ประชาไท | Prachatai3.info |
- ทนายความ ดา ตอร์ปิโด: จดหมายชี้แจงกรณีบทความในมติชน คำสั่งศาลอุทธรณ์หมายความอย่างไรแน่
- วาทกรรม “วัวควาย” ของคนชั้นกลางในเมือง
- นักข่าว AP ประท้วงต่อรองสัญญาจ้างฉบับใหม่
- “ป๋าเปรม” เมิน นปช. ฟ้องหมิ่นสถาบัน ขอเรื่องจบหยุดพูดถึงสถาบัน "มาร์ค" หนุน ผบ.ทบ.ฟ้อง นปช.
- วาด รวี: ขอซักซีดดดนึงในประวัติศาสตร์
- ภายหลังภัยพิบัติ จะฟื้นฟูชุมชนและทรัพยากรอย่างไร
- จวกเจ้าหน้าที่ปล่อยโชว์หวิวสงกรานต์สีลม
- 16 ศพแรงงานพม่ากับการถามหาความปลอดภัย
- “มานิตย์” งัดพจนานุกรมโต้ทหาร ชี้อย่าผูกขาดความจงรักภักดี
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 10 - 16 เม.ย. 2554
- ตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสม 5 วัน ในช่วงสงกรานต์ รวม 188 คน
- มุสลิมละหมาดฮายัตให้จุฬาราชมนตรี
ทนายความ ดา ตอร์ปิโด: จดหมายชี้แจงกรณีบทความในมติชน คำสั่งศาลอุทธรณ์หมายความอย่างไรแน่ Posted: 16 Apr 2011 12:03 PM PDT วันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2554 จดหมายเปิดผนึก เรียน คุณสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม (ผ่าน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน*) อ้างถึง บทความเรื่อง ศาลอุทธรณ์พิพากษา “ยก” คดี ดา ตอร์ปิโด มีความหมายอย่างไร ตามที่หนังสือพิมพ์มติชนฉบับลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 ได้ลงบทความของคุณสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม เรื่อง ศาลอุทธรณ์พิพากษา “ยก” คดี ดา ตอร์ปิโด มีความหมายอย่างไร นั้น ผมในฐานะทนายความของคุณดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด จำเลยในคดีดังกล่าว เห็นว่าข้อมูลของคุณสิทธิศักดิ์ ยังมีความคลาดเคลื่อนบางประการ จึงขอชี้แจงดังนี้ ข้อโต้แย้งของจำเลยเกี่ยวกับการพิจารณาคดีลับ ไม่ใช่การโต้แย้งคำสั่งศาลอาญาที่สั่งให้พิจารณาคดีลับ รวมทั้งการร้องขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ก็ไม่ใช่ประเด็น คำสั่งศาลอาญาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ หากแต่ประเด็นที่จำเลยโต้แย้ง คือ ประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา 177 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ โดยที่ศาลอาญาสั่งให้พิจารณาคดีนี้เป็นการลับ เป็นการสั่งโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายมาตรานี้ การโต้แย้งว่ากฎหมายมาตรานี้ ขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ จึงมีผลต่อคำสั่งศาลอาญาที่สั่งให้พิจารณาคดีลับดังกล่าว โดยหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา 177 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ศาลอาญาก็ไม่มีอำนาจสั่งให้พิจารณาคดีลับ คำสั่งของศาลอาญาให้พิจารณาคดีลับรวมทั้งการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่หากประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา 177 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ศาลอาญาย่อมมีอำนาจสั่งให้พิจารณาคดีลับตามมาตรานี้ และการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี(การสืบพยาน)ต่อมาย่อมเป็นการชอบด้วยกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตาม ตามรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ศาลรอการพิพากษาคดีไว้ก่อนจนกว่าจะมีการวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ คำพิพากษาของศาลอาญาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังเหตุผลต่อไปนี้ คดีนี้จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2551 ขอให้ส่งความเห็นของจำเลยว่า ประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา 177 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ศาลอาญาสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 25 มิถุนายน 2551 ว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ศาลสั่งให้พิจารณาเป็นการลับโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา 177 มิได้มีการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของจำเลย เนื่องจากจำเลยมีทนายความเข้ามาแก้ต่างให้และสามารถนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความผิดของตนเองและหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ คำโต้แย้งของจำเลยจึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จะส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 211 ยกคำร้อง” คำสั่งของศาลอาญาเช่นนี้ เป็นการวินิจฉัยเสียเองว่า ประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา 177 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ดังจะเห็นได้จากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ “...เห็นว่า มาตรา 211 ดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องการส่งความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ในวรรคหนึ่งบัญญัติไว้ว่า...........ตามบทบัญญัติมาตรานี้ การที่จะวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หรือไม่ เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่อำนาจของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลยุติธรรม หากคู่ความโต้แย้งว่าบทบัญญัติใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและเป็นกรณีที่เข้าองค์ประกอบครบถ้วนตามมาตรา 211 ดังกล่าวแล้ว ศาลชั้นต้นก็ต้องส่งความเห็นของคู่ความเช่นว่านั้นตามทางการ เพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย ศาลชั้นต้นจะใช้ดุลพินิจเพื่อไม่ส่งไม่ได้.....” เมื่อศาลชั้นต้น(ศาลอาญา)ไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่า กฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และไม่มีอำนาจใช้ดุลพินิจเพื่อสั่งไม่ส่งความเห็นของจำเลยไปตามทางการให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย อีกทั้งการที่รัฐธรรมนูญ กำหนดให้ศาลรอการพิพากษาไว้ก่อนจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ คำพิพากษาของศาลอาญาที่ให้จำคุกจำเลย 18 ปี จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขณะนี้จึงเท่ากับคดีนี้ศาลอุทธรณ์สั่งให้ย้อนกลับไปดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ให้ถูกต้อง โดยเริ่มตั้งแต่การส่งความเห็นจำเลยเป็นทางการไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จากนั้น(หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว)จึงค่อยดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีใหม่ทั้งหมด เพียงแต่ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่แค่ไหน เพียงใด ต้องถึงกับสืบพยานใหม่ทั้งหมด หรือไม่ ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ขณะนี้จึงเท่ากับคดีย้อนสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นใหม่ โดยถือว่ายังไม่มีคำพิพากษาของศาลอาญา คำสั่งหรือคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ศาลชั้นต้นกลับไปดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ให้ถูกต้อง โดยเริ่มใหม่จากจุดที่ดำเนินกระบวนพิจารณาคดี ไม่ถูกต้อง นี้ ภาษากฎหมายเรียกว่าการ “ย้อนสำนวน” เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว บางคดีรอจนคดีขึ้นสู่ศาลฎีกา และศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่เฉกเช่นคดีนี้ ก็เคยมีมาแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงมีผลเป็นการ “ยก” คำพาพากษาศาลอาญา อย่างถาวร หาใช่ยกชั่วคราวอย่างที่ท่านโฆษกชี้แจงไม่ การที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลอาญา จึงเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว การที่ท่านโฆษกชี้แจงโดยใช้คำว่า “ยกชั่วคราว” ต่างหากที่รังแต่จะเกิดความเข้าใจผิดว่า คำพิพากษาศาลอาญาที่ให้จำคุกจำเลย 18 ปี ยังคงอยู่แต่ให้ระงับไว้ก่อนเป็นการ “ชั่วคราว” เท่านั้น หรือท่านโฆษกเห็นว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว ศาลอาญาจะยังคงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 18 ปี เป็นการแน่นอน จึงได้ใช้คำว่า “ยกชั่วคราว” ดังที่กล่าวข้างต้นว่า การโต้แย้งของจำเลยในคดีนี้ ไม่ใช่การโต้แย้งคำสั่งศาลอาญาว่า ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากแต่เป็นการโต้แย้งตัว “กฎหมาย” ที่ศาลอาญาใช้อ้างอิงในการสั่งให้พิจารณาคดีลับ จึงไม่ใช่กรณีโต้แย้งดุลพินิจของศาลอาญา และการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาเช่นนี้ ก็ไม่ใช่กรณีที่ศาลอุทธรณ์มีความเห็นต่างจากศาลอาญา หากแต่เป็นกรณีที่ ศาลอาญาดำเนินกระบวนพิจารณาคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์จึงสั่งให้ศาลอาญาดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือ ศาลอาญา โดยผู้พิพากษาศาลอาญา ถือได้ว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย โดยเฉพาะผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ นายพรหมมาศ ภู่แส เป็นผู้พิพากษาอาวุโสสูง หลังพิพากษาคดีนี้เสร็จก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ และตัวบทรัฐธรรมนูญมาตรา 211 ก็เขียนไว้ชัดเจน แต่ศาลอาญาโดยนายพรหมมาศ ภู่แส กลับปฏิเสธการส่งความเห็นจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2552 จนกระทั่งศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับคำสั่งของศาลอาญา ให้ส่งความเห็นจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ดังที่ศาลอาญาได้อ่านเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 การปฏิเสธไม่ส่งความเห็นจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ของศาลอาญาโดยนายพรหมมาศ ภู่แส ดังกล่าว ทำให้เสียเวลาอีกเกือบ 2 ปี กว่าที่ศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษาย้อนสำนวนให้ศาลอาญาส่งความเห็นจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยดังกล่าว เป็นการสูญเสียเวลาไปเปล่าๆทั้งๆที่จำเลยถูกคุมขังมาตลอดตั้งแต่ถูกจับกุม โดยศาลอาญาปฏิเสธไม่ให้จำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราวแม้จะเสนอหลักประกันสูงถึง 1,000,000 บาท ปฏิเสธทั้งที่จำเลยเจ็บป่วย การที่ศาลอาญาโดยนายพรหมมาศ ภู่แส ปฏิเสธไม่ส่งความเห็นของจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จึงมีผลทำให้คดีนี้ล่าช้ากว่าที่ควร เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ทำให้จำเลยถูกคุมขังในระหว่างพิจารณาคดี “เพิ่มขึ้น” อีกเกือบ 2 ปี เป็นการล่าช้าทำให้จำเลยถูกคุมขังเพิ่มขึ้นเพราะศาลอาญาโดยนายพรหมมาศ ภู่แส ปฏิเสธ ไม่ส่งความเห็นของจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยตรง โดยที่คำสั่งศาลอาญาโดยนายพรหมาศ ภู่แส เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และก่อความเสียหายแก่จำเลยอย่างมากดังกล่าว จำเลยได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายพรหมมาศ ภู่แส เป็นคดีอาญาต่อศาลอาญาในข้อหา เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามคดีหมายเลขดำที่ อ.40/2553 แดงที่ อ.36/2553 ท้ายนี้ขอแก้ไขข้อมูลที่คลาดเคลื่อนของท่านโฆษกศาลยุติธรรม คดีนี้ศาลอาญานัดพร้อมเพื่อฟังผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 9 พฤษภาคม 2554 เวลา 9.00 น. ไม่ใช่วันที่ 25 พฤษภาคม 2554 ขอแสดงความนับถือ (นายประเวศ ประภานุกูล) *ยังไม่มีการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชน สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
วาทกรรม “วัวควาย” ของคนชั้นกลางในเมือง Posted: 16 Apr 2011 09:02 AM PDT
“ผมหมดแค่นี้แล้วครับ ไม่มีอะไรจะสู้แล้วครับ... ...ผมขอกลับไปเป็นวัวเป็นควายอยู่บ้านผมดีกว่าครับ (ที่นั่น) ยังมีคนให้กำลังใจผมอยู่” อนันต์ ทับเสาร์ทอง หนุ่มชาวไทใหญ่ จาก อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ กล่าวกับกรรมการทั้งสามหลังจากที่ยุติการแสดงของเขาในรายการ “Thailand Got Talent” แล้วสนทนาตอบโต้กันอีกไม่กี่ประโยคและนี่คือบทสนทนานั้น นิรุตติ์ : เพลงเกี่ยวกับอะไรครับ ฟังแล้วยังไม่เข้าใจ อนันต์ : เป็นภาษาไทใหญ่ครับ นิรุตติ์ : ภาษาไทใหญ่ แล้วร้องไปแล้วได้อารมณ์อะไรออกมาครับ อนันต์ : ตอนนี้ผมกลัว ยังไม่กล้าพอครับ นิรุตติ์ : ไม่เป็นไรครับ สรุปเลยดีกว่าคุณอนันต์ เชียงใหม่บ้านอยู่แถวไหนครับ อนันต์ : อยู่บนดอยครับ นิรุตติ์ : ดอยไหนครับ อนันต์ : อำเภอเวียงแหง ดอยเวียงแหงครับ นิรุตติ์ : เดี๋ยวจะไปหาที่นั่น วันนี้ไม่ผ่านนะครับ ไปรอผมที่นั่นครับ (น้ำเสียงดุดัน-ผู้เขียน) การกล่าวถึงตัวเองว่า “เป็นวัวเป็นควาย” ของอนันต์ เป็นการตอกย้ำและทำให้บทสนทนากับท่าทีของนิรุตติ์เป็นรูปธรรมและตรงไปตรงมามากขึ้น และก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกับผู้ชมจำนวนมากในห้องส่งในขณะนั้นรวมทั้งสองพิธีกรที่หัวร่องอหงายอยู่ข้างเวทีที่เข้าใจและมีทัศนะไปในแบบเดียวกัน ผมออกจะมั่นใจว่าเพราะการตีตราอนันต์เช่นนั้น จึงทำให้นิรุตติ์และผู้ชมในห้องส่งและพิธีกรเข้าไม่ถึงความหมายโดยนัยที่เขาสื่อออกมา อันที่จริงแล้ว “วัวควาย” ก็คือ “วาทกรรม” ที่ชนชั้นกลางในเมืองตีตราชาวบ้านชาวช่องที่อยู่ตามชายขอบ ชาวบ้านรวมทั้งอนันต์ต่างก็รู้ว่าคนชั้นกลางในเมืองหมายความถึงพวกเขาเช่นนั้น แต่อนันต์คงไม่คาดคิดว่าเขาจะประสบเหตุการณ์นี้บนเวทีประกวดที่เขาตั้งใจมาแสดงความสามารถให้ได้ชม อนันต์ คงไม่ได้คาดหวังรางวัลใด ๆ จากการประกวดในรายการนี้ นอกจากจะใช้เป็นเวทีหรือพื้นที่สำหรับบอกกล่าวกับสังคมว่าในแผ่นดินที่เรียกว่าประเทศไทยนี้ ยังมีเขาที่เป็นชาวไทใหญ่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ด้วย เขามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง รวมทั้งเพลงที่เขานำมาแสดงให้ชมให้ฟัง เหตุการณ์ไม่กี่นาทีที่เกิดขึ้นบนเวที คงกล่าวได้ว่าความคาดหวังของอนันต์นั้นไม่บรรลุผลตามที่ตั้งใจไว้ ไม่เพียงไม่ได้การต้อนรับและเงี่ยหูรับฟังสิ่งที่เขานำเสนอจากคณะกรรมการและผู้ชมในห้องส่งเท่านั้น อนันต์กลายสภาพ “เป็นวัวเป็นควาย” ที่ถูกไล่ลงจากเวทีที่ต้อนรับเฉพาะคนพวกเดียวกัน ผู้ที่มีรสนิยมทางศิลปวัฒนธรรมในแบบที่ผู้สร้างรายการโทรทัศน์ในประเทศนี้สามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำจากพวกเขา รสนิยมที่ว่าเป็นอย่างไรนั้นผมขอยกเอาคำกล่าวของฝรั่งคนหนึ่งชื่อเบน แอนเดอร์สัน ว่า “...หลับหูหลับตาบริโภคหนังขยะฮอลลีวู้ด หนังขยะกังฟูจีนที่แสนซ้ำซาก นำเข้าวิดีโอเกมกับละครงี่เง่าต่อไป ถ้าเราดูจากโฆษณาทั้งหลาย ก็จะเห็นว่าชนชั้นกลางกรุงเทพฯ สนใจแต่อาหารดีๆ แฟชั่นจากต่างประเทศ รีสอร์ตหรูๆ และการไปเที่ยวช้อปปิ้งในเอเชียตะวันออกกับยุโรป ...” อันที่จริงนั้น ศิลปวัฒนธรรมบนโลกใบนี้ มิใช่มีเพียงจากฝั่งตะวันตกที่ครอบงำผู้คนทั่วทั้งโลกโดยเฉพาะคนชั้นกลางในเมืองอยู่ในขณะนี้เท่านั้น แต่โลกยังมีศิลปะวัฒนธรรมที่งดงามซี่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปอีกมากมาย แน่นอนว่าย่อมมีความต่างไปจากขนบ แบบแผนในแบบที่คุ้นชิน ซึ่งหากยังยึดมั่นในสิ่งที่ครอบงำอยู่อย่างหัวปักหัวปรำและไม่คิดจะเปิดหูเปิดตาออกไปจากสิ่งครอบอยู่ ก็ยากที่จะเห็นความงดงามที่แตกต่างออกไป ดังกรณีคณะกรรมการ พิธีกร และผู้ชมในห้องส่ง แต่จะว่าไปแล้ว หากนั่นมิใช่ความคาดหวังของอนันต์ ในทางตรงกันข้ามเขาต้องการจะสื่อให้เห็นว่าสังคมบ้านเรายังมีการเหยียดหยามทางชาติพันธุ์อยู่ อนันต์ก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นชัดยิ่งกว่าชัด ไม่ว่าจะเป็นท่าทีที่ปรากฏในห้องส่ง กระบวนการโลกาภิวัตน์ที่พยายามเชื่อมให้โลกเป็นผืนเดียวกัน แต่ก็การดูหมิ่นเหยียดหยามก็ยังพบเห็นอยู่ทั่วไปบนโลกใบนี้ ไม่เพียงในรายการโทรทัศน์ในประเทศไทยที่อนันต์เจอด้วยตัวเองเท่านั้น แต่ผมคิดว่านิรุตติ์ก็น่าจะเคยประสบเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันกับอนันต์เมื่อคราวไปอาศัยอยู่ต่างบ้านต่างเมืองก่อนจะย้ายกลับมาเมืองไทย
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
นักข่าว AP ประท้วงต่อรองสัญญาจ้างฉบับใหม่ Posted: 16 Apr 2011 06:49 AM PDT เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 54 ที่ผ่านมาเว็บไซต์ Press TV รายงานว่า พนักงานของสำนักข่าว AP ได้ทำการประท้วงผู้บริหาร เนื่องจากไม่พอใจนโยบายการตัดสวัสดิการหลังเกษียรและรายได้จากการทำงานที่ลดลง ผู้สื่อข่าวและช่างภาพของสำนักข่าว AP ได้ทำเจรจาเรื่องสัญญาจ้างฉบับใหม่กับผู้บริหารมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว (ค.ศ.2010) ทั้งนี้ในการเจรจาผู้บริหารยื่นข้อเสนอข้อตกลงสภาพการจ้างฉบับใหม่ที่พนักงานไม่ค่อยจะพอใจนัก (ตัดสวัสดิการหลังเกษียร-รายได้จากการทำงานที่ลดลง) ทั้งนี้เป็นผลมาจากผลกระทบของวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี ค.ศ. 2007 ทำให้ AP ต้องมีการปรับองค์กร ในปี ค.ศ. 2009 พนักงานเกือบ 10% ถูกเลิกจ้าง ส่วนคนที่เหลือก็ไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือนมาถึง 2 ปี อนึ่งเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 ผู้สื่อข่าวและช่างภาพของ AP ได้ประท้วงด้วยการระงับการพิมพ์ชื่อลงในข่าว และภาพข่าว ซึ่งนอกจากการไม่ยอมใส่ชื่อแล้ว พนักงานบางคนยังวางแผนจะเลิกใช้ของส่วนตัวเช่น ยานพาหนะ โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อื่นๆ ทั้งนี้ปฏิกิริยาในครั้งนั้นเป็นประท้วงการตัดสินใจของฝ่ายบริหารที่พยายามคุกคามต่อความมั่นคงในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการลดขนาดองค์กร รวมถึงการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น และไม่ยอมขึ้นเงินเดือน สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
“ป๋าเปรม” เมิน นปช. ฟ้องหมิ่นสถาบัน ขอเรื่องจบหยุดพูดถึงสถาบัน "มาร์ค" หนุน ผบ.ทบ.ฟ้อง นปช. Posted: 16 Apr 2011 05:41 AM PDT “ป๋าเปรม” เมิน นปช. ฟ้องหมิ่นสถาบัน ขอเรื่องจบหยุดพูดถึงสถาบัน ด้าน มทภ. 1 ชี้ไม่สมควรฟ้องป๋าหมิ่น ยันภักดีสถาบันสูงสุดแล้ว แนะแยกเรื่องการเมืองกับสถาบัน ขณะที่โฆษก ทบ.เตือนผู้ใหญ่เพื่อไทยต้องปรามแดงจาบจ้วง วอนคนไทยอย่าเชื่อลมปาก นปช."มาร์ค" หนุน ผบ.ทบ.ฟ้องคดีหมิ่นสถาบัน นัดคุยกกต.เตือน กม.หาเสียงระวังหมิ่น 16 เม.ย. 54 - พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กำลังแปลเอกสารลับที่เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริการายงานกลับประเทศ และถูกนำมาเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์วิกิลีกส์เป็นภาษาไทย เพื่อจะแจกจ่ายให้กับคนเสื้อแดงทั่วประเทศนำไปดำเนินคดีกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ในข้อหาหมิ่นสถาบันว่า เป็นเรื่องเก่าที่เขาพูดกันมานานแล้ว ซึ่งไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง เป็นแค่เพียงเอกสารแผ่นหนึ่งเท่านั้น และเท่าที่ทราบ พล.อ.เปรม ท่านไม่ได้ว่าอะไรในเรื่องนี้ เพราะไม่มีผลลบอะไรกับท่าน อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้เรื่องนี้จบลงตรงนี้ ไม่อยากให้เอาไปพูดต่อๆ กัน เพราะจะกลายเป็นว่าคนที่พูดเข้าข่ายหมิ่นสถาบันไปด้วย พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า ในฐานะที่ พล.อ.เปรม เป็นที่เคารพรักของทหารทุกคน เราไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว คนไทยทุกคนก็ทราบดีว่า พล.อ.เปรม มีความจงรักภักดีสูงสุด ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ดังนั้นผู้ที่จะดำเนินการฟ้องร้องท่าน ถือว่าไม่สมควร และไม่ยุติธรรมเป็นอย่างยิ่งที่ไปกล่าวหาว่าท่านหมิ่นสถาบัน ตนไม่เข้าใจว่า เขาเอาเนื้อหาในเอกสารฉบับนั้นไปตีความกันอย่างไร ถึงออกมาในลักษณะเช่นนี้ เพราะ พล.อ.เปรม เป็นบุคคลที่มีความจงรักภัดดีต่อราชวงศ์จักรี ทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่ท่านจะถูกฟ้องร้องด้วยข้อหาหมิ่นสถาบัน เมื่อถามว่า คนเสื้อแดงตั้งใจทำลายองค์กรหลักๆ ที่ดูแลปกป้องสถาบัน เช่น กองทัพ สถาบันองคมนตรี หรือไม่ พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่า เป็นเรื่องของคนบางคน บางกลุ่มเท่านั้น ความนิยมชมชอบทางการเมืองก็ว่ากันไป แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่ม ที่มีความคิดแอบแฝง อาศัยการชุมนุมเข้าไปหมิ่นหรือโจมตีสถาบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่ควรกระทำ การแสดงความคิดเห็นทางด้านการเมืองสามารถพูดได้ และต้องไม่บิดเบือนความจริง แต่เราต้องแยกให้ออกระหว่างเรื่องการเมือง กับสถาบัน การที่จะมีใครคนใดหรือกลุ่มใดออกมาจาบจ้างสถาบัน จึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่าการประโคมข่าวการหมิ่นสถาบัน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลในการเลือกตั้ง พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่า คงจะไม่ใช่ ทหารไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ดำเนินการฟ้องร้องแกนนำ นปช.นั้น เป็นเรื่องของส่วนบุคคล ไม่ได้ฟ้องร้องคนอื่นที่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น และการดำเนินการเช่นนี้ เพราะผู้บัญชาการทหารบก ยอมรับไม่ได้ที่จะมีใคร คนใดคนหนึ่งออกมาพูดจาบจ้วงสถาบัน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทั้ง พล.อ.เปรม ผู้บัญชาการทหารบก และกองทัพ มีจุดยืนเดียวกัน คือการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และทางกองทัพเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง พล.อ.เปรม ทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทมาตลอดชีวิตของท่าน ใครจะแปลเจตนาอย่างไรเราไม่สน เรากังวลเพียงแต่ว่าในกลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมือง ถ้ามีใครคนใดที่หมิ่นสถาบัน ผู้ใหญ่ในพรรคจะต้องออกมาดูแล ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นเรื่องใครพูดก็รับผิดชอบเอง ส่วนตนก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน อยู่เฉยๆ ผู้ใหญ่เหล่านั้นต้องออกมาปราม เมื่อถามว่า เป็นการเอาคืนกองทัพหรือไม่ ที่ไปฟ้องร้องแกนนำ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ก็แล้วแต่เขา เจตนาของเราคือรับใช้ ปกป้องสถาบัน ซึ่งคนว่าสังคมไทยรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ผู้บัญชาการทหารบก ก็ขอวิงวอน ประชาชนให้พิจารณาเรื่องราวต่างๆ โดยยึดข้อเท็จจริง อย่าไปเชื่อลมปากของคนอื่น และช่วยกันปกป้องสถาบันอันเป็นที่รัก นอกจากนี้ ท่านได้เน้นย้ำให้กำลังพลในกองทัพ และครอบครัวช่วยกันดูแลและใส่ใจในเรื่องนี้ "มาร์ค" หนุน ผบ.ทบ.ฟ้องคดีหมิ่นสถาบัน นัดคุยกกต.เตือน กม.หาเสียงระวังหมิ่น เมื่อเวลา 16.15 น.วันที่ 16 เม.ย.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนักการเมืองมองว่าการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เดินหน้าฟ้องคดีหมิ่นสถาบัน เป็นสัญญาณหนึ่งที่อาจทำให้ไม่มีการเลือกตั้งว่า เป็นคนละเรื่องกัน เรื่องนั้นเป็นการรักษากฎหมาย ซึ่งกองทัพ ตำรวจและทุกคนมีหน้าที่ช่วยกันดูแล เมื่อสัปดาห์ที่แล้วตนขอให้กกต.เข้ามาช่วย โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.) ทำหนังสือถึงกกต. อยากให้กกต.มีข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่นำสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมืองในทุกแง่ทุกมุม ซึ่งไม่ควรจะมี เพราะพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง นายกฯ กล่าวว่า การที่ให้สลค.ทำเช่นนั้นเพื่อให้กกต.ออกเป็นข้อกำหนดที่ชัดเจน พรรคการเมืองและนักการเมืองจะได้ทราบและหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหา การมีพรรคหรือนักการเมืองคนใดนำไปปราศรัย กกต.จะได้เข้ามาดูแลอีกทางหนึ่ง เช่นเดียวกับวันที่ 10 เม.ย. ที่คนเสื้อแดงนำไปปราศรัยบนเวที ทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการ รัฐบาลจะไม่มีการยื่นเรื่องให้กกต.ยุบพรรค แต่เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ และตนไม่คิดว่าจะนำเรื่องของพล.อ.ประยุทธ์ มาโยงการเมือง เป็นเพียงสะท้อนความคิดเห็นและความเข้มแข็งของตัวผบ.ทบ. *อัพเดทข่าว 21.00 น. สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
วาด รวี: ขอซักซีดดดนึงในประวัติศาสตร์ Posted: 16 Apr 2011 05:06 AM PDT อกหักซ้ำ ๆ เจ็บ-ตายก็ซ้ำซ้อน
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ภายหลังภัยพิบัติ จะฟื้นฟูชุมชนและทรัพยากรอย่างไร Posted: 16 Apr 2011 04:59 AM PDT กรณีภัยพิบัติที่ภาคใต้ล่าสุดสาเหตุมาจากดินถล่มในพื้นที่บนภูเขาสูง ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันทำลายหมู่บ้านและพื้นที่สวนยางและสวนผลไม้ ดังเช่น กรณีที่ตำบลกรุงชิง อ.นพพิตำ จ.นครศรีธรรมราช และตำบลเทพราช อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช มีการกล่าวกันว่ามาจากการบุกเบิกป่าทำกินเป็นพื้นที่สวนยาง และสวนผลไม้ ในบริเวณพื้นที่ป่าต้นน้ำ ตลอดแนวเทือกเขา เมื่อเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติเมื่อหลายปีก่อน ปีที่แล้ว และปีนี้ทุกครั้งที่ภาคใต้หรือภาคอื่น ก็มีการพูดลักษณะเช่นนี้มาตลอด แต่เมื่อภายหลังภัยพิบัติหายไป การช่วยเหลือแบบกระหน่ำในลักษณะสงเคราะห์จบสิ้นลง ชุมชนก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายด้วยตนเอง คือการกลับเข้าไปทำกินในที่ดินเดิมซึ่งยังมีคำถามว่าครอบครองที่ดินถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ การฟื้นฟูที่ดินทำกินและทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องพึ่งพา การรวมกลุ่มของชุมชนในการจัดการตนเองอย่างเข้มแข็ง และการจัดการภัยพิบัติเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาโดยชุมชน แนวทางการฟื้นฟูดังกล่าวทำได้ ในหลายพื้นที่ที่ประสบภัยสึนามิ และที่หมู่บ้านคีรีวงและที่ชุมพรซึ่งเคยประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่มาแล้วก็ทำได้ ถ้าหากชุมชนมีกำลังใจและรวมกลุ่มของคนในชุมชนอย่างจริงจังด้วยการพึ่งตนเอง ไม่ใช่ในลักษณะของการพึ่งพาและร้องขอผู้อื่น สังคมไทยจึงควรใช้วิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสของการฟื้นฟูชุมชนและทรัพยากรธรรมชาติ ข้อกังวลอย่างยิ่งคือบุคคลหรือองค์กรภายนอกที่จะมีบทบาทสำคัญของการสร้างความขัดแย้งแตกแยกให้กับชุมชน ถ้าเริ่มต้นจากโจทย์ของคนนอกที่ต้องใช้งบประมาณให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเพื่อสร้างผลงานให้กับองค์กร โดยไม่รอคอยความพร้อมและการวางแผนของชุมชน หากยังดำเนินการแบบเดิมๆ วิกฤตนี้จะไม่เป็นโอกาส แต่จะเป็นการทำลายความเป็นชุมชน ซึ่งก็เกิดขึ้นมาแล้วในชุมชนจำนวนมากที่ประสบภัยพิบัติ โดยไร้การเหลียวแลเมื่อเหตุการณ์ภัยพิบัติผ่านไป ดังกรณีพื้นที่ชายฝั่งอันดามันและอีกหลายพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติ สิ่งที่คนไทยจะร่วมมือกันได้ คือ โปรดอย่าตั้งคำถามหรือกล่าวหาว่า คนพวกนี้ไม่มีเอกสารสิทธิที่ดินถูกต้องตามกฎหมาย คนพวกนี้บุกรุกป่าทำให้เกิดดินถล่ม คนพวกนี้ไม่มีสิทธิจะไปทำกินในที่ดินเดิม การกล่าวหาเช่นนี้ไม่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ แต่เป็นการทำลาย และทำให้ไม่มีทางออกของการจัดการปัญหา ที่สำคัญจะทำให้มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่จ้องจะเอาผลประโยชน์แฝงอยู่เพื่อรอที่จะเข้าไปทำกินและบุกรุกป่าต่อไป โดยร่วมมือกับภาครัฐ หรือกลุ่มทุนในการปฏิบัติการ ถ้าหากชุมชนยังไม่มีความเข้มแข็งที่จะร่วมมือกัน ควรใช้วิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสของการฟื้นฟูชุมชนและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ป่าต้นน้ำ พื้นที่ควน พื้นที่ชุ่มน้ำ และพื้นที่ราบ โดยให้ความสำคัญกับมิติระบบนิเวศของลุ่มน้ำ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ เป็นระบบนิเวศของลุ่มน้ำสายสั้นจากป่าต้นน้ำถึงทะเล เช่น คลองท่าทน คลองกราย คลองตาปี – พุมดวง คลองหลังสวน คลองชี ซึ่งคลองเหล่านี้เป็นลำน้ำสาขาที่ไหลลงแม่น้ำ ปากอ่าว และลงทะเล ตามที่คนใต้เรียกว่าคลอง แต่ขนาดของคลองดั่งเป็นแม่น้ำในภาษาของภาคกลาง ความเชื่อมโยงของระบบนิเวศจึงมีความสำคัญ ทุกๆปีจะมีตะกอนดินที่ไหลลงสู่ทะเลอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการทำประโยชนในพื้นที่ของระบบนิเวศไม่ใช่เฉพาะป่าต้นน้ำดังที่ถูกกล่าวหา แต่เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงทะเล เราเคยมีการวัดตะกอนดินที่มาทับถมในที่ดินตลอดของลุ่มน้ำหรือไม่ในทุกปี ซึ่งเป็นการสะสมที่มีสภาพอิ่มตัวเมื่อไรอย่างไร ข้าพเจ้าไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์หรือนักนิเวศวิทยาจึงบอกไม่ได้ แต่ชาวบ้านบอกอยู่เสมอว่า มีตะกอนดินที่ไหลลงมาที่ปากแม่น้ำ ทำให้มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรปากแม่น้ำ อันเป็นแหล่งทำมาหากินของชาวประมงพื้นบ้าน และเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา อ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี อ่าวปัตตานี จ.ปัตตานี ปากแม่น้ำแม่ตรัง ปากแม่น้ำปะเหลียน และอีกหลายแม่น้ำในภาคใต้ ความเปลี่ยนแปลงนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อมีการบอกกล่าวจากชาวประมงที่ปากแม่น้ำว่า มีตะกอนดินเกิดขึ้นมากจนผิดสังเกต สิ่งนี้คือคำถามว่าเกิดจากอะไร การเรียนรู้ระบบลุ่มน้ำจึงมีความสำคัญที่ทำให้เราต้องเข้าใจต่อการใช้ประโยชน์ที่ดินในบริเวณป่าต้นน้ำ แม้ว่าจะเป็นภูเขาลูกโดด ที่มีการบุกรุกป่าทำสวนยาง หรือเป็นเทือกเขาที่มีการทำกินและที่ตั้งของชุมชนก็ตาม การฟื้นฟูชุมชนที่ประสบภัยพิบัติ จึงจำเป็นต้องเริ่มต้นวันนี้ วันที่ชุมชนต้องฟื้นฟูขึ้นใหม่ กรณีที่หมู่บ้านถูกทำลาย การฟื้นฟูจึงไม่ได้อยู่ที่การสร้างบ้านให้เท่านั้น หรือการทวงสิทธิในที่ดินอันชอบธรรม แต่ยังหมายถึงการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทั้งระบบ การวางแผนพัฒนาพื้นที่เป็นเรื่องที่ทำได้จากการรวมกลุ่มของชุมชน และมองไปในอนาคตว่าชุมชนเราควรเป็นอย่างไรภายใต้ทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศที่เราต้องพึ่งพา การจัดการที่ดินในพื้นที่ป่าที่ยังไร้เอกสารสิทธิ จึงไม่ใช่การเริ่มต้นว่าเพราะเป็นที่ดินของรัฐ ประชาชนมาอยู่ภายหลัง จึงกลับเข้าไปไม่ได้ แต่จากสภาพที่ดินที่ตำบลกรุงชิง อ.นพพิตำ และที่ต.เทพราช อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ชาวบ้านอยู่มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 หรือก่อนหน้านั้นและเริ่มมีการอพยพตามเข้ามา ชาวบ้านทั้งสองพื้นที่มีบทบาทสำคัญต่อการตรวจสอบไม่ให้เกิดโครงการสร้างเขื่อนคลองกราย และเขื่อนท่าทน เนื่องจากเกรงว่าจะทำลายพื้นที่ป่า และมีอพยพชุมชนออกจากพื้นที่ การพิสูจน์สิทธิในที่ดินมาอยู่ก่อนประกาศพื้นที่ป่า จึงเป็นการย้อนหาอดีตที่ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหา แต่เราควรที่จะสนับสนุนให้ชุมชนรวมกลุ่มและตกลงกันให้ได้ว่าเรามีสภาพที่ดินที่จำกัด พื้นที่ส่วนหนึ่งต้องอนุรักษ์ให้เป็นพื้นที่ป่าธรรมชาติ ป่าต้นน้ำ ป่าใช้สอยที่ชาวบ้านจะใช้ประโยชน์อย่างไร บริเวณไหนที่ต้องทำสวนสมรม สวนผลไม้ หรือสวนยาง เป็นสิ่งที่ชาวบ้านต้องร่วมพิจารณากันว่า จะจัดการอย่างไรให้ชุมชนอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน การบริหารจัดการดังกล่าวจึงเจาะจงไม่ได้ว่าควรเป็นอย่างไร เพราะสภาพพื้นที่มีความแตกต่างกัน แต่ภัยพิบัติจะเป็นอุทาหรณ์ให้ชาวบ้านต้องตระหนักในด้านนี้ การจัดการที่ดินและทรัพยากรร่วมกัน หรือที่เรียกว่า “โฉนดชุมชน” จึงเป็นแนวทางที่จะทำให้ประชาชนและชุมชนต้องรวมกลุ่มมีกฎกติกาของตนเอง เพื่อจัดการที่ดินและทรัพยากรของชุมชนร่วมกัน จะทำให้เขาเชื่อมั่นว่าดำเนินการได้โดยไม่ถูกจับกุม และพวกเขาปกป้องป่าไม้ได้ด้วยกฎกติกาของพวกเขา และสามารถเฝ้าระวังแยกกลุ่มที่ทำลายป่า ออกจากกลุ่มของเขา เพื่อยืนยันให้สังคมเห็นว่าใครคือผู้ทำลายป่า คนที่ไม่อยากรวมกลุ่มคือคนที่อยากอยู่ลำพังและอยู่ยากในสภาวะที่ระบบนิเวศมีความเสี่ยง ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้น ถ้าหากภาครัฐกรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ จะร่วมสนับสนุนให้พวกเขาจัดการในเรื่องนี้นับแต่วันนี้ สำหรับชุมชนที่อยู่บนพื้นที่ราบ หรือพื้นที่ชายฝั่งทะเล ที่ได้รับผลกระทบทั้งสิทธิในที่ดิน ก็เฉกเช่นเดียวกันที่ต้องจัดการที่ดินและทรัพยากรร่วมกัน แต่การร่วมศึกษาของการวางแผนพัฒนาพื้นที่และผังเมืองว่าระบบทางน้ำไหลของแม่น้ำอยู่ที่ใด สาเหตุใดเป็นอุปสรรคของการทำให้น้ำท่วมขังนาน และทำลายพื้นที่แหล่งอาหารของชุมชนอย่างไร โดยเฉพาะพื้นที่ชุ่มน้ำของป่าจาก ป่าสาคู ป่าชายเลน ป่าริมน้ำ ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อสมุนไพรและอาหาร ที่จะทำให้ชุมชนคนใต้พึ่งพาได้ นอกจากการพึ่งสวนยางและสวนปาล์มซึ่งเป็นพืชเงินตราเท่านั้น การดำเนินการลักษณะเช่นนี้จึงจำเป็นต้องร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ปกครองท้องที่ ที่จะต้องร่วมวางแผนการใช้ที่ดินในตำบลของตนเองอย่างไร การเตรียมความพร้อมเฝ้าระวังภัยพิบัติเริ่มต้นที่ชุมชน ตำบล และเครือข่ายของลุ่มน้ำนั้น ซึ่งแบ่งเป็นโซนย่อยๆ ตามระบบนิเวศที่ใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดยที่มีอาสาสมัครที่มีศักยภาพในการช่วยเหลือผู้อื่นและใช้เครื่องมือสื่อสาร จะเป็นแบบเครือข่ายวิทยุ VR ซึ่งเป็นสมาคมวิทยุสมัครเล่น โดยการรวมตัวกันทุกจังหวัด สนับสนุนโดยการสื่อสารโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จ่ายค่าสมัคร ๑.๐๐๐ บาท กทช.มาสนับสนุนความรู้และออกใบวิทยุสมัครเล่นขั้นต้น หรือจะใช้เครือข่ายวิทยุมดแดงในการสื่อสาร สิ่งที่สำคัญอาสาสมัครนั้นเป็นคนในชุมชน และเชื่อมเป็นเครือข่ายสื่อสารจากป่าต้นน้ำถึงชายฝั่งทะเล สามารถรับรู้ว่าน้ำจะไหลลงมาที่พื้นราบภายในจำนวนกี่วัน ในเครือข่ายป่าต้นน้ำเฝ้าระวังดินถล่ม แผ่นดินไหว พายุฝน ปริมาณน้ำ ความรู้เหล่านี้ต้องถูกถ่ายทอดให้คนในชุมชนที่มีศักยภาพเข้าใจ และป้องกันตนเอง สามารถสื่อสารให้กับคนในหมู่บ้าน ตำบลและเครือข่าย ที่สำคัญต้องมีข้อมูลของชุมชน ระบบข้อมูลของลุ่มน้ำ เมื่อเกิดภัยพิบัติก็สามารถรู้ว่าควรจะช่วยเหลือใครที่เดือดร้อนมากที่สุดในเบื้องต้น ความเป็นเครือข่ายของลุ่มน้ำจากป่าถึงทะเล จะทำให้เกิดการหนุนการช่วยเหลือกัน โดยเฉพาะพื้นที่ใดที่ช่วยตนเองไม่ได้ พื้นที่อื่นก็จะมาช่วยเหลือ และรู้ข้อมูลร่วมกัน สามารถที่จะไปหนุนช่วย อบต.ที่ถูกน้ำท่วมได้ ปัจจัยของการมีเรือไฟเบอร์ หรือเรือติดเครื่องยนต์ เสื้อชูชีพ มีไว้สำหรับแต่ละจุดในแต่ละโซน ของลุ่มน้ำ เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือกันเมื่อพื้นใดที่เดือดร้อน ภารกิจของการเฝ้าระวังภัยพิบัติและการบริหารจัดทรัพยากรธรรมชาติจึงต้องเป็นของชุมชนจึงจะจัดการได้ทันต่อสถานการณ์ ภารกิจของบุคคลหรือองค์กรภายนอก จะทำหน้าที่ได้ดีสำหรับการช่วยเหลือในสถานการณ์เฉพาะหน้าเมื่อเกิดภัยพิบัติ และช่วยสนับสนุนการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการเคารพการจัดการของชุมชนและเครือข่าย หากไม่มีการรวมกลุ่มของชุมชนและเครือข่ายบุคคลหรือองค์กรภายนอกก็จะช่วยเหลืออย่างไร้ทิศทาง เพราะเขาไม่ได้รู้ว่าในชุมชนนั้นเป็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้เอง การวางแผนพัฒนาพื้นที่ การจัดทำผังเมือง การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการเฝ้าระวังภัยพิบัติจึงเป็นเรื่องเดียวกันที่ต้องสนับสนุนให้ชุมชนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในวันนี้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
จวกเจ้าหน้าที่ปล่อยโชว์หวิวสงกรานต์สีลม Posted: 16 Apr 2011 03:10 AM PDT รมว.พัฒนาสังคมฯ-มูลนิธิเพื่อนหญิง รุมจวกเจ้าหน้าที่จัดงานสงกรานต์สีลม ปล่อยโจ๋สาวถอดเสื้อเปลือยอกแดนซ์โชว์ จี้แสดงความรับผิดชอบ ตร.เล็งจับดำเนินคดี บล็อคระนาว คลิปสาวรุ่นเต้นเปลือยอกสงกรานต์สีลม 16 เม.ย. 54 - น.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวถึงการเต้นของวัยรุ่นหญิงในงานวันสงกรานต์บนถนนสีลม ลักษณะไม่สวมเสื้อท่อนบนและสวมกางเกงขาสั้นมาก มีนักท่องเที่ยวเชียร์ พร้อมฉีดน้ำอยู่โดยรอบ และมีการถ่ายเป็นคลิปวิดีโอเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม พร้อมตำหนิเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ ในพื้นที่ที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งๆที่ควรจะตักเตือนหรือนำวัยรุ่นหญิงที่มีพฤติกรรมดังกล่าวออกไป หรือหากมีการดื่มสุรา หรือสิ่งมึนเมาเป็นเหตุจูงใจให้มีพฤติกรรมนั้นเจ้าหน้าที่ควรนำตัวออกไปเพื่อให้ได้สติก่อน ทั้งนี้ในทางกฎหมายการกระทำดังกล่าวถือเป็นลหุโทษ เป็นการกระทำไม่เหมาะสมในที่สาธารณะ ประเพณีไทยเป็นสิ่งดีแต่หากยังไม่มีการควบคุมปล่อยให้เลยเถิด ทั้งยังมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นต้นเหตุของการก่อเหตุทะเลาะวิวาท และ พฤติกรรมอื่นๆที่ไม่เหมาะสมอีกมากมาย ผู้ที่จัดงานหรือผู้ที่รับผิดชอบดูแลการจัดงานต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้าน นายอิสสระ สมชัย รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)กล่าวตำหนิเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เช่นกัน ที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น เจ้าหน้าที่ควรจะมีการกวดขันและไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า บนถนนสีลม มีแหล่งยั่วยุ สถานบันเทิงที่ล่อแหลม เจ้าหน้าที่ตำรวจควรดูแลไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น ขณะที่สื่อมวลชนชาวอังกฤษที่ทำงานในประเทศไทย กล่าวว่า ไม่คิดว่าจะเป็นพฤติกรรมของวัยรุ่นไทยโดยทั่วไป เชื่อว่าคนไทยไม่กระทำพฤติกรรมดังกล่าวในที่สาธารณะ ขณะที่เว็บไซต์หลายแห่งได้ลบคลิปวิดีโอดังกล่าวออกโดยให้เหตุผลว่าไม่เหมาะสม ด้าน พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( สตช.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ยอมรับกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแดลพื้นที่จัดงานสงกรานต์ในสถานที่ต่างๆมีไม่เพียงพอ ประกอบกับมีประชาชนเล่นน้ำสงกรานต์เป็นจำนวนมาก จึงดูแลไม่ทั่วถึง ขณะเดียวพวกวัยรุ่นเหล่านี้เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะรีบลงมาปะปนกับประชาชนทั่่วไป อย่างไรก็ตามจะได้มีการนำภาพวีดีโอ หรือภาพวงจรปิดมาตรวจสอบและจะเรียกมาดำเนินการสอบสวนจับกุม ในข้อกระทำการอนาจารในที่สาธารณะ ส่วนการฉลองเทศกาลสงกรานต์ที่ พัทยา และพระประแดง ที่กำลังเริ่มขึ้น ได้สั่งการให้ บช.ภ 1 และ บช.ภ 2 วางแผนเพิ่มกำลังตรวจตราให้มากขึ้น ซึ่งหากเจอการกระทำลักษณะดังกล่าว ก็จะรีบจับกุมมาดำเนินคดีทันที บล็อคระนาว คลิปสาวรุ่นเต้นเปลือยอกสงกรานต์สีลม ด้านมติชนออนไลน์รายงานว่า คลิปวีดีโอภาพการเต้นเปลือยอกของสาววัยรุ่นที่ว่อนอยู่ในอินเตอร์เน็ต ได้กลายเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยขณะนี้ภาพคลิปที่เคยถูกนำเผยแพร่ในเว็บไซต์ youtube ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ได้ถูกทางกระทรวงไอซีทีตามไล่บล็อคการเข้าถึงหมดแล้ว แต่ในขณะที่ตามเฟซบุ๊กนั้น ได้มีการเผยแพร่ส่งต่อกันอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นบัญชีการเข้าถึงที่มีความเป็นส่วนตัว และยากต่อการเข้าถึงในแต่ละบุคคล ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: โพสต์ทูเดย์, มติชนออนไลน์
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
16 ศพแรงงานพม่ากับการถามหาความปลอดภัย Posted: 16 Apr 2011 02:13 AM PDT เมื่อไม่กี่วันมานี้มีความเคลื่อนไหวในเรื่องความตายของแรงงานข้ามชาติชาวพม่าในเขตอุตสาหกรรมมหาชัย 16 คนที่เสียชีวิตจากการถูกรถบรรทุกเสยชน กับรถขนส่งแรงงานขณะรับส่งคนงานเพื่อมาทำงาน มีคำถามเกิดขึ้นมากมายถึงความรับผิดชอบ และระบบป้องกันการเกิดอุบัติภัยความไม่ปลอดภัยของแรงงาน กับการเดินทางทั้งระบบในพื้นที่อุตสาหกรรม ความจริงที่ต้องพูดถึงโศกนาฎกรรมชีวิตความตายในครั้งนี้ มิใช่เพียงครั้งแรกที่เกิดขึ้น ถ้าย้อนหลังกลับไปเกือบยี่สิบปีมีตัวอย่างความตายจากการเดินทางไป-กลับของแรงงานทั้งคนไทยและข้ามชาติหลายกรณี เช่น รถสองแถวขนส่งคนงานชนกับรถบรรทุกที่สงขลาทำให้คนงานเสียชีวิต และบาดเจ็บหลายสิบคน กรณีรถสองแถวใหญ่ส่งคนงานย่านอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่กลับบ้านหลังฉลองปีใหม่มีคนงานเสียชีวิตสามคนและบาดเจ็บอีกนับสิบคน อาจกล่าวได้ว่ากรณีความไม่ปลอดภัยจากการเดินทางของคนงานในย่านอุตสาหกรรมนั้นเกิดขึ้นมากมาย เพียงแต่ไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นข่าว และให้ความสำคัญป้องกันแก้ไขปัญหาในระดับนโยบาย และพื้นที่อย่างจริงจัง การเกิดเหตุการณ์แต่ละครั้งกลับกลายเป็นเรื่องการดำเนินคดีความระหว่างบริษัทประกันภัยรถ กับตัวแรงงาน หรือครอบครัว มีคำถามว่าความรับผิดชอบของนายจ้างอยู่ตรงไหน ประกันสังคม กองทุนเงินทดแทน โดยกระทรวงแรงงานได้เข้ามามีส่วนรับผิดชอบในการรักษา เยียวยา และจ่ายค่าชดเชยอย่างไร กรมทางหลวง กรมการขนส่ง กระทรวงคมนาคม องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย และตำรวจทางหลวง สำนักงานตำรวจแห่ชาติ เข้ามาวางมาตรการ ออกแบบการขนส่งแรงงานกับการเดินทางไปทำงานและกลับบ้านที่ปลอดภัย จากการลงพื้นที่ทำงานกับสหภาพแรงงานในย่านอุตสาหกรรม มีข้อพบเห็นเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยในชีวิตด้านการเดินทางทั้งไปทำงาน และกลับจากการทำงานโดยผ่านการใช้ระบบบริการรถรับส่งของบริษัทในหลายประการกล่าวคือ หนึ่ง การลดต้นทุน การจัดจ้างรถขนส่งคนงานมักใช้รูปแบบรถสองแถวใหญ่ หรือสองแถวเล็ก มีรถบริการน้อยกว่าความต้องการเดินทางของคนงาน และไม่มีประตูปิดท้ายหรือที่กั้นแบบมาตรฐาน สำคัญคือคนงานขึ้นรถแบบอัดแน่นไม่มีที่ว่างในการยืนและนั่ง ต้องห้อยโหนออกมาท้ายรถ จนก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตร่างกาย สอง การจัดจ้างรถยนต์ที่มารับส่งคนงาน ส่วนมากจะใช้การจัดจ้างแบบรายวันเพื่อสามารถปรับลด เพิ่มตามความต้องการในการขนส่งแต่ละวัน อีกทั้งการจัดจ้างในลักษณะนี้ยังช่วยให้นายจ้างไม่ต้องรับผิดชอบเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการขนส่ง เพราะเหมาจ่าย หรือเก็บเงินจากแรงงานโดยทำเป็นการออกเงินจ้างรถมารับ-ส่งโดยแรงงานเอง เมื่อเกิดเหตุการณ์ นายจ้างมักรอดตัวกับการชดใช้ความเสียหาย และการดำเนินคดี สาม พฤติกรรมของพนักงานขับรถ ส่วนใหญ่มักเป็นคนของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ดังนั้นการจัดจ้างรถรับ-ส่งคนงานส่วนใหญ่นายจ้างหลายแห่งต้องตกอยู่ในสภาพการถูกบังคับให้ต้องจัดจ้างรถของกลุ่มผู้มีอิทธิพล จากการพูดคุยกับแรงงานในย่านอุตสาหกรรมสมุทรสาคร-นครปฐมบอกว่า "พูดอะไรมากไม่ได้เดี๋ยวเขาแกล้งไม่ให้ขึ้นรถ หรือบางทีก็ปล่อยรถช้าทำให้เพื่อนกลับบ้านช้าไปด้วย เขาเป็นนักเลงขับรถเร็วมาก หรือคิดอยากจะจอดตรงไหนก็จอด เกิดอุบัติเหตุหลายครั้งแล้ว เดี๋ยวเรื่องก็เงียบ ที่พูดก็มีคนขับรถนิสัยดีๆ ก็มีแต่มีไม่มาก บริษัทฯควรทำคือก่อนจัดจ้างต้องมีการอบรม ทำสัญญา เพื่อควบคุมความประพฤติ" จากสถานการณ์ด้านความไม่ปลอดภัยจากการเดินทางไปทำงาน และการตายของแรงงานชาวพม่า 16 คนที่มหาชัย จังหวัดสมุทรสาครล่าสุด ทำให้ถูกนำมาเป็นกรณีศึกษาเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล โดยกระทรวงแรงงาน กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข องค์กรแรงงาน และองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ ต้องหันมาปรึกษาหารือกัน ในการยกระดับการแก้ไขปัญหา ข้ามพ้นการกล่าวโทษ หรือโยนความรับผิดชอบไปให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ผมจึงขอเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาใน 2 ระดับ ระดับที่หนึ่ง ระยะเร่งด่วน การดำเนินคดีให้ดำเนินการไปตามกระบวนการกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างการรักษา หรือดำเนินการฟ้องร้องจะต้องไม่มีการใช้กฎหมายหลบหนีเข้าเมืองมาใช้เพื่อการส่งกลับแรงงานข้ามชาติที่บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต รวมถึงครอบครัวของแรงงาน จนกว่าการดำเนินคดีจะสิ้นสุดและได้รับความเป็นธรรม ส่วนแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมายนั้น การจ่ายค่าชดเชย การฟื้นฟู เยียวยา สำนักงานประกันสังคมจะต้องเข้ามาพิทักษ์สิทธิในฐานะแรงงานข้ามชาติที่ประสบภัยได้เข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่าแรงงานที่ประสบอุบัติเหตุรถชนเป็นช่วงที่ไปทำงานให้นายจ้างก็ต้องให้ไปใช้ พ.ร.บ.กองทุนเงินทดแทนในการรักษา เยียวยา ชดเชยการสูญเสีย เป็นต้น ระดับที่สอง ระยะยาว จังหวัด พื้นที่ปกครองท้องถิ่น และระดับนโยบาย ต้องจัดประชุมสหวิชาชีพเชิงปฎิบัติการด้านความปลอดภัยในการเดินทางของแรงงานที่มีมาตรฐาน โดยใช้กรณีปัญหานี้เป็นตัวอย่างการจัดระเบียบระบบของการให้ความคุ้มครองความปลอดภัยการเดินทางของแรงงานที่ได้มาตรฐาน เช่น ระบบการจัดจ้างรถรับส่งคนงานที่มีสัญญาการจ้างเหมาที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงรูปแบบของรถที่มีมาตรฐานความปลอดภัยในการบรรทุกขนส่ง มีการจัดอบรมและมีใบอนุญาตรับรองความประพฤติของพนักงานขับรถรับส่งคนงาน ส่วนกรณีการจอดรับส่งคนงานเพื่อเดินทางไปทำงาน หรือกลับจากการทำงาน กรมทางหลวง กรมการขนส่ง องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นควรมีการพัฒนาสถานที่จอดรถอย่างปลอดภัย มีการทำสัญญาณ หรือสัญลักษณ์ที่ชัดเจน รวมถึงมีการรณรงค์เตือนภัยในการใช้รถใช้ถนนโดยเฉพาะเขตพื้นทีเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ส่วนกระทรวงแรงงานโดยประกันสังคมต้องเร่งออกประกาศกระทรวงเรื่องการเพิ่ม ส่งเสริมให้สถานประกอบการมีมาตรฐาน และมาตรการด้านความปลอดภัยในการเดินทางขนส่งพนักงาน โดยใช้เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย(จป.) และคณะกรรมการความปลอดภัย(คปอ.)เป็นกลไกการตรวจสอบยานพาหนะขนส่งแรงงานทั้งไป-กลับอย่างปลอดภัย จากข้อเสนอการแก้ไขปัญหาความไม่ปลอดภัยจากการเดินทางของแรงงานในสองระดับดังกล่าว เป็นข้อเสนอที่ผู้เขียนมองจากความเป็นจริงที่ได้พบเห็นในขณะเดียวกันก็เกิดสถานการณ์จริง 16 ศพคนงานพม่าที่ต้องสังเวยการเดินทางที่ไม่ปลอดภัยจากการทำงาน นับแต่นี้ไปผมคิดว่าหน่วยงานด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน และองค์กรแรงงานทั้งไทยและต่างประเทศจะหยิบยกประเด็นนี้ กรณีศึกษานี้มาเป็นตัวกระตุ้นและพัฒนาความร่วมมือการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นต้องได้รับความร่วมมือและจริงใจต่อการแก้ไขปัญหา เป็นเรื่องที่ทุกคนไม่อาจปฎิเสธได้ เพราะความปลอดภัยจากการเดินทางสามารถป้องกันได้ถ้าเราไม่ประมาท การเคารพกฎหมายที่เคร่งครัด การพัฒนายกระดับจิตสำนึกของสถานประกอบการ นายจ้าง การให้ความรู้ความเข้าใจของคนงานและพนักงานขับรถต่อการสูญเสียเมื่อเกิดอุบัติภัยจากการใช้รถใช้ถนน สุดท้ายนี้คงหวังว่าการเดินทางที่ปลอดภัยของแรงงานจะไม่ใช่เรื่องที่เกิดมาแล้วหายไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ว่าเขาจะเป็นคนไทยหรือคนข้ามชาติใครๆ ก็รักชีวิตถ้าเลือกได้คงไม่อยากจากคนที่รักในสภาพแบบนี้
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกที่ http://voicelabour.org/?p=3644
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
“มานิตย์” งัดพจนานุกรมโต้ทหาร ชี้อย่าผูกขาดความจงรักภักดี Posted: 16 Apr 2011 01:26 AM PDT “มานิตย์” งัดพจนานุกรมโต้ทหารกล่าวหา 3 แกนนำนปช.จาบจ้วง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ย้อนให้กลับไปดูความหมายให้ดี อย่าตีความเพื่อใส่ร้าย ประชาธิปัตย์กังวลเสื้อแดง เตรียมแปลวิกิลีกส์แจกเครือข่าย รุมฟ้องหมิ่น "ป๋าเปรม" 16 เม.ย. 54 - ที่พรรคเพื่อไทย นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำ นปช.และคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรค แถลงถึงกรณีที่มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม นปช.ปราศรัยจาบจ้วงหมิ่นสถาบัน ในการชุมนุมใหญ่วันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า คำว่าจาบจ้วง ตามความหมายในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า ล่วงเกินผู้อื่นด้วยวาจา ขณะที่การกระทำอันเป็นการหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ซึ่งความผิดฐานหมิ่นประมาท หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แปลว่าใส่ความหรือกล่าวหาเรื่องร้ายพระมหากษัตริย์ จึงถามว่าคำปราศรัยของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน นายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช. ถามว่าคำไหนที่เป็นการกล่าวร้ายให้พระมหากษัตริย์เสียหาย การปราศรัยหรืออภิปรายต้องฟังตั้งแต่ต้นจนจบไม่ใช่จับเอาคำหนึ่งคำใดมาเล่นเพื่อใส่ร้าย "เสธ.หนั่น"เชื่อมีเลือกตั้ง ทหารไม่ปฏิวัติ "วีระ"ดอดร่วมอวยพรสงกรานต์ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ได้เปิดบ้านพักย่านสนามบินน้ำ ให้ประชาชน ข้าราชการและนักการเมืองเข้ารดน้ำอวยพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ โดยมีประชาชนเดินทางร่วมงานกันอย่างคับคั่ง รวมไปถึงนักการเมือง อาทิ นายวีระกานต์ มุสิกพงษ์ อดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ ฐานะโฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา นายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ พล.ต.สนั่นกล่าวว่า ในทางการเมือง ตนยังยืนอยู่ในจุดเดิม คือ อยากให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบ คนไทยมีความรักมีความปรองดองรักใคร่กันเหมือน 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตนจะเดินหน้าทำเรื่องความปรองดองต่อไป เพื่อให้คนไทยหันหน้ามาทำความเข้าใจกันให้ได้ เมื่อถามถึงการประเมินเส้นทางสายปรองดอง พล.ต.สนั่นกล่าวว่า ตนพอใจในระดับหนึ่ง เพราะได้ทำความเข้าใจหลายฝ่าย งานทั้งหลาย เมื่อสถานการณ์วันนี้ หากจะให้สำเร็จลุล่วงโดยเร็ว คงไม่สามารถทำได้ ต้องคอยทำความเข้าใจ เมื่อถามว่า ความปรองดองแม้ว่าการชุมนุมจะทำให้เกิดขึ้นได้ แต่ในทางการเมืองยังพบว่าสวนทาง พล.ต.สนั่นกล่าวว่า ตนอยากเห็นสองพรรคใหญ่รวมกันแล้วจัดตั้งรัฐบาล และให้พรรคเล็ก รวมถึงพรรคของตนเป็นฝ่ายค้าน แต่ในความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องพยายามทำ เมื่อถามว่า ประเมินว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นตามตารางที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ระบุหรือไม่ รองนายกฯกล่าวว่า มั่นใจว่าเกิดขึ้นแน่นอน เพราะไม่มีอะไรที่หยุดการเลือกตั้งได้ ส่วนทิศทางการเมือง พรรคการเมืองหาเสียง ส่วนก่อนการเลือกตั้งขณะนี้เห็นชัดว่าและพรรคมีการใส่ไฟกันเยอะ ดังนั้น ต้องเห็นใจ "ผมขออย่างเดียว ระหว่างเลือกตั้ง อย่าให้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น พรรคการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายเสื้อแดง หากชุมนุมได้แต่อย่าให้มีเหตุที่ร้ายแรงเกิดขึ้น สำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเชื่อว่าจะไม่ดุเดือดถึงเลือดตกยางออก แต่การปราศรัย ก็อาจมีการโยนไฟใส่กัน ทั้งนี้ มีทางเดียวเลือกตั้ง ขออย่างเดียวใครแพ้ใครชนะ ก็ยอมรับผลเลือกตั้ง และเป็นการเลือกตั้งต้องบริสุทธิ์" พล.ต.สนั่นกล่าว เมื่อถามถึงกระแสการปฏิวัติ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่มี เพราะทหารคุยกันแล้ว ดังนั้น ก็เชื่อถือกัน ไม่มีปฏิวัติแต่เราอย่าปฏิวัติกันเอง เมื่อถามถึงการประเมินการเลือกตั้งในอนาคต พล.ต.สนั่นกล่าวว่า ไม่มีพรรคการเมืองใดที่ได้รับเสียงชนะเด็ดขาด สำหรับพรรคที่จับขั้วกันขณะนี้ ไม่ทราบว่าทิศางอนาคตจะเป็นเช่นไร เพราะยังไม่ทราบผลคะแนนว่าจะแพ้หรือชนะกันมากแค่ไหน และใครจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ประชาธิปัตย์กังวลเสื้อแดง เตรียมแปลวิกิลีกส์แจกเครือข่าย รุมฟ้องหมิ่น "ป๋าเปรม" ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีนายนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กำลังแปลเอกสารลับที่เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริการายงานกลับประเทศและถูกนำมาเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์วิกิลีกส์เป็นภาษาไทย เพื่อจะแจกจ่ายให้กับคนเสื้อแดงทั่วประเทศนำไปดำเนินคดีกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ในข้อหาหมิ่นสถาบันว่า ได้ติดตามข่าวเหล่านี้ ยอมรับว่า ปชป.มีความวิตกกังวลในเรื่องนี้ ต้องขอบคุณสื่อที่ไม่นำเสนอข้อความที่กระทบและพาดพิงสถาบันของชาติ ที่แกนนำเสื้อแดงปราศรัยบนเวทีวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง "ปัญหาเรื่องนี้ ขอให้สื่อใช้วิจารณญาณในการงดการเสนอข่าว โดยเฉพาะที่นายขวัญชัยเตรียมถ้อยคำที่ไม่มียืนยันว่าเป็นความจริง ที่ลงในเว็บไซต์วิกิลีกส์เผยแพร่ทั่วโลก เพียงเพื่อเจตนาสร้างความเข้าใจผิดต่อสถาบันสูงสุดของประเทศและต่อบุคคลที่ทำงานรับใช้สถาบัน ตรงนี้ขอประณามนางธิดา โตจิราการ แกนนำเสื้อแดง และ ส.ส.เพื่อไทย โดยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังออกมายืนยันว่าจะส่งบุคคลเหล่านี้ลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย" นพ.บุรณัชย์กล่าว ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: เดลินิวส์, มติชนออนไลน์ [1], มติชนออนไลน์ [2]
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 10 - 16 เม.ย. 2554 Posted: 16 Apr 2011 12:26 AM PDT
ชี้แรงงาน'ท่อใยหิน'เสี่ยงมะเร็งปอด รศ.ภก.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยถึงอันตรายของผู้ใช้แรงงานสัมผัสกับวัสดุก่อสร้างที่มีส่วนผสมของแร่ ใยหินว่า จากการติดตามแหล่งจำหน่ายของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ทำท่อใยหินกระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ และข้อมูลในเว็บไซต์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีท่อใยหิน พบว่า อุตสาห กรรมเหล่านี้ไม่มีมาตรการป้องกันให้ผู้ใช้แรงงานที่ทำงานสัมผัสกับท่อใยหิน ซึ่งผู้ใช้แรงงานไม่มีโอกาสทราบว่าใยหินรอบตัว คือ สารก่อมะเร็ง ทั้งมะเร็งปอด มะเร็งเยื่อหุ้มปอด และอื่นๆ โดยอนุภาคใยหินกระจายอยู่ทั่วไปในสถานที่ผลิต การขาดมาตรฐานในการดูแลผู้ใช้แรงงาน เหล่านี้จะสร้างภาระทางสุขภาพแก่ผู้ใช้แรงงานและครอบครัวในระยะยาวจากโรค มะเร็งนำมาสู่การแบกรับทางเศรษฐกิจที่ครอบครัวและรัฐจะต้องดูแลอย่างมหาศาล เนื่องจากการรักษาโรคมะเร็งปอดมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก สำหรับการป้อง กันโรคคือหยุดใช้แอสเบสตอสทุกชนิด คคส.เห็นด้วยกับการที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติยกเลิกการใช้ใยหินไครโซไทล์ใน ประเทศไทย จะเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลที่จะดูแลสุขภาพผู้ใช้แรงงาน ผู้บริโภค และคนไทยอย่างจริงจัง (ข่าวสด, 11-4-2554) ครม.เห็นชอบให้ศึกษาความเป็นไปได้ขยายสิทธิลาคลอดบุตรได้ 180 วัน นพ.มารุต มัสยวาณิช รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามมติของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ โดยขอให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงแรงงาน และสำนักนายกรัฐมนตรี และกรมบัญชีกลาง และหน่วยราชการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาความเป็นไปได้การขยายสิทธิการลาคลอด หรือพิจารณาปรับปรุงกฎหมายสิทธิการลาคลอดบุตร ให้เป็น 180 วัน ทั้งนี้ในระหว่างลาคลอดยังคงให้ ได้รับค่าจ้างตามปกติ โดยเฉพาะกรณีการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา รวมทั้งพิจารณามาตรการลดหย่อนภาษีและให้ประกาศเกียรติคุณแก่สถาน ประกอบการที่ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดา (สำนักข่าวอินโฟเควสท์, 12-4-2554) เตรียมฟ้องศาลแรงงาน เหตุ สปส.เก็บเงินสมทบสุขภาพ เรียกเงินคืนตั้งแต่ปี 45 เข้าชราภาพแทน 12 เม.ย. 54 - นายนิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางชมรมอยู่ระหว่างการให้ทนายร่างคำฟ้องต่อศาลแรงงาน เพื่อเรียกร้องให้ สปส.คืนเงินสมทบด้านสุขภาพที่ผู้ประกันตนได้จ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม ไปแล้วตั้งแต่ปี 2545 นำมาสมทบในส่วนของบำนาญชราภาพแทน เนื่องจากประกาศของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ในการจ่ายเงินสมทบนั้นเป็นประกาศที่ไม่ชอบ ทั้งนี้ คาดว่าน่าจะส่งฟ้องได้ในช่วงหลังสงกรานต์ ส่วนประเด็นที่จะเป็นภาระของรัฐบาล ที่จะนำงบประมาณมาสมทบ หากผู้ประกันตนในระบบ สปส.ต้องเข้ามาสู่ระบบของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นายนิมิตร์ กล่าวว่า ต้องเข้าใจประเด็นก่อนว่าผู้ประกันตนถูกปฏิบัติอย่างไม่เสมอภาค ต้องแก้ไขให้เท่าเทียมก่อน ซึ่งเรื่องงบประมาณที่จะนำมาใช้เป็นระบบการจัดการทางด้านภาษี ต้องให้นักเศรษฐศาสตร์ด้านสาธารณสุข อาทิ ดร.อัมมาร สยามวาลา และทาง สปสช.คำนวณค่าใช้จ่ายว่าถ้าผู้ประกันตนเกือบ 10 ล้านคน เข้าสู่ระบบของ สปสช.หรือบัตรทอง ที่มีอยู่ขณะนี้ 48 ล้านคน รวมเป็น 58 ล้านคน มีคนหนุ่มสาวกี่คน มีผู้ใช้สิทธิจริงๆ กี่คน อยู่ในช่วงอายุเท่าไหร่ ซึ่งต้องกำหนดค่าใช้จ่ายรายหัวอีกทีว่าควรจะเป็นเท่าไหร่ “สปส.ควรคิดเรื่องนี้นานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการไปพัฒนาระบบภาษี การคิดค่าเหมาจ่ายรายหัว เพราะ สปสช.ดีกว่า สปส.หลายเท่า สำนักงานของ สปสช.ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศก็พร้อมดูแล ซึ่งเรื่องนี้ สปส.ต้องกลับมาดูที่ตนเองได้แล้ว” นายนิมิตร์ กล่าว (แนวหน้า, 12-4-2554) สภาอุตฯ ชง 4 มาตรการรัฐบาลช่วยน้ำท่วมใต้ จ่ายค่าจ้างแทนผู้ประกอบการ 2 เดือน นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยในการแถลงความร่วมมือการช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ระหว่าง ส.อ.ท.และสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ว่า ส.อ.ท.ได้สอบถามความเสียหายของสมาชิกในภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ทั้งทางตรงและทางอ้อม พบว่าสมาชิกส่วนใหญ่ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือ 4 ข้อ คือ 1.มาตรการด้านภาษีต้องการให้ภาครัฐช่วยผู้ประกอบการเรื่องสิทธิประโยชน์การ นำค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมโรงงานที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมมาเป็นค่าใช้ จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล 2.ขอให้งดเว้นการเก็บค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าเพื่อช่วยผู้ประกอบการในระยะ ฟื้นฟูกิจการ 3.ขอให้รัฐชดเชยค่าจ้างให้กับแรงงาน ในช่วงผู้ประกอบการฟื้นฟูกิจการ 1-2 เดือน เพื่อชะลอการเลิกจ้าง น้ำท่วมครั้งนี้ผู้ประกอบการต้องหยุดประกอบการ 1-2 เดือน แต่ไม่ได้เลิกจ้างทำให้มีภาระค่าจ้าง โดยรูปแบบการชดเชยอาจทำเหมือนโครงการต้นกล้าอาชีพที่รัฐบาลช่วยชะลอการเลิก จ้างในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2552 4.การจ่ายเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจะต้องกำหนดหลักเกณฑ์ชัดเจน และทั่วถึง โดยดูความเสียหายจากภาพถ่ายทางดาวเทียม ในด้านการชดเชยค่าจ้างจะเข้าหารือ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในช่วงวันหยุดสงกรานต์ ส่วนประเด็นอื่นก็จะเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป นายพยุงศักดิ์กล่าวว่า ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบมีทั้งขนาดใหญ่และเอสเอ็มอี น้ำท่วมครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการมากกว่าน้ำท่วมเมื่อปลายปี 2553 จึงต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาล การฟื้นฟูต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์และคำสั่งซื้อที่เข้ามาก่อนหน้านี้ก็ส่งมอบ ไม่ได้เพราะขาดวัตถุดิบ เช่น อาหารแปรรูป ผู้นำเข้าก็เข้าใจเพราะเป็นภัยธรรมชาติและทำการค้ากันมานาน เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป นายสุชาติ วิสุวรรณ รองประธานอาวุโส ส.อ.ท. กล่าวว่า สมาชิก ส.อ.ท.ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ได้รับผลกระทบมี 64 ราย นครศรีธรรมราช 50 ราย กระบี่ 2 ราย ส่วนจังหวัดชุมพรและพัทลุงได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการที่แรงงานมาทำงานไม่ ได้ ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ สภาอุตสาหกรรมภาคใต้ประเมินผลกระทบทางธุรกิจไว้ที่ 8,000-10,000 ล้านบาท เป็นผลกระทบต่อตัวโรงงาน เครื่องจักร สินค้าและวัตถุดิบที่เสียหาย รวมถึงการเสียโอกาสทางธุรกิจ และคาดว่าผลกระทบต่อภาพรวมทั้งหมดของภาคใต้ครั้งนี้อยู่ที่ 20,000 ล้านบาท กลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางตรงอยู่ในธุรกิจยางพาราและปาล์มเพราะโรงงานและ วัตถุดิบเสียหาย เช่น โรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมจะเสียโอกาสทางธุรกิจ เช่น โรงงานแปรรูปอาหารทะเล โรงงานที่ได้รับความเสียหายจะต้องหยุดประกอบการ 1-2 เดือน เพื่อฟื้นฟูกิจการ โดยเครื่องจักรที่เสียหายจากน้ำท่วมต้องใช้เวลาซ่อมแซมอย่างน้อย 1 เดือน (ประชาชาติธุรกิจ, 13-4-2554) คคส.ชี้แรงงานท่อใยหินเสี่ยงมะเร็งปอด รศ.ภก.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยถึงอันตรายของผู้ใช้แรงงานของไทยที่ยังสัมผัสกับวัสดุก่อสร้างที่มี ส่วนผสมของแร่ใยหิน ว่า จากการติดตามแหล่งจำหน่ายของโรงงานอุตสาหกรรม SME ที่ทำท่อใยหิน กระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ และจากการสำรวจข้อมูลในเว็บไซต์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรม SME ท่อใยหิน พบว่า อุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่มีมาตรการป้องกันให้ผู้ใช้แรงงานที่ทำงานสัมผัสกับท่อ ใยหินเหล่านี้ ซึ่งผู้ใช้แรงงานไม่มีโอกาสทราบว่าใยหินรอบตัว คือสารก่อมะเร็ง ทั้งมะเร็งปอด มะเร็งเยื่อหุ้มปอด และอื่นๆ โดยอนุภาคใยหินกระจายอยู่ทั่วไปในสถานที่ผลิต สังเกตดูได้จากภาพของแรงงานที่ปรากฏในเว็บไซต์ของอุตสาหกรรมเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ ให้กับแรงงาน ดังนั้นการขาดมาตรฐานในการดูแลผู้ใช้แรงงานเหล่านี้จะสร้างภาระทางสุขภาพแก่ ผู้ใช้แรงงานและครอบครัวในระยะยาวจากโรคมะเร็ง นำมาสู่การแบกรับทางเศรษฐกิจที่ครอบครัวและรัฐจะต้องดูแลอย่างมหาศาล เนื่องจากการรักษาโรคมะเร็งปอดมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก “องค์การอนามัยโลกได้ชี้ว่าแอสเบสตอ สทุกชนิดรวมทั้งใยหินไครโซไทล์ ที่ประเทศไทยยังยอมให้ใช้อยู่เป็นอันตราย โดยเป็นสารก่อมะเร็ง ที่ทำให้เกิดโรคที่สัมพันธ์กับแอสเบสตอส เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเยื่อหุ้มปอด การป้องกันโรคคือการหยุดการใช้แอสเบสตอสทุกชนิด เครือข่ายแพทย์และนักวิชาการได้ผนึกกำลังผ่านสมาพันธ์อาชีวอนามัย/ความ ปลอดภัย/สภาพแวดล้อมในการทำงาน และได้ร่วมประชุม Asian Conference on Occupational Health 2011 เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อยืนยันสนับสนุน มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ที่มีมติให้ยกเลิกการผลิต นำเข้าและส่งออกแร่ใยหินทุกชนิด จึงเห็นว่าการที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติยกเลิกการใช้ใยหินไครโซไทล์ในประเทศไทย จะเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาล ที่จะดูแลสุขภาพผู้ใช้แรงงาน ผู้บริโภค และคนไทยอย่างจริงจัง” รศ.ภก.ดร.วิทยา กล่าว (บ้านเมือง, 14-4-2554) สปส.เตือนอย่าเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพ สมัครประกันเรียกเก็บเงินผ่านตัวแทน นางสาวเพ็ญศรี ฤกษ์นันทน์ นักวิชาการแรงงานชำนาญการ พิเศษ รักษาราชการแทนประกันสังคมจังหวัดเชียงใหม่ แจ้งว่าสำนักงานประกันสังคมได้ขยายความคุ้มครองประกันสังคมตามมาตรา 40 โดยให้มีสิทธิประโยชน์ 2 ทางเลือก คือ ทางเลือกที่ 1 จ่ายเงินสมทบ 100 บาท (ผู้ประกันตนจ่าย 70 บาท รัฐบาลอุดหนุน 30 บาท) ได้รับสิทธิประโยชน์ 3 กรณี คือเงินชดเชยการขาดรายได้ กรณีเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ และกรณีตาย ทางเลือก 2 จ่ายเงินสมทบ 150 บาท (ผู้ประกันตนจ่าย 100 บาท รัฐบาลอุดหนุน 50 บาท) ได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับทางเลือกที่ 1 และเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีบำเหน็จชราภาพ อีก 1 กรณี นางสาวเพ็ญศรี ฤกษนันทน์ แจ้งเพิ่มเติมขณะนี้สำนักงานประกันสังคมจังหวัดเชียงใหม่ กำลังเปิดรับสมัครผู้ประกันตามมาตรา 40 เท่านั้น แต่ยังไม่มีการเริ่มเก็บเงินสมทบแต่อย่างใด จนกว่าพระราชกฤษฎีกาจะมีผลและประกาศบังคับใช้ ซึ่งจะประกาศใช้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดเชียงใหม่ อาคารอำนวยการ ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัด เชียงใหม่ ถ.โชตนา ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่. แรงงานพม่าเริ่มเดินทางกลับไทยหลังกลับบ้านช่วงสงกรานต์ เมื่อวันที่ 16 เม.ย.แรงงานพม่าจำนวนนับ 1,000 คน เริ่มเดินทางโดยสารเรือข้ามแม่น้ำเมยจากจังหวัดเมียวดีของพม่ากลับมายังฝั่ง ประเทศไทย ที่บริเวณท่าข้ามที่ 2 บ้านห้วยม่วง ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ทั้งนี้เพื่อกลับมาทำงานในประเทศไทยตามปกติ หลังจากที่ได้เดินทางกลับบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งแรงงานพม่าต่างต้องรีบเดินทางกลับก่อน เนื่องจากมีปัญหารถโดยสารฝั่งพม่าไม่เพียงพอ เช่นเดียวกับจะต้องโดยสารรถจากอำเภอแม่สอด ไปยังพื้นที่จังหวัดต่างๆ เกรงว่าจะมีปัญหาเรื่องรถโดยสารเต็ม อย่างไรก็ดีมีแรงงานพม่านับ 10,000 คน ยังไม่ได้กลับมา และเดินทางมายังไม่ถึง (กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 16-4-2554)
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสม 5 วัน ในช่วงสงกรานต์ รวม 188 คน Posted: 15 Apr 2011 10:23 PM PDT 16 เม.ย. 54 - สำนักข่าวไทยรายงานว่าบรรยากาศที่สถานีรถไฟในหลายจังหวัด เนืองแน่นไปด้วยผู้โดยสารที่ทยอยเดินทางกลับ หลังเสร็จสิ้นภารกิจในช่วงสงกรานต์ เช่นที่ เชียงใหม่ ตั๋วรถไฟปลายทางกรุงเทพฯ ถูกจองเต็มไปจนถึงวันที่ 20 เมษายน เจ้าหน้าที่ต้องตรวจเข้มสัมภาระเพื่อป้องกันการลักลอบขนยาเสพติด เช่นเดียวกับสายอีสาน อย่างที่ จังหวัดบุรีรัมย์ รถไฟเที่ยวปกติถูกจองเต็มไปจนถึงวันที่ 18 เมษายน โดยทางการรถไฟได้เพิ่มอีกวันละ 4 ขบวน และติดตั้งกล้องวงจรปิด 10 ตัว เพื่อป้องกันกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพ ที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร บรรยากาศไม่ต่างกัน วันนี้มีผู้โดยสารหนาแน่นมาก เช่นที่ จังหวัดพิษณุโลก มีประชาชนและนักท่องเที่ยวต่อแถวซื้อตั๋วกันตั้งแต่เช้ามืดโดยเฉพาะช่องจำหน่ายตั๋วกลับเข้ากรุงเทพฯ ขณะที่ทางขนส่งได้สำรองรถปรับอากาศ 140 คัน ไว้รองรับผู้โดยสารเพื่อไม่ให้ตกค้าง ตรวจสอบเส้นทางถนนมิตรภาพ ช่วงอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พบว่า มีปริมาณรถเพิ่มมากขึ้น แต่ยังใช้ความเร็วได้ โดยตำรวจทางหลวง เตรียมเปิดช่องทางพิเศษทันที หากการจราจรเริ่มติดขัด ซึ่งคาดว่าในช่วงบ่ายวันนี้ ปริมาณรถจะหนาแน่น การเดินทางสายใต้ ก็คึกคักเช่นกัน ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีประชาชนมารอขึ้นรถและซื้อตั๋วกันตั้งแต่เช้า ซึ่งเที่ยวรถปกติถูกจองเต็มทั้งหมดไปจนถึง 17 เมษายน วันนี้ ทาง บขส. จึงต้องเสริมเที่ยวรถเข้ากรุงเทพ เพิ่มอีก 21 เที่ยว จากปกติ วันละ 35 เที่ยว พร้อมประกาศแจ้งเตือนประชาชนระมัดระวังกลุ่มมิจฉาชีพที่แอบอ้างขายตั๋วเถื่อน ด้านศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ สรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนน เมื่อวานนี้ พบว่า มีอุบัติเหตุ 443 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 40 คน บาดเจ็บ 470 คน โดยรวม 5 วันที่ผ่านมาในช่วงสงกรานต์ มีผู้เสียชีวิตสะสม 188 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ร้อยละ 26.85 และมีผู้บาดเจ็บ สะสม 2,786 คน ลดลงร้อยละ 10.24 สำหรับเมื่อวานนี้ จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ อยุธยา 5 คน รองลงมา คือ ลพบุรี 4 คน สาเหตุหลักยังมาจากการเมาสุรา และพฤติกรรมเสี่ยงคือไม่สวมหมวกนิรภัย ส่วนพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ยังคงเป็นรถจักรยานยนต์ ที่มาข่าว: สำนักข่าวไทย
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
มุสลิมละหมาดฮายัตให้จุฬาราชมนตรี Posted: 15 Apr 2011 10:13 PM PDT ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสฑูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน เมื่อวันศุกร์ที่ 15 เมษายน 54 หลังจากฝ่าย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย แจ้งความคืบหน้าอาการป่วยของนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ที่เข้ารับการรักษาอาการเส้นเลือดฝอยในสมองแตกที่หอผู้ป่วย ไอซียู ศัลยกรรมประสาท ตึก สก ชั้น 8 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา ว่า ท่านมีความรู้สึกตัวดี ยังมีอาการคงที่ สามารถรับประทานอาหารอ่อนได้ดี ไม่มีไข้ สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ดี แขนขาข้างซ้ายยังมีอาการอ่อนแรงเท่าเดิม คณะแพทย์ยังคงให้การรักษาแบบประคับประคอง สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดในห้อง ไอซียู ต่อไป และทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้มุสลิมในประเทศไทยโดยเฉพาะภาคใต้เริ่มใจชื่นมากขึ้น และเป็นการ สยบ ข่าวลือกล่าวคือ เมื่อวานซืน (13 เมษายน) มีข่าวลือแพร่สะพัดโดยผู้ประสงค์ราย ปล่อยข่าว “ท่านผู้นำเสียชีวิตแล้ว-กำลังนำศพกลับบ้าน” (ประกาศทางวิทยุ/เสียงตามสาย/Facebook) ข่าวดังกล่าวสร้างความปั่นป่วนในสังคมมุสลิมพอสมควร แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ความกังวล ในอาการของท่านยังไม่หายไปจากชุมชนมุสลิมจึงทำให้หลายชุมชนที่ทำการละหมาดวันศุกร์ถือโอกาสละหมาตฮายัตเพื่อขอพรต่อพระเจ้า ให้ท่านหายป่วยไวไวและกลับมาเป็นผู้นำจิตวิญญาณพร้อมทั้งแก้ปัญหาสังคมโดยเฉพาะยาเสพติดในภาคใต้ซึ่งเป็นโครงการหลักที่ท่านกำลังขับเคลื่อนโดยใช้มัสยิดเป็นฐานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและกำลังได้รับการตอบรับอย่างดีในภาคใต้ ละหมาดฮายัต มาจากคำภาษาอาหรับว่า เศาะลาตุลฮายะฮฺ แปลว่าละหมาดอันเนื่องมาจากมีจุดประสงค์ใดจุดประสงค์หนึ่ง การละหมาดฮายัตนนั้น มุสลิมจะละหมาดขอพรต่ออัลลอฮฺ ต่อเมื่อมีจุดประสงค์ใดจุด ประสงค์หนึ่งแต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นสิ่งที่ดีและไม่ผิดหลักธรรมคำสอนของ ศาสนา และขอให้พระองค์ได้ทรงโปรดดลบันดาลให้ได้รับผลสำเร็จสมความมุ่งหมาย ท่านศาสนฑูตมุฮัมมัด ได้วัจนะความว่า ผู้ใดมีความประสงค์สิ่งใดเกี่ยวกับอัลลอฮฺหรือเกี่ยวกับมนุษย์ก็จงอาบน้ำ ละหมาดอย่างดีและจงละหมาด 2 ร่อกาอัต (2 รอบ) วัจนะของท่านบันทึกโดยอิม่ามติรมีซีย์และอิบนฺมายะฮฺ การละหมาดฮายัต นั้นมี 2 ร่อกาอัต (รอบ) โดยที่ผู้ที่จะทำละหมาดจะต้องอานน้ำละหมาด เพื่อชำระร่างกายให้สะอาด หลังจากนั้นยืนตรงอย่างมีสมาธิโดยหันหน้าทิศตะวันตก (จุดที่ตั้งกะบะฮฺ อยู่ที่ประเทศซาดิอารเบีย) โดยมีการตั้งอธิษฐานว่า ข้าพเจ้า ละหมาดสุนัต ฮายัต 2 ร่อกาอัต (2 รอบ) เพื่ออัลลอฮฺ ตะอาลาพร้อมทั้งสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วยคำว่าอัลลอฮุอักบัร หลังจากนั้นจะอ่านคัมภีร์อัลกุรอานขณะยืนในบทอัลฟาติฮะ อายะฮฺกุรซีรและให้อ่านซูเราะฮฺ อัล-กาฟิรูนในร่อกาอัตแรก(รอบที่1) หลังจากนั้นจะโค้งคำนับและก้มกราบพร้อมทั้งสรรเสริญและขอพรพระเจ้า สำหรับร่อกาอัตที่2 (รอบที่2) จะอ่านคัมภีร์อัลกุรอานขณะยืนในบทอัลฟาติฮะ อายะฮฺกุรซีรและอ่านบทอัลอิคลาส(หรือเป็นที่รู้จักในหมู่มุสลิมคืออ่านกุ้ลฮุวัลลอฮฺ) หลังจากนั้นจะโค้งคำนับและก้มกราบพร้อมทั้งสรรเสริญและนั่งขอพรพระเจ้า และเมื่อให้สลามแล้ว(เสร็จละหมาด) ผู้ร่วมพิธีกล่าวจะคำอวยพรแด่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) แล้วกล่าวคำขอพรต่อไปนี้ (วัจนะศาสนฑูตบันทึกโดยอิม่ามติรมีซีย์และอิบนฺมายะฮฺ) لا إله إلا الله الحليم الكريم سبحان الله رب العرش العظيم و الحمد คำอ่าน “ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮุ้ล ฮะลีย์มุ้ลกะลีม ซุบฮานัลลอฮิ ร๊อบบิ้ลอัรชิลอะซีม วัลฮัมดุลิลลาฮิ ร๊อบบิลอาละมีน อัชอะลุกะ มูยิบาติ รอหฺมะติกะ วะอะซาอิมะ มัฆฟิร่อติกะ วัลฆ่อนีมะตะ มิงกุ้ลลิบิรเร็น วัสสลามะตะ มิงกุ้ลลิอิสเม็น ลาตะดะหฺนี นัมยัน อิลลาฆ่อฟัรตะฮู วะลาฮัมมัน อิลลาฟัรร็อดตะฮู วะลาฮายะตัน ฮิยะละกะ ริดอ อิลลาก่อดอยตะฮา ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน" ความว่า “ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺ ผู้ทรงสุขุมผู้ทรงเกียรติยิ่ง มหาบริสุทธิ์แด่พระผู้อภิบาลบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ การสรรเสริญทั้งมวลเป็นเอกสิทธิ์ของพระองค์ ผู้อภิบาลสากลโลก ข้าฯขอต่อพระองค์ได้ทรงโปรดประทานปัจจัยเกื้อหนุน อันจะนำไปสู่ความเมตตาและการอภัยโทษของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงโปรดประทานโชคลาภ อันเนื่องจากความดีทั้งปวง และขอให้ปลอดภัยจากบาปทั้งมวล ขอวิงวอนต่อพระองค์ อย่าปล่อยให้ข้าฯมีโทษใดๆ เว้นเสียแต่พระองค์จะทรงโปรดอภัยโทษนั้นๆแก่ข้าฯ และไม่มีทุกข์หม่นหมองใดๆ เว้นแต่พระองค์จะทรงขจัดมันให้พ้นไปจากข้าฯ และไม่มีกิจการงานใดๆที่พระองค์ทรงพอพระทัยเว้นแต่พระองค์จะทรงจัดการให้ สำเร็จเรียบร้อย โอ้พระผู้ทรงไว้ซึ่งความเป็นเลิศในความเมตตาปรานี” นี่คือบทขอพรของท่านศาสนฑูตมุฮัมมัด ซึ่งใครต้องการสิ่งใดก็สามารถขอเพิ่มเติมได้ไม่ว่าสิ่งใดโดยมีเงื่อนไขว่าจะ ต้อเป็นสิ่งที่ดีและไม่ผิดหลักธรรมคำสอนของศาสนา นี่คือวิถีชีวิตหรือการของมุสลิมเกี่ยวกับการขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากอัลลอฮฺ เจ้าไม่ว่าเหตุการณ์ไม่สงบที่ภาคใต้หรือเคยขอพรให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็วเมื่อเร็วๆนี้ สำหรับการรับพรของพระเจ้าหรือไม่นั้น มนุษย์ไม่มีสิทธิที่จะไปทวงถาม เพราะเป็นกรรมสิทธิของพระองค์ และพระองค์จะทรงประทานกับคนที่พระองค์ทรงประสงค์และพระองค์ยุติธรรมและปรีชา ชาญยิ่ง ท้ายนี้ขอให้ทุกท่านช่วยขอพรให้กับท่าน(หายป่วยไวไว)ตลอดเวลาหลังละหมาดทุกครั้งวันละห้าเวลา เพราะทราบข่าวว่าถึงแม้ท่านอยู่โรงพยาบาลยังเป็นห่วงคนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติโดยได้มีการสั่งการ คณะทำงานของท่าน ซึ่งประกอบด้วย คุณสุรินทร์ ปาราเล่, ปรีดา เชื้อผู้ดี, ปรกณ์ ปรียากร, นิติ ฮาซัน ,วิศรุต เลาะวิถี และคณะกรรมการ ซึ่งเป็นคณะทำงานเยียวยาปัญหาผู้สบอุทกภัย นำเงินที่ได้รับบริจาค เมื่อวันที่ 6 เมษายน 54 (จัดรายการทีวี ช่อง 11) เป็นจำนวนเงิน กว่า 5 ล้านบาท ผ่านไปยัง คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและท่านผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ดังนี้ จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 1.7ล้านบาท จังหวัดสุราษฏร์ธานี จำนวน 1 ล้านบาท ทั้งนี้สำหรับจังหวัดกระบี่นั้น ท่านจุฬาราชมนตรีได้นำเงินไปช่วยเหลือแล้ว (ก่อนที่ท่านจะล้มป่วย) จำนวน 1 ล้านบาท และหลังจากสงกราน จะพิจารณาเงินบริจาคส่วนที่เหลือ (ซึ่งยังไม่ไม่ได้รับเป็นตัวเงินอีก) โดยทางคณะทำงานก็จะประชุมหารือ ในการดำเนินการ นำเงินบริจาคแจกจ่ายไปให้ถึงผู้ประสบอุทกภัยอย่างเร่งด่วนที่สุด
----------------
ดูเพิ่มเติมภาษาอาหรับ http://www.islamweb.net/ver2/Fatwa/ShowFatwa.php?lang=A&Option=FatwaId&Id=1390 สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น