ประชาไท | Prachatai3.info |
- พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: ไปสู่ “รัฐไทยใหม่ รัฐประชาธิปไตย”
- กะเทยไม่ป่วย : ไม่มีใครป่วย
- กลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกฯ เชิญร่วมลงชื่อค้าน “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฮามาโอกะ” ในญี่ปุ่น
- สภาล่มรอบ 4 ส.ส.เมินโหวตวาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมฯ
- กม.ภาษีที่ดินฯ ผ่าน ครม. เก็บ "ที่อยู่-พื้นที่เกษตร" 0.05% "ที่รกร้าง" 0.5%
- ข้อมูลสองด้านที่บ้านน้ำดำ...เมื่อสองเยาวชนต้องตาย "ใครคือคนร้าย ใครคือผู้บริสุทธิ์?"
- ตั้งอีกชุดกองกำลังประชาชน ชคบ.นำร่องใน 4 อำเภอของสงขลา
- ประวิตร โรจนพฤกษ์: สังคมยากล่อมประสาท
- รายงานเสวนา: ปัญหาพรมแดนไทยกับเพื่อนบ้าน
- รบ.สหรัฐฯ เสนอตั้งศูนย์ยืนยันบุคคลออนไลน์ หวังลดปัญหาปลอมแปลงบุคคล
- คนดี เป็นยังไง ดูยังไง
- กวีประชาไท: สาส์นถึงผู้สั่งฆ่า..ประชาชน!
- เสียววาบ! ทีวีเคเบิล-ดาวเทียมล่มทั่วประเทศ
- ว่าด้วยใครเป็น Commander in Chief ของกองทัพไทยกันแน่
- ยิงเสื้อแดงชลบุรีขณะเตรียมเวที เจ็บ 2 ราย
พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: ไปสู่ “รัฐไทยใหม่ รัฐประชาธิปไตย” Posted: 21 Apr 2011 02:38 PM PDT ขบวนประชาธิปไตยที่ก่อตัวมาตั้งแต่กลางปี 2549 ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน ได้ขยายตัวเติบใหญ่ จนปัจจุบัน กลายเป็นขบวนประชาธิปไตยเสื้อแดงที่มีจำนวนนับล้านคนทั่วประเทศ ได้ผ่านบทเรียนการต่อสู้อันยากลำบาก กระทั่งต้องสูญเสียอย่างสาหัสในการเคลื่อนไหวเมษายน-พฤษภาคม 2553 ประสบการณ์อันนองเลือดและเจ็บปวดทำให้ขบวนประชาธิปไตยยกระดับขึ้นสู่ขั้นตอนใหม่ เกิดการถกเถียงอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง ค่อย ๆ ตกผลึกทางความคิด ชัดเจนถึงเป้าหมายและยุทธศาสตร์ของขบวนว่า จะเดินต่อไปอย่างไรเพื่อไปบรรลุประชาธิปไตยที่แท้จริง 1. เป้าหมายคือ “รัฐประชาธิปไตย” หนทางที่จะให้ประเทศไทยบรรลุความเจริญก้าวหน้า เศรษฐกิจรุ่งเรือง ประชาชนมั่งคั่งก็คือ ต้องทำให้การเมืองเป็นประชาธิปไตย ไปบรรลุเป้าหมายที่ สร้างระบอบประชาธิปไตยที่ปวงประชามหาชนชาวไทยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง ที่ผ่านมา ขบวนประชาธิปไตยได้มีคำขวัญว่า สร้าง “รัฐไทยใหม่” ซึ่งในเบื้องต้นหมายถึง “รัฐไทยที่ทุกคนเท่าเทียมกัน มีความยุติธรรมและไม่เป็นสองมาตรฐาน” สะท้อนถึงความเรียกร้องต้องการของคนเสื้อแดงที่เจ็บแค้นจากความอยุติธรรมและการเลือกปฏิบัติที่ได้รับจากผู้ปกครองตลอดหลายปีมานี้ รัฐไทยใหม่ที่ว่านี้ในทางรูปธรรมคืออะไร? คำตอบคือ เป็นรัฐไทยที่มีระบอบการเมืองการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย เศรษฐกิจทุนนิยมเสรีและทันสมัย ดังที่มีอยู่แล้วในบรรดาประเทศอารยะ เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ ยุโรปเหนือและสแกนดิเนเวีย ออสเตรเลีย สเปน ฝรั่งเศส คานาดา สหรัฐอเมริกา เป็นต้น นัยหนึ่ง รัฐไทยใหม่ก็คือรัฐประชาธิปไตยเสรีนิยม นั่นเอง การไปบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจำต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจ เพื่อสร้างประชาธิปไตยที่ให้ความเสมอภาคทางการเมืองแก่ประชาชน และมีการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจสังคมไปยังประชาชนอย่างถ้วนหน้า เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจอย่างไม่เคยมีมาก่อน การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในวันนี้จึงมี “ลักษณะปฏิวัติสังคม” นัยหนึ่ง ขบวนประชาธิปไตยจะต้องเดินแนวทาง “ปฏิวัติประชาธิปไตยเสรีนิยม” รัฐไทยใหม่ที่เป็นรัฐประชาธิปไตยนั้น มีลักษณะพื้นฐานสามประการคือ 1. ความเห็นชอบจากประชาชน ผู้ที่เข้าสู่อำนาจการเมืองต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย และการใช้อำนาจนั้นในการปกครองบ้านเมืองต้องได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน ในทางรูปธรรมคือ อำนาจอธิปไตยทั้งสาม ได้แก่ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ต้องมาจากการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนผ่านระบบเลือกตั้งตัวแทนที่เสมอภาคและยุติธรรม 2. สิทธิพื้นฐานสามประการของประชาชน รัฐที่มาจากความเห็นชอบของประชาชนมีหน้าที่สำคัญในเบื้องต้นคือ ให้การปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษย์ขั้นพื้นฐานสามประการของปัจเจกชน ได้แก่ · สิทธิในชีวิตและร่างกายที่ไม่อาจละเมิดโดยผู้อื่นและโดยรัฐ · สิทธิในการพูด แสดงความคิดเห็น และจัดตั้งสมาคมหรือพรรคการเมือง ที่เจตนาสุจริตและไม่ถูกจำกัดโดยรัฐ · สิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคล ที่จะแสวงหาโอกาส ประกอบอาชีพ ทำธุรกรรม สะสมและสืบทอดแก่ทายาท 3. การจำแนกและตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างอำนาจอธิปไตยทั้งสาม เพื่อจำกัดการใช้อำนาจรัฐมิให้เป็นอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคล เพื่อป้องกันการรวมศูนย์อำนาจการเมืองที่อาจเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย อุปสรรคขัดขวางประชาธิปไตยที่สำคัญที่สุดในเศรษฐกิจการเมืองไทยปัจจุบันคือ ระบอบเผด็จการจารีตนิยม ซึ่งหลายสิบปีมานี้ ได้ตั้งหน้าบ่อนทำลายการเติบโตของหน่ออ่อนประชาธิปไตยครั้งแล้วครั้งเล่า และลงเอยเป็นการใช้กำลังปราบปรามประชาชนหรือรัฐประหารทุกครั้ง หนทางไปสู่เป้าหมายของขบวนประชาธิปไตยจึงต้องเป็นการ “ขจัดระบอบเผด็จการจารีตนิยม” ลิดรอนและขจัดอำนาจเผด็จการทางการเมืองทั้งที่แฝงเร้นและเปิดเผย ทำการ “ปฏิวัติประชาธิปไตย” ให้อำนาจอธิปไตยมาอยู่ในมือของปวงประชามหาชนชาวไทยอย่างแท้จริง โดยหลังจากการเปลี่ยนผ่านอำนาจในทางปฏิบัติแล้ว ต้องทำให้เป็นรูปแบบระบอบการเมืองที่ยั่งยืนและชอบธรรมด้วยการปฏิรูปรัฐธรรมนูญตามหลักการประชาธิปไตยข้างต้นให้สมบูรณ์ 2. ยุทธศาสตร์ “เผยแพร่ความจริง ขยายปริมาณ สร้างคุณภาพ” การปกครองเผด็จการทั่วโลกที่อยู่ได้ต่อเนื่องยาวนานนั้น ต้องอาศัยการครอบงำทางความคิดจิตใจเป็นด้านหลัก ใช้กลไกการโฆษณาชวนเชื่อทั้งทางตรงและทางอ้อมในภาครัฐ การศึกษา ศาสนา และสื่อมวลชนกระแสหลัก เพื่อเคลือบคลุมให้ระบอบปกครองมีภาพของความดีงามสูงส่ง มีความถูกต้องชอบธรรม เพื่อสร้าง “ความยินยอมพร้อมใจ” ในหมู่ประชาชน จากนั้นจึงเสริมด้วยการใช้อำนาจทางวัตถุ คือกลไกอำนาจรัฐ ทหาร ตำรวจ ศาล คุกตะราง เจาะจงปราบปรามบุคคลเฉพาะรายที่ไม่สวามิภักดิ์ การล่มสลายของระบอบเผด็จการทั้งหลายจึงเริ่มจากการเสื่อมของอำนาจครอบงำทางความคิด เมื่อผู้ปกครองค่อย ๆ สูญเสียการควบคุมทางความคิด จิตใจและอุดมการณ์ในหมู่มวลชน พวกเขาก็จะสูญเสียสถานะความเป็นผู้ปกครองอันชอบธรรมในสายตาประชาชนไปด้วย ยิ่งผู้ปกครองสูญเสียพลังครอบงำทางความคิดในหมู่ประชาชนไปมากเท่าใด พวกเขาก็จำต้องหันมาใช้อาวุธทางอำนาจรัฐที่เพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น จากข่มขู่คุกคาม เป็นจับกุมคุมขัง เป็นการเข่นฆ่าอย่างเปิดเผย ซึ่งกลับยิ่งเป็นการเผยโฉมหน้าอัปลักษณ์ของตนออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ การปกครองใดที่ต้องใช้อำนาจและกำลังรุนแรงในการกดขี่ประชาชนเป็นด้านหลัก การปกครองนั้นก็ไม่อาจอยู่ได้นาน เมื่อฝ่ายประชาชนสามารถรวมตัวจัดตั้ง ต่อสู้ต่อต้าน ก็จะนำไปสู่การล่มสลายของเผด็จการในที่สุด นับแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พวกเผด็จการจารีตนิยมของไทยได้สูญเสียฐานะครอบงำทางความคิดจิตใจในหมู่ประชาชนไปอย่างรวดเร็ว และจำต้องหันมาใช้กลไกอำนาจรัฐที่เป็นความรุนแรงอย่างเปิดเผยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงการฆ่าหมู่ประชาชนเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 การต่อสู้ให้ได้ชัยชนะของประชาธิปไตยนั้นต้องเปลี่ยนดุลกำลังอำนาจรัฐจากปัจจุบันที่ฝ่ายเผด็จการเป็นหลัก ให้ฝ่ายประชาธิปไตยมาเป็นด้านหลัก แต่การเปลี่ยนดุลกำลังดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ต้องเปลี่ยนดุลกำลังอำนาจทางความคิดก่อน นั่นคือ ฝ่ายประชาธิปไตยต้องชนะศึกทางความคิด ให้ประชาชนส่วนข้างมากของสังคม “รู้ความจริง” อันเป็นเนื้อแท้ภายใต้หน้ากากนักบุญของพวกเผด็จการ กระทั่งในวันหนึ่ง เมื่อ “ความจริง” ทั้งหมดได้ไปสู่ประชาชนเป็นจำนวนส่วนข้างมากพอแล้ว ความชอบธรรมของระบอบปกครองเผด็จการก็จะสิ้นสุดลง ฉะนั้น หนทางไปสู่ชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยคือ การเคลื่อนไหวรณรงค์เผยแพร่ทางความคิด ให้ประชาชนจำนวนมากได้ “รู้ความจริง” ถึงเนื้อแท้ของการปกครองเผด็จการ ให้ผู้คนจำนวนมากขึ้น ๆ มีจุดยืนหันมาสู่ประชาธิปไตย ปฏิเสธการปกครองเผด็จการจารีตนิยม ทั้งยกระดับคุณภาพด้วยการรวมตัวจัดตั้งและเคลื่อนไหวตามสภาพการณ์ เมื่อปริมาณและคุณภาพของประชาชนที่ “รู้ความจริง” มีมากขึ้นถึงจุดที่เปลี่ยนดุลกำลังทางความคิดได้ การเปลี่ยนผ่านดุลกำลังในอำนาจรัฐก็จะเกิดขึ้นในรูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขเฉพาะในขณะนั้น ยุทธศาสตร์การเอาชนะเผด็จการในขั้นตอนปัจจุบันจึงเป็นการ “เผยแพร่ความจริง ขยายปริมาณ สร้างคุณภาพ” สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
Posted: 21 Apr 2011 02:07 PM PDT
อันเนื่องมาจากนวัตกรรมจิ๋มเอื้ออาทร ทำเอาวงการกะเทยตื่นตัวลุกขึ้นมาแสดงความคิดเห็นของตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์ชัด…สมกับที่เขาว่า สถานการณ์สร้างฮีโร่ เมื่อทุกอย่างสงบราบคาบ ผู้นำก็ไม่เกิด วันที่ 21 เมษายน 2554 ตอนเช้าหมาดๆ วันนี้เอง เครือข่ายเพื่อนกะเทยไทยร่วม กับพันธมิตรจัดแถลงข่าวและเสวนาเรื่อง “กะเทยไม่ป่วย” โดยสาวๆ ทั้งห้า-หกนางจากเครือข่ายเพื่อนกะเทยไทยขึ้นพูดบนเวทีในเสวนาช่วงเช้า กะเทยทุกวันนี้ต้องเผชิญกับความยากลำบากหลายแง่มุม และยิ่งลำบากกว่าเดิม เมื่อเสียงของ "ผู้หญิงข้ามเพศ"นางหนึ่งลุกขึ้นมาออกว่า ความเป็นตัวหนูนั้นคือความป่วยไข้ เอื้ออาทรหนูที หนูเป็นโรคเพศสลับ จนกระทั่งเครือข่ายเพื่อนกะเทยไทย ต้องลุกขึ้นมาบอกกล่าวกับสังคมว่า เราไม่ได้เป็นโรค เราไม่ได้ป่วย เพราะ “มนุษย์มีสิทธิในการกำหนดเจตจำนงในวิถีชีวิตทางเพศของตนเอง การเลือกดำเนินชีวิตทางเพศของตนเองถือเป็นสิทธิที่ได้มาโดยกำเนิด ไม่สามารถโอนถ่ายและพรากไปได้” สิทธิเหล่านี้ถูกรับรองและระบุไว้ชัดเจนในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม (เจษฎา แต้สมบัติ , ผู้ประสานงานเครือข่ายเพื่อนกะเทยไทย2554) การเปลี่ยนร่างกายให้สอดคล้องตามความต้องการของตนเองนั้นเป็นสิทธิ ที่เลือกกระทำได้ สิทธิในการเลือกเพศของตนเอง และไม่ถูกกีดกันอันเนื่องจากความเป็นเพศ ย่อมเป็นจริงสำหรับ LGBTQ หรือเกย์ กะเทย ทอม ดี้ และอื่นๆ ทุกคน “ถามเราด้วย ก่อนที่จะบอกว่าเราป่วย” เป็นเสียงจากน้องดอย กะเทยสวยจากเชียงใหม่ ไม่ต้องมารักษาเรา เพราะการรักษาของคุณๆ มันสับสนเหลือเกิน วันก่อนก็อยากรักษาเราให้หายจากการเป็นกะเทย วันนี้ก็อยากรักษาเราให้เป็นกะเทยสมใจ !!! การพยายามเข้ามาช่วยเหลือโดยการรักษาของสถาบันทั้งหลาย ดูเหมือนว่าจะมีคนรุมให้คำอธิบาย รุมตัดสินใจ กำหนดบริการต่างๆ สำหรับเหล่ากะเทย การตัดสินใจต่างๆ พึ่งพิงนักเทคนิค นักกฎหมาย และอื่นๆ โดยคนที่จะได้รับการปรึกษาเป็นคนสุดท้ายนั้นคือตัวกะเทยเอง กะเทยเสนอว่าในใบ สด. 43 เราต้องการคำว่า “ผู้ที่มีจิตใจไม่ตรงกับเพศสภาพ” แทนคำว่า “วิกลจริต” ในช่องเหตุผลที่จะไม่ถูกเกณฑ์ทหาร หลังจากประสานงาน ติดต่อ ประท้วงกดดันกันมาเป็นสี่ห้าปี สุดท้าย ที่ประชุมนั้นก็ตกลงใจว่าจะใช้คำนี้ตามที่ฝ่ายกะเทยเสนอไป เมื่อได้ผลการพิจารณาแล้ว ตัวแทนที่ประชุมได้มาปรึกษากับคุณนัยนา สุภาพึ่ง อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนซึ่งติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด พี่นัยนาของเราจึงต้องบอกกลับไปว่า “ท่านคะ จริงๆ เรื่องนี้ง่ายนิดเดียว เวลาท่านจะตกลงใจอะไร ท่านก็เชิญพวกกะเทยเข้าไปฟังด้วยซิคะ” การกดบังคับ ตีกรอบ กำหนดการลงโทษ หรือช่วยเหลือโดยปราศจาการการถามความเห็นที่กะเทยเจออยู่ทุกวันนี้ คล้ายคลึงกับที่กลุ่มคนอีกมากมายต้องประสบ - วัยรุ่นหญิงที่อยู่ร่วมกับเชื้อ (น้องๆ เหล่านี้เกิดมาพร้อมกับเอชไอวี ปัจจุบันน้องกลุ่มนี้โตเป็นวัยรุ่นแล้ว) ถูกมองว่าไม่มีวิจารณญาณในการมีเพศสัมพันธ์ดีพอ และควรทำหมันเสีย เพราะจะไม่เกิดปัญหาต่อไป - วัยรุ่นทั่วไปก็ถูกมองว่าไม่มีวิจารณญาณเกี่ยวกับเรื่องเพศ ผู้ใหญ่ต้องไปคุมเข้มอยู่หน้าโรงแรม ห้ามออกนอกเคหสถานในเวลากลางคืน แต่ไม่ต้องการให้เข้าถึงคอนด้อม ยาคุมกำเนิด ชุดตรวจครรภ์ ฯลฯ ที่เป็นเครื่องมือช่วยให้ปลอดภัย - คนพิการเรียกร้องกับ กทม.ว่า ไม่ต้องการให้สร้างอะไรพิเศษสำหรับคนพิการ ขอเพียงอย่างเดียว คือให้คนพิการเข้าร่วมด้วยในการตัดสินใจสร้างแต่ละสิ่ง เพราะที่แล้วๆ มาจัดทำมาให้แล้วแต่ใช้ไม่ได้ เพราะปราศจากความเข้าใจ - ผู้หญิงจำเป็นต้องทำแท้ง กลับต้องได้รับการพิจารณาจากหมอว่าสมควรหรือไม่ ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนบางคนยังไม่สามารถทำแท้งได้ เพราะหมอรู้สึกตะขิดตะขวงใจ - ข้อมูลเรื่องฮอร์โมนสำหรับกะเทย ส่วนใหญ่ได้รับจากเพื่อนฝูง เพราะหมอๆ ทั้งหลายลังเลที่จะให้ข้อมูลว่าผู้ชายที่อยากมีร่างกายแบบผู้หญิงจะใช้ฮอร์โมนช่วยอย่างถูกต้องได้อย่างไร - ข้อมูลเตรียมการท้องอย่างปลอดภัยของผู้ติดเชื้อไม่ได้มีเผยแพร่ทั่วไป เพราะหมอลังเลใจที่จะสนับสนุนผู้หญิงติดเชื้อให้ท้องอีกครั้ง ไม่ว่าเราจะเป็น LGBT เป็นผู้ติดเชื้อ เป็นคนพิการ หรือเป็นวัยรุ่น ต่างก็ถูกพรากเอาการตัดสินใจในชีวิตไปจากตัวเรา สำหรับตัวคุณเอง เคยคิดหรือไม่ว่าได้ตัดสินใจในสิ่งที่สำคัญในชีวิตจริงๆ ล่ะหรือ ?? ตัวอย่างเหล่านี้ เป็นที่ระคายหูเมื่อได้ฟัง เพราะผู้คนในสังคมต่างถูกทำให้เชื่อว่า สังคมอยู่ได้เพราะมีบรรทัดฐานเดียวกัน ถ้าใครแหกกฎนี้ ก็สมควรแล้วที่จะถูกลงโทษ โดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องเพศ กะเทยยังแอบรู้ทันสังคมแบบ “นิยมชาย – รักต่างเพศ” (patriarchy – heterosexual) ว่าพยายามกดดันอย่างหนักเพื่อให้พวกเธอเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็น “ผู้ชาย” กะเทยบางคนเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่สมัยเด็กๆ เคยถูกเพื่อนเอาทรายใส่ในกางเกงเพื่อกลั่นแกล้ง ถูกบอกว่าจะต้องไปเรียนลูกเสือ เมื่อต้องการไปเรียนเนตรนารี กลับไปบ้านก็ถูกพ่อแม่ด่าว่า บางคนถูกทำร้ายเพื่อให้หายเป็นกะเทย เดินผ่านมอเตอร์ไซค์ยังถูกเรียกว่าอีตุ๊ด จะทำประกันก็ยังถูกบอกว่าถ้าแปลงเพศแล้วถือว่าพิการ จะเสียชีวิตเร็ว การลงโทษต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่เป็นเรื่องตลก และไม่ได้เป็นปรากฎการณ์เฉพาะที่เกิดขึ้นกับกลุ่มที่ผิดประหลาดไป แต่มันเป็นการหล่อหลอมสำหรับทุกๆ คนในสังคม คนที่ไม่อยู่ในกรอบของสังคมควรถูกลงโทษ เด็กผู้หญิงที่เปิดนมเต้นวันสงกรานต์ ปี 54 จึงถูกลงโทษเป็นการจับ-ปรับ เพื่อให้เข้าใจว่าสิ่งที่ผู้หญิงควรทำนั้นคืออะไร นั้นจึงเป็นเรื่องการหล่อหลอม ลงโทษ ให้รางวัลของสังคม และหญิงรักหญิงที่ลุกขึ้นมาเขียนว่าการเปิดนมเป็นสิทธิทางเพศของผู้หญิง เป็นสิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิงจะถูกท้าว่าให้เปิดทั้งบนทั้งล่างไปเลย แล้วจะเห็นผล...รับประกันความไม่ปลอดภัย ดังนั้น หญิงรักหญิงอย่างฉันจึงไม่ลังเลใจเลยที่จะเป็นหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการ กะเทยไม่ป่วย สังคมเราไม่ได้อยู่ …และอาจจะไม่เคยอยู่ภายใต้กรอบมาตรฐานเดียว “มาตรฐานเดียว” ทางจริยธรรม ศีลธรรม นั้นเป็นเพียงภาพลวงตา เราต้องการความเข้าใจ และการเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน และอนุญาตให้ทุกๆ คนได้เป็นตัวเอง อย่างที่ไม่ต้องถูกอธิบาย กำหนด ลงโทษ กีดกัน เพราะเหตุแห่งความแตกต่างใดๆ ก็ตาม
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
กลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกฯ เชิญร่วมลงชื่อค้าน “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฮามาโอกะ” ในญี่ปุ่น Posted: 21 Apr 2011 12:50 PM PDT กลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกเพื่ออนาคต เขียนข้อความขอความร่วมมือประชาชนทั่วไปในเฟซบุ๊คของกลุ่ม ลงชื่อสนับสนุนให้มีการยุติการดำเนินงานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฮามาโอกะ วานนี้ (21 เม.ย.54 ) กลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือก เพื่ออนาคต (Alternative Energy Project for Sustainability: AEPS) เขียนข้อความขอความร่วมมือประชาชนทั่วไปในเฟซบุ๊คของกลุ่ม ร่วมลงชื่อสนับสนุนให้มีการงยุติการดำเนินงานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฮามาโอกะ ในจังหวัดชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่ภัยพิบัติจะเกิดขึ้น ดังเช่นกรณีเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ ที่ส่งผลทำให้เกิดการระเบิดในฟุกุชิมะโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Daiichi เมื่อวันที่ 11 มี.ค.54 ทั้งนี้ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฮามาโอกะ จังหวัดชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น อยู่ห่างจากโตเกียวเพียง 200 กิโลเมตร อีกทั้งโรงไฟฟ้าดังกล่าวยังตั้งอยู่บนแนวมุดตัวของเปลือกโลก (subduction zone) มีเตาปฏิกรณ์รวม 5 เครื่อง ในระหว่างปี 1991-2009 มีเหตุขัดข้อง/อุบัติเหตุเกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้าแห่งนี้มาแล้วถึง 13 ครั้ง ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นได้คาดการณ์ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวระดับรุนแรงขึ้นที่จังหวัดชิซูโอกะ ซึ่งหมายความว่าหายนะภัยนิวเคลียร์ญี่ปุ่นในลักษณะเดียวกับโรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ อาจเกิดขึ้นได้อีกครั้งที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฮามาโอกะ ข้อความระบุด้วยว่า ขณะนี้กลุ่มรณรงค์คัดค้านนิวเคลียร์ในญี่ปุ่นกำลังรณรงค์เรียกร้องให้รัฐบาลปิดโรงไฟฟ้าแห่งนี้ทันที ก่อนที่เหตุแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้น ทั้งนี้ ภัยพิบัตินิวเคลียร์เป็นเรื่องข้ามพรมแดน กลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือก เพื่ออนาคตจึงขอความร่วมมือพี่น้องคนไทยช่วยลงชื่อสนับสนุนการเรียกร้องของพี่น้องชาวญี่ปุ่นครั้งนี้ โดยสามารถลงชื่อได้ที่ http://stophamaokanuclearpp.com/en/?p=50 สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สภาล่มรอบ 4 ส.ส.เมินโหวตวาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมฯ Posted: 21 Apr 2011 11:20 AM PDT ที่ประชุมสภาฯ ล่มครั้งที่ 4 หลังพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะวาระที่ 2 เสร็จสิ้น ประธาน กดปุ่มเรียก ส.ส. มาลงมติวาระ 3 แต่เหลือ ส.ส. 231 คน ไม่ครบองค์ประชุม วันที่ 21 เม.ย.54 เมื่อเวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .... คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้วต่อเป็นวันที่ 2 โดยนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้มอบให้นายกว้าง รอบคอบ เป็น ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน มาแทน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ที่ลาออกไป ได้ลุกขึ้นปฏิญาณตนก่อนทำหน้าที่ และพูดกระเซ้าว่า ขอต้อนรับสมาชิกใหม่ แต่คงอยู่ได้ไม่นานเดี๋ยวก็ยุบสภาแล้ว จากนั้นจึงได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ต่อในมาตรา 8 การชุมนุมสาธารณะต้องไม่กีดขวางทางเข้าออกสถานที่ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่นั้น ประกอบด้วย สถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระรัชทายาท รวมถึงสถานที่พำนักของพระราชอาคันตุกะ รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล ศาล และหน่วยงานของรัฐ ท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟ หรือสถานีขนส่งสาธารณะ โรงพยาบาล สถานศึกษา และศาสนสถาน สถานทูตหรือสถานกงสุลของรัฐต่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศ ทั้งนี้ การชุมนุมที่ได้รับอนุญาตต้องมีระยะห่างจากสถานที่ดังกล่าวไม่น้อยกว่า 10 เมตร ซึ่ง ส.ส.ส่วนใหญ่ได้อภิปรายแสดงความเป็นห่วงเรื่องกำหนดระยะห่างระหว่างการชุมนุมกับสถานที่สำคัญอาจเกิดข้อจำกัดในการชุมนุม และการดูแลความปลอดภัย โดยมีผู้เสนอให้กำหนดความชัดเจนเรื่องระยะห่าง รวมถึงการกำหนดสถานที่สำคัญควรกำหนดให้ชัดเจนว่าห้ามชุมนุมโดยเด็ดขาด ไม่ควรเปิดโอกาสให้มีการขออนุญาตเพราะสถานที่ที่กำหนดไว้ล้วนเป็นสถานที่สำคัญ อย่างไรก็ดีหลังการอภิปรายสมาชิกบางส่วนต้องการให้กรรมาธิการแปรญัตติปรับปรุงถ้อยคำให้ชัดเจน ขณะที่กรรมาธิการยืนยันตามที่พิจารณาเสร็จแล้วทำให้ประธานสั่งพักการประชุม 3 นาทีเพื่อให้สมาชิกและกรรมาธิการไปตกลงกันให้ได้ข้อสรุป หลังพักการประชุมนายนิพนธ์ บุญญามณี กรรมาธิการ เสนอว่าควรแก้ไขว่า "การชุมนุมสาธารณะห้ามจัดการชุมนุมในสถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และที่พำนักของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รวมถึงสถานที่พำนักของพระราชอาคันตุกะ โดยการชุมนุมจะต้องไม่กีดขวางทางเข้าออกสถานที่ดังต่อไปนี้ รัฐสภา สถานที่ราชการ ศาล ท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟ สถานีขนส่งสาธารณะ โรงพยาบาล สถานศึกษา ศาสนสถาน สถานทูต สถานกงสุล ที่ทำการองค์กรระหว่างประเทศ" โดยที่ประชุมพอใจกับการปรับปรุงถ้อยคำจึงผ่านการพิจารณาในมาตรา 8 จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาเรียงรายมาตรา โดยมีมาตราที่สำคัญ ซึ่ง ส.ส.ให้ความสนใจในการอภิปรายเป็นจำนวนมาก อาทิ มาตรา 19 การชุมนุมต้องเลิกชุมนุมตามกำหนดเวลาที่แจ้งไว้ โดยกรรมาธิการเพิ่มเติมว่าภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนสิ้นสุดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง หากผู้ชุมนุมประสงค์จะจัดให้มีการชุมนุมต่อไป ให้แจ้งขอขยายระยะเวลาการชุมนุมต่อผู้รับแจ้ง โดยกรรมาธิการแจ้งกับที่ประชุมว่าจุดมุ่งหมายของการบัญญัติมาตรานี้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ทราบกำหนดเวลาการเลิกชุมนุม อย่างไรก็ดีสมาชิกบางส่วนเห็นว่าการต้องแจ้งเพื่อชุมนุมต่อทำให้เกิดความลำบากกับผู้ชุมนุม บางกรณีผู้ชุมนุมมีความเดือดร้อนด้านต่างๆ และยังไม่ได้รับการแก้ไขการจะต้องแจ้งเพิ่มเวลาชุมนุมทำได้ลำบาก อย่างไรก็ดีที่ประชุมยืนยันตามที่กรรมาธิการเพิ่มเติม นอกจากนี้ ที่ประชุมได้แก้ไขถ้อยคำในมาตรา 22 ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้เดียวที่สามารถแต่งตั้งเจ้าพนักงานรับผิดชอบดูแลการชุมนุม กรณีหัวหน้าสถานีตำรวจแห่งท้องที่ที่มีการชุมนุมและผู้ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าสถานี ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ทั้งนี้เดิมร่างกฎหมายให้อำนาจรัฐมนตรีและ ผบ.ตร.เป็นผู้แต่งตั้งเจ้าพนักงานแต่ที่ประชุมเห็นว่าหน้าที่ดูแลการชุมนุมควรเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลมากกว่าฝ่ายบริหาร มาตรา 24 กรณีการชุมนุมไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือผู้จัดการชุมนุมไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ให้เจ้าพนักงานประกาศให้ยกเลิกการชุมนุมภายในเวลาที่กำหนด หากไม่ปฏิบัติตามเจ้าพนักงานต้องร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งเลิกการชุมนุม ในระหว่างรอคำสั่งศาลให้เจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการที่จำเป็นตามแผนหรือแนวทางการควบคุมที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดยกำหนดแผนหรือแนวทางการควบคุมให้เจ้าพนักงานเลี่ยงการใช้กำลัง หรือไม่สามารถเลี่ยงได้ให้ใช้กำลังหรือเครื่องมือควบคุมฝูงชนเพียงเท่าที่จำเป็น โดยนายบรรพต ต้นธีรวงศ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ กรรมาธิการเสียงข้างน้อยได้ขอเพิ่มเติมข้อสังเกตว่า ขณะที่รอคำสั่งศาลขอให้เจ้าพนักงานและผู้จัดการชุมนุมใช้วิธีประนีประนอมโดยหากสามารถตกลงกันได้ให้นำเสนอข้อตกลงต่อศาลเพื่อพิจารณา ซึ่งกรรมาธิการเสียงข้างมากรับข้อเสนอดังกล่าวไว้แนบท้ายร่างกฎหมาย ภายหลังจากการพิจารณาเรียงมาตรา ในวาระ 2 เสร็จสิ้นทั้ง 39 มาตรา นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะประธานที่ประชุม กดออดเรียก ส.ส.มาแสดงตน ก่อนจะลงมติในวาระ 3 ปรากฏว่ากดออดนานถึง 10 นาทีก็ยังไม่ครบ ระหว่างนั้นส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาลต่างเรียกร้องให้นายสามารถรอ ส.ส.ที่กำลังเดินทางจากห้องประชุมคณะกรรมาธิการฯก่อน ซึ่งนายสามารถได้กดออดรออีกสักพัก แต่ในที่สุดเมื่อนับองค์ประชุมปรากฏว่ามี ส.ส.อยู่เพียง 231 คน ไม่ครบองค์ประชุมที่จำนวน 237 คน จากทั้งหมด 474 คน นายสามารถจึงสั่งปิดประชุมเมื่อเวลา 13.45 น. ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
กม.ภาษีที่ดินฯ ผ่าน ครม. เก็บ "ที่อยู่-พื้นที่เกษตร" 0.05% "ที่รกร้าง" 0.5% Posted: 21 Apr 2011 10:45 AM PDT “กรณ์” เผย พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างผ่านที่ประชุม ครม.แล้ว เตรียมดันบรรจุในการพิจารณาของสภาฯ ในวาระแรก แต่คาดไม่ทันรัฐบาลชุดนี้ หยอดถ้ารัฐบาลได้กลับมาใหม่หลังเลือกตั้ง จะผลักดันให้บังคับใช้ เมื่อวันที่ 20 เม.ย.54 นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ... ผ่านการพิจารณาจากที่ประชุม ครม.เรียบร้อยแล้ว หลังจากได้รับทราบข้อคิดเห็นจากทั้งสำนักงานกฤษฎีกาและกระทรวงมหาดไทยเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งที่ประชุม ครม.เห็นตรงกันกับร่างที่คณะกรรมการกฤษฎีกาปรับปรุงแก้ไข ดังนั้น ในขั้นตอนต่อจากนี้ไป เลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะแจ้งไปยังวิปรัฐบาล เพื่อให้บรรจุร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่วาระของสภาผู้แทนราษฎรให้ทันสมัยการประชุมนี้ อย่างไรก็ดี ยอมรับว่า ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอาจจะไม่สามารถได้รับการพิจารณาจากที่ประชุมสภาฯ ได้ทันในที่ประชุมสภาฯ สมัยนี้ แต่มั่นใจว่าถ้ารัฐบาลชุดนี้ได้กลับมาบริหารงานอีกในสมัยหน้าก็จะเดินหน้าผลักดันการพิจารณากฎหมายดังกล่าวจนออกมามีผลบังคับใช้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ มีดังนี้ 1. กำหนดให้ฐานภาษีได้แก่ มูลค่าทั้งหมดของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยการคำนวณมูลค่าของที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และห้องชุด ให้ใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์เป็นเกณฑ์ในการคำนวณ กรณีที่ไม่มีราคาทุนทรัพย์ การคำนวณมูลค่าให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กำหนดโดยกฎกระทรวง (ร่างมาตรา 26) 2. กำหนดให้มีอัตราภาษีที่จัดเก็บสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ดังนี้ 2.1 ไม่เกินร้อยละ 0.05 ของฐานภาษี สำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ในการประกอบเกษตรกรรม หรือที่ใช้ในการประกอบเกษตรกรรมและที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยมีพื้นที่ที่ใช้ในการประกอบเกษตรกรรมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของพื้นที่ทั้งหมด 2.2 ไม่เกินร้อยละ 0.1 ของฐานภาษี สำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย หรือที่ใช้ในการประกอบเกษตรกรรมและที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยมีพื้นที่ที่ใช้ในการประกอบเกษตรกรรมน้อยกว่าสามในสี่ของพื้นที่ทั้งหมด 2.3 ไม่เกินร้อยละ 0.5 ของฐานภาษี สำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างนอกจากข้อ 2.1 และข้อ 2.2 (ร่างมาตรา 28) 3. กำหนดเกณฑ์และวิธีการคำนวณการลดหย่อนภาษี โดยเกณฑ์ขนาดพื้นที่ ไม่เกินห้าสิบตารางวาสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และไม่เกินห้าสิบตารางเมตรสำหรับห้องชุด และเกณฑ์ฐานภาษี ไม่เกินหนึ่งล้านบาทสำหรับฐานภาษีที่คำนวณได้รวมกันของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งปลูกสร้าง หรือห้องชุด (ร่างมาตรา 30) 4. กำหนดให้มีการจัดสรรเงินภาษีที่จัดเก็บได้และนำส่งให้แก่ธนาคารที่ดิน เพื่อใช้ในกิจการตามวัตถุประสงค์ หลักเกณฑ์ และวิธีการ ตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งบัญญัติไว้ แต่ในระหว่างที่ยังไม่มีการจัดตั้งธนาคารที่ดิน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสรรเงินภาษีที่จัดเก็บได้และนำส่งให้แก่สถาบันบริหารการจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เพื่อใช้ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสถาบันดังกล่าว โดยสถาบันบริหารการจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ต้องแยกบัญชีสำหรับเงินดังกล่าวต่างหากจากการดำเนินกิจการอื่นด้วย และเมื่อสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ยุบเลิกเนื่องจากมีการจัดตั้งธนาคารที่ดินแล้ว การนำส่งเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะสิ้นสุดลง และให้โอนเงินเท่าที่เหลืออยู่ให้แก่ธนาคารที่ดินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนด (ร่างมาตรา 71 และมาตรา 72) สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ข้อมูลสองด้านที่บ้านน้ำดำ...เมื่อสองเยาวชนต้องตาย "ใครคือคนร้าย ใครคือผู้บริสุทธิ์?" Posted: 21 Apr 2011 10:33 AM PDT เหตุการณ์รุนแรงเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 18 เม.ย.2554 สืบเนื่องจากกรณีเจ้าหน้าที่ออกติดตามไล่ล่าคนร้ายที่ยิงถล่มฐานปฏิบัติการของกองร้อยทหารพรานที่ 4302 บ้านน้ำดำ หมู่ 3 ต.ปูโละปูโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี กำลังบานปลายกลายเป็น "น้ำผึ้งหยดเดียว" อีกครั้ง เมื่อมีเยาวชนเสียชีวิต 2 รายจากเหตุการณ์ดังกล่าว และฝ่ายเจ้าหน้าที่รีบสรุปว่าเยาวชนทั้งคู่เป็นคนร้ายที่ดักซุ่มโจมตีกองกำลังทหารพราน แต่ครอบครัวของผู้ตายและชาวบ้านต่างเชื่อว่าทั้งสองเป็นผู้บริสุทธิ์ และถูกกระสุนจากเจ้าหน้าที่จนต้องสังเวยชีวิต รายละเอียดของเหตุการณ์ในคืนนั้น เริ่มจากมีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธสงครามยิงถล่มฐานปฏิบัติการของกองร้อยทหารพรานที่ 4302 แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ หลังเกิดเหตุฝ่ายทหารพรานได้จัดกำลังออกติดตามไล่ล่าคนร้าย โดยมีนายทหารระดับสัญญาบัตรเป็นหัวหน้าชุด พร้อมกำลังพลรวม 10 นาย มีรถกระบะเป็นพาหนะ เมื่อรถแล่นถึงสะพานแห่งหนึ่งบนถนนสายบ้านบ่อทอง-ยาบี ท้องที่หมู่ 3 ต.ปูโละปูโย มีรายงานจากฝั่งทหารพรานว่าถูกคนร้ายซุ่มยิงถล่มยานพาหนะ ทำให้ อาสาสมัครทหารพราน (อส.ทพ.) เฉลิมพล ศรีสุข อายุ 35 ปี ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา หลังจากนั้นฝ่ายทหารพรานได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงตอบโต้จนเกิดการปะทะกันนานหลายนาทีกว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ เมื่อเสียงปืนสงบลงพบร่างผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ 2 ราย โดยผู้บาดเจ็บคือ นายอับดุลเลาะ แวเยะ อายุ 19 ปี ส่วนผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุคือ นายฮัสซัน มามะ อายุ 16 ปี ต่อมานายอับดุลเลาะทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตที่โรงพยาบาล จริงๆ แล้วตามข่าว คดีนี้กำลังจะถูกปิดด้วยด้วยประโยคที่หลายคนคุ้นชินว่า "ผู้ตายเป็นแนวร่วมกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง" แต่เผอิญคราวนี้ไม่ได้จบลงแบบนั้น เนื่องจากครอบครัวของเยาวชนทั้งสองรวมทั้งชาวบ้านที่รู้จักต่างปักใจว่าทั้งคู่คือ "ผู้บริสุทธิ์" ที่ต้องมาจบชีวิตด้วยสาเหตุอันไม่สมควร
ข้อมูลฝั่งทหาร "เด็กสองคนมีระเบิด" พ.อ.ศานติ ศกุนตนาค ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 43 หน่วยต้นสังกัดของกองร้อยทหารพรานที่ 4302 กล่าวว่า การตายของเยาวชนทั้งสองคนนั้น เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ทหารพรานยิงใส่จริง แต่สาเหตุเกิดจากเจ้าหน้าที่เข้าใจว่าทั้งคู่คือกลุ่มคนร้ายที่จะเข้ามาก่อเหตุ "ตอนแรกมีคนร้ายยิงเอ็ม 79 (เครื่องยิงลูกระเบิด) ใส่ฐานของเราก่อน แล้วเกิดการปะทะกัน 2 จุด คือจุดก่อนถึงสะพานบ้านน้ำดำ และบริเวณสะพานบ้านน้ำดำ โดยจุดแรกที่มีการยิงปะทะกัน คนร้ายได้ยิงเจ้าหน้าที่ของเรา (อส.ทพ.เฉลิมพล) ได้รับบาดเจ็บจนตกรถและไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหาร (อ.หนองจิก จ.ปัตตานี) จากนั้นเด็กทั้ง 2 คนก็ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามา ทางเราได้เรียกให้จอดแต่เด็กไม่ยอมจอด เจ้าหน้าที่จึงยิงใส่จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย จากนั้นเราได้เข้าไปตรวจสอบ พบวัตถุระเบิดชนิดขว้าง 1 ลูก จึงมั่นใจว่าเด็กทั้งสองคือคนร้าย" พ.อ.สันติ ย้ำว่า จากวัตถุระเบิดที่พบ และพฤติการณ์ที่เจ้าหน้าที่เรียกให้จอดรถแล้วไม่ยอมจอด ทำให้เชื่อได้ว่าเยาวชนทั้งคู่คือคนร้ายแน่นอน "เรามั่นใจว่าเด็กทั้งสองคนเป็นคนร้ายจริง เพราะใกล้ๆ ศพเราตรวจพบลูกระเบิดชนิดขว้างจำนวน 1 ลูก และก่อนที่เราจะยิงใส่เด็ก เราเรียกให้จอดรถก่อนแต่เด็กไม่ยอมจอด จึงต้องทำตามหน้าที่ และในเวลานั้นถ้าเป็นผู้บริสุทธิ์จะไม่มีทางเข้ามาบริเวณจุดเกิดเหตุแน่นอน เขายิงกันเสียงดัง แต่จู่ๆ เด็กทั้งสองก็โผล่เข้ามา ถ้าไม่ใช่คนร้ายแล้วจะให้คิดอย่างไร" ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 43 กล่าว ข้อมูลฝั่งชาวบ้าน "หลานรับโทรศัพท์บอกถูกทหารยิง" นางปาซียะห์ หะมูมะ อายุ 38 ปี มารดาของฮัสซัน เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุลูกชายอยู่ที่บ้านซึ่งเปิดเป็นร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ และอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 500 เมตร ทุกวันลูกชายจะไปกินข้าวเย็นที่บ้านยายซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 1 กิโลเมตร โดยจะพาน้องชายคนเล็กวัย 5 ขวบที่ชื่ออุสมานไปด้วย แต่คืนเกิดเหตุลูกชายออกไปกับ อับดุลเลาะ แวเยะ ลูกพี่ลูกน้องที่เพิ่งกลับจากประเทศมาเลยเซียได้แค่หนึ่งสัปดาห์ จึงไม่ได้พาอุสมานไป โดยเขาก็ขี่รถออกจากบ้านไปตามปกติ ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีเรื่องร้ายถึงชีวิต "ซัน (ฮัสซัน) กับเลาะ (อับดุลเลาะ) ขี่รถออกไปได้ไม่นานฉันก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ฉันกับแม่เลี้ยงของเลาะยังตกใจ แล้วก็อุทานชื่อลูกออกมาพร้อมกัน ฉันรู้สึกเป็นห่วงจึงยกโทรศัพท์โทร.หาซัน แต่เลาะเป็นคนรับสาย เมื่อเลาะรับโทรศัพท์ปุ๊บเขาก็พูดเลยว่า ‘ช่วยด้วยผมถูกยิง มารับผมส่งโรงพยาบาลด้วย’ ฉันก็บอกว่าจะไปรับได้อย่างไรเขายิงกันอยู่ แต่เลาะก็พูดย้ำหลายครั้งให้ไปรับเขาด้วย เขาถูกทหารยิงที่สะพาน สักพักก็เงียบไป ฉันจึงแจ้งให้ อส. (อาสารักษาดินแดน) ที่อยู่ที่ฐานใกล้ๆ ให้เข้าไปรับ จากนั้นก็ตามไปที่โรงพยาบาล" ปาซียะห์ บอกว่า ตอนแรกยังไม่รู้ว่าลูกชายของนางเสียชีวิตไปแล้ว และไม่คิดว่าหลานชายจะตายตามไปอีกคน "ตอนนั้นฉันยังไม่รู้นะว่าซันตายแล้ว ไปรู้ที่โรงพยาบาล และก็ไม่คิดว่าเลาะจะตายด้วยเพราะทีแรกดูเขาก็ยังแข็งแรงดี แต่ประมาณเที่ยงคืนเลาะก็สิ้นใจเพราะเสียเลือดมาก ฉันกะว่าจะถามเลาะเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียแล้ว" นางเล่าปนสะอื้น รับไม่ได้ จนท.อ้างลูกกับหลานพกระเบิด ปาซียะห์ บอกด้วยว่า ยากที่จะทำใจให้ยอมรับได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเด็กทั้งสองคนต่างเป็นกำพร้า... "ซันกำพร้าพ่อ เพราะพ่อของเขาถูกยิงตายเมื่อหลายปีก่อน ส่วนเลาะนั้นแม่เสียชีวิตตั้งแต่แกยังเล็กอยู่ ทหารไม่น่าทำอย่างนี้กับพวกเขาเลย เขาผิดอะไร ทำไมต้องไปว่าเขาเป็นคนร้ายด้วย ฉันไม่เชื่อเลยว่าลูกเป็นคนร้าย เพราะเขาออกจากบ้านไม่นานก็มาถูกยิง และทหารบอกว่าเขามีระเบิดด้วย ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด" "ซันนั้นอย่าว่าแต่จะพกระเบิดเลย แค่เห็นยังไม่รู้เลยว่าจะเคยเห็นหรือเปล่า แล้วจะพกระเบิดไปไหนมาไหนเพื่อก่อเหตุได้อย่างไร ที่ผ่านมาซันอยู่ในสายตาฉันตลอด เราเปิดร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์เพื่อต่อยอดงานของพ่อเขา เมื่อสามีฉันถูกยิง ซันและพี่ชายรวมทั้งฉันเองก็มาดูแลร้านแทน ช่วยกันทำมาหากิน อยู่แต่ในร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ตลอด พอตกเย็นซันก็จะไปกินข้าวที่บ้านยายทุกวัน ไม่ได้ไปแค่คืนที่เกิดเหตุคืนเดียว ฉะนั้นไม่ว่าจะอย่างไรฉันก็ไม่เชื่อว่าลูกเป็นโจร" ปาซียะห์ กล่าว เหวี่ยงแหจับ-ยิงเด็กตาย..."อยู่ที่ไหนความยุติธรรม" ผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านของเยาวชนทั้งสองราย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์ยิงเยาวชนเสียชีวิต 2 รายก็นับว่าแย่แล้ว แต่หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ยังเปิดฉากเหวี่ยงแหจับกุมเยาวชนในละแวกนั้นไปอีก 8 ราย ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด "เจ้าหน้าที่หาว่าเป็นผู้ต้องสงสัยก่อเหตุโจมตีทหารพราน ก็เลยจับเด็กและเยาวชนที่เดินอยู่แถวๆ นั้นไปอีก 8 คน ลองคิดดูถึงความเป็นจริง ถ้าเด็กชุดนั้นเป็นคนร้ายที่ปะทะกับเจ้าหน้าที่ เขาจะมีเวลามาเดินเล่นอยู่ตามท้องถนนหรือ แถมยังแต่งตัวสะอาดสะอ้าน ไม่มีเหงื่อหรือร่องรอยของการเพิ่งก่อเหตุมาหยกๆ เลย" "มันเหมือนกับพอมาถึงก็จับๆ ไปก่อน ไม่ได้พิจารณาถึงข้อเท็จจริงและความเป็นไปได้ จริงอยู่ที่เจ้าหน้าที่ค้นเจอใบกระท่อมในตัวเด็กคนหนึ่งในนั้น แต่ก็ไม่ใช่ข้อพิรุธหรือยืนยันว่าเขาเป็นคนร้ายที่เพิ่งปะทะกับเจ้าหน้าที่ ทั้งการเหวี่ยงแหจับและการยิงเด็กตายสะท้อนให้เห็นว่าชาวบ้านถูกละเมิดสิทธิ์ ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างที่ผู้ใหญ่พยายามบอกตลอดว่าต้องการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัด ความเป็นจริงในพื้นที่กับคำพูดที่ฟังในห้องประชุมมันสวนทางกันมาก" ผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน กล่าว จากการสอบถามชาวบ้านหลายคนในหมู่บ้าน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เชื่อแน่นอนว่าเยาวชนทั้งสองเป็นคนร้าย โดยเฉพาะฮัสซันที่เป็นช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์ และเส้นทางที่เขาใช้ ฮัสซันก็ขี่รถไปทุกวันจนเป็นปกติ ยิ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าค้นพบระเบิดใกล้ๆ ศพฮัสซัน ยิ่งไม่มีใครเชื่อ เพราะเด็กสองคนนี้เป็นเด็กดี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับขบวนการอย่างแน่นอน "จุดที่บอกว่ามีการยิงปะทะกันนั้นเป็นอีกจุดหนึ่ง ส่วนบริเวณที่เด็กถูกยิงมีคนร้ายที่ไหนกัน หรือถ้ามีก็หนีไม้พ้นมือเจ้าหน้าที่แน่นอน เพราะด้านหน้ากับด้านหลังเป็นคลอง แต่พอเกิดเรื่องแล้วเจ้าหน้าที่จะพูดอย่างไรก็ได้ เพราะคนตายไม่สามารถลุกขึ้นมาพูดหรือเรียกร้องอะไรได้เลย" เป็นเสียงจากชาวบ้านในหมู่บ้าน ทหารบ่น "เพื่อนก็ตาย นายก็ด่า ซ้ำยังถูกหาว่ารังแกชาวบ้าน" ยังมีข้อมูลจากเจ้าหน้าที่บางหน่วยที่เข้าเก็บหลักฐานในจุดเกิดเหตุว่า อาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอกที่พบในป่ากล้วยห่างจากจุดที่ยิงเยาวชนทั้ง 2 คนไม่มากนัก กับวัตถุระเบิดแบบขว้างที่ทหารชุดยิงปะทะอ้างว่าพบใกล้กับศพฮัสซันนั้น มีร่องรอยการขูดลบเลขรหัสปืนและวัตถุระเบิดอย่างน่าสงสัย เพราะเป็นร่องรอยที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ไม่ใช่การขูดลบมานานแล้ว "บอกตรงๆ ผมรู้สึกแปลกๆ กับเหตุการณ์นี้ ผิดกับเหตุการณ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นทั่วไปในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้" เจ้าหน้าที่ที่เข้าเก็บหลักฐานรายหนึ่ง กล่าว ขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านตามร้านน้ำชา ได้นำเหตุการณ์นี้ไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ทหารยิงเด็กและเยาวชนเสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บอีก 3 รายที่ ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี เมื่อวันสงกรานต์ปี 2550 ครั้งนั้นก็มีการกล่าวอ้างหลังเกิดเหตุเช่นเดียวกันว่าเด็กและเยาวชนกลุ่มดังกล่าวเป็นคนร้าย ทว่าเมื่อสอบหาความจริงลึกลงไป กลับพบว่าเป็นการยิงโดยพลการจากทหารซึ่งน่าเชื่อว่าเมาสุรา โดยเด็กและเยาวชนที่ตายและได้รับบาดเจ็บทั้งหมดคือผู้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ดี ก็ยังมีเสียงจากเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติซึ่งร่วมอยู่ในเหตุปะทะและไม่ควรมองข้ามความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาเช่นเดียวกัน... "พวกเรารู้สึกท้อ ฝ่ายเราก็ตายฝ่ายเขาก็ตาย แต่เขาสามารถเรียกร้องสิทธิ์ได้ เรากลับเรียกร้องอะไรไม่ได้เลย พวกเราตายนายยังด่าว่าโง่อีก ไม่เคยเลยที่จะชมว่าเราเก่ง ท้อใจจริงๆ หนำซ้ำภาพที่ออกไปยังกลายเป็นว่าเรารังแกชาวบ้านอีก นี่แหละความกดดันของทหารในพื้นที่ มีแต่เสียกับเสียตลอดกาล" ทั้งหมดนี้คือ "ข้อมูลสองด้าน" จากบ้านน้ำดำ ซึ่งหากภาครัฐยังมิอาจสร้างความกระจ่าง เรื่องราวครั้งนี้ก็จะยังคงกลายเป็น "รอยด่าง" ในหัวใจของชาวบ้านไปอีกนาน... ที่มา โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ตั้งอีกชุดกองกำลังประชาชน ชคบ.นำร่องใน 4 อำเภอของสงขลา Posted: 21 Apr 2011 10:24 AM PDT ชื่อบทความเดิม:
เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 ที่กองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดนจังหวัดสงขลาที่ 1 อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา นายอัครพล บุณยนิตย์ ปลัดจังหวัดสงขลา เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมชุดคุ้มครองหมู่บ้าน(ชคบ.)รุ่นที่ 1 มีเข้ารับการฝึกอบรม 180 คน ประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ ผู้ช่วยผู้ใหญ่ฝ่ายปกครอง สมาชิก อส. ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน(ชรบ.) และลูกจ้างด้านความมั่นคง สำหรับโครงการในครั้งนี้ การปกครองจังหวัดสงขลา กลุ่มงานความมั่นคง ได้คัดเลือกหมู่บ้านนำร่องใน 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ประกอบด้วย อำเภอจะนะ นาทวี เทพา และสะบ้าย้อย อำเภอละ 1 หมู่บ้าน เข้ารับการฝึกอบรม โดย ฝึกอบรมรุ่นละ 3 วัน ณ กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดสงขลาที่ 1 ในการฝึกอบรมชุดคุ้มครองหมู่บ้านในครั้งนี้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.) ได้รับแจ้งจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กำหนดให้จังหวัดจัดตั้งชุดคุ้มครองหมู่บ้าน (ชคบ.) โดยจังหวัดสงขลา ได้แบ่งฝึกชุดคุ้มครองหมู่บ้านออกเป็น 2 รุ่น คือ รุ่นที่ 1 อำเภอจะนะและเทพา ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 20 -22 เมษายน 2554 และ รุ่นที่ 2 อำเภอนาทวีและสะบ้าย้อย ทั้งนี้ ทั้ง 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้คัดเลือกหมู่บ้านนำร่องในแต่ละอำเภอ เพียง 1 หมู่บ้านเท่านั้น คือ อำเภอจะนะ ได้แก่ หมู่ที่ 4 บ้านปากบางสะกอม ตำบลสะกอม, อำเภอเทพา หมู่ที่ 4 บ้านกระอาน ตำบลท่าม่วง, อำเภอนาทวี หมู่ที่ 1 บ้านสะท้อน ตำบลสะท้อน และอำเภอสะบ้าย้อย หมู่ที่ 7 บ้านยาเร๊ะ ตำบลสะบ้าย้อย สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ประวิตร โรจนพฤกษ์: สังคมยากล่อมประสาท Posted: 21 Apr 2011 09:41 AM PDT 1. สังคมที่ชนชั้นนำผูกขาดอำนาจมักใช้ยากล่อมประสาททางการเมืองเป็นเครื่องมือในการปกครอง 2. ราษฎรจำนวนมิน้อยโดนยากล่อมประสาทเข้าไปเกินขนาด จนจำไม่ได้ว่า ตัวเองนั้นเป็นใคร จำไม่ได้แม้กระทั่งว่า ใครคือผู้เอารัดเอาเปรียบและกดขี่ 3. ไม่มีอะไรมีประสิทธิภาพเท่ากับยากล่อมประสาททางการเมือง เพราะมันสามารถทำให้ผู้คนยินดีปรีดากับการกดขี่เอารัดเอาเปรียบ บางคนโดนยากล่อมจนรู้สึกปลื้มกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ตนไม่มี หรือทำให้ไม่เคยคิดว่าสิทธิที่ตนพึงมีนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง รวมทั้งไม่ตระหนักว่า ปัญหาที่แท้จริงของสังคมคืออะไร เกิดอาการใช้ตรรกะไม่เป็นเรื้อรัง เกิดผลกระทบในการใช้ตรรกะจนพิการอย่างประเมินราคาค่าเสียหายต่อบุคคลเหล่านั้นและสังคมโดยรวมอย่างประเมินค่ามิได้ แถมบางคนเกิดอาการคลั่งและติดยางอมแงม ต้องเสพยากล่อมเป็นระยะๆ ทุกวัน 4. แต่พวกดื้อยามักชอบซุบซิบนินทา ปล่อยข่าวลือ และเม้าท์กระจาย พวกที่ดื้อยา ยิ่งถูกอัดยากล่อมประสาททางการเมืองมากขึ้นเท่าไหร่ กลับยิ่งมีปฏิกิริยาต้านยา จนต้องมีการออกกฎลงความเห็น วินิจฉัย “พิพากษา” ว่าผู้ที่ดื้อยาและไม่ยอมเก็บอาการดื้อยาของตนให้มิดชิดจากสายตาสาธารณะ คือ “ผู้ป่วย” ต้องถูกนำส่งไปขังประจำใน “โรงพยาบาลบ้าทางการเมือง” เป็นเวลาตั้งแต่หลายเดือนจนถึงหลายปี ภายใต้ “กฎหมาย” จนกว่าจะ “รักษาหาย” หรือไม่ก็จนกว่า “ผู้ป่วย” จะเลิกแสดงอาการดื้อยาในที่สาธารณะอีกเป็นอันขาด (ในขณะเดียวกัน พวกที่พูดไม่ได้เพราะกลัวถูกจับเข้า “โรงพยาบาลบ้าทางการเมือง” กลับรู้สึกเกลียดชัง เก็บกดมากขึ้นเรื่อยๆ ) 5. สื่อมวลชนกระแสหลักที่มักไม่รายงานข่าวหรืออธิบายว่า ทำไมระยะหลังจึงมีคนดื้อยากล่อมประสาทเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กลับไม่สนใจ (เพราะเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงสร้างสังคมยากล่อมประสาทในปัจจุบัน) แถมกลับอัดฉีดยากล่อมประสาททางการเมืองให้สาธารณะมากขึ้นๆ จนกระทั่งผู้คนเกิดอาการดื้อยาและสงสัยมากขึ้นเป็นลำดับ พวกเขาสงสัยว่า ยานี้ดีจริงหรือ 6. จนเกิดข่าวลือ เรื่องเล่าขานซุบซิบนินทาและปรากฎมี “ผู้ป่วย” มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากอาการปฏิเสธยาอย่างรุนแรง จนโรงพยาบาลแทบไม่มีห้องว่าง แต่แท้จริงแล้ว ผู้ถูกยัดเยียดยา หรือผู้ให้ยากล่อมประสาทที่ไม่ยอมให้ประชาชนตั้งคำถามต่อสรรพคุณของยาในที่สาธารณะ? 7. และหากคนส่วนใหญ่ที่คิดว่า คนส่วนน้อย “ป่วย” กลับคิดผิด นั่นก็อาจแปลว่า สังคมนี้ คนส่วนใหญ่ต่างหากที่ “ป่วย” เสียเองใช่หรือไม่ 8. หากเป็นเช่นนั้น ประเทศนี้ก็อาจไม่ต่างจากโรงพยาบาลบ้าขนาดมหึมา ที่ผู้คนส่วนใหญ่เลือกกินยากล่อมประสาททางการเมืองจนป่วย และไม่กล้าเผชิญหน้ากับโลกแห่งความจริง ไม่กล้าแม้แต่จะตั้งคำถามว่า การใช้ยากล่อมประสาทนั้นอันตรายและมีผลข้างเคียงอย่างไร พวกเขากลับเอานิ้วอุดหูและกล่าวซ้ำๆ ว่า ยานี้ดีประเสริฐแท้ 9. จนอาจทำให้สังคมยากล่อมประสาทล่มสลายได้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
รายงานเสวนา: ปัญหาพรมแดนไทยกับเพื่อนบ้าน Posted: 21 Apr 2011 08:22 AM PDT มล. พินิตพันธุ์ บริพัตร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ. ระบุปัญหาพรมแดนไทย-เพื่อนบ้านเป็นผลจากปัญหาการลากเส้นเขตแดนและการใช้แผนที่ กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม และลักษณะรัฐข้าราชการของไทย เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ที่ผ่านมา หม่อมหลวงพินิตพันธุ์ บริพัตร นักศึกษาปริญญาเอกมหาวิทยาลัยนอร์ทเธิร์นอิลลินอยส์และอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนองานวิจัยระดับปริญญาเอกในงาน Bangkok Research Seminar ในหัวข้อ “ลักษณะของชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านหลังยุคสงครามเย็น” โดยได้ใช้ศึกษาเปรียบเทียบความสัมพันธ์ชายแดนไทยกับพม่าและกัมพูชาที่ยังคงมีความขัดแย้งทางการทหาร กับความสัมพันธ์ของพรมแดนไทยกับลาวและมาเลเซียที่มีความขัดแย้งน้อยกว่า และพบว่าปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้านนั้นเป็นผลมาจากปัจจัยหลักสามด้าน คือ ปัญหาการลากเส้นเขตแดนและการใช้แผนที่ กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม และลักษณะรัฐข้าราชการของไทย อนึ่ง ปัญหาชายแดนในที่นี้ ผู้วิจัยเจาะจงหมายถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศในความหมายดั้งเดิม คือการเผชิญหน้าระหว่างรัฐกับรัฐซึ่งอาจกระทบกับอำนาจอธิปไตย การเกิดปัญหาอาชญากรรมและการก่อความไม่สงบบริเวณชายแดน การปกครองของอังกฤษและฝรั่งเศสในช่วงอาณานิคมได้ทิ้งมรดกปัญหาของการใช้แผนที่ในเอเชียอาคเนย์ รวมทั้งสภาวะสงครามเย็นก็ได้ทำให้การปักปันเขตแดนระหว่างเพื่อนบ้านนั้นเกิดความลักลั่น ดังในเหตุการณ์เขาพระวิหารที่อาจมองได้ว่าสาเหตุหนึ่งของปัญหานั้นเกิดมาจากการตีความจากแผนที่คนละฉบับ นอกจากนี้ ในแง่ของกระบวนการกล่อมเกล่าทางสังคม การหล่อหลอมของสังคมไทยในเรื่องชาตินิยม ความเป็นเอกราช ความยิ่งใหญ่และความรู้สึกเหนือกว่าต่อเพื่อนบ้านรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นการผลิตซ้ำเรื่องพระนเรศวรที่ไทยสามารถปลดแอกจากพม่า หรือการชูนโยบายชาตินิยมในสมัยรัฐบาลพิบูลสงคราม ต่างตอกย้ำจินตนาการความยิ่งใหญ่ของกองทัพไทย และนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างรัฐชาติไทยในระยะสมัยใหม่ด้วย พม่าและกัมพูชาจึงกลายเป็นเหยื่อของกระแสชาตินิยมไทยไปโดยปริยาย ในขณะที่ลาวและมาเลเซียไม่ได้รับผลกระทบเท่าใดนักเนื่องจากอาจมองได้ว่าลาวเป็นรัฐที่มีการเมืองภายในค่อนข้างนิ่งและดำเนินนโยบายต่างประเทศไม่ก้าวร้าว ส่วนมาเลเซียนั้นเป็นเพราะอยู่ไกลจากศูนย์กลางอำนาจของรัฐไทย นอกจากนี้ การเกิดอาชญากรรมในบริเวณชายแดนและการก่อความไม่สงบโดยกลุ่มต่างๆ ยังส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงของอำนาจอธิปไตยของรัฐอีกด้วย พินิตพันธ์มองว่า ปัญหาชายแดนไทยและเพื่อนบ้าน มีต้นตอที่สำคัญมาจากกลุ่มชนชั้นนำ ซึ่งเป็นผู้ที่ตัดสินใจและดำเนินนโยบายต่างประเทศ โดยปัญหานี้แยกไม่ออกจากลักษณะของรัฐไทยที่มีข้าราชการเป็นใหญ่ หรือตามทฤษฎีรัฐข้าราชการ (Bureaucratic Polity) ของเฟรด ริกส์ (Fred Riggs) ซึ่งละเลยความสำคัญของกลุ่มพลังอื่นๆนอกรัฐในการกำหนดนโยบาย การมีส่วนร่วมของกลุ่มอื่นๆนอกข้าราชการในการกำหนดนโยบายจึงเป็นไปได้น้อย ประกอบกับเมื่อมีรัฐสภาที่อ่อนแอ ทำให้ระบบประชาธิปไตยของไทยไม่ทำงาน การกำหนดนโยบายระหว่างประเทศจึงขึ้นอยู่กับมุมมองและท่าทีของผู้นำประเทศในแต่ล่ะยุคเป็นหลัก เขายกตัวอย่างสมัยของเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ที่การร่วมมือระหว่างไทยกับลาวและพม่าเป็นไปได้อย่างราบรื่นและกว้างขวาง เนื่องจากเกรียงศักดิ์ไม่ได้มองอินโดจีนในขณะนั้นในฐานะศัตรูจากภัยคอมมิวนิสต์ จึงส่งผลให้นโยบายระหว่างประเทศในช่วงนั้นเฟื่องฟูจนไทยสามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทยกับลาวได้สำเร็จในปีพ.ศ. 2530 ปรากฏการณ์ดังกล่าวยังเห็นได้จากการที่ผู้นำประเทศของไทย ไม่ว่าจะเป็นสมัยชาติชาย ชุณหะวัน ชวลิต ยงใจยุต และเชษฐา ฐานะจาโร เข้าเยี่ยมและพบปะโดยส่วนตัวกับผู้นำประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ผ่านหน่วยงานทางการทูตเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ ดังนั้น ความสัมพันธ์ชายแดนระหว่างไทยและเพื่อนบ้าน จึงขึ้นอยู่กับท่าทีและมุมมองส่วนตัวต่อนโยบายต่างประเทศของผู้นำในแต่ละยุคสมัยด้วยเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าการดำเนินนโยบายต่างประเทศของชนชั้นนำจะเป็นไปอย่างเป็นเอกภาพทั้งหมด ดังจะเห็นในสมัยทักษิณ ชินวัตรที่กองทัพไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงในนโยบายที่ว่าด้วยการปราบปรามยาเสพติดในพม่า ซึ่งส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในหมู่ผู้นำไทยในท่าทีความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพม่า เป็นต้น กลุ่มเสวนา Bangkok Research Seminar เป็นกลุ่มที่ดำเนินการโดยรองศาสตราจารย์แดนนี่ อังเงอร์ (Danny Unger) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองไทยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศประจำมหาวิทยาลัยนอร์ทเธิร์นอิลลินอยส์ จุดประสงค์ของการเสวนาเป็นไปเพื่อสร้างพื้นที่ที่แลกเปลี่ยนและถกเถียงทางด้านวิชาการในประเด็นต่างๆ โดยมีกลุ่มผู้สนใจเข้าร่วมอย่างหลากหลาย ทั้งนักวิจัย นักศึกษา คนทำงานด้านสื่อมวลชน และผู้สนใจในประเด็นสังคมและการเมืองทั่วไป
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
รบ.สหรัฐฯ เสนอตั้งศูนย์ยืนยันบุคคลออนไลน์ หวังลดปัญหาปลอมแปลงบุคคล Posted: 21 Apr 2011 07:27 AM PDT รัฐบาลกลางสหรัฐฯ เสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์ยืนยันตัวบุคคลออนไลน์ทั่วประเทศ หวังลดปัญหาการปลอมแปลงบุคคลบนอินเทอร์เน็ตในการทำธุรกรรมต่างๆ ขณะหลายฝ่ายหวั่นรัฐใช้ระบบนี้ตรวจจับพฤติกรรมการใช้เน็ตของประชาชน เว็บไซต์นิตยสาร Miller-McCune รายงานว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (15 เม.ย.54) รัฐบาลกลางสหรัฐฯ เสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์ยืนยันตัวบุคคลออนไลน์ทั่วประเทศขึ้นเพื่อลดปัญหาการปลอมแปลงบุคคลบนอินเทอร์เน็ต โดยข้อเสนอขอให้มีการจัดตั้งศูนย์กลางเพื่อออกอุปกรณ์ยืนยันตัวบุคคลเช่นสมาร์ทการ์ด ชื่อแผนงานคือ National Strategy for Trusted Identities in Cyberspace (NSTIC) เป็นแผนสำหรับการออกอุปกรณ์ยืนยันบุคคลออนไลน์ เพื่อให้บริการต่างๆ เช่นบริการจ่ายเงินออนไลน์ที่ต้องการข้อมูลยืนยันตัวบุคคล สามารถยืนยันตัวบุคลลได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น เนื่องจากข้อมูลที่ใช้ยืนยันได้รับการรับรองจากรัฐบาล ประเทศที่การค้าออนไลน์ก้าวหน้าอย่างมาก เช่นสหรัฐฯ มีปัญหาการปลอมแปลงตัวบุคคลออนไลน์สร้างความเสียหายถึง 37,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2553 มีผู้เสียหายถึง 8.1 ล้านคน และค่าใช้จ่ายในการสร้างระบบจัดการรหัสผ่านให้กับบริการจำนวนมากอีกมูลค่ามหาศาล ในอีกด้านหนึ่ง หลายฝ่ายกังวลกันว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะใช้ระบบนี้เพื่อตรวจจับพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตของประชาชน ซึ่งโครงการ NSTIC ชี้แจงว่าประชาชนสามารถเลือกยืนยันตัวบุคคลกับบริการใดหรือไม่ก็ได้ ปัจจุบัน ราชการรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ใช้ระบบคล้ายๆ กันอยู่แล้วโดยสมาร์ทการ์ดบัตรราชการ จะสามารถยืนยันบุคคลพร้อมแจ้งสิทธิการเข้าถึงต่างๆ ไว้ในบัตร
ที่มา: เว็บไซต์ blognone สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
Posted: 21 Apr 2011 07:01 AM PDT ในสังคมทุกวันนี้หลายคนแสดงตัวเป็นคนดี แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนดีจริงหรือไม่ เราควรรู้ให้ถ่องแท้ หาไม่คนชั่วในคราบคนดีอาจหลอกลวงให้เราเสียรู้ หรือมาหลอกให้ประเทศชาติของเราเสียหาย คนดีแต่เปลือก? 1. ครู-อาจารย์ เพราะคนที่ใช้คุณวุฒิหลอกลวงเรามีให้เห็นอยู่ทั่วไป 2. นักบวช ในหมู่นักบวช ก็ยังมีพวก ‘แกะดำ’ บางรูปแม้ไม่ใช่คนเลว แต่ก็ไม่ใช่คนดีเด่นอะไร เพราะออกอาการอิจฉาริษยากันและกันให้เห็นอยู่บ่อย ๆ 3. คนเคร่งศาสนา บางคนออกแนวธรรมะ ธรรมโม พวกนี้ก็คล้ายนักบวช บางทีเคารพ-รับใช้เจ้ากูมากกว่าคำสอนของศาสดา ตอนนั่งสมาธิก็ดูสงบเย็น พอออกจากสมาธิก็เต้นเหมือนเจ้าเข้า 4. ข้าราชการระดับสูง เพราะคนระดับนี้แหละที่โกงชาติ ขายชาติได้แนบเนียนเหนือใคร ๆ 5. นายทหารชั้นผู้ใหญ่ เพราะคนระดับนี้แหละที่ทำรัฐประหาร ทำลายประชาธิปไตยให้เห็นมาหลายสิบปี รุ่นแล้วรุ่นเล่า เราต้องสังวรว่า คนที่บูชายศศักดิ์และยิ่งมียศศักดิ์สูง ยิ่งเห็นคนอื่นต่ำต้อยด้อยค่า 6. ผู้เทิดทูนสถาบันบางคน ที่อ้างว่ายอมตายถวายชีวิต แต่ความจริงแค่พูดเอาดีใส่ตัว แอบอ้างสถาบัน เช่น‘เซ็งลี้’ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ดังข่าวในอดีต จนถึงการใช้สถาบันมาทำลายคู่แข่งทางการเมือง กระทั่ง ‘ปรีดี พนมยงค์’ ก็ยังไม่รอด ในความเป็นจริงสถาบันจะแคล้วคลาดหากไม่มีพวกเขา ในทางตรงกันข้ามหากขาดสถาบัน พวกเขาต่างหากที่จะอยู่ไม่รอด หมดทางทำมาหากิน อาจกล่าวได้ว่าคนไม่ดีหรือคนดีแต่เปลือกมักเป็นนักโฆษณาชวนเชื่อ หรือให้ลูกสมุนยกหางของตนอย่างไม่ละอาย แต่ตัวตนที่แท้จริงกลับเป็นซาตานเกาะกิน ทำลายชาติ อาศัยอาภรณ์ของความดีมาแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว ประเทศชาติกลับต้องหาเลี้ยงคนเหล่านั้นด้วยภาษี แล้วพวกเขายังใช้สถานะที่เหนือปุถุชนกอบโกย โกงกินจนร่ำรวยมหาศาล ปุถุชนนี่แหละคนดี 1. เสียภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อให้ประเทศชาติอยู่ได้ เจริญขึ้น และกลายเป็นโอกาสให้กาฝากเสพสุข และฝังลึกลงในกลไกการปกครองแผ่นดิน 2. เป็นผู้ที่ตายเพื่อชาติอย่างแท้จริงในสงครามต่าง ๆ ที่พวกเขาไม่เคยได้ก่อ แต่มักก่อโดยชนชั้นปกครองในอดีตหรือเหล่าจักรวรรดินิยม แม้ในยามชาติล่มจม เช่น ลาว เขมร เวียดนาม ปุถุชนนี่แหละคือผู้ที่ยังอยู่สร้างชาติขึ้นมาใหม่ ส่วนพวกคนรวย คนมีสถานะสูงส่ง นายทหารใหญ่ ข้าราชการระดับสูง หรือพวกรักสถาบันจนน้ำลายไหล ล้วนหนีไปเสพสุขใต้ปีกจักรวรรดินิยม อย่างไรก็ตามปุถุชน มักถูกหาว่าโง่ ไม่ละเอียดอ่อน ขาดศิลปะ ไร้มรรยาท มักจมปลักกับเรื่องเฉพาะหน้า หรือเป็นพวก ‘ละครน้ำเน่า’ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของชาวบ้านร้านตลาดที่ไม่ได้มียศศักดิ์หรือหน้ากากอะไรจะสูญเสีย บ้างก็ดิ้นรนทนทุกข์ จึงก่อเรื่องผิด ๆ ไปบ้าง จนกลับถูกตราหน้าร้ายแรงว่าเป็น ‘คนบาป’ ในสายตาพวกเคร่งศาสนา แต่อันที่จริงความผิดบาปของปุถุชนนั้นยังนับว่าเล็กน้อย ไม่อุกฉกรรจ์เท่าความผิดของพวกทรราชหรือกังฉิน ถ้าเราศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราต้องมองเห็นค่าของปุถุชนคนเล็กคนน้อยที่ค้ำจุนสังคม เราต้องเคารพในเสียงส่วนใหญ่ของปุถุชน แต่บางคนกลับบิดเบือนว่าเสียงส่วนใหญ่เชื่อไม่ได้โดยยกตัวอย่างว่าชาวเยอรมันส่วนใหญ่หลงผิดจนเกิดฮิตเลอร์ ข้อนี้ไม่จริงฮิตเลอร์ไม่เคยชนะการเลือกตั้งเป็นรัฐบาลพรรคเดียว และต่อมารวบอำนาจโดยการก่อรัฐประหารจนนำเยอรมนีไปสู่วิบัติ ในทางสังคม เศรษฐกิจการเมือง เราจึงต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ของปุถุชน แต่ถ้าเป็นศิลปะวิทยาการ เราต้องฟังผู้เชี่ยวชาญ เช่นการสร้างจรวดไปดวงจันทร์ เป็นต้น อย่าถวิลหาดีบริสุทธิ์ ถ้าเราเชื่ออย่างหยุดนิ่งแบบที่ว่าคนดีนั้นต้องดีตลอด ดีบริสุทธิ์ เราก็จะถูกคนดีจอมปลอมที่อ้างว่าสรวงสวรรค์ส่งตนมา เช่น คนทรงเจ้าเข้าผีหรืออื่น ๆ หลอกเราได้ การถวิลหาความดีบริสุทธิ์ จึงทำให้เราเชื่อคนง่าย สรรเสริญคนดีจอมปลอมอย่างไร้สติ กลายเป็นว่าเราเอาชะตาชีวิตของตัวเองไปฝากไว้กับพ่อหมอ ท่านครู หรือฝากชะตากรรมของประเทศไว้กับผู้ปกครองคนใด ทั่วโลกชิงชังเผด็จการ เพราะไม่ว่าจะอ้างตนว่าอวตารมาจากไหน ก็ล้วนกลายร่างเป็นทรราชเมื่อมีอำนาจเบ็ดเสร็จคนเดียวหรือคณะเดียว เกณฑ์วัดคนดี เราต้องมีระบบการตรวจสอบ และประกันความผิดพลาด เช่น หมออาจลืมกรรไกรไว้ในท้องคนไข้ ไม่มีหมอคนไหนตั้งใจทำ แต่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยความประมาท ดังนั้นจึงต้องมีการประกันความผิดพลาด คุ้มครองทั้งนักวิชาชีพและผู้รับบริการ อาจกล่าวได้ว่า ความดี ความสำเร็จที่แท้ มาจากการฝึกฝน ยืนหยัดปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอต่างหาก ไม่ใช่มาจากการท่องมนต์ ท่องคาถา ไม่ใช่มาจากการนั่งยุบหนอ พองหนอ หรือไม่ใช่มาจากการเที่ยวไปจาริกแสวงบุญยังสถานที่สำคัญของพระศาสดาแต่อย่างใด คนดีจริง ‘ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้’
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
กวีประชาไท: สาส์นถึงผู้สั่งฆ่า..ประชาชน! Posted: 21 Apr 2011 06:43 AM PDT นี่คือเสียงของผู้เขียนสาส์น ที่เขียนขึ้นจากความร้าวรานของชาวไพร่ มาเรียกร้อง ชุมนุม กลับถูกเขาสั่งยิงตาย เพื่อยับยั้งความฉิบหายของตนเอง
นี่คือเสียงของผู้เขียนสาส์น เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ที่ถูกข่มเหง ไพร่ฟ้า ถูกกดหัวไว้ ให้กลัวเกรง เพียงเพื่อให้ไอ้กุ๊ยนักเลงมันบีฑา
ถือว่าตัวมันเองมีอำนาจ กระทำการอุกอาจอย่างหาญกล้า สั่งการเข่นฆ่าปวงประชา! แล้วยังลอยหน้าลอยตา..ไม่รับรู้??
ในนามแห่ง...ประชาชน ขอสาปแช่งมันทุกคน...ทุกผู้ ขอให้มันทุกข์ทน..ร้องขอความตายซะดีกว่ามีชีวิตอยู่ ตกนรกและสิงสู่ที่นั่นชั่วกัปชั่วกัลป์
จะนั่งจะนอนก็ขอให้ร้อนรุ่ม ดั่งมีไฟสุมอยู่ใต้นั้น กินน้ำก็ขอให้สำลักกระอักพลัน กินข้าวนั่นก็แค้นข้นจนปางตาย!
จะตื่นก็ขอให้มีแต่ความหวาดกลัว จะหลับก็ขอให้รอบตัวมีแต่ฝันร้าย ไม่ว่ามันมีชีวิตอยู่หรือปางตาย ก็ขอให้มันทุกข์ทุรนทุรายเท่าๆกัน!
สาส์นคำสาปถึงผู้เข่นฆ่า..ประชาชน ขอให้ตกแก่มันทุกผู้ทุกคนให้ได้หวาดหวั่น ขอคำคั่งแค้นนี้สัมฤทธิ์ผลโดยพลัน ขอให้มันผู้นั้นมีอันเป็นไป ณ บัดนี้!
ขอคำคั่งแค้นนี้สัมฤทธิ์ผลโดยพลัน ขอให้มันผู้นั้นมีอันเป็นไป ณ บัดนี้! สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
เสียววาบ! ทีวีเคเบิล-ดาวเทียมล่มทั่วประเทศ Posted: 21 Apr 2011 04:09 AM PDT 21 เมษายน 2554 เวลาประมาณ 16.30 น. ผู้รับชมโทรทัศน์ผ่านช่องทางเคเบิลทีวี และสัญญาณดาวเทียม ไม่สามารถรับชมทีวีได้ทั่วประเทศ โดยนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ เปิดเผยว่า มีความขัดข้องเกี่ยวกับดาวเทียมไทยคม 5 และอยู่ระหว่างการแก้ไข ทั้งนี้เหตุสัญญาณโทรทัศน์ล่มนี้นับเป็นการล่มครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้น หลังจากที่ตลอดหลายปีผู้รับชมโทรทัศน์ได้เปลี่ยนช่องทางรับสัญญาณไปเป็นดาวเทียมและเคเบิล และเกิดขึ้นท่ามกลางความตื่นตระหนักว่าจะมีการรัฐประหาร สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ว่าด้วยใครเป็น Commander in Chief ของกองทัพไทยกันแน่ Posted: 21 Apr 2011 12:19 AM PDT
ปรกติตำแหน่งที่สากลเรียกว่า Commander in Chief หรือ Supreme Commander ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในการควบคุมกองกำลังในนานาอารยประเทศนั้น จะตกเป็นของ “ประธานาธิบดี” หรือ “นายกรัฐมนตรี” ที่เป็นผู้นำฝ่ายบริหารของประเทศเป็นส่วนใหญ่ (http://en.wikipedia.org/wiki/Commander-in-chief) ไล่ไปตั้งแต่อาร์เจนตินา บราซิล ฝรั่งเศส อินเดีย สหรัฐอเมริกา ฯลฯ แต่ในเมืองไทยนั้น ตามศัพทานุกรมของกระทรวงกลาโหม ตำแหน่ง Commander in Chief กลับนำมาใช้กับผู้นำเหล่าทัพต่างๆ ทั้งผู้บัญชาการทหารบก (ทหารเรือ หรืออากาศ) ผมสงสัยมานานแล้วว่า ถ้าอย่างนั้นใครกันแน่ที่มีอำนาจสูงสุดในการควบคุมสั่งการกองทัพไทย ถ้าว่าตามมาตรา 11(3) ของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งเป็น (ผู้) “บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่งซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็นกรม” ตำแหน่ง Commander in Chief ก็น่าจะเป็นของนายกฯ เพราะบรรดากรมกองต่างๆ ภายใต้กองทัพเป็นส่วนราชการหนึ่งของกระทรวงกลาโหม อย่างไรก็ตาม มาตรา 21 (3) ของพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 กำหนดให้การดำเนินงานด้านทหารทั้ง “(1) นโยบายการทหารทั่วไป” และ “(2) นโยบายการระดมสรรพกำลังเพื่อช่วยเหลือราชการทหาร” และอื่นๆ เป็นไปตามมติของสภากลาโหมที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ถ้าอย่างนั้นก็อาจหมายถึงว่าตำแหน่งของ Commander in Chief ก็อาจเป็นสภากลาโหมที่เป็นคณะบุคคล แต่คณะบุคคลดังกล่าวก็ต้องอยู่ให้การบังคับบัญชาของนายกฯ ในฐานะผู้บริหารสูงสุดอยู่ดี แต่เมื่อได้อ่านข่าวนี้ (ผบ.พล.1 รอ.ลั่นหนุน ผบ.ทบ.ทำตามคำสั่งไม่ลังเล http://www.thairath.co.th/content/pol/165140) ก็ถึงบางอ้อว่าใครกันแน่เป็นผู้มีอำนาจควบคุมด้านการทหาร ตามข่าวระบุว่า “พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1รอ.) เดินทางมาตรวจความพร้อมรบของกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.)” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่ามาสำแดงพลังนั่นแหละ และโดยเนื้อหาที่ท่านพูดก็บอกทุกคำว่า “ไม่ต้องสงสัยใดๆ ในคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ขอให้เชื่อผู้บังคับบัญชา” ซึ่งในความหมายของผู้บัญชาการกองพลที่ 1 ผู้บังคับบัญชาของท่านก็คือ “ผู้บัญชาการทหารบก” นั่นเอง ท่านบอกว่า “ถ้าผู้บังคับบัญชาสั่ง ตนสามารถทำงานได้ภายในครึ่งชั่วโมง หรือ 1 ชั่วโมง” หมายถึงว่าสามารถเคลื่อนกำลังพลของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ที่เป็นหน่วยกำลังรบหลักของกองทัพบกได้อย่างรวดเร็ว (เป็นหน่วยทหารหน่วยแรกที่ออกมาสวนสนามใน กทม.ยามมีรัฐประหารนั่นแหละ) ไม่มีสักคำที่ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 พูดถึง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีของเรา ไม่ว่าจะในฐานะผู้บังคับบัญชา หรือผู้บังคับบัญชาของผู้บังคับบัญชาอีกทีหนึ่ง หรือแม้แต่จะพูดถึงบทบาทของสภากลาโหมที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ทั้งๆ ที่ตามกฎหมายของไทยที่กล่าวถึงข้างต้น หรือถ้าเทียบเกณฑ์กับนานาอารยประเทศที่เป็นประชาธิปไตยทั้งหลายตำแหน่ง Commander in Chief หรือผู้มีอำนาจสูงสุดในการควบคุมสั่งการกองทัพไทย ก็ควรเป็นของผู้นำฝ่ายบริหารหรือนายกรัฐมนตรีของไทยเช่นกัน ชะรอยที่เขาเรียกรัฐบาลชุดนี้ว่า “รัฐบาลหอย” บ้าง รัฐบาลที่จัดตั้งกันในค่ายทหารบ้าง คงไม่ผิดความจริง เพราะนอกจากทหารจะไม่ได้ให้ความใส่ใจต่อนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำฝ่ายบริหาร (ที่มาจากการเลือกตั้ง) แล้ว อันที่จริงแล้วผู้ที่กุมอำนาจสั่งการสูงสุดทางการทหารหาใช่เป็นผู้นำฝ่ายบริหารไม่ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ยิงเสื้อแดงชลบุรีขณะเตรียมเวที เจ็บ 2 ราย Posted: 20 Apr 2011 09:32 PM PDT มีผู้ขับรถจักรยานยนต์ พร้อมกระบะนำหน้า เข้ามาใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาดยิงใส่คนเสื้อแดงที่เตรียมจัดงานที่ปากทางเขาตาโล อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จนมีผู้บาดเจ็บ 2 ราย ในจำนวนนี้เจ็บสาหัส 1 ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้กำกับ สภ.อ.บางละมุง เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณปากทางเขาตาโล อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังมีผู้ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาใช้อาวุธปืนยิงคนเสื้อแดงที่กำลังเตรียมเวทีชุมนุมบริเวณดังกล่าว จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ช่วงเช้าวันนี้ (21 เม.ย.) ที่มาของภาพ: คุณคนไทย thailand
เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (21 เม.ย.) ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในเว็บบอร์ด "บ้านราชดำเนิน" รายงานเมื่อสักครู่นี้ว่า กลุ่มเสื้อแดงที่เตรียมจัดงานชุมนุมคนเสื้อแดงที่ปากซอยเขาตาโล อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ได้ถูกคนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งมีรถกระบะน้ำหน้า ได้เข้ามาใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดยิงใส่กลุ่มเสื้อแดงจำนวน 5 นัด ทำให้มีคนเสื้อแดงซึ่งกำลังเตรียมงานได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ในจำนวนนี้บาดเจ็บสาหัส 1 ราย ทั้งหมดถูกนำส่ง รพ.พัทยาเมโมเรียล ขณะนี้แพทย์กำลังผ่าตัดเอาหัวกระสุนออก โดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ใช้นามว่าคุณ คนไทย thailand ได้เผยแพร่รูปสถานที่เกิดเหตุแล้ว ด้าน ผู้กำกับ สภ.อ.บางละมุง ได้มาตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วยตนเอง โดยกล่าวว่า เหตุดังกล่าวนับว่าอุกอาจ มากเนื่องจากที่เกิดเหตุใกล้สี่แยกไฟแดงซึ่งมีกล้องวงจรปิด ทั้งนี้หากมีความคืบหน้าผู้สื่อข่าวจะรายงานต่อไป สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น