โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

สหพันธ์วิทยุชุมชน เสนอ กสทช.แยกประเภทวิทยุชุมชนให้ชัด

Posted: 25 Sep 2011 08:25 AM PDT

(20 ก.ย.54) ในการเสวนา "การกำกับดูแลวิทยุชุมชน บทเรียนราคาแพงที่ กสทช.ต้องเรียนรู้" ณ โรงแรมบางกอกชฎา วิชาญ อุ่นอก เลขาธิการสหพันธ์วิทยุชุมชนแห่งชาติ เสนอให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่ง แยกประเภทของวิทยุที่มีอยู่ให้ชัดเจน เพื่อให้วิทยุเลือกขึ้นทะเบียนให้เหมาะกับประเภทของตนเอง แบ่งเป็นวิทยุชุมชน วิทยุธุรกิจ และวิทยุบริการสาธารณะ

วิชาญ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ตั้งแต่มีการเปิดให้ขอขึ้นทะเบียนวิทยุชุมชน มีวิทยุขนาดเล็กหลายลักษณะขอขึ้นทะเบียนกว่า 6,000 สถานี และมีอีกราว 1,000 สถานีที่ไม่ยอมมาขึ้นทะเบียน ซึ่งวิทยุ 7,000 กว่าสถานีนี้มีทั้งวิทยุชุมชน วิทยุธุรกิจขนาดเล็ก วิทยุการเมือง วิทยุศาสนา วิทยุของท้องถิ่น ทำให้คนเข้าใจผิดว่า ทั้งหมดคือวิทยุชุมชน ส่งผลให้วิทยุชุมชนไม่ได้รับการสนับสนุนจากชุมชน เพราะถูกเข้าใจว่าเป็นวิทยุการเมือง หรือวิทยุขายของ แม้แต่หน่วยงานของรัฐ อบต. ก็ไม่กล้าตั้งงบออกมาสนับสนุน เพราะยังไม่มีระเบียบวิทยุชุมชนที่ชัดเจน

วิชาญ กล่าวต่อว่า เมื่อไม่มีการแยกประเภท ทำให้ไม่มีการควบคุมกำลังส่ง วิทยุชุมชนต้องต่อสู้กับวิทยุชุมชนของทุนใหญ่ที่มีกำลังส่งแรงกว่า หลายสิบคลื่นต้องปิดตัวลงเพราะถูกกวนสัญญาณ ทั้งหมดนี้ทำให้แทบไม่มีวิทยุชุมชนในความหมายเดิมเหลือ

นอกจากนี้ วิชาญเรียกร้องให้สังคมจับตาการทำงานของ กสทช.ในการจัดสรรคลื่นความถี่ใหม่ โดยตาม พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ ต้องให้ประชาชน 20% และว่าขณะนี้ คลื่นส่วนใหญ่อยู่ในมือรัฐและทหาร ขณะที่ กสทช.ชุดนี้มีทหารเข้าไปพอสมควร ซึ่งเขามองว่าไม่ใช่ความบังเอิญที่มี กสทช. เข้าไปเยอะ จนบางสื่อเรียกล้อว่าเป็น "กสทบ."

วิชาญเสนอว่า ควรทบทวนระเบียบวิทยุชุมชนที่มีอยู่เดิมด้วย เช่น การต้องนำเครื่องส่งสัญญาณมาตรวจมาตรฐานทางเทคนิคที่กรุงเทพฯ ซึ่งสร้างภาระให้ผู้ที่อยู่ต่างจังหวัด ในส่วนกองทุน พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ควรมีคณะกรรมการกองทุน และคำนึงถึงสัดส่วนของผู้ที่เข้าไปดูแล โดยระบุให้ชัดว่าต้องให้กับภาคประชาชนเท่าไหร่ เพื่อให้การสนับสนุนไปถึงชุมชนจริงๆ

นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ความไร้ระเบียบหรืออนาธิปไตยของการจัดการวิทยุชุมชน เป็นผลจากการที่รัฐเพิกเฉยไม่เข้ามาดูแล ส่งเสริมการทำงานของภาคประชาชน ทั้งที่วิทยุชุมชน ถือเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญที่รัฐต้องเข้ามาสนับสนุน แต่ 14 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานรัฐไม่เข้าใจ ส่งเสริมผิดทาง วิธีคิดผิด นำมาซึ่งการละเมิดสิทธิ เช่น การไล่จับเครื่องส่ง โดยอ้าง พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2498

ทั้งนี้ นพ.นิรันดร์ เสนอว่า กสทช.ต้องทำงานกับประชาชน โดยยกตัวอย่างกรณีที่สถานีโทรทัศน์ทีพีบีเอส มีเครือข่ายนักข่าวพลเมือง เป็นสื่ออาสาทั่วประเทศ กสทช.ก็ต้องทำงานกับชุมชน ว่าจะเข้าไปช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไร ถ้าทำได้ วิทยุชุมชนจะเกิดได้

นพ.นิรันดร์ ย้ำว่า ต้องมีวิธีคิดที่ตรงกันว่าวิทยุชุมชนคือการปฏิรูปสื่อ นอกจากสิทธิเสรีภาพแล้วยังแสดงให้เห็นถึงความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เริ่มจากการรับรู้ข่าวสารที่ตรงกัน ถ้าสังคมเงียบ ปิดลับ จะเกิดการใช้อำนาจโดยมิชอบหรือการทุจริต และการใช้อำนาจเกินเลยในการละเมิดสิทธิของผู้อื่น

สาโรจน์ แววมณี นักวิชาการอิสระ กล่าวถึงการจัดทำแผนแม่บทของ กสทช.ว่า ต้องทำให้เข้าหลักการที่ว่า ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเสรีและเป็นธรรม ไม่เช่นนั้น อาจเกิดการฟ้องร้องต่อศาลปกครองจากผู้เสียประโยชน์ ส่งผลให้เกิดความชะงักงันในการจัดการคลื่น

สาโรจน์ เสนอให้มีการกระจายอำนาจลงไปในระดับท้องถิ่น โดยโครงสร้างประกอบด้วยภาคส่วนต่างๆ ที่มีส่วนได้เสีย เช่น วิทยุชุมชน วิทยุธุรกิจ เพื่อให้การยื่นขอใบอนุญาต เป็นการตัดสินใจในระดับพื้นที่ พร้อมชี้ว่า ที่ผ่านมา การยื่นขอใบอนุญาตชั่วคราวที่ทำเมื่อปี 2552 มีผู้ยื่น 6,000 ราย แต่ได้ใบอนุญาตเพียงรายเดียวเท่านั้น ซึ่งสาเหตุมาจากความล่าช้าเพราะรวมอำนาจตัดสินใจที่ส่วนกลาง

สำหรับ ว่าที่ กสทช. ซึ่งอยู่ระหว่างรอการโปรดเกล้า ได้แก่
พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธาน กสทช.
พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. และประธาน กสท.
พ.อ.รองศาสตราจารย์ ดร.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ รองประธานกสทช. และประธาน กทค.
พล.อ.อ.ชาลี จันทร์เรือง
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ
พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ งามสง่า
พล.ท.อาจารย์ ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ
รองศาสตราจารย์ ประเสริฐ ศีลพิพัฒน์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์
น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์
นายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา
พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แม่น้ำท่าจีน: แก้สิ่งแวดล้อมเพิ่มมูลค่าอสังหาริมทรัพย์

Posted: 25 Sep 2011 07:03 AM PDT


แพอาหารรุกล้ำแม่น้ำ

เรือจอดขวางลำน้ำเป็นประจำ


        สิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาที่ทำลายกัดกร่อนประเทศชาติ และรูปธรรมที่เห็นชัดก็คือ มูลค่าของทรัพย์สิน รวมทั้งคุณค่าของชีวิตของเราเองก็จะด้อยค่าลงเรื่อยหากสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย  มีแต่การรื้อระบบอุปถัมภ์ที่เป็นบ่อเกิดของการทุจริตประพฤติมิชอบ จึงจะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้จริงจัง

        ผมในฐานะนักศึกษาตามโครงการนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและการปราบปรามการทุจริตระดับสูง (นยปส.) รุ่นที่ 2 ของสำนักงานคณะกรรมการ ปปช. ได้ไปดูงานของชมรมเรารักแม่น้ำท่าจีน จังหวัดนครปฐม ได้พบปะกับ ผศ.เด่นศิริ ทองนพคุณ และผู้นำชุมชนท่านอื่น  ได้เห็นสภาพปัญหาสิ่งแวดล้อม  จึงนำมาเผยแพร่เพื่อสนับสนุนกิจกรรมป้องกันและปราบปรามการทุจริต

ภูมิปัญญาชาวบ้าน
        ต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น ชาวบ้านได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาตามภูมิปัญญาของชาวบ้านเองในช่วงที่ผ่านมา เช่น

        1. พอมีปัญหาผักตบชวาลอยเต็มแม่น้ำราว 2 กิโลเมตร ชาวบ้านก็จัดการเตะตะกร้อโชว์ มีโทรทัศน์มาทำข่าวกันครึกโครม ทำให้รัฐมนตรีถึง 3 ท่านมาดูแล และสุดท้ายหน่วยราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคต่างระดมกำลังกันแก้ปัญหาได้เสร็จสิ้นใน 10 วัน

        2. ชาวบ้านร่วมใจกันจนประสบความสำเร็จในการปิดท่าเรือแห่งหนึ่งที่ขนถ่ายถ่านหิน  โดยความพยายามนี้ชาวบ้านได้ผลักดันจนได้รับความสนใจจากคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา

        3. ชาวบ้านยังได้รับการสนับสนุนในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ชมรมเรารักแม่น้ำท่าจีนมีงบประมาณปีละประมาณ 0.5 ล้านบาท สภาลุ่มน้ำท่าจีน นครปฐม ได้รับเงินสนับสนุนปีละประมาณ 1.8 ล้านบาท ส่วนมูลนิธิลุ่มน้ำท่าจีน นครปฐม ได้รับเงินสนับสนุนปีละประมาณ 1.5 ล้านบาท เป็นต้น

        ชื่อเสียงและแบบจำลองการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของแม่น้ำท่าจีน ได้รับการกล่าวขวัญถึงไปในระดับประเทศเลยทีเดียว

แต่ปัญหาหลักก็ยังอยู่
        ทุกวันนี้ปัญหาหลัก ๆ ด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชนริมแม่น้ำท่าจีนก็ยังอยู่ ได้แก่:

        1. โรงงานยังคงปล่อยน้ำเสีย โดยในวันที่ไปดูงานซึ่งเป็นช่วงหน้าฝน ก็ยังมีปรากฏการณ์ “แม่น้ำสองสี” คือสีน้ำขุ่นข้นจากโรงงาน กับสีของน้ำตามปกติ

        2. กลิ่นควันพิษเหม็นคลุ้งจากโรงงานหลายแห่งยังปรากฏอยู่ทั่วไป

        3. เรือบรรทุกขนาดใหญ่ก็ยังจอดเรียงหน้ากระดานขวางลำแม่น้ำจนบางครั้งแทบไม่มีทางน้ำให้สัญจร

        4. ผักตบชวาก็ยังมีให้เห็นอยู่มากมาย

        5. ชาวบ้านยังคงปลูกบ้านรุกล้ำที่สาธารณะอยู่ทุกวัน

        6. แพขายอาหารของคนท้องถิ่นกันเอง ก็ต่อออกมารุกล้ำแม่น้ำ

        7. พ่อค้าที่ขายปลาทู ปลาตะเพียนต้มเค็มจนกระดูกป่น ต่างก็ยังเทน้ำเสียลงสู่แม่น้ำทุกวัน

        8. เกษตรกรปลูกผักบุ้งก็ยังใส่ยาฆ่าแมลงให้สารพิษไหลลงแม่น้ำ โดยใช้คนงานพม่าดำเนินการเพื่อว่าตัวเองจะไม่รับพิษ  ส่วนผักที่ปลูกไว้กินเองกลับลงทุนกางมุ้งให้เติบโต  แปลงผักบุ้งขนาดใหญ่ที่ใช้ไม่ได้แล้วก็ปล่อยให้ลอยเป็นแพไปอย่างไม่รับผิดชอบ แทนที่จะลากขึ้นฝั่งเพื่อทำลาย

        จะเห็นได้ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมหลัก ๆ ในพื้นที่ก็ยังอยู่  เหมือนเมื่อครั้งยังไม่มีชมรม มูลนิธิหรือสภาลุ่มน้ำท่าจีนแต่อย่างใด  แทบจะไม่ได้มีอะไรแก้ไขในเชิงโครงสร้างแต่อย่างใด

ปมปัญหาอยู่ที่ไหน
        ผู้นำชุมชนบอกว่า หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบการก่อสร้างรุกล้ำแม่น้ำ และตรวจสอบการปล่อยมลพิษของโรงงาน  แต่ก็ยังมีการทำผิดกฎหมาย  ค่าปรับก็เป็นเงินไม่มาก  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ไม่จัดการกับชาวบ้านที่สร้างมลพิษทำลายลำน้ำด้วยอ้างว่าเห็นใจการทำกินที่สุจริต และคงกลัวเสียคะแนนเสียง  ดังนั้นปัญหาจึงอยู่ที่การไม่ได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเสมอหน้าทั้งต่อทุกภาคส่วน

        ส่วนสาเหตุที่ส่วนราชการไม่ (ตั้งใจ) ทำงาน หรือขาดแผนระยะยาวในการแก้ไขปัญหาที่ไม่ยากจะแก้ไข  แต่กลับแก้ปัญหาแบบ ‘ไฟไหม้ฟาง’ ก็คงเป็นเพราะข้าราชการไม่ได้เจริญด้วยการวัดผลการทำงาน-ทำดี แต่เจริญด้วยระบบเส้นสายและการไต่เต้ากับศูนย์อำนาจส่วนกลาง  ยิ่งกว่านั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังถูกครอบงำโดยผู้มีอิทธิพล แทนที่จะเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง

นางฟ้ากับซาตาน
        ในระบบสังคมปัจจุบัน เหล่า ‘ซาตาน’ ซึ่งเป็นที่มาของการทุจริตประพฤติมิชอบ ยังไม่ได้รับการปราบปรามอย่างเด็ดขาดจริงจัง  พวกเขาก็ยังเจริญรุ่งเรืองในการประกอบอาชีพที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ละเมิดต่อประชาชน ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมในรูปแบบหนึ่ง  มิหนำซ้ำพวกเขายังอยู่อย่างมีหน้ามีตาในสังคมที่นับถือกันที่เปลือกนอกในฐานะผู้บริจาคหรือผู้อุปถัมภ์กิจกรรมเพื่อส่วนรวมรายใหญ่

        ในทางตรงกันข้าม เหล่า ‘นางฟ้า’ หรือผู้ทำดี ก็มีเส้นทางได้ดีของตนเอง เช่น ผู้นำชุมชนที่โดดเด่น ก็มักได้รับการปูนบำเหน็จให้เป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีหรือองค์กรอิสระ  หรือเป็นกรรมการระดับชาติหลายต่อหลายแห่ง  บางครั้งยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียเอง    ดังนั้นเวลาที่จะไปช่วยชุมชนตามปณิธานแต่แรกจึงหดหายไป  ระบบยศถาบรรดาศักดิ์จึงกัดกร่อนการรวมกลุ่มทำดีของประชาชน

        น่าแปลกไหมที่ ‘นางฟ้า’ และ ‘ซาตาน’ อยู่ร่วมโลกกันได้ ต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ต่างคนต่างเจริญในธรรมของตนเอง  ต่างคนต่างได้ดีในขณะที่สิ่งแวดล้อมและสังคมส่วนรวมได้รับความเสียหายเช่นเดิม

ผลกระทบต่อมูลค่าทรัพย์สิน
        ถ้าสิ่งแวดล้อมเสียหายรุนแรง สิ่งที่จะเป็นปัญหาตามมาสำหรับอสังหาริมทรัพย์ก็คือ

        1. บ้านเรือนเป็นจำนวนมากจะด้อยค่าลง เพราะไม่สามารถอยู่อาศัยได้อย่างเป็นปกติสุข

        2. ถ้าบ้านเรือนมีอันต้องเสียหาย ทำให้ประชากรย้ายออกไป การค้าต่าง ๆ ในพื้นที่ก็จะลดลงตามลำดับ ทำให้อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ได้รับผลกระทบไปด้วย

        3. อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักผ่อน เช่น โรงแรม โฮมสเตย์ รีสอร์ตที่ใช้แม่น้ำเป็นจุดดึงดูดความสนใจก็จะขาดกิจกรรมไป

        4. แม้แต่อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมที่มีมลพิษมากก็มีต้นทุนสูงขึ้น อาจต้องย้ายออกเนื่องจากกำลังแรงงานไม่สามารถอยู่ในพื้นที่  การเปิดกิจการใหม่ก็อาจได้รับการจำกัด ทำให้ศักยภาพของทำเลลดลง

        5. ราคาที่ดินโดยรวมก็จะลดลงไปด้วย เพราะศักยภาพในการพัฒนาเพื่อกิจกรรมต่าง ๆ ก็จะลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ

        ปัญหาสิ่งแวดล้อมจึงมีผลกระทบต่ออสังหาริมทรัพย์โดยตรง และควรได้รับการแก้ไขก่อนที่สิ่งต่าง ๆ จะสายเกินไป

ทำกฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์
        ปัญหาต่าง ๆ ดูเหมือนแก้ไม่ตกก็เพราะความเห็นแก่พวกพ้อง กฏหมู่นั่นเอง  ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่การทำกฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์  มีการบังคับใช้กฎหมายให้เสมอหน้ากันโดยไม่เลือกปฏิบัติ  ซึ่งเป็นเรื่องที่ (แทบ) เป็นไปไม่ได้  เพราะหากในชุมชนนี้ดำเนินการ แต่ชุมชนอื่น อำเภออื่น จังหวัดอื่น ไม่เอาด้วย ก็ไร้ผลหรือได้ผลแค่ระดับ ‘จุดพลุ’  ดังนั้นจึงต้องอาศัยอำนาจจากฝ่ายบริหารประเทศให้มีการบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด

        แต่การบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด ย่อมทำให้อภิสิทธิชนกลุ่มต่าง ๆ เสียหาย  อภิสิทธิ์และความได้เปรียบที่เคยได้ก็จะมลายหายไป  ฝ่ายบริหารประเทศที่คิดจะบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด ก็คงอาจอยู่ได้ไม่นาน  ข้าราชการระดับเล็ก ๆ ที่คิดจะบังคับใช้กฎหมาย ก็อาจถูกกลั่นแกล้งหรือขั้นถึงฆาต เช่นเดียวกับชาวบ้านที่คัดค้านถ่านหินหรือการบุกรุกทำลายป่าของนายทุนใหญ่ เป็นต้น

        โดยสรุปแล้ว ระบบการทุจริตที่หยั่งรากลึกจนยากแก้ไข ก็เพราะคนรับราชการยังไม่ได้เติบโตเพราะการวัดผลจากการทำงาน-ทำดี แต่เติบโตเพราะการ ‘ตบเท้า’ อวยพรวันเกิดคนใหญ่คนโตกันอย่างตะพึดตะพือ    ดังนั้นบ่อเกิดของการทุจริตก็จะยังไม่เหือดแห้ง  ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงคงต้องสังคายนาระบบอุปถัมภ์ ปฏิวัติสังคมด้วยการบังคับใช้กฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อปราบปรามการทุจริตที่เป็นต้นตอปัญหาสิ่งแวดล้อม

       แต่สงสัยอยู่ว่าพิธีปลุกเสกอาจเป็นวิธีสุดท้ายที่จะทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์!!

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ปิยบุตร แสงกนกกุล

Posted: 25 Sep 2011 06:48 AM PDT

บรรดาสื่อ นักวิชาการ อย่าความจำสั้นเกินไป คุณไม่ใช่ปลาทอง ก่อนจะวิจารณ์คนอื่นช่วยพิจารณาการกระทำของตัวเองก่อน ข้อเสนอของเรามีคนมาถกเถียงในเนื้อหาน้อยมาก เพราะอะไร เพราะข้อเสนอของเรามันบีบพวกท่านโดยอัตโนมัติเพราะถ้าท่านยืนยันว่าไม่เห็นด้วยก็อาจจะบีบให้คิดไปโดยปริยายว่าท่านสนับสนุนรัฐประหาร

 

25 กันยายน 2554

นิติราษฎร์แจงข้อเสนอลบล้างผลพวงจากการรัฐประหาร โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง!

Posted: 25 Sep 2011 02:53 AM PDT

นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ชี้แจงเพิ่มเติมกรณีข้อเสนอให้ลบล้างผลพวงจากการรัฐประหาร หลังข้อเสนอถูกบิดเบือนจากสื่อและนักการเมืองตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา อัดกลับสื่อมวลชนที่บิดเบือนข้อเสนอถามตัวเองบ้างหรือเปล่าว่ากระทำต่อสังคมและประชาชนอยู่ใช่หรือไม่

25 กันยายน 2554 ที่ห้อง LT 1. คณะนิติศาสตร์ มธ. นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์แถลงข่าวกรณีข้อเสนอให้ลบล้างผลพวงจากการรัฐประหาร หลังข้อเสนอในครั้งแรกถูกตอบโต้จากฝ่ายการเมืองตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางประชาชนที่สนใจรับฟังล้นหลาม โดยผู้จัดต้องขยายห้องสำหรับการติดตามฟังการแถลงข่าวเพิ่มอีก 1 ห้อง โดยถ่ายทอดผ่านกล้องวงจรปิด

ผู้ร่วมแถลงข่าวประกอบด้วย จันทจิรา เอี่ยมมยุรา, วรเจตน์ ภาคีรัตน์, สาวตรี สุขศรี, ปิยบุตร แสงกนกกุล, ธีระ สุธีวรางกูร, ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ และ ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล

“เราไม่มีความสามารถทางอื่นเลย นอกจากสู้กันด้วยเหตุด้วยผลทางวิชาการ เรื่องสำนวนโวหารนั้นเราสู้ไม่ได้” จันทจิรา เอี่ยมมยุรา กล่าวเปิดการแถลงข่าว โดยกล่าวขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนงที่มาทำข่าวการแถลงข้อเสนอทางวิชาการ 4 ประการของคณะนิติราษฎร์ และร่วมกันเสนอข่าวจนกว้างขวางต่อสาธารณชน และขอบคุณที่รับคำเชิญของคณะนิติราษฎร์มาทำข่าวข้อถกแถลงเพิ่มเติม เกี่ยวกับข้อเสนอทางวิชาการ 4 ประเด็น และหวังว่าจะนำเสนอข่าวอยางครบถ้วนทุกประเด็น

จันทจิรากล่าวว่าเมื่อข้อเสนอของนิติราษฎร์ออกสู่สาธารณชน ก็มีคนสนใจอย่างกว้างขวาง ได้รับกำลังใจและข้อเสนอแนะมากมาย แต่ก็พบว่าข้อเสนอของนิติราษฎร์มีผู้ที่ยังสงสัย ตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และส่วนหนึ่งก็เป็นไปในทิศทางการนำเสนอด้วยภาพลบอย่างยิ่ง ทำนองว่าข้อเสนอของนิติราษฎร์จะทำให้เกิดกลียุคในบ้านเมือง ระส่ำระสายวุ่นวาย นองเลือด จึงเห็นว่าจำเป็นต้องมาถกแถลงอีกครั้ง

“ถ้าท่านเป็นสุจริตชนที่อ่านข้อเสนอแนะของเราอย่างละเอียดพอสมควร และถ้ามีใจเป็นกลางไม่มีอคติไม่มีประโยชน์เกี่ยวเนื่องกับรัฐประหาร ก็จะเห็นว่าข้อเสนอเป็นการผ่าทางตันและข้อขัดแย้งที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ด้วยการเสนอว่าเราไม่ยอมรับผลพวงของรัฐประหาร มุ่งหมายให้เปลี่ยนผ่านทางการเมืองอย่างสันติ ไม่เสียเลือดเนื้อต่อไป ด้วยการเสนอให้ทำประชามติ เพื่อให้ไทยพ้นจากวังวนของรัฐประหาร ด้วยการไม่ยอมรับการนิรโทษกรรมจากการรัฐประหาร และเป็นการเสนอโดยไม่มองหน้าคน แต่ให้ทุกคนที่ถูกกล่าวหาได้เข้าสู่กระบวนการการพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการตามปกติ”


วรเจตน์ ภาคีรัตน์

“ฝ่ายที่ทำให้ข้อเสนอของนิติราษฎร์ดูไม่มีความหมายไม่มีคุณค่า เพราะเขากลัวอำนาจประชาชน”
วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อธิบายรายละเอียดของข้อเสนอแนะ “หลังจากที่เราได้ออกแถลงการณ์ไปเมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมก็ไม่คิดว่าเราต้องมาอธิบายขยายความเพิ่มเติม”

อย่างไรก็ตาม เขาเริ่มอธิบายความเกี่ยวกับข้อเสนอของนิติราษฎร์ว่า เขารู้ดีว่าการเสนอประเด็นนี้จะมีความสั่นสะเทือนสังคมอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ไม่คาดคิดว่าจะส่งผลต่อเนื่องหลายวงการ โดยครั้งนี้เขาได้อ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 2 มีใจความโดยย่อว่า

หนึ่ง ในแถลงการณ์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปีรัฐประหาร มีข้อเสนอ 4 ประเด็น คือการลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร การแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการรัฐประหาร

แต่ปรากฏว่าสื่อมวลชนทั่วไปกลับมุ่งไปที่การล้มล้างผลพวงจากการรัฐประหาร และพบว่าสื่อมวลชนเข้าใจคลาดเคลื่อนทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา

สอง ข้อเสนอไม่ใช่เป็นการนิรโทษกรรม อภัยโทษ หรือล้างมลทินของผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด หากจะเริ่มดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวใหม่ก็ทำได้ตามปกติ จึงไม่ควรมีบุคคลใดไปกล่าวอ้างว่า นิติราษฎร์เสนอให้ล้างความผิดผู้ที่ถูกกล่าวหา

สาม เหตุที่ให้ล้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะได้นำเอาประกาศ คปค. มาใช้บังคับคดี จึงไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นผลจากการรัฐประหาร 19 กันยายน

สี่ ยืนยันว่าผลพวงจากรัฐประหาร 19 กันยายนต้องลบล้าง แต่ผลพวงของรัฐประหารต้องกระทำโดยคำนึงบุคคลผู้สุจริตด้วย และไม่ได้เสนอให้ลบล้างรัฐธรรมนูญ ชั่วคราว 2549 และรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ให้ล้าง เฉพาะ 36-37 ในรัฐธรรมนูญ 2549 เพราะเป็นการนิรโทษกรรมคณะรัฐประหาร

ห้า การลบล้างผลพวงจากการรัฐประหารทำได้ตามกฎหมายดังที่ปรากฏในนานาอารยประเทศ เช่น การประกาศความเสียเปล่าของนาซี ระบอบวิชี่ ฝรั่งเศส เป็นต้น

หก ต่อข้อสงสัยว่า เหตุใดคณะนิติราษฎร์จึงให้ลบล้างผลพวงเฉพาะรัฐประหาร 19 กันยายน ขอชี้แจงว่า นิติราษฎร์ปฏิเสธการรัฐประหารทุกครั้ง แต่ที่ให้ล้างผลพวงของ 19 กันยายน เพราะผลพวงยังดำรงอยู่และเป็นต้นตอของความขัดแย้งที่ฝังรากลึกในสังคมไทยขณะนี้

เจ็ด ประชาชนในฐานะรัฏฐาธิปัตย์มีความชอบธรรมในการลบล้างผลพวงของรัฐประหาร

“นิติราษฎร์ยืนยันที่จะปกป้องหลักการทั้งหลายอย่างสุดกำลังด้วยความบริสุทธิ์ใจ” วรเจตน์กล่าวย้ำ และอธิบายขยายความเพิ่มเติมว่า ที่ปรากฏในสื่อว่า นิติราษฎร์จะล้างความผิดให้ทักษิณ ชินวัตร และเป็นไปเพื่อช่วยคนเพียงคนเดียว เป็นความพยายามบิดเบือนแถลงการณ์ของกลุ่มนิติราษฎร์ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าละอายและไม่พึงกระทำ

“ในแถลงการณ์ของเรานั้นชัดเจนว่า ไม่ใช่การนิรโทษกรรม ไม่ใช่การล้างมลทิน แม้แต่พูดอย่างนี้สื่อบางสำนักก็ยังบอกว่าเป็นการล้างความผิด ผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่เสนอให้ตรงไปตรงมาในเบื้องต้นก่อน ไม่ควรบิดเบือนข้อเท็จจริงทำให้สังคมเข้าใจผิด อาจะเป็นไปได้ว่า ข้อเสนอครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การปกครองระบอบประชาธิปไตย 2475 ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน สื่อจึงไม่สามารถเสนอตามความเป็นจริง และเหตุผลของเรามีน้ำหนักมากจนกระทั่งการเสนอข่าวตามความเป็นจริงจะทำให้สังคมคล้อยตามพวกเรา”

“เหตุผลที่ต้องลบล้างคำวินิจฉัยนั้น ถ้าเราปฏิเสธการรัฐประหารต้องปฏิเสธผลของรัฐประหารนั้นด้วย และการที่เราประกาศลบล้างคือการไม่เคารพอำนาจศาลหรือไม่ ผมเรียนว่า ศาลจะขุ่นเคืองใจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าผู้พิพากษาท่านนั้นเป็นคนอย่างไร ถ้าผู้พิพากษาท่านนั้นมีจิตใจฝักใฝ่เผด็จการรับเผด็จการทหาร เขาย่อมขุ่นเคืองใจ แต่ถ้าเกิดผู้พิพากษาจำนวนหนึ่งมีจิตใจฝักใฝ่ประชาธิปไตย และสถานการณ์ขณะรัฐประหารทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรเป็นอย่างอื่นได้นอกจากต้องตัดสินไปตามคำสั่งนั้น ผู้พิพากษานั้นต้องขอบใจกลุ่มนิติราษฎร์ เพราะสิ่งที่เราทำอยู่คือการช่วยศาล ดังนั้นข้อเสนอกระทบศาลหรือไม่ ต้องย้อนกลับไปว่า ผู้พิพากษานั้นมีจิตใจอย่างไร และขอความกรุณาสื่อว่า เวลาไปเสนอข่าวช่วยเสนอให้ตรงความจริงหน่อย อย่าบอกว่านี่คือการล้างความผิด เพราะกระบวนการต่างๆ นั้นสามารถเริ่มต้นใหม่ เป็นการพิสูจน์บนกระบวนการยุติธรรมที่ยุติธรรม

ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่ง คือการลงโทษผู้ที่กระทำรัฐประหารซึ่งเป็นประเด็นที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ไม่พูดถึง ทั้งๆ ที่มีการพูดแล้วในการแถลงข่าวครั้งที่แล้ว ข้อเสนอของเรามีข้อเสนอที่น่าสนใจคือ การเสนอให้ลบล้างมาตรา 36-37 ของรัฐธรรมนูญ 2549 เพราะเป็นบทบัญญัตินิรโทษกรรมให้กับการรัฐประหารซึ่งประเทศไทยมักมีการนิรโทษกรรมให้กับการรัฐประหารทุกครั้ง และนวัตกรรมการรับรองรัฐประหารในสังคมไทยนั้น ได้สร้างให้เกิดการพัฒนาการเขียนกฎหมายสนับสนุนรัฐประหารซึ่งพัฒนาสูงสุดถึงขั้นรับรองการนิรโทษกรรมให้กับคณะรัฐประหารในรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกันการดำเนินคดีกับคณะรัฐประหาร

ถ้าประชาชนออกเสียงประชามติในรัฐธรรมนูญที่จะสถาปนาขึ้นใหม่ อำนาจนั้นสูงสุดพอที่จะประกาศได้ว่า นิรโทษกรรมนั้นเสียเปล่าได้ เท่ากับไม่เคยมีการนิรโทษกรรม และให้บุคคลที่ทำรัฐประหารต้องถูกลงโทษ

“ผมพอจะทราบว่า ทำไมสื่อมวลชนไม่เสนอประเด็นนี้ หลังจากมีการแถลงข่าวแล้ว มีทนายความท่านหนึ่งซึ่งเป็นทนายความของ ร.ต.ฉลาด วรฉัตร มาพบผม นำเอกสารให้ผมชุดหนึ่ง เอกสารนี้เป็นคำฟ้องและคำพิพากษาเนื่องจาก ร.ต. ฉลาด ฟ้องคณะรัฐประหาร คตส. ครม. และบรรดาสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติรวม 308 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นกบฏ ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า การกระทำของคณะรัฐประหารนั้น แม้จะเป็นความผิดก็ถูกนิรโทษกรรมไปแล้วโดยบทบัญญัติมาตรา 37 ของรัฐธรรมนูญ 2549 โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษผู้กระทำการรัฐประหาร ซึ่งศาลอุทธรณ์ตัดสินว่า การกระทำดังกล่าวนั้น ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ถูกใช้ ไม่ว่ากระทำฯ นั้นแม้ผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง ดังนั้นการกระทำของจำเลยทั้ง 308 คนหากเป็นการขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ 2540 หรือผิดกฎหมายอาญามาตราใดก็ให้พ้นความผิดโดยสิ้นเชิง จึงไม่จำเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้องที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

“มาตรา 37 เป็นกล่องดวงใจของคณะรัฐประหาร ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์นั้นเป็นการทำลายกล่องดวงใจของคณะรัฐประหาร จึงเป็นที่เข้าใจว่า ทำไมข้อเสนอของเราจึงถูกทำให้กลายเป็นการช่วยคนๆ เดียวให้พ้นผิด”

“มีคนบอกว่า ข้อเสนอของนิติราษฎร์เป็นข้อเสนอที่สุดโต่ง ผมเป็นบุคคลอันตราย และผมเป็นบุคคลอันตรายแน่ต่อคนที่ทำรัฐประหาร จริงๆ แล้วเราลบล้างประกาศ คปค. ตั้งแต่ 19 ก.ย. 2549 เราไม่ได้ลบล้างรัฐธรรมนูญ 2549 หรือ รัฐธรรมนูญ 2550 ด้วย แปลว่า ถ้าเขาไม่เข้าใจเพียงพอ เขาก็อาจจะแกล้งไม่เข้าใจ เพราะรัฐธรรมนูญ 2549 เราก็ไม่ได้เสนอให้ลบทั้งหมด เราลบเฉพาะมาตราที่เกี่ยวกับผู้ทำรัฐประหาร เพราะถ้าลบทั้งหมดจะเกิดความวุ่นวายทางกฎหมายที่ตามมา เพราะรัฐบาลได้ทำกิจกรรมทางกฎหมายมากมาย เราเห็นประเด็นนี้ เราจึงไม่เสนอให้ลบทั้งหมด แต่เมื่อมีคนถามอีกว่า ถ้าเกิดลบล้างประกาศ คปค. ก็เท่ากับรัฐธรรมนูญ 40 ถูกใช้บังคับเรื่อยมา เราก็ถือว่ารัฐธรรมนูญ 2540 ใช้มาจนสิ้นสุดไปเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2549

“มีคนลบล้างรัฐธรรมนูญ แล้วคุณบอกว่าไม่ผิด แล้วตัวกฎหมายก็ไม่มีผลบังคับใช้อย่างนั้นหรือ ผมเรียนว่า เราได้ไตร่ตรองข้อเสนอนี้แล้วอย่างรอบคอบ และมีการกระทำกันแล้วในต่างประเทศ แต่จะเป็นของใหม่มากๆ ในระบบกฎหมายของไทย ซึ่งถ้ามันทำได้สำเร็จ ผมเชื่อว่าการทำรัฐประหารจะเกิดขึ้นได้ยากมากหรืออาจจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย”

“ข้อเสนอนี้ไม่ใช่เพียงการต่อสู้ทางความคิดระหว่างฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยกับฝ่ายชื่นชมเผด็จการ แต่เป็นการต่อสู้อย่างแหลมคมทางความคิดของบรรดานักกฎหมายด้วยกันด้วย ยังไม่มีนักกฎหมายแม้แต่คนเดียวออกมาบอกว่า ข้อเสนอของเราทำไม่ได้ ผมเรียนว่า ถ้าเกิดนักกฎหมายคนไหนเห็นว่าข้อเสนอของเราทำไม่ได้ ให้ออกมาบอกด้วยว่าทำไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันทำได้ ถ้าจะทำ”

“ปกติแล้วเวลาที่เกิดการรัฐประหารสำเร็จ ก็จะมีการเรียกบรรดานักกฎหมายเข้าไป ซึ่งมีความช่ำชองในการร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม และอบรมฝังลึกกันมาว่า เมื่อมีการรัฐประหารแล้วเขาก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ เขาก็จะปฏิบัติตามอย่างเชื่องๆ และมีความก้าวหน้าทางหน้าที่การงานเป็นลำดับ และวงการกฎหมายไทยก็ยอมรับความคิดแบบนี้ เราขังตัวเองอยู่ในกรอบในกรงของความคิดแบบนี้ คณะนิติราษฎร์เปิดกรงนี้ออกไปเพื่อบอกว่า เราควรจะเป็นอิสระจากความคิดแบบนั้นได้แล้ว" 

“ถ้าคุณสามารถเขียน พ.ร.บ. นิรโทษกรรมได้ นักกฎหมายอย่างเราก็สามารถที่จะคิดค้นการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่และประกาศลบล้าง ความเสียเปล่าของการนิรโทษกรรมได้ จริงๆ แล้วข้อเสนอเรื่องนี้มันชัดเจนในตัวเอง แต่รายละเอียดปลีกย่อยอาจจะต้องมาพูดคุยกันว่า จะมีเรื่องอะไรที่ต้องลบล้างอีก แต่หลักการต้องทำแบบนี้ เพื่อให้เห็นว่าในที่สุดแล้วเมื่อคุณทำรัฐประหารสำเร็จ วันหนึ่งเมื่ออำนาจคืนสู่เจ้าของอำนาจตัวจริงคือประชาชนแล้ว เขาก็อาจตัดสินใจเอาโทษคุณได้”

ประเด็นสุดท้าย คือ ทำไมข้อเสนอของนิติราษฏร์จึงถูกมุ่งไปที่คดีของทักษิณ กลายการเป็นชวนทะเลาะ “เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะฝ่ายที่ทำให้ข้อเสนอของนิติราษฎร์ดูไม่มีความหมายไม่มีคุณค่า เพราะเขากลัวอำนาจประชาชน เขากลัวว่า หากวันหนึ่งข้อเสนอนี้ถูกผลักดันให้เกิดเป็นจริงขึ้นมา และประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้เห็นด้วยกับพวกเรา เขาจะไม่มีที่ยืน มีคนบอกว่า ข้อเสนอของเราไม่ต่างกับเผด็จการที่ได้อำนาจแล้วออกกฎหมายตามใจชอบ เขากล่าวว่ามันต่างกันมากราวสวรรค์กับนรก เพราะคณะนิติราษฎร์ไม่มีอำนาจอะไรที่จะล้มล้างอำนาจรัฐประหาร เราสอนหนังสือ มีแค่กำลังความคิดและกำลังสติปัญญา แต่ข้อเสนอของเรา ถ้ามันเป็นไปได้ ก็จะถูกเอาไปให้ประชาชนตัดสินใจ ใครก็ตามที่เคารพประชาชนจริงต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน และอำนาจประชาชนเป็นอำนาจที่สูงสุดแล้วของระบอบประชาธิปไตยและชอบธรรมเต็มเปี่ยม อย่าได้พึงเอาอำนาจของประชาชนไปเปรียบเทียบกับอำนาจของคณะรัฐประหารเด็ดขาด”

“ถ้าท่านเข้าใจไม่ชัด ผมจะอธิบายจนกว่าจะสิ้นลม จนกว่าท่านจะเข้าใจ คนเราถ้าไม่รู้ต้องถาม อย่าไปคิดเอาเอง อย่าไปตีความบิดเบือน” วรเจตน์กล่าวในที่สุด


ปิยบุตร แสงกนกกุล

"พวกที่ไม่ได้อ่าน แต่ด่าไว้ก่อน แล้วเอาแถลงการณ์ไปบิดเบือนให้เข้าใจผิด สื่อแบบนี้ผมเห็นว่าค่อนข้างเลวนะครับ"
ปิยบุตร แสงกนกกุล กล่าวว่า เขาสำรวจพบว่า หลังนิติราษฎร์แถลงข่าวเมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา มีคนพูดประเด็นกฎหมายและหลักการน้อยมาก แต่ถูกบิดเบือนเป็นเรื่องการช่วยทักษิณเป็นส่วนใหญ่ มีนักวิชาการที่เขียนลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐและไทยโพสต์ ข้อหนึ่งคือการยืนยันว่า “โมฆะ” ไม่มีในทางกฎหมายมหาชน แต่ปิยบุตรยืนยันว่า “มี” เพียงแต่ไม่เรียกว่า โมฆะ แต่ที่จริงผลไม่ต่างกัน

“ถ้าเปิดรัฐธรรมนูญดูจะเห็นชัดว่า การตรา พ.ร.ก. ที่มีเหตุในการตราได้ เช่น ความปลอดภัยของสาธารณะ เป็นต้น และศาลรัฐธรรมนูญ จะตรวจดูว่า เหตุนั้นครบถ้วนไหม ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ไม่ครบองค์ประกอบ ก็ถือว่าเป็นโมฆะ ในทางกฎหมายปกครอง คำสั่งทางปกครองก็มีการประกาศความเสียเปล่า เพราะให้ถือว่าไม่มีมาแต่ต้น”

ปิยบุตรยกตัวอย่างประเทศต่างๆ ที่มีกระบวนการทางกฎหมายในลักษณะเช่นนี้มาแล้ว (อ่านเพิ่มเติมที่นิติราษฎร์) “ผมยืนยันว่า สิ่งที่เรากำลังจะทำเป็นสิ่งที่ประเทศอื่นทำมาแล้ว และทำด้วยวิธีแตกต่างไป” โดยเขายกตัวอย่างบางประเทศที่น่าสนใจ เช่น

สวิตเซอร์แลนด์ ปี 2003 รัฐสภาสวิตเซอร์แลนด์ ตรา พ.ร.บ. เพิกถอนคำพิพากษาของศาลที่ลงโทษบุคคลที่ให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากนาซี ให้ประกาศความเสียเปล่าของคำพิพากษาเหล่านั้นทั้งหมดและตั้งคณะกรรมการเยียวยาขึ้นมาชุดหนึ่ง

ประเทศกรีซ รัฐธรรมนูญ 1952 มีกษัตริย์เป็นประมุข ปี 1967 มีการรัฐประหาร และปกครองมาได้สักพักก็ไปไม่รอดสุดท้ายปี 1974 ก็เอานายคารามาริส มาตั้งรัฐบาลแห่งชาติ และประชาชนหวังมากว่าเขาจะนำพาประเทศเข้าสู่ประชาธิปไตย สิ่งแรกที่รัฐบาลนี้ทำคือ การประกาศฟื้นฟูความชอบด้วยกฎหมายตามระบอบประชาธิปไตย ประกาศความเสียเปล่าของกฎหมายจากการรัฐประหาร และใช้รัฐธรรมนูญ 1952 โดยเว้นหมวดกษัตริย์ไว้ก่อน แล้วให้ประชาชนลงมติว่า จะเป็นสาธารณรัฐหรือจะมีกษัตริย์เป็นประมุข

ประเทศสเปน หลังนายพลฟรังโกออกจากอำนาจแล้ว ก็เข้าสู่ประชาธิปไตย แต่รัฐสภาสเปนพยายามปรองดองและนิรโทษกรรมให้นายพลฟรังโกไป แต่มีกลุ่มนักสิทธิมนุษยชนและนักกฎหมายบางส่วน รวมทั้งเครือญาติผู้ได้รับผลกระทบจากสมัยฟรังโก มีความพยายามผลักดันกันในระดับสภา เพื่อลบล้างผลพวงของระบอบฟรังโก้ และแก้ไขเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากระบอบฟรังโก้

ประเทศตุรกี หลังเคมาลอาตาเติร์ก เปลี่ยนแปลงตุรกีให้เป็นรัฐสมัยใหม่ แต่ความเป็นประชาธิปไตยยังไม่เกิดเต็มที่ เกิดรัฐประหารบ่อยครั้ง กระทั่งครั้งสุดท้ายคือ 12 ก.ย. 1980 มีการรัฐประหารและคณะทหารปกครองประเทศเรื่อยมา มีรัฐธรรมนูญ 1982 ระหว่างนี้มีคนตายประมาณ 5,000 คน ถูกจำคุก 6,000 คน ถูกดำเนินคดี 200,000 คน เมื่อมาถึงรัฐบาลปัจจุบันเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตยและอยากเข้าสู่สหภาพยุโรป ต้องการปรับแก้รัฐธรรมนูญให้ปลอดอำนาจศาล ปลอดอำนาจทหาร จึงมีการเสนอแก้รัฐธรรมนูญ ปีที่แล้ว และลงประชามติ และเลือกวันลงประชามติ 12 ก.ย. 2010 ประเด็นสำคัญอยู่ที่การยกเลิกมาตรา 15 ที่เป็นบทบัญญัติชั่วคราวของรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีเนื้อหาให้เอกสิทธิ์ความคุ้มกันแก่บรรดาคณะทหารและพวกที่จะไม่ถูกดำเนินคดี รัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านประชามติก็เลิกมาตรา 15 นี้ ผลที่ตามมาคือ วันรุ่งขึ้นบรรดานักสิทธิมนุษยชน ก็แห่กันไปฟ้องนายพลและพวกที่ทำการรัฐประหาร

ปิยบุตรชี้แจงว่า กรณีที่กลุ่มนิติราษฎร์เรียกร้องให้ยกเลิกผลทางกฎหมายเฉพาะการรัฐประหาร 19 กันยายน เพราะว่าผลพวงความเลวร้ายยังเกิดอยู่ในปัจจุบันเต็มไปหมด ในเบื้องต้นต้องจัดการกับผลของการรัฐประหารครั้งนี้ก่อน

“ก็ขนาดจะจัดการชุดนี้เข้า สื่อบางฉบับยังเหมือนโดนน้ำร้อนลวก ดิ้นกันเป็นแถว ท่านไม่ต้องกังวลหรอกครับ วิธีถอยหลังให้รัฐประหารทุกครั้งมันมี และบางคนบอกว่าให้ถอยไปที่ 24 มิ.ย. 2475 ท่านเข้าใจผิด นั่นคือการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เปลี่ยนอำนาจสูงสุดมาเป็นของราษฎรทั้งหลาย เขาเรียกปฏิวัติ ถ้าท่านจะถอยไปให้ถึง 2475 ผมไม่ทำเพราะผมเชื่อในระบอบประชาธิปไตย เรายืนยันจะต่อต้านการรัฐประหารทุกครั้งที่ต่อต้านระบอบประชาธิปไตย”

กรณีศาล ซึ่งแม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับการรัฐประหารเลย ปิยบุตรยืนยันว่า ในเบื้องต้นไม่มีอะไรเกี่ยวกับการรัฐประหารเลย แต่บังเอิญว่าเรื่องที่ชงเข้ามามันเริ่มจาก คตส. “ท่านอย่าความจำสั้น ลองย้อนไปดูก่อนว่า ประกาศ คตส. สมัย สนธิ บุญยรัตกลิน ได้ตั้งสวัสดิ์ โชติพานิชย์ เป็นประธาน แล้วมีกรรมการมาจากที่ต่างๆ ตามตำแหน่ง หลังจากนั้นไม่รู้เกิดอะไรขึ้นก็เลิก แล้วตั้ง คตส. ชุดใหม่ กำหนดชื่อคนมา ท่านเห็นชื่อเหล่านี้ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ? แล้วพอมาถึงศาล ศาลก็ตัดสินจากคดีที่เริ่มมาจากตรงนั้น เราจึงต้องไปลบล้างคำพิพากษาซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงต่อเนื่องมาจากรัฐประหาร 19 กันยา ถามว่า คตส. โดนแบบนี้บ้างเอาไหม เวลาท่านพูดเรื่องความยุติธรรม ท่านต้องคิดถึงใจเขาใจเรา”

อีกประเด็น คือกรณีที่มีนักกฎหมายตั้งข้อสงสัยว่า สิ่งที่นิติราษฎร์ทำไม่ต่างกับรัฐประหารนั้น ปิยบุตรยืนยันว่าต่างกันชัดเจน “เด็กอมมือก็เห็น ว่าสิ่งที่มาจากรัฐประหารทำโดยคนไม่กี่คน เอามาเทียบกับประชามติของคนทั้งประเทศ ถ้าท่านยืนยันว่าเหมือนกัน แปลว่าท่านไม่ให้น้ำหนักของประชาชน เพราะเขาคิดไม่เหมือนท่าน เสียงของประชาชนดังกว่ารัฐประหารอยู่แล้ว”

ปิยบุตรกล่าวว่า ตลอดเวลาสัปดาห์ที่ผ่านมา ขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยกันขยายผลให้เป็นประเด็นร้อนในสังคม อย่างน้อยสังคมไทยได้หันมาฉุกคิดว่า มีวิธีการลบล้างผลพวงการรัฐประหารจริง เป็นผลพลอยได้ “ต่อไปนี้รัฐประหารไม่หมูอย่างที่คิด บรรดานักกฎหมายที่เข้าไปรับใช้ คอยช่วยงานรัฐประหารไม่หมูอย่างที่คิดแล้ว สื่อมวลชนที่พูดถึงแถลงการณ์ของพวกเขาก็มีทั้งชมทั้งด่า ฝ่ายที่วิจารณ์ตำหนิอย่างสุจริตใจ เรายอมรับนับถือท่านด้วย แต่พวกที่ไม่ได้อ่าน แต่ด่าไว้ก่อนแล้วเอาแถลงการณ์ไปบิดเบือนให้เข้าใจผิด สื่อแบบนี้ผมเห็นว่าค่อนข้างเลวนะครับ พฤติกรรมสื่อบ้านเรา ผมเข้าใจดีว่าเขาจ้องจะขายข่าว ผมก็เข้าใจได้ แต่การขายข่าวของท่านไปบิดเบือนข้อเท็จจริงแล้วนั่งเทียนวิเคราะห์ผู้อื่น คณะนิเทศฯ วารสารฯ ที่ไหนไม่สอนกันหรอก หนังสือพิมพ์เหล่านี้มันไม่ใช่หนังสือพิมพ์ มันกลายเป็นใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อ”

“บรรดาสื่อ นักวิชาการ อย่าความจำสั้นเกินไป คุณไม่ใช่ปลาทอง ก่อนจะวิจารณ์คนอื่นช่วยพิจารณาการกระทำของตัวเองก่อน ข้อเสนอของเรามีคนมาถกเถียงในเนื้อหาน้อยมาก เพราะอะไร เพราะข้อเสนอของเรามันบีบพวกท่านโดยอัตโนมัติ เพราะถ้าท่านยืนยันว่าไม่เห็นด้วย ก็อาจจะบีบให้คิดไปโดยปริยายว่า ท่านสนับสนุนรัฐประหาร บังเอิญว่ายุคนี้คนที่จะยืดอกรับว่าชอบรัฐประหารก็ไม่กล้าพูด จึงมาเถียงไม่ได้ จึงมาแฉลบออกทางว่า เรารับงานใครมา คุณไม่กล้าพูดตรงๆ ว่าคุณชอบการรัฐประหาร ที่บังเอิญไปฆ่าไปทำลายคนๆ หนึ่ง

“สื่อสารมวลชนบางค่ายและพรรคประชาธิปัตย์โปรดพิจารณาด้วยใจเป็นธรรมว่า มีนักวิชาการบางคนไปเป็นอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด ท่านไปดูว่า หลังรัฐประหารใครไปดำรงตำแหน่งอะไรบ้าง หรือท่านคิดแค่ว่าใครทำงานกับท่านเป็นคนดี สองมาตรฐานแบบนี้ผมว่าพอเสียทีนะครับ แหม...พอหลังรัฐประหารบอกไปช่วยบ้านเมือง รัฐบาลชุดที่แล้วเชิญไปเป็นคณะทำงานบอกไปช่วยบ้านเมือง แต่เราออกแถลงการณ์ 4 หน้า บอกว่าเราไม่ใช่นักวิชาการ ถ้ามีอะคาเดมีแฟนตาเชีย จะเห็นว่าพวกเราเถียงกันนานมาก อย่างนี้ไม่ใช่งานวิชาการหรือครับ หรืองานวิชาการ คืองานที่รับจากส่วนราชการรับเงินวิจัยเป็นล้านๆ แบบนั้นหรือที่เรียกว่างานวิชาการ ผมยืนยันว่า ถ้ามันจะเกี่ยวกับการเมือง ก็เพราะสิ่งที่พวกเราเรียนคือกฎหมายมหาชน ถ้าท่านไม่วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ท่านจะเรียนไปทำไม นักวิชาการต้องอยู่แต่ในห้องสมุดแล้วรับเงินวิจัยเป็นล้านๆ อย่างนั้นหรือ”

ปิยบุตรอ้างคำกล่าวของ ฌอง ปอลซาร์ต ตอนหนึ่งว่า ปัญญาชนต้องผูกมัด (engage) ตนกับสิ่งที่ไม่เป็นธรรมกับการกดขี่ เราก็ผูกมัดตัวเองกับประชาธิปไตยและประชาชน เราไม่ผูกพันตัวเองกับรัฐประหารและวิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย นี่คือการขับเคลื่อนทางความคิด เพื่อให้อุดมการณ์แบบประชาธิปไตยและนิติรัฐได้ลงหลักปักฐานจนกว่าวันหนึ่งอำนาจสูงสุดจะเป็นของราษฎรทั้งหลายอย่างแท้จริง

“มีข้อกล่าวหาว่าพวกเราเอามหาวิทยาลัยเอาคณะนิติศาสตร์เป็นฐานที่มั่น เรื่องนี้เราคิดมาตลอด ตอนที่พวกเราเป็นกลุ่มห้าอาจารย์ เราก็คิดว่าพวกเราถูกกล่าวหาว่าเอาชื่อคณะไปหากิน เราก็เลยตั้งชื่อใหม่เป็นนิติราษฎร์ เพื่อที่ต่อไปคนจะได้ไม่เอาไปโยงกับคณะนิติศาสตร์ ต่อไปไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงว่าเราเป็นอาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ ผมยืนยันว่าเวลาทำงานวิชาการเราก็อยู่ในมหาวิทยาลัย เพราะว่าวันไหนผมไปจัดที่โรงแรม ท่านก็จะบอกว่า ผมไม่ใช่นักวิชาการ และมหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร ก็เพื่อเป็นบ่อบำบัดความกระหายของประชาชน เรายืนยันจัดงานที่นี่จนกว่าจะไม่ได้รับอนุญาต อีกประการคือ เหตุผลทางเศรษฐกิจ คือพวกเราไม่มีเงินจัด และที่ผ่านมาเราต้องระดมเงินเจียดเงินจ่ายค่าแรงให้เจ้าหน้าที่ที่ทำโอทีเอง”

ท้ายที่สุด ปิยบุตร ยกข้อความจากงานเขียนของอัลแบร์ กามูส์ เรื่อง 'มนุษย์สองหน้า' ว่า “สมัยนี้คนชอบพิพากษ์กันไม่ย่อหย่อนไปกว่าการร่วมประเวณี ต่างกันแต่ว่า การพิพากษานั้นไม่ย่อหย่อนสมรรถภาพ มีหนทางเดียวที่ต้องปกป้องตัวเอง คือรีบพิพากษาคนอื่นก่อนที่ผู้อื่นจะพิพากษาคุณ....ผมเรียนถามท่านสื่อมวลชนบางค่ายและนักการเมืองบางพรรคบางคนว่า ท่านเป็นมนุษย์สองหน้าหรือเปล่า”

ช่วงถามตอบ
วรเจตน์ตอบคำถามกรณีที่ นายไชยันต์ ไชยพร กล่าวถึงการเรียกร้องให้ยกเลิก 112 เป็นการก้าวล่วงสถาบันกษัตริย์ วรเจตน์ตอบว่า กรณีมาตรา 112 เป็นข้อเสนอที่ไม่ได้เสนอให้ยกเลิก แม้ถ้ายกเลิกได้ก็ดี แต่เราเสนอให้มีการปฏิรูปกฎหมายมาตรานี้ให้เกิดความป็นธรรม ว่ามีความไม่สมดุลระหว่างความผิดและโทษ และที่เสนอไป ยังไม่พบว่ามีใครโต้แย้งในประเด็นนี้”

“อีกกรณีคือ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อต้นสัปดาห์พบว่า มีบางท่านวิจารณ์ข้อเสนอของเรา มีสื่อบางแห่งเสนอการให้สัมภาษณ์ของคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) และคุณถาวร (เสนเนียม) ซึ่งผมเห็นว่า บทสัมภาษณ์นั้นสะท้อนความไม่เข้าใจข้อเสนอของเรา มุ่งเน้นว่าเราทำเพื่อคนๆ เดียวและว่าอาจารย์กลุ่มนี้ทำเพื่อทักษิณมาตลอด ผมเข้าใจว่า หมายถึงผม เพราะสื่อพยายามโยงผมกับคุณทักษิณ อดีตนายกทักษิณไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผม พรรคไทยรักไทยไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผม ที่พูดในหน้าหนังสือพิมพ์เป็นการพูดโดยไม่มีเหตุผลและไม่มีหลักฐาน เราออกแถลงการณ์ประณามการรัฐประหาร การวิจารณ์การยุบพรรคไทยรักไทยเพราะเป็นการใช้กฎหมายย้อนหลัง เราวิจารณ์การยึดทรัพย์เพราะเห็นว่าเป็นประเด็นทางกฎหมาย ไม่ได้รับค่าตอบแทน เขียนแถลงการณ์เสร็จก็ไปเที่ยวเกาะช้าง ที่พูดกันไปก็เป็นการพูดกันไปเอง คำถามคือข้อเสนอเป็นประโยชน์กับทักษิณไหม ผมยืนยันว่า ผมไม่สนใจว่าข้อเสนอนั้นเป็นประโยชน์กับใคร ผมดูว่ามันเป็นหลักการที่ถูกต้องแล้วถ้าใครจะได้ประโยชน์ก็ให้เขาได้ ถ้าเขาเสียก็ให้เขาเสีย”

กรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า พวกเขาอาจรับตำแหน่งคณะกรรมการยุติธรรม วรเจตน์กล่าวว่า "ผมเรียนว่า ผมไม่มีความปรารถนาจะเล่นการเมืองจนกระทั่งปัจจุบัน ผมอยากเป็นนักวิชาการ ผมรักในวิชาการ แต่วิชาการที่ดีไม่ควรตัดตัวเองออกจากสังคม เราจะนั่งอ่านหนังสืออยู่ได้อย่างไรในขณะที่สังคมไม่มีความยุติธรรมและไม่มีความป็นประชาธิปไตย”

“ที่เขียนๆ กันในหน้าสื่อบางฉบับ มันเป็นการกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่น และเป็นอสัตย์ เป็นความเท็จ...กรณีประชาธิปัตย์มาท้าให้ไปที่พรรค ผมรู้สึกว่าคุณถาวร และคุณอภิสิทธิ์ ทั้งสองท่านไม่เข้าใจอะไร คุณอภิสิทธิ์บอกว่า ข้อเสนอนี้เป็นไปเพื่อคนๆ เดียว ผมก็เรียนด้วยความเคารพ ว่าถ้าไม่เข้าใจก็มาซักถาม ผมก็โทรศัพท์ไปเรียนเชิญท่านอดีตนายกฯ โดยคุยกับเลขาฯ ของท่านเพื่อเชิญท่านมาที่คณะนิติศาสตร์เพราะเราจะแถลงข่าว เลขาฯ อดีตนายกฯ ก็ถามว่าจะให้มาทำไม ผมก็บอกว่า ถ้าไม่เข้าใจก็จะได้พูดคุยกันให้เข้าใจ ไม่เข้าใจก็มาถามจะได้อธิบายให้ฟัง เพราะสังคมเราพูดกันไปคนละทาง เรื่องที่เชิญมาก็ไม่ใช่การดีเบตอะไร เพราะผมไม่เห็นว่ามันจะดีเบตอะไรกันได้”

“อย่ามาท้า เพราะผมไม่จำเป็นต้องได้รับคะแนนนิยมจากประชาชน ผมไม่ต้องไปหาเสียง และถ้าท้าตีท้าต่อยแบบเด็กๆ ท่านก็ลาออกจากนักการเมืองสิ แล้วท่านก็ไปเรียนหนังสือ แล้วเรียนให้เข้าใจให้รู้เรื่องแล้วค่อยมาเถียงกับผม เพราะถ้าท่านยังไม่รู้เรื่องยังมาเถียงกับผมได้ยังไง และผมแปลกใจมากว่า ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ถึงเดือดร้อนนักกับข้อเสนออันนี้ ผมไม่เข้าใจว่า ข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอเพื่อเปิดทางให้เป็นประชาธิปไตย เป็นนิติรัฐ ไม่ต้องมาพูดว่า ประเทศนี้ต้องการนิติรัฐไม่ใช่นิติราษฎร์ ท่านเข้าใจหรือเปล่าว่า นิติรัฐหมายความว่าอะไร"

ต่อกรณีข้อกล่าวหาว่า นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ต้องการเป็น ส.ส.ร. นั้น เขากล่าวว่า “อยู่ตรงไหนแล้วทำอะไรได้ ก็อยู่ตรงนั้นแล้วทำ ผมเรียนว่า ถ้าผมเป็น ส.ส.ร. แล้วผลักดันและลบล้างการรัฐประหารได้ ทำไมผมจะต้องไม่เป็น ผมเรียนว่าถึงที่สุดเราเป็นหรือไม่เป็นอะไร ขึ้นอยู่กับว่าเราทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน และผมเรียนว่า เราเปิดเผยต่อสาธารณะ เราชัดเจนว่า เราคิดอะไรและจะทำอะไร ไม่ปิดบังอำพราง และที่เราทำทั้งหมด คือเราเคลื่อนไหวทางความคิด ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมือง นี่คือการก่อร่างสร้างรูปความคิดประชาธิปไตยให้เจริญงอกงามในสังคม ซึ่งถ้าสนับสนุนประชาธิปไตย ก็มีแต่ช่วยกันเผยแพร่ความคิดให้เป็นไปได้”

วรเจตน์กล่าวว่า สิ่งที่จะผลักดันต่อไปข้างหน้า คือการทำให้เกิดความก้าวหน้าทางวิชาการในเรื่องการล้างผลของการรัฐประหารไปให้ได้มากที่สุด และกล่าวตอบข้อกล่าวหาว่า กลุ่มนิติราษฎร์ถูกกล่าวหาว่ารับงาน โดยกล่าวว่า “ถ้าใครกลับไปอ่านนิติราษฎร์ฉบับที่ 1 เราเชื่อมโยงกลับไปที่คณะราษฎร เราเห็นว่า ระบอบที่ถูกสถาปนาขึ้นปี 2475 และถูกล้มล้างโดยรัฐประหารครั้งแรกปี 2490 และพรรคไหนตั้งขึ้นก็ไปค้นกันเอาเอง ความคิดเชื่อมโยงกลับไปที่คณะราษฎร เราก็ไม่ปิดบังอำพรางอะไรว่า รัฐธรรมนูญที่ควรเอามาใช้ ควรเป็นสามฉบับแรก เพราะเกิดจากความเป็นประชาธิปไตย เรารับงานและภารกิจจากคณะราษฎรมาทำต่อทางความคิด มันเป็นเรื่องที่ต้องทำให้เจริญงอกงามก้าวหน้าต่อไปเป็นลำดับ และความคิดเราเปิดเผย ไม่อันตรายกับใครเลย เรายอมรับความคิดที่แตกต่างภายใต้เสรีภาพทางความคิด ที่ผมพูดนี้คือวาจาสัตย์ สู้กับอสัตย์ ใช้เหตุผลสู้กับความไม่มีเหตุผล ที่ทำกันเป็นอสัตย์สักวันหนึ่งก็จะบอกเอง”

วรเจตน์กล่าวตอบกรณี ผบ.ทบ. กล่าวด้วยความเป็นห่วงว่า นักวิชาการมีเสรีภาพทางความคิด แต่เสนออะไรต้องระวังสังคมแตกแยก ว่านี่คือการเคลื่อนไหวตามกระบวนการประชาธิปไตย “ผมกลับเห็นว่า การใช้กำลังเสียอีกที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยก ที่บ้านเมืองแตกแยกวันนี้ไม่ได้เป็นผลจากการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 หรือครับ ถ้าสังคมนี้เห็นด้วยกับเราทั้งหมดมันต้องผิดปกติ แต่เมื่อเราเสนอไปแล้ว ก็เป็นเรื่องมาพูดคุยกัน แน่นอนว่าความขัดแย้งทางความคิดมันมีตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ต้องถูกตัดสินอย่างสันติ คือการเข้าคูหา เว้นแต่ไม่ยอมรับเสียงข้างมาก เสียงข้างน้อยต้องถูก เสียงข้างมากต้องผิด อย่างนี้เทวดาที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ มันจนปัญญาที่จะช่วย ที่เรากำลังทำอยู่เพื่อให้สังคมเกิดการเรียนรู้และป้องกันการรัฐประหาร มีคนบอกว่า ข้อเสนอของเรากระตุ้นให้เกิดการรัฐประหารหรือเปล่า ผมคิดว่า ความคิดแบบนี้เมื่อมันเปิดกรงออกไปและโบกบินสู่สังคมแล้ว ต่อให้นิติราษฎร์ทั้ง 7 คนไม่อยู่แล้ว แต่ความคิดนี้จะอยู่ในสังคม มันฆ่าไม่ตายแล้ว เพราะฉะนั้นจะทำรัฐประหารก็ทำไป มีปืนมีรถถังก็ทำไป แต่ถ้าทำแล้วคุณต้องปกครองโดยปืนโดยรถถังตลอดกาล ถ้ามันไม่สำเร็จในยุคสมัยของเรา รุ่นลูกรุ่นหลานเราก็จะมาพูดต่อ แต่ผมคิดว่ามันจะสำเร็จในยุคสมัยของเรา”

“คนที่จะเป็นนักการเมืองจะลดความขัดแย้ง จะต้องไม่สร้างผีมาหลอกคน สังคมไทยมีผีทักษิณ คืออะไรๆ ก็สร้างความหวาดกลัวก่อน แล้วใช้ผีทักษิณในการปิดกั้นคนอื่น เช่น ถ้าจะโต้ความคิดนิติราษฎร์ คุณต้องโยนผีทักษิณลงมาเพื่อให้ข้อเสนอของเราไม่มีน้ำหนัก ผมคิดว่ามีคนได้ประโยชน์จากการสร้างผีทักษิณ กรณีทักษิณ ผมมีหลักว่า ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก แต่ต้องว่าไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง ไม่เห็นจะต้องกลัวเลย มันไม่เป็นปัญหาเลย มันต้องใช้กฎหมายเสมอกันกับทุกคน นี่คือนิติรัฐและประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”

“กรณีความขัดแย้ง เราไม่เสนอความขัดแย้งก็มีอยู่และถูกซุกไว้ใต้พรม การใช้เหตุผลมาสู้กัน ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลย เราเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ เราเป็นอารยะ จริงๆ ท่าน ผบ.ทบ. นั้น ผมไม่ได้ตำหนิอะไรท่าน ผมสังเกตว่า ท่านมีพัฒนาการอยู่ ก่อนหน้านี้ ผมเคยอ่านเจอท่านพูดว่า ประเทศนี้ให้คนมีเสรีภาพไม่ได้ แต่ล่าสุดท่านพูดว่าบรรดานักวิชาการมีเสรีภาพทางความคิด แต่ผมอยากให้ท่าน ผบ.ทบ. คิดแบบนี้กับประชาชนทั่วไป ถ้ารับได้ผมว่าเราก็อยู่ด้วยกันอย่างป็นปกติสุขได้” วรเจตน์กล่าว

จันทจิรา ตอบคำถามว่าข้อเสนอของนิติราษฎร์ที่เป็นผลทางปฏิบัติได้อย่างไร โดยกล่าวว่า ข้อเสนอของนิติราษฎร์อาจจะเป็นจริงได้หากรัฐบาลเอาข้อเสนอไปปฏิบัติ โดยมาแลกเปลี่ยน และคนที่จะทำให้รัฐบาลต้องรับฟังความเห็นนี้คือประชาชนที่เป็นเจ้าของเสียงของประเทศนี้

สาวตรี ตอบปัญหาเรื่องสื่อกำลังถูกกระทำจากความขัดแย้งที่เกิดในสังคมว่า สื่ออาจจะต้องกลับไปถามตัวเองว่า สื่อกำลังกระทำหรือถูกกระทำ "อย่างกรณี ผบ.ทบ. ออกมาพูด แต่สื่อออกมาลงว่า 'ฮึ่ม' พวกนี้คือการที่สื่อกำลังเสี้ยมอยู่ใช่หรือไม่ จริงๆ แล้วเราจะยืนยันในเสรีภาพของสื่อมาตลอด สื่อต้องมีเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารเพื่อคงไว้ซึ่งเสรีภาพในการเสนอข้อมูลข่าวสารของประชาชน และควรจะรู้ว่า ตราบใดที่ยังไม่นำเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านคือการทำลายเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของประชาชนเสียเอง ความเป็นกลางไม่มีอยู่ เว้นแต่จะยอมรับว่า วงการนั้นๆ ไม่มีความเป็นกลางทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมืองที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง มันแทรกซึมอยู่แล้วในเนื้อหาของสื่อ แต่ข้อเรียกร้องพื้นๆ คือขอให้ท่านนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วนรอบด้าน สังคมจะแตกแยกได้อย่างไร ถ้าท่านนำเสนอข้อเสนอของนิติราษฎร์อย่างไม่บิดไม่เฉือน ในเมื่อเราเสนอให้ลบล้างสิ่งที่ผิดกฎหมาย ถ้าท่านบอกว่าท่านถูกกระทำ ท่านอาจจะต้องตั้งคำถามด้วยว่าจริงๆ แล้วท่านกำลังลงมือกระทำต่อประชาชนอยู่หรือไม่"

วรเจตน์ ชี้แจงในช่วงท้ายของการเสวนาว่า ที่ผ่านมาคณบดีคณะนิติศาสตร์ได้รับข้อร้องเรียนมากมายให้จัดการทางวินัยกับคณะนิติราษฎร์ และทางกลุ่มฯ ได้พูดคุยกับคณบดีแล้ว โดยคณบดีเห็นว่า เป็นสรีภาพทางวิชาการ และทางกลุ่มยืนยันจะจัดกิจกรรมลักษณะนี้ต่อไป

จันทจิรา กล่าวว่า “ถ้าที่ใดที่ควรจะเป็นที่ที่เราได้พูดแถลงการณ์ ก็ควรจะเป็นที่คณะนิติศาสตร์ มธ. ที่ผู้ประศาสน์การได้ก่อตั้งขึ้น” และอ่านบทกวีซึ่งเขียนโดยสุจิตต์ วงศ์เทศ ซึ่งเขียนถึงความต่างระหว่างนิติรัฐและนิติราษฎร์ลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 25 ก.ย. 2554 ว่า

"นิติรัฐเลือกสนองผองอำนาจ
นิติราษฎร์เลือกมวลชนคนส่วนใหญ่
นิติรัฐประหารเหี้ยนอธิปไตย
นิติราษฎร์ไล่รัฐประหารนั้น" 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"จักรภพ" ยื่น "ทักษิณ" เสนอโละคดี "หมิ่นเบื้องสูง"

Posted: 25 Sep 2011 12:44 AM PDT

ฟุตบอลกระชับมิตรเสื้อแดง-กัมพูชาชื่นมื่น “ฮุนเซน-สมชาย” กัปตันทีม ปิดสกอร์แดงชนะ 10 ต่อ 7 “ฮุนเซน” ลั่นฝันร้ายผ่านไปแล้ว ส่งสัญญาณถึงกองกำลังชายแดน 2 ประเทศ เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ขณะที่ “จักรภพ” โผล่ยื่นข้อเสนอโละคดีหมิ่นเบื้องสูง หากรัฐบาลรับ 7 ข้อเสนอ คอป.

เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 54 ที่ผ่านมาเว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่าที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ก่อนที่การแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรระหว่างทีมวีไอพีรัฐบาลกัมพูชา กับทีม ส.ส. และแกนนำเสื้อแดงจากรัฐบาลไทย ที่สนามกีฬาโอลิมปิกสเตเดี้ยม บรรยากาศตัวเมืองของกรุงพนมเปญเป็นไปอย่างคึกคัก ด้วยบรรดาคนเสื้อแดงหลายพันคนพร้อมใจสวมเสื้อแดง ขนอุปกรณ์การเชียร์ยกขบวนมาร่วมชมและเชียร์ฟุตบอลนัดสำคัญ โดยใช้ชื่อ “กองเชียร์หัวใจแดง” ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาได้จัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก และดูแลความปลอดภัยแกนนำและกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างเต็มที่
  
ทั้งนี้ เมื่อเวลา 10.00 น. นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช.ที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดีในต่างประเทศ ได้เดินทางมายังโรงแรมคัมโบเดียน่า กรุงพนมเปญ ท่ามกลางการต้อนรับของบรรดาคนเสื้อแดง โดยนายจักรภพ กล่าวว่า ตนเห็นว่าขณะนี้กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยยังอยู่ในสภาพที่ไว้วางใจไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นแม้อยากจะมาต่อสู้แต่เราก็ต้องถามว่ากระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่ ตอนนี้ทุกคนมีใจที่อยากจะปรองดอง แต่ต้องดูว่า 5 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร การปรองดองต้องอยู่บนพื้นฐานอนาคตและประชาธิปไตยที่ไม่ถดถอยด้วย
  
จากนั้นนายจักรภพได้ใช้เวลาในช่วงเช้ากล่าวบรรยายกับบรรดาคนเสื้อแดงประมาณ 50 คน ซึ่งไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนบันทึกภาพ ถึงข้อเสนอ 7 ข้อของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ที่เสนอต่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เนื้อหาตอนหนึ่งว่า ตนทราบว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้จะพิจารณารับข้อเสนอดังกล่าว แต่เรื่องนี้ทำให้มีแนวคิดของมวลชนแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยตนได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีก็ยอมรับว่าเป็นความจริงที่จะรับข้อเสนอของ คอป. แต่เราต้องดูในรายละเอียดด้วย โดยเฉพาะข้อ 3 ที่หากพิจารณาและสรุปให้เข้าใจคือ ควรจะมีการตั้งต้นคดีว่าสมควรจะถูกดำเนินคดีตั้งแต่ต้นหรือไม่ โดยเฉพาะคดีการเมืองที่มีการเสนอให้ทบทวน รวมถึงการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ถูกกล่าวหาโดยที่ไม่เรียกหลักประกัน
  
“ผมจึงเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าหากรับข้อเสนอของ คอป.ในเรื่องนี้ ก็จะต้องมีการทบทวนผู้ที่ถูกกล่าวหารวมถึงในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ที่ขณะนี้มีผู้ถูกกล่าวหากว่า 500 คนที่อยู่ในเรือนจำ จะต้องปล่อยด้วย รวมทั้งต้องมีช่วงเวลาและข้อตกลงให้ชัดเจน ถ้าไม่ตรงเวลาจะถือว่าตระบัดสัตย์ ซึ่งผมทราบว่ารัฐบาลจะรับข้อเสนอนี้ ส่วนแกนนำที่หลบหนีในต่างประเทศมีการโอ้โลมให้กลับบ้าน ถึงขนาดที่มีการติดสินบนของบางคนเพื่อขอให้กลับ แต่ตนได้เรียนต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ไปแล้วว่ายอมเป็นคนดื้อ ยังไม่ขอกลับ เพราะยังมองเห็นภาพที่มีการบาดเจ็บ เสียชีวิต จึงยังกลับไม่ได้ จะเจ็บก็ไม่เป็นไร จะตายก็ไม่ต้องกลับจะขอทำเพื่อบ้านเมือง” นายจักรภพ กล่าว
   
ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 น. การแข่งขันฟุตบอลกระชับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ได้เริ่มต้นขึ้น ต่อหน้าผู้เข้าชมกว่า 2 หมื่นคนเต็มความจุของสนาม ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด สำหรับผู้เล่น 11 คน ตัวจริงของทีมสีแดง ประกอบด้วย สมเด็จฮุนเซน ซึ่งสวมเสื้อหมายเลข 9 สวมปลอกแขนกัปตันทีม มีผู้เล่นฝ่ายไทย 6 คนผสมกัมพูชา 5 คน อาทิ จอมพลซาวสุคา รอง ผบ.สส. นายจุติมา ผู้ว่าการกรุงพนญเปญ นายอารี ไกรนรา นายจตุพร พรหมพันธุ์  นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายพายัพ ปั้นเกตุ เป็นต้น
  
ส่วนทีมสีฟ้ามีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สวมเสื้อหมายเลข 9 และปลอกแขนเป็นกัปตันทีม มีผู้เล่นกัมพูชา 6 คนผสมกับไทย 5 คน เช่นกัน อาทิ นายเฮง สัมริน ประธานวุฒิสภากัมพูชา พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรรัตน์ นายวรชัย เหมะ นายยศวริศ ชูกล่อม เป็นต้น อย่างไรก็ตามการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรครั้งนี้แกนนำเสื้อแดงเดินทางมาร่วมพร้อมเพียง รวมถึงนางดารุณี กฤตบุญญาลัย แนวร่วม นปช.ยกเว้นเพียงนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และนายจักรภพ เพ็ญแข ที่ไม่ได้เข้าร่วม
  
ทั้งนี้ นายสมชาย กล่าวเปิดการแข่งขันว่า ในนามของพี่น้องประชาชนไทยขอขอบคุณที่ได้รับเชิญจากสมเด็จฮุนเซนและชาวกัมพูชาในการแข่งขันฟุตบอลครั้งนี้ เป็นการยืนยันถึงมิตรภาพของพี่น้องชาวกัมพูชาและชาวไทยยังแนบแน่นตลอดมา และขอนำความปรารถนาดีจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย มายังสมเด็จฮุนเซนและพี่น้องชาวกัมพูชาที่ได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นในโอกาสที่ไม่นานนักจะขอกราบเรียนเชิญสมเด็จฮุนเซนและพี่น้องชาวกัมพูชาไปเยือนประเทศไทย
  
จากนั้นสมเด็จฮุนเซน กล่าวว่า ฝันร้ายในช่วงหนึ่งของยุครัฐบาลไทยและกัมพูชาหมดไปแล้ว การแข่งขันฟุตบอลครั้งนี้จะเป็นสารส่งไปถึงที่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนไทยและทหารไทย ขอยืนยันว่าขณะนี้ความสัมพันธ์ไทยและกัมพูชาได้เปลี่ยนแปลงจากสนามรบเป็นสนามการค้าขายแลกเปลี่ยนกัน การเปลี่ยนแปลงจากเสียงปลายกระบอกปืนเป็นเสียงดนตรีที่สัมพันธ์ดีต่อกัน และการแข่งขันนี้ยังเป็นพยานถึงสัญญาณที่ดีระหว่างสองประเทศ  
  
สำหรับการแข่งขันจบลงด้วยทีมสีแดงเอาชนะไปด้วยสกอร์ 10 ประตู ต่อ 7 ทั้งนี้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์ก่อนการแข่งขันว่า การแข่งขันวันนี้ไม่ได้หวังผลแพ้หรือชนะกี่ลูก เพราะเป็นนัดมิตรภาพถ้าแพ้ก็แพ้ทั้งคู่ ชนะก็ชนะทั้งคู่ ส่วนนายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำกลุ่ม นปช. ซึ่งเดินทางมาร่วมชมการแข่งขัน กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เมื่อช่วงคืนวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำ นปช.ได้เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญและใช้โอกาสพบปะพูดคุยกับพี่น้องคนเสื้อแดง แต่การแข่งขันฟุตบอลวันนี้นายอริสมันต์ไม่ได้มาร่วมเพราะไม่ต้องการให้เป็นข่าว
  
ด้านนางดารุณี กฤตบุญญาลัย แนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวว่า ต้นเดือน ต.ค.นี้ตนจะเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อต่อสู้คดีซึ่งคิดว่ากระบวนการยุติธรรมคงพอมีความเป็นธรรมกับตนเองอยู่บ้างและหวังกลับเมืองไทยแล้วยืนยันที่จะเคลื่อนไหวร่วมกับพี่น้องมวลชนต่อไป เพราะที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ทุกคนต่างก็มีความมุ่งหวังเดียวกันคือทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
  
ส่วน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ ภายหลังจากการไปเยือนประเทศกัมพูชาอย่างเป็นทางการว่า ในการหารือกันนอกรอบระหว่างตนกับ พล.อ.เตีย บันห์ รมว.กลาโหมกัมพูชา เห็นว่าควรทำตามมติของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อให้ปัญหาคลี่คลาย ประชาชนทั้งสองประเทศมีชีวิตที่ดี มีการพัฒนาในด้านท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ทั้งนี้เราจะต้องเร่งประชุมให้ได้ก่อน 21 พ.ย. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีมติให้ปรับกำลังทหาร โดยมีการหารือกันว่าจะปรับจากทหารเป็นตำรวจ และในพื้นที่ดังกล่าวจะปลอดจากอาวุธสงคราม ให้มีได้แค่อาวุธประจำกายขนาดเล็กเท่านั้น และเห็นว่าควรมีประเทศอินโดนีเซียเป็นตัวแทนสังเกตการณ์ ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ มอบให้กองเลขานุการของสองประเทศไปกำหนดกรอบการประชุมมา
  
ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีนายอัษฎา ชัยนาม อดีตประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา ระบุว่าถูกปรับเปลี่ยนเพราะไม่ใช่คนของพรรคเพื่อไทยว่า ที่จริงตำแหน่งประธานเจบีซีต้องเป็นรมช.ต่างประเทศ และเมื่อมีรัฐบาลใหม่ตนก็มีสิทธิที่จะเลือกประธานเจบีซีคนใหม่ ส่วนการเลือกนายบัณฑิต โสตถิพลาฤทธิ์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยนั้น ได้มีการปรึกษาหารือกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศแล้ว
  
“แม้ทูตอัษฎาจะเป็นผู้มีความรู้ แต่ถ้าท่านทำสำเร็จ ก็คงทำได้ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมาแล้ว ผมเห็นว่าทูตบัณฑิตเป็นผู้ที่มีความรู้ และมีความสัมพันธ์กับกัมพูชาเป็นอย่างดี ก็น่าจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ ในฐานะคนทำงานผมก็ต้องขอโอกาสให้คนใหม่เข้ามาทำดูและให้พวกผมทำงานบ้าง ฝ่ายค้านก็อย่ามากล่าวหาหรือว่ากันเลยว่าเปลี่ยนคนนั้นคนนี้ เพราะในทางการเมืองตอนที่ท่านทำงานท่านก็เปลี่ยนเหมือนกัน รัฐบาลใหม่ก็อยากทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่ไปซ้ำรอยเดิม” นายสุรพงษ์ กล่าว
    
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ระบุว่าได้หารือสมเด็จฮุนเซน เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนนักโทษระหว่างไทยกับกัมพูชาว่า เบื้องต้นกระทรวงยุติธรรมยังไม่ได้รับการประสานอย่างเป็นทางการ แต่ในวันจันทร์ที่ 26 ก.ย. นี้ ตนจะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบว่าในการดำเนินการเรื่องดังกล่าวนั้นมีหลักเกณฑ์หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ การแลกเปลี่ยนนักโทษระหว่างไทยและกัมพูชาเคยมีข้อตกลงกันอยู่ แต่ต้องไปดูว่าในหลักการมีรายละเอียดอย่างไร รวมถึงนำกรณีที่เคยมีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันมาเป็นกรณีเทียบเคียงด้วย
  
ทางด้าน นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า พฤติกรรมที่สมเด็จฮุนเซนได้ทำมาตลอด โดยเฉพาะช่วงเวลารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นการแทรกแซงกิจการภายใน และถือหางกลุ่มการเมืองอีกฝ่ายหรือไม่นั้น ตนอยากให้สมเด็จฮุนเซนได้ไปดูกฎบัตรอาเซียนและปฏิบัติตามด้วย ทั้งนี้ ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลของสมเด็จฮุนเซน ที่จะคบหากับคนไทย โดยเฉพาะกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือบางคนที่มีข้อหาคดีอาญา แต่ก็อยากให้กลับไปอ่านกฎบัตรของอาเซียนว่า ผู้นำประเทศต้องเคารพซึ่งกฎหมายเป็นสำคัญ การคบโจรเป็นสิ่งที่ผู้นำของประเทศ ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนพึงกระทำหรือไม่ เพราะเป็นการสร้างความเจ็บปวดให้กับประชาชนคนไทย เป็นการไม่เคารพกฎเกณฑ์ เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย อยากให้สมเด็จฮุนเซนได้ปรับตัวเสียใหม่ด้วย
  
“การที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งมาเป็นรัฐบาล การเตะบอล หรือการเชิญอดีตนายกฯ ไปกล่าวสุนทรพจน์ ให้คำแนะนำว่าจะพัฒนาระบบเศรษฐกิจอย่างไร ทั้งหมดไม่ได้นำไปสู่การจะได้มาโดยมิชอบเป็นอันขาด การจะให้ได้พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรไปฟรี ๆ หรือสามารถดำเนินการทำแผนบริหารจัดการตามกฎเกณฑ์ของคณะกรรมการมรดกโลก ในส่วนที่เกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร จะทำโดยไม่มีความสะเทือนต่อสังคมไทยคงเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่าญาติดีกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ หรือ พ.ต.ท.ทักษิณแล้วจะได้พื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวตามความปรารถนา เพราะในรัฐสภาเรามีฝ่ายค้าน นอกสภาก็มีประชาชนชาวไทยอีกกว่า 60 ล้านคน รัฐบาลใดก็แล้วแต่ไม่สามารถทำตามอำเภอใจ รวมทั้งไม่สามารถเอาดินแดนไทยไปมอบให้สมเด็จฮุนเซนได้ ทรัพย์สมบัติของประเทศไทยก็เป็นของคนไทย ไม่ใช่เป็นทรัพย์สมบัติของสองครอบครัวที่จะมาปู้ยี่ปู้ยำกันได้ ผมจะไม่ยอมให้ทรัพย์สมบัติของประเทศชาติสูญหายเป็นอันขาด” นายกษิต กล่าว
  
ที่บช.น. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีชันสูตร 13 ศพ จากการสลายการชุมนุม ได้เรียกประชุมชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนที่ห้องประชุมปารุสกวัน 1 ประกอบด้วย พล.ต.ต.สำเริง สุวรรณพงษ์ ผบก.ประจำ บช.น. ผู้ช่วยหัวหน้าพนักงานสอบสวนฯ พร้อมทั้งชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนจำนวน 44 นาย มีรายงานว่าในที่ประชุมได้แบ่งชุดทำงานเป็น 6 ชุด โดยตามเขต สน.ซึ่งเป็นจุดที่พบศพ มี 3 บก. คือ บก.น.1 มอบหมายให้ พ.ต.อ.วิชาญญ์วัชร บริรักษ์กุล รอง ผบก.น.1 เป็นหัวหน้า บก.น.5 มอบหมายให้ พ.ต.อ.สุคุณ พรหมายน รอง ผบก.น.5 เป็นหัวหน้า บก.น.6 มอบหมายให้ พ.ต.อ.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ รอง ผบก.น.6 เป็นหัวหน้า
  
นอกจากนี้ยังมีชุดคณะสืบสวนสอบสวนชุดพิเศษ มีหน้าที่คอยเสริมการทำงาน แก้ไข และประสานงาน มอบหมายให้ พ.ต.อ.วัลลภ ประทุมเมือง รอง ผบก.น.9 เป็นหัวหน้าชุดฝ่ายสนับสนุนด้านการสืบสวน มอบหมายให้ พ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา รอง ผบก.สส. เป็นหัวหน้า และชุดฝ่ายสนับสนุนด้านเทคโนโลยี มอบหมายให้ พ.ต.อ.สุกิจ อรุณฤกษ์ถวิล ผกก.ฝอ.8 บก.อก.บช.น. เป็นหัวหน้า โดยใช้เวลาประชุมนาน 1 ชั่วโมงครึ่ง
  
พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวว่า ได้เรียกประชุมคณะสืบสวนสอบสวนเพื่อพิจารณาสำนวน 13 ศพ เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษส่งสำนวนให้ บช.น.ดำเนินการ ตาม ป.วิอาญามาตรา 150 วรรค 3 หลังรายงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากนั้นได้รับมอบหมายให้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนขึ้นมารับผิดชอบเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยจะมีการกำหนดกรอบแนวทางการปฏิบัติและการแบ่งงาน รวมทั้งร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อให้ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว บริสุทธิ์ และเป็นธรรม
  
“ตามกฎหมายการสอบสวนสำนวนชันสูตรพลิกศพได้กำหนดกรอบระยะเวลาการทำงานในแต่ละคดีไว้ว่า จะต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานทราบเรื่อง แต่เรื่องนี้ได้ผ่านพ้นมาเป็นระยะเวลานานแล้วและเป็นกรณีที่สอบสวนชันสูตรพลิกศพตาม ป.วิอาญามาตรา 150 วรรคแรก เพราะตอนนั้นยังไม่พบว่าการตายเกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงาน คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนก็จะเริ่มนับหนึ่งในวันที่ 19 ก.ย.วันที่กรมสอบสวนคดีพิเศษส่งสำนวนมาให้ สำหรับภารกิจของคณะสืบสวนสอบสวนชุดนี้ มีหน้าที่สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้ความว่า ผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน ตายอย่างไร ใครเป็นคนทำให้ตาย ภารกิจจะเสร็จสิ้นเมื่อส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ จากนั้นพนักงานอัยการก็จะส่งสำนวนให้ศาลไต่สวนการตาย เราคงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการที่จะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องใคร” พล.ต.ต.อนุชัย กล่าว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘ปลัดวัฒนธรรม’ชงนายกฯแก้ปัญหาชาวเล ‘NGOsมาเลย์’ ลั่นไทยแก้ไม่ได้-ยกสู่‘อาเซียน’

Posted: 25 Sep 2011 12:17 AM PDT

“ปลัด ก.วัฒนธรรม”ชงนายกฯ แก้ปัญหาชาวเล เสนอ อบจ.5 จังหวัดอันดามันร่วมแก้  “NGOsมาเลย์” ลั่นหากรัฐไทยแก้ไม่ได้-ยกระดับสู่‘อาเซียน’ พร้อมนำเรื่องปรึกษารัฐบาล รีสอร์ทสร้างทับสุสานฝังศพ 15 แห่ง ส.ส.ภูเก็ตเสนอองค์กรท้องถิ่นลงขันซื้อที่ให้เช่า แนะรัฐควรออกโฉนดชุมชน

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 25554 ที่หาดราไวย์ ตำบลราไวย์ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต คณะทำงานเครือข่ายชุมชนชาวเล  เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิและสิทธิชุมชน ร่วมกับองค์ภาคี จัดงานวันรวมญาติชาติพันธุ์ชาวเล ครั้งที่ 2 โดยมีชาวเล ประกอบด้วยกลุ่มชาวมอแกน มอแกลน และอุรักลาโว้ย จาก 5 จังหวัดฝั่งทะเลอันดามัน คือสตูล พังงา ระนอง กระบี่ ภูเก็ต อีกทั้งยังมีกลุ่มชาวไทยพลัดถิ่น ชาวบ้านจากเครือข่ายสิทธิชุมชนเขาคูหา อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา เครือข่ายชุมชนสวนยางด่านนอก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา  และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงานประมาณ 1,500 คน

นายสนิท แซ่ซิ่ว ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล กล่าวรายงานว่า ปัจจุบันชุมชนชาวเล 5 จังหวัด จำนวน 41 ชุมชน 2,758 หลังคาเรือน 17,489 คน ประสบปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ทำกินกับทางภาครัฐจากการประกาศพื้นที่เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ และนักธุรกิจเอกชนสร้างรีสอร์ท บ้านพัก ตอนนี้มีชาวบ้านถูกดำเนินคดี 663 คน และมีการออกเอกสารสิทธิ์ และสร้างอาคารสถานที่ทับสุสานฝังศพถึง 15 แห่ง

เวลาประมาณ 14.00 น.มีเสวนาหัวข้อ ย้อนมอง 1 ปี มติครม.ชาวเล :ความจริงกับนโยบาย ดำเนินรายการโดยมีนางสาวณาตยา แวววีรคุปต์

นายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยในวงเสวนาว่า ในวันที่ 29 กันยายน 2554 นี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจะเรียกประชุมกระทรวงต่างๆ ตนจะเสนอให้นายกรัฐมนตี เห็นชอบหลักการแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 2 มิถุนายน 2553 จะเสนอให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล หรืออาจจะแต่งตั้งรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นประธานฯเพื่อให้มีการแก้ปัญหาของชาวเลอย่างจริงจัง จากเดิมที่รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานฯ

“นอกจากมีคณะกรรมการแก้ไขปัญหาชาวเลในระดับประเทศแล้ว ควรมีคณะกรรมการในระดับจังหวัด และคณะกรรมการในระดับท้องถิ่น ตนมีความเห็นว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะใหนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ 5 จังหวัดที่มีกลุ่มชาวเล ร่วมกันแก้ไขปัญหาร่วมกันจะได้หรือไม่ อย่างไร” นายสมชาย กล่าว

นายเรวัต อารีรอบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 2 จังหวัดภูเก็ต เสนอว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ทางองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกันลงงบประมาณซื้อที่ดินที่เป็นของเอกชน ให้ชาวเลเช่า ส่วนที่ดินที่เป็นของรัฐให้ออกเป็นโฉนดชุมชน

Ustaz Abdul Wahab B. Ahmad จากองค์กร Muhammadiyah International ซึ่งเป็นองค์กรเรียกร้องสิทธิมนุษยชนของชาวเลจากมาเลเซีย และอินโดเนเซีย กล่าวในวงเสวนาว่า ถ้าหากว่ารัฐบาลไทยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับชาวเลไม่ได้ ตนจะนำเรื่องนี้ยกระดับผลักดันในระดับอาเซียน กลับไปตนจะนำปัญหาเกี่ยวกับชาวเลในประเทศไทยไปปรึกษากับทางรัฐบาลมาเลเซีย เพื่อแก้ไขปัญหาของพี่น้องชาวเล
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น