ประชาไท | Prachatai3.info |
- 'No Nukes': แต่การปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ใช่คำตอบ
- จดหมายเปิดผนึกถึง พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด และกองทัพบก
- ทีดีอาร์ไอเผย โครงการบ้านมั่นคง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนจนเมือง
- เตรียมยื่นถอนประกัน 9 แกนนำ นปช. กอ.รมน.เน้นตามพฤติกรรมหมิ่นฯ ทางลับ
- สงกรานต์ 4 วัน สังเวยแล้ว 148 ศพ เจ็บ 2,316
- กวีประชาไท:ใบหน้าบ้านฉัน…คนรับใช้ผู้ต้อยต่ำ
- ว่าด้วย “อารยธรรมเด็กแวนซ์” กับการ stereotype ของชนชั้นกลาง
- กบส. เล็งให้เอกชนเข้าประกวดราคาสร้างทางรถไฟความเร็วสูง 3 เส้นทาง
- ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับประชาชนตามคติพุทธศาสนา
- "สรรเสริญ" หวังคนไทยคิดได้จะเลือกใครมาทำให้บ้านเมืองสงบ รักษา "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์"
- ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "112"
- คคส.ชี้แรงงานท่อใยหินเสี่ยงมะเร็งปอด
- แม่ทัพภาค 1 วอนคนไทยประณามแกนนำ นปช. ปราศรัยหมิ่น
- 3 วันสงกรานต์ตายแล้ว 116 ราย
- “มาเลเซียกินี” ถูกถล่มเว็บ ช่วงโค้งสุดท้ายเลือกตั้งรัฐบาลท้องถิ่น
'No Nukes': แต่การปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ใช่คำตอบ Posted: 15 Apr 2011 11:28 AM PDT Bjørn Lomborg หัวหน้าหน่วยงาน Copenhagen Consensus Center ที่วิทยาลัยธุรกิจโคเปนฮาเกน และผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Skeptical Environmentalist และ Cool It เขียนบทความเรื่อง "No Nukes" ลงเว็บไซต์ Project-Syndicate พูดถึงภาวะตื่นตระหนกต่อเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดที่ญี่ปุ่นหลังภัยพิบัติ ซึ่งการปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ใช่คำตอบ เนื่องจากไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากพลังงานไม่สะอาดอย่างถ่านหิน รวมถึงค่ารื้อถอนที่ไม่คุ้มกัน รายละเอียดมีดังต่อไปนี้... ไม่นานมานี้ เมื่อส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นถูกทำลายลงโดยเหตุแผ่นดินไหวและตามมาด้วยสึนามิ ข่าวเรื่องยอดผู้เสียชีวิตถูกบดบังหายไปอย่างรวดเร็วด้วยเรื่องราวความหวาดกลัวกัมมันตภาพรังสีที่รั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิม่าหมายเลข 1 (Daiichi) ความกังวลต่อสถานการณ์นี้เป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะการแผ่รังสีนั้นเป็นเรื่องน่ากลัวมาก ตัวผมเองเติบโตในเดนมาร์กในช่วงเวลาที่ผู้คนพากันหวาดกลัวพลังงานนิวเคลียร์ไปทั่วทุกหัวระแหง แต่ความหวาดกลัวนิวเคลียร์ครั้งล่าสุดของเรานี้มีความหมายกว้างครอบคลุมไปถึงเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องความต้องการเปลี่ยนแหล่งพลังงานจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงของซากพืชซากสัตว์ที่ทับถม เป็นเรื่องยากที่จะย้อนกลับไปยังเวลาที่เกิดภัยธรรมชาติเพื่อมองมันด้วยมุมมองที่กว้างกว่าเดิม และแม้แต่การพยายามทำเช่นนั้นก็ชวนให้รู้สึกงี่เง่า แต่ก็มีข้อเท็จจริงบางอย่างที่พวกเราไม่ควรมองข้าม ช่วงที่มีการติดตามนำเสนอข่าว "ดราม่า" ของนิวเคลียร์ตลอด 24 ชั่วโมงนั้น ก็มีการปลุกผีด้วยการยกกรณีเชอโนบิล (เหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดที่ยูเครนเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 1986) ซึ่งเป็นกรณีที่น่าจดจำตรงที่เป็นภัยพิบัติจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 31 ราย องค์การอนามัยโลกประมาณว่า ผู้เสียชีวิตราว 4,000 ราย ในช่วงมากกว่า 70 ปีที่ผ่านมา มีสาเหตุการเสียชีวิตจากภัยพิบัติ (นิวเ ขณะที่โครงการ OECD ประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตอยู่ในช่วง 9,000 - 33,000 ราย นั่นถือเป็นเรื่องที่มีหลักฐานจับต้องได้ แต่ขณะเดียวกันก็ชวนให้ลองพิจารณาถึงข้อมูลของ OECD ที่ระบุว่าในทุกๆ ปี มีประชาชนเกือบ 1 ล้านคนเสียชีวิตจากอนุภาคของมลพิษในอากาศนอกบ้าน แต่ตัวเลขการเสียชีวิตมโหฬารขนาดนี้ไม่ได้ทำให้เกิดทำให้เกิดความรู้สึกหวาดวิตกในประเทศเจริญแล้ว ทั้งยังไม่มีการติดตามรายงานข่าวในเรื่องนี้เลย แน่นอนว่าในทุกประเทศที่มีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ควรจะมีการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยหลังจากเกิดภัยพิบัติในญี่ปุ่น ซึ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับที่ตั้งโรงงาน เห็นชัดว่าโรงงานที่ตั้งอยู่ใกล้เขตเกิดสึนามิควรมีการพิจารณาให้ดีอีกครั้ง รวมถึงในบางประเทศที่มีโรงไฟฟ้าใกล้กับเขตเกิดแผ่นดินไหวและเมืองใหญ่ด้วย แต่ขณะที่พันธะเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ของอเมริกาได้รับการอนุมัติโดยประธานาธิบดีบารัค โอบามา อีกครั้ง รัฐบาลในประเทศแถบยุโรปก็เกิดเปลี่ยนท่าทีกระทันหันโดยการสั่งระงับโครงการพลังงานนิวเคลียร์ในทันที ส่วนในเยอรมนีก็มีการสั่งห้ามการขยายอายุโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้ว สำหรับเยอรมนีแล้วเป้นการปล่อยช่องโหว่ให้กับตัวเองเนื่องจากเยอรมนีไม่สามารถหาพลังงานทางเลือกอย่างอื่นได้อีก เว้นแต่ทางเลือกที่มีอยู่น้อยนิดคือการพึ่งพาพลังงานถ่านหินอย่างหนัก พวกเรามักมองว่าถ่านหินเป็นแหล่งพลังงานที่ก่อเกิดมลภาวะแต่ค่อนข้าง "ปลอดภัย" เมื่อเทียบกับพลังงานนิวเคลียร์ แต่อุบัติเหตุเหมืองถ่านหินก็คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 2,000 คนทุกปี ซึ่งนี่เป็นแค่ตัวอย่างในประเทศจีนเท่านั้น นอกจากนี้แล้วพลังงานถ่านหินยังนำไปสู่ปัญหาหมอกควัน, ฝนกรด, โลกร้อน, และมลพิษทางอากาศ จากการตัดสินใจของเยอรมนีทำให้การปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนต่อปีน่าจะพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 10 ในช่วงเวลาเดียวกับที่ปริมาณการปล่อยก๊าซของสหภาพยุโรปเพิ่มมากขึ้นขณะที่ยุโรปเองก็เผชิญกับผลกระทบจากวิกฤติทางการเงิน เยอรมนีไม่มีพลังงานทางเลือกอื่นที่ก่อมลภาวะน้อยกว่าหากพวกเขาปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ลง ความจริงข้อนี้ยังใช้ได้กับประเทศอื่นๆ แทบทั้งหมดด้วย แหล่งพลังงานทางเลือกยังมีราคาแพงเกินไป และไม่มีอะไรที่ใช้การได้ใกล้เคียงเชื้อเพลิงจากซากฟอสซิล แม้ว่าในตอนนี้ผู้คนจะห่วงเรื่องความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่ก็มีอุปสรรค์ คือมีค่าใช้จ่ายสูง การสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ต้องใช้งบประมาณเบิกจ่ายล่วงหน้าสูง (ซึ่งเป็นสิ่งท้าทายทางการเมืองมาก) รวมถึงกระบวนการวางแผนที่ซับซ้อน เชื่องช้า เต็มไปด้วยปัญหา และเมื่อสร้างเสร็จแล้ว ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของพลังงานนิวเคลียร์ก็สูงกว่าแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งนี้สังคมยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมกับความเสี่ยงของแหล่งเก็บกักพลังงานเชื้อเพลิงและอุบัติภัยร้ายแรง นอกจากนี้แล้วแทบทุกแห่งในโลกตอนนี้ก็มีการบริโภคพลังงานที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ การเพิ่มปริมาณพลังงานนิวเคลียร์จึงเป็นประเด็นขึ้นมา ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับการจัดการกับโรงไฟฟ้าที่เหลืออยู่ การปลดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อาจทำให้เรารู้สึกปลอดภัยขึ้น แต่พวกเราก็ควรรับรู้ด้วยว่ามันหมายถึงการชดเชยผลผลิตที่เสียไปด้วยการพึ่งพาถ่านหินมากขึ้น ซึ่งหมายถึงการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน และจะมีคนตายเพิ่มขึ้นอีก ทั้งจากกระบวนการขุดเหมืองถ่านหินและจากมลภาวะทางอากาศ นอกจากนี้แล้ว โรงไฟฟ้าที่มีอยู่ก็ถูกใช้จ่ายเพื่อสร้างมันไปแล้ว โรงงานกำจัดของเสียก็มีแล้ว ไหนยังจะต้องมีค่ารื้อถอนราคาสูงรอให้จ่ายไม่ว่าในเวลาใดก็ตามอีก แล้วค่าปฏิบัติการจะต่ำมาก สักครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่าต่อกิโลวัตต์ เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ถูกที่สุด ถ้าเป็นคำตอบสำหรับระยะยาว คงต้องขึ้นอยู่กับงานวิจัยและการพัฒนา ไม่เพียงแค่พลังงานนิวเคลียร์ที่ปลอดภัยกว่าสำหรับยุคต่อไปเท่านั้น แต่รวมไปถึงแหล่งพลังงานอย่างพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีอยู่ในตอนนี้ต่ำกว่าร้อยละ 1 ด้วย เพื่อเป็นการเตือนให้ทราบการวิจัยในเรื่องนี้ลดปริมาณลงในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ในการประท้วงเรียกร้องให้นักการเมืองตอบสนองต่อภาวะโลกร้อน มีการป่าวประกาศว่า "ไม่เอาถ่านหิน, ไม่เอาก๊าซ, ไม่เอานิวเคลียร์, ไม่ได้ล้อเล่น" แต่ในความเป็นจริงอันโหดร้าย ที่ถูกกล่อมด้วยเหตุภัยพิบัติในญี่ปุ่น คือเรายังไม่ 'หรู' พอที่จะทิ้งพลังงานถ่านหิน, ก๊าซ และพลังงานนิวเคลียร์ จนกว่าเราจะมองหาทางเลือกใหม่มาเติมเต็มได้ การลดการพึ่งพาแหล่งใดแหล่งหนึ่งหมายความว่าต้องนำแหล่งอื่นมาทดแทน
ที่มา สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
จดหมายเปิดผนึกถึง พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด และกองทัพบก Posted: 15 Apr 2011 11:09 AM PDT จดหมายเปิดผนึกถึง พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด และกองทัพบก : การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ ไม่ใช่ ‘ความคิดประหลาด’ แต่การเชื่อในสิ่งที่ไม่สามารถตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ หรือหาข้อพิสูจน์ได้ นี่ต่างหาก คือความคิดที่ประหลาดที่สุด ภาพประกอบ : “เทพีแห่งเสรีภาพใช้คฑาแห่งเหตุผลทำลายล้างปีศาจแห่งความโง่เขลา และความลุ่มหลง” (Liberty Armed with the Sceptre of Reason Striking Down Ignorance and Fanaticism) ภาพวาดบนผืนผ้าใบ ในปี 1793 โดย ซีมง ลุยส์ บัวซอท (Simon Louis Boizot) “…การเปลี่ยนแปลงที่หนึ่งพันปีได้สะสมไว้ ในฐานะพลเมืองของประเทศซึ่งปกครองตามระบอบประชาธิปไตย(ที่อนุญาตให้มีกษัตริย์เป็นประมุข อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ) การตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ หรือหาข้อพิสูจน์ เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ไม่ใช่ ‘ความคิดประหลาด’ นี่แทบจะถือได้ว่าเป็น ‘ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ’ ตามระบอบประชาธิปไตย ที่มี ‘ธรรมชาติแห่งรัฐ’คือการเปิดให้พลเมืองสามารถตรวจสอบสถาบันทางการเมืองได้อย่างเต็มที่ ตามสิทธิ และเสรีภาพอันสมควร ไม่ละเมิดสิทธิ และเสรีภาพของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลในสถาบันทางการเมือง เช่น สถาบันกษัตริย์ ย่อมต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อการวิพากษ์วิจารณ์ให้สูงขึ้นกว่าพลเมืองธรรมดาทั่วไปเสียอีก เนื่องจากบทบาทหน้าที่ของตน ย่อมเกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมืองอย่างขาดเสียมิได้ คุณงามความดี หรือกิจกรรมสังคมสงเคราะห์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะทำมามากเพียงใด ก็ไม่สามารถนำมาเป็นเหตุผลหักล้างการวิพากษ์วิจารณ์บทบาททางการเมืองของบุคคลในสถาบันกษัตริย์ได้ เพราะย่อมไม่มีใครอยู่เลยพ้นการตรวจสอบ ด้วยเหตุผลของการทำงานหนัก หรือเป็นที่เคารพสักการะของพลเมือง ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างตน สิ่งที่น่ากังขากว่าการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ ก็คือความคิดและความเชื่อถือต่อสิ่งที่ไม่สามารถตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ หรือหาข้อพิสูจน์ได้นี่ต่างหาก ที่เป็น ‘ความคิดอันประหลาดที่สุด’ และความคิดประเภทที่อ้างว่าบุคคลในสถาบันกษัตริย์ทำงานหนัก แล้วย่อมอยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์นี่ต่างหาก ที่เป็นความคิดซึ่งต้องถูกท้าทายว่า ผ่านการคิดวิเคราะห์มาดีแล้วหรือไม่ ทั้งนี้ อาจจะยังไม่ต้องไปถึงคำถามที่ลึกซึ้งกว่า นั่นคือการอ้างว่าบุคคลในสถาบันกษัตริย์ทำงานหนัก อย่างนั้น อย่างนี้ - เราจะสามารถพิสูจน์ได้อย่างไร ถ้าการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และหาข้อพิสูจน์ ยังเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตให้ทำได้ ในประเทศที่เรียกตัวเองว่า ‘ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข’ นี้ ? หลักการ ‘อันล่วงละเมิดมิได้’ ของกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยนั้น มีรากฐานความคิดคนละชุดกับหลักการอันเดียวกันในระบอบกษัตริย์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลักการอย่างแรกนั้น วางอยู่บนความคิดที่ว่าสถาบันกษัตริย์ย่อมต้องอยู่เหนือการเมือง กษัตริย์ไม่อาจทำผิด เนื่องเพราะกษัตริย์ไม่ได้รับอนุญาตให้กระทำสิ่งใดโดยตนเองตามลำพัง การกระทำในนามของสถาบันกษัตริย์ย่อมต้องได้รับการอนุญาตจากคณะรัฐมนตรี หรือประธานสภา เป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการ กษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ดำรงอยู่ในความล่วงละเมิดมิได้ ก็เพราะความเป็นกลางทางการเมือง กษัตริย์ไม่อาจเลือกข้าง เพราะการเลือกข้างย่อมก่อให้เกิดความแตกแยก และแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในหมู่พลเมือง การกระทำใดในนามของกษัตริย์ด้วยตนเองตามลำพัง ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมให้เกิดขึ้นได้ในระบอบประชาธิปไตยที่อนุญาตให้มีกษัตริย์เป็นประมุข อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ หลักการทั้งหลายนี้ ครอบคลุมไปถึงบุคคลอื่นๆ ในสถาบันกษัตริย์ ตั้งแต่พระบรมวงศานุวงศ์ และองคมนตรี สถาบันกษัตริย์ย่อมต้องแสดงความเป็นเอกภาพของชาติ ราชบัลลังค์สถิตสถาพรอยู่ได้ ก็ด้วยการเป็นตัวแทนความรู้สึกนึกคิดของพลเมืองทั้งหลายในชาติ เมื่อบุคคลในสถาบันกษัตริย์เปิดเผยความรู้สึกนึกคิดแห่งตน ย่อมต้องเกิดความแตกต่างจากพลเมืองบางส่วนไม่มาก ก็น้อย เมื่อนั้นสถาบันกษัตริย์ย่อมไม่อาจเป็นตัวแทนความบูรณาภาพของชาติ เมื่อความรู้สึกนึกคิดส่วนตนถูกเปิดเผยออกและเป็นประโยชน์กับเฉพาะคนบางกลุ่ม ไม่ใช่ด้วยประโยชน์ของพลเมืองทุกคน หลักความหยั่งถึงมิได้และหลักความเป็นกลางทางการเมืองก็ขาดสะบั้นลง เมื่อนั้นหลักความละเมิดมิได้ของสถาบันกษัตริย์ย่อมถูกงดเว้นไปด้วย เมื่อนั้นบุคคลในสถาบันกษัตริย์ก็ไม่อาจเป็นสถาบันกษัตริย์ เพราะพวกเขาจะกลับกลายเป็นเพียง นาย ก. หรือ นาง ข. หลักการ ‘อันล่วงละเมิดมิได้’ ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับหลักการเดียวกันในระบอบประชาธิปไตย หลักการอย่างหลังนี้นั้น วางอยู่บนความคิดที่ว่า กษัตริย์เป็นฉายาของเทพเจ้าในร่างมนุษย์ ความรู้สึกนึกคิดของกษัตริย์แสดงความรู้สึกนึกคิดอย่างเดียวกันกับของเทพเจ้า ด้วยเหตุนี้กษัตริย์จึงดำรงเทวสิทธิ์แห่งสรวงสวรรค์ การตัดสินใจของกษัตริย์คือการตัดสินใจของเทพเจ้า กษัตริย์ย่อมล่วงละเมิดมิได้ เพราะการตัดสินใจของเทพเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ การขัดขืนต่อเทวสิทธิ์และอำนาจของกษัตริย์ คือการขัดขืนต่อธรรมชาติและต่อเทพเจ้า ในระบอบกษัตริย์ สามัญชนผู้อยู่ใต้การปกครองมีสิ่งเดียวที่ควรจะทำ คือการไม่ตั้งคำถามต่ออำนาจ และความล่วงละเมิดมิได้นี้ สามัญชนมีหน้าที่ทำงานรับใช้กษัตริย์ ซึ่งเป็นครรลองอย่างเดียวของมนุษย์ที่ควรจะเป็น ความคิดที่จะตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ หรือหาข้อพิสูจน์เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เป็น ‘ความคิดประหลาด’ และการท้าทายเทพเจ้าเช่นนี้ ย่อมสมควรได้รับโทษทัณฑ์ ด้วยเหตุนี้ สถาบันกษัตริย์ในระบอบโบราณ จึงไม่ได้ถูกเทอดทูนให้เป็นที่เคารพสักการะ และละเมิดมิได้ ด้วยเหตุของความเป็นกลางทางการเมือง แต่ด้วยเหตุแห่งชาติกำเนิด ที่เกิดมาสืบทอดสายเลือดของเทพเจ้าบนพื้นพิภพ คำถามมีแต่เพียงสั้นๆ ว่า หลักการ ‘อันล่วงละเมิดมิได้’ แบบระบอบกษัตริย์ หรือ แบบระบอบประชาธิปไตย ที่ครอบงำวิธีคิดของบุคคลากรในกองทัพ รวมทั้งสังคมไทยเองด้วย? ตกลงเราอยู่ในระบอบใด ระบอบประชาธิปไตยที่อนุญาตให้มีกษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ หรือระบอบกษัตริย์เป็นประมุขที่มีประชาธิปไตยเป็นคำขยาย ? ไม่ใช่เหล่าพลเมืองหรอกที่จะต้องระวังรักษาคำพูดของตนมิให้กระทบกระเทือนสถาบันกษัตริย์ แต่เป็นบุคคลในสถาบันกษัตริย์เองที่จะต้องระมัดระวังการปฏิบัติตนให้ดำรงอยู่ในความเป็นกลางทางการเมือง การที่สถาบันกษัตริย์รักษาระยะห่างระหว่างตนเองกับการเมือง ย่อมเกิดผลดีกับระบอบประชาธิปไตย การแสดงความคิดเห็นส่วนตนที่กระทบกระเทือนต่อความรู้สึกนึกคิดของพลเมืองและให้ประโยชน์แก่กลุ่มก้อนทางการเมืองบางกลุ่มย่อมเป็นการปฏิบัติที่ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์ การคิดวิเคราะห์ที่เหมาะสมในขณะนี้ และในประเทศนี้ คือการตรวจสอบการปฏิบัติตนของบุคคลในสถาบันกษัตริย์ ไม่ใช่การจับตามองพลเมืองที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ ชี้หน้ากราดว่าเป็นบุคคลที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อย่างนั้น อย่างนี้ และสมควรถูกลงโทษไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง น่าประหลาดมากกว่าหรือไม่ ที่คนซึ่งมีสติสัมปชัญญะสมประกอบ และมีสติปัญญาจำนวนมากยังเห็นว่าการจับกุมคนที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์นั้น เป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย และในโลกสมัยใหม่ที่เห็นคุณค่าของสิทธิมนุษยชน มากกว่าสิทธิของอภิสิทธิ์ชน แต่อาจไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพวกอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย มักสบสนระหว่าง 'สิทธิ' และ 'อภิสิทธิ์' - คนพวกนี้เชื่อใน 'สิทธิ' แต่เป็นสิทธิที่จะอยู่เหนือกฎหมาย, สิทธิที่จะอยู่เหนือคำวิพากษ์วิจารณ์, สิทธิที่จะแทรกแซงการเมือง และ สิทธิที่จะทำอะไรโดยไม่ผิด - เมื่อประชาชนพากันประท้วง 'สิทธิ์อันเหนือกว่าสิทธิ์' นี้ พวกอภิสิทธิ์ชนเหล่านั้นก็พากันคิดว่าตนกำลังถูกละเมิดสิทธิ์อันมีมาแต่กำเนิดโดยชอบธรรม และพากันกอดรัดกฎหมายซึ่งปกป้องอภิสิทธิ์ของตนเอาไว้อย่างหนาแน่น ถ้าอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย ไม่ยอมปล่อยมือจากกฎหมายดังกล่าว ผลที่ตามมาอาจรุนแรงอย่างที่ไม่เคยคาดคิดฝันมาก่อน ท้ายที่สุด ผมขอจบจดหมายปิดผนึกฉบับนี้ลง ด้วยวรรคหนึ่งจากหนังสือแลไปข้างหน้า ภาคปัจฉิมวัยของคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ – “เราไม่ต้องการยิงกับใครด้วยกระสุนเหล็กและด้วยการใช้อำนาจข่มขู่ผู้อื่น แต่เราจะยิงต่อไปด้วยกระสุนแห่งถ้อยคำและเหตุผลจนกว่าเราจะล้มลงและหมดกำลัง เรายิงเพื่อความถูกต้องชอบธรรม"- แน่นอนว่าผมไม่มีอำนาจ มีเพียงแต่กระสุนแห่งถ้อยคำและเหตุผลเท่านั้น ผมจะยิงมันต่อไป เพื่อความถูกต้องชอบธรรม ผมยังมีความหวังว่า เมื่อผมล้มลง และหมดกำลัง จะยังมีพลเมืองผู้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ผลิตกระสุนแห่งถ้อยคำและเหตุผลนี้ต่อไป จนกว่าเราจะเห็นประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ราษฎรจงเจริญ
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ทีดีอาร์ไอเผย โครงการบ้านมั่นคง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนจนเมือง Posted: 15 Apr 2011 12:45 AM PDT ผลประเมินการโครงการ “บ้านมั่นคง” ช่วยยกระดับชีวิตคนจนเมือง มีบ้านของตัวเอง คุณภาพชีวิตดีขึ้น ชั่วโมงทำงานเพิ่ม รายได้เพิ่ม เด็กได้เรียนหนังสือ ต้นแบบการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน-คนรวยอยู่ร่วมกันได้ โดยรวมคุ้มค่าการลงทุน และช่วยเพิ่มระเบียบวินัยทางการเงินและในการดำเนินชีวิต 15 เม.ย. 54 - ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ นักวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการศึกษาผลกระทบของโครงการบ้านมั่นคง ซึ่งเป็นโครงการที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช.ได้ริเริ่มดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาชุมชนแออัดในเขตเมือง โดยการจัดทำพื้นที่ที่อยู่อาศัย รวมถึงระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และการให้ความช่วยเหลือในเรื่องเงินกู้เพื่อการสร้างที่อยู่อาศัย เปลี่ยนชุมชนเดิมให้เป็นชุมชนใหม่ที่ดีกว่า ภายใต้ข้อกำหนดให้มีการตั้งกลุ่มออมทรัพย์ของชุมชนนั้น ๆ ซึ่งให้ความช่วยเหลือในเรื่องของเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเมื่อจำนวนเงินออมทรัพย์มีจำนวนร้อยละ 10 ของ งบประมาณในการสร้างที่อยู่อาศัยของทั้งชุมชน ทำการศึกษาประเมินผลกระทบเปรียบเทียบระหว่างชุมชนในโครงการบ้านมั่นคงกับชุมชนนอกโครงการ 16 แห่ง ในกรุงเทพและต่างจังหวัด การแก้ปัญหาภายใต้หลักเกณฑ์ดังกล่าวเน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ต้องอาศัยกระบวนการทำความเข้าใจและการเห็นพ้องร่วมกันของชุมชน ต้องใช้ระยะเวลาในการเก็บออม ซึ่งหมายถึงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จัดระเบียบวินัยในการดำเนินชีวิต เก็บออมเพื่อการมีบ้าน เพื่อให้ได้เงินส่วนหนึ่งตามเงื่อนไขแล้วจึงจะได้รับการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำไปดำเนินการได้ บ้านมั่นคงในมุมมองนี้จึงไม่เพียงแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย แต่ยังสร้างความภูมิใจ มีความเป็นเจ้าของ เป็นประเด็นสำคัญที่จูงใจให้เกิดการเก็บออม ร่วมบำรุงรักษา สร้างสังคมของชุมชนบ้านมั่นคงของตนให้ปลอดภัยและน่าอยู่ ดร.ดิลกะ กล่าวว่า การศึกษาเพื่อให้เห็นความคุ้มค่าของการลงทุนที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงยกระดับคุณภาพชีวิตของคนจนในเขตเมือง ในด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับชุมชนแออัดอื่น ๆ ในการแก้ปัญหาด้านที่อยู่อาศัย การศึกษานี้จึงครอบคลุมทุก ๆ มิติของการดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างไร โดยประเมินผลกระทบใน 3 ด้านหลัก คือ ผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ ผลกระทบต่อการลงทุนในเรื่องการศึกษาสำหรับเด็กในครัวเรือนซึ่งเป็นเรื่องการลงทุนในมนุษย์ และผลกระทบต่อรูปแบบการดำรงชีวิตของบุคคลในด้านต่าง ๆ ประเด็นที่ทุกคนสนใจมากคือ ผลกระทบต่อมูลค่าที่อยู่อาศัยโดยเฉลี่ยจากการเข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคง รวมถึงหนี้สินที่เกิดขึ้น และภาระการผ่อนชำระรายเดือนของครัวเรือน เห็นได้ชัดเจนว่าราคาบ้านเพิ่มสูงขึ้น และแม้ไม่อยู่เองแต่เอาไปให้เช่าก็ยังได้ราคาดีโดยเพิ่มขึ้นกว่าเดือนละ1,523 บาท ทั้งนี้จากประมาณการราคาซื้อและขายบ้านซึ่งคนในชุมชนประเมินเองพบว่าเพิ่มขึ้นมากกว่าหนี้สินที่เกิดขึ้นจากการสร้างบ้านกว่าเท่าตัว โดยราคาขายเพิ่มขึ้น 718,458 บาท และราคาซื้อของบ้านเพิ่ม 518,272 บาท ในขณะที่หนี้สินบ้านเพิ่มขึ้น 229,938 บาท ครัวเรือนมีภาระผ่อนชำระระยะยาวประมาณ 14 ปี เฉลี่ยเดือนละ 1,871 บาท มีภาระดอกเบี้ยคิดเป็นประมาณร้อยละ 4.7 ต่อปี แต่หากนำบ้านไปให้เช่า คาดว่าจะได้รับค่าเช่าเฉลี่ยเดือนละ 3,804 บาท (เพิ่มขึ้น 1,523 บาท) ผลตอบแทนจากค่าเช่าเมื่อเทียบกับค่าก่อสร้างประมาณร้อยละ 17 ต่อปี หากคิดผลตอบแทนจากค่าเช่าบนพื้นฐานของประเมินราคาขายและราคาซื้อ ผลตอบแทนจะอยู่ที่ร้อยละ 4.8 และ6.2 ตามลำดับ จะเห็นว่า ราคาประเมินในมิติต่าง ๆ มีความสอดคล้องกัน และการลงทุนในที่อยู่อาศัยของกลุ่มตัวอย่างครัวเรือน ในโครงการเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แต่การมีหนี้สินค่าบ้านเพิ่มขึ้นทันที และภาระการผ่อนชำระทุกเดือนในระยะยาว ทำให้บางคนยังไม่อยากเข้ามาร่วมโครงการ จากเป้าหมายร่วมกันตั้งแต่เริ่มออมว่าต้องพยายามตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นต่าง ๆ เพื่อที่จะมาสร้างบ้านที่เป็นอนาคตของเขาเอง การประเมินนี้วัดได้ค่อนข้างชัดเจนมาก เห็นได้จากผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในชุมชนในโครงการ ทั้งผลต่อการทำงาน การลงทุน หนี้สิน ค่าน้ำและค่าไฟฟ้า พบว่า วัยทำงานในครัวเรือนมีชั่วโมงทำงานเพิ่มขึ้น 2.73 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และมีรายได้จากค่าจ้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 579 บาทต่อเดือน นอกจากนี้การที่มีสภาพที่อยู่อาศัยดีขึ้นบางครัวเรือนอาจมีการลงทุนธุรกิจหารายได้เพิ่ม อาทิ ทำขายอาหาร ขายของชำ รับจ้างซักรีด ฯลฯ หรือรวมกลุ่มกันทำอาชีพในชุมชน ครัวเรือนที่ทำธุรกิจเพิ่มจะมีการลงทุนธุรกิจเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 3,181 บาท และมีหนี้สินจากการลงทุนธุรกิจเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2,261 บาท มีรายได้จากธุรกิจเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 766 บาท ส่วนหนี้สินอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับบ้านและธุรกิจลดลงเฉลี่ยครัวเรือนละ 8,409 บาท ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ครัวเรือนมีระเบียบวินัยทางการเงินดีขึ้น และยังเห็นได้จากพฤติกรรมเพื่อการออมที่เปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคง นอกจากนี้การที่ครัวเรือนไม่ต้องไปพ่วงน้ำและไฟฟ้าจากข้างนอกยังช่วยลดค่าน้ำและค่าไฟฟ้าของครัวเรือนเฉลี่ย 18 และ 41 บาทต่อเดือนตามลำดับ ส่วนด้านการลงทุนด้านการศึกษาสำหรับเด็กในครัวเรือน ที่มีเด็กอายุระหว่าง 6-15 ปี พบว่า การมีสภาพที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมชุมชนที่ดีขึ้น มีผลต่อการศึกษาของเด็ก โดยครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาเด็กเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2,380 บาทต่อเทอม ในขณะที่เด็กในครัวเรือนใช้เวลาในการเรียนหนังสือและทำการบ้านเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.58 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และจำนวนเด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือลดลง ดร.ดิลกะ กล่าวว่า การประเมินผลกระทบในทั้งสามประเด็นซึ่งครอบคลุมหลากหลายมิติของการดำเนินชีวิตสะท้อนในแนวทางเดียวกันว่า การปรับปรุงชุมชนแออัดเดิมให้มีสภาพที่ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านโดยคนในชุมชนตกลงในแนวทางและร่วมกันทำอย่างจริงจังจึงสามารถยกระดับ ชุมชนที่เคยถูกเรียกว่า “สลัม” ให้เป็นชุมชนปลอดภัยทั้งด้านสาธารณูปโภคและสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น ชุมชนน่าอยู่ขึ้น และที่สำคัญ คนในชุมชนสามารถมีทะเบียนบ้านเป็นของตัวเอง แสดงถึงการมีตัวตนเป็นหลักแหล่ง ตรวจสอบได้ หางานง่ายขึ้น ส่งลูกเข้าโรงเรียนได้ และสำหรับเด็กเองเมื่ออยู่ในสภาพชุมชนที่มีความพร้อมก็ใช้เวลาสำหรับการเรียนหนังสือมากขึ้น นอกจากนี้บางชุมชนมีศูนย์เด็กเล็ก หรือศูนย์ผู้สูงอายุที่จะดูแลได้ ในทุกเมืองมีชุมชนแออัด การแก้ปัญหาไม่จำเป็นต้องให้เขาไปอยู่ไกล ๆ แต่ต้องทำให้คนจนกับคนรวยอยู่ร่วมกันได้ เพราะแท้จริงแล้วโดยวิถีชีวิตต่างต้องพึ่งพิงกัน การที่ธุรกิจใหญ่ ๆ มีชุมชนบ้านมั่นคงที่มีสภาพที่ดีอยู่ข้าง ๆ ย่อมดีกว่าชุมชนสลัมที่ไม่ได้มีการพัฒนา อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาที่ดีในระยะยาว คือการวางแผนเมือง ต้องเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ขยายเมืองออกไปไม่ให้กระจุกตัวเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน . สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
เตรียมยื่นถอนประกัน 9 แกนนำ นปช. กอ.รมน.เน้นตามพฤติกรรมหมิ่นฯ ทางลับ Posted: 15 Apr 2011 12:38 AM PDT ดีเอสไอเผยดำเนินคดีหมิ่นสถาบันกับแกนนำและแนวร่วม นปช.ที่ขึ้นเวที 10 เม.ย.เบื้องต้น 18 คน เตรียมถอนประกัน 9 แกนนำ โฆษก กอ.รมน. เผยเกาะติดพฤติกรรมหมิ่นสถาบันเน้นติดตามในทางลับ 15 เม.ย. 54 - นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวถึงการดำเนินคดีกับแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยมีคำปราศรัยในลักษณะเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูงว่า จากการตรวจสอบคลิป ภาพถ่าย คำพูดของบุคคลที่ร่วมปราศรัยแล้ว เบื้องต้นมีผู้เข้าข่ายน่าจะถูกดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ในมาตรา 112 คือหมิ่นสถาบัน และมาตรา 116 คือการยุยงปลุกปั่นให้มีการล่วงละเมิดกฎหมายจำนวน 18 คน ทั้งในฐานะตัวการและผู้ร่วมสนับสนุน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการตรวจสอบต่อเนื่องจากนี้จะทำให้มีผู้ที่เข้าข่ายกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันเพิ่มขึ้นอีกหลายราย นายธาริต กล่าวต่อว่า ในวันจันทร์ที่ 18 เม.ย.นี้ เวลา 10.00 น. ตนจะเดินทางไปยื่นขอถอนประกันตัวแกนนำที่ไปร่วมชุมนุมในวันที่ 10 เม.ย. ซึ่งเป็นตัวการร่วมและบุคคลที่ได้รับการประกันตัวในคดีก่อการร้ายจากศาลไปก่อนหน้านี้จำนวน 9 คน ประกอบด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์ , นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ , นพ.เหวง โตจิราการ , นายยศวริศ ชูกล่อม ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายวีระ มุสิกพงษ์ , นายนิสิต สินธุไพร , นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และนายขวัญชัย ไพรพนา โดยดีเอสไอจะยื่นขอถอนประกันทั้งที่ศาลและอัยการ นายธาริต ยังกล่าวถึงกรณีที่นายจตุพร ระบุว่าจะเดินทางมาร้องเรียนกับดีเอสไอให้ดำเนินคดีกับพล.อ.เปรม ติรสูลานนท์ ประธานองคมนตรีในข้อหาหมิ่นเบื้องสูง จากข้อมูลที่วิกิลีกนำมาเปิดเผยว่า ดีเอสไอไม่ขัดข้องหากจะมีการยื่นเรื่องร้องเรียนพล.อ.เปรม แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ จากนายจตุพร กอ.รมน. เกาะติด พฤติกรรมหมิ่นสถาบัน เน้นติดตามในทางลับ พล.ต.ดิฏฐพร ศศะสมิต โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอณาจักร หรือ กอ.รมน. เปิดเผยว่า กอ.รมน. ได้ติดตามการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดสถาบัน หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กำชับเรื่องนี้ โดยได้ติดตามการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อต่างๆ ทั้งทางเว็บไซต์และวิทยุชุมชน พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบข้อความ หรือการเผยแพร่ข้อมูลที่มีการจาบจ้วงสถาบัน ขณะที่ กอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัด ได้เน้นการติดตามให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ซึ่งการดำเนินการยึดตามกรอบของกฎหมาย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ยังเน้นติดตามทางลับ เพราะต้องอาศัยข้อมูลหลักฐาน และไม่ต้องการให้เกิดการขยายและเผยแพร่ประเด็นที่ไม่เหมาะสมออกไป เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: เดลินิวส์, โพสต์ทูเดย์
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สงกรานต์ 4 วัน สังเวยแล้ว 148 ศพ เจ็บ 2,316 Posted: 15 Apr 2011 12:25 AM PDT ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 15 เม.ย. นายกมล รอดคล้าย รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ แถลงว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2554 โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 14 เมษายน 2554 ซึ่งเป็นวันที่สี่ของการรณรงค์สงกรานต์ปลอดภัย สวมหมวกนิรภัย 100% สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 11 – 14 เม.ย. เกิดอุบัติเหตุรวม 2,141 ครั้ง ลดลงจากที่แล้ว 374 ครั้ง ร้อยละ 14.87 ผู้เสียชีวิตรวม 148 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 64 คน ร้อยละ 30.19 ผู้บาดเจ็บรวม 2,316 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 418 คน ร้อยละ 15.29 จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสูด ได้แก่ นครศรีธรรมราช 97 ครั้ง รองลงมา เชียงราย 93 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ 8 คน รองลงมา สุพรรณบุรี เชียงใหม่ จังหวัดละ 7 คน จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช 103 คน รองลงมา เชียงราย 100 คน นายกมล กล่าวต่อว่า ได้ประสานให้จังหวัดและและกองบัญชาการตำรวจนครบาล เข้มงวดกวดขันการเมาแล้วขับ การไม่สวมหมวกนิรภัย การขับรถเร็ว กวดขันการห้ามขาย ห้ามดื่ม และห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด โดยให้สุ่มตรวจตามสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อป้องกันการลักลอบจำหน่ายสุรา และให้เตรียมการรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงวันที่ 16 – 17 เม.ย. โดยปรับแผนการปฏิบัติงาน และเฝ้าระวังตามจุดทางร่วม ทางแยก รวมถึงประสานเจ้าหน้าที่ขนส่งให้กำชับผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะให้เตรียมพร้อมของพนักงานขับรถและรถโดยสาร กรณีวิ่งในระยะทางมากกว่า 400 กิโลเมตร ให้จัดพนักงานขับรถผลัดเปลี่ยนการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมทั้งคุมเข้มพนักงานขับรถโดยสารให้มีระดับแอลกอฮอล์เป็นศูนย์ หากตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์ นอกจากพนักงานขับรถจะถูกจำคุกไม่เกิน3 เดือน หรือปรับ 2,000 – 10,000 บาท แล้วผู้ประกอบการยังมีโทษถูกปรับไม่เกิน 40,000 บาท จะมีผลต่อการต่อใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ด้านนายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน กล่าวว่า ได้กำชับเจ้าหน้าที่ขนส่งให้ตรวจสอบความพร้อมของรถโดยสารและพนักงานขับรถอย่างเข้มงวด ทั้งสถานีต้นทางและปลายทาง โดยพนักงานขับรถต้องรายงานตัวต่อผู้ตรวจการ ณ จุดตรวจบนถนนสายหลัก สายรอง สถานีขนส่งและจุดจอดที่กำหนด เพื่อตรวจสภาพ ความพร้อมของร่างกายพนักงานขับรถ ที่มาข่าว: มติชนออนไลน์ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
กวีประชาไท:ใบหน้าบ้านฉัน…คนรับใช้ผู้ต้อยต่ำ Posted: 14 Apr 2011 10:39 PM PDT ใบหน้าบ้านฉันเป็นกรรมกรโรงงาน ใบหน้าบ้านฉันเป็นก่อสร้างราคาถูก ใบหน้าบ้านฉันเป็นลูกเรือประมง ใบหน้าบ้านฉันเป็นคนขับแท็กซี่ ใบหน้าบ้านฉันบ๋อยโรงแรม ใบหน้าบ้านฉันเป็นมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ใบหน้าบ้านฉันเป็นคนขับรถตุ๊กๆ ใบหน้าบ้านฉันเป็นคนขับรถเมล์ ใบหน้าบ้านเป็นคนเลี้ยงช้างที่คนก่นด่า ใบหน้าบ้านฉันเมียเช่าฝรั่ง ใบหน้าบ้านฉันเป็นโสเภณี ใบหน้าบ้านฉันเป็นนักมวย ใบหน้าบ้านฉันผู้ชายขายตัว ใบหน้าบ้านฉันเป็นแม่ค้าขายลาบส้มตำ ใบหน้าบ้านฉันเป็นตัวตลกคาเฟ่ ใบหน้าบ้านฉันหาบเร่แผงลอย ใบหน้าบ้านฉันเป็นยาม ใบหน้าบ้านฉันเป็นตำรวจเป็นทหารชั้นผู้น้อย ใบหน้าบ้านฉันเป็นคนขายพวงมาลัย ใบหน้าบ้านฉันเป็นขอทาน ใบหน้าฉันอยู่ในสลัมแออัด ใบหน้าบ้านฉันเป็นคนขายล็อคเตอร์รี่ ใบหน้าบ้านฉันเป็นนักร้องหมอลำ ใบหน้าบ้านฉันเป็นนักสู้ผู้ถูกเหยียดหยามว่าเงินซื้อได้ ใบหน้าบ้านฉันหน้าบานดั่งหัก..เป็นคนต้อยต่ำ ใบหน้าบ้านฉันเป็นอะไรก็ได้เท่าที่ประเทศนี้อยากให้เป็น และหากประเทศนี้คิดจะเย้ยหยัยใครสักคนใบหน้าบ้านฉันคือตัวเลือกลำดับแรก เมื่อฤดูกาลแห่งวันหยุดมาถึง….. ใบหน้าบ้านฉันขอลากลับบ้านก่อน.. แล้วจะกลับมาเป็นผู้รับใช้ที่แสนซื่อสัตย์และจงรักภักดีเหมือนเดิม
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ว่าด้วย “อารยธรรมเด็กแวนซ์” กับการ stereotype ของชนชั้นกลาง Posted: 14 Apr 2011 09:15 PM PDT สีสันของวันสงกรานต์อย่างหนึ่งก็คือ กลุ่มชายหญิงที่โยกย้ายไปตามจังหวะเสียงเพลงที่ถูกกระหน่ำจากตู้ลำโพงขนาด มหึมา ด้วยลีลาเร้าใจของเพลงแด๊นซ์ร่วมสมัย หลายคนขนานนามพวกเขาว่า “เด็กแวนซ์” คำๆ นี้เริ่มเป็นที่รู้จักมาเมื่อ 2-3 ปีก่อน ที่มาของคำมาจากเสียงของรถมอเตอร์ไซค์อันเป็นยานพาหนะของกลุ่มวัยรุ่นกลุ่ม นี้ ที่มีเสียงดัง “แว้นนนนนนนนน”ออกมาจากท่อไอเสีย พวกเขาเหล่านี้มักจะถูกจับกลุ่มกับผู้หญิงวัยรุ่นที่จะเรียกว่า “เด็กสะก๊อย” ในช่วงสงกรานต์ หลายคนออกมาบ่นผ่าน status ของ Facebook ด้วยอารมณ์ที่อาจมองได้ว่า “เหยียด” เด็กแว๊นซ์ บ้างก็ค่อนขอดถึงลีลาการเต้นที่ปล่อยใจไปตามเสียงเพลง บ้างก็เหยียดหยามสไตล์การแต่งตัวหรืออัตลักษณ์ส่วนบุคคลที่เป็นเอกลักษณ์ของ คนกลุ่มนี้ เช่น ใส่ยีนส์ขาเดฟ แว่นดำ เสื้อสีแสบๆ ย้อมผมทอง ที่แยกย่อยไปกว่านั้นก็คือ การมองไลฟ์สไตล์พวกเขาแบบเบ็ดเสร็จตามที่สื่อมักจะผลิตซ้ำความเชื่อ เช่น การแข่งรถเพื่อแลกเปลี่ยนคู่นอน
และที่แย่ก็คือการเลือกจัดกลุ่มแบบเหมารวมนั้นถูกพัฒนาให้กลายเป็น “เครื่องมือทางชนชั้น” ที่น่าสนใจ คำว่า “เด็กแวนซ์” กลายเป็นคำด่าเมื่อมีเพื่อนหรือบุคคลรู้จักทำตัวไม่เข้าท่า เช่น “วันนี้มึงแต่งตัวแวนซ์มาก” หรือ “ลีลาท่าเต้นนี่แวนซ์กระจาย” คำว่า “แวนซ์” มีความหมายที่เลื่อนไหลกลายเป็นแสลงคำด่า เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับคำว่า “เสี่ยว” หรือ “ลาว” มาก่อนหน้านี้ หรือการนำการพูดไม่ชัดของชนกลุ่มน้อยอย่าง “กะเหรี่ยง” มาล้อเลียนเป็นเรื่องสนุกสนาน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นทัศนคติแบบเดียวกันที่น่ากลัวไม่น้อย เพื่อนหลายคนถึงกลับเลิกฟังเพลงของวง So Cool หรือวง Clash เพราะพวกวงเหล่านี้กลายเป็นไอดอลของเด็กแวนซ์ ทั้งที่สมัยก่อนก็เคยกอดคอฟังเพลงเหล่านี้มาด้วยกัน เหตุการณ์แบบคล้ายกันนี้เคยเกิดขึ้นในช่วงที่เพลงป๊อปวัยใสแบบ “บับเบิ้ลกัม” ของค่ายอาร์เอสกำลังดังก็จะมีกลุ่มคนต่อต้าน หรือ ปัจจุบันกับกระแสเหยียด “ติ่งหูเกาหลี” ที่เอาไว้แขวะกลุ่มนักเรียนมัธยมที่คลั่งไคล้ศิลปินเกาหลีอย่างเต็มขั้น สื่อมวลชนก็มีหน้าที่ผลิตซ้ำคำพูดดังกล่าว เมื่อเกิดเหตุการณ์ในแง่ลบกับสังคม “เด็กแวนซ์” คือคนกลุ่มแรกที่มักจะถูกโยนความผิดให้เสมอในรายการเล่าข่าวยามเช้า เช่น เกิดเรื่องการทำแท้งเถื่อน การค้ายาเสพย์ติด โดยที่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบคำพูด โดยสรุปเหตุผลสุดท้ายของทุกเรื่องราวว่า “ก็เพราะมันเป็นเด็กแวนซ์” กรอบของศีลธรรมมักจะถูกนำมาใช้เพื่อบอกว่าคนเหล่านี้ขาด “สามัญสำนึก” ซึ่งก็ต้องตั้งคำถามกลับไปว่า “มาตรฐานทางศีลธรรม” นั้นใครเป็นผู้กำหนด? และมาตรฐานทางศีลธรรมนั้นมีหน้าที่เพื่อสร้างมาตรฐานทางสังคม หรือเพื่อเหยียดคนกลุ่มหนึ่งให้ต่ำและทำให้ตัวเองรู้สึกสูงส่งทางศีลธรรมกัน แน่ (โดยเฉพาะทัศนคติของชนชั้นกลาง) การเขียนบทความนี้ไม่ได้ต้องการมุ่งเปลี่ยนทัศนคติจากขาวเป็นดำ หรือเพื่อเชิดชูคุณค่าของเด็กแวนซ์ว่าเป็นต้นแบบที่สังคมควรจะดำเนินตาม เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม เช่น การแข่งรถบนทางหลวง หรือ การยกพวกตีกัน ก็สมควรต้องเป็นถูกลงโทษไปตามหลักนิติรัฐที่กำหนดไว้ เพียงแต่อยากให้มองกลุ่มคนเหล่านี้ว่ามีคุณค่ามนุษย์เทียบเท่า กับ “กลุ่มคนเสื้อแพง” หรือ “กลุ่มพวกเอาพารากอนกูคืนมา” ก็เพียงเท่านั้น (น่าแปลกใจไม่เห็นมีใครไปเหยียดกันว่า “อี๋ เด็กทองหล่อ!!” หรือ “ว้าย!!เด็กสยาม” เหมือนกลายเป็นว่าการเป็นเด็กสยามหรือเด็กเมืองจะกลายเป็นชนชั้นขั้นสูงสุด ของสังคมวัยรุ่นไทย โดยเด็กแวนซ์ถูกทำให้เป็นฐานล่างสุดของสังคมลำดับขั้น) ภาพเหล่านี้ยิ่งขยายสังคมไทยซึ่งเป็นสังคมชนชั้นให้ชัดเจนมากขึ้น ถ้าสังคมมองเขาเพียงว่าเป็น “แค่” เด็กแวนซ์ เขาก็จะเป็นแค่เด็กแวนซ์ แต่ถ้าสังคมมองเขาเป็นคนกลุ่มหนึ่งในสังคมที่ดำรงด้วยความหลากหลาย และไม่ถูกฉาบด้วยมายาคติที่สูงส่งกับศีลธรรมจอมปลอม (ที่ถูกฉาบไว้ให้เราไม่เห็นความเท่าเทียมที่มีอยู่จริงในสังคมอุปถัมภ์) เขาก็จะเป็นเพื่อนร่วมสังคมแบบหนึ่งของเรา อยากให้ลองคิดว่า เราเองปลดปล่อยอารมณ์ให้สนุกเท่าพวกเขาได้ไหม? เราไม่เป็นทาสของศีลธรรมและความดัดจริตว่าตนเองเหนือกว่าคนพวกนี้หรือไม่? ถ้าหากเขาไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับเราอย่าไปเหยียดเขาเลย ถือว่าเป็นสีสัน อย่ากระแดะกันให้มาก ประเทศเป็นแบบนี้ก็เพราะมัวแต่นั่งเหยียดกันนี่ล่ะ!! (เพื่อนชาวต่างชาติบอกว่า ถ้าในประเทศของเขาเราไปเรียกคนอื่นว่า ไอดำ ไออ้วน ไอแขก หรือไปเตี้ย ป่านนี้คงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตถึงขั้นลงไม้ลงมือหรือโดนแรงกดดันทางสังคมไป แล้วโทษฐานที่เป็นพวกเหยียดผิว หรือเหยียดอารยธรรม) สิ่งสำคัญก็คือเราจะเลือกสังคมที่เราอยู่แบบไหน เราจะอยู่ในสังคมที่มีอารยธรรมหลากหลายแต่ทุกคนอยู่ภายใต้มาตรฐานทางกฏหมาย เดียวกัน หรือ สังคมที่เราพยายามจะหล่อหลอม (และพยายามทำให้เชื่อว่า) สังคมมี “มาตรฐานทางศีลธรรม”เดียวกัน เพื่อนำมาปกปิดมาตรฐานทางสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ? ที่มา:www.siamintelligence.com
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
กบส. เล็งให้เอกชนเข้าประกวดราคาสร้างทางรถไฟความเร็วสูง 3 เส้นทาง Posted: 14 Apr 2011 10:51 AM PDT “คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและการบริการของประเทศ” เล็งเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาประกวดราคาก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 3 สาย กรุงเทพ-เชียงใหม่ กรุงเทพ-ระยอง และ กรุงเทพ-อุบล เมื่อวันที่ 11 เม.ย. เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 2/2554 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยหนึ่งในหัวข้อซึ่งที่ประชุมมีการพิจารณา คือโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ - ระยอง โดยที่ประชุมมีความเห็น ดังนี้ หนึ่ง การพัฒนารถไฟความเร็วสูงนอกจากเส้นทางที่ได้มีการหารือร่วมกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเบื้องต้นใน สอง เส้นทางแล้ว เห็นควรให้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนจากทุกประเทศสามารถเข้ามาประกวดราคาในการร่วมดำเนินโครงการในเส้นทางที่เหลือทั้งหมดได้แก่ กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ กรุงเทพฯ - ระยอง และกรุงเทพฯ – อุบลราชธานี สอง สำหรับขอบเขตการดำเนินงานนั้น การพัฒนารถไฟความเร็วสูงที่มากกว่า 250 กม. ต่อ ชม. ในต่างประเทศจะใช้สำหรับขนส่งผู้โดยสารเพียงอย่างเดียว ซึ่งในประเทศไทยการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงที่จะดำเนินการในอนาคตอาจต้องพิจารณาให้สามารถใช้กับการขนส่งสินค้าด้วย เพื่อให้การลงทุนเกิดความคุ้มค่ามากขึ้น โดยอาจต้องมีการออกแบบความเร็วในการให้บริการที่เหมาะสม รวมทั้งแนวเส้นทางที่จะดำเนินการด้วย สาม ในกรณีที่จะให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการควรจะต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องที่ดินที่จะต้องใช้ในการก่อสร้างโครงสร้างให้แล้วเสร็จโดยเฉพาะในเส้นทางที่เขตทางรถไฟไม่เพียงพอ และต้องทำการเวนคืนที่ดินเพิ่มเติม เพื่อป้องกันความล่าช้าในการส่งมอบพื้นที่ให้แก่เอกชนที่เข้าร่วมลงทุน ขณะเดียวกันที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการดำเนินการจัดทำการทดสอบความสนใจภาคเอกชน (Market Sounding) ภายใต้โครงการรถไฟความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯ - ระยอง และกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในรูปแบบ Public Private Partnerships โดยเห็นควรให้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนจากทุกประเทศสามารถเข้ามาประกวดราคาในการร่วมดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ กรุงเทพฯ - ระยอง และกรุงเทพฯ - อุบลราชธานี พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม รับไปศึกษาความเป็นไปได้โครงการ (Feasibility Study) ในการพัฒนาเส้นทางเพื่อการขนส่งสินค้าด้วยรวมทั้งควรศึกษาถึงความเหมาะสมของกำหนดเส้นทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายเส้นทางกรุงเทพฯ - ระยองไปจนถึงจังหวัดตราด เพื่อรองรับการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าชายแดน รวมทั้งศึกษาความเหมาะสมของโครงสร้างการบริหารจัดการระบบรถไฟความเร็วสูงของประเทศ และการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบที่เหมาะสมก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
ที่มา: เว็บไซต์นายกรัฐมนตรีไทย สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับประชาชนตามคติพุทธศาสนา Posted: 14 Apr 2011 10:25 AM PDT ในอัคคัญญสุตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ 11) พระพุทธเจ้าปฏิเสธระบบชนชั้นทางสังคมตามคติพราหมณ์ ที่เรียกว่า “วรรณะสี่” คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร การปฏิเสธดังกล่าวมีความหมายสำคัญว่า 1) ปฏิเสธอภิปรัชญาแบบพราหมณ์ที่ถือว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ และกำหนดสถานะแห่งชนชั้นทางสังคมของมนุษย์เอาไว้อย่างตายตัว 2) ในทางปรัชญาสังคมเท่ากับยืนยันว่าระบบความสัมพันธ์ทางสังคมที่ออยู่บนพื้นฐานของความไม่เท่าเทียมเป็น “ระบบที่ไม่ยุติธรรม” ข้อโต้แย้งที่พระพุทธองค์ใช้ปฏิเสธระบบชนชั้นทางสังคมดังกล่าว อาจสรุปได้เป็นสองประเด็นหลักๆ คือ ประเด็นที่หนึ่ง ระบบชนชั้นไม่ได้เกิดจากการกำหนดโดยเทวสิทธิ์ แต่เกิดจากวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของสังคมมนุษย์ กล่าวคือในสภาวะสังคมตามธรรมชาติหรือสภาพสังคมก่อนสังคมการเมือง มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างไร้ศีลธรรม ผลแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างไร้ศีลธรรมคือ “ทุกข์ร่วม” ที่เกิดจากการเบียดเบียนชีวิตร่างกาย ทรัพย์สิน ฯลฯ ของกันและกัน เมื่อมนุษย์ไม่อาจทนอยู่ในสภาพสังคมไร้ศีลธรรมเช่นนั้นอีกต่อไป จึงมาตกลงกันเลือกผู้ปกครอง ภายใต้ข้อตกลงกว้างๆ ร่วมกันว่า 1) ผู้ปกครองต้องมีอำนาจในการ “ว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้โดยชอบ ติเตียนผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบ ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบ” ทั้งนี้การทำหน้าที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงข้อที่ 2) ว่า สมาชิกของสังคมตกลงจะแบ่งข้าวสาลีให้เป็นการตอบแทนในการทำหน้าที่นั้น และเนื่องจากการเป็นปกครองดังกล่าวนั้นเกิดจาก “การสมมติของชนหมู่มาก” จึงมีชื่อเรียกผู้นำเช่นนั้น ว่า “มหาชนสมมติ” ต่อมาผู้ปกครองแบบมหาชนสมมตินั้นได้รับการยอมรับจากสังคมว่า เป็นใหญ่ยิ่งแห่งเขตแดนทั้งหลาย จึงเรียกว่า “กษัตริย์” และเพราะความที่กษัตริย์เช่นนั้นทำให้คนจำนวนมากสุขใจได้โดยธรรม จึงเรียกว่า “ราชา” ฉะนั้น สถานะของกษัตริย์หรือราชาจึงไม่ใช่สถานะที่มาจากพระเจ้า หากแต่มาจากการสถาปนาขึ้นโดยประชาชน และเป็นที่เคารพรักของประชาชนได้ด้วยการทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชนจนเป็นที่ยอมรับ ประเด็นที่สอง พระพุทธองค์เสนอว่า คนเราจะประเสริฐหรือไม่ประเสริฐไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ชาติกำเนิด แต่ขึ้นอยู่กับการประพฤติธรรม ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดอย่างไร หากประพฤติอกุศลธรรมก็ถือเป็นคนเลวเสมอเหมือนกัน หากประพฤติกุศลธรรมก็ถือว่าเป็นคนดีเสมอเหมือนกัน ข้อเสนอดังกล่าวนี้แสดงว่า “มนุษย์มีความเสมอภาคทางศีลธรรม” ในความหมายที่ว่า ทุกคนต่างมีเสรีภาพในการเลือกทำดีหรือชั่ว และต้องรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาอย่างเสมอเหมือนกัน (ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว) คำถามคือ พุทธศาสนาได้นำหลักคิดเรื่อง “ความเสมอภาคทางศีลธรรม” ดังกล่าวนี้มาเป็นพื้นฐานในการจัดระบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ในทางสังคมการเมืองหรือไม่ อาจเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันได้ยาว แต่ประเด็นที่ชัดเจนคือ ตามคติพุทธศาสนาไม่ได้ถือว่ากษัตริย์หรือราชาต้องสูงส่งกว่าคนทั่วไปด้วยเหตุผลเรื่อง “ชาติกำเนิด” และไม่มีหลักคำสอนใดๆ ในพุทธศาสนาที่แสดงว่ากษัตริย์หรือราชา “ควร” อยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบด้วยเหตุผล ตามคติของพุทธศาสนานั้น กษัตริย์หรือราชา (ผู้ปกครองหรือผู้นำ) จะเป็นที่รักหรือ “ควร” เป็นที่ยอมรับของประชาชนก็ต่อเมื่อเป็นผู้ที่มีทศพิธราชธรรม หรือจักรวรรดิวัตรอันเป็นหลักปฏิบัติของผู้มีบทบาทหน้าที่ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน ทศพิธราชธรรม และจักรวรรดิวัตรไม่ได้มีความหมายเป็นเครื่องมือสนับสนุนสถานะอันศักดิ์สิทธิ์แตะต้องไม่ได้ของผู้ปกครอง หากแต่มีความหมายในเชิงเป็นเกณฑ์หรือมาตรฐานในการตรวจสอบ “ความเหมาะสม” ในการทำหน้าที่ของผู้ปกครอง เช่น ผู้ปกครองมีคุณสมบัติของผู้เสียสละหรือไม่ (ทานํ) ผู้ปกครองมีจริยธรรมขั้นพื้นฐานที่คนทั่วไปควรจะมีหรือไม่ (สีลํ) ผู้ปกครองทำหน้าที่อย่างตอบสนองหรือพยายามลดละความโลภ โกรธ หลงอันเป็นไปเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ส่วนตนหรือไม่ (ปริจฺจาคํ) ผู้ปกครองมีความซื่อตรงหรือไม่ (อาชฺชวํ) ผู้ปกครองอ่อนน้อมถ่อมตนต่อประชาชนที่ค้ำจุนตนเองหรือไม่ (มทฺทวํ) ฯลฯ และข้อสุดท้ายสำคัญที่สุดคือ ผู้ปกครอง “ต้องมีความเที่ยงธรรม” หมายถึงต้องยึดหลักการ ยึดความถูกต้อง หรือยึด “ระบบ/กติกาที่ถูกต้อง” ของสังคมเป็นหลักในการตัดสินใจ (อวิโรธนํ) ทศพิธราชธรรมข้อที่ 10 หรือ “อวิโรธนะ” สอดคล้องกับจักรวรรดิวัตรข้อหนึ่งคือ “ธรรมาธิปไตย” หมายถึงผู้ปกครองต้องยึด “ความเป็นธรรมเป็นใหญ่” (ความเป็นธรรมที่อยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาคทางศีลธรรม = ความเสมอภาคในความเป็นคน) หรือยึดถือหลักความยุติธรรมเป็น “มาตรฐานเดียวกัน” ในการตัดสินใจ หรือในการใช้อำนาจใดๆ ฉะนั้น ตามคติพุทธ ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์ หรือราชา (ผู้ปกครองหรือผู้นำ) กับผู้ใต้ปกครองหรือประชาชนถูกเชื่อมโยงด้วยทศพิธราชธรรมและจักรวรรดิวัตร ซึ่งสิ่งเชื่อมโยงดังกล่าวนี้มีความหมายเป็น “มาตรฐานในการตรวจสอบ” บทบาทของกษัตริย์ หรือราชา (ผู้ปกครองหรือผู้นำ) ว่าได้ทำหน้าที่ในฐานะผู้บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ผู้ใต้ปกครองหรือประชาชนอย่างเหมาะสมหรือไม่ สังคมไทยของเราได้ถือคติ “พระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรม” มาอย่างยาวนาน เราจำเป็นต้องตระหนักว่า “ทศพิธราชธรรมคือมาตรฐานในการตรวจสอบ” ไม่ใช่เครื่องมือยกสถานะของพระมหากษัตริย์ให้ศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือการตรวจสอบ เพราะในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์นำเสนอทศพิธราชธรรม และจักรวรรดิวัตรในฐานะมาตรฐานตรวจสอบความน่าเชื่อถือของกษัตริย์หรือราชา สมัยพระเจ้าอโศกพระองค์ก็พิสูจน์ให้ผู้ใต้ปกครองเห็นว่าความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองเกิดจากการที่พระราชามีทศพิธราชธรรม แม้ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์บางยุคในสังคมไทย ทศพิธราชธรรมก็อาจถูกใช้เป็นมาตรฐานตรวจสอบความน่าเชื่อถือของพระมหากษัตริย์ด้วยเช่นกัน ฉะนั้น ถ้าถือตามคติพุทธศาสนา ยิ่งกษัตริย์หรือราชา (ผู้นำหรือผู้ปกครอง) ถูกตรวจสอบในหลายช่องทาง แล้วสรุปได้ว่า “เปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรม” ยิ่งทำให้เป็นที่เคารพเชื่อถือของผู้ใต้ปกครอง หรือประชาชนเป็นทวีคูณ
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
"สรรเสริญ" หวังคนไทยคิดได้จะเลือกใครมาทำให้บ้านเมืองสงบ รักษา "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์" Posted: 14 Apr 2011 03:06 AM PDT โฆษก ทบ. โยนให้ตำรวจเดินเรื่องฟ้อง นปช. ต่อ ชี้ขณะนี้สังคมไทยมี "ความคิดประหลาด" มี "ผู้หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" แนะให้คนไทยคิด-วิเคราะห์ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ว่ากลุ่มการเมืองกับกลุ่มคนที่จาบจ้วงมีความใกล้ชิดกันหรือไม่ ลั่นคนไทยเป็นผู้เจริญแล้ว มีความรู้ว่าจะทดแทนชาติอย่างไร ตามที่แกนนำ นปช. ปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 10 เม.ย. โจมตีทหารและรัฐบาลที่เข้ามาสลายการชุมนุมเมื่อปีที่แล้ว จนทำให้ต่อมากองทัพบกส่งทหารกรมพระธรรมนูญไปแจ้งความว่าแกนนำ นปช. คือนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวิเชียร ขาวขำ และนายสุพร อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน โดยกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น (ข่าวที่เกี่ยวข้อง) ล่าสุดวันนี้ (14 เม.ย.) เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานคำพูดของ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ที่ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าวว่า หลังจากนี้คงเป็นหน้าที่ตามกระบวนการยุติธรรมของตำรวจต่อไป พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า วันนี้กองทัพบกวิงวอนประชาชนว่าในสังคมของเรามีความคิดประหลาดอยู่ อยากให้ลองทบทวนว่าตลอดชีวิตพี่น้องคนไทยโดยเฉพาะคนที่อายุ 40 ขึ้นไปคงเห็นว่าสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทยทุกคน พระองค์ท่านทรงทุ่มเทความเหนื่อยยากเพื่อความสุขประชาชนตลอด แต่วันหนึ่งกลับมีคนกลุ่มหนึ่งพูดจาทำนองจาบจ้วงหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรม เดชานุภาพ จึงอยากให้พี่น้องประชาชนพิจารณาว่าเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะทุกคนเห็นว่าทุกพระองค์ได้ทุ่มเทมาตลอด แล้วทำไมจึงไปเชื่อคำพูดของคนไม่กี่คน “ความจริงผู้ที่จาบจ้วงสถาบันมีไม่มาก มีเพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น อยากให้พิจารณากัน มองให้ลึกว่ากลุ่มคนเหล่านี้ทำงานเพียงลำพังหรือมีกลุ่มการเมือง พรรคการเมืองหรืออะไรก็แล้ว แต่ที่มีการทำงานที่สอดคล้องกับบุคคลที่พยายามจาบจ้วงหรือไม่ อยากให้คนไทยวิเคราะห์ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ อยากให้คนไทยคิดและวิเคราะห์ว่ากลุ่มการเมือง กับกลุ่มคนที่จาบจ้วงมีความใกล้ชิดกันหรือไม่ และการทำงานของกลุ่มคนพวกนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองไหน แม้หลายคนที่ทำงานการเมืองที่เกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้อาจบอกว่า ไม่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นสิทธิส่วนตัวของแต่ละบุคคล แต่หากมองว่า เราเป็นผู้เจริญแล้ว มีความรู้ว่าจะทดแทนชาติอย่างไร หากรู้ว่าใครทำอะไรไม่เหมาะสม ทำลายเหยียบย่ำจิตใจของคนไทย ท่านยังจะไปเสวนาพูดคุยกับเขาอีกหรือ อีกไม่นานจะเข้าสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หวังว่าคนไทยคงคิดได้ว่าจะเลือกใครมาเป็นผู้แทนที่จะทำให้บ้านเมืองสงบ และรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ได้ ทั้งนี้ การที่จะเลือกใครเป็นดุลพินิจของประชาชนคนไทย” พ.อ.สรรเสริญกล่าว ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงจะแจ้งความกลับทหารนั้น พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ไม่มีปัญหา ทุกคนมีสิทธิที่จะพึ่งพิงกระบวนการยุติธรรมได้ และจะได้พิสูจน์ว่าอะไรเป็นอย่างไร ท่านลองคิดว่าสิ่งที่กองทัพบกดำเนินการไปเป็นกรณีอะไรต่อการที่มีพี่น้องบาง ส่วนไปสนับสนุนให้กำลังใจมีการฟ้องกลับ ลองนึกว่าท่านให้กำลังใจฟ้องกลับในเรื่องอะไร ในเรื่องที่กองทัพปกป้องสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทยทุกคนหรือ ขณะนี้สังคมกำลังจับตาดูอยู่ ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายเทพไท เสนพงศ์ ได้แถลงโจมตีนายจตุพร พรหมพันธุ์ซึ่งกล่าวว่าอยากให้รายการวู้ดดี้เกิดมาคุยเชิญไปออกบ้าง โดยนายเทพไทถือว่าเป็นการกระทบกระแทกสถาบันเบื้องสูง เพราะก่อนหน้านี้ รายการดังกล่าวได้ทูลฯ สัมภาษณ์เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์มาก่อน (ข่าวที่เกี่ยวข้อง) สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "112" Posted: 14 Apr 2011 01:42 AM PDT |
คคส.ชี้แรงงานท่อใยหินเสี่ยงมะเร็งปอด Posted: 14 Apr 2011 12:18 AM PDT 14 เม.ย. 54 - รศ.ภก.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยถึงอันตรายของผู้ใช้แรงงานของไทยที่ยังสัมผัสกับวัสดุก่อสร้างที่มีส่วนผสมของแร่ใยหิน ว่าจากการติดตามแหล่งจำหน่ายของโรงงานอุตสาหกรรม SME ที่ทำท่อใยหิน กระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ และจากการสำรวจข้อมูลในเว็บไซต์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรม SME ท่อใยหิน พบว่า อุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่มีมาตรการป้องกันให้ผู้ใช้แรงงานที่ทำงานสัมผัสกับท่อใยหินเหล่านี้ ซึ่งผู้ใช้แรงงานไม่มีโอกาสทราบว่าใยหินรอบตัว คือสารก่อมะเร็ง ทั้งมะเร็งปอด มะเร็งเยื่อหุ้มปอด และอื่นๆ โดยอนุภาคใยหินกระจายอยู่ทั่วไปในสถานที่ผลิต สังเกตดูได้จากภาพของแรงงานที่ปรากฏในเว็บไซต์ของอุตสาหกรรมเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ ให้กับแรงงาน ดังนั้นการขาดมาตรฐานในการดูแลผู้ใช้แรงงานเหล่านี้จะสร้างภาระทางสุขภาพแก่ผู้ใช้แรงงานและครอบครัวในระยะยาวจากโรคมะเร็ง นำมาสู่การแบกรับทางเศรษฐกิจที่ครอบครัวและรัฐจะต้องดูแลอย่างมหาศาล เนื่องจากการรักษาโรคมะเร็งปอดมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก “องค์การอนามัยโลกได้ชี้ว่าแอสเบสตอสทุกชนิดรวมทั้งใยหินไครโซไทล์ ที่ประเทศไทยยังยอมให้ใช้อยู่เป็นอันตราย โดยเป็นสารก่อมะเร็ง ที่ทำให้เกิดโรคที่สัมพันธ์กับแอสเบสตอส เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเยื่อหุ้มปอด การป้องกันโรคคือการหยุดการใช้แอสเบสตอสทุกชนิด เครือข่ายแพทย์และนักวิชาการได้ผนึกกำลังผ่านสมาพันธ์อาชีวอนามัย/ความปลอดภัย/สภาพแวดล้อมในการทำงาน และได้ร่วมประชุม Asian Conference on Occupational Health 2011 เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อยืนยันสนับสนุน มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ที่มีมติให้ยกเลิกการผลิต นำเข้าและส่งออกแร่ใยหินทุกชนิด จึงเห็นว่าการที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติยกเลิกการใช้ใยหินไครโซไทล์ในประเทศไทย จะเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาล ที่จะดูแลสุขภาพผู้ใช้แรงงาน ผู้บริโภค และคนไทยอย่างจริงจัง” รศ.ภก.ดร.วิทยา กล่าว ที่มาข่าว: บ้านเมือง สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
แม่ทัพภาค 1 วอนคนไทยประณามแกนนำ นปช. ปราศรัยหมิ่น Posted: 13 Apr 2011 11:22 PM PDT แม่ทัพภาค 1 อ้างแกนนำแดงปราศรัยพาดพิงสถาบัน วอนคนไทยทุกคนรุมประณาม ด้าน ผบ.ทบ.สั่ง กอ.รมน.ทั่วประเทศตรวจสอบการหมิ่นฯ ทุกช่องทางสื่อสาร พร้อมประสานไอซีที-ตำรวจจับกุม ดำเนินคดีตามกฎหมาย โฆษกเผยที่ผ่านมาได้ดำเนินคดีไปจำนวนมากแล้ว 14 เม.ย. 54 - พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 เปิดเผยว่า การที่แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้กล่าวปราศรัยในการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แยกคอกวัว เมื่อวันที่10 เม.ย. และมีคำพูดบางช่วงที่หมิ่นเหม่ต่อสถาบัน ซึ่งได้กระทบต่อความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่เป็นอย่างยิ่ง เพราะคนไทยส่วนใหญ่รักชาติและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และทหารเช่นเดียวกันเพราะทหารทุกคนคือประชาชนที่เป็นลูกหลานของประชาชน ตนเองรู้สึกสะเทือนใจและเศร้าใจเป็นอย่างมากที่เห็นคนที่ได้ชื่อและพูดเสมอว่าตัวเองเป็นคนไทย เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ได้กล่าวคำที่บ่งบอกถึงการก้าวล่วงต่อสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทย ทั้งนี้เห็นว่า ยิ่งนานวันความเป็นตัวตน ความนึกคิดที่แอบแฝงความไม่เคารพ และลบหลู่สถาบันได้ถูกเผยและแสดงออกอย่างชัดเจนมากขึ้นๆ มีคนที่พูดเก่ง สามารถบิดเบือนเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 53 ที่ผ่านมาว่า ทหาร ตำรวจตั้งใจฆ่าประชาชน แต่เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่รู้ว่าความจริง ว่าใครเป็นผู้เริ่มและทำอะไร "ขอฝากไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นว่า อย่าทำร้ายจิตใจของคนไทยส่วนใหญ่ในเรื่องสถาบันให้มากไปกว่านี้ ขอเรียกร้องให้ทุกกลุ่ม ทุกสี แม้แต่ นปช.เอง ซึ่งผมคิดว่าส่วนใหญ่มีความจงรักภักดี มีความรักเคารพสถาบัน ซาบซึ้งต่อพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยเป็นอย่างยิ่งเสมอมาได้ร่วมมือร่วมใจ ร่วมแสดงออกในการประณาม และไม่เห็นด้วยต่อคำพูดและการแสดงท่าทีที่เลวร้ายเหล่านั้น " แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าว แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า ทหารทุกคน ไม่ว่าหน่วยใด กองทัพใด ไม่สามารถยอมรับแสดงออกดังกล่าวได้ และขอยืนยันว่ากองทัพภาคที่ 1 เชื่อมั่นในผบ.ทบ. และพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งเพื่อปกป้องชาติและสถาบันร่วมกับประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ด้วยชีวิตของคนไทยทุกคน ผบ.ทบ.สั่งเกาะติดหมิ่นสถาบันทุกช่องทางสื่อสาร พล.ต.ดิฎฐพร ศศะสมิต โฆษก กอ.รมน. กล่าวว่า ที่ผ่านมา ศูนย์ประสานการปฏิบัติ ด้านโครงการพระราชดำริและเทิดเกียรติ ปกป้องสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็น ศูนย์หมายเลข 6 ในจำนวน 6 ศูนย์ที่ กอ.รมน. มีอยู่ ได้ทำหน้าที่ประสาน สั่งการและแจ้งเบาะแส และข้อมูลการละเมิดสถาบันฯไปยัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และตำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฏหมาย “ที่ผ่านมามีการดำเนินคดี คนที่หมิ่นสถาบันฯ ในรูปแบบต่างๆ จำนวนมาก แต่ กอ.รมน. ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากจะส่งผลต่อการสืบสวนสอบสวน อีกทั้งถือว่าเป็น ภารกิจที่ไม่พึงเปิดเผย เพราะมีผลดีผลเสีย ฝ่ายตรงข้ามจะรู้ตัวและหลบหนี แต่ขอบอกว่า เราทำงานกันตลอดเวลา” พล.ต.ดิฎฐพร กล่าว นอกจากนี้ ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) บก.กองบัญชาการกองทัพไทย และตำรวจสันติบาล ยังคงติดตามพฤติกรรม ผู้หมิ่นสถาบันในช่องทางต่างๆอีกด้วย พล.ต.ดิฎฐพร กล่าวอีกว่า ในวันที่ 2 พ.ค. นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อำนวยการ กอ.รมน. จะมาแถลงผลงาน กอ.รมน.ในรอบ 6 เดือน ทั้งนี้กอ.รมน. จะเพิ่มงานด้านการบรรเทาภัยพิบัติ เข้ามาด้วย โดยอยู่ในศูนย์ที่ 4 คือศูนย์ประสานการปฏิบัติด้านการพทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และการบรรเทาภัยพิบัติ เพื่อรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นอีก อนึ่งกอ.รมน.มีหน้าที่รับผิดชอบใน 6 ศูนย์ประสานการปฏิบัติคือ ศูนย์ฯหมายเลข 1 แก้ไขปัญหายาเสพติด ศูนย์หมายเลขที่ 2 แก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว และผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย ศูนย์ที่ 3 การต่อต้านการก่อการร้ายสากล และอาชญากรรมข้ามชาติ ศูนย์ที่ 4 คือ พิทักษ์ป่าไม้ ศูนย์ที่ 5 การแก้ปัญหา 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ศูนย์ที่ 6 โครงการพระราชดำริและเทิดพระเกียรติ ปกป้องสถาบัน ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะรองผอ.รมน. ได้แต่งตั้ง นายทหารยศ พลตรีและพลโท มาเป็น ผู้อำนวยการศูนย์ทั้ง 6 ศูนย์ เพื่อรับผิดชอบในแต่ละสายงาน ตำรวจสันติบาล เร่ง สอบคำปราศรัย นปช.
...........................
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
Posted: 13 Apr 2011 11:02 PM PDT เผย 7 วันอันตรายสงกรานต์ 3 วันตายแล้ว 116 ราย เจ็บ 1,760 รายจากสาเหตุหลักเมาแล้วขับ จังหวัดเกิดอุบัติเหตุสูงสุดได้แก่ นครศรีธรรมราช 14 เม.ย. 54 - โพสต์ทูเดย์รายงานว่าศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2554 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 13 เม.ย. 54 เกิดอุบัติเหตุทางถนน 733 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 57 คน ผู้บาดเจ็บ 784 คน รวม 3 วัน (11 – 13 เม.ย. 54) เกิดอุบัติเหตุทางถนนรวม 1,626 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 116 คน ผู้บาดเจ็บรวม 1,760 คน ศปถ. สั่งกำชับเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจเข้มงวดตรวจจับดำเนินคดีเมาแล้วขับ และไม่สวมหมวกนิรภัย โดยเฉพาะบริเวณเส้นทางเข้าออกพื้นที่เล่นน้ำสงกรานต์ พร้อมกวดขันรถบรรทุกคนตระเวนเล่นน้ำมิให้ใช้ความเร็วสูง นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รองประธานกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 13 เมษายน 2554 ซึ่งเป็นวันที่สามของการรณรงค์ “สงกรานต์ปลอดภัย สวมหมวกนิรภัย 100%" เกิดอุบัติเหตุ 733 ครั้ง เพิ่มขึ้น 166 ครั้ง จากวันที่สามของการรณรงค์ ปี 2553 ที่มีอุบัติเหตุ 567 ครั้ง โดยมีผู้เสียชีวิต 57 คน ผู้บาดเจ็บ 784 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุรา ร้อยละ 45.16 พฤติกรรรเสี่ยงของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเกิดจากการไม่สวมหมวกนิรภัยมากที่สุด ร้อยละ 32.70 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 82.72 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 57.16 บนถนน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 33.15 ทางหลวงแผ่นดิน ร้อยละ 32.06 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01 – 20.00 น. ร้อยละ 32.88 ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน (อายุ 20 – 49 ปี) ร้อยละ 55.41 จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช 40 ครั้ง รองลงมา ได้แก่ มหาสารคาม 27 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ ขอนแก่น จังหวัดละ 4 คน จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช 42 คน รองลงมา ได้แก่ เชียงราย 31 คน ทั้งนี้ ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 2,514 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 70,317 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 759,774 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 97,391 ราย โดยมีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัยมากที่สุด 31,683 รองลงมา ไม่มีใบขับขี่ 27,860 ราย สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 3 วัน (วันที่ 11 – 13 เม.ย. 54) เกิดอุบัติเหตุรวม 1,626 ครั้ง ลดลงจากปี 2553 ที่มีอุบิตเหตุรวม 1,994 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตรวม 116 คน ผู้บาดเจ็บรวม 1,760 คน จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสูด ได้แก่ นครศรีธรรมราช 78 ครั้ง รองลงมา เชียงราย 77 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ 7 คน รองลงมา เชียงใหม่ 6 คน จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย 85 คน รองลงมา นครศรีธรรมราช 82 คน นายแพทย์ไพจิตร กล่าวต่อไปว่า สถิติอุบัติเหตุทางถนนของวันที่ 13 เมษายน 2554 มีสถิติการเสียชีวิตสูงกว่าช่วง 2 วันที่ผ่านมา และจากสถิติของปีที่ผ่านมา พบการเสียชีวิตสูงในช่วงวันที่ 13 – 14 เมษายน 2554 ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการขับขี่รถจักรยานยนต์เล่นน้ำโดยไม่สวมหมวกนิรภัย ประกอบกับมีการเมาสุราและขับรถเร็วเป็นปัจจัยเสี่ยง โดยส่วนใหญ่ผู้ประสบอุบัติเหตุเป็นเด็กและเยาวชนอายุ ต่ำกว่า 20 ปี ประมาณร้อยละ 30 ทั้งนี้ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจึงได้ประสานให้จังหวัดและและกองบัญชาการตำรวจนครบาลกำชับเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจเข้มงวดตรวจจับดำเนินคดีเมาแล้วขับ และไม่สวมหมวกนิรภัยอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะบริเวณเส้นทางเข้าออกพื้นที่เล่นน้ำสงกรานต์ พร้อมกวดขันรถบรรทุกคนตระเวนเล่นน้ำมิให้ใช้ความเร็วสูง ตลอดจนสั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่สรรพสามิตกวดขันการปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเรื่องสถานที่ห้ามจำหน่าย ห้ามดื่ม รวมถึงการห้ามจำหน่ายแก่เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี "ขอฝากให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครประจำจุดตรวจตักเตือนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากมีอาการมึนเมาให้หยุดผักผ่อนจนกว่าจะสร่างเมา กรณีเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ให้ประสานผู้ปกครองรับตัวไปพักผ่อนที่บ้าน ทั้งนี้ หากเกิดอุบัติเหตุสามารถแจ้งเหตุและติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์กู้ชีพฉุกเฉิน ได้ทางหมายเลข 1669" นายแพทย์ไพจิตร กล่าว นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดเตรียมทีมกู้ชีพที่สามารถออกปฏิบัติการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ณ จุดเกิดเหตุได้ภายใน 10 นาที พร้อมจัดทีมแพทย์พยาบาลประจำห้องฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน กล่าวว่า เมื่อวานเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่ รถไฟชนกับรถยนต์บริเวณจุดตัดผ่านถนนในตำบล หมู่บ้าน จึงขอกำชับให้จังหวัดแจ้งเตือนประชาชนที่ขับผ่านจุดตัดทางรถไฟ ให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยหยุดชะลอรถก่อนถึงทางรถไฟ เพื่อตรวจสอบก่อนว่าไม่มีขบวนรถไฟวิ่งมาจึงขับผ่านได้ นอกจากนี้ จากการติดตามรายงานสภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกจะมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง จึงขอให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเพิ่มความระมัดระวังในการขับผ่านเส้นทางที่สภาพอากาศแปรปรวน กรณีทัศวิสัยไม่ดี ให้นำรถจอดริมข้างทางในบริเวณที่ปลอดภัยและรอจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น จึงค่อยเดินทางต่อ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
“มาเลเซียกินี” ถูกถล่มเว็บ ช่วงโค้งสุดท้ายเลือกตั้งรัฐบาลท้องถิ่น Posted: 13 Apr 2011 03:05 PM PDT นสพ.ออนไลน์ “มาเลเซียกินี” ถูกโจมตีเซอร์เวอร์จนไม่สามารถเข้าใช้งานได้ตั้งแต่อังคารที่ผ่านมา โดยการโจมตีเกิดขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายการเลือกตั้งรัฐบาลท้องถิ่นรัฐซาราวัก ล่าสุดทีมงานพยายามย้ายข้อมูลมายังเซอร์เวอร์ใหม่ มีการระดมโจมตีเซอร์เวอร์ของเว็บไซต์มาเลเซียกินี หนังสือพิมพ์ออนไลน์ในมาเลเซีย ตั้งแต่เวลา 11.00 น. ของวันอังคาร (12 เม.ย.) ที่ผ่านมา ทำให้ผู้อ่านไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ดังกล่าวได้ ฝ่ายเทคนิคของเว็บไซต์ดังกล่าวระบุว่าเกิดจากโจมตีด้วยวิธีเรียกข้อมูลเกินขนาด หรือ DDoS โดยเป็นการโจมตีผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์จากหลายพื้นที่ในโลก โดยโจมตีเซอร์เวอร์ของมาเลเซียกินีจนทำให้ไม่สามารถรองรับปริมาณการเรียกข้อมูลดังกล่าวได้ ทั้งนี้เซอร์เวอร์สำรองข้อมูลของมาเลเซียกินี ซึ่งตั้งอยู่ที่ย่าน ทีเอ็มบริคฟิลด์ และ จาริง ในกัวลาลัมเปอร์ ได้รับผลกระทบจากการโจมตีดังกล่าว มาเลเซียกินีได้โพสต์ลงในเฟซบุ๊กด้วย โดยแจ้งให้ผู้อ่านติดตามมาเลเซียกินีผ่านทางบันทึกในเฟซบุ๊ก นอกจากนี้ทางมาเลเซียกินีพยายามจะรายงานผลการเลือกตั้งที่รัฐซาราวักผ่านทางพื้นที่สำรองใน WordPress และ Blogspot รวมถึงพื้นที่อื่นๆ โดยขณะนี้เว็บไซต์มาเลเซียกินีพยายามจะตั้งเซอร์เวอร์ใหม่เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว มีรายงานด้วยว่า การโจมตีเว็บไซต์มาเลเซียกินี เกิดขึ้น 3 วัน หลังจากเว็บไซต์ Sarawak Report ถูกมุขมนตรี (Chief Minister) รัฐซาราวัก นายอับดุล ทาอิบ มะมูด (Abdul Taib Mahmud) วิจารณ์อย่างหนัก และต่อมาเว็บไซต์ดังกล่าวถูกโจมตีจนไม่สามารถเข้าได้ โดยผู้ก่อตั้งเว็บไซต์คือนางแคลร์ ริวคาสเทิล บราวน์ (Clare Rewcastle Brown) กล่าวว่า การโจมตีเริ่มแรกเกิดขึ้นโดยการแทรกจังหวะการเข้าเว็บเมื่อสัปดาห์ก่อน จากนั้นในช่วงสุดสัปดาห์ก็เป็นการโจมตีเว็บอย่างหนัก ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 เม.ย. เว็บไซต์มาเลเซียกินียังคงถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง โดยการโจมตีมาจากเซอร์เวอร์ที่ตั้งในประเทศจีน โดยฝ่ายเทคนิคของมาเลเซียกินียังคงหยุดการโจมตีไม่ได้ โดยขณะนี้มาเลเซียกินี เพื่อเป็นการตอบสนองและเป็นการบริการต่อผู้อ่าน ซึ่งโดยเฉลี่ยมีผู้อ่านมาเลเซียกินี 3 - 5 แสนรายต่อวัน มาเลเซียกินีได้ทำให้เนื้อหาทุกอย่างที่โพสต์ขณะนี้สามารถเข้าถึงได้ฟรี ซึ่งโดยปกติเนื้อหาภาคภาษาอังกฤษของมาเลเซียกินีจะต้องจ่ายค่าสมาชิกก่อนจึงจะอ่านได้ โดยเนื้อหาข่าวทั้งหมดจะถูกรายงานอยู่ในพื้นที่สำรองคือ บล็อก WordPress และ Facebook ของมาเลเซียกินี นอกจากนี้ยังมีการย้ายฐานข้อมูลไปยังเซอร์เวอร์แห่งใหม่ ซึ่งมีการติดตั้งตัวกรองข้อมูลเพื่อกรองข้อมูลจราจรอินเทอร์เน็ตที่มาจากแหล่งที่มาต้องสงสัย ทั้งนี้มาเลเซียกินียังรายงานด้วยว่า มีการโจมตีมายังเซอร์เวอร์ที่เพิ่งติดตั้งใหม่แล้ว และคาดว่ารอบการโจมตีเซอร์จะเกิดขึ้นอีกในช่วงการเลือกตั้งระดับรัฐซาราวัก ในวันเสาร์นี้ (16 เม.ย.) โดยมาเลเซียกินีได้เตรียมมาตรการรับมือเพื่อขัดขวางการโจมตีรอบใหม่ดังกล่าว
ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก Malaysiakini down, hit by cyber attacks, by MalaysiaKini สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
สวัสดีทุกคน!
ตอบลบฉันชื่ออัจฉราปัจจุบันอาศัยอยู่ที่น่านประเทศไทย ตอนนี้ฉันเป็นม่ายกับลูกสี่คนและฉันติดอยู่กับสถานการณ์ทางการเงินในเดือนมีนาคมและฉันต้องการรีไฟแนนซ์และชำระค่าใช้จ่ายของฉัน ฉันพยายามหาเงินกู้จาก บริษัท เงินกู้ต่าง ๆ ทั้งส่วนตัวและองค์กร แต่ไม่ประสบความสำเร็จและธนาคารส่วนใหญ่ปฏิเสธเครดิตของฉัน แต่ตามที่พระเจ้าจะมีมันฉันได้รับการแนะนำให้รู้จักกับสหกรณ์ของชายแห่งพระเจ้าผู้ให้กู้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ให้เงินกู้ 800,000 กับฉันวันนี้เจ้าของธุรกิจและลูก ๆ ของฉันทำได้ดีในตอนนี้ถ้าคุณ จะต้องติดต่อ บริษัท ใด ๆ ที่มีการอ้างอิงถึงการรักษาความปลอดภัยสินเชื่อโดยไม่มีหลักประกันตรวจสอบเครดิตไม่มีผู้ลงนามร่วมเพียง 2% อัตราดอกเบี้ยและแผนการชำระคืนที่ดีขึ้นและโปรดติดต่อนาย Dante Paola ผ่านทางอีเมล์: dantecooperativehelp@hotmail.com ไม่รู้ว่ากำลังทำสิ่งนี้อยู่ แต่ตอนนี้ฉันมีความสุขมากและฉันตัดสินใจที่จะให้ผู้คนรู้จักเขามากขึ้นและฉันต้องการให้พระเจ้าอวยพรเขามากกว่านี้ คุณสามารถติดต่อเขาผ่านทางอีเมลของเขา: dantecooperativehelp@hotmail.com สำหรับการแชทด่วนหรือ whatsapp / +35677926593
ขอบคุณ
อัจฉรา