โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

วิกิลีกส์ เคเบิลส์: คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รัฐบาลสหรัฐฯ ควร “เงียบเอาไว้”

Posted: 06 Sep 2011 12:39 PM PDT

วิกิลีกส์ เคเบิลส์: คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รัฐบาลสหรัฐฯ ควร “เงียบเอาไว้”

(ที่มาของภาพ http://www.globalresearch.ca/index.php?context=va&aid=22278)

การจับกุม และตามมาด้วยการพระราชทานอภัยโทษให้แก่ชาวสวิสคนหนึ่งที่ถูกข้อหากระทำการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช นั้น เป็นบทเรียนของการพระราชทานอภัยโทษอย่างรวดเร็วในคดีหมิ่นฯ ที่ทำโดยชาวต่างชาติ รายละเอียดตามที่เคเบิ้ลทางการทูตของสหรัฐฯที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขียนโดยทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2550 ราล์ฟ บอยส์ มีข้อความว่า ข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นอาจเรียกได้ว่าถูกใช้เป็น “เครื่องมือทางการเมือง” เช่นนั้นแล้ว ในกรณีที่ประชาชนชาวอเมริกันเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีนี้ รัฐบาลสหรัฐฯจึงควรจะ “เงียบเอาไว้”

ในเคเบิ้ลที่ให้ชื่อว่า “คู่มือของการรอดพ้นจากคดีหมิ่นพระบรมฯ จากกรณีของชาวสวิสฯ” นั้น สะท้อนให้เห็นถึงเคเบิ้ลทางการทูตเมื่อปี 2550 เกี่ยวกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของ โอลิเวอร์ จูเฟอร์ (Oliver Jufer) ชาวสวิสฯ คนหนึ่งที่ถูกข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและต้องโทษจำคุกมากถึง 75 ปี จากการยอมรับสารภาพว่า จะไม่แสดงความเห็นในทางที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ และจะได้รับการลดโทษลงเหลือจำคุกเพียง 10 ปี เขาถูกปล่อยตัวจากการพระราชทานอภัยโทษหลังจากที่ถูกจำคุกอยู่เพียงแค่ 13 วัน

ระยะเวลาที่ใช้ในการวิ่งเต้นเพื่อแก้ปัญหาในคดีที่เป็นไปอย่างรวดเร็วนี้ เป็นที่ “ตื่นตกใจแก่ชาวสวิสฯ” ตามที่ทูตบอยส์เขียน “ประสบการณ์ของชาวสวิสฯ กับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น บอกถึงของการตอบสนองอันเป็นไปได้ของ (รัฐบาลสหรัฐฯ) ในกรณีที่ (ชาวอเมริกัน) ถูกกล่าวหาว่า ทำผิดข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ท่านทูตได้เขียนไว้ว่า:

ในกรณีฉุกเฉินนั้นให้เงียบเอาไว้:

รัฐมนตรีลอเออร์ (Lauer) (ของสวิสเซอร์แลนด์) ให้เครดิตเกี่ยวกับคดีที่จูเฟอร์ (Jufer) ได้รับพระราชทานอภัยโทษอย่างรวดเร็วว่า มาจากการที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าหน้าที่ของไทยโดยการออกมาให้ความเห็นแก่สาธารณะ เพราะว่ากระทำเช่นนั้นอาจจะนำไปสู่การยั่วยุให้สาธารณชนเกิดความโกรธเนื่องจากพระมหากษัตริย์นั้นเป็นที่เทิดทูนมาก

ลอเออร์ (Lauer) อ้างว่า การให้ความสนใจมากเป็นพิเศษของสื่อ และการร้องแรกแหกกระเชอของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ต่อการปล่อยตัวของจูเฟอร์ (Jufer) จะทำให้มีความยากลำบากต่อการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับตัวแทนการเจรจาของทางการไทย ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงให้เห็นต่อสายตาของสาธารชนชาวสวิสฯ ว่าทางการได้ทำงานเชิงรุกเพื่อแก้ปัญหานี้

ที่ผ่านมาชาวต่างชาติที่ถูกข้อหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมีค่อนข้างน้อย ลอเออร์ (Lauer) ได้เตือนว่า หากมี (ชาวอเมริกัน) ที่ถูกจองจำด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การวิพากษ์วิจารณ์ในที่สาธารณะ หรือความพยายามอุทธรณ์ของเจ้าหน้าที่ (รัฐบาล) สหรัฐฯ จะเท่ากับเป็นการ “ราดน้ำมันใส่ในกองไฟ”

เห็นได้ชัดว่ามันเป็นจริงตามที่กล่าวไว้ ในคดีที่มีการเอาเรื่องนี้ออกสู่สาธารณะของนายโจ กอร์ดอน ชาวอเมริกัน อายุ 54 ปีที่ถูกข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในเดือนพฤษภาคม กรณีที่ให้ลิ้งค์เพื่อดาวน์โหลดบทแปลของ “The King Never Smiles” ซึ่งเป็นหนังสือต้องห้ามในประเทศไทย เขาอาจจะถูกจองจำโดยที่ยังไม่มีการส่งฟ้องต่อศาลเป็นระยะเวลา 84 วัน ขณะนี้นายกอร์ดอนยังอยู่ในช่วงการจำคุกเพื่อรอวันไต่สวน

ในคดีของนายกอร์ดอน เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ได้ทำการกดดันผ่านสาธารณะ เพื่อให้มีการปล่อยตัว และให้มีการดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างรวดเร็ว ในขณะนี้ตัวแทนของสถานทูตสหรัฐฯ นั้นไม่ใช่ทูตบอยส์แล้ว แต่คือทูตคริสตี้ เคนนี่ย์ ซึ่งได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับคดีนี้ โดยเรียกร้องให้ “เจ้าหน้าที่รัฐไทยเคารพต่อสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก”

เล่นเกมการเมือง

ตามที่ระบุในเคเบิ้ล ประสบการณ์ของชาวสวิสฯ ต่อคดีหมิ่นพระบรมเดชนุภาพฯ ยังได้ชี้ให้เห็นถึง “ปฏิกิริยาของสำนักพระราชวัง อันเป็นที่เห็นได้ยากต่อกรณีการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”

“พระราชวังนั้นอ่อนไหวต่อความเป็นไปได้ของการใช้กฎหมายหมิ่นฯ ไปในทางที่ผิดเพื่อจุดมุ่งหมายทางการเมือง” ทูตบอยส์กล่าว “การกล่าวหาผู้อื่นโดยใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เห็นได้ชัดว่าเป็นอาวุธที่น่าเกรงขามอันหนึ่งในทางการเมือง (...) พระราชดำรัสของในหลวงที่ว่า จะพระราชทานอภัยโทษแก่ทุกคนที่ทำผิดข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และในกรณีการปล่อยตัวของจูเฟอร์ (Jufer) ที่รวดเร็วกว่าที่คาดไว้ ดูเหมือนจะชี้ให้เห็นท่าทีของพระราชวังที่มีความอึดอัดต่อเข้มงวดของกฎหมายตัวนี้”

เคเบิ้ลยังกล่าวถึง “การยกเลิกข้อหาที่คล้ายกันต่ออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร” โดยบอกว่า “ผู้นำประเทศของไทยที่ถูกชิงอำนาจโดยการทำรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายนในปี 2549 ด้วยเหตุผลที่ว่า...ทักษิณ ชินวัตรนั้นดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์”

“อัยการได้ยกฟ้องข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่อทักษิณเพียงแค่หนึ่งวันก่อนที่จะมีการพระราชทานอภัยโทษให้แก่จูเฟอร์ (Jufer) ถึงแม้ว่ายังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ทั้งสองเหตุการณ์นี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่เป็นไปได้มากทีเดียวที่ทางพระราชวังไม่ต้องการให้การกล่าวหากันโดยใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือขัดต่อความสัมพันธ์กับประเทศอื่น

เคเบิ้ลทั้งหลายที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ได้ถูกจัดให้เป็นข้อมูลลับ แต่ถูกจัดให้เป็น ‘สำหรับใช้ในทางการเท่านั้น’ และเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่เป็นที่ถกเถียงกันมาก ด้วยเหตุที่วิกิลีกส์ได้ปล่อยข้อมูลโดยไม่เซ็นเซอร์ชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาจำนวน 251,287 เคเบิ้ล

วิกิลีกส์ยังคงมีผลกระทบต่อความอ่อนไหวในประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของไทยได้ “ใช้อำนาจฉุกเฉินในการปิดกั้นการเข้าถึงของเว็บไซต์วิกิลีกส์ ด้วยเหตุผลที่ขัดต่อความมั่นคง”

ในเดือนมิถุนายน มีการปิดกั้นการเข้าถึงงานวิเคราะห์ประวัติศาสตร์อันยาวเหยียดที่ใช้ข้อมูลส่วนใหญ่จากวิกิลีกส์ ‘Thai Story: A Secret History of 21st Century Siam’ เขียนโดยอดีตนักข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์ แอนดรูว์ แม็คเกรเกอร์ มาร์แชล เป็นที่กล่าวกันว่า เนื้อหานั้นถูกเขียนขึ้นโดยใช้ข้อมูลจากวิกิลีกส์เคเบิ้ล และงานทางวิชาการที่มีเนื้อหาออกไปทางหมิ่นเหม่สถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นผลให้นายมาร์แชลไม่สามารถกลับเข้าไปในประเทศไทย ด้วยเหตุที่เขาอาจจะถูกหลายข้อหาเกี่ยวกับกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

“เนื้อหาในเคเบิ้ลบอกว่า ชาวต่างชาติที่ถูกตัดสินให้โทษในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น ทางสถานทูตของแต่ละประเทศ ควรจะทำงานอย่างเงียบเชียบอยู่เบื้องหลัง, หลีกเลี่ยงการร้องแรกแหกกระเชอในสื่อต่างๆ, เคารพในกฎหมาย, และคาดหวังสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งก็คือการพระราชทานอภัยโทษ” มาร์แชลกล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

“ในขณะที่ยุทธวิธีนี้อาจจะได้ผลบ้างในบางกรณี แต่มันก็ไม่ถือว่าเป็นประโยชน์ในระยะยาว ด้วยเหตุที่ว่ามันยังเป็นการยอมให้กฎหมายที่ล้าหลังและกดขี่นี้ยังมีอยู่ต่อไปโดยไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ หรือตั้งคำถามในระดับนานาชาติในยุคศตวรรษที่ 21 นี้

ถึงเวลาแล้วที่นานาชาติจะมองภาพใหญ่ที่ชี้ว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น ‘ผิด’ ชาวไทยและต่างชาติทุกคนจะต้องไม่เจอกับโทษจำคุก เพียงเพราะว่าพวกเขาแค่แสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ประเทศไทยควรจะมีการปกครองอย่างไร ประเทศไทยควรถูกประณามเรื่องการใช้กฎหมายนี้จนกว่ามันจะถูกยกเลิกไป”

.............................

หมายเหตุ: ลิซ่า การ์ดเนอร์เป็นนักข่าวอิสระ และนักเขียนประจำอยู่ในกรุงเทพฯ, ประเทศไทย ติดตามเธอบนทวิตเตอร์ได้ที่ @leesebkk

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

TCIJ: ประมงพื้นบ้านปิดอ่าวปากพนังต่อเนื่อง ล่าสุดถูกอธิบดีประมงเลื่อนนัดเจรจา

Posted: 06 Sep 2011 11:42 AM PDT

ชาวประมงพื้นบ้านนครฯ เดินหน้าปิดอ่าวต่อเนื่อง ประท้วงจนท.มุ่งจับกุมดำเนินคดี ขู่ยกระดับการประท้วงให้รุนแรงหากอธิบดีประมงเบี้ยวนัดพรุ่งนี้ ส่วนประมงโพงพาง-ชายฝั่งปากพนังร่วมพลบุกศาลากลาง เจราจารองผู้ว่าฯ

 
วันที่ 5 ก.ย.54 ชาวประมงพื้นบ้านจำนวนกว่า 200 คน ยังคงรวมกันนำเรือประมงออกปิดอ่าวปากพนัง เพื่อเรียกร้องให้ทางจังหวัดนครศรีธรรมราชจัดการปัญหาความเดือดร้อนจากการที่ชาวประมงไม่สามารถทำประมงในอ่าวปากพนังได้ เนื่องจากทางประมงจังหวัดอ้าง พ.ร.บ.ประมงที่กำหนดเขตพื้นที่ทำการประมงไว้ไม่เกิน 5400 ไมล์ โดยไม่คำนึงถึงประเด็นที่ประมงพื้นบ้านทำมาหาเลี้ยงชีพมาหลายชั่วอายุคนไม่สามารถออกไปทำประมงได้ไกลตามที่กฎหมายกำหนด ชาวบ้านทำมาหากินตามปากอ่าวปากพนังซึ่งห่างจากชายฝั่งประมาณ 1000 ไมล์ทะเลมาตลอด
 
 
ต่อเนื่องจากวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ชาวประมงพื้นบ้านจาก ต.ท่าไร่ ต.ท่าซัก ต.ปากนคร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช นำเรือประมงขนาดเล็กจำนวนกว่า 100 ลำ มารวมตัวกันบริเวณท่าเทียบเรือประมงปากนคร ต.ปากนคร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช และเปิดเวทีปราศรับโจมตีหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องที่มุ่งจับกุมชาวประมงพื้นบ้านดำเนินคดีในข้อทำการประมงผิด พ.ร.บ.ประมง ก่อนเคลื่อนไปปิดอ่าวปากพนังในช่วงเย็นวันเดียวกัน
 
นายนรินทร์ ยุทธชัย นายก อบต.ท่าไร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า เมื่อปลายเดือนสิงหาคมชาวบ้านถูกจับถึง 3 ราย ข้อหาทำประมงในพื้นที่ห้ามทำประมงทางการทำการยึดเรือไป ส่งผลให้ชาวบ้านรายอื่นๆ ไม่กล้าออกเรือเป็นเวลาถึง 2 สัปดาห์ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน เพราะพึ่งพิงรายได้จากการประมง หากชาวบ้านไม่สามารถออกเรือได้อีกจะส่งผลกระทบต่อครอบครัวอย่างมาก
 
นายนรินทร์ กล่าวด้วยว่า เขาและชาวประมงจึงต้องออกมาเรียกร้องให้ทางจังหวัดช่วยแก้ไขปัญหา โดยให้ผ่อนปรนให้พวกเราทำมาหากินตามปกติเหมือนเดิม เนื่องจากเรือประมงพื้นบ้านไม่มีสมรรถนะเพียงพอที่จะออกทะเลไปไกลได้ตามกฎหมายกำหนด มีเพียงเรือของประมงพาณิชย์เท่านั้นที่สามารถออกไปหากินไกลตามกฎหมายได้ ถ้าบังคับตามกฎหมายที่ออกมาโดยไม่คำนึงถึงวิถีชีวิตดั้งเดิมที่มีมาอยู่ก่อนแล้ว กฎหมายก็ทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนในพื้นที่
 
นายนรินทร์ ให้ข้อมูลด้วยว่า ทางประมงจังหวัดได้อนุญาตให้มีการเลี้ยงหอยแครงในเขตพื้นที่ปากอ่าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของนักธุรกิจ โดยกีดกันไม่ให้ชาวบ้านเข้าพื้นที่ดังกล่าวด้วย และการลากหอยของเรือประมงพาณิชย์เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรแต่ยังคงให้มีการทำการลากหอยได้ แต่กับชาวบ้านกลับกีดกันและถูกจับ
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปิดอ่าวต่อเนื่องสร้างความเดือดร้อนให้กับเรือที่ไม่สามารถสัญจรผ่านเส้นทางดังกล่าวได้ ส่วนข้อเรียกร้อง ชาวประมงพื้นบ้านต้องการให้รัฐมนตรีที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้ หรืออธิบดีกรมประมงลงมาพบและเจรจา โดยปฏิเสธที่จะเจรจากับทางจังหวัด เพราะที่ผ่านมาก็เกิดปัญหาแบบนี้ไปหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
 
ด้าน หนังสือพิมพ์กระแสใต้ (http://krasaetainews.com/component/content/article/37/768) รายงานวันนี้ (6 ก.ย.54) ว่า กลุ่มชาวประมงพื้นบ้านที่ปิดอ่าวได้คัดเลือกตัวแทนจำนวน 12 คน เพื่อเข้าร่วมเจรจากับอธิบดีกรมประมง เนื่องจากได้รับการติดต่อจากนางอารีย์ อินทรสมบัติ ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราชว่าในช่วงเช้าวันนี้นางสมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมงจะเดินทางมาพบที่ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อรับทราบปัญหาและร่วมหาแนวทางการแก้ไขให้กับกลุ่มประมงพื้นบ้านดังกล่าว
 
แต่เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง อธิบดีกรมประมงก็ยังไม่ได้ทางมาพบกับกลุ่มประมงพื้นบ้านตามที่ได้รับแจ้ง จนกระทั้งนางอารีย์แจ้งว่าอธิบดีกรมประมงได้แจ้งเปลี่ยนการเดินทางไปเป็นวันพรุ่งนี้ (7 ก.ย.) เวลาประมาณ 10.30 น.สร้างความผิดหวังให้กับกลุ่มชาวประมงที่ปิดอ่าวประท้วงเป็นอย่างมาก
 
นายนรินทร์ กล่าวแสดงความรู้สึกว่า ไม่แน่ใจต่อทางราชการ เพราะเหมือนกับว่าไม่ให้ความสำคัญกับความเดือดร้อนของประชาชน และอาจแค่ต้องการซื้อเวลา ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ถือว่าทางราชการคิดผิดถนัด เพราะชาวบ้านประกาศยอมถวายชีวิตการที่จะปิดอ่าวยืดเยื้อต่อไป และจะยกระดับการประท้วงให้รุนแรงขึ้น โดยในวันพรุ่งนี้หากอธิบดีกรมประมงไม่มาพบอีก จะทำการจุดไฟเผาเรือประมงทันที ทั้งที่หน้าศาลากลางและกลางทะเล
 
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 09.30 น.วันเดียวกัน ที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดหลังเก่า กลุ่มชาวประมงพื้นบ้านกลุ่มดักโพงพาง กลุ่มยอปีก กลุ่มอวนรุ่นจาก ต.คลองน้อย ปากพนังฝั่งตะวันตก อ.ปากพนัง ต.บางจาก ต.ท่าไร่ ต.ท่าซัก และ ต.ปากนคร นำโดยนายอำพร เดชบุญช่วย นายก อบต.คลองน้อย อ.ปากพนัง และนายโสภณ จันทร์คล้าย ปธ.กลุ่มประมงพื้นบ้านชายฝั่งปากพนัง รวมตัวประท้วงเรียกร้องให้ นายธีระ มินทราศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ยกเลิกหรือผ่อนปรนคำสั่งห้ามทำประมงพื้นบ้านทุกชนิดในทะเลชายฝั่งจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านไม่สามารถประกอบอาชีพหารายได้เลี้ยงครอบครัวได้
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในขณะที่มีการชุมนุประท้วง นายธีระ มินทราศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไม่อยู่บนศาลากลาง โดยเดินทางไปร่วมในพิธีเปิดโครงการสูดอากาศที่ดีที่สุดในประเทศไทย บริเวณยอดเขาธงรอยต่อระหว่าง อ.ลานสกา กับ อ.ช้างกลาง
 
อย่างไรก็ตาม ตัวแทนชาวประมงที่ชุมนุมประท้วงได้เข้าพบนายสุทธิพงษ์ เทิดรัตนพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และมีการเจรจาตกลงกันว่า ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 16 ก.ย.54 ให้ชาวประมงที่ได้รับผลกระทบประกอบอาชีพประมงแต่ละประเภทได้ตามปกติ และหลังจากนั้นจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตัวแทนชาวประมงมาร่วมประชุมหาทางออกร่วมกันต่อไป
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กรุงเทพโพลล์เผย นศ. ปี 4 เห็นด้วยนโยบาย 15,000 แต่หวั่นหางานไม่ได้

Posted: 06 Sep 2011 11:12 AM PDT

ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความคิดเห็นของนิสิต นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายที่เรียนอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาทั้งรัฐและเอกชนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวน 1,185 คน พบว่า ส่วนใหญ่เมื่อเรียนจบแล้วอยากทำงานในหน่วยงานเอกชน (ร้อยละ 39.6) รองลงมา คือ ประกอบธุรกิจส่วนตัว (ร้อยละ 25.7) หน่วยงานราชการ (ร้อยละ 18.2) และ รัฐวิสาหกิจ (ร้อยละ 16.5) ตามลำดับ

ทั้งนี้นิสิตนักศึกษาร้อยละ 41.9 ไม่แน่ใจในนโยบายของรัฐบาล นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ให้ผู้ทำงานวุฒิปริญญาตรีมีรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท ว่าจะสามารถทำได้จริงหรือไม่ ในขณะที่ ร้อยละ 29.5 เชื่อว่าทำได้ และ ร้อยละ 28.6 เชื่อว่าทำไม่ได้

อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางที่รัฐบาลจะดำเนินนโยบายดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการให้เริ่มมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (เห็นด้วยร้อยละ 61.7) การใช้คุณภาพของบัณฑิตเป็นตัวชี้วัดว่าใครควรจะได้ค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท (เห็นด้วยร้อยละ 57.1) และ สำหรับผู้มีวุฒิปริญญาตรีขึ้นไปแต่รายได้ยังต่ำกว่า 15,000 บาทใช้วิธีเพิ่มค่าครองชีพ เพื่อให้ได้รับเงินเดือนรวมแล้วเป็น 15,000 บาท ต่อเดือน (เห็นด้วยร้อยละ 56.9)

นิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่เห็นว่า หากนโยบายข้างต้นมีผลบังคับใช้จริงจะส่งผลกระทบต่อการหางานเมื่อจบการศึกษาถึง ร้อยละ 69.4 (ได้แก่ อาจทำให้หางานยากขึ้น และเกณฑ์ในการรับสมัครน่าจะเข้มขึ้น ฯลฯ) ขณะที่ร้อยละ 30.6 ระบุว่าไม่ส่งผลกระทบ (โดยให้เหตุผลว่า เรียนในสาขาที่มีงานรองรับอยู่แล้ว มีสถานประกอบการเยอะ และตั้งใจจะเรียนต่อปริญญาโท ฯลฯ)

สำหรับความกังวลต่อนโยบายดังกล่าวคือกังวลว่าบริษัทเอกชนจะเปิดรับผู้ที่จบปริญญาตรีเข้าทำงานลดลงร้อยละ 30.0 รองลงมาคือกลัวจะถูกเลิกจ้างเมื่อทำงานไปได้ระยะหนึ่งเพราะหน่วยงานแบกรับภาระเรื่องค่าจ้างไม่ไหวร้อยละ 18.5 และกลัวจะไม่มีงานทำและว่างงานร้อยละ 17.9

ส่วนเรื่องที่อยากฝากบอกรัฐบาล นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มากที่สุดคือ ให้เร่งทำทุกนโยบายให้เป็นจริงตามที่ได้หาเสียงไว้ร้อยละ 33.0 รองลงมาคือ ให้ประเทศพัฒนายิ่งขึ้น และนึกถึงประโยชน์ของประชาชนมาก่อนร้อยละ 12.0 และให้ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ร้อยละ 10.4

ดังรายละเอียดในตารางต่อไปนี้

1. หน่วยงานที่นิสิตนักศึกษาอยากจะทำงานเมื่อเรียนจบแล้ว คือ

  • เอกชน ร้อยละ 39.6
  • ประกอบธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 25.7
  • ราชการ ร้อยละ 18.2
  • รัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.5

2. ความเชื่อมั่นที่มีต่อนโยบายของรัฐบาล นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ให้ผู้ทำงานวุฒิปริญญาตรีมีรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท คือ

  • เชื่อว่าทำได้ ร้อยละ 29.5
  • เชื่อว่าทำไม่ได้ ร้อยละ 28.6
  • ไม่แน่ใจ ร้อยละ 41.9

3. ความคิดเห็นต่อแนวทางของรัฐบาลที่จะดำเนินนโยบายจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้ที่จบปริญญาตรีเดือนละ 15,000 บาท มีดังนี้

แนวทาง เห็นด้วย
(ร้อยละ)
ไม่เห็นด้วย
(ร้อยละ)
ไม่แน่ใจ
(ร้อยละ)
ให้เริ่มมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป 61.7 9.8 28.5
ใช้คุณภาพของบัณฑิตเป็นตัวชี้วัดว่าใครควรจะได้เงินค่าจ้าง 15,000 บาท 57.1 16.3 26.6
สำหรับผู้มีวุฒิปริญญาตรีขึ้นไปแต่รายได้ยังต่ำกว่า 15,000 บาทใช้วิธีเพิ่มค่าครองชีพ เพื่อให้ได้รับค่าจ้างรวมแล้วเป็น 15,000 บาท ต่อเดือน 56.9 13.7 29.4

4. ผลกระทบต่อการหางานเมื่อจบการศึกษาหากนโยบายข้างต้นมีผลบังคับใช้จริง คือ

  • เชื่อว่าจะส่งผลกระทบ ร้อยละ 69.4 (ได้แก่ หางานยากขึ้น มีการแข่งขันแย่งงานกันมากขึ้น และเกณฑ์ในการรับสมัครอาจจะเข้มขึ้น ฯลฯ)
  • เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบ ร้อยละ 30.6 (โดยระบุว่า เรียนในสาขาที่มีงานรองรับอยู่แล้ว มีสถานประกอบการเยอะ มีธุรกิจส่วนตัว และตั้งใจจะเรียนต่อปริญญาโท ฯลฯ )

5. เรื่องที่นิสิตนักศึกษากังวลมากที่สุดหากรัฐบาลจะดำเนินนโยบายดังกล่าว คือ

  • กังวลว่าบริษัทเอกชนจะเปิดรับผู้ที่จบปริญญาตรีเข้าทำงานลดลง ร้อยละ 30.0
  • กลัวจะถูกเลิกจ้างเมื่อทำงานไปได้ระยะหนึ่งเพราะหน่วยงาน ร้อยละ 18.5
  • แบกรับภาระเรื่องค่าจ้างไม่ไหว
  • กลัวจะไม่มีงานทำ / ว่างงาน ร้อยละ 17.9
  • เกิดการแข่งขันเพื่อเข้าทำงานราชการมากขึ้น ร้อยละ 13.9
  • กังวลว่าต้องสมัครงานในวุฒิที่ต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 3.6
  • อื่นๆ อาทิ กลัวเรื่องเงินเฟ้อ ของแพงขึ้น เป็นหนี้ เป็นต้น ร้อยละ 3.2
  • ไม่กังวล ร้อยละ 12.9

6. เรื่องที่อยากฝากบอกรัฐบาล นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มากที่สุด 5 อันดับแรก คือ (เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง)

  • ให้เร่งทำทุกนโยบายให้เป็นจริงตามที่ได้หาเสียงไว้ ร้อยละ 33.0
  • ให้ประเทศพัฒนายิ่งขึ้น และนึกถึงประโยชน์ของประชาชนมาก่อน ร้อยละ 12.0
  • ให้ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ ร้อยละ 10.4
  • ให้ทำงานอย่างสุจริต ไม่โกงกิน ร้อยละ 7.9
  • ให้ทำนโยบายค่าตอบแทนปริญญาตรีเดือนละ 15,000 ให้สำเร็จ ร้อยละ 7.5

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คดี ผ.อ.ประชาไท ศาลนัดสืบเจ้าของสำนวน พยานโจทก์ปากสุดท้าย

Posted: 06 Sep 2011 11:00 AM PDT

วันนี้ (6 กันยายน) ศาลอาญาได้ทำการสืบพยานฝ่ายโจทก์เป็นวันที่แปด ในคดีที่จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท ตกเป็นจำเลยตามความผิดอาญามาตราที่ 14 และ 15 พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 โดยในระหว่างวันที่ 1, 2 และ 6 กันยายนที่ผ่านมา มีผู้แทนจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะทูต คณะผู้แทนสหภาพยุโรป องค์การระหว่างประเทศ สื่อมวลชนและผู้สนใจเข้าร่วมสังเกตการณ์การสืบพยานกว่า 50 ท่าน

หลังจากการสืบพยานเสร็จสิ้นในช่วงเช้า ศาลมีความเห็นให้เลื่อนการสืบพยานฝ่ายโจทก์ปากสุดท้ายออกไปเป็นวันที่ 9 กันยายน 2554 เวลา 9.30 น.เป็นต้นไป ณ ห้อง 910 ศาลอาญากรุงเทพ และได้ยกเลิกการสืบพยานในวันที่ 7 และ 8 กันยายน ซึ่งเป็นกำหนดเดิม ทั้งนี้ พยานฝ่ายโจทก์ที่จะแสดงตนต่อศาลในวันดังกล่าว คือ พ.ต.ท.บุญเลิศ กัลยาณมิตร ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวน

สำหรับการสืบพยานฝ่ายจำเลย ศาลได้กำหนดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ 20 - 21 กันยายน และวันที่ 11 - 14 ตุลาคม 2554 เวลา 09.30-16.00 น. ในเบื้องต้นนายจอน อึ๊งภากรณ์ ผู้ก่อตั้งเวบไซต์ประชาไท และนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ จะเข้าให้การต่อศาลในช่วงเช้าและบ่ายของวันที่ 20 กันยายนตามลำดับ ส่วนนางสาวจีรนุช เปรมชัยพร จะให้การต่อศาลในวันที่ 21 กันยายน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘วิกิลีกส์’ เผย ‘ปณิธาน’ แจงทูตสหรัฐฯ ‘จาตุรนต์’ และ ‘ธงชัย’ เป็นมันสมองให้เสื้อแดง

Posted: 06 Sep 2011 10:57 AM PDT

‘วิกิลีกส์’ ปูดบทสนทนาระหว่าง ‘ปณิธาน’ อดีตโฆษกรัฐบาล และทูตสหรัฐ ‘เอริค จี จอห์น’ วิเคราะห์ฝักฝ่ายในเสื้อแดงสามกลุ่ม ปณิธานชี้ หากกลุ่ม ‘แดง-ปัญญาชน’ ซึ่งมี ’จาตุรนต์’ และ ‘ธงชัย’ เป็นแกนนำ มุ่งเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ จะเป็นประโยชน์ต่อ “อนาคตประเทศไทย”

5 ก.ย. 2554 – เว็บไซต์วิกิลีกส์ ตีพิมพ์โทรเลขสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ลงวันที่ 22 มกราคม 2553 เปิดเผยบทสนทนาระหว่างปณิธาน วัฒนายากร อดีตโฆษกรัฐบาลในสมัยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเอกอัครราชทูตเอริค จี จอห์น เกี่ยวกับการวิเคราะห์ฝักฝ่ายต่างๆ ในกลุ่ม นปช. โดยปณิธานวิเคราะห์ว่า นปช. แบ่งได้เป็นสามฝ่าย โดยกลุ่ม ‘แดง-ปัญญาชน’ มี จาตุรนต์ ฉายแสง และธงชัย วินิจจะกูล อดีต ‘ซ้ายเก่า’ เป็นแกนนำ

โทรเลขหมายเลข 10BANGKOK178 ระบุว่า ในระหว่างการเข้าพบของปณิธาน วัฒนายากร กับ เอริค จี. จอห์น เอกอัคราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ณ ที่รับรองของสถานทูตสหรัฐ ในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2553 ปณิธานได้วิเคราะห์ฝักฝ่ายต่างๆ ที่อยู่ในกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่าประกอบไปด้วยสามกลุ่ม

กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่อยู่ใน “สปอตไลท์” ของสื่อ และเป็นหน้าตาของกลุ่ม นปช. เขามองว่า กลุ่มนี้ “อยากดัง” (sought out the limelight) ใช้จ่ายเงินเยอะ แต่ลงแรงน้อย

กลุ่มที่สอง ปณิธานระบุว่า เป็นกลุ่มแนวหน้าระดับล่าง (foot soldiers) ที่ได้รับการจัดตั้งในท้องถิ่นและเป็นอิสระจากกัน

ส่วนกลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มปัญญาชน ที่ประกอบไปด้วย “อดีตนักกิจกรรมและอดีตคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีเป้าหมายทางการเมืองในระยะยาว” ที่มีจุดประสงค์มากกว่าแค่ให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร กลับมามีอำนาจได้ และยังกล่าวอีกว่า กลุ่มนี้ไม่ได้สนใจพรรคเพื่อไทยและสองกลุ่มแรกมากนัก

โทรเลขสถานทูตสหรัฐฯ ยังอ้างคำกล่าวของปณิธานซึ่งอธิบายให้ทูตเอริค จี จอห์น ฟังว่า ในค่ายนี้ ยังมีอดีตผู้นำนักศึกษา เช่น จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน- เมดิสัน ประเทศสหรัฐฯ เป็นกระดูกสันหลัง (backbone) ของเสื้อแดงกลุ่มนี้

นอกจากนี้ ปณิธานยังอธิบายในโทรเลขว่า ฝ่ายนี้ได้รวบรวมเอามันสมองที่ดีที่สุด (finest mind) ไว้ด้วยกัน ซึ่งการตั้งคำถามของกลุ่มนี้ต่อสถาบันกษัตริย์และการสืบราชสมบัติจะมีความสำคัญมาก

“ถ้าหากกลุ่มนี้ตั้งใจจะใช้พลังงานในการมุ่งเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับปรุงสถาบันมากกว่าที่จะมุ่งโค่นล้ม และเสริมสร้างกระบวนการประชาธิปไตยโดยรวม ก็จะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของประเทศไทยได้” โทรเลขดังกล่าวระบุ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พยานตำรวจให้การ มูบารัคสั่งสังหารประชาชนอิยิปต์

Posted: 06 Sep 2011 10:31 AM PDT

ในการพิจารณาคดีอดีต ปธน. อิยิปต์ ครั้งที่ 3 พยานให้การเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลสั่งสไนเปอร์ยิงใส่ประชาชน มีผู้ชุมนุมเนื่องแน่นหมายบุกเข้าไปในศาลหลังมีประกาศห้ามโทรทัศน์เข้าไปถ่ายทำ และห้ามญาติผู้เสียชีวิตเข้ารับฟังการพิจารณาคดี

 

5 ก.ย. 2011 - อดีตประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค ของอียิปต์ผู้ลงจากตำแหน่งหลังประชาชนประท้วงได้ถูกนำตัวพิจารณาคดีในศาลเป็นครั้งที่สามจากข้อหาคอร์รัปชั่นและสังหารประชาชนในช่วงที่มีการชุมนุมประท้วง

การขึ้นศาลของอดีตปธน.อิยิปต์ในครั้งนี้มีความคืบหน้าของคดีโดยตำรวจ 4 นายให้การคัดค้านคำให้การของมูบารัคกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในการสิบพยานในชั้นต้นเมื่อวันที่ 3 ส.คง ที่ผ่านมา

สถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลอิยิปต์แพร่ภาพอดีตประธานาธิบดีที่ยังคงป่วยอยู่ถูกหามลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ด้วยเปลสนามขณะที่เขาต้องคอยเอามือป้องศรีษะเพื่อบังแดด เฮลิคอปเตอร์ร่อนลงจอดที่ข้างโรงเรียนตำรวจซึ่งเป็นสถานที่จัดพิจารณาคดี ก่อนที่รถพยาบาลจะมารับมูบารัคไปยังห้องรอพิจารณาคดี

สิ่งที่ทำให้นักกิจกรรมและญาติผู้เสียชีวิตในการปราบปรามผู้ชุมนุมไม่พอใจคือการที่ผู้พิพากษาสั่งห้ามนำกล้องถ่ายวิดิโอเข้าไปในห้องพิจารณาคดี ทำให้ชาวอิยิปต์ไม่สามารถรับชมการถ่ายทอดสดการดำเนินคดีได้

ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ประท้วงหลายร้อยรายพยายามฝ่าประตูหน้าเพื่อเข้าไปในอาคารพิจารณาคดี จนทำให้เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลซึ่งใช้ไม้กระบองเป็นอาวุธ ส่วนผู้ประท้วงก็ใช้ก้อนหินขว้างปาเจ้าหน้าที่

ภาพข่าวโทรทัศน์เผยให้เห็นรั้วเหล็กถูกรื้อออก ขณะที่ตำรวจปราบจลาจลหลายร้อยนายไล่ล่ากลุ่มวัยรุ่นตามท้องถนน

รอมฏอน อาห์เมด อะบู บิดาของผู้เสียชีวิตจากการปราบผู้ชุมนุมกล่าวว่าเขาได้ยื่นเรื่องของอนุญาตเข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีในศาล แต่ก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงจนทำให้ญาติผู้เสียชีวิตไม่สามารถเข้าไปร่วมรับฟังการพิจารณาคดีได้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว

"ประชาชนไม่พอใจอย่างมาก" อาห์เมดกล่าว "พวกเราบอกโอเคกับการที่ศาลจะห้ามไม่ให้เข้าไปถ่ายทอดการพิจารณาคดี แต่พวกเราอยากจะเข้าไปดูด้วยตัวเอง"

ฝูงชนพากันชูป้ายภาพผู้เสียชีวิตจากการปราบปรามการชุมนุมและตะโกนว่า "จะตายอย่างพวกเขาหรือจะให้พวกเขาได้รับความชอบธรรม" มีผู้ประท้วงรายหนึ่งชูเงื่อนผูกคอเรียกร้องให้มูบารัคถูกประหารชีวิต มีบางรายเผารูปภาพของอดีตประธานาธิบดีขณะที่เรียกร้องว่า "ประชาชนอยากให้ประหารฆาตกรโหด"

ใกล้ๆ กันมีผู้สนับสนุนมูบารัคราว 50 คนตะโกนว่า "ทำไมถึงต้องหยามศักดิ์ศรีของประธานาธิบดีที่คอยปกป้องพวกเราด้วย"

อดีตประธานาธิบดีอายุ 83 ปีผู้นี้มีอาจได้รับโทษประหารชีวิตหากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงฐานสังหารผู้ชุมนุม ซึ่งทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท้จจริงของรัฐบาลระบุว่ามีประชาชนเสียชีวิตจากการชุมนุมขับไล่ประธานาธิบดีถึง 850 ราย

หนึ่งในพยานให้การในวันนี้ (5) คือพันเอก ฮุสเซน ซาอิด หัวหน้ากองสื่อสารของหน่วยความมั่นคงกลาง ซึ่งถูกสั่งให้คอยควบคุมการชุมนุม

คำให้การของซาอิดจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลสถานการณ์ที่ผู้ประท้วงถูกยิง โดยผู้ฟ้องร้องกล่าวว่า ซาอิดและพยานรายอื่นๆ จะกล่าวกับศาลว่าเจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับสูงเป็นผู้สั่งให้สไนเปอร์ยิงใส่ผู้ชุมนุม

คาเลด อะบู บาคร์ ทนายความของญาติผู้เสียชีวิตบอกว่าการพิจารณาของจริงเพิ่งจะเริ่มต้นในครั้งนี้ เนื่องจากการพิจารณาคดีครั้งที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการดำเนินงานตามขั้นตอน

ขณะที่อัยการเผยว่าจะมีการเรียกตัวพยาน 1,000 ราย ในการพิจารณาคดี รวมถึง ฮุสเซน ทันทาวี ผู้บัญชาการสุงสุดของเหล่าทัพผู้ขึ้นเป็นผู้นำชั่วคราวแทนมูบารัค โดยทันทาวียังเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสมัยที่มูบารัคยังดำรงตำแหน่งอยู่ด้วย

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สื่อพม่าเผยแพร่บทความซูจีครั้งแรกในรอบ 23 ปี

Posted: 06 Sep 2011 10:26 AM PDT

บทความของนางอองซาน ซูจีซึ่งเขียนเกี่ยวกับการเดินทางไปเมืองปะกั่น (พุกาม)ที่ผ่านมา เพิ่งได้รับอนุญาตให้ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของพม่าชื่อ “ปี่ตู้ คิด”  เป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี เช่นเดียวกับที่บทความที่เขียนโดยนายพลอองซานและนายวินติน คณะกรรมการกลางของพรรคเอ็นแอลดี ก็ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ลงในนิตยสารเดียวกัน

“เราได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมเซ็นเซอร์เพื่อขอเผยแพร่บทความดังกล่าว และพวกเขาก็อนุญาต ไม่ได้ยากลำบากมากมายระหว่างการยื่นการดำเนินการ ” เจ้าหน้าที่จากหนังสือพิมพ์ปี่ตู้ คิด”   กล่าว ขณะที่หนังสือพิมพ์อื่นๆอย่าง หนังสือพิมพ์ Messenger News Journal ก็เพิ่งได้รับอนุญาตให้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของนางซูจีเมื่อเร็วๆนี้เช่นกัน

“ขั้นตอนดำเนินการตรวจสอบบทสัมภาษณ์ของนางซูจีใช้เวลากว่า 10 เดือน ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ เราได้สัมภาษณ์นางซูจีตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคมของปีที่แล้ว และนับหลังจากนั้น เราได้ยื่นขอเผยแพร่บทสัมภาษณ์ดังกล่าวต่อคณะกรรมการเซ็นเซอร์ แต่พวกเขาตัดบทสัมภาษณ์ประเด็นที่เกี่ยวกับการเมืองทั้งหมด เกือบ 75 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อหาบทสัมภาษณ์ทั้งหมด ยกเว้นประเด็นที่เกี่ยวกับเยาวชนเท่านั้น”  เจ้าหน้าที่จากหนังสือพิมพ์ Messenger News Journal กล่าว

อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า หนังสือพิมพ์พม่าอีกหลายฉบับได้สัมภาษณ์นางซูจี แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลว่า บทสัมภาษณ์เหล่านั้นจะได้รับอนุญาตให้เผยแพร่เมื่อไหร่ ด้านผู้สังเกตการณ์สื่อพม่ามองว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ทางการพม่าจะเข้มงวดกับบทความและบทสัมภาษณ์เกี่ยวการเมืองต่อไปหรือไม่ ถึงแม้ว่า อาทิตย์ที่ผ่านมานี้สื่อพม่าจะอนุญาตให้เสนอข่าวและบทความเกี่ยวกับนางซูจีก็ตาม

 

แปลและเรียบเรียงโดย สาละวินโพสต์ "สื่อทางเลือกเพื่อแบ่งปันความเข้าใจสู่เพื่อนบ้าน"อ่านข่าวและบท ความอื่นๆ อีกมากมายได้ที่เว็บไซต์ www.salweennews.org เฟซบุ๊คhttp://www.facebook.com/Salweenpost ทวิตเตอร์ http://twitter.com/salweenpost

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ฮิวแมนไรท์ วอชท์ เร่งรัฐบาลหาความจริง แนะเพิ่มอำนาจ คอป.

Posted: 06 Sep 2011 08:13 AM PDT

6 ก.ย. 54 นายสุนัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์ วอทช์ กล่าวในการเสวนาเรื่อง "วิเคราะห์เลือกตั้ง 54..ผลประทบต่อสิทธิมนุษยชน?" ซึ่งจัดโดยคณะอนุกรรมาธิการพิจารณา ศึกษา ติดตามตรวจสอบและส่งเสริมการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภคว่า รัฐบาลชุดใหม่ ยังไม่มีนโยบายที่ตอบโจทย์ด้านสิทธิมนุษยชน ปัญหาความแตกแยกและการแข่งขันทางการเมืองทำให้สังคมมีความหวาดระแวง เพราะจนถึงขณะนี้ รัฐบาลยังไม่ได้ชี้แจงถึงมูลเหตุผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรง ทำให้แต่ละฝ่ายคิดไปเองว่า ฝ่ายตนเองเป็นฝ่ายถูก และอีกฝ่ายเป็นฝ่ายผิด
 
เขายังกล่าวด้วยถึงกรณีที่รัฐบาลโยนประเด็นการหาข้อเท็จจริงไปให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เป็นผู้ดำเนินการด้วยว่า ที่ผ่านมา คอป.ได้พูดเสมอว่า ไม่มีอำนาจแม้แต่จะออกหนังสือเรียกชี้แจง ดังนั้นประเด็นนี้รัฐบาลควรให้ความสำคัญ หากจะทำความจริงให้ปรากฏแล้ว ต้องออกมติ ครม. เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับ คอป. ในการออกหมายเรียกบุคคลมาให้ข้อมูล รวมถึงจัดให้มีสำนักงานเลขาธิการเป็นในส่วนของ คอป. เอง
 
 
......................
เรียบเรียงจาก: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักข่าวพลเมือง: พบเต่าทะเลขึ้นหาดที่บางสะพาน “ชาวประมง” ชี้พื้นที่สมบูรณ์

Posted: 06 Sep 2011 05:05 AM PDT

ชาวประมงพื้นบ้านประจวบฯ พบเต่าทะเลยาวร่วมเมตรที่ชายหาดดอนสำราญ เผยทะเลอุดมสมบูรณ์เป็นอาหารของสัตว์น้ำทั้งเต่า-ฉลามวาฬ หวั่น อก.เหล็ก เข้าพื้นที่ทำลายระบบนิเวศน์

 
 
06.00 น. วันนี้ (6 ก.ย.54) นายสมศักดิ์ อบเชย อาสาสมัครพิทักษ์สัตว์คุ้มครองทางทะเล ของกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ได้รับแจ้งจาก นายวิโรจน์ เข็มโต ชาวประมงพื้นบ้าน หมู่ 1 บ้านดอนสำราญ ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบฯ ว่าได้พบเต่าทะเลขนาดใหญ่ที่ชายหาดดอนสำราญ และเกรงว่าจะถูกคนที่ผ่านไปมาจับไป
 
นายสมศักดิ์ จึงได้เดินทางมาบริเวณชายหาดตามที่ได้รับแจ้ง พบเต่าทะเลขนาดความยาววัดได้ 98 เซนติเมตร กว้าง 80 เซนติเมตร คาดว่าเป็นเต่าที่โตเต็มที่เพราะมีขนาดใหญ่ เป็นเพศเมีย สันนิษฐานว่าอาจขึ้นมาดูทำเลในการวางไข่
 
จากนั้น ชาวบ้านและอาสาสมัครพิทักษ์สัตว์คุ้มครองทางทะเลของกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ได้รวบรวมข้อมูลและภาพถ่ายการพบเต่าครั้งนี้ เพื่อติดต่อประสานไปยังเจ้าหน้าที่ประมงจังหวัดที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงให้รับทราบ ก่อนที่จะปล่อยมันให้กลับลงไปในทะเล
 
นายวิโรจน์ประมงพื้นบ้าน กล่าวว่า ทะเลที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ มีอาหารมากมาย สัตว์คุ้มครองอย่างเต่าหรือฉลามวาฬจึงใช้เป็นที่อยู่ ที่กิน มาเนิ่นนาน แต่ก็ยังมีความกังวลว่าหากไม่ช่วยกันอนุรักษ์สัตว์คุ้มครองต่างๆ และเรื่องดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สัตว์เหล่านี้อาจสูญพันธุ์ได้
 
“เด็กรุ่นหลังจะไม่ได้พบเจอง่ายๆ แบบนี้ เพราะที่นี่ เท่าที่ผมรู้จะมีโครงการอุตสาหกรรมเกี่ยวกับพวกเหล็กมาตั้ง แต่ชาวบ้านเขาก็คัดค้านกัน โดยส่วนตัวผมก็เกรงว่า จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรุนแรง ทำให้สัตว์คุ้มครองเหล่านี้ย้ายที่อยู่อาศัย และอาชีพประมงชายฝั่งอย่างพวกผมก็คงหากินลำบากยิ่งขึ้น” นายวิโรจน์กล่าว
 
ทั้งนี้ เต่าทะเลจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ห้ามมีไว้ในครอบครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลเลื่อนตรวจพยานหลักฐาน “เจ๋ง ดอกจิก” คดีหมิ่น

Posted: 06 Sep 2011 02:34 AM PDT

ศาลเลื่อนตรวจพยานหลักฐาน “เจ๋ง ดอกจิก” คดีหมิ่นเบื้องสูงเป็น 27 ก.ย.นี้ หลังเจ้าตัวกลับคำให้การ ไม่หวั่นกระทบเก้าอี้เลขา รมช.มท.

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 54 ที่ผ่านมาเว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่าที่ห้องพิจารณา 902 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก   ศาลฯนัดสอบคำให้การจำเลย และตรวจพยานหลักฐานในคดีหมายเลขดำ อ.2740/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นาย ยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก เลขานุการ รมช.มหาดไทย  แนวร่วมกลุ่มประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ กรณีเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 53 จำเลยได้ปราศรัยบนเวทีของกลุ่ม นปช. บริเวณ เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยมีถ่อยคำบางส่วนพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง  สำหรับคดีนี้ นายยศวริศ ได้ให้การรับสารภาพไปก่อนหน้านี้แต่กลับคำให้การภายหลังทำให้ต้องพิจารณาใหม่อีกครั้ง
            
เมื่อถึงเวลานัด นายยศวริศพร้อมทนายความเดินทางมาให้ถ้อยคำต่อศาล โดยศาลอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟังเป็นที่เข้าใจ จำเลยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขณะเดียวกันศาลมีคำสั่งให้ทนายจำเลยไปจัดทำบัญชีรายชื่อพยานเข้ามาส่งศาลอีกครั้ง เนื่องจากบัญชีรายชื่อพยานเดิมมีจำนวนมากเกินไป  ศาลจึงมีคำสั่งให้นัดพร้อมคู่ความเพื่อตรวจพยานหลักฐานอีกครั้งในวันที่ 27 ก.ย.นี้ เวลา 9.00 น.
               
นายยศวริศ กล่าวว่า ตนเองมั่นใจว่าการที่ถูกดำเนินคดีดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาลและตำแหน่งทางการเมืองที่ได้รับแต่งตั้งอย่างแน่นอน แต่หากพรรคฝ่ายค้านจะนำประเด็นนี้มาตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์ ก็ถือเป็นเรื่องปกติของพรรคฝ่ายค้าน ส่วนกรณีที่ตนเองกลับคำให้การในชั้นศาลนั้นถือเป็นความสับสนโดยยอมรับว่าพูดจริงแต่ไม่มีเจตนาหมิ่นสถาบัน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สุจิตต์ วงษ์เทศ

Posted: 05 Sep 2011 10:56 PM PDT

ทีใครทีมันผลัดกันขึ้น
อย่าแสร้งมึนงงใส่ไร้เดียงสา
ทีเอ็งข้าไม่เคยเอ่ยวาจา
ครั้งนี้ทีข้าเอ็งอย่าโวย

4 ก.ย. 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น