โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

ยก‘ละงู’สู่อุทยานธรณีโลก ก่อนระเบิดฟอสซิลถมทะเลปากบารา

Posted: 23 Apr 2011 09:21 AM PDT

บรื้น บรื้นๆ... เสียงเครื่องยนต์รถปรับหน้าดินรีบเร่งเครื่องก่อสร้างถนนสายละงู – ทุ่งหว้า เพื่อให้เสร็จทันตามกำหนด เนินดินและภูเขาข้างทางถูกปรับจนเรียบ เพื่อให้มีพื้นที่กว้างพอในการขยายเป็นถนนสี่เลน เศษดินและหินที่เหลือถูกตักนำไปถมในพื้นที่ลุ่ม


เขาจูหนุงนุ้ย ตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนสายละงู-ทุ่งหว้า ในตำบลกำแพง อำเภอละงู จังหวัดสตูล ถูกระบุ ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกปากบาราและถมทะเล ระยะที่ 1 บริเวณคลองปากบารา อำเภอละงู จังหวัดสตูลว่า เป็น 1 ในภูเขา 10 ลูกในจังหวัดสตูลที่จะเป็นแหล่งหินถมทะเลสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา โดยที่มีการค้นพบฟอสซิลสัตว์โบราณทะเลอยู่ด้วย

 

เศษหินแต่ละก้อน อาจแฝงไปด้วยฟอสซิลสัตว์โบราณอายุหลายร้อยล้านปี !

ยังไม่นับรวมเศษหินจากที่ต่างๆ ทั่วจังหวัดสตูล ที่อาจเต็มไปด้วยฟอสซิล ดังจะเห็นได้จากหินบางก้อนที่ถูกนำมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู จังหวัดสตูล

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ได้จัดแสดงตัวอย่างหินในยุคต่างๆ อายุตั้งแต่ 500 กว่าล้านปีที่ผ่านมา ที่พบในจังหวัดสตูล ซึ่งแต่ละก้อนพบฟอสซิล หรือ ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์โบราณ

นายธรรมรัตน์ นุตะธีระ หรือครูนก อาจารย์ประจำพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู จังหวัดสตูล บอกว่า ในจังหวัดสตูลพบฟอสซิลอยู่หลายแห่ง เขาทุกลูกในจังหวัดสตูลน่าจะมีฟอสซิลอยู่ทั้งนั้น

ฟอสซิลที่พบในจังหวัดสตูล แทรกอยู่ในชั้นหินอายุเก่าแก่ของมหายุคพาลิโอโซอิก หรือในช่วง 590 – 245 ล้านปีที่แล้ว (ดูตารางธรณีกาล) ซึ่งมหายุคนี้มีการซอยย่อยออกเป็นหินยุคต่างๆ รวม 6 ยุค หินแต่ละยุคพบฟอสซิลชนิดต่างๆ แตกต่างกันไป

ครูนก ได้ยกตัวอย่างฟอสซิลที่พบ เช่น “ฟอสซิลไทรโลไบท์” ซึ่งเป็นต้นตระกูลแมงดาทะเลโบราณ โดยพบในหินตะกอนทรายสีแดงบนเกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล คือ “กลุ่มหินตะรุเตา” ซึ่งอยู่ในยุคแคมเบรียน(543 – 510 ล้าน) และเป็นหินตะกอนที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ที่หลายคนเคยได้ยินมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้น ป.4

ฟอสซิลแอมโมไนต์ หรือ หอยงวงช้าง ฟอสซิลนอติลอยด์ หรือ ปลาหมึกทะเลโบราณ ที่พบขนเกาะเขาใหญ่ ใกล้กับบริเวณที่จะมีการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา เป็นต้น

แต่ที่สร้างความฮือฮาให้กับจังหวัดสตูลในทางธรณีวิทยามากที่สุด คือการค้นพบฟอสซิลช้างโบราณในถ้ำวังกล้วย บ้านคีรีวง หมู่ที่ 7 ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นการค้นพบโดยบังเอิญของชาวประมง เมื่อราวเดือนเมษายน 2551

ต่อมานักธรณีวิทยาของพิพิธภัณฑ์วิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เดินทางมาตรวจสอบ พบว่า เป็นฟอสซิลกระดูกขากรรไกรพร้อมฟันกราม ซี่ที่ 2 และ 3 ด้านล่างขวาของช้างดึกดำบรรพ์สกุลสเตโกดอน อายุประมาณ 1.8 – 0.01 ล้านปีมาแล้ว อยู่ในยุคไพลสโตซีน

การค้นพบฟอสซิลช้างสเตโกดอนครั้งนี้ มีส่วนทำให้กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีแนวคิดที่จะกำหนดให้พื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา พื้นที่อำเภอละงูและอำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูลเป็นอุทยานธรณีแห่งชาตินำร่องเป็นแห่งแรกของประเทศไทย

โดยอาจจะเรียกพื้นที่รวมทั้งหมดว่า อุทยานธรณีแห่งชาติ ตะรุเตา – เภตรา – ละงู – ทุ่งหว้า

ในเอกสารประกอบการประชุม เรื่องการจัดตั้งอุทยานธรณี ซึ่งกรมอุทยาธรณี จัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2553 ที่โรงแรมรามาการ์เด้นท์ กรุงเทพมหานคร ระบุว่า ในพื้นที่นำร่อง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตาและพื้นที่ใกล้เคียง พบแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยากว่า 29 แหล่ง หลายแหล่งที่มีคุณค่าทางวิชาการในระดับโลก

การประชุมครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่กรมทรัพยากรธรณี นำเสนอข้อมูลรายละเอียดแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยาให้ทุกภาคส่วนเข้าใจถึงความสำคัญ และได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับ เมื่อมีการจัดตั้งอุทยานธรณีในพื้นที่สำเร็จ

โดยกรมทรัพยากรธรณี มีเป้าหมายในการจัดตั้งอุทยานธรณีครอบคลุมประเทศไทยในปี 2559 และการนำเสนออุทยานธรณีในประเทศไทยที่มีศักยภาพขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานธรณีของ UNESCO แห่งแรกของประเทศไทยภายใน 5 ปี

ในกระบวนการจัดตั้งจัดอุทยานธรณีแห่งชาตินั้น กรมทรัพยากรธรณี จะต้องเสนอความเป็นไปได้ในการจัดตั้งอุทยานธรณีในพื้นที่นำร่อง ต่อที่ประชุม“คณะกรรมการจัดตั้งอุทยานธรณี” เพื่อมีมติเห็นชอบให้เป็นอุทยานธรณีในระดับจังหวัดก่อน

จากนั้นจะมีการติดตามพัฒนาการของอุทยานธรณี เพื่อเพิ่มระดับของอุทยานธรณี เป็นอุทยานธรณีแห่งชาติ โดยให้เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติประกาศเป็น “แหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยาภายใต้แผนแม่บทการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ” ของประเทศ

แต่ก่อนที่จะไปสู่จุดนั้น กรมทรัพยากรธรณี ได้นำเสนอรูปแบบการดำเนินงานออกเป็น 5 ขั้นตอน เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดตั้งอุทยานธรณี และเพื่อให้การจัดตั้งอุทยานธรณีในประเทศไทย เป็นไปอย่างรวดเร็ว ถูกต้องและยั่งยืน

5 ขั้นตอนดังกล่าว ประกอบด้วย 1.เผยแพร่ข้อมูลแก่สาธารณะ 2.จัดตั้งคณะกรรมการและจัดทำหลักเกณฑ์เพื่อพิจารณาการจัดตั้งอุทยานธรณี 3.นำเสนอเพื่อให้มีการจัดตั้งอุทยานธรณี 4.ส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาไปสู่อุทยานธรณี และ 5.การติดตามพัฒนาการของอุทยานธรณี และพัฒนาระบบข้อมูลแหล่งธรณีวิทยา

สำหรับกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมในพื้นที่ มีขึ้นหลายครั้ง เริ่มจากเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2553 โดยนางพรทิพย์ ปั่นเจริญ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดประชุมระดมความคิดเห็นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เยาวชนและประชาชนเป็นครั้งแรก ที่โรงแรมพินนาเคิลวังใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสตูล มีผู้เข้าร่วมกว่า 100 คน

ล่าสุดวันที่ 8 มีนาคม 2554 นางพรทิพย์ ได้ลงพื้นที่จังหวัดสตูลอีกครั้ง เพื่อหารือกับนายวินัย คุรุวรรณพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ที่ศาลากลางจังหวัดสตูล ในเรื่องการจัดตั้งอุทยานธรณีระดับจังหวัด ก้าวสู่ระดับประเทศและระดับโลก โดยจะให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการ เพื่อเป็นแหล่งอนุรักษ์ทางธรณีวิทยา และเป็นแหล่งท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับชุมชน

ในการหารือครั้งนี้ ต่างมีความเห็นร่วมกันว่า จังหวัดสตูลมีสภาพทางธรณีวิทยาที่ครบถ้วน ทั้งบนบกและทะเล โดยในเขตอุทยานทางทะเลของจังหวัดสตูลพบว่า กลุ่มหินตะรุเตา ซึ่งเป็นชั้นหินที่แก่สุดในประเทศไทยที่มีอายุ 500 ล้านปี เกาะหินซ้อนและเกาะหินงาม ควรยกระดับให้เป็นอุทยานธรณี แต่ทางจังหวัดต้องเป็นผู้พิจารณาด้วยส่วนหนึ่ง

นายวินัย บอกว่า ทางจังหวัดต้องจัดตั้งอุทยานธรณีระดับจังหวัดก่อน ยกระดับสู่ระดับประเทศ จนถึงระดับโลก ควรส่งนักวิชาการลงพื้นที่สำรวจและรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยทางจังหวัดจะตั้งคณะกรรมการระดมความคิดเห็นก่อน โดยมีพื้นที่เป้าหมายพร้อมสร้างองค์ความรู้และสร้างบทบาทให้ชาวบ้านในพื้นที่

แต่จนวันนี้ ทางจังหวัดก็ยังไม่ได้ตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาแต่อย่างใด ซึ่งนายสุกิจ รัตนวิบูลย์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสตูล บอกว่า การจัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าว ต้องรอให้กรมทรัพยากรธรณีประสานมาก่อน ซึ่งทางจังหวัดสตูลเองก็พร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่

ความพยายามของกรมทรัพยากรธรณีในเรื่องนี้ เหมือนต้องการย้ำถึงความสำคัญของพื้นที่จังหวัดสตูลในทางธรณีวิทยา อย่างที่ครูนก บอกว่า จังหวัดสตูล โดยเฉพาะอำเภอละงูมีความสำคัญทางธรณีวิทยามาก โดยฟอสซิลอยู่โดยทั่วไป

“เป็นแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีหินฟอสซิลในมหายุคพาลิโอโซอิก ครบทั้ง 6 ยุค และมีความหลากหลายมากกว่า Geo Park (อุทยานธรณี) ของเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซียเสียอีก”

บรื้นๆ ถนนสายละงู–ทุ่งหว้า ใกล้จะเสร็จแล้ว เขาจูหนุงนุ้ย ก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ข้างถนนสายนี้ เขาลูกนี้คือเป้าหมายหนึ่งที่จะถูกระเบิดเอาไปถมทะเลสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา

 

 

ตารางธรณีกาล

เป็นตารางบ่งบอกยุคทางธรณีวิทยา มีดังนี้


มหายุค (Era)

ยุค (Period)

สมัย (Epoch)

เวลา (ล้านปีก่อน)

พรีแคมเบรียน (precambrian)

 

4,600 - 543
พาลีโอโซอิก (paleozoic)

แคมเบรียน (cambrian)

543 - 510

ออร์โดวิเชียน (ordovician)

510 - 439

ซิลูเรียน (silurian)

439 - 409

ดีโวเนียน (devonian)

409 - 363

คาร์บอนิเฟอรัส (carboniferous)

363 - 290

เพอร์เมียน (permian)

290 - 245
มีโซโซอิก (mesozoic)

ไทรแอสซิก (triassic)

245 - 206

จูแรสซิก (jurassic)

206 - 144

ครีเทเชียส (cretaceous)

144 - 65
ซีโนโซอิก (cenozoic)

เทอเทียรี (tertiary)

เพเลโอซีน (Paleocene)

65 - 57

เอโอซีน (Eocene)

57 - 35

โอลิโกซีน (Oligocene)

35 - 23

ไมโอซีน (Miocene)

23 - 5

พลิโอซีน (Pliocene)

5 - 1.8

ควอเทอนารี่ (quaternary)

ไพลสโตซีน (Pleistocene)

1.8 - 0.01

ปัจจุบัน

0.01 - 0

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/ธรณีกาล

 

การจัดตั้งอุทยานธรณีในประเทศไทย

ในเอกสารประกอบการประชุม “จัดตั้งอุทยานธรณี” เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2553 ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร ของกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้อธิบายถึงโครงการจัดตั้งอุทยานธรณีในประเทศไทย ว่า ประเทศไทยมีแหล่งธรณีวิทยาที่มีคุณค่าทางวิชาการหลายแหล่ง สมควรอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกทางธรณีวิทยา

แหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยา

แหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยา (Geoconservation site) คือแหล่งธรรมชาติที่มีคุณค่าทางวิชาการและมาตรฐานอ้างอิงทางธรณีวิทยาในระดับต่างๆ มีอยู่ 7 ประเภทได้แก่

  • แหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยา
  • แหล่งแร่แบบฉบับ
  • แหล่งพุน้ำร้อน
  • แหล่งซากดึกดำบรรพ์
  • แหล่งธรณีโครงสร้าง
  • แหล่งหินแบบฉบับแหล่งธรณีสัณฐาน
  • แหล่งลำดับชั้นหินแบบฉบับ

แหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยาเหล่านี้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น ภูเขา ผา เสาดิน เสาหิน พุน้ำร้อน ถ้ำ ชั้นหินที่มัลักษณะพิเศษแปลกตา น้ำตก ป่าหิน และลานหิน เป็นแหล่งสำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ภูหินร่องกล้า หรือเป็นแหล่งธรณีระดับจังหวัด เช่น แหล่งไดโนเสาร์

แหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยาหลายแห่งมีคุณค่าทางวิชาการสูง เนื่องจากเป็นแหล่งที่เก็บรักษาหลักฐานประวัติทางธรณีที่สำคัญบนโลก

ปี 2549 กรมทรัพยากรธรณี รวบรวมแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยาที่มีลักษณะโดดเด่นดังกล่าวไว้เบื้องต้น จำนวน 629 แหล่ง และจากการสืบค้นข้อมูลทางธรณีวิทยาในปัจจุบัน พบว่าแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยาที่มีลักษณะโดดเด่นได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 800 แหล่ง ครอบคลุมทุกภาคและทุกลักษณะทางธรณีวิทยา

อุทยานธรณี (Geopark)

แม้ว่าแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยาหลายแหล่ง มีการพัฒนาเพื่อการท่องเที่ยว แต่แทบทุกแหล่งของประเทศไทย ยังไม่มีแผนในการอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาในพื้นที่

“อุทยานธรณี” หรือ“Geopark” จึงได้จัดตั้งขึ้นมาให้เป็น“พื้นที่วิชาการ” ตอบสนองการอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยา ผสานกับการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนท้องถิ่น

“อุทยานธรณี” มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับความสำคัญของแหล่งและการบริหารจัดการ แบ่งออกเป็น อุทยานธรณีระดับภูมิภาคหรือระดับจังหวัด (Provincial-Geopark)

อุทยานธรณีระดับประเทศ(National Geopark) และเครือข่ายอุทยานธรณีของโลก (Global Geopark Network) ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุด

การยกระดับอุทยานธรณี จะต้องมีการพัฒนาและบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านหลักเกณฑ์การประเมินและความเห็นชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละระดับ

เครือข่ายอุทยานธรณีของโลก

เครือข่ายอุทยานธรณีของโลก (Global Geopark Network : GNN) ดำเนินการโดย UNESCO เป็นเครือข่ายสนับสนุนให้เกิดการอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาที่สำคัญของโลก รวมทั้งก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมต่อชุมชนในระดับประเทศ

เป็นเครือข่ายประชาสัมพันธ์แหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยาที่มีความโดดเด่น สวยงามหรือมีความสำคัญทางธรณีประวัติของแต่ละประเทศ ให้กลายเป็น“แหล่งท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ทางธรรมชาติระดับโลก โดยการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น” ที่มีลักษณะเครือข่ายเชื่อมโยงทั่วโลก และสนับสนุนกิจกรรมท่องที่ยวธรรมชาติในระดับโลกไปพร้อมกัน

UNESCO ตั้งเป้าว่าจะต้องมีอุทยานธรณีทั่วโลก 500 แห่ง ปัจจุบันมี 77 แห่ง โดยอยู่ในประเทศจีน 24 แห่ง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2 แห่ง คือที่เกาะลังกาวี รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลซีย และเวียดนาม

การก้าวเดินไปสู่อุทยานธรณีของโลก

กรมทรัพยากรธรณี ได้เริ่มสำรวจ ศึกษา วิเคราะห์ และประเมินแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยา เพื่อกำหนดเป็นอุทยานธรณีในพื้นที่นำร่องอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล และพื้นที่ใกล้เคียง โดยอิงหลักเกณฑ์ของ UNESCO เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาไปสู่การจัดตั้งธรณีวิทยาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และขอขึ้นทะเบียนอุทยานธรณีที่มีศักยภาพเป็นอุทยานธรณีของโลกเป็นแห่งแรกของประเทศไทยต่อไป

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการของกรมทรัพยากรธรณี จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมจัดตั้งอุทยานธรณีของแต่ละท้องที่ พร้อมกันหลายแห่งในแต่ละปี

การประชุม “การจัดตั้งอุทยานธรณี” จึงเป็น“จุดเริ่มต้น”ที่กรมทรัพยากรธรณี จะได้นำเสนอข้อมูลรายละเอียดแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยา ให้ทุกภาคส่วนเข้าใจถึงความสำคัญ และทราบถึงประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับเมื่อมีการจัดตั้งอุทยานธรณีในพื้นที่สำเร็จ โดยหวังให้เกิดความร่วมมือเข้าร่วมเป็น“เครือข่ายร่วมจัดตั้งอุทยานธรณี”

เป้าหมายสุดท้าย

  1. จัดตั้งอุทยานธรณีครอบคลุมทั้งประเทศให้สำเร็จภายในปี 2559
  2. การนำเสนออุทยานธรณีในประเทศไทยที่มีศักยภาพเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานธรณี ของ UNESCO เป็นแห่งแรกของประเทศไทย ภายใน 5 ปี

 

พื้นที่นำร่อง : อุทยานฯตะรุเตาและใกล้เคียง

กรมทรัพยากรธรณี ได้สำรวจแหล่งธรณีวิทยาในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา ณ หมู่เกาะตะรุเตา หมู่เกาะอาดัง-ราวี และเขตอำเภอละงู-ทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ในปีงบประมาณ 2553 เพื่อจัดทำข้อมูลพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยา และศึกษาแนวทางการพัฒนาไปสู่การจัดตั้งอุทยานธรณี

แหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยา

ในพื้นที่นำร่องอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตาและพื้นที่ใกล้เคียง พบแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยากว่า 29 แหล่ง

หลายแหล่งที่มีคุณค่าทางวิชาการในระดับโลก โดยแสดงถึงหลักฐานอ้างอิงทางธรณีวิทยา ได้แก่ ลำดับชั้นหินแบบฉบับของหินที่แก่ที่สุดในประเทศไทย คือประมาณ 500 ล้านปีที่ผ่านมา ที่ยังคงรักษาชั้นซากดึกดำบรรพ์(ฟอสซิล)ไทรโลไบต์สกุลใหม่ของโลก และแบรคิโอพอดไว้เป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังพบแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยา ประเภทแหล่งธรณีสัณฐานที่สวยงาม แปลกตา และหลากหลาย เหมาะแก่ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ และซากดึกดำบรรพ์ที่มีคุณค่าทางวิชาการอีกหลายบริเวณ

พื้นที่นำร่องนี้ยังสามารถจัดทำเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยา และมีแหล่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการเป็นอุทยานธรณีของ UNESCO ในพื้นที่สำรวจอีกด้วย

การบริหารจัดการความรู้ทางธรณีวิทยาโดยท้องถิ่น

พื้นที่นำร่อง มีการบริหารจัดการความรู้และเผยแพร่ ข้อมูล แหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยาอย่างเป็นรูปธรรมโดยชุมชนในท้องที่ ได้แก่ โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู จังหวัดสตูล ที่ได้จัดทำพิพิธพันฑ์ธรรมชาติวิทยา และองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)ทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล กำลังจัดทำพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์สเตโกดอน และซากดึกดำบรรพ์อื่นๆ

การพัฒนาไปสู่อุทยานธรณี

กรมทรัพยากรธรณี ได้เสนอความเป็นไปได้ในการจัดตั้งอุทยานธรณีในพื้นที่นำร่อง โดยจะผลักดันเข้าสู่ที่ประชุม“คณะกรรมการจัดตั้งอุทยานธรณี” เพื่อมีมติเห็นชอบให้เป็นอุทยานธรณีในระดับจังหวัด ภายในปี 2554

หลังจากนั้นจะมีกระบวนการติดตามพัฒนาการของอุทยานธรณี เพื่อเพิ่มระดับของอุทยานธรณี พร้อมผลักดันให้อุทยานธรณีที่จัดตั้งขึ้นแล้ว เข้ามติคณะรัฐมนตรีประกาศเป็น “แหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยาภายใต้แผนแม่บทการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ” ของประเทศ

กระบวนการ “การจัดตั้งอุทยานธรณี”

กรมทรัพยากรธรณี ได้ริเริ่มดำเนินการให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการจัดตั้งอุทยานธรณี เพื่อให้การจัดตั้งอุทยานธรณีในประเทศไทยในอนาคตเป็นไปอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และยั่งยืน โดยนำเสนอรูปแบบการดำเนินงาน 5 ขั้นตอน ดังนี้

  1. เผยแพร่ข้อมูลแก่สาธารณะ เกี่ยวกับอุทยานธรณี เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในรูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ในหัวข้อ ความสำคัญและประโยชน์ของอุทยานธรณี หลักเกณฑ์ในการเข้าร่วมเป็นเครือข่ายอุทยานธรณีของโลก ศักยภาพ และคุณค่าของแหล่งธรณีวิทยาในประเทศไทย ผลการดำเนินงานด้านอนุรักษ์ธรณีวิทยา และแนวทางการดำเนินงานเพื่อเข้าเป็นเครือข่ายอุทยานธรณีโลก
  2. จัดตั้งคณะกรรมการและจัดทำหลักเกณฑ์เพื่อพิจารณาการจัดตั้งอุทยานธรณี โดยเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้มติกำหนดเป็นแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยาของอุทยานธรณีระดับจังหวัดและระดับประเทศ รวมถึงการเสนอขอขึ้นทะเบียนเป็นเครือข่ายอุทยานธรณีโลก
  3. นำเสนอเพื่อให้มีการจัดตั้งอุทยานธรณี หากพื้นที่ใดได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานธรณีระดับจังหวัด จะได้รับงบประมาณสำหรับการพัฒนาและการสนับสนุนข้อมูลธรณีวิทยา และแนวทางการบริหารจัดการเพิ่มเติมจากกรมทรัพยากรธรณี และมีโอกาสในการพัฒนาไปสู่อุทยานธรณีของ UNESCO ต่อไป
  4. ส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาไปสู่อุทยานธรณี กรมทรัพยากรธรณีสนับสนุนชุมชนในพื้นที่ที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาไปสู่อุทยานธรณีในลักษณะเป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำและสนับสนุนข้อมูลวิชาการ มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการพัฒนาปรับปรุงแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยา และการบริหารจัดการในพื้นที่
  5. การติดตามพัฒนาการของอุทยานธรณี และพัฒนาระบบข้อมูลแหล่งธรณีวิทยา โดยสำรวจตรวจสอบและประเมินแหล่งธรณีวิทยาเพิ่มเติมทั่วประเทศ ตามแผนงานระยะสั้นและระยะยาว ในช่วงปีงบประมาณ 2553 – 2557 และปี 2558-2567

ข้อมูลการสำรวจและประเมินที่ได้รับ จะจัดทำข้อมูลฐานแหล่งอนุรักษ์ธรณีวิทยา จัดลำดับความสำคัญ สำหรับการเตรียมข้อเสนอโครงการเพื่อนำเสนอต่อ UNESCO เพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานธรณี

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นิด้าโพลล์เผยผลสำรวจ 36% หนุน Vote No

Posted: 23 Apr 2011 05:57 AM PDT

นิด้าโพลล์เผยผลสำรวจประชาชน 36% เห็นด้วยกับแนวคิดไปใช้สิทธิ์โดยกาช่องไม่ลงคะแนน ส่วนใหญ่คิดว่าทิศทางของชาติบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนความขัดแย้งทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้งไม่ดีขึ้น

23 เม.ย. 54 - เว็บไซต์แนวหน้ารายงานว่า ศูนย์สำรวจความคิดเห็นของประชาชน "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง "การเลือกตั้งสมัยหน้า" ระหว่างวันที่ 19 - 20 เมษายน 2554 จากประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ จำนวน 1,209 หน่วยตัวอย่าง กระจายทุกภูมิภาค ทุกระดับการศึกษาและกลุ่มอาชีพ ผลการสำรวจสรุปได้ดังนี้

1.ความคิดเห็นของประชาชนต่อการสนับสนุนแนวคิด ให้คนไทยไปใช้สิทธิ์โดยกาช่องไม่ลงคะแนน (Vote No)
ความคิดเห็นของประชาชนต่อการสนับสนุนแนวคิด (Vote No) ร้อยละ

-ไม่สนับสนุนให้กาในช่อง Vote No 59.14
-สนับสนุนให้ไปใช้สิทธิ์โดยการกาในช่อง Vote No 36.39
-ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ 4.47

2.ความคิดเห็นของประชาชนต่อทิศทางของชาติบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของประชาชนหลังเลือกตั้ง
ความคิดเห็นของประชาชนต่อทิศทางของชาติบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของประชาชนหลังเลือกตั้ง ร้อยละ

-ดีขึ้น เพราะได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และคาดว่าจะเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้ 41.36
-เหมือนเดิม เพราะนักการเมืองยังคงทะเลาะกัน ดีแต่พูด ยังมีการทุจริตคอร์รัปชั่น 25.56
-แย่ลง เพราะมีการแบ่งพรรค แบ่งฝ่าย ขัดแย้ง ไม่ยอมกัน 7.28
-ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ 25.81

3.ความคิดเห็นของประชาชนต่อทิศทางสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง
ความคิดเห็นของประชาชนต่อทิศทางสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง ร้อยละ

-ดีขึ้น เพราะรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งของประชาชน เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย น่าจะช่วยลดความขัดแย้งได้ 36.97
-เหมือนเดิม เพราะเป็นเรื่องปกติของการเมืองที่จะต้องมีความขัดแย้งกัน 27.30
-แย่ลง เพราะอาจจะเกิดความขัดแย้ง แบ่งพรรคแบ่งฝ่าย ขัดผลประโยชน์กัน มีการชุมนุมประท้วงมากขึ้น 10.67
-ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ 25.06

4.สิ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อการตัดสินใจเลือกลงคะแนนเสียงผู้สมัคร ส.ส.
สิ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดในการตัดสินใจเลือกลงคะแนนเสียงผู้สมัคร ส.ส. ร้อยละ

-นโยบายของพรรค 48.39
-ความชอบส่วนตัวที่มีต่อพรรค หรือตัว ส.ส. 20.10
-ตัว ส.ส.ที่ลงสมัคร 13.65
-ข้อมูลจากสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ป้ายหาเสียง 6.37
-ข้อมูลที่ผู้สมัครหาเสียง/การปราศรัย 5.87
-ข้อมูลจากหลายๆ แหล่งรวมกัน 1.90
-ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ 3.72

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 17 - 23 เม.ย. 2554

Posted: 23 Apr 2011 05:22 AM PDT

ก.แรงงาน เตรียมบังคับใช้ค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงการเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งประกอบด้วย ฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐ ทั้งนี้ หลังจากมีการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างร้อยละ 6.7 ซึ่งอยู่ระหว่าง 8-17 บาท เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่เพียงพอกับการใช้ชีวิตอย่างปกติสุข ทำให้รัฐบาลมีนโยบายที่จะมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำร้อยละ 25 ภายในเวลา 2 ปี ซึ่งหากปรับขึ้นครั้งเดียว ก็จะไม่เป็นธรรมกับนายจ้าง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องมีมาตรการต่างๆ รองรับผู้ที่อาจจะได้รับผลกระทบในภาคธุรกิจ เช่น การลดภาษีเครื่องจักร ภาษีนิติบุคคล การลดต้นทุนด้านพลังงาน

นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัด กำลังรวบรวมข้อมูลความเป็นอยู่ รวมถึงค่าใช้จ่ายในแต่ละวันของผู้ใช้แรงงาน คาดว่าจะทราบผลในต้นเดือนหน้า (พฤษภาคม) ด้านนายสมเกียรติ์ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จะนำเสนอค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป เพื่อประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา ให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป สำหรับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน 3 ระดับ จำนวน 11 สาขาอาชีพ เช่น สาขาช่างสีรถยนต์ ช่างเคาะตัวถังรถยนต์ ช่างซ่อมรถยนต์ ผู้ประกอบอาหารไทย พนักงานนวดไทย เป็นต้น

(สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์, 18-4-2554)

จุรินทร์เล็งปรับบัตรประกันสังคมใบเดียวใช้ได้ทุก รพ.สังกัด สธ.

วันนี้ (18 เม.ย.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ทำหนังสือถึงผม เพื่อขอให้ สธ.ได้ช่วยดูว่าสำหรับระบบประกันสังคม ในส่วนความรับผิดชอบของกระทรวงสาธารณสุขสามารถที่จะปรับระบบในการที่จะทำให้ ผู้ประกันตนสามารถใช้บริการได้สะดวกขึ้น ได้มอบเป็นนโยบายไป เราจะหาลู่ทางเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่ขึ้นทะเบียนใช้บริการกับโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สามารถที่จะใช้บัตรใบเดียวเข้ารับบริการที่หน่วยบริการใดก็ได้ในสังกัด กระทรวงสาธารณสุข ที่ไหนก็ได้ตามความต้องการของผู้ประกันตน ส่วนในรายละเอียดของระบบบริหารจัดการในกระทรวงนั้น ได้มีการเจรจากับสำนักงานประกันสังคมมาแล้วระยะหนึ่ง คาดว่าสัปดาห์หน้าก็จะมีรายละเอียดครบถ้วนทั้งหมดในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข และจะแถลงให้ทราบอีกครั้ง
      
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีระบบประกันสุขภาพทั้งหมด 3 ระบบ ได้แก่ ระบบสวัสดิการข้าราชการ ร้อยละ 6.5 ระบบประกันสังคมร้อยละ 16 และระบบรักษาฟรีร้อยละ 77.5 โดยในร้อยละ 16 ของระบบประกันสังคม มีผู้ประกันตนมาขึ้นทะเบียนใช้บริการในสถานบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ประมาณร้อยละ 40 เพราฉะนั้นถือว่าโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขก็เป็นผู้บริการรายใหญ่ รายหนึ่งของระบบประกันสังคม

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 18-4-2554)

กบร.มีมติขึ้นทะเบียนต่างด้าวครั้งใหม่

เมื่อวันที่ 19 เมษายน ที่กระทรวงแรงงาน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง (กบร.) โดยมี พล.ต.สนั่น ขจรประสาสน์ เป็นประธานการประชุม ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม 22 หน่วยงาน ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการเปิดจดทะเบียนต่างด้าวที่ไม่มีใบ ทร.38/1 รอบใหม่ โดยจะสามารถดำเนินการได้หลังจากที่ พล.ต.สนั่น นำเรื่องเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.)พิจารณาเพื่อให้มีการอนุมัติ จึงจะดำเนินการประชาสัมพันธ์แก่ผู้ประกอบการและลูกจ้างทั่วประเทศ ทั้งนี้การจดทะเบียนดังกล่าว ทางกรมจัดหางานจะจัดให้มีหน่วยงานในการรับจดทะเบียนในแต่ละจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการเป็นหัวหน้าศูนย์ประจำจังหวัด อย่างไรก็ตามระบบการรับจดทะเบียนจะมีการจัดเก็บข้อมูลโดยการทำไบโอดาต้า จัดเก็บลายนิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว และโครงสร้างใบหน้า จากนั้นจึงจะออกใบอนุญาติทำงาน (เวิร์คเพอร์มิต) เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบได้

 นายเฉลิมชัยกล่าวต่อว่า ในส่วนของการจดทะเบียนครั้งนี้ มั่นใจว่าจะมีแรงงานต่างด้าวเข้ามาจดทะเบียนประมาณร้อยละ 90 ซึ่งช่วงเวลาในการลงทะเบียนเปิดครั้งนี้แค่ครั้งเดียว หากผู้ประกอบการไม่นำลูกจ้างมาจดทะเบียนจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ในส่วนแรงงานต่างด้าวที่ประกอบอาชีพประมงจะขยายเวลาให้เป็นพิเศษ ซึ่งใช้วิธีจัดเก็บข้อมูลต่างจากแรงงานปกติ เนื่องจากแรงงานส่วนนี้ทำงานในทะเลเป็นส่วนใหญ่ และอยู่ไม่เป็นที่ โดยจะจัดทำเป็นรูปแบบสมาคม เพื่อแก้ปัญหาการย้ายข้ามเรือที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

 “การจดทะเบียนครั้งนี้มีมาตรการที่ ชัดเจนและเป็นหัวใจคือการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งผู้ประกอบการที่ไม่มาจดทะเบียนหรือละเมิดก็จะถูกดำเนินคดี ซึ่งโทษที่รุนแรงที่สุดคือข้อหาการค้ามนุษย์ ที่สำคัญการเปิดโอกาสให้จดทะเบียนในครั้งนี้ถือเป็นมาตรการจูงใจที่ดีที่สุด เพราะปัจจุบันแรงงานส่วนนี้ก็ทำผิดกฎหมายอยู่แล้วนายเฉลิมชัยกล่าว

(คม ชัด ลึก, 19-4-2554)

ค้านเอาเงิน สปส.จ่าย สปสช.หากโอนผู้ประกันตนไปบัตรทอง

วันนี้ (19 เม.ย.) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.แรงงาน กล่าวถึงมติของบอร์ดสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่มีมติให้ตั้งทีมเจราจากับตัวแทนของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เรื่อง การโยกผู้ประกันตนเข้าระบบ สปสช.ว่า เป็นเรื่องของบอร์ดทั้ง 2 ทีม ที่จะต้องไปเจรจากัน ซึ่งตนก็ให้นโยบายไปแล้วว่า จะต้องทำให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ที่ดีที่สุด แต่ทั้งนี้ ก็ยอมรับความคิดเห็นของผู้ประกันตน
      
ส่วนกรณีที่มีบอร์ด สปสช.ระบุว่า หากจะให้ผู้ประกันตนโยกไปอยู่ในระบบ จะต้องจ่ายเงินให้กับ สปสช.ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทนั้น ซึ่งในเรื่องดังกล่าวเป็นเงินของผู้ประกันตน ส่วนตัวจึงคิดว่าควรที่จะมีสิทธิ์ในการเลือกว่าจะเข้าสู่การรักษาพยาบาลใน ระบบใด แต่เชื่อว่า ไม่ได้มีผู้ประกันตนทั้ง 100% ที่ต้องการโยกไปอยู่ในระบบ สปสช.
      
ด้านนายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า บอร์ด สปส.ได้ตั้งตัวแทน เพื่อไปดำเนินการเจรจากับบอร์ด สปสช.จำนวน 4 คน ประกอบด้วย ตัวแทนจาก สปส.ตัวแทนฝ่ายนายจ้าง ตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง ตัวแทนภาครัฐ ซึ่งการพูดคุยคงต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร เนื่องจากตอนนี้ยังมีรายละเอียดที่ไม่ชัดเจนว่ามีเหตุผลว่าทำไมต้องย้ายไป อยู่ในระบบ สปสช.และต้องทำอย่างไรให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิและบริการเหมือนที่เป็นอยู่
      
ส่วนกรณีที่มีการออกมาระบุว่าหากมีการโอนย้ายผู้ประกันตนมาอยู่กับ สปสช.โดย สปส.ต้องจ่ายเงินไปให้ สปสช.ราว 20,000 ล้านบาทนั้น ถามว่า มีเหตุผลอะไรที่จะต้องจ่ายเงินในส่วนนี้ เพราะหากเป็นเช่นนั้น สปส.สามารถจัดการเองได้ ไม่ต้องให้เขาจัดการแทน
      
อย่ามาฉวยโอกาสเอาเงินส่วนนี้ไป เพราะเป็นเงินของผู้ประกันตน ก่อนหน้านี้ มีการพูดถึงอีกประเด็นหนึ่ง แต่พอมาถึงตอนนี้กลับมาพูดคนละประเด็นปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าว
      
ขณะที่น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ชมรมผู้พิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน กล่าวว่า หาก สปส.จะต้องเอาเงินในส่วนของการรักษาสุขภาพ มาจ่ายให้กับทาง สปสช.อีก ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง เพราะทาง สปสช.น่าจะรู้ดีและเข้าใจถึงการรักษาที่รัฐต้องเข้ามาจัดการให้มากกว่านี้ จึงขอเรียกร้องให้ทบทวนเรื่องนี้ เพราะทาง สปสช.จะมองตามมาตรา 10 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างเดียวไม่ได้ แต่ สปสช.ต้องคำนึงถึงการเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องจัด ให้ โดยไม่ได้กำหนดให้ประชาชนต้องร่วมจ่าย

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 19-4-2554)

เผยไทยขาดแคลนแรงงานหนักใน 10 ปี

นายกำพล อดิเรกสมบัติ เศรษฐกรอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า ลักษณะตลาดแรงงานไทยซึ่งมีความสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจ ไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยจากการศึกษาและวิเคราะห์พบว่าตลาดแรงงานมีลักษณะเด่น 5 ลักษณะซึ่งเป็นความท้าทายและโอกาสสำหรับภาคธุรกิจและภาครัฐในการพัฒนา เศรษฐกิจให้เติบโตต่อไป

ลักษณะเด่นแรก คือ จำนวนประชากรวัยทำงานไทยจะเติบโตด้วยอัตราที่ลดลงจาก 1% ต่อปี ระหว่างปี 2000-2010 เหลือเพียง 0.2% ต่อปี ในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งต่ำกว่าอัตราการเติบโตของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฟิลิปปินส์ (2.1%) มาเลเซีย (1.6%) และเวียดนาม (0.9%) โดยอัตราการเติบโตของประชากรวัยทำงานที่ลดลงนี้จะทำให้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน รุนแรงขึ้นนาย กำพล กล่าว

ลักษณะที่สองคือจำนวนแรงงานนอกระบบ ของไทยอยู่ในระดับที่สูง จากแรงงาน 38 ล้านคน มีเพียง 17 ล้านคนที่เป็นลูกจ้าง และในจำนวนนี้มีเพียง 9 ล้านคนที่เป็นแรงงานในระบบ คือได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน โดยส่วนที่เหลือ 8 ล้านคนได้รับค่าจ้างในลักษณะอื่นๆ ที่แตกต่างกันไป เช่น ค่าจ้างรายวัน รายชั่วโมง และค่าจ้างต่อชิ้นงาน สัดส่วนของแรงงานในระบบที่ต่ำนี้บ่งชี้ว่าบริษัทต่างๆ มีแนวโน้มที่จะไม่ลงทุนในการฝึกอบรมและจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อพัฒนาผลิตภาพแรงงาน ส่งผลให้เกิดลักษณะเด่นที่สามและสี่ ได้แก่ ผลิตภาพแรงงานไทยที่เติบโตช้า และ ผลตอบแทนแรงงานที่ลดต่ำลงในทุกระดับการศึกษา

ทั้งนี้ในระหว่างปี 2000-2007 ผลิตภาพแรงงานไทยเพิ่มขึ้นเพียง 3.0% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น จีน (9.2%) เวียดนาม (5.3%) และอินเดีย (5.1%) นอกจากนั้นผลตอบแทนแรงงานยังลดลงทุกระดับการศึกษา เช่น เมื่อปี 2001  กลุ่มแรงงานที่มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยได้รับค่าจ้างมากกว่ากลุ่มแรงงาน ที่ไม่ได้รับการศึกษา ประมาณ  2.0 เท่า แต่ในปี 2010 ส่วนต่างของค่าจ้างที่มากกว่านี้กลับลดลงเหลือเพียง 1.9 เท่า

สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ผู้ จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังขาดคุณภาพซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน ทั้งนี้จากข้อมูลพบว่าสัดส่วนของผู้จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยอายุ 20-25 ปีที่ได้รับการจ้างงานในตำแหน่งผู้ประกอบวิชาชีพเฉพาะทางได้ลดลงจาก 40% ในปี 2001 เป็นเพียง 28% ในปี 2009 ในขณะเดียวกัน จำนวนผู้ที่ทำงานในตำแหน่งเสมียนหรือพนักงานบริการกลับมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ลักษณะเด่นที่ห้าของตลาดแรงงานไทยสามารถช่วยบรรเทาปัญหาในตลาดแรงงานได้ ซึ่งก็คือการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน (labor force participation) ของผู้หญิงไทยที่มีค่อนข้างสูง โดยผู้หญิงไทยมีแนวโน้มที่จะทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้อัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานของผู้หญิงไทยสูงถึงเกือบ 70% ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ (54%) เกาหลี (50%) และมาเลเซีย (44%)  นอกจากนั้นผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทในการเป็นผู้นำมากขึ้นด้วย ดังเห็นได้จากสัดส่วนของผู้บริหารระดับสูงที่เป็นผู้หญิงของไทยนั้นอยู่ใน ระดับที่สูงถึง 45% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในโลก

(โพสต์ทูเดย์, 20-4-2554)

จับหัวโจกแก๊งตุ๋นแรงงานหนีประกันศาลทำผิดซ้ำ

เจ้าหน้าที่จับกุม นายเมธิชัย ธรรมคุตต์ หรือ อภิชัย ขันเพชร อายุ 59 ปี และนายถิรายุ อัฑฒ์ หรือ ยุ อัฑฒ์ อายุ 36 ปี พร้อมของกลาง หนังสือเดินทางแรงงานไทย 19 เล่ม คำร้องขอเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา 17 ฉบับ เอกสารการสมัครงานไปทำงานต่างประเทศ ได้ที่ หจก.ฟาร์มแซงค์ทัวรี่ ตึกแถว 2 ชั้น เลขที่ 51/029 หมู่บ้านเมืองเอก โครงการ 1 หมู่ 7 ต.หลักหก อ.เมือง จ.ปทุมธานี สืบเนื่องรับการประสานจากกระทรวงแรงงานว่ามีกลุ่มแรงงานไทยซึ่งส่วนใหญ่เคย ไปทำงานต่างประเทศมาแล้ว จำนวน 22 คน ถูกบริษัทจัดหางานเถื่อนในชื่อ หจก.อิงซิน ออล โดยมีนายเมธิชัย หรืออภิชัย เป็นตัวการใหญ่ ส่วนนายถิรายุ ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทั่วไป หลอกว่ามีงานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ที่ประเทศญี่ปุ่น ค่าใช้จ่ายคนละ 3.5 แสนบาท มัดจำ 3 หมื่นบาท ส่วนที่เหลือให้โอนเข้าบัญชีธนาคารก่อนวันเดินทาง แต่เมื่อโอนเงินให้แล้วนายเมธิชัยก็ปิดบริษัทและปิดมือถือหนีไป

ต่อมาชุดสืบสวนได้ทำการสืบสวนพบว่า นายเมธิชัย และนายถิรายุ ได้มาเปิดบริษัทจัดหางานเถื่อนในลักษณะเดียวกันนี้อีก แต่เปลี่ยนชื่อเป็น หจก.ฟาร์มแซงค์ทัวรี่ อ้างจัดหาแรงงานไปสหรัฐอเมริกา มีเหยื่อหลงเชื่อ กว่า 20 ราย วางมัดจำล่วงหน้า 7 หมื่นบาท ตำรวจจึงซ้อนแผนบุกเข้าตรวจค้นและจับกุมตัวทั้งสองมาได้ สอบสวนทราบว่ามีแรงงานไทยที่ได้รับความเสียหายในครั้งนี้ประมาณ 40 ราย โดยกลุ่มผู้เสียหายชุดแรก จำนวน 22 คนที่ถูกหลอกไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นได้จ่ายเงินให้ไปรายละ 3.5 แสนบาท รวมมูลค่าความเสียหาย 7.7 ล้านบาท แต่กลุ่มผู้เสียหายชุดหลัง ประมาณ 16-20 คนซึ่งถูกหลอกไปทำงานที่สหรัฐอเมริกานั้นได้จ่ายเงินมัดจำไปแล้วคนละ 7 หมื่นบาท สาเหตุที่หลงเชื่อเพราะต้องการงาน ประกอบกับผู้ต้องหาอ้างว่ารู้จักผู้ใหญ่ระดับสูงซึ่งมีวิธีทำให้สามารถเดิน ทางเข้าประเทศนั้นๆได้หรือที่ผู้ต้องหาใช้คำว่า วีซ่านักเลง

ตรวจสอบประวัติพบว่า นายเมธิชัย มีหมายจับตาม พ.ร.บ.แรงงานฯ และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน จำนวน 3 หมายของศาลอาญา ศาลแขวงพระนครเหนือ และศาลแขวงนนทบุรี ครั้งสุดท้ายถูกตำรวจ บก.ปคม.หน่วยงานเดียวกันนี้จับกุมตัวได้เมื่อปี 2552 แต่หลังจากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวและหนีประกันชั้นศาลก็มากระทำผิดซ้ำ

(เนชั่นทันข่าว, 20-4-2554)

ขบวนการแรงงานแนะรัฐ วางโครงสร้างค่าจ้าง-ออก กม.ปรับเงินเดือนทุกปี

วันนี้ (20 เม.ย.) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และมูลนิธิฟรีดริก เอแบร็ท จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องข้อเสนอแนะในการกำหนดนโยบายค่าจ้างที่เป็นธรรมที่ โรงแรมอิสติน มักกะสัน โดยนายชาลี ลอยสูง ประธาน คสรท.กล่าวว่า ปัจจุบันแรงงานในกรุงเทพฯ มีค่าจ้างเพียง 215 บาท ซึ่งไม่พอต่อค่าครองชีพ และไม่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้  เพราะราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อถีบตัวสูงขึ้นมาก ลูกจ้างหลายส่วนเดือดร้อน ต้องทำงานนอกเวลาวันละ 2-3 ชั่วโมง ทำให้มีปัญหาสุขภาพและความปลอดภัยตามมา ทั้งนี้ คสรท.เคยทำการสำรวจค่าจ้างขั้นต่ำควรจะอยู่ที่ 421 บาท จึงจะพอต่อค่าครองชีพของลูกจ้างและสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ 2 คน
      
นายชาลี กล่าวต่อว่า รัฐบาลต้องทำโครงสร้างอัตราค่าจ้าง เพื่อให้มีค่าจ้างที่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง โดยอาจทำเป็นพระราชบัญญัติกำหนดให้มีกฎหมายปรับขึ้นเงินเดือนของแรงงานใน ทุกๆ ปี เพราะปัจจุบันยังมีแรงงานหลายส่วนที่ไม่เคยได้รับการขึ้นค่าจ้างประจำปี ได้แต่รอการขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ในส่วนของค่าจ้างขึ้นต่ำควรเปลี่ยนเป็นค่าจ้างแรกเข้าแทน เพราะจะทำให้ลูกจ้างมีความเป็นอยู่ที่ดี
      
แนวโน้มของรัฐบาลที่จะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่รัฐบาลต้องทำอย่างรวดเร็ว เพราะการออกมาประกาศแต่ละครั้ง ทำให้พ่อค้าในตลาดถือโอกาสขึ้นราคาสินค้า ทำให้ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น และไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลได้ประกาศขึ้นค่าจ้างให้กับพนักงานรัฐวิสาหกิจ ข้าราชการแล้ว แต่ยังไม่ประกาศขึ้นค่าจ้างให้กับลูกจ้างเอกชนเสียทีนายชาลี กล่าว
      
นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กล่าวว่า คณะรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีไม่เข้าใจการกำหนดอัตราค่าจ้าง ทำให้การประกาศแต่ละครั้งไม่แน่นอนในเรื่องตัวเลข และการขึ้นอัตราค่างจ้างขั้นต่ำร้อยละ 25 ภายใน 2 ปีนั้น เชื่อว่า ทำไม่ได้ เพราะตัวเลขที่ประกาศออกมาแต่ละครั้ง ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคม
      
ขณะเดียวกัน ขบวนการแรงงานเองต้องชัดเจนในเรื่องการขึ้นค่าจ้างมากกว่านี้ ตัวเลข 421 บาท ที่ทำการสำรวจกันไว้ ยังไม่เคยมีการยืนยันที่แน่นอน ค่าจ้างจึงขึ้นไปไม่ถึงซักที ทั้งนี้แนวโน้มของการขึ้นอัตราค่าข้างขั้นต่ำคาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกนานใน การพัฒนาให้ขึ้นไปถึงตัวเลขที่ตั้งเป้าไว้ ซึ่งขบวนการแรงงานต้องดำเนินการต่อไปเพื่อให้ลูกจ้างได้ค่าจ้างที่เป็นธรรม
      
หากไม่มีหน่วยงานใดจะเข้ามารับผิดชอบเรื่องโครงสร้างอัตราค่าจ้าง ขบวนการแรงงานต้องทำเองคิดเอง และผลักดันโครงสร้างดังกล่าว เพราะถ้าเราไม่ทำก็คงไม่มีหน่วยงานใดมาทำให้ และคงต้องรอไปอย่างนี้ ทั้งนี้ ควรรีบออกแบบโครงสร้างและกำหนดให้แน่นอนว่าต้องการค่าจ้างขั้นต่ำเท่าไร จากนั้นจึงใช้เป็นฐานในการพัฒนาโครงสร้างต่อไปนายสาวิทย์ กล่าว
      
นายอุดมศักดิ์ บุพนิมิตร ประธานสภาองค์การลูกจ้างองค์การแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่าเราต้องพยายามผลักดันให้มีโครงสร้างอัตราค่าจ้างที่เป็นธรรม โดยมีอยู่ 2 ช่องทางที่สามารถทำได้ คือ จัดทำเป็น พ.ร.บ.โครงสร้างค่าจ้างแห่งชาติ หรือแทรกในส่วนของมาตรฐานแรงงานไทย (มรท.) เพื่อให้มีโครงสร้างอัตราค่าจ้างที่ตายตัว เป็นหลักประกันค่าจ้างให้กับแรงงานที่จะเข้ามาทำงานในอนาคต
      
นายยงยุทธ เม่นตะเภา ประธานสหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ มักจะมาจากภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้เกิดความแน่นอนในค่าครองชีพของแรงงาน เพราะบางทีก็ไม่ได้รับการขึ้นค่าจ้าง  ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละสหภาพในการต่อรองขึ้นค่าจ้างกับนายจ้าง ในส่วนของลูกจ้างอุตสาหกรรมรถยนต์ไม่มีเงินเดือนที่สูง เพียงแต่ใช้ระบบจ้างเหมาค่าแรงเป็นส่วนใหญ่ มีค่าเฉลี่ยเงินเดือนประมาณ 12,000 บาท ที่คนอื่นเห็นว่าแรงงานอุตสาหกรรมรถยนต์มีรายได้สูงนั้น สาเหตุเพราะทำงานนอกเวลากันเยอะ และทำให้แรงงานส่วนใหญ่ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เป็นปัญหาสังคมตามมา ทั้งนี้ หากแนวโน้มการทำงานนอกเวลาของแรงงานยังมากเหมือนปัจจุบัน

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 20-4-2554)

สหรัฐฟ้องร้องบริษัท 2 แห่งใช้แรงงานชาวไทยและอินเดียเยี่ยงทาส

คณะกรรมาธิการเพื่อโอกาสที่เสมอภาค การใช้แรงงานในสหรัฐเปิดเผยว่า นี่คือกรณีการค้ามนุษย์ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในภาคเกษตรกรรม โดยบริษัท โกลบอล ฮอไรซัน ได้นำแรงงานเพศชายชาวไทยประมาณ 200 คนเข้ามาทำงานในสหรัฐ โดยให้สัญญาว่าจะได้รับเงินค่าจ้างสูง คนงานไทยเหล่านี้ถูกส่งมายังสหรัฐตั้งแต่ปี 2546-2550 ให้มาทำงานในฟาร์มหลายแห่งที่รัฐฮาวายและรัฐวอชิงตัน พวกเขาต้องใช้ชีวิตที่แออัดกระจุกอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยหนูและแมลง นอกจากนี้ ยังถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ

แรงงานชายเหล่านี้ต้องจ่ายค่า ธรรมเนียมจำนวนมากเพื่อเข้าสหรัฐ พวกเขาถูกยึดหนังสือเดินทางและถูกแยกต่างหากจากแรงงานอื่นที่ไม่ใช่คนไทย ซึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า

นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐได้ฟ้องร้องบริษัทที่ดำเนินกิจการฟาร์ม 8 แห่ง ซึ่งมีแรงงานชาวไทยทำงานอยู่ โดยระบุว่านอกจากบริษัทเหล่านี้ไม่ใส่ใจการเอาเปรียบแรงงาน ยังมีส่วนร่วมในการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ข่มขู่ และจ่ายค่าจ้างไม่เป็นธรรมแก่แรงงานไทยด้วย

สำหรับรายชื่อ 8 บริษัทที่ถูกฟ้องดำเนินคดี ประกอบด้วย Captain Cook Coffee Co., Del Monte Fresh Produce, Kauai Coffee Co., Kelena Farms, MacFarms of Hawaii, Maui Pineapple Farms, Green Acre Farms and Valley Fruit Orchards.

รัฐบาลกลางสหรัฐยังได้ฟ้องร้องบริษัท ซิกแนล อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้ให้บริการขนส่งทางทะเลในรัฐแอละแบมาด้วยข้อหาใช้แรงงานชาวอินเดีย 500 คนเยี่ยงทาส

(สำนักข่าวไทย, 21-4-2554)

ปธ.จัดงานวันแรงงาน เตรียม 9 ข้อ ร้องรัฐบาล เน้นปฏิรูป สปส.

วันนี้ (22 เม.ย.) ที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน มีการประชุมคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2554  โดยนายชินโชติ  แสงสังข์  ประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานแห่งประเทศไทย  ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ เป็นประธานในการประชุม โดยมีข้อเรียกร้องไปยังรัฐบาล ถึงคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของแรงงานที่ยังไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องของค่าจ้าง สวัสดิการ และความมั่นคงในการทำงานที่ยังไม่เป็นธรรม ในวันที่ 1 พ.ค.นี้ ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า และบริเวณท้องสนามหลวง
      
นายชินโชติ เผยว่า ประเทศไทยได้แปรสภาพจากประเทศเกษตรกรรม มาเป็นอุตสาหกรรม พึ่งพาการผลิตและการส่งออก โดยอาศัยหยาดเหงื่อของพวกเรา แตกต่างจากสถาบัน หรือองค์กรเอกชนทั้งหลาย ที่เขามีอำนาจในการต่อรองกับภาครัฐสูง จึงนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่ไม่สมดุลระหว่างกำไรกับต้นทุนแรงงาน ในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติปีนี้ ผมถือโอกาสเรียกร้องมายังรัฐบาลให้คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของแรงงานทั้งประเทศ โดยยึดหลักความเสมอภาค และเป็นธรรม ทั้งผู้ผลิตและผู้ประกอบการ
      
โดยข้อเรียกร้องในวันแรงงานแห่งชาติปีนี้ มีทั้งหมด 9 ข้อ ดังนี้ 1.ให้รัฐบาลรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และ 98 2.ให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงให้กับลูกจ้าง ในกรณีที่สถานประกอบการปิดกิจการ เลิกจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงในการทำงาน 3.ให้รัฐบาลปรับค่าจ้างที่เป็นธรรมกับลูกจ้าง พร้อมกำหนดให้มีโครงสร้างค่าจ้าง และรายได้แห่งชาติทุกสาขาอาชีพ 3.1 ให้รัฐบาลควบคุมราคาสินค้า เข้มงวด และเอาผิดกับผู้ทำผิดกฎหมาย
      
4.ให้รัฐบาลปฏิรูประบบประกันสังคม 4.1 ให้รัฐบาลแก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม 2533 ม.39 กรณีการจ่ายเงินสมทบของผู้ประกันตน ควรจ่ายเพียงเท่าเดียว 4.2 ให้รัฐบาลนิรโทษกรรมให้กับผู้ประกันตน ม.39 กลับมาเป็นผู้ประกันตนได้ 4.3 ให้รัฐบาลร่วมจ่ายเงินสมทบให้กับผู้ประกันตน ม.40 ในอัตรา 50% ทุกกรณี 4.4 ให้รัฐบาลแก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม 2533 โดยขยายสิทธิให้ผู้ประกันตนสามารถรักษาพยาบาลได้ทุกโรงพยาบาล ในเครือประกันสังคม 4.5ให้รัฐบาลแก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม 2533 ม.33 โดยให้ขยายสิทธิผู้รับงานไปทำที่บ้าน เข้าเป็นผู้ประกันตน ม.33 ได้ โดยให้ถือว่าผู้ว่าจ้างเป็นนายจ้าง 4.6 ให้รัฐบาลยกระดับสำนักงานประกันสังคม เป็นองค์กรอิสระ
      
5.ให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ 2542 และยกเลิกการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจทุกกิจการ 6.ให้รัฐบาลยกเว้นการเก็บภาษีเงินได้ของลูกจ้าง ในกรณีเงินค่าชดเชยและเงินรายได้อื่นๆ ซึ่งเป็นเงินงวดสุดท้าย 7.ให้รัฐบาลแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2541 ม.118 ให้กับลูกจ้าง จากเดิม 10 ปีขึ้นไป เพิ่มอีกปีละ 30 วัน 8.ให้รัฐบาลจัดให้มีศูนย์เลี้ยงเด็กและศูนย์เก็บน้ำนมแม่ 9.ให้รัฐบาลรวมกฎหมายแรงงานทุกประเภทเป็นประมวลกฎหมายแรงงานฉบับเดียว และบังคับใช้ทั้งภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ
      
ทั้งนี้ อีก 2 องค์กร คือ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ไม่ได้เข้าร่วมในงานเดียวกัน โดยจะจัดโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งขบวนการแรงงานเพื่อคุ้มครองสุขภาพและ สวัสดิการแรงงาน (สสร.)”  โดย  รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ  คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กำหนดการจัดงานร่วมกับชมรมผู้ประกันตน เป็นงานเคาตน์ดาวน์ต้อนรับวันกรรมกร ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ปทุมธานี ในวันที่ 30 เมษายน 2554 นี้ ภายในงานจะมีกิจกรรมดีๆ ให้ความรู้สร้างจิตสำนึกความเป็นกรรมกร และมีสินค้าจากเครือข่ายเศรษฐกิจมาจำหน่าย

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 22-4-2554)

สรส.ยกพลบุก ปชป.เรียกร้องขึ้นเงินเดือนลูกจ้างรัฐวิสาหกิจทุกตำแหน่ง

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 เมษายน ผู้ชุมนุมจากสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) นำโดยนายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการ สรส. ประมาณ 300 คน เดินทางมาชุมนุมที่หน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เพื่อยื่นหนังสือต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผ่านนายธราดล เปี่ยมพงษ์สานต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ขอให้เร่งรัดพิจารณาปรับเงินเดือนขึ้นให้แก่ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจในอัตราร้อย ละ 5 ทุกตำแหน่ง เช่นเดียวกับข้าราชการอื่น เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 28 มีนาคม ที่ออกมามีการกำหนดว่าลูกจ้างที่จะได้รับปรับต้องมีเงินเดือนไม่เกิน 50,000 บาท หรือเมื่อปรับแล้วต้องมีเงินเดือนไม่เกิน 50,000 บาท ไม่เป็นไปตามมติของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ (ครส.) ที่ให้ขึ้นเงินเดือนร้อยละ 5 เป็นเหตุให้ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจรู้สึกผิดหวัง ขาดขวัญกำลังใจ เกิดความแตกแยกในองค์กร และมีผลกระทบต่อโครงสร้างเงินเดือน

(มติชนออนไลน์, 22-4-2554)

ปลัด ก.อุตสาหกรรม เผย เหตุภัยพิบัติที่ญี่ปุ่นส่งผลกระทบต่อการผลิตของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นในไทย

นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังประชุมประเมินสถานการณ์ผลกระทบจากเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ญี่ปุ่น ที่มีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยและจักรยานยนต์ ร่วมกับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น อาทิ โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน อีซูซุ ว่า จากการหารือดังกล่าวได้ข้อสรุปว่า ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน จนถึงเดือนมิถุนายนนี้ บริษัทรถยนต์ทุกยี่ห้อ จะลดกำลังการผลิตลงเฉลี่ยร้อยละ 50 ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละค่ายว่าค่ายใดใช้ชิ้นส่วนในประเทศ หรือ Local Content จำนวนมากน้อยเพียงใด โดยการลดกำลังการผลิตลงจะทำให้มีรถยนต์หายไป 1.5 แสนคันในช่วงกลางเดือนเมษายน-ต้นเดือนมิถุนายน สร้างความเสียหายรวมกว่า 7.5 หมื่นล้านบาท และยังทำให้การส่งมอบรถยนต์บางรุ่นล่าช้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งอาจจำเป็นต้องคืนเงินค่าจองรถยนต์ให้ลูกค้าบางส่วน สำหรับการผลิตรถยนต์ในช่วงลดกำลังการผลิตนี้ ค่ายรถยนต์ต่างๆ จะใช้ชิ้นส่วนสำรอง หรือ Safty Stock ขณะที่สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม หรือ สมอ. จะพิจารณาช่วยเหลือ ผ่อนคลายกฎระเบียบในการตรวจสอบมาตรฐานชิ้นส่วนมาตรฐานบังคับกรณีโรงงานใน ญี่ปุ่นที่ป้อนชิ้นส่วนให้ ที่ได้รับความเสียหายจนจำเป็นต้องเปลี่ยนผู้ผลิตรายใหม่ นอกจากนี้ แต่ละค่ายรถยนต์ต่างยืนยันว่า จะไม่มีการปลดคนงาน แต่จะใช้ช่วงเวลานี้พัฒนาฝีมือแรงงานให้ดีขึ้น พร้อมกันนี้ ยังรับปากจะนำแรงงานของผู้ผลิตชิ้นส่วนรายย่อยมาพัฒนาทักษะการทำงานให้ด้วย ส่วนการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก ยืนยันไม่ได้รับผลกระทบ เพราะใช้ชิ้นส่วนในประเทศเป็นหลัก

นายวิฑูรย์ กล่าวด้วยว่า ส่วนผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายย่อยนั้น จะมีความชัดเจนในวันพฤหัสบดีหน้า (28 เม.ย.54) ว่า จะได้รับผลกระทบกี่ราย โดยผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงินและกระทบต่อการชำระสินเชื่อ ซึ่งเรื่องนี้จะขอความช่วยเหลือจากธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ต่อไป

(สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์, 22-4-2554)

"พิษสึนามิ" อุตฯรถยนต์ลดผลิต 50% สูญ 7.5 หมื่นล้าน-ลูกจ้างชิ้นส่วน 4.25 แสนคนเคว้ง

นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับค่ายรถยนต์ประมาณ 15 บริษัท ถึงผลกระทบจากการส่งชิ้นส่วนรถยนต์จากญี่ปุ่นมาไทยหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว และสึนามิ ว่าขณะนี้การส่งชิ้นส่วนมาไทยยังอยู่ในระดับที่น้อยมาก ดังนั้น ค่ายรถยนต์ต้องลดกำลังการผลิตลงตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.-สิ้นเดือนมิ.ย. เฉลี่ยแล้วประมาณ 50% คาดว่าจะส่งผลให้กำลังการผลิตในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.หายไปประมาณ 1.5 แสนคัน จากเป้าหมายการผลิตใน 3 เดือนที่ 4.4 แสนคัน คาดว่าหลังจากเดือนมิ.ย.ที่การจัดส่งชิ้นส่วนกลับมาเป็นปกติ จะเร่งผลิตชดเชยส่วนที่หายไปได้

นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า คงต้องติดตามดูว่าหลังจากเดือนมิ.ย. สถานการณ์ชิ้นส่วนรถยนต์กลับมาสู่ภาวะปกติหรือไม่ โดยสถานการณ์ในขณะนี้เลวร้ายกว่าช่วงก่อนสงกรานต์เพราะช่วงนั้นยังมี สต๊อกชิ้นส่วนเหลืออยู่ แต่ขณะนี้สต๊อกไม่มีแล้ว ขณะนี้บริษัทแม่ในญี่ปุ่นกำลังหาแหล่งผลิตชิ้นส่วนมาทดแทนชิ้นส่วนจาก ญี่ปุ่นที่หายไป คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนสถานการณ์ชิ้นส่วนจะกลับมาดีขึ้น

"การผลิตชิ้นส่วนของญี่ปุ่นลดลงไป 50% บริษัทแม่จึงมีนโยบายให้โรงงานรถยนต์ทั่วโลกลดกำลังการผลิตลง คาดว่ากำลังการผลิตของไทยที่ลดลง 1.5 แสนคัน คิดง่ายๆ ว่ารถคันละ 5 แสนบาท ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีมูลค่าถึง 7.5 หมื่นล้านบาท อาจส่งผลให้การส่งมอบรถยนต์ล่าช้าออกไปอีกจากขณะนี้บางรุ่นต้องรอรถยนต์นาน 2-4 เดือน ผู้ที่จะซื้อรถแนะนำให้รีบซื้อในขณะนี้ เพราะถ้ารถยนต์ผลิตได้น้อยลง การแข่งขันด้านโปรโมชั่นจะน้อยลง" นายวัลลภกล่าว

ทั้งนี้ มีความเป็นห่วงว่าจะกระทบต่อลูกจ้างรายวันที่อยู่ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถ ยนต์ของไทย ซึ่งแรงงานในอุตสาหกรรมมีทั้งหมด 5.25 แสนคน แบ่งเป็นของโรงงานประกอบรถยนต์ 1 แสนคน ในส่วนนี้บริษัทรถยนต์รับปากที่จะดูแลและรักษาแรงงานตรงนี้ไว้เพราะเห็นว่า เป็นวิกฤตระยะสั้น หากกำลังการผลิตกลับคืนมาจะหาแรงงานลำบาก แต่แรงงานในภาคชิ้นส่วน 4.25 แสนคนนั้นคงต้องมาพูดคุยกับผู้ประกอบการชิ้นส่วนว่าจะช่วยเหลืออย่างไร โดยเฉพาะแรงงานที่รับค่าจ้างเป็นรายวัน ซึ่งในช่วงสัปดาห์หน้าทางกระทรวงจะนัดผู้ประกอบการชิ้นส่วนรถยนต์มาหารือกัน อีกครั้ง

ด้านนายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงและสึนามิในญี่ปุ่น ส่งผลให้บริษัทต้องปรับลดปริมาณการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณชิ้นส่วน ที่มีจำนวนจำกัด ตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย.-4 มิ.ย.54 โดยงดผลิตรถยนต์ในวันจันทร์และวันศุกร์ ส่วนการผลิตระหว่างวันอังคาร-วันพฤหัสบดีจะเป็นการผลิตในสัดส่วน 50% ของปริมาณการผลิตปกติต่อวัน

(ข่าวสด, 23-4-2554)

LCC เสนอปฎิรูป กม.แรงงานและกระบวนการยุติธรรม คนงาน

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2554 ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการวิกฤติแรงงาน (LCC.) ได้จัดประชุมทางวิชาการ เรื่อง การขับเคลื่อนประเด็นกระบวนการยุติธรรมด้านแรงงาน เกี่ยวเนื่องกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ณ ห้องประชุมชั้น ศูนย์ช่วยเหลือฯ ซอยวัดบัวขวัญ จ.นนทบุรี สนับสนุนโดยมูลนิธิเอเชีย ซึ่งมีนักวิชาการ ทนายความ อาสาสมัครรับเรื่องร้องทุกข์จากศูนย์พื้นที่ต่างๆ ผู้นำแรงงาน กว่า  25 คน เข้าร่วมประชุม ซึ่งมีการอภิปรายสภาพปัญหาและอุปสรรค์ของการใช้สิทธิของลูกจ้างในกระบวนการ ยุติธรรม ตั้งแต่ชั้นพนักงานตรวจแรงงาน พนักงานแรงงานสัมพันธ์ การใช้สิทธิและวินิจฉัยของประกันสังคม,เงินทดแทน และการใช้สิทธิศาลแรงงาน
 
นายชฤทธิ์ มีสิทธิ์ ผู้จัดการโครงการฯและทนายความ กล่าวว่า ปัจจุบันการเข้าถึงสิทธิของคนงานค่อนข้างยากเนื่องจากกระบวนการที่ซับซ้อน ทางกฎหมาย และที่สำคัญคนงานเองไม่ค่อยรู้สิทธิหรือช่องทางการใช้สิทธิ ขบวนการยุติธรรม ยังมีปัญหา เช่น พนักงานตรวจแรงงานไม่ดำเนินการตามหน้าที่ พนักงานไกล่เกลี่ยของศาลไม่ชำนาญด้านปัญหาแรงงาน และศาลแรงงานเองก็ไม่ดำเนินขบวนการพิจารณาคดีอย่างก้าวหน้า เนื่องจากคดีแรงงานไม่ใช่คดีทางแพ่งปกติ แต่เป็นคดีที่เกี่ยวข้องไม่เฉพาะกับตัวลูกจ้างเท่านั้นแต่กระทบไปถึงครอบ ครัวหากต้องถูกเลิกจ้าง
 
นางสาวจุริสุมัย ณ หนองคาย ผู้ประสานงานฝ่ายสิทธิฯและทนายความประจำศูนย์ช่วยเหลือฯ กล่าวว่า สภาพปัญหากระบวนการยุติธรรมที่พบจากคดีที่ศูนย์ฯให้ความช่วยเหลือฯ พบว่า กรณีนายจ้างใช้เงื่อนไขการดำเนินคดีอาญาเอากับลูกจ้าง เพื่อต่อรองในคดีแรงงาน หรือการขับเคลื่อนของผู้นำแรงงาน เช่น ข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง หน่วงเหนี่ยวกักขัง ซึ่งต้องมีการประกันตัวแต่ลูกจ้างไม่มีหลักทรัพย์ประกันตัว และในการต่อสู้คดีต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก หรือ กรณีนายจ้างอ้างเหตุขาดทุนโดยเลิกจ้างไม่จ่ายตามกฎหมายและไม่มีทรัพย์พอที่ ยึดเพื่อมาจ่ายให้แก่ลูกจ้าง ขบวนการบังคับคดีมีขั้นตอนกระบวนการยุ่งยาก และลูกจ้างต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบังคับขายทอดตลาดเอง และกระบวนการของศาลแรงงานล่าช้า และใช้ระยะเวลานาน โดยศาลชั้นต้นใช้ระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 1-2 ปี และในชั้นอุทธรณ์ฎีกาจะใช้เวลาอีกประมาณ 3 ปี รวมระยะเวลาที่กว่าจะได้คำพิพากษามาใช้เวลาถึงประมาณ 5 ปี ทำให้นายจ้างอาศัยเงื่อนไขความล่าช้าดังกล่าวเป็นเงื่อนไขในการไกล่เกลี่ย หรือกดดันให้ลูกจ้างรับเงินน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือที่ควรจะได้รับหากได้ ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
 
นายตุลา ปัจฉิมเวช ผู้ประสานงานทั่วไปศูนย์ช่วยเหลือฯ กล่าวว่า ในการร้องพนักงานตรวจแรงงานนั้น ลูกจ้างหรือผู้นำแรงงานควรจะต้องทำข้อเท็จจริงแนบไปพร้อมกับคำร้องที่ร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน (คร.7) ด้วยและให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของคำร้องนั้น ก็จะทำให้พนักงานตรวจแรงงานได้ข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์และจะมีสิทธิหยิบยกเข้า สู้ในชั้นศาลต่อไปได้
 
นางสุนีย์ ไชยรส ที่ปรึกษาโครงการศูนย์ช่วยเหลือฯ กล่าวในการยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานหรือการไกล่เกลี่ยศาลแรงงาน ควรจะต้องให้ที่ปรึกษาเข้าร่วมไกล่เกลี่ยด้วยเพื่อรักษาสิทธิของคนงาน และศาลเองต้องวางหลักเกณฑ์ได้ด้วยว่าคดีอย่างไรที่ไกล่เกลี่ยได้ หากเป็นการละเมิดกฎหมายแรงงานซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำที่คุ้ม ครองคนงานก็ไม่ควรใช้กระบวนการไกล่เกลี่ย
 
ซึ่งหลังจากที่ประชุมได้ร่วมกันอภิปรายแล้วมีความเห็นว่าควรจะมีคณะ ทำงานในการปฎิรูปกฎหมายแรงงานและขบวนการยุติธรรมทั้งระบบเพื่อให้เป็นไปตาม เจตนารมณ์ของการจัดตั้งศาลแรงงาน ซึ่งยึดหลัก ประหยัด สะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม  และช่องทางหนึ่งที่จะผลักดันคือคณะกรรมการปฎิรูปกฎหมาย โดยตั้งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งอยู่ในระหว่างการสรรหาเพื่อโปรดเกล้าให้ทำหน้าที่ต่อไปอาจจะเป็นความ หวังหนึ่งของขบวนการแรงงานที่จะได้รับสิทธิหรือเข้าถึงสิทธิได้ง่ายขึ้น

(นักสื่อสารแรงงาน, 22-4-2554)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“ประชาธิปัตย์” โอด “เพื่อไทย” ลอกนโยบายทั้งดุ้นแบบไม่อาย

Posted: 23 Apr 2011 04:26 AM PDT

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ชี้เป็นที่ชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยลอกนโยบายทั้งดุ้นโดยไม่อาย เปลี่ยนแค่ชื่อนโยบาย เผยเตรียมพบทูตยุโรปชี้แจงสถานการณ์เมืองไทย อัดทักษิณให้ต่างประเทศมาสังเกตการณ์การเลือกตั้ง ก็เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ ด้าน “เทพไท” ลั่นเพื่อไทยต้องถูกยุบเพราะแกนนำ นปช. จาบจ้วงเบื้องสูง

ประชาธิปัตย์เย้ยเพื่อไทยเน้นผู้นำมากกว่านโยบาย

ภายหลังการแถลงเปิดตัวนโยบายของพรรคเพื่อไทยในวันนี้นั้น (23 เม.ย.) เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ รายงานว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการเปิดตัวนโยบายของพรรคเพื่อไทย ว่า พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าเลือกตั้งครั้งนี้ การตัดสินอยู่ที่ตัวผู้นำมากกว่านโยบาย โดยพรรคเพื่อไทยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นนายกฯ ก็เพื่อนิรโทษกรรมให้กลุ่มเสื้อแดงและให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กลับประเทศ ก็ตองถามไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า สิ่งแรกที่จะทำหากได้เป็นนายกฯ คืออะไร และการที่พรรคเพื่อไทยยังให้ 2 แกนนำ นปช. ที่ปราศรัยจาบจ้วงลงสมัคร ส.ส.เพราะหวังให้ได้เอกสิทธิ์คุ้มครองหรือไม่ 

 

เป็นที่ชัดเจนว่าลออกนโยบายทั้งดุ้นโดยไม่อาย

นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า จากการติดตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยเป็นที่ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กล้าหาญประกาศนโยบายแบบลอกทั้งดุ้นโดยไม่อาย โดยเปลี่ยนแต่ชื่อนโยบาย แต่รายละเอียดมีการลอกมาทุกอย่าง ถือเป็นความกล้าลอกโดยไม่รับผิดชอบ และที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยกล่าวว่า"ไม่เคยเห็นใครลอกข้อสอบแล้วสอบตก" ตนขอถามว่าคนพูดไม่อายหรืออย่างไร เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงที่รัฐบาลนี้ได้ริเริ่มและเจรจากับผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนสำเร็จไปแล้ว ควบคู่นโยบายขนส่งมวลชนรัฐบาลนี้ คือรถไฟ 12 สาย สามารถเดินหน้ารถไฟฟ้าได้แล้ว 4 สาย และกำลังดำเนินการอีก 3 สาย ขณะที่ในปี 2544 พ.ต.ท.ทักษิณประกาศว่าสร้างรถไฟฟ้า 10 สายให้เสร็จในปี 2548 แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการดำเนินการ

นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดสรุปนโยบายที่ได้ดำเนินการไปแล้ว โดยคิดคำนวณเป็นเงินในกระเป๋าที่เพิ่มขึ้นแต่ละครัวเรือนดังนี้ ค่าไฟฟรี ครอบครัวละ 288 บาทต่อเดือน อุดหนุนก๊าชหุงต้ม เดือนละ 300 บาทต่อครัวเรือน เรียนฟรี 740 บาทต่อครัวเรือน รักษาพยาบาลฟรี 965 บาทต่อครัวเรือน ตรึงราคาดีเซลโดยการยกเลิกเก็บภาษี ครัวละ 383 บาทต่อครัวเรือน รถเมล์ฟรี เดือนละ 480บาทต่อคน ทั้งหมดเป็นการลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชน ได้ครัวเรือนละ 3,156 บาทต่อเดือน นอกจากนี้หากในครัวเรือนมีสมาชิกเป็น อสม. หรือผู้สูงอายุ จะได้เบี้ยยังชีพเพิ่มเดือนละ 500 บาทด้วย เท่ากับจะมีเงินเพิ่มในกระเป๋าครัวเรือนละ 3,500-3600 บาทต่อเดือน

 

เผยมีนโยบาย เดินหน้าต่อไปด้วยนโยบายเพื่อประชาชน”

นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังมีนโยบาย “เดินหน้าต่อไปด้วยนโยบายเพื่อประชาชน” ในการเพิ่มรายรับ เช่น นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 25 เปอร์เซ็นต์ภายใน 2 ปี จะทำให้ค่าแรงขั้นต่ำที่เดิมอยู่ที่ 5,280 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นอีก 1,320 บาทต่อเดือน นโยบายเพิ่มกำไรในโครงการประกันรายได้พืชผลการเกษตรอีก 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำให้มีเงินเพิ่มเฉลี่ยไร่ละ 400 บาท โดยข้าวจะเพิ่มอีกตันละ 1,500 บาท เท่ากับ ประชาชนจะมีเงินเพิ่มอีกเดือนละ 2,250 บาท ยังไม่รวมนโยบายที่รัฐบาลได้เพิ่มเงินเดือนให้กับข้าราชการและพนักงานรัฐ วิสาหกิจไปแล้วด้วย และยังมีโครงการประกันสังคม บำเหน็จชาวบ้านบำนาญประชาชน และยังมีการส่งเสริมนโยบายบ้านหลังแรกผ่านสินเชื่อ 0 เปอร์เซ็นต์ระยะ 2 ปี และการเปลี่ยนค่าเช่าเป็นการผ่อนดาวน์บ้าน ดำเนินการผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์

 

เตรียมพบทูตยุโรปทุกประเทศ อธิบายสถานการณ์การเมือง

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า พรรคได้ติดตามสถานการณ์ในต่างประเทศ โดยจะดำเนินการควบคู่กับรัฐบาลเพื่อชี้แจงว่าการเลือกตั้งจะทำให้ประเทศเดิน หน้าได้ โดยในวันที่ 25 เม.ย.นี้ตนในฐานะกรรมการบริหารพรรค และนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ผู้บริหารพรรค จะไปพบเอกอัครราชทูตยุโรปทุกประเทศ ที่บางกอกคลับย่านสาทร เพื่ออธิบายสถานการณ์ทางการเมืองและพูดถึงนโยบายของพรรคในการทำให้ประเทศไทย เดินหน้าในเวทีโลกอย่างภาคภูมิใจ ตลอดจนอธิบายกรณี พ.ต.ท.ทักษิณไปที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) และกรณีนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานนปช.ไปพบนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่มาเลเซีย รวมทั้งกรณีที่มีการส่งเอกสารที่เอ่ยถึงสถาบันองคมนตรีและสถาบันสูงสุด ด้วยข้อความมิบังควร ซึ่งพรรคจะเดินหน้าทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะมีกระบวนการต้องการให้เกิดความเข้าใจผิด

 

อัดทักษิณให้ต่างประเทศมาสังเกตการณ์เลือกตั้ง เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือการเลือกตั้ง

น.พ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ส่วนกรณี พ.ต.ท.ทักษิณเรียกร้องให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์การ เลือกตั้งที่จะมีขึ้นนั้น ก่อนหน้านี้กลุ่มเสื้อแดงได้พยายามเคลื่อนไหวให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามา แทรกแซงจัดการเลือกตั้งแทนองค์กรอิสระ ซึ่งถือว่าเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือการเลือกตั้ง สอดรับกับการที่พรรคเพื่อไทยพยายามทำให้เชื่อว่ามีการทุจริตเลือกตั้ง เพราะจะได้เป็นข้ออ้างที่จะไม่รับผลเลือกตั้ง ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่าควรให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการสังเกตการณ์ได้ แต่ไม่ใช่การแทรกแซงการเลือกตั้ง แต่ทั้งหมดขึ้นกับการตัดสินใจของ กกต.

 

เทพไทชี้เพื่อไทยต้องถูกยุบพรรคเพราะแกนนำ นปช. จาบจ้วงเบื้องสูง

ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในเว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ ด้วยว่า มีหลายนโยบายที่สอดคล้องกับนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้เปิดตัวไปก่อน หน้านี้ เช่น รถไฟความเร็วสูง การขึ้นเงือนเดือนข้าราชการทุกสาขาอาชีพ การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็นต้น จึงขอให้ฉายานโยบายพรรคเพื่อไทยว่า เป็นนโยบาย “ลอก ต่อยอด เกทับ” ทั้งนี้การที่พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศใช้ยุทธศาสตร์เดิน 2 ขานั้นเชื่อว่าระหว่างพรรคเพื่อไทยกับ นปช. คงจะแยกกันมาออก เพราะดูภาพการเปิด นโยบายจะเห็นว่า มวลชนที่จัดตั้งมาส่วนมากจะมาจาก นปช.

นายเทพไทกล่าวว่า ส่วนการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้วีดีโอลิงค์มายังแกนนำพรรคเพื่อไทยถือเป็นการติวเข้มให้ กับกลุ่ม นปช. ที่จะสมัครเป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยโดย พ.ต.ท.ทักษิณอาจวิตกว่า กลุ่มดังกล่าวอาจไม่สามารถแยกแยะบทบาทการเมืองในสภากับนอกสภาได้ ซึ่งจะเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรค ทั้งนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรจับตามอง 2 ประเด็นคือ หนึ่ง การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยในฐานะตัวการหรือเจ้าของ ซึ่งเสี่ยงต่อการยุบพรรคได้ ซึ่งต่างจากกรณีของนายเนวิน ชิกดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย และนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่เข้ามาในฐานะผู้สังเกตการณ์เท่านั้น และ สอง กกต.ควรจับตาดูการเคลื่อนไหวของแกนนำ นปช. ในพรรคเพื่อไทยที่จาบจ้วงสถาบัน เบื้องสูงซึ่งถือว่าผิดรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน เข้าข่ายที่จะต้องถูกยุบพรรค

 

ที่มา: เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ [1] , [2]

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"ตำรวจ-ไอซีที" เตรียมประสานจัดการเฟซบุ๊กจาบจ้วงสถาบัน

Posted: 23 Apr 2011 02:30 AM PDT

ตำรวจบล็อกเฟซบุ๊ก จาบจ้วง หมิ่นสถาบันไม่ได้ อ้างต้องรอคณะกรรมการร่วมที่ไอซีทีกับตำรวจสอบความผิดเสนอศาลแล้วออกคำสั่งให้ดำเนินการ ขณะที่ในสังคมเฟซบุ๊กด่ากระหน่ำ คนโพสต์ข้อความ-รูปไม่เหมาะสม ตำรวจแนะนำ คนพบแจ้งเจ้าหน้าที่แล้วอย่าไปโพสต์หรือดำเนินการต่อ

23 เม.ย. 54 - เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ในกลุ่มสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะเครือข่ายเฟซบุ๊กมีการพบบุคคลหนึ่งนำภาพที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับสถาบันมาโพสต์ไว้ ซึ่งมีบุคคลหลายคนที่เห็นแล้วไม่พอใจเข้าไปในกระทู้แล้วโพสต์ต่อว่าเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว อีกทั้งยังมีข้อความบางข้อความที่ไม่เหมาะสมด้วย โดยยังไม่มีการปิดหรือบล็อกเฟซบุ๊กดังกล่าวแต่อย่างใด

พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา รอง ผบก.ปอท. กล่าวว่า ในการโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมนั้น ทางปอท.จะทำงานร่วมกับกระทรวงไอซีที มีการประสานข้อมูลกัน ที่ผ่านมามีคดีที่ให้ดำเนินการกว่า 100 คดี สำหรับข้อความใดที่เข้าข่ายผิดกฎหมายแต่ไม่ชัดแจ้ง ทางปอท.จะจัดให้มีการตั้งคณะกรรมการทำงานร่วมกันกับทางกระทรวงไอซีที ดูว่าการกระทำต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในโลกสังคมออนไลน์แต่ละอันเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ อย่างใด เมื่อผลจากคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงระบุว่าเข้าข่ายผิดกฎหมาย ทางพนักงานสอบสวนก็จะส่งเรื่องมายังปอท. ซึ่งทางปอท.ก็จะดำเนินการร้องขอไปยังผู้ให้บริการแต่ละราย ให้หยุดการกระทำนั้นเสีย ห้ามมิให้ผู้ใดโพสต์ข้อความหรือเผยแพร่ข้อมูลใดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

“การบล็อกเว็บไซต์หรือเว็บเพจนั้นทางกระทรวงไอซีทีจะเป็นผู้ดำเนินการทางปอท.ไม่มีอำนาจไปบล็อกโดยตรงหรือทันที และในส่วนของโลกสังคมออนไลน์และโซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่างเฟซบุ๊กที่ถือว่าเป็นเว็บไซต์หนึ่งที่มีการโพสต์ข้อความบนกระดาน เราแบ่งการกระทำผิดของกลุ่มผู้ที่โพสต์ข้อความหรือเผยแพร่ข้อมูลออกเป็น 2 ประเภท โดยประเภทแรกจะเป็นกลุ่มพวกที่จงใจ เป็นบุคคลหรือกลุ่มคนใดที่ตั้งใจโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสม สำหรับกลุ่มนี้ความผิดจะชัดเจนอยู่แล้ว มีโทษทางอาญาที่รุนแรง ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่มของผู้ที่ประสงค์ดี แต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยการส่งต่อไฟล์หรือแบ่งปันลิงก์” พ.ต.อ.ศิริพงษ์ กล่าว

พ.ต.อ.ศิริพงษ์ กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้โลกอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีการเกิดขึ้นของเว็บไซต์อย่างมากมาย ปัจจุบันมีเว็บไซต์อยู่ที่ประมาณ 312 ล้านเว็บ ซึ่งแต่ละเว็บมีเว็บเพจอีกเป็นหลักร้อย ซึ่งยากแก่การติดตาม ในส่วนของเว็บเพจที่แสดงออกว่าดูหมิ่นสถาบันอย่างชัดเจน ถ้าบุคคลท่านใดพบเห็นก็สามารถแจ้งให้กับปอท.หรือกระทรวงไอซีทีให้จัดการกับเว็บเพจดังกล่าวได้ เพราะที่ผ่านมาทางกระทรวงไอซีทีก็บล็อกเว็บไซต์ที่ดูหมิ่นสถาบันไปหลายรายแล้ว แต่กลุ่มบุคคลหรือบุคคลที่กระทำการเหล่านี้ก็สามารถที่จะเปลี่ยนชื่อเว็บเพจหรือเว็บไซต์ใหม่ได้ทันที ดังนั้นทางที่ดีที่สุดเมื่อพบเห็นเว็บไซต์เหล่านี้ควรแจ้งเจ้าหน้าที่จะดีกว่า ไม่ควรเข้าไปดูหรือโพสต์ข้อความใดเพิ่มเติม 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไทย-กัมพูชาปะทะอีกวันนี้ทหารดับ 1 เจ็บ 11

Posted: 23 Apr 2011 02:09 AM PDT

23 เม.ย. 54 - นับเป็นวันที่ 2 ที่มีการเปิดฉากปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ปราสาทตาควาย ต.บักได และตาม ตะเข็บแนวชายแดนไปจนถึงปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ โดยวันนี้ (23 เม.ย.) ทั้ง 2 ฝ่ายต่างเปิดฉากปะทะกันขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่เวลา 06.00 น. ที่บริเวณปราสาทตาควาย และเริ่มหนักขึ้นจนมีการใช้อาวุธหนักตอบโต้กันตั้งแต่ปราสาทตาควาย ต.บักได ไปจนถึงปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์  นอกจากนี้ยังพบว่ามีการใช้อาวุธประจำกาย ปืนกล และเครื่องยิงลูกระเบิด ค.60 แล้ว ยังเพิ่มการตอบโต้กันด้วยอาวุธหนักและรุนแรงขึ้น

ขณะเดียวกันชาวบ้านที่หมู่บ้านที่อยู่ใกล้แนวชายแดน ทั้ง อ.พนมดงรัก และอ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ยังอพยพออกจากหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากมีเสียงอาวุธหนักตอบโต้กัน ได้ยินชัดเจนและหนักขึ้น ทำให้ศูนย์อพยบทั้ง 6 แห่ง ที่จังหวัดจัดตั้งขึ้นประกอบด้วยศูนย์อพยพโรงเรียนบ้านโคกกลาง บ้านโนนสมบูรณ์ บ้านโคกโบสถ์ นิคมสร้างตนเองปราสาท โรงเรียนประสาทวิทยาคารและโรงเรียนโสตศึกษาสุรินทร์  มีชาวบ้านอพยพมาอยู่เพิ่มขึ้นแล้วกว่า 25,000 คน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องดูแลอำนวยความสะดวกมากขึ้น

นอกจากนี้ที่อำเภอกาบเชิง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ติดกับแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทางอำเภอทำการอพยพชาวบ้านใน 5  หมู่บ้าน จำนวน 15,000 คน ออกไปอยู่ที่ศูนย์อพยพ 2 แห่ง คือที่โรงเรียนสังขะ อ.สังขะ และที่โรงเรียนบ้านคูตัน เนื่องจากว่าอาจจะเกิดความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ ในขณะนี้

จากการปะทะกันที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าที่ผ่านมาส่งผลให้ทหารไทย เสียชีวิต 1 ราย คือพลทหารสมคิด สมศรี ทหารพรานสังกัดกองร้อยทหารพรานจู่โจมที่ 2606 กรมทหารพรานที่ 26 ได้รับบาดเจ็บถึง  11 ราย ทั้งหมดถูกนำตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมดงรักและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์สุรินทร์  ซึ่งโรงพยาบาลอำเภอพนมดงรักขณะนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นศูนย์เพื่อรองรับผู้บาดเจ็บ จากการปะทะ ซึ่งมีแพทย์ทหารและพยาบาลอยู่ดูแล ส่วนแพทย์ พยาบาลบางส่วนไปประจำอยู่โรงพยาบาลข้างเคียงเพื่อรักษาผู้ป่วยที่อพยบออกไป ไม่มีการปิดโรงพยาบาลแต่อย่างใดและส่งต่อเข้ารักษาที่โรงพยาบาลศูนย์สุรินทร์

ส่วนด่านผ่านช่องจอม-โอร์เสม็ด ต.ด่าน อ.กาบเชิง แหล่ง สร้างรายได้ จากการค้าขายชาวไทยกับชาวกัมพูชา ก็ปิดหลัง เงียบเหงา หลังการสู้รบเกิดขึ้น กองทัพภาคที่ 2 สั่งปิดด่านถาวรอย่างไม่มีกำหนด อย่างไรก็ตามมีกระแสข่าวจากพื้นที่ ชายแดน บริเวณ อ.พนมดงรักว่า จะมีการปะทะกันเกิดขึ้นอีก ในบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งสถานการณ์ รบจะหนักและรุนแรง เช่นเดียวกับพื้นที่ อ.พนมดงรัก ซึ่งกระแสข่าวดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่ หลายฝ่ายกำลังติดตามสถานการณ์ อย่างใกล้

ขณะเดียวกันในช่วงเช้าวันนี้ กองทัพภาคที่ 2 ได้สนับสนุนกระสุน และอาวุธหนัก เข้าเสริมหน่วยรบหลัก ตามแนวชายแดน อย่างต่อเนื่องเต็มอัตรากำลัง คาดการสู้รบครั้งนี้ยาวนาน ยื้ดเยื้อ และแตกหักอย่างแน่นอน

เมื่อวันที่ 23 เม.ย. สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เหตุการณ์ทั่วไปยังคงเป็นปกติ   แต่ชาวบ้านนอนผวาตลอดทั้งคืน หลังเห็นข่าวการปะทะที่ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา พร้อมเตรียมตัวเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ทันทีหากได้รับคำสั่งจากทางการ

นางสัมฤทธิ์    แสนประดับ  ชาวบ้านภูมิซรอล  ม. 2 ต.เสาธงชัย  1 ใน 7 ครอบครัวที่ได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะเมื่อต้นเดือน ก.พ. 54 ที่ผ่าน  กล่าวว่า เมื่อคืนเป็นคืนแรกที่ได้รับมอบโทรทัศน์มา  ก็เปิดดูข่าวเหตุปะทะที่สุรินทร์  ชาวบ้านที่นี่ก็นอนไม่หลับกันเท่าไหร่ ยังสองจิตสองใจอยู่กลัวว่าจะลามมาที่เขาพระวิหาร  เพราะปกติเกิดเรื่องทางโน้นแล้วจะลามมาที่เขาพระวิหารเป็นส่วนใหญ่  ชาวบ้านก็ตกใจ แต่ก็ยังไม่ได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมอพยพแต่อย่างใด

นางสัมฤทธิ์   กล่าวต่อว่า  เห็นภาพการอพยพของชาวบ้านที่จ.สุรินทร์แล้ว นึกถึงภาพของตัวเองและชาวบ้านที่นี่  และอยากฝากความคิดถึง หวังว่าคงจะไม่ร้ายแรงเหมือนกันภูมิซรอล  ขอให้พี่น้องเชื่อฟังเจ้าหน้าที่เขาแนะนำอย่างไรก็ปฏิบัติตาม  และหวังว่าทางรัฐบาลจะสามารถเจรจาประนีประนอมได้ในระดับหนึ่ง            

“อยากฝากไปถึงนายกอภิสิทธิ์ ให้ช่วยเร่งรัดให้สงครามยุติโดยเร็วที่สุด  ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็แล้วแต่ ขอให้ชาวบ้านมั่นใจเต็มร้อยว่าจะไม่เกิดสงคราม  จะไม่ให้เราแตกตื่นอีก  เพราะที่ผ่านมาบอกว่าจะไม่เกิดขึ้นแต่ก็เกิด เหมือนที่สุรินทร์ที่เกิดขึ้นมาแล้วในขณะนี้  ที่ชายแดนเขาพระวิหารก็ไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาบอกว่าจะไม่เกิดมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว ” นางสัมฤทธิ์  กล่าว

นางชันยภัทร์    ประดับศรี  อายุ  42 ปี  อยู่บ้านเลขที่ 58 ม. 12  บ.ซำร่อง  ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์  จ.ศรีสะเกษ  กล่าวว่า  ได้เห็นข่าวการอพยพของชาวบ้านที่ จ.สุรินทร์แล้วนึกถึงภาพตอนที่คนที่นี่อพยพหนีการปะทะ เขาคงจะมีความรู้สึกไม่ต่างจากเรา  เห็นแล้วก็รู้สึกสงสารเขาเหมือนกัน

ในฐานะที่เคยประสบเหตุการณ์อพยพหนีการปะทะมาก่อน อยากฝากไปยังพี่น้องทางสุรินทร์ให้ติดตามข่าวเรื่อย ๆ  ให้ตื่นตัวตลอด เวลามีเหตุการณ์อะไรให้เคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด เพราะว่าลูกปืนไม่เข้าใครออกใคร  เหมือนวันนั้นถ้าตนและคนในครอบครัวออกไม่ทันก็คือตายหมดบ้าน  เพราะเขาไม่ได้แจ้งมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาเมื่อไหร่               

“ทางที่ดีเราต้องเตรียมพร้อมไว้ดีที่สุด  สิ่งสำคัญคือบัตรประชาชน  เอกสารสำคัญต่าง ๆจะต้องเก็บเตรียมพร้อมไว้  น้ำมันรถต้องเติมเต็มไว้  เพราะหากเกิดเหตุการณ์ 4 - 5  ทุ่มก็ต้องออกไป หากน้ำมันกลางทางจะหาปั้มเติมไม่ได้เพราะฉะนั้นน้ำมันรถเป็นสิ่งสำคัญทั้งรถเล็กรถใหญ่ต้องเติมให้เต็มไว้ตลอด ”  นางชันยภัทร์  กล่าว
 
นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฐ์  รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ว่า รายงานล่าสุดของกระทรวงสาธารณสุขนั้นมีทหารไทยเสียชีวิตแล้ว 3 คน บาดเจ็บ 15 คน แต่การปะทะล่าสุดในช่วงเช้าวันที่ 23 เมษายนยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ส่วนการรักษาพยาบาลนั้น เบื้องต้นกระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้สำรองเวชภัณฑ์และบุคลากรทางการแพทย์ ใน 5 โรงพยาบาลพื้นที่ใกล้เคียง คือโรงพยาบาลพนมดงรัก โรงพยาบาลกาบเชิง โรงพยาบาลบัวเชษฐ์ โรงพยาบาลปราสาทและโรงพยาบาลจังหวัดสุรินทร์ จ.สุรินทร์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉิน พร้อมทั้งมีการจัดชุดแพทย์เคลื่อนที่ไปยังศูนย์อพยพ 10 ศูนย์ที่ได้มีการก่อตั้งขึ้น โดยหน่วยแพทย์เคลื่อนที่นั้นจะมีทั้งแพทย์ พยาบาลและผู้เชี่ยวชาญในการดูแลสุขภาพจิตประชาชน เพื่อให้ดูแลประชาชนที่มีความเครียดและกลุ่มเสี่ยงที่จะตัดสินใจกระทำการในสิ่งที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด

ที่มาข่าว: คม ชัด ลึก
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

การเมืองไม่ใช่เรื่องการละ “ตัวกู”

Posted: 23 Apr 2011 12:44 AM PDT

 
เวลาที่พระสงฆ์แสดงทัศนะทางการเมืองโดยใช้แนวคิดเรื่อง “ตัวกู-ของกู” มาอธิบายความขัดแย้งทางการเมือง เช่นว่า แต่ละฝ่ายต่างยึดตัวกู และพวกของกูเป็นตัวตั้ง จึงนำไปสู่ความเกลียดชัง ไม่เปิดใจรับฟังเหตุผลของกันและกัน กระทั่งความรุนแรงนองเลือดก็อาจอธิบายได้ว่า เพราะเกิดจากความยึดมั่นใน “ตัวกู-ของกู” เป็นศูนย์กลางทั้งสิ้น
 
คำอธิบายดังกล่าวนี้ อาจพิจารณาได้ว่ามีทั้งส่วนที่ถูกและผิด ส่วนที่ถูกถือทุกคนล้วนแต่ยึดตัวกู-พวกของกู เพราะนี่เป็นธรรมดาของปุถุชน พระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่ยึดมั่นในตัวกู-ของกูได้จริง พระสงฆ์เองก็มีตัวกู-ของกูเช่นกัน เช่น ตัวกูผู้ทรงศีลธรรม ทรงความรู้ ทรงภูมิปัญญาทางพุทธศาสนา เมื่อตัวกูในความหมายดังกล่าวถูกท้าทายด้วยการตั้งคำถามวิพากษ์วิจารณ์โต้แย้ง ก็อาจไม่พอใจหรือกระทั่งโกรธได้เช่นกัน
 
ส่วนที่ผิดคือ ในทางการเมืองนั้นการที่แต่ละคนแต่ละฝ่ายยังยึดมั่นตัวกู-ของกู ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาสูญเสียความสามารถที่จะยึดหลักการ อุดมการณ์ที่ถูกต้อง หรือสูญเสียความสามารถที่จะเปิดใจรับฟังเหตุผลของกันและกันเสมอไป เพราะการเมืองในโลกของความเป็นจริงนั้นเป็นเรื่องของการแบ่งปัน จัดสรร ต่อรองอำนาจ และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ระหว่าง “ตัวกู” ทุกตัวกูที่เป็นสมาชิกแห่งสังคม-การเมือง
 
พูดอีกอย่างคือ การเมืองเป็นเรื่องของการแสวงหาระบบที่ยุติธรรมสำหรับ “ทุกตัวกู” ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉะนั้น ฐานคิดทางการเมืองคือการพิจารณาสถานะของ “ตัวกู” ซึ่งเริ่มจากการยอมรับหลักการที่ว่า แต่ละตัวกูต่างมีความเท่าเทียมในความเป็นคน และจากความเท่าเทียมนี้แต่ละตัวกูควรจะได้รับสิทธิ อำนาจและผลประโยชน์ทั้งที่เป็นรูปธรรมนามธรรมอย่างไรบ้างจึงจะถือว่าเป็นธรรมที่สุด
 
ดังนั้น ฐานคิดในการต่อสู้ทางการเมืองจึงเป็นเรื่องของการต่อรองไปจนถึงการต่อสู้แข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและผลประโยชน์ของตัวกูต่างๆ และ/หรือฝ่ายต่างๆ ซึ่งต่างจากฐานคิดทางพุทธศาสนาที่เริ่มจากการยอมรับความจริงตามกฎธรรมชาติว่าไม่มีตัวกู-ของกู ฉะนั้น จึงไม่ควรยึดมั่นในตัวกูของกูเพื่อลดความทุกข์หรือเพื่อมีอิสรภาพทางจิตวิญญาณ
 
แน่นอนว่า การเมืองที่อยู่บนฐานคิดของตัวกูของกู ย่อมหลีกเลี่ยงความเห็นแก่ตัว ความโกรธ ความเกลียด ความขัดแย้งไปไม่ได้ แต่ลำพังความโกรธ ความเกลียด ความขัดแย้งที่เกิดจากความยึดมั่นในตัวกู-ของกูไม่เคยนำไปสู่ความรุนแรงนองเลือด หรือการเข่นฆ่าประชาชน เพราะถึงไม่มีการแบ่งสีแบ่งฝ่ายทางการเมือง วิถีชีวิตมนุษย์โดยทั่วไป ก็มีความโกรธ ความเกลียด ความขัดแย้งในปัญหาต่างๆ เป็นปกติอยู่แล้ว (รวมทั้งสังคมสงฆ์ด้วย)   
 
ที่ความขัดแย้งทางการเมืองนำไปสู่ความรุนแรงนองเลือดและการเข่นฆ่าประชาชน เพราะมันมีปัญหาที่มากไปกว่า หรือลึกซึ้งไปกว่าความโกรธความเกลียด หรือการยึดมั่นในตัวกู-ของกู นั่นคือปัญหาของระบบที่ไม่เป็นธรรม ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ความไม่สมดุลของอำนาจทางการเมืองที่เกิดจากกองทัพ อำมาตย์หรืออำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซงอำนาจอธิปไตยของประชาชน จนเสียทั้งระบบการเลือกตั้ง กระบวนการยุติธรรม การละเมิดสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค เป็นต้น
 
ฉะนั้น ประเด็นปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่แท้จริงจึงเป็นเรื่องของความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ระหว่างอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่ยืนยันเสรีภาพและความเสมอภาค กับอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่อยู่ภายใต้การกำกับชี้นำของอำนาจนอกระบบ
 
ความท้าทายจึงอยู่ที่ว่า เราจะสามารถระดมภูมิปัญญาของสังคมทั้งหมดที่มีอยู่เข้ามาสู่กรบวนการถกเถียงด้วยเหตุผลจนถึงที่สุดได้อย่างไร เพื่อหาข้อสรุปร่วมกันให้ได้ว่าอุดมการณ์แบบไหนที่ที่ดีกว่าสำหรับสังคมเรา และหรือเราจะมีวิถีทางบรรลุถึงอุดมการณ์ที่ดีกว่านั้นด้วยสันติวิธีได้อย่างไร
 
ปัจจุบันนี้ก็มีการถกเถียงที่มีนัยเชิงอุดมการณ์อยู่บ้างแต่ยังอยู่ในวงจำกัด และทำได้อย่างมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก เช่นที่ถกเถียงกันเรื่องปัญหาการอ้างสถาบันทำรัฐประหาร การอ้างสถาบันทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายหมิ่นพระบรมราชานุภาพ เป็นต้น
 
นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีปัญหาหลักอื่นๆ เช่น ปัญหาการทวงความยุติธรรมให้กับประชาชนที่ถูกฆ่า บาดเจ็บ และถูกจับกุม ปัญหาระบบความยุติธรรมสองมาตรฐาน (หรือไม่มีมาตรฐาน?) ปัญหาเรื่องรัฐสวัสดิการ การกระจายอำนาจ ปฏิรูปที่ดิน ฯลฯ
 
จะเห็นว่าปัญหาดังกล่าว จำเป็นต้องแก้ทั้งในเชิงวัฒนธรรมความคิดความเชื่อหรืออุดมการณ์ การแก้เชิงระบบ ซึ่งจำเป็นต้องสร้างเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้กว้างขวาง กระจายไปทั่วทั้งสังคม เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อกันอีกต่อไป
 
แน่นอนว่า การถกเถียงเรื่องอุดมการณ์หรือระบบที่ยุติธรรมเพื่ออนาคตที่ดีกว่า อาจต้องปล่อยวางเรื่องตัวกู-ของกูลงบ้าง เพื่อให้การใช้เหตุผลเที่ยงตรง และคำเตือนสติเรื่องปล่อยวางตัวกู-ของกูเพื่อการถกเถียงดังกล่าวก็ถือเป็นคำเตือนที่มีประโยชน์
 
แต่จะมีประโยชน์ยิ่งกว่า หากพระสงฆ์หรือชาวพุทธสามารถใช้ภูมิปัญญาของพุทธศาสนาเข้ามาร่วมถกเถียงในประเด็นปัญหาหลักๆ เช่น ปัญหาเรื่องอุดมการณ์ที่เป็น-ไม่เป็นประชาธิปไตย ปัญหาเรื่องความเป็นธรรม การไม่เอารัฐประหาร ปฏิเสธการแทรกแซงของอำนาจนอกระบบ การใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกองทัพและพรรคการเมือง เป็นต้น เพื่อเปลี่ยนผ่านสังคมสู่ความเป็นประชาธิปไตยและความเป็นธรรมด้วยสันติวิธี
 
ในภาวะปัจจุบัน หากพระสงฆ์จะพูดเรื่องการเมืองย่อมสมควรพูด แต่เมื่อพูดแล้วย่อมหลีกเลี่ยงการถูกตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ยิ่งเมื่อพระสงฆ์พูดในท่วงทำนองวิพากษ์วิจารณ์ตัดสิน “ตัวกู-ของกู” ของฝ่ายต่างๆ โดยไม่แตะหรือไม่กระตุ้นให้เกิดการคิดแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน “ประเด็นปัญหา” เชิงอุดมการณ์และปัญหาเชิงระบบ คำวิจารณ์ตัดสินเช่นนั้นนอกจากจะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนความคิดของฝ่ายต่างๆ แล้ว
 
ยังอาจถูกมองได้ว่าเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ตัดสินที่ไม่ตรง “ประเด็นสำคัญ” ของความขัดแย้ง และอาจเป็นเครื่องบั่นทอนความรู้สึกของประชาชนที่เสียสละต่อสู้เพื่อเปลี่ยนผ่านสังคมให้เป็นประชาธิปไตย!  
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แถลงด่วน! กรณี ‘สมศักดิ๋ เจียมธีรสกุล’ กับคดีหมิ่นฯ ผลจากงานอภิปรายวิชาการ

Posted: 23 Apr 2011 12:05 AM PDT

23 เม.ย.54 เว็บไซต์นิติราษฎร์แจ้งข่าวว่า นิติราษฎร์ สันติประชาธรรม นักวิชาการอื่น ๆ และ ดร. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล จะร่วมกันจัดการแถลงข่าวเรื่อง"ผลกระทบต่อเสรีภาพทางวิชาการ : กรณีการอภิปรายเรื่อง สถาบันกษัตริย์ – รัฐธรรมนูญ – ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 ของ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล"  ในวันอาทิตย์ที่ 24 เม.ย.54 เวลา 14.00 น. ที่ ห้องแอลที 1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ขณะที่ในเฟสบุ๊คส่วนตัวของสมศักดิ์ ได้ประกาศเชิญชวนสื่อมวลชนและผู้สนใจเข้าร่วมงานดังกล่าวด้วย โดยระบุว่า

เรียน สมาชิก เฟสบุ๊ค ของผม, สื่อมวลชน, นักวิชาการ และผู้สนใจทุกท่าน

วันพรุ่งนี้ อาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2554 เวลา 14.00 น. ที่ห้อง แอลที 1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จะมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยผม, คณะนักวิชาการ "นิติราษฎร์" และนักวิชาการท่านอื่น เกี่ยวกับข้อกล่าวหา "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" ที่มีต่อผม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับการอภิปรายเรื่อง "สถาบันกษัตริย์ รัฐธรรมนูญ" เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553

จึงเรียนเชิญทุกท่านเข้ารับฟังการแถลงข่าวดังกล่าว

ขอแสดงความนับถือ

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“ทักษิณ” ลั่นรวยมาจากการทำกระดาษให้เป็นเงิน

Posted: 22 Apr 2011 11:29 PM PDT

ทักษิณ ชินวัตรโฟนอินในงานแถลงนโยบายเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย รับถือสัญชาติมอนเตรเนโกร แต่จะไม่สละสัญชาติไทย ลั่นมีความจงรักภักดี และเพื่อไทยได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลแน่ 

เช้าวันนี้ (23 เม.ย.) ที่ศูนย์ประชุม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เช้าวันนี้ (23 เม.ย.) มีการประชุมการแถลงนโยบายประกาศความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง ของพรรคเพื่อไทย ได้มีคณะกรรมการบริหารพรรค ตลอดจนเจ้าหน้าที่พรรคเข้าร่วมประชุม โดยมีการกำหนดคำขวัญหาเสียงของพรรคว่า "ขอคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคนอีกครั้ง" โดยจะชูแนวนโยบายว่า "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ คนเคยทำสนับสนุน”

ในเวลา 11.35 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วีดีโอลิ้งค์ เข้ามาในงานแถลงเปิดตัวนโยบายของพรรค โดย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน และยืนยันถึงความจงรักภักดี และจะไม่สละสัญชาติไทย

"ผมเป็นคนไทยที่ถูกบังคับให้ถือสัญชาติมอนเตเนโกร แต่จะไม่สละสัญชาติไทย วันนี้ผมจะมาแนะนำนโยบายให้แก่พรรคเพื่อไทย ผมเริ่มจากไม่มีอะไรจนมารวยจากการทำกระดาษให้เป็นเงิน และผมจะทำกระดาษให้เป็นเงินแก่ประชาชน ผมมีฐานะแล้วเข้ามาการเมือง แต่สุดท้ายเขาก็ปล้นทรัพย์ไป ผมเป็นคนกตัญญูขอยืนยันว่านอกจากความจงรักภักดีของทั้ง 2 พระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงจากใจผม"

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ในปี 2549 เกิดการรัฐประหาร วันรุ่งขึ้นก็กล่าวหาผมไม่จงรักภักดี นี่คือการเมืองมันดุร้าย ความจงรักภักดีต่อในหลวงเป็นเรื่องอยู่ในใจทุกคนไม่ต้องแสดงออก ความวุ่นวายเกิดขึ้นเพราะหลายคนเอาความจงรักภักดีมาเกี่ยวการเมือง ตนเห็นด้วยกับการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง เสนอให้ออกระเบียบการหาเสียงห้ามนำสถาบันมาเกี่ยวกับการเมือง นั่นคือนายประพันธ์ นัยโกวิทย์ กรรมการ กกต. ผู้จงรักภักดี ตนจะทำหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี พระเจ้าอยู่หัวเป็นประมุข ตนถูกฝึกมาว่าคำสั่งของผู้บังคับบัญชาคือพรจากสวรรค์ จึงต้องเชื่อฟัง

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังแสดงความมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแน่นอน และจะจัดงานเฉลิมฉลอง 84 พรรษายิ่งใหญ่ ส่วนเรื่องประชาธิปไตย เวลานี้ประเทศไทยรั้งท้ายชาวบ้านเพราะผลสำรวจค่านิยมประชาธิปไตย พบค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 52 % แต่ไทยได้อยู่ที่ 32.1%

"ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเราทำลายกันด้วยคำว่าไม่จงรักภักดี ผบ.ทบ.ออกพูดว่าอย่าบีบให้ต้องจับอาวุธ คุณออกมาพูดทำไมไม่มีใครกลัวใคร ผมกลับไปไม่มีใครทำร้ายราชบัลลังก์แน่นอน" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

 

ที่มา: เรียบเรียงจากเอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น