ที่ว่าเป็นเพียง “เสียงกระซิบ” หมายความว่า พูดได้โดย “นัยยะ” ไม่อาจพูดได้ตรงๆ แต่ทว่าเป็นเสียงกระซิบที่ดังกึกก้องบนเวทีเสื้อแดงอย่างต่อเนื่องและยิ่งดังขึ้นๆ! ดังในการชุมนุมรำลึกเหตุการณ์ 10 เมษา ของคนเสื้อแดงที่เพิ่งผ่านมา นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ เล่านิทานเปรียบเทียบว่า "ผู้จัดการสนาม" ได้พยายามทำทุกวิถีทาง โดยใช้ "มือวิเศษ" ช่วยเหลือทีมฟุตบอลที่ตนเองต้องการช่วย และใช้ "เท้าวิเศษ" กระทืบทีมฟุตบอลที่ตนเองไม่ชอบ ขณะที่ทีมอื่นๆ ที่เคยทำงานเชื่อมกับทีมฟุตบอลที่ "ผู้จัดการสนาม" ไม่ชอบ ก็จะถูกจัดการให้เข็ดหลาบไปด้วย จนต้องหันกลับไปทำงานเชื่อมกับทีมฟุตบอลที่ "ผู้จัดการสนาม" ชอบในท้ายที่สุด (มติชนออนไลน์ 10 เม.ย.54) และที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า แน่นอนว่า “ผู้จัดการสนาม” หรือ“ผู้มีอำนาจ” ที่นายพสิษฐ์ และนายณัฐวุฒิหมายถึงคือ เจ้าของ “อำนาจนอกระบบ” ซึ่งมีการพูดถึงบนเวทีของคนเสื้อแดงเสมอมา และดังขึ้นๆ!! แรกๆ สื่อต่างๆ มองว่าเป็นเพียง “วาทกรรมทางการเมือง” ของทักษิณและคนเสื้อแดง ที่ไม่มี “มูลความจริง” แม้ว่ามูลความจริงส่วนหนึ่งจะออกมาจากปากของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำหลักของพันธมิตร เองก็ตาม แน่นานเข้าๆ แทบไม่มีใครที่ติดตามการเมืองจะเชื่อว่าไม่มีอำนาจนอกระบบอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา และอยู่เบื้องหลังการตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ อยู่เบื้องหลังระบบสองมาตรฐาน รวมทั้งอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 53 คำถามคือเมื่อเสียงกระซิบบนเวทีเสื้อแดงดังขึ้นๆ และดังไปทั่วโลก ประชาชนเริ่มตาสว่างมากขึ้นๆ “ผู้จัดการสนาม” หรือเจ้าของอำนาจนอกระบบและเครือข่ายจะเผชิญกับ “สภาวะตาสว่างทั้งแผ่นดิน” หรือตาสว่างกันทั้งโลกนี้อย่างไร การปรับกลยุทธ์ด้วยการจัดตั้งกำลังทหารเพิ่มอีก “2 กองพล” ที่ภาคเหนือและอีสาน การเพิ่มงบจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อเอาใจแม่ทัพนายกอง การจัดกำลังทหารลงพื้นที่เพื่อปฏิบัติการจิตวิทยา (ปจว.) กับประชาชน การใช้ ม.112 ปิดปากประชาชน การกวาดล้างผู้ที่ฝ่ายตนเชื่อว่าไม่จงรักภักดี ฯลฯ เป็นวิธีการที่ชาญฉลาดแล้วหรือ? วิธีคิดที่ว่า “ความมั่นคงแห่งอำนาจของชนชั้นนำคือความมั่นคงของชาติ” และพยายามรักษาความมั่นคงของอำนาจนั้นไว้แม้ด้วยวิธีเข่นฆ่าประชาชนที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพและความเสมอภาค ประวัติศาสตร์ 14 ตุลา 16 ถึง เมษา-พฤษภา 53 ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นวิธีคิดที่ผิด ทำลายประชาธิปไตยและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนอย่างป่าเถื่อน หากเจ้าของอำนาจนอกระบบและเครือข่ายกุนซือ ไม่ยอมเรียนรู้และไม่ “ตาสว่าง” มองเห็นความเป็นจริงของโลกที่เปลี่ยนไป ความไม่สามารถเรียนรู้และหูตาที่บอดใบ้นั่นเองที่จะกลายเป็นสิ่งบั่นทอนพวกเขาเอง จนถึงบัดนี้ สังคมไม่ควรเดินไปสู่จุดแตกหักด้วยการใช้ความรุนแรงและความตายของประชาชนอีกแล้ว หากชนชั้นนำยอมรับอำนาจของประชาชน ยอมรับเสรีภาพและความเสมอภาคในความเป็นคน และยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบตามระบอบประชาธิปไตย เพราะในโลกประชาธิปไตยสมัยใหม่ไม่มีอำนาจใดที่อาจดำรงอยู่ได้โดยปราศจากการตรวจสอบของประชาชน อย่างไรก็ตาม แม้เราจะพบความจริงว่า การต่อสู้ของคนเสื้อแดงได้ก้าวข้าม “ความกลัว” ไปแล้ว และได้สร้างปรากฏการณ์ “ตาสว่างทั้งแผ่นดิน” และกำลังจะตาสว่างกันทั้งโลกแล้ว สื่อกระแสหลัก (เช่นมติชน) ก็ตาสว่างแล้ว แต่น่าประหลาดที่มหาวิทยาลัยในประเทศนี้มีปรากฏการณ์ “ตาสว่าง” กันน้อยมาก นอกจากอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กับเพื่อนๆ ไม่กี่คน และอาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ แล้ว เราได้เห็นกิจกรรมในมหาวิทยาลัยที่สร้าง “ปรากฏการณ์ตาสว่าง” กันน้อยมาก ประชาชนหรือชาวบ้านธรรมดาๆ ก้าวไปไกลแล้ว เป็นหน้าที่ของอาจารย์มหาวิทยาลัย ปัญญาชน นักวิชาการ ที่ต้องผลักดันให้เกิด “ประเด็นสาธารณะ” ว่าจะทำอย่างไรในเรื่องการแก้ไขหรือวางรูปแบบกฎหมายที่สามารถทำให้ “เสียงกระซิบ” ของคนเสื้อแดงเป็นเรื่องที่ต้องนำมาพูดได้และพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ด้วยการแสดงพยานหลักฐานอย่างตรงไปตรงมาและเป็นสาธารณะ ขณะที่ “เสียงกระซิบ” ของคนเสื้อแดงดังจนแสบแก้วหู และดังไปทั่วโลก อาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิชาการ ปัญญาชนไทยยังไม่ได้ยินกันอีกหรือ หรือว่า “ฟัง” แต่ “ไม่ได้ยิน” หรือเอาแต่พิพากษาตัดสินกันง่ายๆ ว่านั่นเป็นแค่ “วาทกรรมทางการเมือง” แต่ถึงจะคิดแค่ว่าเป็น “วาทกรรมทางการเมือง” ในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิชาการ ปัญญาชน ยอมรับได้หรือที่ปล่อยให้เรื่องใหญ่ขนาดนี้เป็นแค่วาทกรรมทางการเมือง ไม่สมควรช่วยกันคิดหาช่องทาง “ตามหลักวิชาการ” บ้างหรือว่า ทำอย่างไรสังคมจึงจะมีวิธีนำวาทกรรมทางการเมืองเรื่องสำคัญสุดๆ ต่อความเป็น/ไม่เป็นประชาธิปไตยเช่นนี้ขึ้นมาสู่เวทีการสนทนาแลกเปลี่ยน วิพากษ์วิจารณ์ ซักไซ้ไล่เรียงเหตุผลและแสดงพยานหลักฐานพิสูจน์ “ข้อเท็จจริง” เพราะเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏ ความยุติธรรมปรากฏแล้วเท่านั้นความสงบสุขจึงเกิดขึ้น! และบัดนี้ “เสียงกระซิบ” ของคนเสื้อแดง ได้เผย “นัยยะ” ให้สังคมตาสว่างแล้ว ไม่ใช่เพียงให้ตาสว่างว่าความจริงคืออะไร แต่ที่สำคัญกว่าคือให้เราตาสว่างว่า ประชาชนทุกคนคือมนุษย์ที่มีเสรีภาพและมีความเสมอภาคในความเป็นคนที่พร้อมกำหนดชะตากรรมของตนเอง ชะตากรรมของประชาชนจะไม่อยู่ใน “มือที่มองไม่เห็น” อีกต่อไปแล้ว! สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
จดหมายเปิดผนึกถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ‘เจ็บแล้วจำคือคน’ Posted: 11 Apr 2011 11:35 AM PDT ชื่อบทความเดิม: จดหมายเปิดผนึกถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ‘เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือควาย’
“ไม่เคยคิดว่า วันหนึ่งต้องมาเขียนจดหมายเปิดผนึกถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ทำคุณประโยชน์ให้คนไทยมากที่สุดเท่าที่ประเทศนี้เคยมีนายกฯ มา” แต่วันนี้ยอมรับว่าทนไม่ไหวจริงๆ เมื่อเห็นร่างรายชื่อ (โผ) นักการเมืองที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งทั่วไปของพรรคเพื่อไทยในระบบบัญชีราย ชื่อ ที่มีชื่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวศ อดีต ผบ.ตร. รวมอยู่ด้วย ถ้านายกทักษิณไม่ขี้ลืมเกินไป คงจะพอจำได้ว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ คือผู้ที่สั่งปราบคนเสื้อแดงอย่างเฉียบขาดจนถึงกับเลือดตกยางออก พิการ และล้มตาย (ฟรี) ในช่วงที่จะขึ้นมาเป็บ ผบ.ตร. เมื่อครั้งกลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนขบวนกลางดึกไปบ้านสี่เสาเทเวศน์ ท่านยังจำได้อยู่หรือไม่ อยากถามหัวใจนายกทักษิณด้วยว่า ชีวิตคนเสื้อแดงที่ยอมตาย ยอมต่อสู้เพื่อท่านมากว่า 5 ปีเข้าไปแล้วนี่ มันไร้ค่า มันไม่มีความหมายต่อท่านเลยหรือไง หรือพวกเรามันก็เป็นเพียงแค่ 1 เสียงเล็กๆ ที่ท่านบวก ลบ คูณ หาร ดูแล้ว คงไม่มีปัญญาช่วยท่านแย่งเก้าอี้ ส.ส.บุรีรัมย์จากเนวิน ชิดชอบ ในการเลือกตั้งที่จะถึงมาให้พรรคของท่านได้ ความต้องการจะเอาชนะทางการเมืองโดยเอาใครก็ได้ (ที่เคยทำร้ายคนเสื้อแดงทั้งทางตรงหรือทางอ้อม) มาเป็น สส.โดยไม่สนใจว่าจะเหยียบย่ำหัวใจคนเสื้อแดงอย่างไร น่าจะเป็นสิ่งที่ท่านควรทบทวนและใตร่ตรองอย่างรอบครอบอีกครั้ง อย่าลืมว่าในช่วงเวลาที่ท่านเจ็บ ตกต่ำ ถูกทำร้าย ถูกปล้นเก้าอี้นายกฯ และไม่มีผู้มีอำนาจคนไหนในบ้านนี้เมืองนี้ (รวมทั้ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์) กล้าประกาศอย่างองอาจว่าอยู่ข้างเดียวกับท่าน ใครกันที่เจ็บ ร้องไห้ไปกับท่าน ใครกันที่ปกป้องท่าน ลูกหลานของท่าน (เต็มกำลังที่จะทำได้) หยัดยืน ตากแดด ตากฝน เสี่ยงชีวิต และเสี่ยงลูกปืน (จนตายไปหลายคน) เพื่อท่าน ถ้าไม่ใช่คนเสื้อแดง นี่ไม่ใช่การทวงบุณคุณ เพราะชีวิตคนเสื้อแดงที่ตายไปแล้วมิอาจฟื้นคืนมาได้ ไม่ว่าท่านจะชดใช้ให้อย่างไร และด้วยวิธีไหนก็ตาม เสื้อแดงไม่เคยกล่าว โทษท่าน เพียงแต่พวกเรารับไม่ได้และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการที่ท่านเอา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มาเป็นแคนดิเดท ส.ส. พรรคเพื่อไทย พวกเราต้องการกระตุ้นเตือนให้นายกฯทักษิณทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง และพิจารณาประวัติ พื้นฐานทางความคิด ตลอดจนจุดยืน-อุดมการณ์ทางการเมืองของแคนดิเดต ส.ส. เสรีพิศุทธ์ ให้รอบคอบมากกว่านี้ อย่าเห็นกับพวกมากลากไปและบริบทจอมปลอมรอบข้างคนๆ นี้ ถ้าท่านไม่ต้องการเห็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย (น้องๆ กรณีเนวิน) เกิดขึ้นกับท่านอีก พวกเรายอมรับว่าท่านเป็นคนฉลาดและเก่งในการบริหาร ธุรกิจและบ้านเมือง แต่ในเรื่องการเมืองนั้น พวกเราไม่ค่อยแน่ใจเท่าใดนัก ประเมินจากประสบการณ์ตรงทางการเมืองที่เกิดกับท่านและพวกเราได้ร่วมเผชิญ ด้วย พวกเราอาจจะให้อภัยท่านได้ในบางเรื่อง แต่ไม่อาจให้อภัยท่านได้ในทุกเรื่อง โดยเฉพาะการกระทำที่ส่อไปในทางเหยียบย่ำหัวใจคนเสื้อแดง หรือทรยศต่ออุดมการณ์ของคนเสื้อแดง พวกเราขอร้องท่านอีกครั้ง อย่าเหยียบย่ำหยามน้ำใจคนเสื้อแดง โดยเอาใครก็ได้ (โดยเฉพาะคนที่เคยทำร้ายเสื้อแดง) มาให้เสื้อแดงช่วยกันเลือกเข้าไปในนามพรรคเพื่อไทย เพราะพวกเราคือคนที่เจ็บแล้วจำ (ไม่ใช่ควาย ที่เจ็บแล้วทน) เช่นเดียวกับท่านนายกฯ เราไม่ควรแม้แต่จะคิดเลือกคนที่เคยสั่งปราบปราม พี่น้องเราจนบาดเจ็บ-ล้มตาย เข้าไปลอยหน้าลอยตาในสภา และกินเงินเดือนซึ่งเป็นภาษีจากหยาดเหงื่อของพวกเรา ถ้านายกทักษิณต้องการให้เสื้อแดงเลือกพรรคเพื่อไทย ท่านต้องเลือกแคนดิเดท สส.ของพรรค ที่เป็นคนของประชาชนเสื้อแดง และทำงานเพื่อประชาชนเสื้อแดงอย่างแท้จริง ในวันนี้ คนเสื้อแดงได้คล้องแขน จับมือกันเดินสู้ฝ่าฝันระบอบเผด็จการไปไกลแล้ว พวกเราต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง ต้องการนักการเมืองที่มีความรู้ มีคุณภาพ มีอุดมการณ์เพื่อรับใช้ประชาชน พวกเราไม่ได้ขออะไรมากไปกว่านี้ เราไม่ต้องการนักการเมืองรูปหล่อ ไม่ต้องการนักการเมืองตลกคาเฟ่ หรือแม้แต่นักปราศรัย นปช. (บางท่าน) ที่ขายวาทกรรมทางการเมืองไปวันๆ ตีสองหน้า พร้อมจะประนีประนอมกับทั้งสองฝ่าย กระโจนหนีเอาตัวรอดเมื่อภัยมา พร้อมกับคำอธิบายต่างๆ นานา เพื่อหาความชอบธรรมให้กับตัวเอง หรือเพื่อผลประโยชน์ต่างๆ ดังนั้น พวกเราขอร้องให้ท่านนายกฯทักษิณทบทวนอีกครั้ง กรณีเอา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มาเป็นหนึ่งในแคนดิเดท ส.ส. พรรคเพื่อไทย และแคนดิเดทบางคน ที่แม้คำว่าประชาธิปไตยยังไม่เข้าใจ เป็นได้เพียงตลกคาเฟ่บนเวที นปช. หรือเผด็จการอำมาตย์ในกลุ่มคนเสื้อแดง เท่านั้น และกรุณาอย่าอ้างว่าคนกลุ่มหนึ่งจำเป็นต้องได้รับโควต้าจัดสรรเป็นแคนดิเดท ส.ส.พรรคเพื่อไทย เพื่อให้สามารถใช้สิทธิ์การเป็น ส.ส.คุ้มครองฯ กรณีจะถูกจับในการต่อสู้ทางการเมืองในอนาคต ถ้านายกทักษิณใช้ตรรกะนี้ในการจัดโควต้าแคนดิเดท ส.ส.ให้กับนักปราศรัยบางกลุ่มบนเวที นปช. เพื่อความยุติธรรม ท่านก็ต้องจัดสรรตำแหน่งแคนดิเดท ส.ส หรือตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ให้กับญาติพี่น้องของเสื้อแดงที่เสียชีวิตไป (ในจำนวน 93 ศพ – ตัวเลขล่าสุด) เมื่อช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ด้วยเช่นกัน คนเหล่านี้ต่างหากคือวีรบุรุษเสื้อแดงอย่างแท้จริง และญาติพี่น้องของเขาควรได้รับสิทธ์นี้มากกว่าแคนดิเดท ส.ส. หลายคนในปัจจุบัน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว อีกประการหนึ่งที่ต้องการฝากผ่านนายกฯทักษิณไปยังแกนนำ นปช.บางคนว่า กรุณาอย่าทึกทักว่า เสื้อแดงทั้งหมดเป็นคนของ นปช. จากการต่อสู้ผ่านร้อนผ่านหนาวและวันคืนแห่งความเป็น-ความตายมาพอสมควร เสื้อแดงส่วนใหญ่ได้พัฒนาและบ่มเพาะความคิดการต่อสู้แห่งความเป็นแดงเสรีชน เพื่อให้ได้มาเพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่แปรเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนได้คือ เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนโดยรวม ความเสมอภาค และเท่าเทียมในสังคม ถ้าแกนนำนปช.บางท่านจะสู้ไปให้ถึงจุดหมาย (เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง) พร้อมๆ กับพวกเรา ก็อย่าเอากรอบความคิดเผด็จการมาครอบงำพวกเรา (และพวกเราจะไม่ยอมเป็นอันขาด) หยุดเสียทีเถอะกับแนวคิดแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ภายใต้ นปช. ของแกนนำบางคน (ถ้าไม่ทุกคน) โดยการขอให้กลุ่มเสื้อแดงต่างๆ ยุบกลุ่มของตนแล้วมาขึ้นกับ นปช.แต่เพียงองค์กรเดียว (เผด็จการชัดๆ) ในฐานะที่ท่านทักษิณเป็นนักธุรกิจ ก็น่าจะเข้าใจได้ว่านี่เป็นวิธีคิดที่ไม่ฉลาดในการต่อสู้ทางการเมืองหรือแม้ แต่ทำธุรกิจ เปรียบได้กับการเสี่ยงเก็บไข่จำนวนมากไว้ในตะกร้าใบเดียว เพราะถ้าคนถือตะกร้าไม่ดี ปล่อยให้ตกพื้น หรือเกิดอุบัติเหตุโดยไม่ตั้งใจ อาจทำให้ไข่แตกหมดทั้งตะกร้า ดังที่ท่านนายกเคยเปรียบเปรยให้ฟัง ยังมีอีกกับวลี “ตกปลาในบ่อเพื่อน” ที่แกนนำนปช.ล้าหลังบางคน ชอบกล่าวกระแหนะกระแหนเสื้อแดงกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่เป็นไท ไม่ขึ้นกับ นปช. (แต่พวกเรายืนยันว่า เราได้ทำหน้าที่เป็นแนวร่วมเพื่อสนับสนุน นปช.ในรูปแบบที่เรากระทำได้อย่างเต็มความสามารถ แต่ นปช.ไม่เข้าใจเอง โดยเฉพาะความหมายของคำว่า “แนวร่วม” ซึ่งเป็นชื่อกลุ่มของตนเองแท้ๆ) อยากถามท่านทักษิณว่าคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไรกับคำว่า “ตกปลาในบ่อเพื่อน” ใครเป็นปลา ใครเป็นบ่อ แล้วใครเป็นเพื่อน? ถ้ายังมีสำนึกรับผิดชอบชั่ว ดี คนที่พูดวลีนี้ ต้องอธิบายให้มวลชนเสื้อแดงพิจารณาว่ารับได้หรือไม่ เพราะคนเสื้อแดงที่ก้าวหน้า ถ้าจะอุปมาอุปมัยว่าเป็นปลา ก็เป็นปลาเสรีชนที่แหวกว่ายในทะเล (ถ้าเป็นปลาน้ำเค็ม) ทะเลสาบ แม่น้ำ หรือลำธาร (ถ้าเป็นปลาน้ำจืด) มีอิสระและสิทธิจะเลือกแหวกว่ายไปในที่ที่ตนเองชอบ และพวกเราเลือกที่จะว่ายทวนน้ำเพื่อไปหาแหล่งหากินหรือสืบทอดเผ่าพันธุ์ที่ เหมาะสมกับพวกเราจริงๆ มากกว่าจะว่ายตามน้ำ (ปลาที่ว่ายตามน้ำคือปลาที่ตายแล้ว) หรือเป็นปลาในบ่อของใคร ที่รอเจ้าของบ่อมาวิดไปฆ่าและขายตลาดสด ดังนั้น การที่แกนนำ นปช. บางคน คิดว่าปลาเสื้อแดงทั้งหมดต้องมารวมกันภายใต้บ่อ นปช. เพื่อให้เจ้าของบ่อ (คือแกนนำ นปช.บางคน ที่ทึกทักเอาเอง) สั่งซ้ายหัน ขวาหัน หรือสั่งให้ไปตาย เป็นกำแพงบังกระสุนปืนให้ยามภัยมา ฯลฯ โดยไม่ยอมพัฒนาเยี่ยงนี้ กระบวนการขับเคลื่อนเพื่อประชาธิปไตยจะก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ได้อย่างไร และอีกเมื่อไหร่ ท่านทักษิณซึ่งเป็นผลพลอยได้ (By product) จากการต่อสู้ของคนเสื้อแดงจะได้กลับบ้าน
สมาชิกกลุ่มประชาธิปไตยก้าวหน้า สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
“เทพไท” ชี้ “จตุพร” อยากออก “วู้ดดี้เกิดมาคุย” ถือเป็นการกระทบสถาบันเบื้องสูง Posted: 11 Apr 2011 11:22 AM PDT ชี้การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเป็นการเอาประชาธิปไตยบังหน้า เป้าประสงค์จริงคือเพื่อ “ทักษิณ” คนเดียว เตือนพฤติกรรมใดๆ จากเสื้อแดง “เพื่อไทย” ต้องรับผิดชอบ โต้ทักษิณเรื่องเลือกตั้งจะไม่ยุติธรรม ลั่นขอให้มั่นใจรัฐบาลจะไม่แทรกแซงหน่วยงานใดๆ ทั้งสิ้น แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไปดูเทปว่าแกนนำ นปช. ผิดเงื่อนไขประกันตัวหรือไม่ เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานเมื่อวานนี้ (11 เม.ย.) ว่า นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมาว่า ยังเห็นแกนนำของพรรคเพื่อไทยอยู่บนเวที โดยเป็นผู้จัดการการชุมนุม ดังนั้น พฤติกรรมใดๆ ก็ตามที่มาจากคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทยก็ต้องรับผิดชอบด้วย และการพยายามจะแยกพรรคเพื่อไทยออกจากกลุ่มคนเสื้อแดงก็เป็นเรื่องที่เป็นไป ไม่ได้ นายเทพไท กล่าวว่า การปราศรัยบนเวทีเมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย.ได้หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นสถาบัน 2 กรณี ได้แก่ หนึ่ง การปราศรัยของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่พูดถึงรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย หลังจากก่อนหน้านี้ รายการดังกล่าวได้ทูลฯ สัมภาษณ์เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ มาก่อน ดังนั้น อยากถาม นายจตุพร ว่า สิ่งที่พูดถึงรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย เป็นการกระทบกระแทกสถาบันเบื้องสูงหรือไม่ กรณีที่ นายประแสง มงคลศิริ อดีต ส.ส.อุทัยธานี พรรคพลังประชาชน ได้ขึ้นปราศรัยเกี่ยวกับการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมราชานุภาพ ซึ่งเมื่อพูดถึงกฎหมายดังกล่าว นายประแสง พยายามแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าด้วยท่าทางเยาะเย้ยถากถาง ซึ่งเป็นการแสดงออกทางพฤติกรรมที่จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงหรือไม่ ส่วนการวิดีโอลิงก์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น นายเทพไทกล่าวว่า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงมีเป้าประสงค์เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียวนั้น คือการเอาเรื่องประชาธิปไตยบังหน้า อีกทั้งสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กังวล เรื่องการเลือกตั้งว่าจะไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม และกลัวคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะไม่มีความเป็นกลางนั้น ไม่อยากจะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ วิตกจริต ขอให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลชุดนี้จะไม่แรกแซงหน่วยงานใดๆทั้งสิ้น และ กกต.ชุดนี้มีความเป็นกลาง ต่างกับกับ กกต.ในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณที่จัดการเลือกตั้ง ในลักษณะช่วยเหลือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จนถูกฟ้องร้องและศาลพิพากษาให้จำคุกมาแล้ว นายเทพไทกล่าวด้วยว่า อยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไปดูเทปการชุมนุมและดูว่าถ้อยคำที่ปราศรัยของแกนนำ นปช. ผิดเงื่อนไขการประกันตัวหรือไม่ หากเข้าข่ายก็จะต้องยื่นถอนประกันตัว หรือเพิ่มเงื่อนไขการประกันตัวให้เข้มข้นมากกว่านี้ ส่วนกรณี นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ขึ้นเวทีปราศรัยการชุมนุมของกลุ่ม นปช. นายเทพไทกล่าวว่า “หากนายพสิษฐ์ มีข้อมูลจริงก็ควรจะเล่าอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องให้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ขึ้นมาแปลความอีกทีหนึ่ง ไม่เห็นจำเป็นต้องกลัวถูกฟ้องร้อง เพราะมีคดีเกี่ยวกับคลิปศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรม อยู่แล้ว จากนี้ไปอยากให้สังคมจับตาดูพฤติกรรม นายพสิษฐ์ ว่าต่อจากคลิปเสียงศาลรัฐธรรมนูญ มาถึงการขึ้นเวทีคนเสื้อแดงแล้ว จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่” สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
อดีตผู้นำไอวอรี่โคสต์ ถูกจับกุมแล้ว ยูเอ็นประกาศสนับสนุนรัฐบาลใหม่ Posted: 11 Apr 2011 11:08 AM PDT วันที่ 11 เม.ย. 2554 สำนักข่าวบีบีซีรายงานเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. ตามเวลาประเทศไทยว่า โรลองท์ บากโบ อดีตประธานาธิบดีของประเทศไอวอรี่โคสต์ ถูกควบคุมตัวได้ในกรุงอาบิดจันเมืองหลวงของประเทศ โดยบีบีซีระบุว่าเขาถูกจับกุมที่บ้านพักของเขาเองโดยกองกำลังร่วมระหว่างฝรั่งเศสและกองกำลังของนายอลัสซาน อูอัตทารา ผู้ซึ่งได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ชอบธรรม
ทางการฝรั่งเศสระบุว่าบากโบถูกควบคุมตัวโดยกองกำลังของอูอัตทารา ทว่าผู้ให้การสนับสนุนบากโบกกล่าวว่า กองกำลังที่เข้าควบคุมตัวของอดีตประธานาธิบดีผู้ไม่ยอมสละตำแหน่งแม้จะแพ้เลือกตั้งคือกองกำลังพิเศษของฝรั่งเศส นายบันคีมุนกล่าวว่า การคุมขังนายบากโบนั้นได้นำมาซึ่งการสิ้นสุดลงของช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งที่ดำเนินมาหลายเดือน และสหประชาชาติจะสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของไอวอรี่โคสต์ ด้านนางฮิลลารี คลินตัน รองประธานาธิบดีของสหรัฐกล่าวว่า การจับกุมตัวนายบากโบคือการส่งสัญญาณไปยัง “ผู้นำเผด็จการ” ทั้งหลายว่า “พวกเขาไม่อาจเพิกเฉยต่อเสียงของประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม” ทั้งนี้ นายบากโบเป็นอดีตประธานาธิบดีของสาธารณรัฐไอวอรี่ โคสต์ ซึ่งแพ้การเลือกตั้งให้กับนายอลัสซาน อูอัตทารา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม อดีตประธานาธิบดีผู้นี้ปฏิเสธที่จะลงจากอำนาจและไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง พร้อมทั้งใช้กำลังทางทหารปราบปราบฝ่ายต่อต้านซึ่งสนับสนุนผลการเลือกตั้ง และสนับสนุนผู้นำคนใหม่คือนายอลัสซาน อูอัตทารา (Alassane Ouattara) อย่างรุนแรง องค์การสหประชาชาติระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจากการปราบปรามโดยใช้กองกำลังทหารไปจำนวนมากกว่า 500 คน และประชาชนอีกราว 1 ล้านคนต้องละทิ้งบ้านเรือน ไอวอรี่ โคสต์ เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกา มีพรมแดนทิศตะวันตกติดกับประเทศกินี และประเทศไลบีเรีย ทิศเหนือติดกับประเทศมาลี และประเทศบูร์กินาฟาโซ ทิศตะวันออกติดกับประเทศกานา ทิศใต้ติดกับอ่าวกินี และเคยตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในระหว่างปี ค.ศ. 1889-1944
แผนที่ประเทศไอวอรี่โคสต์
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
วิพากษ์ บทความ “Chrysotile” และผลกระทบทางกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้น Posted: 11 Apr 2011 10:48 AM PDT ชื่อบทความเดิม: วิพากษ์ บทความ “Chrysotile” และผลกระทบทางกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้น (ที่เขียนโดย โดย ตรัย สัสตวัฒนา และ ณิชยา สุทธิพันธุ์ นักกฎหมาย ) บทความของ ตรัย สัสตวัฒนา และ ณิชยา สุทธิพันธุ์ ไม่สามารถหักล้างเหตุผลการตัดสินใจของรัฐในการพิทักษ์สิทธิในการคุ้มครองผู้บริโภคได้ การประกาศว่าเป็นวัตถุอันตรายใช้บังคับกับสินค้าหลังประกาศ ยิ่งไปกว่านั้น การที่ สคบ. ได้มีมาตรการประกาศให้มีคำเตือนบนสินค้าที่บังคับใช้อยู่แล้ว พ.ร.บ.ความรับผิดจากความเสียหายที่เกิดจากสินค้าไม่ปลอดภัย มีเจตนาที่มุ่งให้มีการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ในการอ้างว่าสินค้าใยหินมีราคาถูก เนื่องจากไม่นำต้นทุนที่จะเกิดขึ้นจากความเจ็บป่วยมาคิดรวมด้วย เหตุผลที่ยกมา จึงไม่สามารถหักล้างการดำเนินมาตรการยกเลิก แต่ในทางกลับกัน กลับต้องยิ่งเร่งรัดการป้องกันอันตรายให้เร็วยิ่งขึ้น ดังเหตุผลสนับสนุนในรายละเอียดต่อไปนี้ 1. สภาพบังคับว่าใยหินไครโซไทล์เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่สี่ จะเกิดภายหลังกฎหมายประกาศใช้ นอกจากนี้การที่ไครโซไทล์เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่สาม ก็มีสภาพที่ผู้ขายต้องระวังเช่นกัน การที่ไครโซไทล์จะมีสภาพเป็นวัตถุอันตรายประเภทที่สี่ ก็ต่อเมื่อรัฐประกาศว่าเป็นวัตถุอันตรายประเภทที่สี่แล้ว สภาพการบังคับใช้กฎหมายจึงมีภายหลังการประกาศ แต่ไม่ได้บังคับใช้กับสินค้าก่อนหน้าที่จะมีการประกาศ การดำเนินการให้ไครโซไทล์เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่สี่ จึงเป็นมาตรการที่จำเป็น เป็นการระมัดระวังสำหรับสินค้าที่มีไครโซไทล์และผู้ใช้มีโอกาสสัมผัสใยหินไครโซไทล์จากสินค้าดังกล่าว 2. ปัจจุบัน การที่ไครโซไทล์เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่สามก็มีสภาพที่ผู้ผลิต ผู้ขายต้องระวัง ให้มีประกาศคำเตือนอยู่แล้ว ปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผั้บริโภค ก็ได้ออกคำเตือนในสินค้าบางชนิด เช่น กระเบื้อง สคบ ประกาศให้มีคำเตือน ว่า อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด หรือ โรค ปอด สถาพบังคับกับสินค้าที่มีใยหิน ได้เกิดขึ้นแล้ว หากผู้ที่จำหน่ายสินค้าไม่มีการติดฉลากก็ถือได้ว่ามีความผิด ไม่จำเป็นต้องไปถึงการที่จะได้รับอันตราย มาตรการการติดฉลากคำเตือน ก็ดี การยกเลิกไครโซไทล์ ก็ดี จึงเป็น การป้องกันล่วงหน้าสำหรับอันตรายร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อที่จะเป็นการสร้างความปลอดภัยในกลุ่มประชากร จึงไม่เป็นเหตุให้ปฎิเสธการดำเนินการไม่คุ้มครองผู้ใช้สินค้าไม่ ในทางกลับกัน รัฐกลับต้องเร่งคุ้มครองผู้บริโภคด้วยมาตรการที่มีประสิทธิภาพมากกว่าคือ การยกเลิกการใช้ 3. พ.ร.บ.ความรับผิดจากความเสียหายที่เกิดจากสินค้าไม่ปลอดภัย เป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นการป้องกันอันตรายก่อนเกิด เจตนารมย์ ของ พ.ร.บ.ความรับผิดจากความเสียหายที่เกิดจากสินค้าไม่ปลอดภัย เป็นกฎหมายที่มุ่งให้มีการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น โดยผู้ผลิตต้องมีความรับผิดชอบเลือกผลิตสินค้าที่ปลอดภัย ประเด็นจึงมืได้อยู่ที่ว่าจะห้ามการจัดใยหินไครโซไทล์เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่สี่ แต่อยู่ที่ผู้ประกอบการจะต้องมีความรับผิดชอบโดยเลิกผลิตสินค้าที่มีใยหินไครโซไทล์เป็นองค์ประกอบ โดยไม่ต้องรอให้กฎหมายบังคับ ดังเช่น มีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่ง ในกรณีของกระเบื้อง เบรค บ้านและอาคารของบริษัทเอกชน การเคหะ ที่ได้ประกาศไม่ใช้วัสดุใยหินในสินค้า หรือ สิ่งปลูกสร้างของตน 4. สินค้าใยหินไครโซไทล์มีราคาจากความเจ็บป่วย การที่ในบทความได้มีการกล่าวถึงอันตรายของใยหินไครโซไทล์ ในประเทศต่างๆ จึงเห็นได้ว่าตันทุนในการดูแลประชากรเมื่อรับทราบว่าใยหินไครโซไทล์มีอันตราย จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นข้อสนับสนุนหนึ่งที่จำเป็นต้องเร่งยกเลิก เพราะต้นทุนความเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่ผู้บริโภค ผุ้ใช้แรงงานต้องแบกรับ โดยยากต่อการป้องกัน การที่มักอ้างว่าสินค้าราคาถูก กว่าก็เนื่องจากไม่นำต้นทุนที่จะเกิดขึ้นจากความเจ็บป่วยมาคิดรวมด้วย โดยสรุป เหตุผลที่ผู้เขียนกังวลว่าการยกเลิกใยหินไครโซไทล์จะเกิดปัญหาดังที่ยกมา จึงไม่สามารถหักล้างการดำเนินมาตรการยกเลิก แต่ในทางกลับกัน กลับต้องยิ่งเร่งรัดการป้องกันอันตรายให้เร็วยิ่งขึ้น สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
การสื่อสารเพื่อสานสันติภาพในการลดความขัดแย้ง Posted: 11 Apr 2011 10:38 AM PDT หลายปีที่ผ่านมาความขัดแย้งในสังคมไทยทำให้สังคมได้ตระหนักและเริ่มกล่าวถึงเครื่องมือที่จะเชื่อมโยงสังคมไทยให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติมีความสุขดังเดิมอย่างหลากหลาย จนกลายเป็นวาทกรรมทางการเมืองที่คนในสังคมและคนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองมักออกมานำเสนออย่างต่อเนื่อง ไม่ว่า สันติวิธี (Peaceful means) สันติภาพ (Peace) ความสมานฉันท์ (Reconciliation ) และความปรองดอง(Harmonious Society ) ทุกฝ่ายเริ่มให้ความสำคัญกับวาทกรรมและการสื่อสารที่จะนำสงคมไปสู่สันติสุข การนำเสนอดังกล่าวได้ส่งผลในเชิงจิตวิทยาและการดำรงอยู่ของคนในสังคมเสมือนเป็นเครื่องคอยเตือนสติ ว่าเราทั้งหลายควรตระหนักไว้ในใจอย่าละเลย ควรป้องกันรักษาและต้องปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ในเชิงบวกตลอดเวลาเพื่อความสันติสุขของทั้งปัจเจกและสังคมส่วนรวม การรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ผลิตและนำเสนอโดยสื่อมวลชนในปัจจุบันเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายใต้แรงกดดันทางอำนาจ ทั้งอำนาจทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมือง สื่อสารมวลชนจึงมีพลังอำนาจมากในการแพร่กระจายข่าวสารวาทกรรม ความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ ที่เป็นกลไกสำคัญทั้งในการต่อต้านและสนับสนุนต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม รวมทั้งสนับสนุนระบบเศรษฐกิจการเมือง การสื่อสารเป็นกระบวนการหนึ่งที่ได้ครอบงำสังคมเอาไว้ซึ่งอาจครอบงำไปทางลบหรือบวกก็ได้ [1] นั่นหมายความว่าสังคมจะสันติสุขสมานฉันท์หากมีการสื่อสารในทางบวก สังคมจะขัดแย้งหากมีการสื่อสารไปในทางลบ เพราะต้องไม่ลืมว่าวัฒนธรรมการดำรงชีวิตประจำวันมีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมอุดมการณ์ทางการเมืองของคนในสังคมจากการแพร่กระจายข่าวสาร ที่กลายเป็นเครื่องมือในการควบคุมความคิดทางการเมืองของคนในสังคม(Political control) จนนำไปสู่ความขัดแย้งตามมา ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยที่ได้กลายเป็นวิกฤติของประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้การสื่อสารท่ามกลางภาวะวิกฤติเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะการสื่อสารและการสร้างวาทกรรมทั้งหลายที่นำเสนอต่อสังคมของแต่ละฝ่ายมักจะดำรงอยู่บนผลประโยชน์ส่วนตนหรือกลุ่มตนเป็นหลักโดยไม่คำนึงถึงความเป็นไปของสังคม การมุ่งประโยชน์ส่วนตนของสื่อและกลุ่มการเมืองได้นำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มประชาชนด้วยกันหรือระหว่างกลุ่มประชาชนกับนักการเมืองหรือผู้เกี่ยวข้อง กลายเป็นความแตกแยกและมักจะเกิดความรุนแรงในสังคม นอกจากนั้นในสังคมการเมืองเราจะเห็นการแข่งขันทางการเมืองในแต่ละยุคทั้งนักการเมืองและพรรคการเมืองจะรังสรรค์วาทกรรมการเมืองชวนเชื่อใหม่ๆ ขึ้นเพื่อช่วงชิงพื้นที่ทางการเมือง เป็นต้นว่า “ไม่เลือกเราเขามาแน่” หรือ “คนของเราพรรคของเรา” หรือ “เลือกคนบ้านเราเป็นนายก” หรือ “ จำลองพาคนไปตาย” จนกล่าวกันว่าเป็นการเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น หรือ“ประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง” “คนรวยใช่ว่าจะไม่โกง” หรือ “ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเป็นพวกไม่รักชาติรักแผ่นดิน” ซึ่งเหล่านี้เป็นวาทกรรมที่แยกเขาแยกเราทำให้เขากลายเป็นอื่นที่ไม่ใช่พวกเดียวกันในสังคม โดยเฉพาะปัจจุบันทั้งนักการเมืองและคู่ขัดแย้งในสังคมได้นำเอาเครื่องมือสื่อสารที่มีเทคโนโลยีทันสมัยและกลยุทธ์การสื่อสารที่หลากหลายทั้งการใช้อินเตอร์เน็ต โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม VDO Link และPhone-In รวมทั้งการใช้ระบบ 3 G เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงข้าม และสนับสนุนอุดมการณ์หรือแนวคิดของฝ่ายตน สิ่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำความขัดแย้งจนยากที่จะยุติลงได้ เพราะชุดของวาทกรรมทางการเมืองชวนเชื่อที่ถูกสร้างขึ้นและนำเสนอต่อประชาชนโดยการสื่อสารในแต่ละยุคสมัยหลากหลายรูปแบบได้ก่อให้เกิดความหมาย และสัญลักษณ์ต่างๆ ในสังคมการเมือง ที่สามารถครอบงำ ยึดตรึง ปิดกั้นความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ ของผู้คนในสังคมเป็นอย่างดี ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าหลายรัฐบาลเมื่อมีความขัดแย้งทางความคิดกับภาคประชาชนฝ่ายรัฐบาลมักจะถูกครหาเสมอว่าใช้อำนาจครอบงำ ใช้สื่อสารมวลชนของรัฐทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยการสร้างวาทกรรมชวนเชื่อเพื่อเป็นประโยชน์กับฝ่ายตน การก่อกำเนิดขึ้นของสถานีโทรทัศน์ไอทีวีในอดีต และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ในยุคปัจจุบันก็มาจากเหตุของการครอบงำสื่อของฝ่ายรัฐทั้งสิ้น วาทกรรมการเมืองชวนเชื่อ [2] จึงมีความสัมพันธ์กับอำนาจในสังคมการเมือง เพราะทุกบริบทในสังคมการเมืองย่อมมีการใช้อำนาจแทรกซึมอยู่ทั่วไป ซึ่งพลังแห่งอำนาจนั้น แสดงผ่านทางวาทกรรมการเมืองชวนเชื่อ และวาทกรรมแต่ละชุดจะสามารถกำหนดความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติของมนุษย์ นั่นคือ วาทกรรมการเมืองชวนเชื่อจึงเป็นกิจกรรมทางการเมืองทั้งความคิดและทางการปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน จึงอาจกล่าวได้ว่า วาทกรรมการเมืองชวนเชื่อ คือกระบวนการต่อสู้ แย่งชิงอำนาจในการนิยามความหมายของสิ่งที่ดี หรือไม่ดี ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้องในทางการเมือง และผู้อยู่ในอำนาจมักจะได้เปรียบในการต่อสู้แย่งชิงนี้เสมอ การเสพย์วาทกรรมทั้งหลายจึงต้องแยกแยะความถูกต้องชอบธรรมและที่มาของวาทกรรมนั้นๆด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกครอบงำ และการบิดเบือนที่อาจก่อให้เกิดความแตกแยกทางสังคมโดยผู้เสพย์เองก็ไม่ทันตั้งตัว ประชาชนที่ได้รับสื่อในปัจจุบันนี้ต้องพิจารณา พินิจพิเคราะห์ข้อมูล ข้อเท็จจริงด้วยเหตุและผล รวมทั้งต้องรู้เท่าทันของข้อมูลข่าวสารที่นำเสนอ โดยไม่หลงเป็นเครื่องมือของกระบวนการโฆษณาชวนเชื่อทั้งหลาย การสร้างวาทกรรมทางการเมืองชวนเชื่อ [3] การปลุกระดมเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่งจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม เป็นบทเรียนสำคัญที่ได้เกิดขึ้นในสังคมไทย สื่อมวลชนทั้งหลายต้องร่วมกันเสริมสร้างสำนึกและความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องของข้อมูลทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง อย่างถูกต้องเป็นกลาง ให้รู้เท่าทันเล่ห์กลทางการเมืองที่แต่ละฝ่ายนำเสนอในการขับเคลื่อนอุดมการณ์ผ่านวาทกรรมการเมืองชวนเชื่อ โดยนำเอาทั้งสื่อและประชาชนเป็นเครื่องมือ การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในยุคโลกาภิวัตน์ที่สังคมมีความขัดแย้งสับสน ข้อมูลข่าวสารแข่งขันกันที่ความเร็วมากกว่าความถูกต้อง สื่อเองอาจตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่ช่วยปลุกเร้าความขัดแย้งในสังคมให้รุนแรงทบทวีขึ้นได้ง่าย การนำเสนอข้อมูลข่าวสารทั้งหลายสื่อมวลชนควรจะต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล ข้อเท็จจริง และเลือกบุคคลที่ให้ข้อมูลข่าวสารที่เกิดประโยชน์ในการสร้างความสามัคคีให้แก่สังคมมิใช่นำเสนอโดยหวังผลประโยชน์ของกลุ่มตนเป็นหลัก การนำเสนอข่าวสารในภาวะความขัดแย้ง ควรจะเป็นไปเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่คนในสังคม จะต้องรอบคอบมีการตรวจสอบข่าวสารแหล่งที่มาของข่าวสารอย่างรอบด้าน ต้องคำนึงถึงความจริง (Fact) เกี่ยวกับที่มาที่ไปของปัญหาอันเป็นเหตุทำให้เกิดความขัดแย้ง ลดการนำเสนอข่าวสารที่จะยั่วยุให้เกิดความแตกแยก โดยเฉพาะข่าวสารความขัดแย้งในสังคมมีความละเอียดอ่อนผู้นำเสนอข่าวสารและผู้รับข่าวสารต้องไตร่ตรองประเด็นข่าวสารที่จะนำเสนอและรับอย่างรอบด้านอันจะช่วยให้สังคมหาทางออกจากความขัดแย้งได้อย่างสันติ มากกว่าที่จะจุดไฟสุมให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ดังนั้นการสร้างสื่อสารสันติภาพเพื่อลดความขัดแย้ง จะต้องเริ่มต้นที่ผู้มีอำนาจรัฐร่วมหาทางออกให้เหตุการณ์ความขัดแย้งสงบลงด้วยสันติวิธี ต้องนำเสนอแนวทางหรือยินยอมหรือเห็นด้วยกับแนวทางการนำเสนอของสังคม ในการร่วมกันสร้างเครือข่ายสื่อสารเพื่อสานสันติภาพให้เกิดขึ้น เป็นต้นว่า การสร้างจิตสำนึกอาสาสำหรับบุคลากรสื่อจากทุกแขนง บุคลากรทางการศึกษา ผู้นำศาสนา นักการเมือง ข้าราชการทั้งส่วนกลางส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ให้เข้าใจถึงประโยชน์ของการสื่อสารทางบวกที่ถูกต้องชอบธรรม และโทษของการสื่อสารทางลบที่มีแต่ทำลายสังคม และที่สำคัญต้องมีการปลูกฝังการสื่อสารสันติภาพเพื่อลดความขัดแย้งสำหรับเด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่องในการสร้างจิตสำนึกต่อส่วนรวม นอกจากนั้นต้องเปิดพื้นที่การสื่อสารอย่างเสรีปราศจากการครอบงำจากรัฐสำหรับการแสดงออกทางความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายภายใต้การนำเสนออย่างสร้างสรรค์ ต้องมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาโดยใช้กระบวนการสื่อสารแบบสันติ สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล (Good Governance ) โดยมีหลักการและวิธีการ ที่สำคัญคือต้องอาศัยกระบวนการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของสังคม ร่วมกันสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจของคนในสังคม สร้างสรรค์ความสามัคคี สร้างความยุติธรรม ให้ทุกฝ่ายยอมรับในความหลากหลายและความแตกต่างทางความคิดเพื่อแสวงหาแนวทางแก้ไขความขัดแย้งร่วมกัน การสื่อสารท่ามกลางภาวะวิกฤตินี้ต้องนำเสนอข้อมูลที่ทำให้คู่ขัดแย้งในสังคมเกิดความไว้วางใจ อันจะทำให้ผู้เกี่ยวข้องมีช่องทางในการแสวงหาทางออกสำหรับความขัดแย้งร่วมกัน
อ้างอิง:
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
เว็บ ปชป. ชี้กรณี “จิตรา” ชูป้ายเป็นการละเมิดเสรีภาพผู้ร่วมสัมมนาที่ต้องการจะฟังนายกฯ Posted: 11 Apr 2011 10:16 AM PDT เว็บประชาธิปัตย์ตอบคำถามเกิดอะไรขึ้นที่มีคนชูป้ายด่านายกฯ ในงานวันสตรีสากล ชี้ไม่รู้เหมือนกันว่าคนเรียกร้องมีจิตวิญญาณ รากเหง้าความเป็นประชาธิปไตยแค่ไหน เชื่อเป็นการละเมิดเสรีภาพของผู้ร่วมสัมมนาส่วนใหญ่ที่ต้องการจะฟังนายกรัฐมนตรี แนะเห็นต่างย่อมทำได้ แต่ต้องถูกกาลเทศะและวิธีการ
กรณีคนงานสตรีนำโดย น.ส.จิตรา คชเดช ชูป้ายประท้วงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ 6 มี.ค. 53 (ที่มาของภาพ: วอยซ์ทีวี)
ตามที่เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 54 ที่ห้องประชุม ชั้น 3 อาคารอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ น.ส.จิตรา คชเดช ผู้นำแรงงาน ‘Try Arm’ อดีตผู้นำแรงงานไทรอัมพ์ พร้อมเพื่อนแรงงานร่วมกันชูป้าย “มือใครเปื้อนเลือด” และ “ดีแต่พูด” เพื่อประท้วงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระหว่างนายอภิสิทธิ์เดินทางมาร่วมประกาศเจตนารมณ์ "ผู้หญิงทำงาน สู้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนของทุกคน" เนื่องในการเฉลิมฉลอง 100 ปี วันสตรีสากล 8 มีนาคม นั้น ล่าสุดในเว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ ผู้แลเว็บได้ตอบคำถามจากผู้ที่ถามว่า “8/มี.ค./54คนงานหญิงชูป้ายด่านายกฯในงานวันสตรีสากลที่ธรรมศาสตร์ เกิดอะไรขึ้น” โดยมีคำตอบว่า “จะว่าไป ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมที่ไหนก็ได้ที่เรียกตัวเองว่าเป็น ประชาธิปไตย รวมถึงสังคมไทยด้วย ที่น่าประหลาดก็คือ คนไทยบางส่วนร้องเรียกเพรียกหาประชาธิปไตย แต่จริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คนเรียกร้องมีจิตวิญญาณ มีรากเหง้าแห่งความเป็นประชาธิปไตยหรือมีวิถีชีวิตประชาธิปไตยสักแค่ไหน เอาเพียงว่า ในสังคมประชาธิปไตยจริงๆ ผู้คนเขาปฏิบัติตามกฎหมาย กติกา และอื่นๆ ที่เป็นกรอบพื้นฐานของสังคม เพื่อให้ทุกคนอยู่ด้วยกันได้อย่างไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของคนอื่น เพียงเรื่องแรกเรื่องเดียวนี้ คนไทยทำกันได้มากน้อยแค่ไหน การยกป้ายในที่สัมมนาวันสตรีสากลที่ธรรมศาสตร์ ก็คือการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้เข้าร่วมสัมมนาส่วนใหญ่ที่เขาต้องการจะฟัง นายกรัฐมนตรี แล้วคิดว่าคนงานหญิงนี้กระทำเหมาะสมหรือเปล่า ถูกกาลเทศะหรือไม่ อีกประเด็นหนึ่งที่น่าผิดหวังก็คือ ทั่วโลกรับรู้กันว่าบุคลิกลักษณะของผู้หญิง (โดยเฉลี่ย อาจมีข้อยกเว้นบ้าง) เอื้อต่อการสร้างสันติในสังคม จึงเป็นความหวังและเป็นที่กล่าวขวัญถึงว่า ผู้หญิงน่าจะต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างสันติได้บนโลกใบนี้ การเรียกร้อง การแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าเหมือนหรือต่างย่อมทำได้ แต่ควรจะต้องถูกตามกาลเทศะ และวิธีการนะ ผู้หญิงจะร่วมกันเป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างโลกที่สันติไม่ได้หรือ” คำตอบในเว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ระบุ
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ทบ.รับ มีทหารลงพื้นที่ แต่เพื่อภารกิจเทิดทูนสถาบัน Posted: 11 Apr 2011 10:00 AM PDT 11 เม.ย. 54 กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานข่าวจากกองบัญชาการกองทัพบก โดยมี พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงข่าวการประชุมเพื่อรายงานถึงแนวทางการจัดทำแผนพัฒนากองทัพบกปี 2555-2559 เพื่อใช้เป็นแผนเชิงนโยบาย กำหนดแนวความคิด ในการจัดเตรียมกำลัง และการใช้กำลังของกองทัพบก ให้สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริง มีความสอดคล้องกับแผนและนโยบายของหน่วยเหนือในทุกระดับ ซึ่งแผนนี้มีองค์ประกอบทั้งเรื่องการพัฒนาหน่วย การพัฒนาคน และการพัฒนายุทโธปกรณ์ โดยแผนดังกล่าวประกอบด้วย 4 ขั้นตอนคือ การจัดทำร่างแผน การระดมความคิดเห็น การพิจารณาความเหมาะสม และการจัดทำเป็นแผนพัฒนาและแจกจ่ายให้กับหน่วยงาน โดยแผนพัฒนากองทัพบกดังกล่าว ปัจจุบันอยู่ในขั้นการระดมความคิดเห็น สำหรับในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ผบ.ทบ.มีความห่วงใย หวังให้ประชาชนเฉลิมฉลองเที่ยวปีใหม่ไทยอย่างมีความสุข จึงให้หน่วยทหารที่มีที่ตั้งอยู่ในเส้นทางคมนาคม รวมถึงหน่วยทหารที่อยู่ในที่ตั้งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ได้อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนด้วยการเปิดค่ายทหารเป็นที่พักรถ พักคน ตั้งจุดบริการประชาชนหน้าค่ายตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อสร้างความปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชน นอกจากนี้โรงพยาบาลทหารในสังกัดกองทัพบกได้เตรียมบุคลากรและเครื่องมือทางการแพทย์ พร้อมให้การรักษาพยาบาลกับประชาชนตลอดช่วงเทศกาลนี้ สำหรับตามแนวชายแดนซึ่งมีประชาชนสัญจรผ่านเข้าออกตาม ด่านตรวจเป็นจำนวนมาก กองกำลังชายแดนของกองทัพบกจะเพิ่มมาตรการป้องกันไม่ให้มีการลักลอบนำเอาสิ่งผิดกฎหมายหรือยาเสพติดผ่านเข้าออก แต่จะระมัดระวังไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการเดินทางของประชาชน "ผบ.ทบ.ได้กล่าวถึงความเสียสละของกำลังพลที่ได้ทุ่มเท ปฏิบัติงาน อย่างหนักในหลากหลายภารกิจ ทั้งดูแลชายแดน อนุรักษ์ทรัพยากร สกัดกั้น ยาเสพติด ฟื้นฟูผู้ติดยา อบรมเยาวชน สร้างความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ โดยเฉพาะการช่วยเหลือน้ำท่วมภาคใต้อยู่ในขณะนี้ ถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติและประชาชนโดยแท้ จึงขอให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่ทุกคน ในขณะเดียวกันกองทัพบกกำลังพิจารณาปรับปรุงสวัสดิการ สิทธิกำลังพลให้อย่างเหมาะสม เช่น พิจารณาค่าตอบแทนสำหรับกำลังพลที่ปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง การพิจารณาจัดตั้งกองทุนสวัสดิการสำหรับอาสาสมัครทหารพราน การปรับปรุงคุณภาพเครื่องแต่งกาย และเครื่องประกอบการแต่งกายของทหาร การจัดสร้างที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองให้กับกำลังพลหลังเกษียณอายุราชการ" พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าว พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า ทางกองทัพบกมีแนวทางสนับสนุนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย เช่นที่เคยทำ และมีคู่มือปี 2550 ที่กำหนดวิธีการอยู่แล้ว พร้อมกันนี้ได้ชี้แจงถึงการใช้กำลังทหารลงพื้นที่ต่างๆ ว่าเป็นชุดทำความเข้าใจ เผยแพร่การเทิดทูนสถาบัน สร้างความรักความสามัคคี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สภาความมั่นคงแห่งชาติ เล็งปิดศูนย์ผู้อพยพเพราะพม่ามีรัฐบาลชุดใหม่แล้ว Posted: 11 Apr 2011 07:00 AM PDT เชื่อเมื่อมีรัฐบาลพม่าชุดใหม่ สถานการณ์ดีขึ้น จึงจะเร่งปิดศูนย์อพยพและส่งคนจากพม่ากลับ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพูดคุยกับฝ่ายต่างๆ วันนี้ (11 เม.ย.) ที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยเป็นการหารือภายหลังรัฐบาลพม่ามีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศ โดยนายถวิลกล่าวว่าขณะนี้รัฐบาลพม่าได้จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้เข้าบริหารงานแล้ว จึงมีการเปลี่ยนแปลงไปในสถานการณ์ที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่จะมากระทบกับเรามี 2 เรื่อง คือ ผู้หนีภัยการสู้รบจำนวนประมาณ 1 แสนคนเศษ ที่อยู่ในพื้นที่พักพิง 9 แห่ง 4 จังหวัดด้านตะวันตก ตั้งแต่ จ.แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และ ราชบุรี ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะมีผลที่เปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายเพราะว่าคนเหล่านี้มา อยู่กับเราร่วมกว่า 20 ปีแล้ว และเป็นภาระของรัฐบาลที่จะต้องดูแลขององค์กรการกุศลต่างๆ และทางสหประชาชาติเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยสงคราม หรือ ยูเอ็นเอชซีอาร์ ได้มาพบตน และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องหลายหน่วย โดยมีแนวความคิดที่จะเร่งรัดปิดศูนย์ต่างๆ และส่งคนพม่าต่างๆ กลับไป โดยต้องส่งสัญญาณไปทางฝ่ายต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาบ้านเมืองของพม่า ที่จะทำการพัฒนาในพื้นที่ชายแดนให้เป็นพื้นที่ที่คนเหล่านี้ สามารถกลับไปดำรงชีวิตได้ ทั้งนี้ อยู่ในระหว่างการพูดคุย ซึ่งคิดว่ามีแนวทางที่น่าจะลดภาระในเรื่องนี้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
"กรณ์" เผยประสบการณ์นั่งแท็กซี่เสื้อแดงกลับบ้าน พร้อมแนะอย่าใช้ความรุนแรง Posted: 11 Apr 2011 06:04 AM PDT รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเผยได้นั่งแท็กซี่ซึ่งเป็นการ์ดเสื้อแดง คนขับบอกมาเป็นเสื้อแดงเพราะต้องการสังคมที่ทุกคนมีโอกาส กรณ์ชี้คิดเหมือนประชาธิปัตย์ แต่ใครเก่งก็เป็นหัวหน้าพรรคได้ ไม่ต้องรอคำสั่งเจ้าของพรรค เชื่อคนขับแท็กซี่รับข้อมูลไม่ครบ พร้อมบอกคนขับว่า คิดอย่างไรก็แล้วแต่ อย่าใช้ความรุนแรงแล้วกัน เมื่อวานนี้ (10 เม.ย.) นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยแพร่บันทึกชื่อ "Truth Today" ในเฟซบุคของตนว่า "วันนี้ (10 เม.ย.) ได้นั่งรถแท๊กซี่กลับบ้าน คนขับใส่เสื้อแดง Truth Today และพูดด้วยความภาคภูมิใจว่าไม่ได้เป็นเสื้อแดงเฉยๆ แต่เคยเป็นการ์ดแดง" นายกรณ์จึงถามว่า "ผมก็เลยถามว่าทำไมถึงเป็นแดง" โดยคนขับรถแท็กซี่ดังกล่าว ตอบว่าเพราะต้องการสังคมที่ทุกคนมีโอกาส นายกรณ์จึงบอกว่า "โห คิดเหมือนประชาธิปัตย์เลย ทุกคนเรียนฟรี ทุกคนควรกู้ยืมจากธนาคารได้ ทุกคนมีทุนเรียนมหาวิทยาลัย" นายกรณ์ได้บันทึกเพิ่มด้วย โดยที่ไม่ได้เล่าให้คนขับแท็กซี่ฟังว่า "(อยากบอกด้วยว่าใครเก่งก็เป็นหัวหน้าพรรคได้ด้วย ไม่ต้องรอคำสั่งจากเจ้าของพรรค...)" นายกรณ์เปิดเผยความรู้สึกลงในเฟซบุคอีกว่า "ผมไม่ได้มีความรู้สึกที่ไม่ดีกับเขาเลยเพียงแต่รู้สึกว่าเขารับข้อมูลมาไม่ ครบเท่านั้นเอง" โดยตอนลงจากรถ นายกรณ์ได้กล่าวกับคนขับรถแท็กซี่ว่า "น้องคิดอย่างไรก็แล้วแต่ อย่าใช้ความรุนแรงแล้วกัน" ที่มา: บันทึกในเฟซบุคของ Korn Chatikavanij สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 3 - 9 เม.ย. 2554 Posted: 11 Apr 2011 01:41 AM PDT สมานฉันท์แรงงานไทยมีมติไม่ร่วมจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2554 ที่ผ่านมาในการประชุมประจำเดือนของคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ได้มีการนำวาระการเข้าร่วมจัดงานวันแรงงานแห่งชาติมาทบทวนมติเข้าร่วมจัดงาน กับคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ นางอารยา แก้วประดับ ฝ่ายสตรีสมาพันธ์รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2554 ทางสรส.ได้เข้ายื่นหนังสือคัดค้านต่อคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2554 เนื่องจากกลุ่มผู้หญิงไม่เห็นด้วยกับการจัดประกวดเทพธิดาแรงงาน เนื่องว่าเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์วันกรรมกรสากล การนำผู้หญิงที่เป็นแรงงานมาประกวดความสวยความงาม และหากจะเลือกพรีเซ็นเตอร์ในโครงการขยายความคุ้มครองประกันสังคมในมาตรา 40 ก็ควรเลือกจากแรงงานนอกระบบ จะดีกว่าแต่ทางคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานยังคงมติในการจัดประกวดเทพธิดาแรง งานต่อ ซึ่งในส่วนของสรส.ได้ข้อสรุปแล้วว่าหากทางคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานยังคง จัดประกวดฯทางสรส.จะไม่เข้าร่วมจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ นางสาวธนพร วิจันทร์ ประธานกลุ่มบูรณาการแรงงานสตรีกล่าวว่า การที่คณะกรรมการจัดงานไม่ได้ฟังเสียงทักท้วงของกลุ่มผู้หญิง และมองว่าการประกวดเป็นการเพิ่มคุณค่าของผู้หญิงนั้น ซึ่งตนไม่เห็นว่าจะเพิ่มคุณค่าตรงไหน คิดว่าเป็นการเพิ่มราคา ยังคงมองผู้หญิงเป็นเพียงตราสินค้า โดยมีการพูดถึงการจัดประกวดเทพธิดาแรงงานที่ผ่านมาสามารถส่งเสริมจนเป็นดารา ได้ หรือกระทั้งการประกวดนางสาวไทย ซึ่งเป็นคนละเรื่องคนละประเด็น อันนั้นก็เป็นความสมัครใจของพี่น้องผู้หญิงที่จะเลือกเข้าสู่เวที ประกวดความงาม แต่ส่วนที่กลุ่มผู้หญิงคัดค้านคือการจัดประกวดในงานวันแรงงานแห่งชาติ ซึ่งเป็นเวทีที่จะนำประเด็นปัญหาแรงงานต่างๆมาสะท้อนต่อรัฐให้มีการแก้ไข ปัญหา กับนำเรื่องการประกวดความสวยงามของแรงงานหญิงมาเป็นการดึงดูด และยังมีเสียงของผู้ชายที่ตื่นเต้นในการที่จะมีผู้หญิงมาเดินโชว์บนเวที แม้ว่าตอนนี้จะบอกว่าไม่กำหนดเรื่องสัดส่วน หรือเรื่องชุดกีฬาให้ใส่ชุดวอมขาวยาวก็ตาม ตนรับไม่ได้จริง หากต้องการพรีเซ็นเตอร์ ควรใช้ตัวจริงเสียงจริงของแรงงานนอกระบบได้ เสนอว่าให้นำเงิน 5 แสนไปบริจาคช่วยพี่น้องทางใต้ที่เดือดร้อนดีกว่า ไม่เข้าใจว่ารัฐบาลคิดอะไร แค่พรีเซ็นเตอร์เชิญชวนให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบประกันสังคมมาตรา 40 ต้องทำให้เกิดความขัดแย้งกับขบวนการแรงงานด้วย นางสุจิน รุ่งสว่าง ผู้ประสานงานเครือข่ายนอกระบบเล่าว่า ทางสำนักงานประกันสังคมได้มีการทำแบบสอบถามให้ลงพื้นที่เรื่องความเห็นในการ เข้าสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ว่าแรงงานนอกระบบมีความเห็นเป็นอย่างไร รวมทั้งเครือข่ายแรงงานนอกระบบก็จะมีการเข้าพบเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ในวันที่ 5 เมษายน 2554 เวลา 14.00 น.เพื่อการทำงานร่วมกันในการให้ความรู้เรื่องสิทธิผู้ประกันสังคมมาตรา 40 และวิธีการสมัครเป็นผู้ประกันตน ซึ่งต่อประเด็นการจัดประกวดเทพธิดาแรงงานจึงไม่เห็นว่าจะเกิดประโยชน์อะไร นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า เนื่องจากทางกลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี ซึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ได้มีการทำหนังสื่อ และออกมาแถลงข่าวคัดค้านท้วงติงเรื่องการจัดประกวดเทพธิดาแรงงานเพราะเห็น ว่าไม่สมควรที่จะมีการจัดประกวดร่วมกับการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ โดยใช้ข้ออ้างว่าเพื่อนำมาเป็นพรีเซ็นเตอร์เชิญชวนให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ ระบบประกันสังคมมาตรา 40 ว่าเป็นการทำลายวัฒนธรรมการจัดงานวันกรรมกรสากล เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ เวทีที่จะสะท้อนปัญหาความเดือดร้อนของแรงงาน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม คณะกรรมการสมานฉันท์ฯ จึงได้มีมติร่วมกันว่าจะไม่เข้าร่วมจัดงานวันแรงงานแห่งชาติในปีนี้ โดยกำหนดจัดร่วมกับทางสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ซึ่งในการเดินรณรงค์ และร้วทเฉลิมฉลอง เพื่อเชิดชูศักศรีแรงงาน วันกรรมกรสากล ซึ่งจะมีการนำเข้าที่ประชุมร่วมกันในวันพรุ่งนี้ (4 เมษายน 2554) ที่โรงแรมบางกอก พาเลซ หลังการสัมมนาเรื่อง “ปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ….(ฉบับขบวนการแรงงาน)” ทั้งนี้ทางคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยจะทำหนังสือแจ้งไปทางคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานให้ทราบถึงการไม่เข้าร่วมต่อไป (นักสื่อสารแรงงาน, 3-4-2554) สหภาพรถไฟเรียกร้องปรับเงินเดือนขึ้น 5% เท่ากับ ขรก. เล็งยื่นหนังสือต่อ รมว.แรงงาน นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.)และเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 3 เมษายน ว่า สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจทุกแห่งจะเดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องต่อนายเฉลิม ชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในวันที่ 4 เมษายน เพื่อให้มีการปรับขึ้นเงินเดือนพนักงานรัฐวิสาหกิจ 5% ทุกคน ในลักษณะเดียวกันกับการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการ เนื่องจากได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ปรับขึ้นเงินเดือนเฉพาะพนักงานที่มีเงินเดือนไม่ถึง 50,000 บาท ไม่เป็นธรรมกับพนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานรัฐวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากมติ ครม. และจะไม่ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนมีประมาณ 30% ของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 2 แสนคน (หรือประมาณ 6 หมื่นคน) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก หลังจากเข้ายื่นหนังสือแล้วจะดำเนินการอย่างไรต่อไปหรือไม่ คงต้องรอคำชี้แจงจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก่อนนายสาวิทย์กล่าว (มติชน, 3-4-2554) ศาลแรงงานกลางนัดไกล่เกลี่ยแอร์-ผู้บริหารการบินไทยอีกครั้ง 21 เม.ย. นี้ 4 เม.ย. 54 - ความคืบหน้ากรณีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รวม 22 คน ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท การบินไทย นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทการบินไทยฯ และนายชัชวาล เสนะวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เป็นจำเลยที่ 1-3 กรณีออกคำสั่งให้ปรับปรุงบุคลิกภาพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน โดยกำหนดหลักเกณฑ์ให้พนักงานหญิงมีรอบเอวไม่เกิน 32 นิ้ว พนักงานชายไม่เกิน 35 นิ้ว ซึ่งถือเป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรม ขัดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และขัดต่อสภาพการจ้างงาน นายอากาศ วสิกชาติ ทนายความ เปิดเผยว่า วันนี้ (4 เม.ย.) ศาลแรงงานกลางได้พยายามไกล่เกลี่ยให้ทั้ง 2 ฝ่ายประนีประนอมยอมความกัน แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1-3 ส่งตัวแทนมาขอเลื่อนการพิจารณา เพราะเตรียมตัวไม่ทัน ศาลจึงนัดให้คู่ความทั้ง 2 ฝ่ายมาไกล่เกลี่ยกันอีกครั้งในวันที่ 21 เมษายนนี้ เวลา 13.00 น. โดยศาลได้ให้ตัวแทนจำเลย แจ้งเงื่อนไขการประนีประนอมของฝ่ายพนักงานรวม 4 ข้อ ซึ่งมีสาระสำคัญคือ การขอคืนตารางการบินเดิมของพนักงาน ขอให้ตั้งคณะกรรมการกลางที่มีตัวแทนฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และแพทย์เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเป็นคนตัดสิน ไปให้จำเลยพิจารณา ก่อนนัดพิจารณาไกล่เกลี่ยครั้งที่ 2 ซึ่งหากตกลงกันไม่ได้ ศาลได้นัดสืบพยานโจทก์จำเลยในวันที่ 19 พฤษภาคมเวลา 13.00 น. (สำนักข่าวไทย, 4-4-2554) เฉลิมชัย เดินหน้าจดทะเบียนต่างด้าว ลั่น คุมได้ 80% โยน รมว.แรงงาน คนใหม่ดูพิสูจน์สัญชาติ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีที่ คณะอนุกรรมอำนวยการจัดระบบแรงงานต่างด้าว จะเสนอเรื่องการเปิดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว จำนวนกว่า 3 ล้านคน ให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง (กบร.) พิจารณาเห็นชอบในวันที่ 19 เมษายนนี้ ว่า ตนตั้งใจจะให้มีการดำเนินการเรื่องนี้ เพราะแรงงานต่างด้าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคงและเศรษฐกิจ ถ้ามีการจัดระเบียบอย่างเอาจริงเอาจัง โดยตัดเรื่องผลประโยชน์ออกไปจะแก้ไขปัญหาได้ ในรอบนี้ตนมั่นใจว่าจะไม่มีเรื่องผลประโยชน์ และจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ แม้จะไม่ถึงเต็มร้อยแต่เชื่อว่าสามารถคุมได้ร้อยละ 80 เพราะได้นำระบบคอมพิวเตอร์มาพิสูจน์ตัวบุคคล ซึ่งจะรู้ความเคลื่อนไหวทั้งที่อยู่อาศัย และไม่ให้เกิดปัญหาการลงทะเบียนซ้ำซ้อน ที่สำคัญยืนยันว่า หลังจากจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวทั้ง 3 ล้านคนแล้ว จะไม่มีการพิสูจน์สัญชาติในช่วงยุคที่ตนเป็น รมว.แรงงาน แต่จะให้เป็นหน้าที่ รมว.แรงงานคนใหม่ ดำเนินพิสูจน์สัญชาติต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้มีเรื่องผลประโยชน์ (แนวหน้า, 4-4-2554) "สาวิทย์" พนักงานรัฐวิสาหกิจ 500 คน จี้ "เฉลิมชัย" ขึ้นเงินเดือน 5% นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) และเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 เมษายน สรส.ได้นำพนักงานรัฐวิสาหกิจ ประมาณ 500 คน เดินทางไปยื่นหนังสือต่อนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อเรียกร้องให้มีการปรับขึ้นเงินเดือนพนักงานรัฐวิสาหกิจ 5% ทุกคน ตามมติของ สรส.ที่ต้องการให้พนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีเงินเดือนมากกว่า 50,000 บาท ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนในลักษณะเดียวกันกับการปรับขึ้นเงินเดือนของข้า ราชการ หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ปรับขึ้นเงินเดือนเฉพาะพนักงานที่มีเงินเดือนไม่ถึง 50,000 บาท ซึ่งเห็นว่าไม่เป็นธรรมกับพนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเฉลิมชัยได้ออกมารับหนังสือด้วยตัวเอง ขณะเดียวกัน ก็ได้ยืนยันกับพนักงานรัฐวิสาหกิจทุกคนว่าจะรับเรื่องดังกล่าวไว้ พร้อมกับนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. เพื่อให้มีการทบทวนโดยเร็วที่สุด คาดว่าจะสามารถนำเรื่องเข้า ครม.ได้ในวันที่ 5 เมษายนนี้ ส่วนจะมีการพิจารณาได้เมื่อไร ขึ้นอยู่กับขั้นตอนการพิจารณาตามระเบียบของ ครม. (มติชนออนไลน์, 4-4-2554) อจ.มหา′ลัย 5 หมื่นคนเฮ ขึ้นเงินเดือน10-12% นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 เมษายน ว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบเรื่องการปรับเงิน เดือนขั้นต่ำ ขั้นสูง และการได้รับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ตามที่ ศธ.เสนอซึ่งเป็นผลหารือร่วมกับคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ (กงช.) และสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ ครม.ได้เห็นชอบการปรับบัญชีเงินเดือนค่าจ้าง ค่าตอบแทนรายเดือนของบุคลากรภาครัฐ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 และได้มอบให้กระทรวงการคลัง คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ อีกทั้ง ครม.ยังได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2553 อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เกี่ยวกับการปรับบัญชีเงินเดือนค่าจ้าง ค่าตอบแทนรายเดือนของบุคลากรภาครัฐ ดังนั้น ศธ.จึงได้เสนอขอความเห็นชอบในการปรับเงินเดือนขั้นต่ำ ขั้นสูง และการได้รับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา โดยจัดทำเป็นร่างกฎ ก.พ.อ. 2 ฉบับ คือ 1.ร่างกฎ ก.พ.อ.ว่าด้วยการปรับเงินเดือนขั้นต่ำ ขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.... ซึ่งได้ปรับขั้นเงินเดือนขั้นต่ำ ขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา เพื่อให้เหมาะสมกับค่าของงาน ค่าครองชีพ และอัตราเงินเดือนในตลาดแรงงาน โดยแนวทางเทียบเคียงกับบัญชีเงินเดือนขั้นต่ำ ขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญที่ได้ปรับใหม่แล้ว ทั้งนี้ ข้าราชการพลเรือนทุกคนจะได้ปรับเงินเดือน 5% ในวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา โดยให้มีผลย้อนหลัง ซึ่งจะใช้งบประมาณจำนวน 380 ล้านบาท 2.ร่างกฎ ก.พ.อ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน พ.ศ.... จะมีผลให้บัญชีเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาเป็นไปตาม บัญชีแนบท้ายบัญชีเงินเดือนขั้นต่ำ ขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา โดยมีการปรับเงินเดือนขั้นสูงดังนี้ 1.ตำแหน่งวิชาการ ศาสตราจารย์ ปรับเพดานเงินเดือนขั้นสูงเป็น 67,560 บาท ยกเว้น ผู้ผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ.อ.กำหนดจะได้รับเงินเดือนไม่เกิน 69,810 บาท ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ เพดานเงินเดือนขั้นสูง 63,960 บาท ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เพดานเงินเดือนขั้นสูงเป็น 54,090 บาท อาจารย์ เพดานเงินเดือนขั้นต่ำ 10,190 บาท ขั้นสูง 39,630 บาท 2.ตำแหน่งประเภทผู้บริหาร ดังนี้ ผู้อำนวยการกองหรือเทียบเท่า เงินเดือนขั้นต่ำชั่วคราว 19,860 บาท ขั้นต่ำ 26,660 บาท ขั้นสูง 54,090 บาท ผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดีหรือเทียบเท่า ขั้นต่ำชั่วคราว 24,400 บาท ขั้นต่ำ 32,850 บาท ขั้นสูง 63,960 บาท 3.ตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะหรือ เชี่ยวชาญเฉพาะ ได้แก่ ระดับปฏิบัติการ ขั้นต่ำ 8,340 บาท ขั้นสูง 24,450 บาท ระดับชำนาญการ ขั้นต่ำชั่วคราว 13,160 บาท ขั้นต่ำ 15,050 บาท ขั้นสูง 39,630 บาท ระดับชำนาญการพิเศษ ขั้นต่ำชั่วคราว 19,860 บาท ขั้นต่ำ 22,140 บาท ขั้นสูง 53,080 บาท ระดับเชี่ยวชาญ ขั้นต่ำชั่วคราว 24,400 บาท ขั้นต่ำ 31,400 บาท ขั้นสูง 62,760 บาท ระดับเชี่ยวชาญพิเศษ ขั้นต่ำชั่วคราว 29,980 บาท ขั้นต่ำ 43,810 บาท ขั้นสูง 67,560 บาท และ 4.ตำแหน่งประเภททั่วไป ได้แก่ ระดับปฏิบัติงาน ขั้นต่ำ 4,870 บาท ขั้นสูง 19,100 บาท ระดับชำนาญการ ขั้นต่ำ 10,190 บาท ขั้นสูง 35,220 บาท ระดับชำนาญการพิเศษ ขั้นต่ำ 15,410 บาท ขั้นสูง 49,830 บาท อย่างไรก็ตาม การที่ ครม. ได้เห็นชอบร่างกฎ ก.พ.อ.ทั้งสองฉบับนี้จะเป็นประโยชน์กับข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดม ศึกษาที่จะได้ปรับเงินเดือนเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับข้าราชการครูที่เพิ่งจะได้ ปรับเงินเดือนไป ขณะที่นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า มติ ครม.ดังกล่าวส่งผลให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาประมาณ 50,000 คน จาก 75 มหาวิทยาลัยได้รับสิทธิประโยชน์ดังกล่าว ไม่นับรวมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ซึ่งไม่เคยเป็นส่วนราชการมาก่อนก็จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ตรงนี้ ส่วนมหาวิทยาลัยที่เคยเป็นส่วนราชการแต่ออกนอกระบบราชการในภายหลังและยังคง มีข้าราชการเหลืออยู่ในสถาบัน เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็จะได้รับผลประโยชน์ส่วนนี้ด้วย "ร่างกฎ ก.พ.อ.ดังกล่าวจะส่งผลให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้ปรับเงิน เดือน 2 รอบ คือ 1.ปรับตามบัญชีเงินเดือนตามโครงสร้างของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ใหม่ ซึ่งหลังจากยกเลิกระบบซี เข้าสู่แท่งเงินเดือน ในส่วนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษายังไม่ได้มีการปรับเงินเดือนและ จะต้องมีผลย้อนหลังตามระยะเวลาที่มีการปรับโครงสร้าง อยู่ที่ประมาณ 5-7% และ 2.ปรับตามมติ ครม.ที่ให้เพิ่มเงินเดือนให้ข้าราชการทุกประเภทซึ่งมีผลในวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา อีก 5% เท่ากับว่าข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาจะได้รับการปรับเงินเดือนเพิ่ม ขึ้น 10-12%" เลขาธิการ กกอ.กล่าว และว่า ทั้งนี้ ในเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จะเสนอ ครม.ขอจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อปรับเงินเดือนให้แก่พนักงานมหาวิทยาลัย ให้ใกล้เคียงกับข้าราชการทั่วไปที่ได้ขึ้นเงินเดือน 5% ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโครงสร้างบัญชีเงินเดือนของ ก.พ. มีดังนี้ ระดับปฏิบัติการ วุฒิปริญญาตรี ขั้นต่ำชั่วคราว 6,800 บาท ขั้นต่ำ 7,940 บาท ขั้นสูง 22,220 บาท, ระดับชำนาญการ (ซี 6-7) ขั้นต่ำชั่วคราว 12,530 บาท ขั้นต่ำ 14,330 บาท ขั้นสูง 36,020 บาท, ระดับชำนาญการพิเศษ (ซี 8) ขั้นต่ำชั่วคราว 18,910 บาท ขั้นต่ำ 21,080 บาท ขั้นสูง 50,550 บาท, ระดับเชี่ยวชาญ (ซี 9) ขั้นต่ำชั่วคราว 23,230 บาท ขั้นต่ำ 29,900 บาท ขั้นสูง 59,770 บาท, ระดับผู้ทรงคุณวุฒิ (ซี 10-11) ขั้นต่ำชั่วคราว 28,550 บาท ขั้นต่ำ 41,720 บาท ขั้นสูง 64,340 บาท, ระดับผู้ทรงคุณวุฒิ สายแพทย์/นักกฎหมายและกฤษฎีกา (ซี 11) ขั้นสูง 66,480 บาท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสารที่นำเสนอ ครม. ระบุว่าจำนวนข้าราชการสายวิชาการทั้งสิ้น 40,955 คน จำแนกเป็นตำแหน่งศาสตราจารย์ 494 คน รองศาสตราจารย์ 5,409 คน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ 10,492 คน และอาจารย์ 24,560 คน (มติชนออนไลน์, 5-4-2554) ปลัดแรงงานแย้มอาจขึ้นค่าแรงใน กทม.เป็น 228 บาทต่อวัน ส่วนปีนี้จะมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้น ต่ำในอัตราเดียวกับจังหวัดภูเก็ตคือวันละ 17 บาทหรือไม่ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ เพราะการปรับขึ้นค่าจ้าง 10 กว่าบาท เมื่อคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วเท่ากับมีการปรับขึ้นปีละ 10 % ซึ่งจะสอดคล้องกับแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่จะให้มีการปรับขึ้นร้อยละ 25 ใน 2 ปี หรือเท่ากับปีละ 10 % ซึ่งจริงๆ แล้วค่าครองชีพของคนกรุงเทพฯ ต่อ 1 คน ที่จะอยู่ได้เฉลี่ยวันละ 228 บาท ซึ่งปลายปี 2553 คณะกรรมการค่าจ้างกลาง ก็ได้มีพูดถึงตัวเลขที่จะปรับให้ในอัตรานี้ แต่กรรมการบางคนห่วงจะกระทบกับนายจ้างมากเกินไปจึงให้ชะลอไว้ก่อน (ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 5-4-2554) บอร์ด สปส.เตรียมพิจารณาเก็บเงินสมทบค่ารักษา ขัด รธน.หรือไม่กลางเดือนนี้ นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม หรือบอร์ด สปส. เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับหนังสือของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีที่มีการร้องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินวินิจฉัยเรื่องการเก็บเงินสมทบกรณี รักษาพยาบาล ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่แล้ว อย่างไรก็ตาม หนังสือที่ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งมานั้น ไม่ได้บ่งชี้ว่าการที่ สปส.เก็บเงินสมทบจากผู้ประกันตนในกรณีรักษาพยาบาล ขัดรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เพียงระบุว่าต้องการให้กระทรวงแรงงานพิจารณาแก้ไขกฎหมายประกันสังคม เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนที่ยังคงจ่ายเงินสมทบกรณีดังกล่าวได้สิทธิ์ รักษาพยาบาลฟรี ซึ่งตนจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมบอร์ด สปส.เพื่อพิจารณา โดยกำลังนัดหมายกรรมการฯ ว่าว่างตรงกันในวันที่ 12 เมษายนหรือไม่ หรืออาจต้องเลื่อนไปหลังสงกรานต์ ประมาณวันที่ 18 เมษายนนี้ ส่วนกรณีที่ชมรมพิทักษ์สิทธิ์ผู้ ประกันตนยื่นหนังสือให้มีการประชุมร่วมระหว่างกองทุนประกันสังคม และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อโอนสิทธิ์การรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนไปให้ สปสช.ดูแล ว่า การที่ สปสช.จะดำเนินการเรื่องนี้ได้ต้องมีความชัดเจนแล้วใน 2 เรื่อง คือ ระบบการให้บริการของ สปส.ไม่มีความพร้อมดูแลผู้ประกันตนกว่า 10 ล้านคนจริง ขณะที่ระบบของ สปสช.พิสูจน์แล้วว่ามีความพร้อมและทำได้ดีกว่า การรวม 2 กองทุนก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย แต่ขณะนี้แนวทางทั้ง 2 ข้อยังไม่มีอะไรที่ชัดเจน จึงไม่เข้าใจว่า ถ้า สปสช.จะรับไปดำเนินการจะทำได้อย่างไร (สำนักข่าวไทย, 5-4-2554) ปลัดแรงงานไม่รับปากขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำกลางปีนี้ นายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้างกลาง กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำกลางปี 2554 ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีการปรับขึ้นหรือไม่ เพราะต้องรอผลการศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจการแรงงานลงพื้นที่เก็บข้อมูล เรื่องค่าครองชีพทุกจังหวัด เพื่อนำมาประกอบการพิจารณา กับข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ถ้าพบว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่ผู้ใช้แรงงานได้รับในปัจจุบันไม่เพียงพอต่อการ ดำรงชีพ ก็คงต้องมีการปรับขึ้น เนื่องจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะต้องพิจารณาปรับให้ไม่ทิ้งห่างกับค่าครอง ชีพ เมื่อถามว่า ปีนี้จะได้เห็นการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำที่สูงในอัตราเดียวกับจังหวัด ภูเก็ตคือ 17 บาทหรือไม่ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ เพราะการปรับขึ้นค่าจ้าง 10 กว่าบาท เมื่อคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วเท่ากับมีการปรับขึ้นปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะสอดคล้องกับแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่จะให้มีการปรับขึ้นร้อยละ 25 ใน 2 ปี หรือเท่ากับปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ และจริงๆแล้วค่าครองชีพของคนกรุงเทพฯ ต่อ 1 คน ที่จะอยู่ได้เฉลี่ยวันละ 228 บาท ซึ่งปลายปี 53 คณะกรรมการค่าจ้างกลาง ก็ได้มีพูดถึงตัวเลขที่จะปรับให้ในอัตรานี้ แต่กรรมการบางคนห่วงจะกระทบกับนายจ้างมากเกินไปจึงให้ชะละไว้ก่อน “ในความเห็นส่วนตัวคิดว่าปีนี้ กทม. สามารถปรับได้ 228 บาท แต่ถ้าจะให้ฟันธงเลยคงต้องรอผลการศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจการแรงงาน สรุปประมาณเดือนมิถุนายน จึงจะบอกได้ว่าการปรับขึ้นค่าจ้างจะอยู่ในอัตราตัวเลขที่เท่าไหร่ ขณะเดียวกันตัวเลขค่าจ้างในต่างจังหวัดก็จะใช้เกณฑ์ก้าวกระโดด บางจังหวัดจะปรับขึ้น 50 - 60 เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่มีข้อมูลการศึกษาที่ไม่ดีพอ เมื่อประกาศไปจะมีผลทางจิตวิทยากับนายจ้างทันที”นายสมเกียรติ กล่าว (เนชั่นทันข่าว, 5-4-2554) คสรท.มีมติแยกจัดงานวันแรงงานแห่งชาติปีนี้ พร้อมเสนอข้อร้องใน 6 ประเด็น นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) พร้อมด้วยสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และเครือข่ายแรงงานสตรี มีมติร่วมกันที่จะจัดงานวันแรงงานแห่งชาติประจำปีนี้ โดยแยกออกจากงานที่คณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ที่มีนายชินโชติ แสงสังข์ เป็นประธานการจัดงาน สาเหตุสำคัญมาจากแนวคิดที่ไม่ตรงกันในการจัดประกวดเทพธิดาแรงงานซึ่ง คสรท.พร้อมด้วยเครือข่ายแรงงานสตรี พยายามคัดค้านอย่างต่อเนื่อง เพราะขัดต่อเจตนารมณ์ของการจัดงานวันแรงงานและยังย่ำยีแรงงานสตรี แต่คณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติไม่พยายามรับฟัง สำหรับกิจกรรมในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ เครือข่ายฯ จะนัดรวมตัวกันบริเวณหน้าอาคารรัฐสภา จากนั้นจะเคลื่อนขบวนผ่านลานพระราชวังดุสิต และไปหยุดที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อจัดเสวนาวิชาการ โดยจะมีการเชิญฝ่ายการเมืองมาร่วมรับฟัง และยื่นข้อเรียกร้อง โดยข้อเรียกร้องของ คสรท.และเครือข่ายในปีนี้มี 6 ข้อประกอบด้วย 1.รัฐบาลต้องรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) ฉบับที่ 87 และ 98 2.การมีสิทธิเลือกตั้งในพื้นที่อุตสาหกรรมหรือที่ทำงาน 3. การปฏิรูปกองทุนประกันสังคม 4.จัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยง เพื่อป้องกันการถูกเลิกจ้าง 5.การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 421 บาท และมีโครงสร้างค่าจ้างที่ชัดเจน 6.ยกเลิกการแปรรูปรับวิสาหกิจทั้งหมด (สำนักข่าวไทย, 5-4-2554) จี้ รง.น้ำท่วม 1,908 แห่ง จ่ายเงินลูกจ้าง3หมื่นคน 50% ของค่าแรงขั้นต่ำ นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เตรียมหารือกับผู้ประกอบการและโรงงาน 1,908 แห่ง ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ให้ช่วยเหลือในการจ่ายเงินค่าแรงลูกจ้าง 29,535 ราย ที่ไม่สามารถเข้ามาทำงานในกรณีที่โรงงานต้องหยุดกิจการได้ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของครัวเรือนแรงงาน โดยเฉพาะในกลุ่มของลูกจ้างรายวันที่ต้องการให้โรงงานช่วยจ่ายไม่ต่ำกว่า 50% ของค่าจ้างขั้นต่ำ เพราะกลุ่มนี้จะไม่ได้รับสิทธิการช่วยเหลือเหมือนพนักงานประจำ (เดลินิวส์, 6-4-2554) คลังเร่งตั้งสำนักงาน กอช.รองรับแรงงานนอกระบบ 6 เม.ย.-นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่าขณะนี้วุฒิสภาได้พิจารณาร่างกฎหมายเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.) เพื่อรองรับแรงงานนอกระบบที่มีสัญชาติไทย จำนวน 24 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 70 ของจำนวนแรงงานทั้งระบบให้มีเงินออมในวัยเกษียณ เนื่องจากแรงงานเหล่านี้ไม่ได้รับความคุ้มครองและมีหลักประกันทางสังคมกรณี ชราภาพตามกฎหมายอื่นที่มีการจ่ายสมทบของนายจ้างหรือรัฐบาลหรืออยู่ในระบบ บำเหน็จบำนาญภาครัฐ โดยผู้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกองทุน กอช. สามารถจ่ายเงินสะสมการออมขั้นต่ำเดือนละ 100 บาท โดยรัฐจะจ่ายสมทบเข้ากองทุนเดือนละ 100 บาท และจ่ายสะสมเพิ่มตามความสมัครใจได้อีกเดือนละ 100-1,000 บาท โดยรัฐบาลจ่ายสมทบให้ตามอายุของผู้ ออมที่เป็นแรงงานนอกระบบ โดยผู้ออมอายุต่ำกว่า 20 ปี รัฐบาลจะไม่จ่ายสมทบอายุตั้งแต่ 20-30 ปี รัฐจ่ายสมทบเดือนละ 50 บาท อายุมากกว่า 30-50 ปี รัฐจ่ายสมทบเดือนละ 80 บาท และอายุมากกว่า 50-60 ปี รัฐจ่ายสมทบเดือนละ 100 บาท โดยอัตราเงินสะสมและเงินสมทบจะมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพทาง เศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลังประเมินว่า หากมีสมาชิกขอรับสิทธิในปีแรกต่ำสุดและสูงสุดร้อยละ 30-100 คาดว่ารัฐจะต้องใช้จ่ายเงินสมทบต่ำสุดและสูงสุดประมาณ 6,000-22,000 ล้านบาท โดยขณะนี้วุฒิสภาได้ทำการแก้ไขใน 4-5 มาตรา เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย เช่น การกำหนดคุณสมบัติกรรมการกองทุน กอช. และองค์ประกอบผู้จ่ายเงินเข้ากองทุน รวมไปถึงข้อกำหนดการโอนสิทธิให้ญาติรับผลประโยชน์เพื่อถึงอายุ 60ปี จะให้ทายาท แต่สำหรับชาวมุสลิมจะโอนให้ใครก็ได้ที่เจ้าตัวพอใจ เมื่อแก้ไขทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้วจะเสนอที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรโหวต เลือกอีกรอบโดยไม่ต้องผ่านวุฒิสภาอีกครั้งร่างกฎหมายก็จะผ่านสภาได้ กระทรวงการคลังจึงต้องเดินหน้าจัดตั้งสำนักงาน การวางระบบไอที เพื่อรองรับประชาชนแรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบได้ในปี 55 ช่วงแรกคาดว่าต้องการเข้ากองทุน 4-5 ล้านคน. (สำนักข่าวไทย, 6-4-2554) นายกฯ ยันปรับค่าจ้างอีกร้อยละ 25 ใน 2 ปี ชี้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ก.แรงงาน 7 เม.ย.- นายกฯ ย้ำนโยบายขึ้นค่าจ้าง อีกร้อยละ 25 ใน 2 ปี ชี้ เป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมยืนยันไม่ได้แทรกแซงระบบไตรภาคี ด้านแรงงาน ขานรับระบุช่วยเพิ่มอำนาจการซื้อ เรียกร้องขึ้นค่าจ้างอีกร้อยละ 12.5 ในวันแรงงานแห่งชาติปีนี้ ขณะที่ ส.อ.ท.ห่วงกระทบธุรกิจเอสเอ็มอี ในงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ : แรงงานไทยดีจริงหรือ” ที่กระทรวงแรงงาน ร่วมกับมูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน จัดที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันค่าจ้างไม่ได้เป็นเพียงต้นทุนของนายจ้าง หรือรายได้ของฝ่ายลูกจ้าง แต่ค่าจ้างทำให้ชีวิตของคนไทยดีขึ้น ซึ่งเห็นผลชัดเจนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมาทั้งในส่วนของเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท หรือเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครอบครัวละ 5,000 บาท ขณะที่ราคาสินค้าขึ้นกับกลไกตลาดโลก หากไปฝ่าฝืนก็จะเกิดปัญหา เช่นเดียวกับภาวะ การขาดแคลนปาล์มน้ำมัน ดังนั้นทางออกจึงต้องทำให้คนมีรายได้เพิ่มตามสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยนโยบายในการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอีกร้อยละ 25 ภายใน 2 ปี จะเป็นการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ให้มีการพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะทยอยปรับขึ้นตามสัดส่วนค่าจ้างแต่ละจังหวัด ควบคู่ไปกับการช่วยผู้ประกอบการในการลดต้นทุนทางด้านภาษี และควบคุมราคาสินค้า ไม่ให้เกิดการผูกขาด พร้อมยืนยันว่าไม่ได้แทรกแซงระบบไตรภาคี แต่เป็นเรื่องนโยบายที่คณะกรรมการไตรภาคีต้องนำไปพิจารณาด้วย นายชิณโชติ แสงสังข์ ประธานคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ กล่าวว่า เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีที่การเพิ่มค่าจ้างจะทำให้คนมีอำนาจการซื้อ อย่างไรก็ตาม ต้องควบคุมเงินเฟ้อ และราคาสินค้า ไม่เช่นนั้นแรงงานจะขาดทุน วันนี้ต้นทุนการผลิตในส่วนที่เป็นค่าแรงมีไม่ถึงร้อยละ 20 ดังนั้น การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับธุรกิจ เพราะค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันไม่สะท้อนความเป็นจริง คนงานมีชีวิตอยู่ได้เพราะต้องทำงานล่วงเวลา ด้านนายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวเรียกร้องให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างเป็นเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยเท่ากันทุก จังหวัด และเป็นไปได้ขอให้ขึ้นอีกอย่างน้อยร้อยละ 12.5 ในวันแรงงานแห่งชาติปีนี้ เพราะขณะนี้อัตราค่าจ้างยังแตกต่างกันถึง 29 อัตรา สูงที่สุดที่ภูเก็ต 221 บาท ต่ำสุดที่พะเยา 159 บาท ห่างกันถึง 62 บาท ขณะที่ราคาสินค้าปรับขึ้นเท่ากันทั่วประเทศ พร้อมยืนยันว่าปัญหาการขาดแคลนแรงงาน มีสาเหตุจากการจ้างงานที่มีหลายมาตรฐาน เช่น การจ้างเหมาเอาท์ซอร์สทำให้แรงงานไหลไปสู่ภาคอื่น ๆ ขณะที่นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวยอมรับว่ากังวลกับการเร่งขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เพราะจะส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ที่ใช้แรงงานอย่างเข้มข้น และมีการจ้างแรงงานกว่า 10 ล้านคน ซึ่งรัฐควรจะต้องดูแลเป็นพิเศษ ส่วนมาตรการช่วยเหลือทางภาษี เป็นเรื่องดีที่จะทำให้ภาคอุสาหกรรมอยู่ได้หากจะมีการปรับขึ้นค่าจ้าง (สำนักข่าวไทย, 7-4-2554) แกนนำแรงงานยื่นหนังสือขอสภาพิจารณา กม.ลูก คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ยื่นหนังสือถึง ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่าน นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย เพื่อขอให้มีการพิจารณาเนื้อหาร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับ การเลือกตั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับการดำรงชีวิตของผู้ใช้แรงงาน โดยให้ผู้ใช้แรงงานและประชาชนที่อาศัย หรือ ทำงานในพื้นที่นอกทะเบียนบ้านของตน สามารถใช้สิทธิ์เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา รวมถึง ผู้แทนในทุกระดับในเขตพื้นที่ ซึ่งตนอาศัย หรือ ทำงานอยู่ได้ เพราะจะทำให้ผู้แทนมีความรับความผิดชอบโดยตรงต่อผู้ลงคะแนนเลือกตั้งและ สามารถรับฟังแก้ไขปัญหาของประชาชนได้ ขณะที่ ปัจจุบันมีผู้ใช้แรงงานจำนวนมากที่อพยพจากภูมิลำเนาเดิม เพื่อเข้ามาประกอบอาชีพโดยไม่สามารถย้ายทะเบียนบ้านเข้ามา เพราะอาจพักอยู่ในบ้านเช่า ทั้งที่ความเป็นจริงเป็นบ้านพักอาศัยถาวร ซึ่งหากไม่ได้เลือกตั้งในเขตที่พักอาศัยอยู่จริง ผู้แทนที่ได้รับเลือกตั้งก็ไม่สะท้อนความเป็นตัวแทนของพื้นที่ อย่างแท้จริงด้วย (ไอเอ็นเอ็น, 7-4-2554) เครือข่ายแรงงานยื่นส.ส.ให้ผ่านร่างพ.ร.บ.เงินทดแทน เมื่อวันที่ 7เมษายน 2554เครือข่ายคุณภาพชีวิตแรงงาน โดย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยเนื่องจากงาน เครือข่ายปฏิบัติการแรงงานข้ามชาติ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อประธานคณะกรรมการประสานงานฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีการพิจารณา ลงมติเห็นชอบในวาระ 2-3ในมาตรา 10 ร่างพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่ได้มีกรรมาธิการวิสามัญร่างฯเสียงข้างน้อย ได้ขอสงวนการแปรญัตติ โดยให้มีการแก้ไขความในมาตรา 28วรรคสอง คือ “คณะกรรมการต้องจัดสรรเงินกองทุนอีกร้อยละยี่สิบของดอกผลของกองทุนต่อปีอุด หนุนกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตามมาตรา 45(2) ของพระราชบัญญัติความปลอดภัยอาชีวิอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554” นางสมบุญ สีคำดอกแค ประธานสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการความปลอดภัยฯที่ 1/54ลงวันที่ 11มกราคม 2554ให้เป็นอนุกรรมการยกร่างกฎหมายสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ โดยมีนางอัมพร นิติศิริ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นประธาน ได้มีมติที่ประชุมในวันที่ 3มีนาคม 2554มอบหมายให้ตน นำเสนอความเห็นตามที่ได้สงวนการแปรญัตติไว้แก่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้งานส่งเสริมป้องกันแก้ไขปัญหาความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อม ในการทำงานมีงบประมาณดำเนินงานในการลดความเจ็บป่วยและอุบัติเหตุจากการทำงาน ของผู้ใช้แรงงาน สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำ งานฯ ขอเรียกร้องให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ลงมติเห็นชอบคำสงวนการแปรญัตติของกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ซึ่งมีข้อเสนอแก้ไขตามมาตรา 10แก้ไขมาตรา 28วรรค 2เพื่อให้กองทุนความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ได้มีงบประมาณร้อยละยี่สิบของดอกผลกองทุนเงินทดแทน ในการทำงานส่งเสริมป้องกันแก้ไขปัญหาสุขภาพความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพ แวดล้อม และจัดสรรมายังสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ ที่จะจัดตั้งขึ้นภายหลังพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554บังคับใช้ภายในหนึ่งปี นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยกล่าวว่า เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน ได้แสดงความสนับสนุน การแก้ไขเพิ่มเติมและเรียกร้องให้ทางสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบประเด็นดัง กล่าวด้วย เนื่องจากงบประมาณดังกล่าวจะมาช่วยให้มีการส่งเสริมเรื่องความปลอดภัยในการ ทำงานให้ลูกจ้าง เป็นการทำงานเชิงรุกที่เน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา และเยียวยา ประเด็นต่อมา ข้อเสนอดังกล่าวยังสอดคล้องต่อเจตนารมณ์ ของพระราชบัญญัติความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554เรื่องการนำดอกผลของกองทุนเงินทดแทนมาจัดสรรให้กับกองทุนความ ปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งจะเป็นงบประมาณให้กับทางสถาบันความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมใน การทำงาน เพื่อการส่งเสริม พัฒนา การศึกษาวิจัย และแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยฯ (นักสื่อสารแรงงาน, 7-4-2554) ก.แรงงาน เดินหน้าช่วยเหลือแรงงานไทยที่กลับจากลิเบีย ก.แรงงาน 7 เม.ย.- กรมการจัดหางานเดินหน้าช่วยเหลือคนงานกลับจากลิเบีย เตรียมจัดนัดพบแรงงานใน 3 จังหวัด มีตำแหน่งงานในต่างประเทศกว่า 2,000 ตำแหน่ง เผยขอความร่วมมือบริษัทจัดหางาน เก็บค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด พร้อมเร่งเจรจา 3 ธนาคาร ผ่อนผันชำระหนี้ให้คนงาน นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับบริษัทจัดหางานกว่า 30 แห่ง เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือแรงงานไทยที่กลับจากลิเบียว่า กรมการจัดหางานได้ขอความร่วมมือบริษัทจัดหางานในเรียกเก็บค่าบริการและค่า ใช้จ่ายที่น้อยที่สุด ในการส่งคนงานที่กลับจากลิเบียไปทำงานที่ต่างประเทศอีกครั้ง โดยล่าสุดเตรียมตำแหน่งงานในประเทศต่าง ๆ เช่น ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซีย กว่า 1,500 อัตรา ในสาขา ช่างเชื่อม ช่างก่อสร้าง และคนงานในโรงงาน นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งงานในประเทศอื่นๆ อีกว่า 1,000 อัตรา ที่อยู่ระหว่างการขออนุญาตจัดส่งกับกรมการจัดหางาน โดยกรมการจัดหางาน จะเชิญบริษัทจัดหางานที่มีตำแหน่งงานในต่างประเทศต่าง ๆ ร่วมจัดงานนัดพบแรงงานในจังหวัดที่มีแรงงานไทยไปทำงานที่ลิเบียจำนวนมาก ใน 3 พื้นที่ประกอบด้วย บริเวณห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ในวันที่ 19 เมษายน, บริเวณสำนักงานจัดหางานจังหวัด จ.อุดรธานี ในวันที่ 3 พ.ค. และที่ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส อ.เมือง จ.ลำปาง วันที่ 27 พฤษภาคม นอกจากนี้ กรมการจัดหางานกำลังเร่งเจราจากับธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อขอผ่อนผันการชำระหนี้ให้คนงาน รวมถึงการจัดทำสินเชื่อใหม่ หรือรีไฟแนนซ์ด้วย อย่างไรก็ตาม ได้สั่งตั้งชุดเฉพาะกิจตรวจสอบการเรียกเก็บค่าบริการจัดส่งแรงงาน ก่อนออกเดินทาง หากพบมีการเรียกเก็บเกินจริงจะถูกดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด สำหรับการจ่ายเงินกองทุนช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ จำนวน 15,000 บาท ล่าสุดมีคนงานรับเงินไปแล้วจำนวน 9,350 คน จากยอดเดินทางกลับมา 10,678 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 93 ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างตรวจสอบหลักฐาน ขณะที่มีผู้ร้องเรียนในการเรียกร้องขอรับค่าจ้างค้างจ่าย และขอรับค่าบริการจัดส่งคืนในส่วนที่ทำงานไม่ครบสัญญาเพียง 309 คน (สำนักข่าวไทย, 7-4-2554) คสรท.ยื่นเรียกร้องให้คนงานมีสิทธิเลือกตั้งส.ส. ส.ว. ในเขตพื้นที่ทำงาน วันนี้ (7 เมษายน 54) เวลา 10.00 น. คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย นำโดยนายชาลี ลอยสูง ประธานฯนางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย รองประธานฯ นายชัยสิทธิ์ สุขสมบูรณ์ รองประธาน ได้เข้ายื่นหนังสือต่อประธานคณะกรรมการประสานงานฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล เพื่อให้มีการบรรจุพิจารณาข้อเสนอของแรงงานในประเด็นสิทธิการเลือกของผู้ใช้ แรงงาน นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.)กล่าวว่า เนื่องจากการเลือกตั้งที่จะมาถึงในไม่ช้านี้ และวันนี้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระสำคัญคือการพิจารณากฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั้ง 3 ฉบับ ทางคสรท.ได้มีข้อเสนอให้ผู้ใช้แรงงานและประชาชนที่อาศัยหรือทำงานในพื้นที่ ซึ่งอยู่นอกทะเบียนบ้านของตน สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ในเขตพื้นที่ซึ่งตนอาศัยหรือทำงานอยู่ได้ เนื่องจากมีคนทำงานจำนวนมากที่อพยพจากภูมิลำเนาเดิม เพื่อเข้ามาทำงานประกอบอาชีพต่างถิ่น โดยที่พวกเขาไม่สามารถย้ายทะเบียนบ้านเข้ามายังพื้นที่ซึ่งตนมาทำงานได้ ด้วยข้อจำกัดหลายประการ เช่น เจ้าของบ้านเช่าไม่ยอมให้ย้ายทะเบียนบ้านเข้ามา บางคนพักอยู่ในหอพักที่สถานประกอบการจัดให้ ซึ่งไม่สามารถย้ายทะเบียนบ้านเข้ามาได้ และในความเป็นจริงพวกเขาคือผู้ที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งตนทำงานจะเรียก ว่าถาวรเลยก็ได้ แต่เมื่อมีการเลือกตั้งพวกเขากลับต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้แทนราษฎร หรือ สมาชิกวุฒิสภา หรือองค์กรปกครองท้องถิ่นในเขตที่ตนเองไม่ได้อาศัยอยู่จริง สภาพเช่นนี้ทำให้ผู้ที่ซึ่งเป็นการไม่ได้สะท้อนการใช้ชีวิตจริงๆของการเป็น ตัวแทนของของแรงงานที่ใช้สิทธิเลือกตั้งเข้ามาอย่างแท้จริง หากคนทำงานมีปัญหาไม่สามารถที่จะร้อง ให้ส.ส. หรือส.ว. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาดูแล แก้ปัญหาได้ ที่ตนมีทะเบียนบ้านมาดูแลได้ รวมถึงการจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริง คนทำงานกลายเป็นประชากรแฝงในเขตพื้นที่ตนทำงาน และอาศัยอยู่ เป็นภาระกับท้องถิ่นนั้นๆ เมื่อมีปัญหาก็ร้องขอให้ท้องถิ่นที่อาศัยมาช่วยแก้ไขปัญหาให้ ซึ่งการให้คนทำงานมีสิทธิออกเสียงเลือกผู้แทนในพื้นที่ซึ่งเขาทำงานและอาศัย อยู่จริงจะทำให้ได้ผู้แทนต้องมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อผู้ออกเสียงเลือกตั้ง ต้องรับฟังและแก้ไขปัญหาให้กับคนที่เลือกตนเข้าไปทำหน้าที่แทน อย่างไรก็ตามวันนี้อยากให้ทางสภาฯมี การพิจารณาข้อเสนอดังกล่าว เพื่อให้คนทำงานได้มีสิทธิในการเลือกส.ส. ในครั้งนี้ เพื่อการสะท้อนความเป็นตัวแทนคนทำงานอย่างแท้จริงของคนทำงานมากขึ้น (นักสื่อสารแรงงาน, 7-4-2554) คนงานไทยกว่าแสนคนเคว้งบริษัทญี่ปุ่นลดการจ้างงาน กรุงเทพฯ (7 เม.ย.) นางอัมพร นิติสิริ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า จากการเฝ้าระวังสถานการณ์ภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่นที่ส่งผลกระทบต่อแรงงาน ไทย จากสถานประกอบการที่มีเจ้าของหือผู้ถือหุ้นเป็นชาวญี่ปุ่น 767 แห่ง ลูกจ้างที่เกี่ยวข้อง 471,476 คน พบว่าได้รับผลกระทบ 325 แห่ง ลูกจ้าง 108,808 คน ส่วนใหญ่เป็นสถานประกอบการผลิตชิ้นส่วนและประกอบรถยนต์ ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จำหน่ายและซ่อมรถยนต์ ผลิตสายไฟฟ้า และอาหาร ซึ่งจังหวัดที่ได้รับผลกระทบเป็น 5 อันดับแรก คือ จังหวัดสมุทรปราการ พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร พิษณุโลก บุรีรัมย์ ส่วนมาตรการแก้ปัญหาในเบื้องต้น คือ ลดการทำงานล่วงเวลา ,ลดกำลังการผลิต ,ลดวันทำงานหรือใช้มาตรา 75 ในการหยุดงานแต่นายจ้างยังคงจ่ายค่าจ้างในอัตราร้อยละ 75 ของอัตราเงินเดือน และจะไม่มีการปลดคนงาน อย่างไรก็ตามมีสถานประกอบการประเภท อาหารและเกษตรแปรรูป แลผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ได้รับผลกระทบในเชิงบวก เนื่องจากบริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนหรือสินค้าได้ จึงให้บริษัทลูกในประเทศไทยผลิตแทน โดยเพิ่มเวลาในการทำงานให้กับพนักงานจาก 2 กะเป็น 3 กะซึ้งการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง (atnnonline.com, 7-4-2554) ยันประกวดธิดาแรงงาน 7 เม.ย. 54 - ที่ห้องมหิตลาธิเบศร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายชินโชติ แสงสังข์ ประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้งานวันแรงงานพิเศษที่เป็นปีเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา จึงจัดงานยิ่งใหญ่ โดยจัดประกวดธิดาแรงงานเพื่อนำคนเหล่านี้ไปเป็นพรีเซ็นเตอร์มาตรา 40 ที่ไม่ต้องจ้างดารา 3-4 ล้านบาท และให้สวมชุดยูนิฟอร์มโรงงานไม่ได้ใส่ชุดว่ายน้ำ และกติกาไม่ได้บอกว่าต้องสวย มีเซนส์ แต่ต้องตอบเรื่องมาตรา 40 ได้ ดังนั้น ยังยืนยันว่าเดินหน้าต่อไป (ข่าวสด, 7-4-2554) ผลสำรวจประชากรไทยแตะ 65.4 ล้านคน ต่างด้าวพุ่ง 3.3 ล้านคน นายวิบูลย์ทัต สุทันธนกิตติ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ(สสช.) เปิดเผยผลสำรวจสำมะโนประชากรและเคหะครั้งที่ 11 เบื้องต้นที่ได้ทำการสำรวจในเดือน ก.ย. 2553 พบว่า มีประชากรในประเทศทั้งหมด 65.4 ล้านคน เป็นหญิง 50.9% โดยเป็นผู้มีสัญชาติไทย 62.1 ล้านคน อีก 3.3 ล้านคนไม่มีสัญชาติไทย ถือเป็นประเทศที่มีประชากรสูงเป็นอันดับ 4 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย(240 ล้านคน) ฟิลิปปินส์(92ล้านคน) และเวียดนาม(88 ล้านคน) ขณะที่ความหนาแน่นของประชากรในเขต เทศบาลมีแนวโน้มสูงสุดขึ้นเรื่อยๆ มีความหนาแน่นของประชากรเฉลี่ย 127.5 คนต่อตารางกิโลเมตร เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อนที่มีเพียง 118.1 คนต่อตารางกิโลเมตร โดยกรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มีอัตราหนาแน่นหนาแน่นสูงสุด 5,258.6 คนต่อตารางกิโลเมตร เพิ่มสูงจากเมื่อ 10 ปีที่มีเพียง 4,028.9 คน รองลงมาคือนนทบุรี 2,143.1 คน สมุทรปรากการ 1,820.6 คน เนื่องจากประชากรรวมถึงแรงงานต่างด้าวมีการย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองใหญ่ ซึ่งจากข้อมูลพบว่าประชากรในภาคอีสานมีอัตราลดลง 1.00% ขณะที่ในเขตกรุงเทพฯ มีอัตราเพิ่มถึง 2.66% ภาคกลางไม่รวมกทม. เพิ่ม 2.51% ภาคใต้เพิ่ม 0.93% ภาคเหนือ 0.06% ส่วนจังหวัดที่มีประชากรสูงสุดคือ กรุงเทพฯ 8.25 ล้านคน รองลงมาคือนครราชสีมา 2.52 ล้านคน สมุทรปราการ 1.83 ล้านคน และมี 18 จังหวัดที่มีประชากรเกิน 1 ล้านคน “จากการทำสำมะโนประชากรทุก 10 ปี พบว่าประชากรเพิ่มขึ้นทุกครั้ง แต่เป็นการเพิ่มในอัตราที่ลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2503 จากที่เคยเพิ่มในระดับ 2.70% กลับเหลือเพียง 1.05% ในช่วงปี 2533 – 2543 และจากสำรวจล่าสุดมีอัตราการเพิ่มของประชากรเหลือเพียง 0.77% ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการเกิดที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง” ด้านขนาดครัวเรือนในประเทศไทยมีทั้ง หมด 20.3 ล้านครัวเรือน มีขนาดเฉลี่ย 3.2 คน ถือว่าเล็กลงจากการสำรวจเมื่อ 10 ปีก่อนที่มีขนาดเฉลี่ย 3.9 คน ซึ่งหากแยกเป็นพื้นที่ ภาคใต้และภาคอีสานมีขนาดเฉลี่ยใหญ่สุดคือ 3.5 คน ขณะที่กรุงเทพฯ มีขนาดเฉลี่ยเล็กที่สุดคือมีแค่ 2.9 คน สำหรับรายงานผลการสำรวจสำมะโนประชากร ฉบับเต็มจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมเผยแพร่ได้ภายใน ส.ค. นี้ ส่วนบทวิเคราะห์ข้อมูลที่จะบ่งชี้ถึงโครงสร้างประชากรทั้งหมด การย้ายถิ่นฐาน ภาวะเจริญพันธุ์ จำนวนผู้สูงอายุ เพื่อนำข้อมูลไปวางแผนด้านการศึกษา การสาธารณะสุข โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่จะสนับสนุนให้สังคมขับเคลื่อนไปได้ รวมถึงนำไปวางแผนบริหารราชการแผ่นดิน และแผนการใช้ภาษีของรัฐ (ประชาติธุรกิจออนไลน์, 8-4-2554) สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
“ณัฐวุฒิ” อัดรัฐบาลใช้วาทกรรมอำมหิต “ขอคืนพื้นที่” แต่เอาปืนออกมาฆ่าประชาชน Posted: 10 Apr 2011 04:34 PM PDT ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เผยไม่เข้าใจว่าผ่านมาแล้ว 1 ปี รัฐบาลยังอยู่ได้ ไม่ต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ ขณะที่ตอน 14 ตุลา – 6 ตุลา – พฤษภา 35 ผู้เข่นฆ่าล้วนต้องพ้นจากตำแหน่ง ชี้ผู้มีอำนาจจะกำหัวใจประชาชนได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจของประชาชนมีแต่รอยแผลจากมือของท่าน เป็นแผลที่ถูกกดทับซ้ำแล้วซ้ำอีก ในการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือคนเสื้อแดง ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวานนี้ (10 เม.ย. 54) นั้น เมื่อเวลา 23.00 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีการชุมนุมหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ในช่วงแรกนายณัฐวุฒิกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อ 1 ปีก่อนว่า ตั้งแต่บ่ายของวันที่ 10 เมษายนปีที่แล้ว พวกผมประสานกับพรรคพวกที่เวทีผ่านฟ้าฯ รู้ว่าทหารกำลังจะเคลื่อนกำลังมา ขวัญชัย ไพรพนาพาพี่น้องชาวอุดรธานีและคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งไปสกัดที่หน้ากองทัพภาคที่ 1 ดันกันไปดันกันมา สถานการณ์เวลานั้นจุดเริ่มต้นยังไม่มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นเหตุการณ์กลืนชีวิตคนไทยเกือบ 30 ชีวิต ในเวลาต่อมา พวกผมอยู่ราชประสงค์ ประเมินสถานการณ์ว่าเป้าจริงๆ วันนั้นคือราชประสงค์ เพราะรัฐบาลพูดตลอดว่าให้ยุบราชประสงค์แล้วมารวมผ่านฟ้าอย่างเก่า (ข่าวที่เกี่ยวข้อง) หมายความว่า เขาไม่ต้องการผ่านฟ้า ต้องการราชประสงค์ ในการใช้วาทกรรมที่อำมหิตและหน้าด้านที่สุดในโลก เอาปืนออกมาฆ่าประชาชนแล้วบอกว่าเป็นการขอคืนพื้นที่ พี่น้องที่เคารพ ไม่เคยมีรัฐใดในโลก ไม่เคยมีผู้ปกครองใดในโลก เพียงแค่ต้องการถนนคืน ต้องฆ่าประชาชนเกือบ 30 ชีวิต แล้วอ้างว่านี่เป็นการขอคืนพื้นที่ คุณต้องการพื้นที่คืน ฆ่าประชาชน แต่ประชาชนออกมากลางถนน บอกว่าต้องการอำนาจอธิปไตยของพวกเขาคืน คุณไม่สนใจใยดีแล้วชี้หน้าว่าพวกนี้ผู้ก่อการร้ายมันสมควรตาย ไม่มีรัฐใดในโลกทำอย่างนี้กับประชาชน นอกจากรัฐไทยแห่งนี้ ย้อนกลับไปเมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 ตนนั่งคิดระหว่างนั่งรถยนต์จากสี่แยกราชประสงค์มายังสะพานผ่านฟ้า ถึงทางเลือก 2 ทาง นั่นคือ หนึ่ง ถ้าตนปลุกให้พี่น้องเสื้อแดงเผชิญหน้าเจ้าหน้าที่รัฐต่อไป รัฐบาลก็อาจต้องโค่นล้มลงภายในเช้ามืดวันที่ 11 เมษายน แต่คำถามที่ตามมาก็ได้แก่ ถ้าเดินต่อไปจะต้องตายกันอีกกี่คน? เป็นใครบ้างที่ต้องตาย? ถ้าประชาชนต้องตาย จะตัดสินได้ไหมว่าจะให้ใครตาย? แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะยืดอกรับชัยชนะได้อย่างไร หรือ สอง ตนต้องพยายามหยุดการเข่นฆ่าและหยุดการสูญเสียทั้งหมด ซึ่งสุดท้ายแล้ว ตนก็เลือกทางเดินที่ 2 ด้วยการตัดสินใจยุติการปะทะกับฝ่ายรัฐบาล แต่ที่ตนเสียใจก็คือ ภายหลังจากตนถูกควบคุมตัวเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์กลับปรบมือให้แก่นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในที่ประชุมของพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย เพราะเห็นว่าการสลายการชุมนุมของรัฐบาล จนส่งผลให้ประชาชนต้องล้มตายไปเกือบ 100 ศพนั้น ถือเป็นชัยชนะ นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า ในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนปีก่อน มีนายทหารและทหารชั้นประทวนต้องเสียชีวิต ซึ่งคนเสื้อแดงก็เสียใจกับการสูญเสียดังกล่าว กับความตายของพวกคุณ เราไม่ได้สะใจ ไม่ได้อยากให้คุณตายเพิ่ม ไม่ใช่ว่าประชาชนตาย 20 ทหารต้องตาย 30 ไม่ใช่ เราจะประสงค์ความตายของคุณไปเพื่ออะไร ในเมื่อรากแท้ของคุณคือประชาชน คุณคือพวกเดียวกับเราตั้งแต่ต้น แต่กลายเป็นว่า คนเสื้อแดงมันเป็นพวกป่าเถื่อน กลายเป็นว่าคนเสื้อแดง เป็นพวกกระหายเลือด กลายเป็นว่าคนเสื้อแดงมันเป็นคนที่จะเอาชัยชนะโดยไม่เลือกวิธีการ ทำแม้แต่กระทั่งการฆ่าทหาร ฆ่าเจ้าหน้าที่ แล้วฆ่ากันเองเพื่อให้ได้ชัยชนะทางการเมือง “ผีห่าซาตานตนไหน ไปเข้าสิงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้นายชวน หลีกภัย ให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีความคิดเช่นนี้ แล้วพูดออกมาเช่นนี้ พูดได้อย่างไรว่าเสื้อแดงที่ตายเพราะฆ่ากันเอง เพราะวิ่งเข้าไปหากระสุน พูดได้อย่างไร หัวใจของพวกคุณเป็นผีห่าซาตานหรืออย่างไร” และผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไม รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นรัฐบาลที่สั่งฆ่าประชาชน เหตุการณ์ผ่านมา 1 ปี รัฐบาลชุดนี้ยังอยู่ได้ ไม่มีแม้แต่แสดงความรับผิดชอบใดๆ แต่ยังอยู่ในตำแหน่ง ยังยืดหน้าชูคอ ในฐานะนายกรัฐมนตรีประเทศไทย เล่นเกมเอาล่อเอาเถิดกับประชาชน เดี๋ยวจะยุบวันนั้น เดี๋ยวยุบวันนี้ ราวกับเป็นว่าการตัดสินใจยุบสภาของนายอภิสิทธิ์บุญเป็นคุณกับประชาชนประเทศนี้เหลือนี้เหลือเกิน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมบ้านเมืองถึงเกิดเหตุการณ์นี้ได้ ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ผู้เข่นฆ่าประชาชนล้วนต้องพ้นจากตำแหน่งไป แต่ในเหตุการณ์พฤษภาคม 2553 ผู้เข่นฆ่าประชาชนกลับไม่หลุดพ้นจากตำแหน่ง และยังลอยหน้าลอยตาเหยียบหัวใจคนไทยมาได้ 1 ปีเต็ม คุณอภิสิทธิ์ คุณสุเทพ คุณมีดีอะไร แบกใหญ่มากหรือยังไง แบกใหญ่ๆ ที่ว่า ฆ่าประชาชนได้โดยไม่ต้องชายตาแลหรืออย่างไร เหล่าอำมาตยาธิปไตยไม่มีตาแลเห็นชะตากรรมของคนไทยหรืออย่างไร ผมเรียนพี่น้องว่า คนที่เขาเป็นญาติวีรชน ที่ลูกผัว ลูกหลานเขาตาย ที่มากอดรูปถ่ายยืนเต็มเวที ท่านรู้ไหม พวกเขาเจ็บปวดกับชะตากรรมของคนที่เขารัก พวกเขาน้อยอกน้อยใจคับแค้น กับท่าทีของผู้มีอำนาจที่ก่อเหตุแล้วไม่เคยแสดงความรับผิดชอบ แต่พวกเขาไม่เคยมีแม้แต่เสี้ยวสายตา ที่จะแสดงอาการตัดพ้อต่อว่าคนเสื้อแดง พวกเขาไม่เคยเรียกร้องอะไรจากแกนนำ พวกเขาไม่เคยเรียกร้องอะไรจากมวลชน พวกเขาไม่เคยเรียกร้องทั้งๆ ที่เขามีสิทธิและความชอบธรรมที่จะเรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่างจากขบวนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง เพราะเราชวนเขามาสู้ ไม่ได้ชวนเขามาตาย แต่เมื่อเขาตาย หัวใจที่ยิ่งใหญ่ของครอบครัวพวกเขามีแต่กัดฟันยิ้ม ยิ้มทั้งๆ ที่น้ำตามันไหล มีแต่บอกขอบอกขอบใจเมื่อเราเข้าไปปลอบโยน และมีแต่บอกว่าภูมิใจกับญาติพี่น้อง กับคนในครอบครัว ที่ตายไป แล้วคนที่อยู่จะสู้ต่อไป นี่คือความยิ่งใหญ่ของหัวใจประชาชน แล้วพวกคุณฆ่าหมดหรือครับ รัฐบาล คุณจะฆ่าอีกกี่ชีวิตเพื่อชัยชนะของคุณ แล้วผมอยากบอกให้คุณเข้าใจว่าที่คุณฆ่า คุณฆ่าได้แต่เพียงร่างกาย คุณหยุดได้แต่ลมหายใจ แต่คุณแต่ฆ่าอุดมการณ์และจิตวิญญาณต่อสู้ของประชาชนไม่ได้ เพราะมันได้ลุกขึ้นแล้ว มันได้เติบโตแล้ว มันขยายตัวไปแล้วทั้งแผ่นดิน นายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 นั้น ตนรู้สึกเจ็บปวด เพราะเห็นประชาชนถูกฆ่า แต่ในวันที่ 10 เมษายน 2554 ตนกลับรู้สึกเจ็บปวดมากกว่า เพราะคนถูกฆ่ายังไม่ได้รับความยุติธรรมแต่อย่างใด นอกจากนี้แผลที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน และเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนพฤษภาคม 2553 ยังถือเป็นแผลเดิมที่ถูกซ้ำเติมจากเหตุการณ์ 14 ตุลา เหตุการณ์ 6 ตุลา เรื่อยมาจนถึงเหตุการณ์ 17 พฤษภา และสงกรานต์เลือด 2552 "ผู้มีอำนาจจะกำหัวใจประชาชนได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจของประชาชนมีแต่รอยแผลจากมือของท่าน เป็นแผลเก่าที่ถูกกดทับซ้ำแล้วซ้ำอีก" นายณัฐวุฒิกล่าวและว่า ผู้มีอำนาจต้องคิดให้ได้ว่าจะดำรงตนข้ามผ่านความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยไปได้อย่างไร โดยไม่เหยียบหัวใจประชาชน โดยในตอนท้ายการปราศรัย นายณัฐวุฒิได้ตะโกนว่า "ประชาชนถูกฆ่าตาย ประชาชนถูกยิงในเขตอภัยทาน" ซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบรอบ เป็นเวลากว่า 10 นาที โดยผู้ชุมนุมได้ปรบมือและโห่ร้องเป็นการขานรับ
ที่มา: เรียบเรียงจาก มติชนออนไลน์ และ Asia Update อัพโหลดโดยคุณ Tuxillaplanet สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
Posted: 10 Apr 2011 03:48 PM PDT “จตุพร พรหมพันธุ์” โวเพื่อไทยไม่แพ้เลือกตั้งถ้ารัฐบาลไม่โกง ชี้ความสูญเสีย 10 เมษา ถ้าคนมีสำนึกเขาต้องหยุดการฆ่า แต่นี่ฆ่าต่อถึง 19 พฤษภา เย้ย “ประยุทธ์-สุเทพ-มาร์ค” ครบปีจะยิงใหม่ใช่ไหม ฆ่าแล้วเป็นไง เสื้อแดงยิ่งเต็มแผ่นดินไม่ใช่หรือ ลั่นหลังพฤษภาเสื้อแดงเหมือนคนอกหัก แต่บัดนี้กลับมาเหมือนเดิม ที่ไม่เหมือนเดิมคือหัวใจที่แตกสลายย่อยยับ คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำกับเราได้ถึงเพียงนี้ เมื่อคืนวานนี้ (10 เม.ย. 54) ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งมีการชุมนุมครบรอบ 1 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุม 10 เมษายน 2553 โดยช่วงหนึ่งนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทยได้ขึ้นปราศรัย โดยนายจตุพรเชื่อว่าจะมีการขัดขวางการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย โดยตอนหนึ่งเขากล่าวว่า “มีการบอกกันล่วงหน้า และผมก็เชื่อว่าเรื่องจริง พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ซึ่งจะต้องแหวกดงหนาม แหวกดงตีน แหวกมือที่มองไม่เห็น ตีนที่มองไม่เห็น แหวกผ่ามาได้ ก็ต้องเจอยุบพรรคอยู่ดีครับพี่น้องที่รักทั้งหลาย” เขาปราศรัยต่อว่า “เมื่อวานนี้ผมได้เปิดประเด็นว่า การที่มีการส่งกำลังทหารลงไปประจำในหมู่บ้าน ชุดละหกคนเป็นหลัก ในเดือนเมษายน พฤษภาคม จัดชุดให้งบประมาณชุดละ 80,000 บาท เกาะติดผู้สมัคร เกาะติดพื้นที่ ลงไปสร้างสถานการณ์ ไปข่มขู่หัวคะแนน ไปสร้างหัวคะแนนเทียมเพื่อไปแจกใบเหลืองใบแดง พรรคเพื่อไทย ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ ได้ออกมาปฏิเสธ เมื่อวานนี้ที่โรงเรียนผู้ปฏิบัติงาน นปช. ผมได้ฉายภาพกรณีชุมชนดินแดง ว่าชุดเต็มยศมาอย่างไร ชุดนอกเครื่องแบบมาอย่างไร วันนี้ไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบมาแม้แต่คำเดียวว่า “ไม่จริง” ” “มีแต่นายอภิสิทธิ์บอกว่าผมมาสร้างสถานการณ์ เตรียมป่วนถ้าแพ้การเลือกตั้ง พวกผมไม่มีวันแพ้ ถ้าพวกคุณไม่โกง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่วนนายสุเทพ พลิกลิ้นบอกว่าในสมัยพรรคไทยรักไทยก็ทำ ผมเรียนกับพี่น้องว่านั่นเป็นการสารภาพแล้ว” “แต่พวกนี้ไม่เคยรู้จักประชาชน คุณยิ่งส่งทหารเข้าไปในพื้นที่ ญาติพี่น้องเขาตายตั้งแต่ 10 เมษายน ถึง 19 พฤษภาคมปีที่แล้ว ยิ่งเอาทหารไปให้เขาเห็นหน้า เขายิ่งแค้นพรรคที่สั่งฆ่าประชาชน ผมจึงบอกไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าคุณถ้านักเลงจริง ไม่ต้องโกง พรรคพวก คุณปล้นเอาเลยเอา ด้วยการยึดอำนาจไปเลยอย่ามาโกง” การกำหนดวันยุบสภาเพื่อให้รัฐบาลใหม่หลัง 5 ส.ค. ซึ่งโผทหารทูลเกล้าฯ เรียบร้อย เพื่อจะบอกว่ารัฐบาลใหม่มายุ่งเกี่ยวโผไม่ได้ ซึ่งโผทหารประเทศไทย ใครฆ่าประชาชน ยิ่งฆ่า ยิ่งได้ปูนบำเหน็จ วันที่ 10 เมษายน ความตายที่เกิดขึ้นกับประชาชน 20 กว่าศพ ทหาร 5 ศพ บาดเจ็บ 835 ถ้าคนมีความรู้สึกสำนึกเขาต้องหยุดการฆ่า แต่นี่ฆ่าต่อถึง 19 พฤษภาคม จนตายกว่า 90 ศพ ซึ่งน่าจะตายมากกว่านี้ เพราะยิงตั้ง 1 แสน 2 หมื่นนัด บาปของคุณเอาความตาย 90 กว่าศพคืนมาได้หรือไม่ พี่น้องที่รักทั้งหลาย เราเพียงแค่เรียกร้องให้มีการยุบสภา เพราะรัฐบาลของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มาจากการปล้น ตั้งแต่เริ่มต้นจากศาลรัฐธรรมนูญ จนไปจัดตั้งรัฐบาลในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ผมเตือนคุณแล้วไม่ใช่หรือ คุณอภิสิทธิ์ คุณสุเทพ จำผมไม่ได้ ผมบอกว่าคุณจะเอาหน่วยไหนมาฆ่าผม คุณใช้งบประมาณ 6,000 ล้าน คุณเอาหน่วยไหนมาฆ่า พวกผมยังไม่เจ็บปวด ยกเว้นสองหน่วยอย่าเอามาฆ่าผมได้ไหม คือ หนึ่ง ทหารรักษาพระองค์ และสอง ทหารเสือราชินี เพราะพวกเรามีความเจ็บปวด ผมไม่ได้บอกว่าไม่ให้คุณฆ่าผม แต่ทหารเสือราชินี กับทหารรักษาพระองค์คุณอย่าเอามาฆ่า เพราะฆ่าแล้วผมมันเจ็บปวด ประชาชนมันเจ็บใจ นายจตุพรกล่าว นายจตุพรกล่าวด้วยว่า “ผมก็อยากให้วู้ดดี้เชิญนายจตุพร หรือนางพะเยาว์ อัคฮาดไปออกรายการบ้าง เพราะเราไม่ได้เกิดมาคุย แต่เกิดมาตาย” วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายสุเทพ นายอภิสิทธิ์ คุณไม่มีสิทธิ์จะพูดว่าคนเสื้อแดงล้มสถาบัน คนที่ล้มสถาบันตัวจริงคือคนที่เอาทหารรักษาพระองค์ ทหารเสือราชินี มายิงหัวประชาชน ครบรอบปีคุณจะยิงใหม่ใช่ไหม ฆ่าแล้วเป็นยังไง เสื้อแดงยิ่งเต็มแผ่นดินไม่ใช่หรือ ใครที่ทำให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้ เขามีความเจ็บปวด พี่น้องที่รักทั้งหลาย ยิงคนเสื้อแดง บอกว่าปกป้องสถาบัน ยิงคนเสื้อแดง บอกว่าจงรักภักดี ทั้งที่คนเสื้อแดงไม่เคยทำอะไร เป็นไพร่ที่ดี เป็นไพร่ที่ดีมาฆ่าทำไม ถามว่าฆ่าทำไม ยุบสภาได้ยินไหม ไม่ใช่ล้มเจ้า นอกจากนี้นายจตุพรยังกล่าวด้วยว่า เราไม่เคยล้มสถาบันเลย แต่เขาเอาทหารรักษาพระองค์ ทหารเสือราชินีมาฆ่าเรา รัฐบาลนี้ไม่เข้าใจภาษาคน เราบอกยุบสภา มันบอกว่าล้มสถาบัน ท้ายที่สุดวันนี้คุณมาบอกให้ทุกคนปกป้องสถาบัน แล้วที พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีที่ให้สัมภาษณ์ และถูกเผยแพร่ทางวิกิลีกส์ ประทุษร้ายองค์รัชทายาททำไมไม่มีคนไปจับ พล.อ.เปรม บ้าง นายจตุพรกล่าวด้วยว่า ชาตินี้ตน คนเสื้อแดง และพวกคนที่ถูกฆ่าจะไม่มีวันปรองดองกับคนที่สั่งฆ่าเด็ดขาด นายจตุพรยังปราศรัยถามผู้ที่ยิงประชาชนว่า แต่ละคืนท่านนอนหลับสบายดีไหม แต่ละศพที่ถูกยิงหัว มีวิญญาณวีรชนได้ไปหาบ้างไหม ไปทวงความยุติธรรมบ้างไหม ว่าฆ่าเขาทำไม พี่น้องจะได้รับรู้ว่าเราจะแสวงหาความยุติธรรมกันอย่างไร แต่ผมรู้ว่ามันยากจริงๆ ความยุติธรรมในประเทศไทยเหมือนมดดำที่เกาะหินดำในคืนข้างแรม มันมืดกันทั้งระบบ นายจตุพรกล่าวด้วยว่า มีความหวังว่า จะกี่ปีก็ตาม วันหนึ่งถ้าความยุติธรรมมีจริง โซ่ตรวนที่เคยตีใส่ขาณัฐวุฒิและพี่น้องผมทุกคน นายอภิสิทธิ์ก็จะถูกตีตรวน นายสุเทพก็จะถูกตีตรวน และยังกล่าวด้วยว่า หัวใจคนเสื้อแดงไม่ยอมแพ้ ผมรู้ว่าหลัง 19 พฤษภา พี่น้องมีสภาพเหมือนคนอกหัก เจอหน้าก็เจ็บปวด มองไปทางไหนก็เจ็บปวด เจอหน้าจับมือกัน กอดกัน ร่ำไห้กัน แต่บัดนี้เราได้กลับมาเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือหัวใจที่แตกสลายย่อยยับของเรา ที่คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำกับเราได้ถึงเพียงนี้
ที่มา: เรียบเรียงจาก Asia Update อัพโหลดโดยคุณ Tuxillaplanet สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น