โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

เริ่มแล้ว! สืบพยานคดี ‘ลุง SMS’ ส่งข้อความเข้าข่ายหมิ่นให้เลขาฯ อภิสิทธิ์

Posted: 23 Sep 2011 05:01 AM PDT


ภาพจากเฟซบุ๊ก ป๋าจอมตั๊ปฯ

 

23 ก.ย.54 เวลาประมาณ 10.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ ห้องพิจารณาคดี 801 มีการสืบพยานในคดีที่อัยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา7 สำนักงานอัยการสูงสุด ฟ้อง นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 61 ปี เป็นจำเลย ในความผิดตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา และ มาตรา 14(2), (3) จากกรณีที่จำเลยถูกกล่าวหาว่า ส่งข้อความสั้น (SMS) เข้าข่ายหมิ่นไปยังโทรศัพท์มือถือของเลขานุการส่วนตัวนายกฯ รัฐมนตรี 4 ครั้ง ในช่วงเดือนพ.ค.53

โดยในวันนี้เป็นสืบพยานโจกท์ คือ นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.ศักดิ์ชัย ไกรวีระเดชาชัย จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมผู้จับกุมจำเลย

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศในห้องพิจารณาคดีว่า มีผู้สนใจเข้าร่วมฟังการสืบพยานราว 20 คนจนเต็มห้องประชุม รวมทั้งครอบครัวของจำเลย ซึ่งประกอบด้วยภรรยา บุตรสาว และหลานของจำเลยจำนวน 5 คน อายุตั้งแต่ 5-11 ปี ซึ่งทั้งตอนเข้าและออกจากห้องพิจารณาคดี จำเลยและหลานๆ ได้เข้าสวมกอดกันและพากันร่ำไห้

เลขานุการส่วนตัวอดีตนายกฯ เบิกความว่า มีการส่ง SMS ข้อความที่เข้าข่ายหมิ่นพระมหากษัตริย์และพระราชินี 4 ครั้งในช่วงเดือน พ.ค.53 ตนจึงถ่ายภพาหน้าจอเก็บไว้ทุกครั้งและแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ร.ต.อ.ศักดิ์ เบิกความว่า ได้เดินทางไปรับเรื่องร้องทุกข์จากนายสมเกียรติที่ทำเนียบรัฐบาล และสืบทราบจากหมายเลข EMEI (อีมี่) เครื่องโทรศัพท์ ผ่านการตรวจสอบข้อมูลจากบริษัทผู้ให้บริการทั้ง 3 เครือข่ายคือ ทรู ดีแทค และเอไอเอส จากนั้นจึงตรวจสอบอีกว่าเครื่องดังกล่าวโทรติดต่อกับเครื่องใดอีกหรือไม่ จนทราบจากบริษัททรูและดีแทคว่า มีการโทรหาปลายทางที่เป็นโทรศัพท์ในระบบจดทะเบียน สืบทราบว่าเป็นลูกสาวของจำเลย จึงเรียกลูกสาวจำเลยมาให้การ และลูกสาวจำเลยแจ้งว่าหมายเลขดังกล่าวเป็นหมายเลขของพ่อตนเอง

ขณะที่นางรสมาลิน (ขอสงวนนามสกุล) ภรรยาของจำเลย ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวก่อนจะมีการพิจารณาคดีว่า เจ้าหน้าที่ตำวจได้เรียกตัวลูกสาวของจำเลยไปให้การ โดยอ้างว่าเธอมีส่วนเกี่ยวพันกับคดีค้ายาเสพติด หลังจากให้ข้อมูลแล้วจึงแจ้งว่าได้ถอนคดียาเสพติดไปแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การสืบพยานเสร็จสิ้นในครึ่งวันเช้า และจะมีการสืบพยานอีกในวันที่ 27-29 ก.ย.นี้ โดยในวันที่ 27-28 ก.ย.จะเป็นการสืบพยานโจทก์และ 29 ก.ย.จะเป็นการสืบพยานจำเลย

ทั้งนี้ นายอำพล ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 3 ส.ค.53 ที่ห้องเช่า และคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จนได้ประกันตัวเมื่อวันที่ 4 ต.ค.53 กระทั่งเมื่ออัยการส่งฟ้อง จึงถูกคุมตัวยังเรือนจำเดิมอีกครั้งเมื่อวันที่ 18 ม.ค.54 ทนายยื่นประกันตัวหลายครั้งแต่ได้รับการปฏิเสธ ทำให้จำเลยยังถูกขังอยู่จนปัจจุบัน โดยมีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งช่องปาก

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ภาระรับผิดของตัวกลาง: คำถามที่ต้องการความชัดเจน

Posted: 23 Sep 2011 03:21 AM PDT

ความเปลี่ยนแปลงของการสื่อสารที่เราเห็นว่าอินเทอร์เน็ตเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกจนน่าตกใจนั้น ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในยุคของอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ช่วงปีคริสตศักราช 1440 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของยุคโรงพิมพ์ (printing press) ก็นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โรงพิมพ์และสิ่งพิมพ์นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ทั้งด้านเทคโนโลยี, สังคม, ศาสนา, และเศรษฐกิจ ความเปลี่ยนแปลงนี้นำยุโรปออกจากยุคมืด ระดับความรู้หนังสือของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด นำมิติใหม่ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสิทธิมนุษยชนที่เพิ่มขึ้นสู่ประชากรยุโรป

พร้อมๆ กับคุณประโยชน์ของเสรีภาพในการสื่อสารที่เพิ่มขึ้น โทษของการสื่อสารทั้งในแง่ของรัฐที่กลัวคำวิจารณ์ หรือข้อเขียนที่ดูหมิ่นตัวบุคคลจนเกินเลยเสรีภาพก็เกิดขึ้นได้เสมอๆ กลไกการหาตัวผู้รับผิดชอบจึงพัฒนาขึ้นมาไล่ๆ กัน อย่างที่ทุกวันนี้เวลาที่เราอ่านหนังสือเราอาจจะสังเกตว่าหนังสือต้องมีชื่อและสถานที่พิมพ์ พร้อมกับคนรับผิดชอบในการตรวจสอบข้อความนั้นๆ ไว้ก่อนเสมอ และเมื่อเกิดเหตุที่ข้อความใดๆ ในหนังสือมีปัญหาทางกฎหมาย ผู้รับผิดชอบนั้นๆ ก็อาจจะถูกดำเนินคดีหรือต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เพื่อหาตัวผู้ประพันธ์มารับผิดต่อไป

ถ้าเรามองย้อนกลับไปเพียงไม่กี่ปี เราจะเห็นว่าอินเทอร์เน็ตกำลังก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง การสื่อสารที่มากขึ้นกำลังก่อให้เกิดการวิจารณ์ต่อเรื่องต่างๆ ในวงกว้าง การพูดคุยการตรวจสอบกำลังเกิดขึ้นทั่วไป

แต่ไม่มีสิ่งใดมีแต่ด้านดีเพียงด้านเดียว อินเทอร์เน็ตเองก็สร้างปัญหาจากเนื้อหาและข้อความขึ้นจำนวนมาก ข้อมูลให้ร้ายต่อกัน หรือการนำข้อมูลส่วนตัวมาเปิดเผยในที่สาธารณะสร้างความเสียหายต่อตัวบุคคลเกิดขึ้นเรื่อยๆ ในอินเทอร์เน็ตทั่วโลก แม้แต่ในไทยเองที่ผู้ใช้ยังไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ

เรื่องเหล่านี้มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อเรามีบริการใหม่ๆ ที่ใช้งานสะดวกขึ้นเช่น เครือข่ายสังคมออนไลน์ (social network) ที่ทุกอย่างเผยแพร่ไปเร็วกว่าเมื่อครั้งที่เราใช้เว็บบอร์ดหรืออีเมลเป็นหลักในอินเทอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ตจึงไม่ควรเป็นดินแดนไร้กฎหมาย ไร้การควบคุมที่ทุกคนจะทำอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ เราทุกคนเองควรได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายเพื่อไม่ให้ใครสามารถเข้ามาใส่ร้าย หรือนำเรื่องส่วนตัวมาเปิดเผย

คำถามสำคัญที่เราควรคิดกันก็คือ ภายใต้ความควบคุมเหล่านั้น เราต้องการทำให้เกิดอะไรขึ้นกับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย? เราต้องการอินเทอร์เน็ตที่มีเพียงข้อมูลที่คัดกรองแล้วว่าดีงาม เราต้องการการจำกัดการแบบทันทีเช่นที่ทุกวันนี้เราใช้บริการ Twitter, WhatsApp, หรือ Facebook กันหรือไม่

สิ่งที่เราควรตระหนักคืออินเทอร์เน็ตไม่ใช่สิ่งพิมพ์ และผู้ให้บริการ หรือตัวกลาง (เช่น เว็บมาสเตอร์ Internet service provider: ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต) ก็ไม่ใช่ผู้พิมพ์ แม้สุดท้ายแล้วเราต้องการให้มีการควบคุมอินเทอร์เน็ตเพื่อให้ความคุ้มครองกันและกันของประชาชนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต แต่การหาทางออกง่ายๆ โดยการหาใครสักคนมาเป็นผู้รับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนอินเทอร์เน็ต เพียงเพราะว่า เป็นการยากที่ผู้รักษากฎหมายจะไปหาตัวผู้กระทำผิดตัวจริงมาลงโทษได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีทั้งต่อผู้เสียหายและต่อสังคมโดยรวม

ธรรมชาติของอินเทอร์เน็ตนับแต่วันที่มันถูกออกแบบมาคือการสื่อสารระหว่างกัน (point-to-point) โดยไม่มีศูนย์กลาง (decentralised) ทุกวันนี้เราใช้ความสามารถเช่นนี้โดยเราไม่รู้ตัวเสมอๆ เช่น Skype นั้นสามารถต่อสายโทรศัพท์ระหว่างคนสองคนได้โดยที่ไม่มีข้อมูลเสียงที่เราคุยกับปลายทางถูกส่งไปยังบริษัท Skype เองเลย แต่ Skype มีเพียงหน้าที่นัดแนะให้ปลายทางทั้งสองมาเชื่อมต่อกันเท่านั้น

ส่วนบริการที่มีศูนย์กลางเช่น Facebook, Twitter, หรือ Gmail นั้นก็มักเป็นบริการที่สามารถขยายตัวตามผู้ใช้ได้อย่างแทบไม่มีขีดจำกัด ระบบที่ใหญ่ รองรับผู้ใช้จำนวนมหาศาลไม่ได้หมายถึงจะต้องมีพนักงานจำนวนมากแต่อย่างใด บริการเช่น Facebook นั้นมีพนักงานทำงานอยู่ประมาณ 2,000 คนเท่านั้น เมื่อเทียบกับผู้ใช้บริการประมาณ 750 ล้านคน และมีจำนวนข้อความถูกส่งเข้าไปยังเซิร์ฟเวอร์วันละ 60 ล้านข้อความ

ด้วยธรรมชาติเช่นนี้ของอินเทอร์เน็ต การคาดหวังให้ผู้ให้บริการใดๆ รับรู้ข้อมูลทุกอย่างในตัวข้อความหรือในตัวบุคคลที่เป็นผู้ส่งข้อความระหว่างกันจึงเป็นไปไม่ได้ ยกเว้นว่าเราจะปฏิเสธบริการเช่นนี้ทั้งหมด แล้วมองอินเทอร์เน็ตให้กลายเป็นช่องทางการอ่านบทความของเว็บนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์โดยไม่สามารถให้ความเห็นใดๆ ในเว็บโดยตรงได้ แต่ต้องส่งอีเมลไปยังบรรณาธิการเพื่อคัดเลือกอีเมลมาตอบกันต่อไป

การเรียกร้องให้กฎหมายไม่คาดหวังให้ผู้ให้บริการต้องรับรู้ถึงข้อความทุกข้อความ ไม่ได้หมายความว่า ผู้ให้บริการต่างๆ จะไม่ต้องรับผิดชอบ จนอินเทอร์เน็ตกลายเป็นพื้นที่ไร้กฎหมาย แต่กฎหมายที่ดีและเข้าใจธรรมชาติของอินเทอร์เน็ตไม่ควรเรียกร้องจากผู้ให้บริการจนกระทั่งไม่สามารถให้บริการได้โดยไม่เสี่ยงต่อการถูกเอาผิด และจะทำให้ผู้ที่ไม่ใช่ผู้กระทำผิดตัวจริงเดือดร้อนไปด้วย

พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ที่ใช้อยู่ในทุกวันนี้ ถูกเขียนขึ้นโดยมีข้อสันนิษฐานที่ค่อนข้างแปลกแยกจากธรรมชาติของการสื่อสารระหว่างกันในอินเทอร์เน็ต ดูเหมือนมันถูกเขียนขึ้นโดยความพยายามควบคุมอินเทอร์เน็ตอย่างสุดขั้ว และเขียนเพื่อหาใครสักคนมารับผิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้จนได้ เช่น การเขียนความผิดให้กว้างขวางที่สุด อย่างการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) มีโทษสูงสุดคือ จำคุกห้าปี

เป็นประเด็นถกเถียงว่า มาตรา 14 (1) ซึ่งมีการเขียนมูลความผิดอย่างกว้างขวางเช่นนี้ มีเจตนารมณ์ดั้งเดิมคือ เพื่อเล่นงานการปลอมตัวในอินเทอร์เน็ต (phishing) เท่านั้นหรือไม่

เมื่อมีการใช้คำที่ครอบคลุมการกระทำกว้างขวางเช่นนี้แล้ว ก็ทำให้เกิดการฟ้องร้องจำนวนมาก และซ้ำซ้อนกับฐานความผิดที่มีอยู่แล้วในกฎหมายฉบับอื่น เช่น ความผิดฐานหมิ่นประมาท

หากจะตีความมาตรา 14 (1) อย่างตรงตัวแล้ว การเล่น April Fools (วันเมษาหน้าโง่) ในวันที่ 1 เมษายนของทุกปี นั้นอาจจะทำให้เว็บไซต์ระดับโลกอย่าง Google และ BBC, และอีกหลายสำนักข่าวต่างประเทศ ผิดกฎหมายไทย จนมีความผิดต้องโทษจำคุกสูงสุด 5 ปีตามมาตรา 14 (1) นี้กันไปหมด

แนวทางเช่นนี้ตามมาถึงมาตรา 15 ที่พูดถึงผู้ให้บริการที่ “จงใจสนับสนุนหรือยินยอม” ให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14 โดยไม่ระบุว่าการกระทำเช่นไรจึงจะเป็นการ “จงใจ” ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตตามบ้านอาจจะถูกลูกค้าส่งข้อมูลอันเป็นการกระทำความผิดต่อผู้อื่นเป็นเวลานาน ก็อาจจะเป็นความจงใจได้หากเราปล่อยให้มีการตีความกันเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเป็นผู้เสียหายเสียเอง

ผู้ให้บริการนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงผู้ให้บริการเว็บเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต, ผู้ให้บริการเซิร์ฟเวอร์, ตลอดจนผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูล หากแต่ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับปัจจุบันกลับไม่มีแนวทางชัดเจนว่าผู้ให้บริการแต่ละประเภทจะต้องทำอย่างไรจึงจะแสดงตัวว่า ไม่ได้จงใจสนับสนุนข้อมูลเหล่านี้ แต่เป็นเพียงการให้บริการตามปรกติวิสัย

การปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมชาติของอินเทอร์เน็ต ไม่ได้หมายถึงการยกเลิกการควบคุมทั้งหมด ไม่ได้หมายถึงอินเทอร์เน็ตที่จะไม่มีใครต้องรับผิดชอบอะไร หากแต่คือ การมีกฎระเบียบ ที่ทำให้ทุกคนรู้ถึงภาระรับผิดชอบของตัวเอง มีขอบเขตความรับผิดชอบที่ชัดเจน และตระหนักถึงความผิดหากไม่ทำตามความรับผิดชอบเหล่านั้น

ผมเชื่อว่า เราสามารถสนับสนุนให้มีกติกาที่ชัดเจนสำหรับผู้ให้บริการแต่ละประเภท โดยการออกกฎหมายลูก เพื่อจะได้มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนสำหรับผู้ให้บริการแต่ละประเภทต่อไป

ยกตัวอย่างเช่นกระบวนการขอลบเนื้อหาออกจากเว็บ ที่ทุกวันนี้กลับไม่มีกระบวนการใดๆ บอกได้ หากเรามีกฎที่ลงรายละเอียดแยกตามประเภทผู้ให้บริการ เราอาจจะมีกฎที่ผู้ให้บริการเว็บจะต้องลบเนื้อหาที่พาดพิงต่อบุคคลในทางร้าย เมื่อได้รับคำร้องขอจากผู้เสียหาย โดยจะต้องปิดการเข้าถึงในเวลาที่กำหนด ผู้ให้บริการอาจจะต้องส่งต่อข้อมูลติดต่อ (เช่นอีเมล) ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อมีการดำเนินคดี ฯลฯ รวมไปถึงเราอาจจะกำหนดให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตมีบริการค้นหาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกขโมยแล้วนำไปเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการ หรือโทรศัพท์ที่ถูกขโมยแล้วได้รับการแจ้งหมายเลขประจำเครื่องเอาไว้ กติกาเช่นนี้สามารถช่วยลดความยุ่งยากในการดำเนินคดี และช่วยลดอาชญากรรมได้ แต่กลับไม่มีการระบุไว้ในหน้าที่ของผู้ให้บริการแต่อย่างใดในทุกวันนี้

ผู้ออกกฎหมายไม่ควรคิดแต่ว่า กฎหมายที่ออกไปนั้นช่วยทำให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้ง่ายหรือไม่ แต่ยังควรมองในแง่การคุ้มครองผู้เกี่ยวข้อง ผู้ให้บริการ ต้องมีช่องทางให้ผู้รับบริการอย่างสะดวกเมื่อผู้รับบริการต้องการ ตัวอย่างเช่น การกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องแสดงจุดติดต่อ เช่น อีเมล หรือหมายเลขโทรศัพท์อย่างเป็นมาตรฐาน ผู้ให้บริการเซิร์ฟเวอร์อาจจะต้องมีศูนย์แจ้งว่าหมายเลขไอพีใดควรติดต่อผู้ดูแลได้ผ่านทางช่องทางใด หากถูกโจมตีจากหมายเลขไอพีใดๆ ผู้เสียหายควรมีช่องทางติดต่อกับผู้ให้บริการหมายเลขไอพีนั้นๆ เพื่อแจ้งการโจมตีและขอให้ปิดบริการได้

เมื่อเราถูกละเมิดเล็กๆ น้อยๆ แทนที่เราจะต้องไปขึ้นดำเนินคดีซึ่งบางครั้งไม่คุ้มค่ากับผู้เสียหายเอง หากผู้รับบริการสามารถติดต่อผู้ให้บริการได้อย่างรวดเร็ว ด้วยกฎเกณฑ์ที่กำหนดให้ผู้ให้บริการต้องตอบสนองต่อเรื่องร้องเรียนต่างๆ อย่างรวดเร็ว และสามารถแก้ไขต่อการละเมิดนั้นได้อาจจะเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายมากกว่า

หากเป็นการละเมิดตัวบุคคลอาจจะต้องปิดการเข้าถึงข้อมูลภายในเวลาที่กำหนดหลังได้รับแจ้งแม้จะยังไม่มีการแจ้งความ หากเป็นกรณีที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นความผิดหรือไม่ เราอาจจะตั้งกฎให้ผู้ให้บริการต้องปิดการเข้าถึงเป็นช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่ผู้เสียหายจะไปดำเนินคดีและอาศัยอำนาจเจ้าหน้าที่เพื่อขอให้ปิดการเข้าถึง หรือคงข้อมูลบันทึกการเข้าถึง (log) ของผู้ใช้นั้นๆ เอาไว้แม้การดำเนินการจะใช้เวลานานจนคำสั่งมาถึงเมื่อเลยเวลาที่กฎหมายกำหนดไปแล้ว

ผมมีความเชื่อว่าเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งนำไปสู่การตรวจสอบ, การถกเถียง, และการวิจารณ์นั้น สามารถอยู่ร่วมกับการรับผิดชอบ และการคุ้มครองสิทธิของทุกคนในสังคมที่อยู่ร่วมกันได้ เราสามารถสร้างกฎที่ไม่ทำให้เกิดความกลัวอย่างไม่จำเป็น แต่แก้ปัญหาและคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน โดยยังเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยและวิจารณ์อันเป็นส่วนสำคัญต่อสังคมประชาธิปไตยได้หากเราออกแบบกฎอย่างดีพอ

 

 

* วสันต์ ลิ่วลมไพศาล หรือ "lewcpe" เป็นผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Blognone ซึ่งนำเสนอสรุปข่าวด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก เว็บไซต์ดังกล่าวเปิดให้ผู้อ่านทุกคนสามารถร่วมเป็นผู้เขียนข่าวได้ด้วย วสันต์จบการศึกษาด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความเชี่ยวชาญด้านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เครือข่ายไร้สายแบบเมซ และเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (ข้อมูลจากฐานข้อมูลวิจัยไทยและ Blognone)


ที่มา:  http://thainetizen.org/node/2689

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ความเชื่อสั่นคลอน! นักวิทยาศาสตร์พบอนุภาคที่เดินทางเร็วกว่าแสง

Posted: 23 Sep 2011 02:09 AM PDT

นักวิทยาศาสตร์ของ CERN ประกาศพบอนุภาคอะตอมย่อย ที่เดินทางได้เร็วกว่าแสง โดยใช้เวลาที่น้อยกว่าแสงอยู่ 60 นาโนวินาที

พ.ศ.2448 (1905) อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ได้เขียนทฤษฎีสัมพัทธภาพอันโด่งดังขึ้นมา โดยใจความหนึ่งของทฤษฎีระบุว่า ความเร็วแสงเป็นความเร็วสูงสุด ไม่มีสิ่งใดสามารถเดินทางได้เร็วกว่านี้อีกแล้ว ซึ่งนี่ถือแนวคิดสำคัญที่ทำให้เกิดการวางรากฐานฟิสิกส์ยุคใหม่ จนเกิดทฤษฎีต่างๆ ออกมามากมายเช่น ทฤษฎีควอนตัม ทฤษฎีสตริง ไปจนถึงทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง

ล่าสุด (22 ก.ย.54) นักวิทยาศาสตร์ของ CERN ที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ได้ออกมาประกาศว่า มีการตรวจพบอนุภาคอะตอมย่อย (subatomic particle: อนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม เช่น ควาร์ก อิเล็กตรอน นิวตริโน โบซอน) ที่เดินทางได้เร็วกว่าแสง โดยสังเกตจากนิวตริโนที่ถูกยิงออกจากเครื่องเร่งอนุภาคใกล้กรุงเจนีวา ได้เดินทางไปถึงห้องทดลองในอิตาลีที่ห่างออกไป 730 กิโลเมตร โดยใช้เวลาที่น้อยกว่าแสงอยู่ 60 นาโนวินาที จากที่แสงควรจะทำได้ในเวลา 2.4 มิลลิวินาที

ขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ที่กรุงเจนีวากำลังขอให้มีการทดลองซ้ำจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง


-----------------------------------------------

ที่มา: ความเชื่อสั่นคลอน! นักวิทยาศาสตร์พบอนุภาคที่เดินทางได้เร็วกว่าแสง, โดย neizod, http://jusci.net
สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์ เวอร์ชัน 3.0

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชาวไทใหญ่นั​บพันร่วมงา​นศพนายแสงจื้​น

Posted: 23 Sep 2011 01:46 AM PDT

เมื่อวันพฤหัสบดี (22 กันยายน) ที่ผ่านมา ชาวไทใหญ่หลายพันคนร่วมงานฌาปนกิจศพนายแสงจื้นหรือซะคะฮะ รองบรรณาธิการสำนักข่าวฉาน (SHAN) หรือที่รู้จักกันในฐานะนักแต่งเพลง นักวรรณกรรม นักร้องและนักต่อสู้เพื่ออิสรภาพของรัฐฉาน ขณะที่นักร้องชื่อดังชาวไทใหญ่และญาติพี่น้องที่อยู่ในพม่า รวมไปถึงแฟนเพลงที่อยู่ในต่างประเทศได้ร่วมกันทำบุญอุทิศส่วนกุศลและไว้ อาลัยให้กับนายแสงจื้นด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้นายแสงจื้นได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งตับที่โรงพยาบาลสวนดอกตั้งแต่เมื่อ วันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมาและมีการตั้งศพสวดพระอภิธรรมที่วัดป่าเป้าต.ศรีภูมิอ.เมือง จ.เชียงใหม่เป็นเวลา 7 วัน โดยบรรยากาศงานศพของนายแสงจื้นตลอดทั้ง7 วันที่ผ่านมา มีญาติมิตร เพื่อนพ้องและลูกศิษย์ รวมไปถึงแฟนเพลงของนายแสงจื้นมาร่วมงานศพที่วัดป่าเป้าอย่างคับคั่ง โดยทุกคืนหลังจากมีการสวดพระอภิธรรมศพเสร็จ จะมีสมาชิกของวงเจิงแลวและนักดนตรีชาวไทใหญ่วงอื่นๆ (วงเจิงแลว - Freedom’s Way Band เป็นวงดนตรีเพื่อชีวิตของชาวไทใหญ่ ซึ่งเป็นวงดนตรีที่นายแสงจื้นเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง) ได้จัดแสดงคอนเสิน์ตและร้องเพลงของนายแสงจื้นเพื่อเป็นการไว้อาลัย

ส่วนบรรยากาศงานศพของนายแสงจื้นเมื่อวานนี้(22 กันยายน) ในช่วงเช้ามีการประกอบพิธีทางศาสนาและตามประเพณีของชาวไทใหญ่ ก่อนที่ในช่วงบ่ายจะมีการนำร่างของนายแสงจื้นไปยังสุสานสันกู่เหล็ก ต.วัดเกตุ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยโลงศพของนายแสงจื้นมีธงชาติของไทใหญ่คลุมไว้และมีชายแต่งชุดไทใหญ่คอยทำ หน้าที่แบกโลงศพนายแสงจื้นอย่างพร้อมเพรียง และก่อนที่จะมีการประกอบพิธีฌาปนกิจได้มีบุคคลสำคัญของชาวไทใหญ่หลายคนอย่างอาจารย์คืนใสใจเย็น บรรณาธิการสำนักข่าวฉาน รวมไปถึงตัวแทนจากกองทัพรัฐฉาน(Shan State Army – SSA) ตัวแทนจากพรรคประชาธิปไตยแห่งชาติไทใหญ่(Shan National Democracy Party -SNDP) ได้กล่าวแสดงความเสียใจและไว้อาลัยให้กับนายแสงจื้น

นอกจากนี้ยังมีการอ่านบทกลอนไว้อาลัยแก่นายแสงจื้น และให้แขกที่มางานร่วมร้องเพลงไทใหญ่ที่ชื่อว่า “ลุย”(ซึ่งแปลว่า ว่าย) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทเพลงที่มีชื่อเสียงที่นายแสงจื้นได้แต่งไว้ ซึ่งในเนื้อเพลงมีความหมายว่า ไม่ว่าจะเจออุปสรรคและยากลำบากแค่ไหนก็จะอดทนไม่ยอมแพ้ และพร้อมจะก้าวผ่านอุปสรรคทั้งหลายเหล่านั้นเพื่อให้ถึงยังจุดมุ่งหมายที่ ตั้งไว้ ขณะที่ระหว่างประกอบพิธีฌาปนกิจ บรรยากาศเป็นไปอย่างเศร้าสลด นายแสงจื้นเป็นที่รู้จักกันดีไม่เพียงแต่ในฐานะนักเขียนและนักต่อสู้เพื่อ อิสรภาพของรัฐฉานเท่านั้น แต่เขายังเป็นที่รู้จักในฐานะนักแต่งเพลงและนักร้องไทใหญ่ชื่อดังแห่งวง เจิงแลว และเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ได้รับการยกย่องในหมู่ชาวไทใหญ่ว่า เป็นผู้มีความรู้ในเรื่องภาษาไทใหญ่อย่างแตกฉาน ทั้งในภาษาไทใหญ่แบบเก่าและใหม่ จึงทำให้บทความและบทเพลงที่เขาเขียนมักแฝงไปด้วยข้อคิดลึกซึ้งให้กับผู้ที่ ติดตามผลงานของเขา

ประวัตินายแสงจื้น

นายแสงจื้นเกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 ที่หมู่บ้านมังแสง ต.มังแสง เมืองมังเลิน ปัจจุบันอยู่ในเขตปกครองของกลุ่มว้า ทางภาคตะวันออกของรัฐฉาน บิดาชื่อนายมั่นมูหลิ่ง มารดาชื่อนางหลอยผอง มีพี่น้องทั้งหมด 9 คน เป็นบุตรคนที่สาม แต่งงานกับนางล่อนยืน(หรือนางล่าเหย่น) มีบุตรร่วมกัน 3 คน

ประวัติการศึกษา

ปี 2502 เข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาที่วัดมังแสงในบ้านเกิด

ปี 2505 ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนในต้างยาน เขตเมืองล่าเสี้ยวทางภาคเหนือของรัฐฉาน

ปี 2512 เข้าเรียนในชั้นมัธยมปลายที่เมืองล่าเสี้ยว

ปี 2513 ย้ายไปเรียนต่อในชั้นมัธยมปลายที่จังหวัดมัณฑะเลย์ทางภาคกลางของประเทศพม่า

ประวัติการทำงาน

ปี 2516 ได้ทำงานร่วมกับจายสายมาว นักร้องชื่อดังของรัฐฉาน เพื่อออกอัลบัมเพลงชื่อ “สัญญาป๋างโหลง (หรือสัญญาปางหลวง)”ในปีเดียวกันนี้เขาถูกจับกุมหลังไปประท้วงที่หน้าสถาน ทูตพม่าในกรุงเทพฯ

ปี 2517 ได้เข้าร่วมกับกองทัพรัฐฉาน (Shan State Army) ทำงานที่แผนกข้อมูลข่าวสารภายใต้การดูแลของเจ้าช้าง ณหยองห้วย

ปี 2518 ได้ตีพิมพ์นิตยสารไทใหญ่ชื่อ "เลือดหาญนองคง"(เลือดของผู้กล้าท่วมนองแม่น้ำสาละวิน)

ปี 2525 ตีพิมพ์หนังสือภาษาไทใหญ่ชื่อ “ปืดป่าง” (ตื่นรู้)

ปี 2526 ได้เข้าร่วมกับกองทัพสหปฏิวัติรัฐฉาน (Shan United Revolutionary Army - SURA) ได้ตีพิมพ์นิตยสารกึ่งหนังสือพิมพ์"เจิงแลว" (Freedom Way) และ“กอนขอ”(Independence)

ปี 2527 หลังการก่อตั้งสภาฟื้นฟูรัฐฉาน (Shan State Restoration Council – SSRC) องค์กรการเมืองของกองทัพเมืองไตย MTA นายแสงจื้นได้เป็นหัวหน้าแผนกข้อมูลข่าวสาร และเริ่มพิมพ์ “Freedom Way” และ “Independence”อย่างต่อเนื่องภายใต้การอำนวยการของอาจารย์คืนใส ใจเย็น

ปี 2534 ได้ก่อตั้งสำนักข่าวฉาน (ShanHerald Agency for News - S.H.A.N.) และในปี พ.ศ. 2536ได้ย้ายสำนักงานเข้ามาอยู่ในประเทศไทย  

แปลและเรียบเรียงโดย สาละวินโพสต์ "สื่อทางเลือกเพื่อแบ่งปันความเข้าใจสู่เพื่อนบ้าน"อ่านข่าวและบท ความอื่นๆ อีกมากมายได้ที่เว็บไซต์ www.salweennews.org เฟซบุ๊คhttp://www.facebook.com/Salweenpostทวิตเตอร์ http://twitter.com/salweenpost

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เปิดตัวที่ปรึกษา คอป. ต่างชาติ 4 ไทย 2 "ชัยวัฒน์-สุรเกียรติ์ "

Posted: 23 Sep 2011 12:57 AM PDT

"คณิต ณ นคร" ประธาน คอป. แถลงข่าวเปิดตัวคณะที่ปรึกษาชาวต่างชาติ 4 คน และคนไทย 2 คน "พริสซิลล่า เฮย์เนอร์-เดนิส เดวิส-เดวิด เคนเนดี-ฮัสซัน วิรายูดา-ชัยวัฒน์ สถาอานันท์-สุรเกียรติ์ เสถียรไทย" ยืนยัน เดินหน้าสร้างสันติและปรองดอง

23 ก.ย. 54 - นายคณิต ณ นคร ประธาน คอป. แถลงข่าวเปิดตัวคณะที่ปรึกษาคณะกรรมการ คอป. ประกอบด้วยชาวต่างชาติ ได้แก่ น.ส.พริสซิลล่า เฮย์เนอร์, นายเดนิส เดวิส, นายเดวิด เคนเนดี และ นายฮัสซัน วิรายูดา คนไทยอีก 2 คน คือ  นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ และ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย

นายคณิต ระบุว่า การมีที่ปรึกษาชาวต่างชาติเข้ามาช่วยเป็นที่ปรึกษาจะช่วยให้การทำงานของ คอป. ดำเนินไปในทิศทางที่ดี  ยืนยันว่า คอป. ยังเป็นอิสระ จะพยายามทำทุกวิธีทางให้เกิดสันติปรองดอง ซึ่งการตัดสินใจทุกอย่างที่จะมีขึ้นในอนาคต เป็นการตัดสินใจของ คอป.

ด้าน นายสุรเกียรติ์ กล่าวว่า คณะที่ปรึกษาไม่ได้ทำหน้าที่ตัดสินใจ เพียงแต่ให้คำแนะนำและเสนอความคิดที่เป็นประโยชน์ในแง่มุมเชิงวิชาการ โดยในอนาคตมีแนวคิดเชิญอดีตผู้นำจากหลายประเทศ ที่เคยมีเหตุความไม่ปรองดองเกิดขึ้น เช่น ประเทศชิลี มาเล่าประสบการณ์การทำงานที่ประสบความสำเร็จด้วย

ส่วนกรณีการเสนอแก้กฎหมายก่อการร้าย ซึ่งเห็นว่ามีโทษรุนแรง นั้น นายคณิต มองว่า กฎหมายดังกล่าวออกมาเป็นพระราชกำหนด จึงเห็นว่าไม่ถูกต้องตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากไม่ผ่านกระบวนการพิจารณาของรัฐสภา ซึ่ง คอป.กำลังพิจารณาว่าจะขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวอย่างไร ส่วนกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประสานงานกับ คอป.เพื่อดำเนินการตามข้อเสนอของ คอป. เห็นว่าเป็นเรื่องของรัฐบาล ซึ่ง คอป.ได้เสนอแนวทางไปหมดแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่ของสื่อมวลชนที่จะติดตามว่ารัฐบาลจะทำตามข้อเสนอของ คอป.หรือไม่

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: สำนักข่าวไทย, มติชนออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชนเผ่าในเยเมนร่วมปะทะ คืบใกล้สงครามกลางเมือง

Posted: 22 Sep 2011 11:12 PM PDT

ชนเผ่าในเยเมนเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายต่อต้านในเยเมน โดยแต่ละเผ่าก็แบ่งเข้าคนละขั้ว หมอสนามบอกเหยื่อปะทะส่วนใหญ่เป็นคนโดนลูกหลง และคนที่ถูกฝ่ายรัฐบาลจงใจยิง การปะทะเริ่มลามไปพื้นที่อื่นในเมืองหลวง หลายฝ่ายหวั่นเข้าใกล้สงครามกลางเมือง

22 ก.ย. 2011 - เกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดที่เมืองหลวงของเยเมน เมื่อมีกลุ่มชนเผ่าเข้าร่วมรบกับกลุ่มติดอาวุธ ทำให้ประชาชนทั่วไปหวั่นว่าสถานการณ์จะบานปลายไปเป้นสงครามกลางเมือง

เว็บไซต์ของกระทรวงกลาโหมเยเมน รวมถึงแหล่งข่าวในพื้นที่รายงานว่ามีอย่างน้อย 15 รายที่เสียชีวิตในการปะทะกันที่ทางตอนเหนือของกรุงซานา เมื่อวันที่ 22 ก.ย. ซึ่งเป็นวันที่ 5 แล้วนับตั้งแต่การลุกฮือครั้งล่าสุด มีผู้เห็นเหตุการณ์รายงานด้วยว่าพื้นที่การปะทะเลยเถิดไปถึงหน้าประตูสถานฑูตสหรัฐฯ และอังกฤษ

สำนักข่าวอัลจาซีร่ารายงานว่าการปะทะกันระหว่างกองกำลังฝ่ายประธินาธิบดี อาลี อับดุลลา ซาเลห์ กับกองกำลังฝ่ายต่อต้าน ทำให้ความพยายามของกลุ่มต่างชาติที่ต้องการส่งคนกลางมาเป็นผู้เจรจาสนับสนุนสันติภาพและหาทางออกให้กับการเมืองเยเมนต้องเป็นอันพับไป

ผู้เห็นเหตุการณ์และหน่วยพยาบาลรายงานว่ามีประชาชนทั่วไปอย่างน้อย 4 รายถูกลูกหลงจากการปะทะกันของทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายริพับริกันการ์ดนำโดยอาห์เมด ลูกชายของซาเลห์ และกลุ่มต่อต้านของนายพลอาลี โมห์เซน อัล-อาห์มาร์ อดีตนายทหารที่ถอนตัวจากฝ่ายรัฐบาล

โดยบริเวณจัตุรัสเชนจ์ที่ตั้งของกลุ่มผู้ประท้วงต้านรัฐบาลมีผู้หญิง 2 ราย และผู้ชาย 1 รายถูกสไนเปอร์ที่อยู่บนดาดฟ้าอาคารยิงใส่ ขณะที่อีก 1 รายเสียชีวิตจากการถูกสะเก็ดระเบิดของปืนครกที่ยิงมาตกยังจัตุรัส โดยสะเก็ดระเบิดยังได้ทำให้อีก 9 รายได้รับบาดเจ็บ และทำให้เต็นท์ผู้ประท้วงหลายหลังเกิดเพลิงลุกไหม้

หน่วยพยาบาลยังได้กล่าวอีกว่ามีผู้บาดเจ็บหลายร้อยราย ส่วนใหญ่เป็นประชาชนที่โดนลูกหลงหรือไม่ก็ถูกยิงโดยฝ่ายประธานาธิบดี มีเจ้าของร้านโทรศัพท์มือถือในกรุงซานากล่าวว่าเขาไม่สามารถเปิดร้านได้เนื่องจากกลัวกระสุนลูกหลง ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายต่อต้านหรือฝ่ายรัฐบาล มีการสูญเสียจำนวนมากที่มาจากการโดนลูกหลง

โดยการปะทะกันในวันที่ 22 ก.ย. ที่ผ่านมาการปะทะได้ขยายจากจัตุรัสเชนจ์ใจกลางเมืองไปยังเขต อัล-ฮาซาบา โดยกลุ่มติดอาวุธของหัวหน้าชนเผ่าต่อต้านรัฐบาล ชีค ซาดิก อัล-อาห์มาร์ ได้ยิงต่อสู้กับกลุ่มชนเผ่าที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลนำโดย ซากีห์ บิน อะซิซ ซึ่งนอกจากจะเป็นหัวหน้าเผ่าบาคิล เผ่าที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเยเมยแล้วยังดำรงตำแหน่งส.ส. และเป็นเจ้าหน้าที่ของริพับริกันการ์ดด้วย

ผู้เห็นเหตุการณ์รายงานว่า มีกลุ่มคนที่อยู่ข้าง เฮมยาร์ อัล-อาห์มาร์ น้องชายของชีค ซาดิก ได้เข้าร่วมรบด้วย โดยมีกระสุนยิงมาจากอาคารกระทรวงกลาโหมมาตกยังบ้านเขา

จามาล เบโนมาร์ ตัวแทนของสหประชาชาติกล่าวเมื่อวันที่ 21 ก.ย. ที่ผ่านมาว่าภาวะเสื่อมโทรมด้านความมั่นคงและการที่ทั้งสองฝ่ายไม่ยอมหาทางออกทางการเมืองร่วมกันยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับสงครามกลางเมือง

อับดุลลาตีฟ อัล-ซายานี หัวหน้าคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (CCASG) หมายให้สหรัฐฯ และนักการฑูตชาติอื่นๆ ที่เข้าร่วมการประชุมประจำปีของสหประชาชาติหารือกับกลุ่มของตนเรื่องวิกฤติเยเมนในวันศุกร์ (23) นี้

ที่มา:

Deadly fighting rages through Yemeni capital, Aljazeera, 22-09-2011
http://english.aljazeera.net/news/middleeast/2011/09/20119227516362990.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เมาท์มอย กับหลิ่มหลีและชามดอง

Posted: 22 Sep 2011 09:58 PM PDT

คุยข่าวประจำสัปดาห์ว่าด้วยกล้องวงจรปิดทั่วกรุงเทพฯ, ละครรอยไหมและซับไตเติ้ล, อุโมงค์ผาเมืองกับพล็อตคุ้นๆ ของคุโรซาวา และการสัมมนาวันที่ 19 กันยา ในฐานะเครื่องทดสอบความอดทนของคนเสื้อแดง

(ทดลองฉายเพื่อการติชม)

 

ดาวน์โหลดไฟล์เสียงเมาท์มอย mp3 ช่วงที่ 1 (download)

 

ดาวน์โหลดไฟล์เสียงเมาท์มอย mp3 ช่วงที่ 2 (download)

 

ดาวน์โหลดไฟล์เสียงเมาท์มอย mp3 ช่วงที่ 3 (download)

 

ดาวน์โหลดไฟล์เสียงเมาท์มอย mp3 ช่วงที่ 4 (download)

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ผู้ว่าฯร่วมบูรณาการเสื้อแดงกาฬสินธุ์เปิดหมู่บ้านเสื้อแดงต้านยาเสพติดแห่งแรก

Posted: 22 Sep 2011 07:04 PM PDT

นปช.กาฬสินธุ์นำร่องเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงต้านยาเสพติดแห่งแรก ผวจ.เป็นประธานเปิด ยกย่องคนเสื้อแดงกำลังประกอบวีรกรรม ส่วน บก.ลายจุดบอกถึงเวลารัฐบาลจับมือกับประชาชนแก้ปัญหาประเทศ

22 กันยายน 2554 นปช.กาฬสินธุ์ร่วมกับคนเสื้อแดง ต.บ่อแก้ว ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเพื่อเอาชนะยาเสพติด จ.กาฬสินธุ์ และองค์การบริหารส่วนตำบลบ่อแก้ว อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ ทำพิธีเปิดโครงการหมู่บ้านเสื้อแดงต่อต้านยาเสพติด โดยมีนายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผวจ.กาฬสินธุ์ เป็นประธานเปิดและมอบป้าย รวมทั้งธงแดงต้านยาเสพติดให้แก่ผู้ใหญ่บ้านทั้ง  14 หมู่ ใน ต.บ่อแก้ว

นายวิโรจน์กล่าวในพิธีเปิดว่า คนเสื้อแดงกำลังประกอบวีรกรรมโดยการทำสงครามกับยาเสพติดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญถึง 3 ประการ คือ หนึ่ง เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี สอง เป็นการปกป้องลูกหลานให้พ้นจากยาเสพติด และ สาม เป็นการทำให้นโยบายของรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาสำเร็จเป็นจริง ตนขอขอบคุณคนเสื้อแดง และจะเดินเคียงข้างไปด้วยกันตลอดไป

ด้านนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุดที่ไปร่วมงาน กล่าวเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนแจ้งเบาะแสเรื่องยาเสพติดไปที่ ตู้ ปณ.1111 ทำเนียบรัฐบาล หรือ โทร 1111 สายตรงถึงนายกรัฐมนตรี บก.ลายจุดกล่าวอีกว่า โครงการหมู่บ้านเสื้อแดงต่อต้านยาเสพติดที่ จ.กาฬสินธุ์ ริเริ่มขึ้นมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากตรงประเด็น ถูกกับสถานการณ์ที่สุด เพราะคนเสื้อแดงกำลังถูกโจมตีว่าเป็นพวกบ่อนทำลายชาติ แต่ความเป็นจริงคนเสื้อแดงอยากเห็นประเทศชาติดี และพร้อมที่จะร่วมมือกับรัฐบาล ราชการ ชุมชน ในการแก้ปัญหาของชุมชน ถ้าไม่มีชุมชนแบบนี้มาแก้ปัญหายาเสพติด หน่วยราชการต่างๆ ก็แก้ไม่ได้ ราชการเองก็มีแนวทางทำงานกับชุมชน แต่ก่อนหน้านี้มีปัญหาว่า รัฐบาลอยู่ปีกหนึ่ง ชุมชนอยู่อีกปีกหนึ่ง จับมือกันไม่ได้ เป็นแบบนี้มานาน มาวันนี้ รัฐบาลกับประชาชนสีเดียวกันแล้ว ถึงเวลาจับมือกันแล้ว ได้เวลาเดินหน้าประเทศไทย ไม่ใช่เฉพาะปัญหายาเสพติดเท่านั้น ปัญหาอื่นๆ ก็ต้องจับมือกันแก้ไข

ทางด้านนายประสิทธิ์ ปิยะประสิทธิ์ ประธานชมรมใจเดียวกัน หรือ นปช.กาฬสินธุ์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า โครงการหมู่บ้านเสื้อแดงต่อต้านยาเสพติดนี้ มีเป้าหมายเพื่อให้คนเสื้อแดงมีส่วนร่วมขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลในการเอาชนะปัญหายาเสพติดในหมู่บ้านของตนเอง อีกทั้งเพื่อขยายมวลชนคนเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตย โดยรูปธรรมในการดำเนินกิจกรรมนั้น คนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไปจะเป็นหูเป็นตาคอยสอดส่องและรายงานข่าวสารของผู้ค้ายาเสพติดให้กับทางราชการ พร้อมๆ กับจัดให้มีการอบรมให้ความรู้เรื่องประชาธิปไตย โดยตำบลบ่อแก้วนี้เป็นตำบลนำร่อง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีคนไปร่วมชุมนุมเมื่อปี 2553 จำนวนมาก จากนี้ไปก็จะดำเนินการเช่นนี้ให้ครบทุกอำเภอใน จ.กาฬสินธุ์

ผู้สื่อข่าวถามถึงความคิดเรื่องการต้านรัฐประหารและแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเป้าหมายของหมู่บ้านเสื้อแดงด้วยหรือไม่ นายประสิทธิ์ตอบว่า ทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องหลักของคนเสื้อแดงอยู่แล้ว ถ้าหากมีการเคลื่อนไหวในประเด็นดังกล่าว เราก็พร้อมร่วมเคลื่อนไหวเสมอ     

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น