โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

นักข่าวพลเมือง: "แม่แรม" ชุมชนเดิมในที่ดินพิพาทกับ "ทหาร"

Posted: 04 Sep 2011 12:10 PM PDT

กรณีพิพาทที่ดินระหว่างชาวบ้านหมู่ 5 ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ กับทางราชการ โดยเฉพาะกรมรบพิเศษที่ 5 ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องย้อนไปตั้งแต่ พ.ศ. 2536 ฝ่ายราชการอ้างโดยเฉพาะหน่วยงานทางทหารอ้างตามพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินที่ออกสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ให้เวนคืนพื้นที่ดังกล่าว และล่าสุดกรมบังคับคดีสั่งรื้อถอนบ้านของชาวบ้านในพื้นที่ 3 ราย กำหนดรื้อถอน 12 ก.ย. ขณะที่ชาวบ้านยืนยันว่าชุมชนของตนไม่ได้รุกป่า สร้างชุมชนมายาวนานอย่างน้อยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2473 และหวังให้รัฐบาลใหม่เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้และช่วยเหลือโดยด่วน

ผู้อาวุโสในหมู่ 5 ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ (จากซ้ายไปขวา) 1. ปู่เหมย อายุ 76 ปี 2. ปู่โมก อายุ 85 ปี 3. ปู่กาบอายุ 79 ปี 4. ปู่ตั๋น อายุ 73 ปี โดยทุกคนเกิดที่นี่ อยากแก่และตายบนที่ของตน  (ที่มาของภาพ: เอื้อเฟื้อจาก Chaisiri Jiwarangsan)

ใบเหยียบย่ำที่ดิน ออกหลัง พ.ศ. 2479 เป็นหลักฐานการตั้งอยู่ของชุมชนมาอย่างยาวนาน  (ที่มาของภาพ: เอื้อเฟื้อจาก Chaisiri Jiwarangsan)

สำเนาแบบแจ้งครอบครองที่ดินของวัดอัมพวันที่ออกมาตั้งแต่ปี 2498 ซึ่งเป็นหลักฐานว่ามีชุมชนนี้มาก่อนค่ายกรมรบพิเศษที่ 5  นานแล้ว (ที่มาของภาพ: เอื้อเฟื้อจาก Chaisiri Jiwarangsan)


บันทึกข้อตกลงในวันที่ 1 มิ.ย. 2536 ซึ่งมีข้อหนึ่งที่ระบุว่ากองทัพบกยินยอมบอกเลิกการใช้ประโยชน์ใน บริเวณหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจการสำนักนายกรัฐมนตรี ผบ.รพศ.5 และพยานอื่นๆร่วมกันลงนาม แต่ปัจจุบันในหนังสือจากราชการยังคงเรียกพื้นที่นี้ว่า "พื้นที่ราชพัสดุของกองทัพบก" (ที่มาของภาพ: เอื้อเฟื้อจาก Chaisiri Jiwarangsan)

ประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี บังคับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในวันที่ 12 กันยายน 2554 ก่อนหน้าที่ชาวบ้านจะส่งเอกสารโฉนดชุมชนได้สมบูรณ์เพียง 1 เดือน (ที่มาของภาพ: เอื้อเฟื้อจาก Chaisiri Jiwarangsan)

ป้ายประท้วงภายในบริเวณชุมชน (ที่มาของภาพ: เอื้อเฟื้อจาก Chaisiri Jiwarangsan)

ชาวบ้านเริ่มจัดการชุมนุมหน้าวัดอัมพวัน (ที่มาของภาพ: เอื้อเฟื้อจาก Chaisiri Jiwarangsan)

"สำนักงานบังคับคดี" สั่งรื้อบ้านใน ต.แม่แรม 3 หลังภายใน 12 ก.ย.

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา พนักงานบังคับคดีสั่งให้ชาวบ้านหมู่ 5 ต.แม่แรม 3 รายรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง โดยสำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงใหม่ กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ออกประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี ลงวันที่ 23 ส.ค. 2554 ตามคดีหมายเลขแดงที่ 778/2546 ระหว่าง กระทรวงการคลัง โจทก์ และจำเลย คือ นายม่วง ทิศเหนือ นายอุทัย ไหแก้ว นายดวงจันทร์ นันต๊ะ ซึ่งทั้งสามเป็นราษฎรอาศัยอยู่ในพื้นที่หมู่ 5 บ้านทุ่งห้า-ป่าม่วง ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ โดยประกาศให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกจากพื้นที่พิพาท โดยคำสั่งระบุว่า

"เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงใหม่ ขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีหมายบังคับคดีให้ บังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่พิพาท

เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการกำหนดวันรื้อถอนในวันที่ 12 ก.ย. 2554 และวันต่อๆ ไป จนกว่าจะแล้วเสร็จ"

 

เป็นพื้นที่พิพาทยาวนานนับ 20 ปี ระหว่างทหาร - ชาวบ้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมา กรณีพิพาทระหว่างชาวบ้านหมู่ 5 ต.แม่แรม กับทางราชการ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2536 เมื่อมีการตั้งกรมรบพิเศษที่ 5 โดยทหารจะเข้ามาใช้พื้นที่หมู่บ้าน โดยระบุว่าเป็นที่ดินทหารตาม "พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตต์ในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พุทธศักราช 2483" ออกในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ขณะที่ชาวบ้านถือว่าเป็นชุมชนอยู่อาศัยกันมายาวนาน โดยมีหลักฐานเป็นวัดอัมพวันในหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นมาในปี พ.ศ.2473 และชาวบ้านในหมู่บ้านบางรายมีเอกสารใบเหยียบย่ำ ซึ่งออกตาม พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2479 และ สค.1 ที่ราษฎรรายหนึ่งแจ้งการครอบครองต่อทางอำเภอแม่ริมใน พ.ศ.2473

ในปี 2536 ฝ่ายชาวบ้านและราชการเคยเจรจากันจนกระทั่งมีข้อตกลง ระหว่างตัวแทนชาวบ้านหมู่ 5 ต.แม่แรม อ.แม่ริม กับทางราชการโดยมีนายชนะศักดิ์ ยุวบูรณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และพลตรี ยุทธนา เมืองมั่งคั่ง ผบ.มทบ.33 ลงนามด้วย โดยหนึ่งในข้อตกลงได้แก่ "ทหารรับรองว่าจะไม่คุกคาม ทำลายขวัญ หรือกระทำการใดๆ อันเป็นเหตุที่ให้ชาวบ้านหวาดกลัวอีกอย่างเด็ดขาด" และ "เมื่อกองทัพบกยินยอมบอกเลิกการใช้ประโยชน์ในบริเวณที่ดินหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว ทางราชการจะดำเนินการปฏิรูปที่ดินตามคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2536 ต่อไป" (อ่านข่าวย้อนหลัง)

 

เผยมีคำสั่งเวนคืน ขณะชาวบ้านทำเรื่องขอ "โฉนดชุมชน"

อย่างไรก็ตามกรณีพิพาทเวนคืนที่ดินที่ราชพัสดุระหว่างชาวบ้าน กับ กรมรบพิเศษที่ 5 จังหวัดทหารบกเชียงใหม่ ก็ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเมื่อปี 2550 ก็มีคำสั่งจากกรมบังคับคดีให้จำเลยและบริวาร ซึ่งเป็นชาวบ้าน 3 รายในหมู่บ้านรื้อถอน ขนย้ายสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินออกจากที่ดินที่ราชพัสดุ ก่อนที่จะมีการเจรจากัน ณ ที่ว่าการอำเภอแม่ริม

ล่าสุดในปี 2554 ชาวบ้านหมู่ 5 ดังกล่าว กำลังดำเนินการเรื่องโฉนดชุมชน และคาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนตุลาคม 2554 ก็ปรากฏว่าเมื่อ 23 ส.ค. ที่ผ่านมาได้มีคำสั่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกจากพื้นที่ดังกล่าว

 

ชาวบ้านจัดอาสาสมัครเฝ้ายามหวั่นถูกรื้อถอนบ้าน

สำหรับความคืบหน้าล่าสุด หนังสือพิมพ์เชียงใหม่นิวส์ รายงานเมื่อ 2 ก.ย. ว่า ชาวบ้านหมู่ 5 ต.แม่แรม ดังกล่าว ได้เตรียมรับมือกรมบังคับคดีสั่งรื้อบ้าน มีการเตรียมจัดเวรยามนำโดยผู้ใหญ่บ้าน ชุด ชรบ. ตำรวจบ้าน และ อปพร. รวมถึงชาวบ้านได้แบ่งกำลังจัดเวรยามตรวจตราเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่หรือคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้าน หรือนำกำลังและเครื่องจักรกลเข้ามารื้อถอนบ้านที่ถูกคำสั่งให้รื้อถอนจากกรม บังคับคดี

หนังสือพิมพ์เชียงใหม่นิวส์ รายงานด้วยว่า ชาวบ้านได้รวมตัวกันเรียกร้องขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงยื่นหนังสือถือนายกรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

โดยนายเมฆ ทิศเหนือ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 กล่าวว่าบ้านของตนเป็นอีกหนึ่งหลังที่ถูกสั่งรื้อ เมื่อชาวบ้านทราบข่าวก็มาให้กำลังใจไม่ขาดสาย พร้อมหนุนให้สู้ต่อเพราะชาวบ้านเชื่อว่าจะได้รับความเป็นธรรม เพราะบ้านทุ่งห้าป่าม่วงเป็นหมู่บ้านดั่งเดิมที่มีการอยู่อาศัยมาหลายร้อยปี มีถาวรวัตถุคือวัดอัมพวันและมีสถานศึกษาคือโรงเรียนบ้านป่าม่วงเป็นสิ่งยืน ยันได้ถึงความเป็นหมู่บ้านถาวร ตลอดเวลาตั้งแต่ปู่ย่าตายายต่างอยู่อาศัยกันเป็นปกติสุข และเริ่มมีปัญหาเมื่อมีการตั้งค่ายรบพิเศษที่ 5 เมื่อราวปี 2536 ทหารอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของทหาร ชาวบ้านได้ต่อสู้เรียกร้องเรื่อยมา จนล่าสุดทราบว่ามีการนำพื้นที่ดังกล่าวให้กรมธนารักษ์ดูแล และบังคับให้ชาวบ้านเช่า แต่ชาวบ้านเห็นว่าเป็นที่ที่อยู่อาศัยมานานเพียงแต่ไม่ได้ยื่นขอเอกสารสิทธิ การที่จะให้ชาวบ้านเช่าจึงไม่ถูกต้อง จึงเป็นที่มาของการบังคับคดีฟ้องขับไล่ให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่

 

ผู้ใหญ่บ้านยันไม่ได้รุกป่า ห่างอำเภอแค่ 5 กิโลเมตร วอนรัฐบาลใหม่ช่วยเหลือ

สิ่งที่จะเป็นทางออกและเป็นความต้องการของชาวบ้านจากที่ประชุมหารือกัน คือต้องการให้พื้นที่ดังกล่าวจัดทำเป็นโฉนดชุมชน ให้ชาวบ้านดูแลกันเอง โดยกันออกมาจากพื้นที่ที่อ้างว่าเป็นของทหารหรือของกรมธนารักษ์ การออกมาปกป้องหมู่บ้านในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการฝืนคำสั่ง ไม่ได้เป็นการท้าทาย แต่เป็นการต่อสู้เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับชาวบ้าน ชาวบ้านไม่ได้อาศัยอยู่ในป่า ไม่ได้รุกป่า เป็นหมู่บ้านที่ถือได้ว่าเป็นเขตเมืองห่างจากที่ว่าการอำเภอแม่ริมไม่ถึง 5 กิโลเมตร อยู่ในความรับผิดชอบของ อบต.แม่แรม มีผู้ใหญ่บ้าน มีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ครบครันทั้งไฟฟ้า น้ำประปาและบ้านทุกหลังคาเรือนมีทะเบียนบ้านยืนยันการอยู่อาศัยจริง มีใบเหยียบย้ำพื้นที่ ซึ่งเป็นต้นแบบของโฉนดที่ยืนยันการถือครองได้ ที่ผ่านมาได้รับงบจากกองทุนหมู่บ้านจนสามารถพัฒนาให้เป็นธนาคารชุมชนแห่งแรกของอำเภอแม่ริมมาแล้ว จึงอยากร้องขอความช่วยเหลือไปยังนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ลงมาตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือชาวบ้านโดยด่วน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รอบโลกแรงงาน สิงหาคม 2554

Posted: 04 Sep 2011 11:22 AM PDT

'ฟ็อกซ์คอนน์' เตรียมใช้หุ่นยนต์ 1ล้านตัว แทนแรงงานมนุษย์

1 ส.ค. 54 - ฟ็อกซ์คอนน์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์รายใหญ่ที่สุดของโลก สัญชาติไต้หวัน และเป็นที่รู้จักดีในฐานะผู้ผลิตไอโฟน ได้พบแนวทางแก้ปัญหาแล้ว หลังจากถูกกล่าวหาว่า ปฎิบัติต่อคนงานเหมือนเครื่องจักร ด้วยการกดดันให้ตรากตรำทำงานแทบไม่ได้หยุดหย่อนในสายการผลิตชิ้นส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีข่าวคนงานชาวจีน พากันฆ่าตัวตายเป็นระลอก เพราะความเครียดต่อสภาพการทำงานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
 
สำนักข่าวซินหัวของทางการจีน ระบุว่า ฟ็อกซ์คอน ได้ตัดสินใจใช้หุ่นยนต์มาทำงานแทนมนุษย์ โดยมีแผนจะใช้หุ่นยนต์ถึง 1 ล้านตัว ภายใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับอนาคตของ " โรงงานของโลก " (the factory of the world ) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสามเหลี่ยมแม่น้ำเพิร์ล หรือเขตเศรษฐกิจเสิ่นเจิ้น  ซึ่งยึดถือรูปแบบการจ้างงานจำนวนมากและต้นทุนการผลิตต่ำ จนสามารถเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจโลก  ด้วยการดูดเอาการผลิตจากทั่วโลกมารวมไว้ยังโรงงานแห่งนี้ และยังช่วยลดปัญหาเงินเฟ้อให้กับหลายประเทศ ด้วยการเสนอสินค้าส่งออกราคาถูกให้อีกด้วย
 
ในฐานะผู้ผลิตสินค้าอิเล็คทรอนิคส์รายใหญ่ที่สุดของโลก ที่มีลูกค้าล้วนแต่แบรนด์ดัง รวมทั้ง โซนี่ , โนเกีย , เดลล์ และฮิวเล็ตต์ แพ็คการ์ด ทำให้ฟ็อกซ์คอนน์ กวาดเอาการผลิตจากทั่วโลกมาไว้ที่จีน พร้อมกับการก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง โดยอาศัยแรงงานในจีนแผ่นดินใหญ่ จาก 6 แสนคน เป็น 1 ล้านคน แต่เมื่อไม่นานมานี้ ฟ็อกซ์คอนน์ ต้องเผชิญค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสภาพการทำงาน มีคนงานฆ่าตัวตายนับสิบคน
 
นายเทอร์รี่ โกว ผู้ก่อตั้งและประธานฟ็อกซ์คอนน์ กล่าวว่า เขาต้องการลดค่าแรงที่กำลังเพิ่มขึ้นและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ด้วยการซื้อเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงานคน ในบางแผนกเช่น การพ่นสี , เชื่อมและประกอบชิ้นส่วน ซึ่งปัจจุบัน ฟ็อกซ์คอนน์ มีหุ่นยนต์เอาไว้ใช้งานแล้ว 1 หมื่นตัว และจะเพิ่มเป็น 3 แสนตัว ในปีหน้า และเป็น 1 ล้านตัว ภายใน 3 ปี
 
บรรดาโรงงานผู้ผลิตหลายแห่ง กำลังหาทางปรับปรุงวิธีการผลิต เพื่อรับมือกับค่าแรงที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ก็ย้ายการผลิตไปที่อื่น และฟ็อกซ์คอนน์ก็ทำไปแล้ว ด้วยการย้ายฐานการผลิตไปยังโรงงานแห่งใหม่ในเฉิงตู , จงฉิงและเจิ้นโจว รวมทั้งในเวียดนามด้วย ซึ่งนักวิเคราะห์ มองว่ายิ่งค่าแรงสูงขึ้นเท่าไหร่ บริษัททั้งหลายก็จะหันไปลงทุนในด้านเครื่องจักรกันมากขึ้น
 
แท็กซี่ประท้วงในหังโจวคลี่คลาย หลังรบ.ไฟเขียวขึ้นค่าโดยสาร
 
2 ส.ค. 54 - สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา บรรดาคนขับแท็กซี่ในเมืองหังโจวได้ชุมนุมประท้วงเนื่องจากปัญหาน้ำมันแพงและการจราจรติดขัดในเมือง อันส่งผลต่อรายได้ในแต่ละวัน โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้จอดรถแท็กซี่ตามจุดต่างๆ ขณะที่บางคนก็จอดรถบนท้องถนนไว้เฉยๆและปฏิเสธที่จะรับผู้โดยสาร เจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นหังโจวได้ดำเนินการเจรจาเพื่อยุติการชุมนุมฯ โดยเสนอที่จะปรับขึ้นค่าโดยสารให้แก่เหล่าคนขับแท็กซี่ในหังโจวภายในเดือนต.ค.นี้ พร้อมทั้งเสนอเงินอุดหนุนช่วยเหลือให้ด้วย แต่ยังไม่เผยรายละเอียดใดๆ
 
โส่ว หมิงเหลย ผู้จัดการบริษัทแท็กซี่หังโจว จงหรัน ซึ่งให้บริการแท็กซี่กว่า 1,000 คัน ได้เผย(3 ส.ค.)ว่า “เหตุขัดแย้งในครั้งนี้ได้รับการแก้ไขในเบื้องต้นแล้ว ผมได้ไปดูบริเวณสถานที่ชุมนุมและพบว่าคนขับรถแท็กซี่ส่วนใหญ่กลับไปแล้ว”
       
ผู้ขับรถแท็กซี่ในหังโจว เผยว่า พวกเขามีรายได้จากการรับ-ส่งผู้โดยสารวันละ 500 หยวน(ราว 2,300 บาท) แต่ต้องจ่ายค่าน้ำมันและค่าเช่ารถถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด
      
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวซินหวารายงานว่า คนขับแท็กซี่บางคนยังอยู่ชุมนุมประท้วงต่อ ขณะที่ชาวหังโจวได้เผยในไมโครบล็อกกลิ้ง(2 ส.ค.)ว่า คนขับแท็กซี่บางรายยังไม่เชื่อคำประกาศของเจ้าหน้าที่รัฐฯ และยืนกรานที่จะอยู่ชุมนุมต่อ
      
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุแรงงานคนขับแท็กซี่และแรงงานด้านการคมนาคมขนส่งประท้วงอยู่หลายครั้ง ในกรณีปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงและเรื่องค่าตอบแทนที่จะต้องจ่ายให้บริษัทของตน
 
ทั้งนี้ จีนกำลังประสบปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูง โดยดัชนีราคาผู้บริโภค ปรอทวัดเงินเฟ้อตัวสำคัญ ได้แตะระดับ 6.4 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันรัฐบาลจีนได้แสดงความกังวลว่าเงินเฟ้อที่พุ่งควงสว่านอันทำให้ราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคพุ่งสูง อาจเป็นชนวนนำมาสู่การจลาจล
 
 
คนขับแท็กซี่ในกรีซประท้วงแผนเปิดเสรีรถแท็กซี่ของรัฐบาล
 
3 ส.ค. 54 - กลุ่มคนขับรถแท็กซี่ในกรีซ ผละงานประท้วงมานานกว่า 2 สัปดาห์แล้ว เพื่อต่อต้านกฎหมายใหม่ของรัฐ ที่ต้องการเปิดเสรีใบอนุญาตขับขี่รถแท็กซี่ตามแผนปฏิรูปเศรษฐกิจที่รัฐบาลต้องรัดเข็มขัดอย่างหนัก หลังได้รับเงินกู้จากยูโรโซนเพื่อบรรเทาปัญหาหนี้สิน แต่ผู้ประท้วงเห็นว่าแผนเปิดเสรีแท็กซี่ จะยิ่งทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้นและผู้ที่ประกอบอาชีพนี้ต้องเสียรายได้อย่างมาก
 
ล่าสุดเมื่อวานนี้ (2 ส.ค. 54) กลุ่มผู้ประท้วงหลายร้อยคนไปชุมนุมกันที่ด้านหน้ากระทรวงคมนาคม ทั้งยังไปรวมตัวกันกีดขวางการจราจรบนทางหลวงเพื่อต่อต้านแผนการดังกล่าว
 
เดือน ก.ค.บริษัทในสหรัฐฯจ้างงานเพิ่มขึ้น 114,000 ตำแหน่งมากกว่าคาดการณ์
 
5 ส.ค. 54 - ADP รายงานว่าบริษัทในสหรัฐฯจ้างงานเพิ่มขึ้น 114,000 ตำแหน่ง ในเดือนกรกฎาคม หลังจากในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 145,000 ตำแหน่ง และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์จากนักเศรษฐศาสตร์โดย Bloomberg ที่คาดไว้ที่ 100,000 ตำแหน่ง โดยการจ้างงานของบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางเพิ่มขึ้น 105,000 ตำแหน่ง และการจ้างงานของบริษัทขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น 9,000 ตำแหน่ง ส่วนตัวเลขจ้างงานในภาคบริการเพิ่มขึ้น 121,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 19 ขณะที่ตัวเลขจ้างงานในภาคการผลิตสินค้าปรับตัวลดลง 7,000 ตำแหน่ง
 
ประธาน ส.นักเตะเลี่ยนแจงสาเหตุขู่สไตรค์
 
8 ส.ค. 54 - ดาเมียโน่ ตอมมาซี่ บิ๊กบอสสมาคมนักเตะอาชีพของอิตาลี ชี้แจงสาเหตุที่แข้งลีกมะกะโรนีลุกขึ้นมายื่นเรื่องขอเลื่อนเกมนัดเปิดสนามฤดูกาล 2011-12 ช่วงปลายเดือนสิงหาคม เป็นเพราะต้องการปกป้องสิทธิของตนเองในฐานะนักฟุตบอล ไม่ใช่เรื่องเงินอย่างที่หลายคนเข้าใจแต่อย่างใด
 
ดาเมียโน่ ตอมมาซี่ ประธานสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอิตาลี (เอไอซี) ออกมาอธิบายสาเหตุที่บรรดาพ่อค้าแข้งในกัลโช่ เซเรีย อา จะประท้วงไม่ลงทำการแข่งขันเกมลีกนัดแรกที่เตรียมเปิดฉากฤดูกาลใหม่ในวันที่ 27-28 ส.ค. นี้ หากยังไม่มีการลงนามข้อตกลงเรื่องสัญญาของนักเตะอาชีพ โดยกัปตันทีม 20 คนของแต่ละสโมสร ได้ลงนามร่วมกันส่งจดหมายเตือนทางเลก้า เซเรีย อา เรียบร้อยแล้ว
 
"มันไม่ถูกต้องที่ทุกครั้งที่มีการประท้วงเกิดขึ้น เราจะโดนกล่าวหาว่าทำเพราะเรื่องเงิน เราไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินในสถานการณ์นี้ แต่มันเกี่ยวกับสิทธิของนักเตะทุกคนในการที่จะลงซ้อมกับต้นสังกัด ประธานของแต่ละสโมสรต่างให้การตอบรับที่ดีต่อข้อเสนอดังกล่าว แต่แล้วก็ปฏิเสธที่จะเซ็นสัญญาในภายหลัง" ตอมมาซี่ กล่าว
 
ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าว เกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังไม่สามารถหาบทสรุปได้จนถึงเวลานี้ โดยประเด็นส่วนใหญ่อยู่ที่การที่แต่ละสโมสรสามารถจับนักเตะดองในกรณีที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีปัญหาได้หรือไม่ หลังจากมีกรณีตัวอย่างที่ โกรัน ปานเดฟ และ คริสเตียน เลเดสม่า เคยถูก ลาซิโอ จับแยกไม่ให้ซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมรายอื่นๆ เนื่องจากทั้งคู่ยังไม่สามารถบรรลุสัญญาใหม่กับ "อินทรีกรุงโรม" ได้ ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามใหญ่โตในเวลาต่อมา
 
ทางด้าน แซร์โจ้ เปลลิสซิเย่ร์ กัปตันทีม "ม้าศึก" คิเอโว่ ออกมาชี้แจงเหตุผลในการที่บรรดานักเตะตัดสินใจที่ดำเนินการในเรื่องนี้ ว่า "มันไม่ใช่การประท้วง แต่มันเป็นการเลื่อนการเปิดฤดูกาลออกไปเฉยๆ มันดูเป็นเรื่องเหลวไหลที่เราเป็นเพียงชาติเดียวในยุโรปที่ยังไม่มีบรรทัดฐานเกี่ยวกับสัญญาที่แน่นอนสำหรับนักเตะทั้งหมด"
 
ลา ลีกา" ป่วนสหภาพนักเตะสไตรค์ส่อเลื่อนเปิดลีก
 
11 ส.ค. 54 - ศึกลา ลีกา และเซกุนดา ดิวิชั่น 2 ลีกสูงสุดบอลสเปน ส่อต้องเลื่อนการแข่งขันจากกำหนดเดิมวันที่ 20 และ 21 สิงหาคมนี้ หลังสหภาพนักเตะลีกสเปน (เอเอฟอี) ประท้วงด้วยการไม่ลงแข่งใน 2 สัปดาห์แรก
 
"เรามีมติเป็นเอกฉันท์ จะไม่มีการลงแข่งจนกว่าจะมีข้อตกลงใหม่ น่าเสียดายที่เราดูด้อยกว่าลีกอื่นในยุโรป เราไม่ได้ต้องการเงินเพิ่ม แต่เราต้องการให้สโมสรเคารพสัญญา" ลูอิส รูเบียเลส ประธานเอเอฟอีกล่าว
 
ประเด็นที่ฝั่งผู้เล่นออกมาเรียกร้องก็คือ การก่อตั้งกองทุนฉุกเฉินช่วยเหลือนักเตะในสโมสรขาดสภาพคล่อง การยกเลิกสัญญาสโมสรที่ค้างชำระค่าเหนื่อย 3 เดือน ซึ่งเป็นแนวทางที่เอาวิธีการจากลีกอื่นมาปรับใช้
 
สำหรับโปรแกรมลา ลีกา นัดเปิดซีซั่นมีเอสปันโญล v เกรนาดา, เลบันเต v ซาราโกซา, บีญาร์เรอัล v กิฆอน, โอซาซูนา v บาเลนเซีย, บาเญกาโน v มาญอร์กา, ราซิง v เฌตาเฟ, เรอัล มาดริด v บิลเบา, มาลากา v บาร์เซโลนา, เบติส v เซบีญา และโซเซียดัด v อัตฯมาดริด
 
นักบิน-วิศวกรแควนตัสจ่อประท้วงแผนปรับโครงสร้างเน้นตลาดการบินเอเชีย
 
16 ส.ค. 54 - สายการบินแควนตัส ของออสเตรเลีย กำลังจะเผชิญกับการผละงานประท้วงครั้งใหญ่ และเป็นไปได้ว่าปัญหาความขัดแย้งอาจต้องลงเอยที่ศาล จากการที่แควนตัส มีแผนจะย้ายเป้าหมายลูกค้าไปยังเอเชีย
 
ทั้งนี้สมาคมนักบินสากลและออสเตรเลีย (ไอป้า)ที่เป็นตัวแทนของนักบินและวิศวกร ประกาศว่า จะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อขัดขวางการปรับโครงสร้างครั้งนี้ พร้อมประนามแผนการที่แควนตัสจะหันไปมุ่งเน้นที่เอเชียว่า ทำให้สายการบินแบรนด์ดังของชาติ ต้องถูดลดค่าลงไป
 
นักบินและวิศวกร ซึ่งประจำอยู่ในเที่ยวบินระยะไกลหลายพันคน ต่างเตือนว่า จะเพิ่มการรณรงค์เพื่อตอบโต้การปรับโครงสร้างที่มุ้งเน้นไปที่เอเชีย และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการยื่นฟ้องต่อศาล เนื่องจากการปรับโครงสร้างขัดต่อเงื่อนไขในการถ่ายโอนจากรัฐบาลไปเป็นของเอกชน เมื่อปี 2538 นอกจากนี้ ยังมีแผนจะผละงานประท้วงภายในช่วงสุดสัปดาห์หน้า
 
นายอลัน จอยซ์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)แควนตัส  ประกาศเกี่ยวกับแผนการเปิดตัวสายการบินใหม่อีก 2 แห่ง หนึ่งในจำนวนนี้ เป็นการร่วมทุนกับสายการบินเจแปน แอร์ไลนส์ และมิตซูบิชิ โดยเป็นสายการบินประหยัดชื่อ เจ็ตสตาร์  เจแปน  ส่วนอีกสายการบิน ยังไม่ได้เปิดเผยรายชื่อหุ้นส่วน   
 
อย่างไรก็ตาม การที่สายการบินขนาดใหญ่อย่างแควนตัส หันมาให้ความสำคัญกับเอเชีย เป็นผลมาจากการขาดทุน เพราะพิษราคาน้ำมัน และหุ้นที่ร่วงอย่างต่อเนื่อง และจะทำให้แควนตัสต้องปลดพนักงานไปแล้ว 1,000 คน พร้อมทั้งยืดเวลาการรับมอบเครื่องบินซูเปอร์จัมโบ้ เอ 380 ของแอร์บัสอีก 6 ลำ ออกไป
 
บอลลีกสเปนเลื่อนเตะนัดเปิดสนาม-เหตุนักเตะสไตรก์
 
19 ส.ค. 54 - เว็ยไซต์ยูฟ่าดอตคอม รายงานเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ศึกฟุตบอลลา ลีกา สเปน มีอันต้องเลื่อนเกมการแข่งขันนัดเปิดฤดูกาลออกไปอย่างน้อยอีก 1 สัปดาห์ หลังจากที่สมาคมนักฟุตบอลสเปน หรือเอเอฟซี ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับฝ่ายจัดการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพของสเปน หรือแอลเอฟพี ในการประชุมเพื่อร่วมกันหาทางออกสำหรับเรื่องผลประโยชน์ที่นักฟุตบอลในลีกกระทิงดุควรได้รับ จึงเป็นเหตุให้บรรดานักเตะทั้งในศึกลา ลีกา และเซกุนด้า ดิวิชั่น ทำการประท้วงไม่ลงฟาดแข้งเกมนัดดังกล่าว ที่จากเดิมจะมีคิวลงเตะกันในวันที่ 20-21 ส.ค.นี้
 
อย่างไรก็ตามคาดว่าการเจรจาดังกล่าวจะบรรลุข้อตกลงได้ในเร็วๆนี้ และสามารถกลับมาลงแข่งขันกันได้อีกครั้งในสัปดาห์หน้า
 
สตาร์บั๊คจ่าย 2 ล้าน คนแคระโวย ไม่ผ่านทดลองงาน
 
21 ส.ค. 54 - "สตาร์บั๊ค" ร้านกาแฟชื่อดังสัญชาติสหรัฐฯ ซึ่งมีสาขาเกือบทั่วโลก ตกลงจ่ายเงินจำนวน 45,000 ปอนด์ (กว่า 2,200,00 บาท) ให้กับ เอลซ่า ซัลลาร์ด ผู้ซึ่งเข้ามาฝึกทดลองงานเป็นเวลา 3 วัน แต่ไม่ผ่าน
 
โดยผู้จัดการและซูเปอร์ไวเซอร์ทุกคน ลงความเห็นพ้องกันว่าเธอไม่มีความสามารถเพียงพอ แต่ ซัลลาร์ด อ้างถึงสาเหตุที่เธอไม่ผ่านการทดลองงานว่าเป็นเพราะส่วนสูง เนื่องจากเธอเป็นคนแคระ ซึ่งเมื่อปี 2009 สตาร์บั๊ค สาขาเมืองเอล ปาโซ รัฐเท็กซัส เคยเลิกจ้าง ซัลลาร์ด มาแล้วครั้งหนึ่ง โดยชี้แจงว่าเธออาจก่อให้เกิดอันตรายต่อลูกค้า และเพื่อนร่วมงานได้
 
โรเบิร์ต คานิโน ทนายความของคณะกรรมมาธิการเพื่อความเสมอภาคในการทำงานของสหรัฐฯ แถลงเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า สตาร์บั๊คควรปฏิบัติต่อพนักงานหลังเคาท์เตอร์เช่นเดียวกับลูกค้าเพื่อภาพลักษณ์ที่ดี ส่วนสตาร์บั๊คเองก็ยินดีกับแถลงการณ์ดังกล่าวพร้อมชี้แจงว่า สตาร์บั๊คร่วมงานกับชุมชนและองค์กรมายาวนานสำหรับความเท่าเทียมในการมอบโอกาสการทำงานของบุคคลที่มีความบกพร่อง และว่าจะมุ่งโฟกัสการทดลองงานในทุก ๆ สาขาให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาค
 
ชาวสิงคโปร์ใช้แกงกะหรี่ประท้วงผู้อพยพต่างชาติ
 
21 ส.ค. 54 - ชาวสิงคโปร์เรือนหมื่นจะปรุงหรือรับประทานแกงกระหรี่พื้นเมืองในเย็นวันนี้ เพื่อแสดงความไม่พอใจผู้อพยพชาวต่างชาติที่เข้าประเทศมากขึ้น
 
การรณรงค์ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังมีข่าวในหนังสือพิมพ์ว่า ผู้อพยพชาวจีนครอบครัวหนึ่งร้องเรียนว่าเหม็นกลิ่นแกงกะหรี่ของเพื่อนบ้านที่เป็นชาวสิงคโปร์เชื้อสายอินเดีย ทางการตัดสินด้วยการให้ทั้งสองฝ่ายยอมความกันไป นายสแตนลีย์ หว่อง นักบัญชีวัย 37 ปี และกลุ่มเพื่อน จึงได้เปิดหน้าเฟซบุ๊กแสดงความเห็นเรื่องนี้ มีคนสมัครเข้าเป็นสมาชิกมากกว่า 57,600 คน เขาระบุว่าสิงคโปร์เป็นสถานที่แออัด เพื่อนบ้านจึงต้องเข้าใจวัฒนธรรมของกันและกัน เขาและชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีนหลายคนจะปรุงแกงกะหรี่เป็นอาหารมื้อค่ำในวันนี้ เพื่อแสดงความสนับสนุนครอบครัวเพื่อนร่วมชาติเชื้อสายอินเดีย นักเขียนอิสระวัย 40 ปี ซึ่งร่วมเปิดหน้าเฟซบุ๊กนี้กล่าวว่า แกงกะหรี่เป็นอาหารท้องถิ่นของชาวสิงคโปร์ ผู้อพยพชาวต่างชาติควรต้องยอมรับวัฒนธรรมท้องถิ่น เรื่องนี้อาจกลายเป็นปัญหาได้เพราะสิงคโปร์รับชาวต่างชาติเข้ามาเป็นพลเมืองมากขึ้น
 
ประเด็นผู้อพยพต่างชาติทะลักเข้าเมืองเป็นเรื่องอ่อนไหวในสิงคโปร์ ปัจจุบันประชากรสิงคโปร์เป็นชาวต่างชาติมากถึง 1 ใน 3 ถูกชาวสิงคโปร์ร้องเรียนว่าเข้ามาแย่งงานและที่อยู่อาศัย เป็นประเด็นที่ทำให้พรรครัฐบาลเสียคะแนนอย่างมากในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤษภาคม แม้ว่ายังคงชนะการเลือกตั้งก็ตาม
 
คนงานประท้วงทำการก่อสร้างสนามบอลโลก 2014
 
18 ส.ค. 54 - การปรับปรุงสนามมาราคาน่า สเตเดี้ยม สำหรับศึก ฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย ที่ประเทศบราซิล ต้องหยุดชะงักลง หลังจากคนงานก่อนสร้างผละงานประท้วงเพื่อเรียกร้องให้มีการเพิ่มค่าจ้าง รวมทั้งสวัสดิการในการรักษาสุขสภาพ ขณะที่สำนักงานโยธาธิการของเมืองริโอ เดอ จาเนโร เชื่อสหภาพแรงงานคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของการออกมาเรียกร้องในครั้งนี้
 
สหภาพแรงงานบราซิล มีมติให้คนงานก่อนสร้างสนาม มาราคาน่า ซึ่งจะใช้รองรับการแข่งขันศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย ผละงานประท้วงเพื่อเรียกร้องให้มีการเพิ่มค่าจ้าง รวมทั้งสวัสดิการในเรื่องของการรักษาสุขภาพ หลังจากเกิดเหตุถังบรรจุสารเคมีระเบิดจนมีคนงานได้รับบาดเจ็บไปหลายราย เมื่อวันพุธที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น
 
โรมิลโด้ ดา ซิลวา ผู้อำนวยการของสหภาพแรงงาน เผยกับสำนักข่าว "รอยเตอร์ส" ว่า "เราจำเป็นต้องปรับปรุงสภาพพื้นที่การทำงานของเราซึ่งมันไม่สมบูรณ์แบบนัก"
 
ขณะที่สำนักงานโยธาธิการของเมือง ริโอ เดอ จาเนโร เผยผ่านแถลงการณ์ ระบุว่า "นี่คือประเด็นเกี่ยวกับเรื่องของคนงาน ซึ่งถูกชักจูงโดยสหภาพให้ออกมาเรียกร้องในครั้งนี้"
 
ทั้งนี้ สังเวียน มาราคาน่า สเตเดี้ยม ซึ่งเตรียมใช้เป็นสนามแข่งขันในศึก คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ ปี 2013 ใช้งบประมาณในการปรับปรุงราว 630 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 18,900 ล้านบาท) ด้วยกัน
 
เผยคนงานไร่ไวน์ในแอฟริกาใต้ประสบปัญหาด้านมนุษยธรรม
 
23 ส.ค. 54 - รายงานล่าสุดของฮิวแมนไรท์วอชระบุวันนี้ว่า คนงานไร่ผลไม้และไวน์ชื่อดังในแอฟริกาใต้ต้องเผชิญปัญหาสภาพที่อยู่ไม่เหมาะสม การสัมผัสยาฆ่าแมลง และถูกสั่งห้ามไม่ให้จัดตั้งสหภาพแรงงาน
 
รายงานหนา 96 หน้าของฮิวแมนไรท์วอชระบุว่า คนงานเหล่านั้นได้รับค่าแรงต่ำที่สุดในประเทศ ทั้งที่อุตสาหกรรมผลไม้และอุตสาหกรรมไวน์นำรายได้เข้าสู่ประเทศถึงหลายพันล้านแรนด์ ช่วยเหลือภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกผลิตภัณฑ์ทั่วโลก
 
นายเดเนียล เบเคเล ผู้อำนวยการประจำภาคพื้นแอฟริกาของฮิวแมนไรท์วอช เปิดเผยว่า รัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มการคุ้มครองประชาชนที่มีชีวิตและทำงานอยู่ในฟาร์ม โดยฮิวแมนไรท์วอชได้กล่าวหารัฐบาลว่า ล้มเหลวในการตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของคนงานและการบังคับใช้กฎหมายแรงงาน และว่า ระบบตรวจสอบการล่วงละเมิดสิทธิของแรงงานไม่มีประสิทธิภาพ เพราะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบมักส่งสัญญาณบอกเจ้าของไร่ก่อนจะเดินทางไปตรวจเยี่ยม
 
รายงานซึ่งรวบรวมจากบทสัมภาษณ์คนงาน เจ้าของไร่และนักวิชาการกว่า 260 ครั้งระบุว่า ที่พักของคนงานบางคนไม่เหมาะสมและสามารถถูกขับไล่ได้ทุกเมื่อ ทั้งที่มีกฎหมายคุ้มครองนับตั้งแต่ปี 2540 นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย เพราะคนงานส่วนใหญ่ไม่ได้รับการป้องกันจากการสัมผัสยาฆ่าแมลง หลายคนไม่สามารถเข้าถึงน้ำดื่ม ห้องน้ำหรือล้างมือ และการลาป่วยส่วนใหญ่ต้องมีใบรับรองแพทย์ ขณะที่ในจังหวัดเวสเทิร์นเคป มีเพียงแรงงานร้อยละ 3 เท่านั้นที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน
 
สหภาพแข้งลีกสเปนมีมติประท้วงหยุดเล่นต่อ
 
27 ส.ค. 54 - สหภาพนักเตะลีกสเปน มีมติประท้วงด้วยการไม่ลงเล่นศึกลา ลีกา และลีกา อเดลันเต้ ตามโปรแกรมในสัปดาห์ที่ 2 ของฤดูกาล 2011/12 ในระหว่างวันที่ 27-28 ส.ค.นี้ ต่อไป หลังการเจรจาเพื่อให้มีการตั้งกองทุนฉุกเฉินสำหรับช่วยเหลือผู้เล่น เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมายังคงล้มเหลว ขณะที่ หลุยส์ กิล โฆษกของ เอเอฟอี ย้ำทางสหพันธ์จะยังคงเดินหน้าทำงานเพื่อหาข้อยุติให้ได้
 
สหภาพนักเตะลีกสเปน (เอเอฟอี) ยังคงมีมติให้ผู้เล่นในศึกลา ลีกา และลีกา อเดลันเต้ แสดงการประท้วงด้วยการไม่ลงเตะตามโปรแกรมสัปดาห์ที่ 2 ของฟุตบอลลีกแดนกระทิง ในระหว่างวันที่ 27-28 ส.ค.นี้ ต่อไป หลังจากพวกเขายังไม่สามารถหาข้อสรุปเรื่องข้อเรียกร้องในการตั้งกองทุนฉุกเฉินสำหรับช่วยเหลือนักเตะที่ถูกเบี้ยวค่าจ้างเป็นเวลา 3 เดือน ติดต่อกัน จากการเจรจากับตัวแทนของสโมสรฟุตบอล และคณะกรรมการฟุตบอลลีกสเปน (แอลเอฟพี) เมื่อวันจันทร์ที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา
 
หลุยส์ กิล โฆษกของ เอเอฟอี กล่าวว่า "การประท้วงจะยังคงมีต่อไปในโปรแกรมการแข่งขันสัปดาห์ที่ 2 ของฤดูกาล หลังจากทั้ง 2 ฝ่ายยังคงไม่สามารถที่จะหาข้อตกลงกันได้ แต่เราก็จะยังคงทำงานกันต่อไป"
 
ขณะที่ ฟรานซิสโก้ กาตาลัน รองประธาน แอลเอฟพี เผยว่า "ผมคิดว่าเราก็ได้เห็นแง่มุมที่ดีบางอย่างจากการเจรจาในวันนี้"
 
ทั้งนี้ การประท้วงของสหภาพนักเตะ ซึ่งมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ รวมถึง ลิโอเนล เมสซี่ 2 สตาร์ดังจาก เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า เป็นสมาชิกอยู่ด้วย ได้ส่งผลให้การแข่งขันนัดเปิดฤดูกาลของสเปน ซึ่งมีคิวเดิมที่จะต้องลงฟาดแข้งกันในวันที่ 20-21 ส.ค.ที่ผ่านมา ต้องถูกเลื่อนออกไปเป็นครั้งแรกในรอบ 27 ปี
 
คนงานโรงงานผลิตเสื้อผ้าชื่อดัง "เอชแอนด์เอ็ม" ในกัมพูชา เป็นลมหมู่เกือบ 300 คน ตำรวจเร่งตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริง
 
27 ส.ค. 54 - เกิดเหตุแรงงานชาวกัมพูชาเกือบ 300 คน เป็นลมระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ภายในอาคารโรงงานสิ่งทอผลิตเสื้อผ้า ให้กับบริษัทเอช แอนด์ เอ็ม (H&M) ของสวีเดน โดยเหตุร้ายเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงวันอังคารถึงวันพฤหัสบดี ในพื้นที่จังหวัดกัมปงชนัง อยู่ห่างกรุงพนมเปญราว 91 กิโลเมตร
 
ผู้ประสบเหตุหลายคนระบุว่า ได้สูดดมกลิ่นฉุนก่อนเป็นลมหมดสติ บ้างก็ว่ากลิ่นฉุนมาจากเสื้อผ้าภายในโรงงาน ขณะที่ตำรวจกล่าวโทษกลุ่มผู้เป็นลมหมดสติ เพราะร่างกายอ่อนแอสุขภาพไม่แข็งแรง ส่วนโรงงานเสื้อผ้าดังกล่าว อนุญาตให้แรงงานราว 4,000 คน หยุดพักผ่อนจนถึงสัปดาห์หน้า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสาเหตุการเป็นลมหมู่ของแรงงานอย่างละเอียด
 
วันเดียวกันมีรายงานว่า โครงการ “แฮปปินอย โปรแกรม” เพื่อช่วยสตรีที่เป็นเจ้าของร้ายขายของชำบนเกาะลูซอน ในฟิลิปปินส์ คว้ารางวัลที่ 1 ของ “โปรเจคต์ อินสไพร์” รางวัลระดับโลกที่ยูเอ็นสนับสนุน ซึ่งมุ่งเป้าเพิ่มพลังอำนาจให้สตรียากจนในแอฟริกา เอเชีย และตะวันออกกลาง โดยได้รับเงิน 25,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
 
ส่วนรางวัลพิเศษ 1 ใน 2 รางวัล ซึ่งได้รับเงินสด 10,000 ดอลลาร์ ตกเป็นของทีมไทย ซึ่งช่วยสอนหนังสือให้สตรีพม่า ที่อพยพมาอยู่บริเวณริมพรมแดน รางวัลโปรเจคต์ อินสไพร์ ตั้งขึ้นเมื่อเดือนมี.ค.ปีนี้ เนื่องในวาระครบรอบ 100 ปีวันสตรีสากล
 
ชิลีนัดหยุดงานครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ล่าสุดดับแล้วหนึ่ง
 
28 ส.ค. 54 - สืบเนื่องจากการประท้วงครั้งใหญ่ ในกรุงซานติเอโก ประเทศชิลี เมื่อวันที่ 24-25 สิงหาคมที่ผ่านมา นำโดยกลุ่มฝ่ายค้าน ประกอบด้วยสหภาพแรงงาน นักศึกษาและประชาชนกว่า 600,000 คน เพื่อเรียกร้องการปฏิรูปการเมือง ทำให้รัฐบาลใช้กำลังตำรวจเข้าสลายการชุมนุม และเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ชุมนุมนั้น
 
ล่าสุด สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วหนึ่งราย เป็นเด็กชายวัย 16 ปี ซึ่งได้รับบาดเจ็บในระหว่างการปะทะ จากการถูกยิงเข้าที่หน้าอก โดยมีพยานเห็นว่า กระสุนดังกล่าวมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนทางด้านรัฐบาลระบุว่า ในขณะนี้มีคนถูกจับแล้วราว 1,300 คน และเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัส
 
การประท้วงเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งนำโดยสหภาพแรงงานกลางชิลี (Workers' United Center of Chile) และสมาพันธ์แห่งสหพันธ์นักศึกษาชิลี (the Confederation of Chilean Student Federations) เป็นไปเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลฝ่ายขวา เพิ่มงบประมาณทางด้านสวัสดิการสำหรับประชาชน เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาล ประกันสังคม ให้มีการปฏิรูประบบภาษี และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
 
ทั้งนี้ การประท้วงดังกล่าว นับเป็นการนัดหยุดงานระดับประเทศนาน 48 ชั่วโมง ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในรอบ 20 ปี หลังจากที่ประเทศชิลีเป็นประชาธิปไตยในปีพ.ศ. 2533 โดยก่อนหน้านี้ ชิลีอยู่ภายใต้การปกครองของระบอบเผด็จการทหารปิโนเชต์ ระหว่างปี 2516 - 2533
 
ก่อนหน้านี้ ในเดือนพฤษภาคม นักศึกษาชิลีกว่าแสนคน ออกมาประท้วงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิรูประบบการศึกษา โดยให้รัฐบาลเพิ่มเงินอุดหนุนงบประมาณ มีความโปร่งใสในการบริหารจัดการ และปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาให้ดีขึ้น ทั้งในระดับมัธยมและอุดมศึกษา โดยหลายฝ่ายมองว่า นโยบายการแปรรูปการศึกษาของรัฐบาลชิลี เป็นสาเหตุของความเหลื่อมล้ำในสังคมที่มีอยู่สูง และเป็นชนวนของการประท้วงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศชิลี
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 28 ส.ค. - 2 ก.ย. 2554

Posted: 04 Sep 2011 11:02 AM PDT

ก.พาณิชย์ขอเอกชนปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลจำเป็นต้องชวนภาคเอกชน มาคิดเรื่องการส่งเสริมให้แรงงานมีรายได้สูงขึ้น สอดคล้องกับประสิทธิภาพแรงงาน เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนในประเทศ เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจในประเทศเติบโต (จีดีพี) อยู่ที่ระดับ 3-4 % แต่ยืนอยู่บนการพึ่งพาการส่งออก ดังนั้นแต่ละปีจะลุ้นให้จีดีพีโตตามเป้าหมาย ก็ต้องลุ้นให้การส่งออกเติบโตได้ในระดับ 20 % ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันกำลังซื้อของต่างประเทศก็เริ่มชะลอตัวลง

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น โดยการเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชน ซึ่งการขึ้นค่าแรงในทางปฏิบัติรัฐบาลได้ประกาศนโยบายต่อรัฐสภาชัดเจนแล้ว และในส่วนของรัฐบาลจะเริ่มปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ ส่วนของภาคเอกชนรัฐบาลคงต้องขอความร่วมมือให้ช่วยดำเนินการตามด้วย เพื่อให้นโยบายของรัฐบาลดำเนินการสมบูรณ์เต็มรูปแบบ ซึ่งก็มีเอกชนบางรายตอบรับที่จะทำตามแล้ว

ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การที่รัฐบาลจะมีมาตรการจะช่วยลดภาระต้นทุนให้เอกชน โดยการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ แต่มาขอแลกกับการที่ให้ภาคเอกชนขึ้นค่าแรง 300 บาท มันเป็นคนละเรื่องกัน และคงแลกกันไม่ได้ เพราะภาษีคงต้องมีการปรับขึ้นอยู่แล้วให้สอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เพื่อรองรับการเปิดเออีซี

(ไอเอ็นเอ็น, 30-8-2554)

กพร.ตั้งศูนย์ออนไลน์ทดสอบภาษาก่อนไปทำงานต่างแดน

วันนี้ (30 ส.ค.) นายพานิช จิตร์แจ้ง รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน(กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กพร.มีนโยบายพัฒนาทักษะด้านภาษาให้แก่แรงงานไทยที่จะไปทำงานต่างประเทศเพื่อ เตรียมการรองรับประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ.2558 เนื่องจากพบว่าแรงงานไทยส่วนใหญ่มีทักษะฝีมือดี แต่มีจุดอ่อนด้านภาษา จึงได้จัดสรรงบประมาณ 5 ล้านบาท จัดตั้งศูนย์ออนไลน์ทดสอบภาษาเพื่อการทำงานขึ้นเพื่อทำหน้าที่ทดสอบและ ประเมินทักษะด้านภาษาต่างประเทศให้แก่แรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานต่าง ประเทศ ทั้งนี้ กพร.ได้เชิญนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (รมว.รง.) เป็นประธานในพิธีเปิดตัวศูนย์อย่างเป็นทางการในวันที่ 23 ก.ย.นี้ที่ กพร.
      
รองอธิบดี กพร.กล่าวอีกว่า วันเปิดตัวศูนย์ดังกล่าวจะมีการนำร่องทดสอบทักษะภาษาอังกฤษของผู้ควบคุมงาน สาขาช่างก่อสร้างในต่างประเทศ 20 คน โดยเป็นการทดสอบเพื่อประเมินทักษะด้านภาษาอังกฤษเท่านั้น ไม่ได้นำมาเป็นเงื่อนไขต้องผ่านการทดสอบก่อน จึงจะอนุญาตให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศได้ หากไม่ผ่านการทดสอบ ก็จะมีการอบรมเพิ่มเติมเพื่อให้ผ่านการทดสอบ และจะขยายผลการทดสอบทักษะภาษาผ่านระบบออนไลน์ไปยังสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ภาคและศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งระยะแรกศูนย์นี้จะทำหน้าที่แค่ประเมินทักษะด้านภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ เกาหลี ญี่ปุ่น ให้แก่แรงงานไทยที่จะไปทำงานต่างประเทศ ยังไม่ได้นำผลการทดสอบมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาอนุญาตให้แรงงานไทยเดิน ทางไปทำงานต่างประเทศ
      
กพร.ตั้งเป้าหมายว่า ภายใน 2 ปีข้างหน้า ศูนย์นี้จะทำหน้าที่ทั้งการทดสอบ พัฒนาและรับรองทักษะภาษาต่างประเทศให้แก่แรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงาน ประเทศต่างๆ เช่น ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น โดย กพร.จะร่วมกับ กกจ.จัดทำหลักเกณฑ์การให้การรับรองทักษะด้านภาษาต่างประเทศให้แก่แรงงานไทย ที่จะไปทำงานต่างประเทศโดยกำหนดมาตรฐานทักษะภาษาให้เหมาะสมกับตำแหน่งงาน ระดับงานและสาขาอาชีพ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ กพร.กำลังจัดทำโปรแกรมการฝึกอบรมภาษาต่างประเทศผ่านระบบออนไลน์ที่มีทั้ง หลักสูตรและวิธีการประเมินเพื่อให้แรงงานมีมาตรฐานทักษะภาษาตามเกณฑ์ที่ กำหนดคาดว่าจะแล้วเสร็จและให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาคและศูนย์พัฒนาฝีมือ แรงงานจังหวัดนำไปใช้ได้ในช่วงต้นปี พ.ศ.2555” นายพานิช กล่าว

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 30-8-2554)

'ปลัดแรงงาน' ชี้ขึ้นค่าแรง 300 ได้ผล พณ.ต้องคุมราคาสินค้า

31 ส.ค.  นายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท ว่า ในวันที่ 1 ม.ค.55 จะประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท แน่นอน โดยจะให้กทม.และจังหวัดในปริมณฑลนำร่องก่อน

โดยหลังจากที่มีการศึกษารายละเอียดในเบื้องต้น พบว่าการจ่ายค่าจ้างเฉลี่ยของค่าจ้างแรงงานในกรุงเทพฯและจังหวัดในปริมณฑล อยู่ในระดับที่ห่างจากค่าจ้างที่นโยบายของรัฐจะปรับขึ้นไม่มากนัก ซึ่งถ้าจะปรับค่าจ้างขึ้นจริง นายจ้างจะได้รับผลกระทบไม่มาก เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

"ส่วนผลกระทบที่จะตามมาในเรื่องของการขึ้นราคาสินค้า ภายหลังจากปรับขึ้นค่าจ้างแลัวนั้น ทางกระทรวงแรงงานได้เตรียมประสานและขอความร่วมมือจากกระทรวงพาณิชย์ ให้เข้ามาช่วยกำกับและดูแลในเรื่องการควบคุมราคาสินค้า ไม่ให้มีราคาสินค้าแพงเกินจริง" ปลัดแรงงาน กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายสมเกียรติ  กล่าวว่า ขณะนี้เป็นเพียงกรอบแนวคิด ซึ่งอยู่ในขั้นตอนที่กำลังศึกษารายละเอียดถึงแนวทางความเหมาะสม พร้อมทั้งดูผลกระทบและความเป็นไปได้ เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เนื่องจากมีการหารือกันและเห็นด้วยอยู่หลายฝ่าย คาดว่าจะสามารถดำเนินการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทครบทุกจังหวัดได้ภายใน 1 ปี นับหลังจากวันที่ 1 ม.ค.55 เป็นต้นไป

(ไทยรัฐ, 31-8-2554)

 

ห่วงแรงงานบริการ ท่องเที่ยว โรงแรม รับผลหนักสุดจากเปิดเสรีอาเซียน

กรุงเทพฯ 31 ส.ค. - กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน จัดสัมมนาการเตรียมกำลังคนเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี เพื่อระดมความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การจัดทำยุทธศาสตร์ร่วมกันในการเตรียมพร้อมรับการเคลื่อนย้าย แรงงานเสรีภายในอาเซียนในปี 2558 โดยนายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ จากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงทิศทางประเทศไทยกับการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี ว่า ในการเปิดเสรีตามกรอบอาเซียนที่ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน ไม่ได้มีเพียงการเปิดเสรีแรงงานฝีมือเท่านั้น แต่ยังมีการเปิดเสรีด้านบริการและด้านการลงทุนที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดแรง งานไทยด้วย โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยง การสื่อสาร การขนส่ง การจัดจำหน่าย ค้าส่งค้าปลัก การศึกษา การเงิน สุขภาพ รวมทั้งการเคลื่อนย้ายแรงงานที่มาพร้อมกับการลงทุนธุรกิจบริการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยจะต้องทำความเข้าใจและเตรียมความพร้อมอย่างถูกต้อง

ด้าน รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ในส่วนของแรงงานฝีมือซึ่งมีข้อตกลงยอมรับร่วมกันไปแล้ว 7 อาชีพ ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล วิศวกร สถาปนิก นักสำรวจ และนักบัญชี นั้น ไม่น่าเป็นห่วงในระยะสั้น เพราะสภาวิชาชีพแต่ละอาชีพจะมีกำแพงด้านภาษาที่จะทำให้แรงงานฝีมือจากต่าง ประเทศเข้ามาได้ยากขึ้น แต่ส่วนที่ต้องเฝ้าระวังคือการเปิดเสรีแรงงานด้านบริการ การท่องเที่ยว และโรงแรม ซึ่งเป็นอาชีพหลักอาชีพหนึ่งของคนไทย

(สำนักข่าวไทย, 31-8-2554)

 

7 จังหวัดนำร่องขึ้นค่าแรง 300 บาท ที่เหลือเฟส 2 ปรับเพิ่มแค่ 40%

นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" จากที่รัฐบาลมี นโยบายที่จะกระจายรายได้ควบคู่ไปกับการจัดทำมาตรการเพื่อลดภาระค่าครองชีพ ของประชาชน ในส่วนของการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำซึ่งกระทรวงแรงงานเป็นผู้รับผิด ชอบดูแลนั้น ล่าสุด จากที่ตนได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ข้อสรุปเบื้องต้นชัดเจนแล้วว่า จะมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน นำร่องก่อน 7 จังหวัดซึ่งพิจารณาดูแล้วมีความพร้อมมากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (กทม.), สมุทรสาคร, ปทุมธานี, นครปฐม, นนทบุรี, สมุทรปราการ และจังหวัดภูเก็ต แนวทางดำเนินการคือจะปรับขึ้น 40% โดยใช้บัญชีอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่ประกาศใช้อยู่ขณะนี้เป็นฐาน ส่วนที่เหลืออีก 70 จังหวัดจะมีการทยอย ปรับขึ้นค่าแรงเพื่อให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในลำดับต่อไป

สำหรับ 7 จังหวัดแรกซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องมี 6 จังหวัด คือ กทม., สมุทรสาคร, ปทุมธานี, สมุทรปราการ, นนทบุรี และนครปฐม ปัจจุบันอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำอยู่ในระดับเท่ากันที่ 215 บาท/วัน เมื่อปรับขึ้นเพิ่มจากฐานเดิม 40% หรือปรับเพิ่มขึ้น 86 บาท จะทำให้ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 301 บาท/วัน ขณะที่จังหวัดภูเก็ตเดิมอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 221 บาท/วัน หากปรับขึ้นในอัตรา 40% จะทำให้ค่าแรงเพิ่มขึ้น 88.40 บาท/วัน ไปอยู่ที่ 309 บาท/วัน

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน กระทรวงแรงงานจะดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์หลักในการพัฒนาฝีมือแรงงานไทย เป้าหมายก็เพื่อยกระดับคุณภาพฝีมือแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นและยินดีที่จะจ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมามีเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการในเชิง ไม่เห็นด้วยกับนโยบายปรับขึ้นค่าแรง ขั้นต่ำของรัฐบาลเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วันเท่ากับทุกจังหวัด

"เรื่องนี้ผมได้มอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นแม่งานหลัก แนวทางคือจะมีการยกระดับคุณภาพฝีมือแรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งระบบ โดยจะดำเนินการทั้งในส่วนของการฝึกอบรมทักษะ ความสามารถ คุณภาพ ตลอดจนความมีวินัยในการทำงาน"

นายเผดิมชัยกล่าวว่า ในส่วนของการพัฒนาฝีมือแรงงานตนได้เสนอของบประมาณให้กับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) และกรมการจัดหางาน (กกร.) เป็นเงินทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเพิ่มผลผลิตให้แก่ผู้ประกอบการ ในส่วนนี้นอกจากทำให้คุณภาพฝีมือแรงงานไทยเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพแล้ว ยังส่งผลดีต่อประเทศไทยในระยะยาวด้วย เพราะแรงงานไทยที่ผ่านการอบรมมาตรฐานวิชาชีพจะได้ใบรับรองที่ออกให้โดยกรม พัฒนาฝีมือแรงงาน สามารถนำไปใช้ในการการันตีคุณภาพฝีมือแรงงานของตนเองกับผู้ประกอบการทั้งใน ประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558

ในส่วนนี้จะมีการพัฒนาสถาบัน พัฒนาฝีมือแรงงานภาคซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 12 แห่ง และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดอีก 65 แห่ง เพื่อยกระดับศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานให้เป็นศูนย์กลาง (ฮับ) ในระดับภูมิภาคอาเซียน สำหรับสาขาวิชาชีพต่าง ๆ ทั้งจะยกระดับทูตแรงงานอีก 13 แห่ง ใน 11 ประเทศ ทั่วโลกให้มีบทบาทเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติอีกทางหนึ่ง

นายเผดิมชัยกล่าวต่อว่า การดำเนินการที่จะทำคู่ขนานไปพร้อมกันคือ ให้หัวหน้าสำนักแรงงานจังหวัดทั่วประเทศหาฐานข้อมูลที่ชัดเจนเพื่อเปรียบ เทียบกับค่าครองชีพบนพื้นฐานของดัชนีค่าครองชีพ ให้สัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพื่อให้เกิดความสมดุลและเป็นธรรมทั้งผู้ใช้แรงงานและ ผู้ประกอบการ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผลกระทบของทุกภาคส่วนให้มากที่สุด โดยเฉพาะภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) โดยจะร่วมกันปรึกษาหารือเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหากับผู้ใช้แรงงาน ผู้ประกอบการ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ

แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงานเปิดเผยเพิ่มเติมว่า หากรัฐบาลใช้แนวทางปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำโดยปรับค่าแรง เพิ่ม 40% จากฐานค่าจ้างเดิมเท่ากันทั้งประเทศ จะมีหลายจังหวัดที่แม้ปรับค่าแรงเพิ่มขึ้นจากฐานเพิ่ม 40% แล้ว ก็ยังไม่ถึง 300 บาท/วัน ซึ่งเป็นอัตราค่าแรงขั้นต่ำตามนโยบายของรัฐบาล ชุดนี้ อาทิ จังหวัดชลบุรี ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำ 196 บาท/วัน ปรับขึ้น 40% เป็น 274 บาท/วัน, ฉะเชิงเทรา, สระบุรี ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำ 193 บาท/วัน ปรับขึ้น 40% เป็น 270 บาท/วัน ระยอง ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำ 189 บาท/วัน ปรับเพิ่ม 40% เป็น 264 บาท เป็นต้น

ขณะที่อัตราค่าแรง 5 อันดับที่ต่ำที่สุดในประเทศ ประกอบด้วย พิจิตร, แพร่, อุตรดิตถ์, แม่ฮ่องสอน, พิษณุโลก, มหาสารคาม, อำนาจเจริญ ซึ่งปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำ 163 บาท/วัน เมื่อปรับเพิ่ม 40% ค่าจ้างจะปรับเพิ่มขึ้นไปที่ 228 บาท/วัน สุรินทร์,ตาก ค่าแรงปัจจุบัน 162 บาท/วัน ปรับเพิ่ม 40% เป็น 226 บาท/วัน น่าน 161 บาท ปรับเพิ่ม 40% เป็น 225 บาท/วัน ศรีสะเกษ 160 บาท/วัน ปรับเพิ่ม 40% เป็น 224 บาท/วัน และพะเยา ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีค่าแรงต่ำที่สุดในประเทศ ปัจจุบันอยู่ที่ 159 บาท/วัน เพิ่ม 40% เป็น 222 บาท/วัน เป็นต้น ดังนั้น หากจะให้ค่าแรงขั้นต่ำเป็นไปตามนโยบายรัฐบาล 300 บาท/วัน ก็ต้องทยอยปรับเพิ่มอีกหลายระลอก

(ประชาชาติธุรกิจ, 31-8-2554)

 

ก.แรงงาน สำรวจอาชีพรองรับ นร.-นศ.จบมีงานทำ

นางสุทัศนี สืบวงศ์แพทย์ อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กกจ.มีนโยบายส่งเสริมการมีงานทำ และแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานโดยในกลุ่มของนักเรียน นักศึกษาที่เรียนจบใหม่นั้น จะปรับปรุงการจัดงานมหกรรมนัดพบแรงงานในจังหวัดต่างๆ ซึ่งจัดขึ้นทั้งหมดปีละ 23 ครั้ง ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียน นักศึกษาที่จบใหม่ให้มากยิ่งขึ้น โดย กกจ.ได้ส่งเจ้าหน้าที่จัดหางานในแต่จังหวัดไปสำรวจตามสถานศึกษาว่างานประเภท ใดบ้างมีนักเรียน นักศึกษา ให้ความสนใจอยากสมัครทำงาน หลังจากนั้น ให้เจ้าหน้าที่ของ กกจ.ร่วมกับครูแนะแนวจัดแนะนำอาชีพเหล่านี้ให้แก่นักเรียน นักศึกษา อีกทั้งจะจัดหาตำแหน่งรองรับและเปิดให้มีการลงทะเบียนสมัครงานอาชีพเหล่านี้ ล่วงหน้า และให้มาสัมภาษณ์ในงานมหกรรมนัดพบแรงงานแต่ละจังหวัด
      
อธิบดี กกจ.กล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่มผู้พิการและผู้สูงอายุ ก็ได้ให้กองส่งเสริมการมีงานทำไปสำรวจข้อมูลว่า มีบริษัทสถานประกอบการใดบ้างรับผู้สูงอายุเข้าทำงาน และรับจำนวนกี่เปอร์เซ็นต์ และ กกจ.จะช่วยประสานงานให้ผู้สูงอายุที่สามารถทำงานได้ได้มีงานทำ เช่น เป็นวิทยากรอบรมเรื่องที่มีความรู้ความชำนาญ นอกจากนี้ กลุ่มของผู้พิการซึ่งกฎกระทรวงว่าด้วยการรับคนพิการเข้าทำงานตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 ซึ่งได้ปรับปรุงใหม่โดยกำหนดให้รับคนพิการ 1 คน เข้าทำงานต่อคนปกติ 100 คน และจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคมนี้
      
กกจ.ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดำเนินการสนับสนุนให้ผู้พิการได้มีงานทำ โดย พม.ให้งบ กกจ.มาช่วยสำรวจว่าผู้พิการที่มีศักยภาพทำงานได้จำนวนเท่าใด คาดว่า จะสำรวจเสร็จก่อนเดือน ต.ค.นี้ และจะหาวิธีอำนวยความสะดวกในการสมัครงานให้แก่ผู้พิการ เช่น การให้ผู้พิการเล่าถึงความรู้ความสามารถของตนเอง และส่งให้แก่สถานประกอบการที่ต้องการจ้างงานผู้พิการ หากนายจ้างดูวิดีโอแล้วสนใจก็เรียกตัวมาสัมภาษณ์โดยตรง นอกจากนี้ จะหารือกับสถานประกอบการ เพื่อหางานให้แก่ผู้สูงอายุและผู้พิการรับไปทำที่บ้าน ซึ่งมีกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำงานที่บ้านรองรับ และ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ.2553 รองรับ ช่วยลดต้นทุนให้แก่สถานประกอบการได้นางสุทัศนี กล่าว

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 31-8-2554)

 

ปตท.ปรับค่าแรง 300 บาทเริ่มต้นปี 55 รายจ่ายเพิ่ม 500 ล้าน

นายประเสริฐ  บุญสัมพันธ์   ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (ปตท.)  เปิดเผยว่า ปตท. มีนโยบายที่จะปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจำนวนวันละ 300 บาทในกลุ่มของผู้ใช้แรงงาน (Contract Out) ที่มีสัญญาจ้าง ซึ่งปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ของ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. โดยตรง ตามนโยบายของรัฐบาล

ในส่วนของภาระต้นทุนที่สูงขึ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ  500 ล้านบาทต่อปีนั้น   ปตท. จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้เอง  ทั้งนี้ จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555  โดยจะดำเนินการในเมืองหลักก่อน เช่น กรุงเทพฯ นนทบุรี  ปทุมธานี  นครปฐม  สมุทรสาคร  สมุทรปราการ  และภูเก็ต และจะทยอยดำเนินการในจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป

ส่วนกรณีลูกจ้าง ที่ปฏิบัติงานในสถานีบริการน้ำมัน ของ ปตท. ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ  ปตท. ก็มีนโยบายที่จะสนับสนุนให้เจ้าของกิจการ ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวในต้นปี 2555 เช่นกัน  ทั้งนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการสนับสนุน ให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการเป็นไปตามทิศทางที่ได้กำหนดไว้ต่อไป

ปตท.หวังว่านโยบายการปรับค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นนอกจากจะช่วยให้ ลูกจ้างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว  ยังจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงานอันนำมาซึ่งประสิทธิภาพในการทำ งานที่เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย

(กรุงเทพธุรกิจ, 1-9-2554)

 

ลูกจ้างค้านขึ้น 300 บ. 7 จว.จี้ต้องขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ

วันนี้ (1 ก.ย.) จากกรณีที่นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน(รมว.รง.)มีนโยบายเตรียมจะนำร่องปรับขึ้นค่า จ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทใน 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี และภูเก็ตนั้น นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับกับแนวทางดังกล่าวเพราะรัฐบาลได้หาเสียงไว้ว่าจะปรับขึ้นค่า จ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท ทุกจังหวัดพร้อมกันทั่วประเทศ จึงอยากให้รัฐบาลดำเนินการปรับขึ้นค่าจ้างตามที่ได้หาเสียงไว้ เนื่องจากขณะนี้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคได้มีการปรับขึ้นนำค่าจ้างขั้นต่ำไป แล้ว ทำให้แรงงานมีค่าครองชีพสูงขึ้น

นายมนัส กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กลุ่มแรงงานได้ขอเข้าพบ รมว.แรงงาน ในวันที่ 2 ก.ย. นี้ เพื่อขอหารือในเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ และการดูแลแรงงาน เช่น การพัฒนาระบบประกันสังคม แต่ รมว.แรงงานยังไม่ให้เข้าพบ อย่างไรก็ตาม สภาองค์กรลุกจ้าง จะร่วมกับคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) แถลงข่าวในวันที่ 5 ก.ย. นี้เวลา 09.00 น. ที่โรงแรมบางกอกพาเลซ กทม.โดยมีรมว.แรงงานร่วมแถลงข่าวด้วย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทพร้อมกันทั่วประเทศโดยอยากให้ปรับในช่วงเดือน ต.ค. นี้พร้อมกับกลุ่มข้าราชการและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ
      
ด้านนายนคร สุทธิประวัติ ประธานสภาองค์การลูกจ้าง สภาแรงงานอิสระแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าจ้างเป็น 300 บาทตามแนวทางที่ รมว.แรงงานเสนอ คงไม่เกิดผลประโยชน์อะไรกับลูกจ้างมากนัก เนื่องจากใน 7 จังหวัดที่กล่าวว่าจะปรับเป็นการนำร่องนั้น ลูกจ้างก็ได้ค่าจ้างอยู่ที่ราว 300 บาทต่อวันอยู่แล้ว ส่วนจังหวัดที่ไม่ได้เป็นจังหวัดนำร่อง ก็น่าจะไม่พอใจในแนวทางดังกล่าว ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ จึงอยากให้นำแนวทางดังกล่าวไปเสนอต่อบอร์ดค่าจ้าง เพื่อให้ทำการพิจารณาก่อน แต่โดยส่วนตัวอยากให้รัฐบาลทำตามที่ได้หาเสียงเอาไว้ โดยปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทพร้อมกันทั้งประเทศ
      
นายอรรถยุทธ ลียะวณิช เลขาธิการสภาองค์การนายจ้าง ผู้ค้าและบริการเครื่องอุปโภคบริโภค ให้ความเห็นว่าอยากให้รัฐบาลพิจารณาขึ้นค่าจ้างจากกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่ใช่มากดดันให้คณะกรรมการ (บอร์ด) ค่าจ้างกลางพิจารณาปรับขึ้นตามนโยบายหาเสียง และขอวิงวอนให้รัฐบาลอย่าแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการไตรภาคี ที่มีหน้าที่ในการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้าง โดยปล่อยให้ได้ทำงานอย่างมีอิสระ

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 1-9-2554)

 

ลูกจ้างนัดรวมพล 5 ก.ย. ทวงสัญญา "300 บาท"

จากกรณีที่ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (รมว.รง.) มีนโยบายเตรียมที่จะนำร่องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทใน 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี และ ภูเก็ต นั้น

นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวเพราะรัฐบาลได้หาเสียงไว้ว่าจะปรับขึ้นค่าจ้าง ขั้นต่ำเป็น 300 บาท ทุกจังหวัดพร้อมกันทั่วประเทศ จึงอยากให้รัฐบาลดำเนินการปรับขึ้นค่าจ้างตามที่ได้หาเสียงไว้ เนื่องจากขณะนี้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคได้มีการปรับขึ้นนำค่าจ้างขั้นต่ำไป แล้ว ทำให้แรงงานมีค่าครองชีพสูงขึ้น

 จากการสำรวจแรงงาน 400 คน ในสถานประกอบการ 20 แห่งที่ จ.สมุทรปราการ พบว่าแรงงานมีรายได้เฉพาะค่าจ้างเดือนละ 5,590 บาท แต่มีรายจ่ายทั้งค่าประกันสังคม ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าสาธารณูปโภครวมกัน 6,859 บาท ซึ่งลูกจ้างจะติดลบ 1,269 บาท ทั้งนี้ หากปรับค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาท คำนวณเวลาทำงาน 26 วัน จะมีรายได้เดือนละ 7,800 บาท

สภาองค์การลูกจ้าง จะร่วมกับคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ในวันที่ 5 ก.ย. ที่โรงแรมบางกอกพาเลซ กทม. โดยมี รมว.แรงงาน มาร่วมด้วย  เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท พร้อมกันทั่วประเทศโดยอยากให้ปรับในช่วงเดือนต.ค. นี้ พร้อมกับกลุ่มข้าราชการและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจนายมนัส กล่าว

(กรุงเทพธุรกิจ, 2-9-2554)

 

จับหนุ่มบุรีรัมย์ ลวงแรงงานไทยทำงานไซปรัส

เมื่อเวลา 14.00 น. พ.ต.อ.วรพงษ์ ทองไพบูลย์ ผกก.2 บก.ปคม. พ.ต.ท.ชูศักดิ์ เคทอง รอง ผกก.2 บก.ปคม. นำกำลังจับกุม นางภัทร์สรรพ์พร ทรันเวทย์ อายุ 39 ปี ตามหมายจับข้อหาจัดหางานให้คนงานไปทำงานต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจับกุมได้ที่บริเวณ หน้ากรมสุขภาพจิต อ.เมือง นนทบุรี

สอบสวนทราบว่า ผู้ต้องหากับนายฮาร์ดีฟ ซิงค์ สามีชาวอินเดีย ร่วมกันหลอกนายวีระชัย เหลืองเดชานุรักษ์ อายุ 39 ปีว่ามีงานพนักงานโรงแรมรายได้ดีที่ประเทศไซปรัสผู้เสียหายสนใจจึงโอนเงิน ให้เกือบ 3 แสนบาทเป็นค่าดำเนินการแต่หลังจากจ่ายเงินไปแล้วปรากฏว่าไม่ได้เดินทางไปทำ งาน แต่ผู้ต้องหาปฏิเสธอ้างส่งเงินต่อให้เพื่อนสามีไปหมดแล้ว

อีกราย พ.ต.อ.ปัญญา ปิ่นสุข ผกก.5 บก.ปคม. นำกำลังร่วมกับสถานีตำรวจน้ำ 1 กก. 6 บก.รน. จับกุม นายวิรุณ รุ่งเจริญ อายุ 53 ปี ไต้ก๋งเรือ ส.พรวิษณุชัย 1 พร้อมแรงงานต่างด้าวชาวพม่าอีก 6 คน ได้ที่บริเวณท่าจอดเรือของสถานีตำรวจน้ำ จ.ชุมพร จึงดำเนินคดีข้อหาให้ที่พักพิงคนต่างด้าว หลังได้รับการประสานจากมูลนิธิกระจกเงาว่ามีแรงงานไทยและพม่า 2 คนถูกบังคับให้ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง คนหนึ่งทนไม่ไหวกระโดดน้ำหนีแต่ไปไม่รอดถูกลงโทษด้วยการใช้ไม้ทุบตีอย่าง ทารุณ

(เนชั่นทันข่าว, 2-9-2554)

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘วรเจตน์’ ยัน การลาออกจาก ‘ประธาน’ โดยยังรักษาเก้าอี้ ‘ตุลาการศาล รธน.’ ทำไม่ได้

Posted: 04 Sep 2011 10:58 AM PDT

วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ติงประธานวุฒิสภา พิจารณาให้ดีก่อนนำชื่อ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ทูลเกล้าฯแต่งตั้งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ เหตุการลาออกของนายชัช ชลวร ประธานคนก่อน โดยยังนั่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเฉยๆ ทำไม่ได้ 

1 กันยายน 2554 รศ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กับ ‘ประชาไท’ ถึงกรณีการลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญของนายชัช ชลวร และการที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้คัดเลือกนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญว่า

รัฐธรรมนูญมาตรา 204 บัญญัติให้องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยประธานศาลคนหนึ่ง และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 8 คน ซึ่งมาจากการแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา โดยคณะตุลาการนี้ประกอบด้วย ผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คน ตุลาการปกครองสูงสุด 2 คน เป็น 5 คน มีผู้เชี่ยวชาญนิติศาสตร์ 2 คน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านรัฐศาสตร์อีก 2 คน รวมเป็น 9 คน ซึ่งพอได้ 9 คนนี้มา ก่อนจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่งตั้ง 9 คนนี้จะต้องมาประชุมกันเพื่อเลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แล้วจึงแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาทราบ จากนั้นประธานวุฒิสภาจึงนำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการรัฐธรรมนูญ

“หมายความ นาย ก. ที่ได้รับการคัดสรรให้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่เดิม ได้ไปเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ส่วน นาย ข. นาย ค. และ คนอื่นๆ เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

“ปัญหาก็คือตอนลาออก จะลาออกอย่างไร ซึ่งการพ้นจากตำแหน่งนั้น มีบทบัญญัติเอาไว้ในมาตรา 209 ว่า นอกจากการพ้นตำแหน่งตามวาระ ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (1) ตาย (2) มีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ (3) ลาออก ทีนี้หากสมมติว่ามีการลาออก ผลของการลาออกจะเกิดผลตามมา คือต้องมีการคัดเลือกคนเข้ามาแทนคนที่ลาออกไป ซึ่งรัฐธรรมนูญก็กำหนดต่อมาในมาตรา 210 วรรค 2 ให้สรรหาใหม่จากที่มาแต่เดิม เช่น หากคนที่ลาออกมาจากสายศาลฎีกา ศาลฎีกาก็ต้องเลือกคนเข้ามาแทนคนลาออก ถ้ามาจากสายศาลปกครอง ศาลปกครองก็ต้องส่งมา ถ้าสายนิติศาสตร์ก็ต้องมีกรรมการเข้ามาประชุมแล้วคัดเลือกเข้ามาแทนที่

“แต่ไม่มีกรณีที่บอกให้ ‘ประธานศาลรัฐธรรมนูญ’ ลาออกแล้วก็ให้คงเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอยู่เลย ถ้าดูจาก 210 วรรค 2 เวลาที่ลาออก คือหมายถึงการลาออกจากความเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ลาออกจากความเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ พูดง่ายๆ คือ ในระบบที่เราตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญแบบนี้ ประธานศาลจะไม่สามารถลาออกจากตำแหน่งประธานได้ คือถ้าจะลาออก ต้องออกไปจากศาลรัฐธรรมนูญเลย เพราะระบบมันวางไว้แบบนี้ แล้วระบบที่วางไว้แบบนี้ก็สอดคล้องกับหลักอยู่ เพราะจะเป็นเรื่องที่ประหลาดมากๆ ถ้าหากวันหนึ่งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้วอยู่ๆก็ลาออก แล้วไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเฉยๆ อย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญทำอยู่นี้ จะมาผลัดกันเป็นไม่ได้”

นักวิชาการกฎหมายมหาชน ยังอธิบายต่อด้วยว่า หากการตีความว่า การลาออกนี้เป็นลาออกจากความเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ผลก็คือ ขณะนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้นเหลืออยู่เพียง 8 คน การที่คุณชัช ชลวรเข้าไปนั่งประชุมด้วย จึงหมายความว่า มีคนที่ไม่ได้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปนั่งประชุม ปรึกษา หรือพิจารณาอะไร ซึ่งหากมีมติอะไรออกมา ก็เท่ากับว่า มตินั้นมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมาย

รศ.วรเจตน์ ยังกล่าวด้วยว่า ลักษณะเช่นนี้มีอยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คือเป็นการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งประธานและคณะกรรมการไปพร้อม ซึ่งจะต่างจากศาลปกครอง หรือศาลฎีกา ที่มีการโปรดเกล้าฯ ผู้พิพากษาศาลฎีกาในชั้นหนึ่งก่อน และต่อมาหากผู้ใดได้รับเลือก จึงมีการโปรดเกล้าฯประธานอีกชั้นหนึ่ง

เมื่อถามว่า การตีความเช่นนี้ เป็นปัญหาเรื่องความชอบธรรมที่ได้รับจากการโปรดเกล้าฯ หรือเป็นเรื่องพิธีการมากกว่า คือไหนๆ จะต้องทูลเกล้าเพื่อโปรดเกล้าฯ แล้วทำไปทีเดียวเลย รศ.วรเจตน์ อธิบายว่า

“เรื่องนี้ไม่ใช่แค่พิธีการ ลองนึกภาพดูว่า หากทำอย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญทำอยู่นี้ คือมีประธานลาออกต่อที่ประชุมตุลาการ พอลาออกก็อนุมัติให้ท่านออก แล้วให้ท่านทำหน้าที่ประธานชั่วคราว หลังจากนั้นก็เลือกคุณวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ขึ้นมาเป็นประธาน แล้วส่งชื่อให้ประธานวุฒิสภานำความโปรดเกล้า ผมถามว่า โปรดเกล้าฯ คราวนี้ โปรดเกล้าฯใคร เพราะว่าตอนตั้งเข้ามามีโองการโปรดเกล้าฯ คือมีคำสั่งตั้งตามกฎหมาย แต่ตอนออกนั้นไม่มีคำสั่งออก เพราะตอนตั้งได้ตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญเข้ามา แต่ตอนออกยังไม่มีการให้ออก หมายความว่าตอนที่โปรดเกล้าฯ ต้องโปรดเกล้าเฉพาะคุณวสันต์ สร้อยวิสุทธิ์ขึ้นเป็นประธานศาลคนใหม่ หรือต้องโปรดเกล้าคุณชัช ชลวร ให้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกทีด้วยพร้อมกัน”

โดยหลักจึงทำไม่ได้ เพราะในเชิงระบบได้ออกแบบมาให้เป็นแบบนี้ คือเป็นประธานแล้วก็เป็นยาวไปเลย คืออยู่ไปจนหมดวาระ หรือตาย หรืออายุครบ 70 ปี หรือไม่ก็ลาออก (จากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)

“คือถ้ามีบทบัญญัติ ว่าด้วยการลาออกจากประธานศาลโดยเฉพาะนี่ อันนี้ทำได้เลย เพราะรัฐธรรมนูญยอมรับให้พ้นตำแหน่งเฉพาะประธานได้ ซึ่งระบบกระบวนการแต่งตั้งก็จะเป็นอีกแบบ แต่เรื่องการลาออกนี้ไปอยู่ในมาตรา 209 คู่ไปกับการพ้นจากตำแหน่งในกรณีอื่นๆ คือเมื่อ (1) ตาย (2) อายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ (3) ลาออก ซึ่งการลาออกนี้ เราอ่านไม่ได้ว่าพ้นตำแหน่งเมื่อตาย ตายจากตำแหน่งประธาน แล้วให้มาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งการลาออกนี้อยู่ในมาตรานี้  มาตราเดียวกัน จึงต้องตีความไปในแนวทางเดียวกันว่า ต้องพ้นไปเลย คือลาออกแล้วพ้นจากตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเลย ไม่ใช่พ้นแต่เฉพาะตำแหน่งประธาน”

“ถ้าไม่มองจากบ้านเรา ดูจากแนวของต่างประเทศ ถ้าเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ผมก็ไม่เคยเห็นการลาออกจากตำแหน่งประธานแล้วมาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญธรรมดา มันไม่มี ไม่เคยเห็นที่ไหนทำแบบนี้ โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นศาลรัฐธรรมนูญ  เพราะถือว่า ถ้าเป็นแล้วก็คือยาว เพราะจริงๆ แล้ว การเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้นถือว่าสูงสุดแล้ว ตำแหน่งประธานซึ่งเป็นตำแหน่งในเชิงบริหาร เป็นผู้นำองค์กรซึ่งไม่มีผล คือในบางประเทศตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางท่านก็มีชื่อเสียงได้รับการยอมรับสูงกว่าประธานศาลรัฐธรรมนูญอีกก็เป็นไปได้ด้วย เพราะถือว่าเท่ากัน เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหมือนกัน ทีนี้บ้านเรา ผมว่าอาจจะเป็นวิธีคิด เป็นวัฒนธรรมความคิดแบบไทย เท่าที่ทราบ คล้ายๆ กับว่ามีการตกลงกันก่อนไว้หรือเปล่าว่า จะอยู่ในตำแหน่งเท่านี้ แล้วจะเปลี่ยนให้คนอื่นขึ้นมาเป็น ซึ่งหากตีความตามรัฐธรรมนูญแล้ว ไม่น่าจะถูก”

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่าแล้วองค์กรไหนจะมีหน้าที่ทำให้เกิดความชัดเจนในข้อกฎหมายนี้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีหน้าที่พิจารณาตีความรัฐธรรมนูญมีปัญหาในข้อกฎหมายเสียเอง รศ.วรเจตน์ เห็นว่าต้องเป็นประธานวุฒิสภาที่ต้องพิจารณาเรื่องนี้

“ประธานวุฒิสภาต้องทำความเห็นกลับไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ต้องปรึกษาฝ่ายกฏหมาย เพราะมีหน้าที่ที่ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ จึงต้องรับผิดชอบในแง่นี้ สมมติว่ากระบวนการไม่ถูกต้องแล้วจะทำอย่างไร ประธานวุฒิสภาก็ต้องมีสิทธิ หากเห็นว่าไม่ถูกต้อง จะให้ประธานวุฒิสภานำขึ้นทูลเกล้าได้อย่างไร เพราะฉะนั้นขณะนี้ ความกดดันจะไปอยู่ที่วุฒิสภา อยู่ที่ว่า ประธานวุฒิสภาจะว่าอย่างไร

“นอกจากตัวประธานวุฒิสภาแล้ว อีกองค์กรหนึ่งก็น่าจะเป็นที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพราะคุณชัชมาจากสายศาลฎีกา  โดยเหตุที่กรณีนี้มีปัญหาเกี่ยวพันกับอำนาจของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาในการเสนอบุคคลมาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นศาลฎีกาอาจจะต้องประชุมกันเพื่อพิเคราะห์ประเด็นนี้ แล้วเสนอความเห็นไปที่ประธานวุฒิสภา” วรเจตน์กล่าว

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

'อัมมาร' จวก ‘จำนำข้าว’ ดันออกมาโดยไม่ได้คิด-ดีแต่โม้

Posted: 04 Sep 2011 09:33 AM PDT

สารพัดคำถาม 'นโยบายจำนำข้าว' จากทีดีอาร์ไอ จัดการอย่างไรกับสต๊อก เก็บนานแค่ไหน ปีหน้าจะเป็นอย่างไร ฉะรัฐบาลมีนโยบายพรั่งพรูออกมาโดยไม่คิด "ดีแต่โม้ โม้ทุกวัน"

วันที่ 4 กันยายน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เปิดแถลงข่าว “กลับไปสู่การจำนำข้าวเปลือก” โดย ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร และ ดร.อัมมาร สยามวาลา ณ ห้องประชุมชั้น 2 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ซอยรามคำแหง 39 โดยตั้งคำถามถึงรัฐบาลเกี่ยวกับผลกระทบของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทางเศรษฐกิจ

ย้อนอดีต จำนำข้าวมีแต่ล้มเหลว
ดร.นิพนธ์ กล่าวถึงโครงการจำนำข้าวในอดีต นอกจากการแทรกแซงตลาดข้าวด้วยนโยบายรับจำนำข้าวเปลือกในราคาสูงแล้ว รัฐบาลทักษิณยังพยายามจัดระเบียบการส่งออก เพื่อให้ไทยสามารถขายข้าวส่งออกได้ในราคาแพงขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือการค้าข้าว 5 ประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ล้มเหลว เพราะในที่สุดแล้ว ไทยถูกเวียดนามหลอกให้ตั้งราคาข้าวสูง ขณะที่เวียดนามแอบตัดราคาและเพิ่มยอดขายข้าวจนทำให้ส่วนแบ่งตลาดของไทยลดลง

“หรือการขายข้าวรัฐให้ผู้ส่งออกรายเดียว (เพรซิเดนท์อะกริ) 1.68 ล้านตัน ในปี 2547 ซึ่งในรายงานของวุฒิสภาในปี 2548 บริษัทรับมอบเพียง 0.95 ล้านตัน ส่งออกเพียง 0.59 ล้านตัน และขายข้าว  4-5 ล้านตันให้บริษัทในประเทศเพื่อส่งออก หลังขอแก้สัญญา โดยตัดเงื่อนไข ผู้ซื้อตกลงซื้อข้าวตามโครงการรับจำนำเพื่อส่งออกไปราชอาณาจักร” ดร.นิพนธ์ กล่าว และว่า นอกจากนั้น ยังมีการลดวงเงินในสัญญาค้ำประกัน บริษัทรับมอบข้าวใหม่ที่ขายได้ราคาดีกว่าข้าวเก่า อีกทั้งยังไม่สามารถรับมอบข้าวที่ประมูลได้ทั้งหมด สรุปคือ นโยบายขายข้าวให้ผู้ส่งออกรายเดียวจึงล้มเหลว

ดังนั้นแม้ไทยจะเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ แต่การที่ข้าวไทยราคาสูงขึ้นจากการรับจำนำนั้น ได้ทำให้คู่แข่งได้ประโยชน์ ทั้งจากการส่งออกเพิ่มในราคาสูงขึ้น และตัดราคาต่ำกว่าไทย ทำให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาด

หนี้สินบาน ซุกไว้ใต้พรม
ดร.นิพนธ์ กล่าวถึงภาระหนี้สินจากโครงการจำนำในอดีต เกิดค่าใช้จ่ายแฝงและหนี้สินนานหลายปี เพราะมีข้าวค้างสต๊อกจำนวนมาก เกิดภาระหนี้สินปลายเปิด (Contingent liability) 1.42 แสนล้านบาท (ณ ก.ค.2554) โดยหนี้ก้อนนี้ถูกซุกไว้เป็นบัญชีจำแลงนอกงบประมาณแผ่นดิน คือที่ ธกส.

“ข้าวค้างสต๊อกในโครงการรับจำนำปี 2547/48-2549/50 มีอยู่ 10.33 ล้านตัน สามารถระบายได้ 5.49 ล้านตัน และมีข้าวค้างสต๊อกถึง 4.84 ล้านตัน ซึ่งเวลานี้คงไม่มีข้าวแล้ว เพราะข้าวที่ค้างสต๊อกนานๆ ก็เหมือนการนำข้าวไปทิ้งทะเล เพียงแต่เราต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเช่าโกดังเท่านั้นเอง”

นอกจากนี้ ดร.นิพนธ์ ยังกล่าวถึงผลกระทบต่อโครงสร้างตลาดข้าวไทยที่จะทำให้ชาวนาหันมาผลิตข้าวอายุสั้นที่มีคุณภาพต่ำเพื่อจะได้นำข้าวสู่โครงการจำนำปีละหลายครั้ง ข้าวพม่า ข้าวเขมรจำนวนมากจะทะลักเข้าสู่โครงการนี้ ขณะเดียวกันโรงสีในโครงการจะได้กำไร โดยไม่ต้องใช้ฝีมือในการค้าขาย และได้เปรียบโรงสีนอกโครงการ พ่อค้าท้องถิ่นหันมาทำธุรกิจโรงสีจนทำให้ตลาดกลางสูญพันธุ์

“โครงการรับจำนำข้าวเปลือกในราคาสูงจึงสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจข้าวไทย ชาวนาผลิตข้าวคุณภาพต่ำขายให้รัฐบาลด้วยต้นทุนสูงขึ้น ไทยเริ่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่ง เกิดกระบวนการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนเกินจากเงินแทรกแซงของรัฐ ขณะที่รัฐสร้างภาระหนี้แบบปลายเปิดให้คนรุ่นหลัง ทั้งนี้ ผลประโยชน์ตกอยู่ที่ชาวนาเพียง 38% ที่เหลือส่วนใหญ่ตกอยู่กับพ่อค้า ผู้ส่งออก โรงสี เจ้าของโกดัง เกิดกระบวนการแสวงหาผลประโยชน์ก้อนนี้ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเลย ”

หลายคำถาม จากดร.อัมมาร
ขณะที่ดร.อัมมาร กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะพยายามออกมาตรการมาแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์โดยโรงสีแทนชาวนา ด้วยการออกบัตรเครดิตนั้น ตนก็ไม่แน่ใจว่า รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรหรือแก้ไขปัญหานี้ได้

“กิจกรรมใหญ่ของการจำนำข้าว คือการสต๊อกข้าว การจัดการกับการสต๊อกข้าว ผมไม่เถียง และเถียงไม่ได้ที่รัฐซื้อข้าวในปริมาณที่สูงจะยกระดับราคาข้าว เชื่อว่า 3-4 ปีข้างหน้า ราคาข้าวจะขึ้น หากต้องการให้สูงขึ้นมากๆ ถึงร้อยละ 50 จากระดับราคาปัจจุบันที่ถูกดันให้สูงขึ้นจากการเก็งกำไรของพ่อค้า อย่างไรก็ตามยิ่งซื้อมาก แต่พอได้ข้าวมาอยู่ในสต๊อกแล้วคุณต้องการจะทำอย่างไรกับข้าว นี่คือคำถามที่ผมมี รัฐบาลตั้งใจจะทำอะไร และมีมาตรการอะไร”

ดร.อัมมาร กล่าวอีกว่า หากรัฐบาลต้องการให้ราคาข้าวในต่างประเทศสูงขึ้น ต้องไม่ระบายข้าวออก ซึ่งช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เมื่อนำโครงการประกันมาใช้แรกๆ ก็มีข้าวค้างสต๊อกที่เหลือจากโครงการจำนำจนต้องต่อโครงการนี้ไปอีก 2 ฤดู มีข้าวกองอยู่ 5 ล้านตัน ไม่กล้าระบายออก เพราะทำให้ราคาตก

“ข้าวที่มีการสต๊อกเพิ่มขึ้นทุกปี เป็นเหมือน "ดินพอกหางหมู" มีปัญหาเรื่องการจัดการ ซึ่งรัฐบาลคิดว่าแก้ปัญหาได้ด้วยการจัดระเบียบการส่งออก อันนี้เป็นฝันกลางวันของนักการเมืองแทบทุกคน แทบทุกพรรคว่าจะจัดการขายข้าวในราคาสูงขึ้นได้ แต่ก็พบว่า ประสบความล้มเหลวมาโดยตลอด หรือต้องร่วมมือกับต่างประเทศคู่แข่ง ผมคิดว่า จะเป็นการเปิดโอกาสให้เวียดนามหลอกเราได้”

ข้าวไม่ใช่น้ำมัน ปิดก๊อกสต็อกเพิ่ม
นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ยกกรณีประเทศซาอุดิอาระเบีย พร้อมจะลดการผลิตน้ำมัน ซึ่งเสมือนการเพิ่มสต๊อกที่อยู่ในดิน น้ำมันไม่ได้หายไปไหน แต่นั่นคือ "น้ำมัน"  ไม่ใช่ "ข้าว"  เขาจึงสามารถทำได้ แต่สำหรับประเทศไทย อยู่ดีๆ จะบอกไม่ให้เกษตรกรปลูก ถามว่า ทำได้หรือไม่

“การให้เกษตรกรปลูกข้าวน้อยลง ผมตั้งคำถาม จะมีอำมาตย์หน้าไหนตามบอกเกษตรกรลดการปลูกข้าวลง จะมีใครไปบอกเกษตรกร เพราะเป็นสิทธิ์แต่โบราณการของการปลูกข้าว ดังนั้นจึงเป็นฝันกลางวันของนักการเมืองที่บอกว่า เราจะควบคุมการส่งออกได้”

ดร.อัมมาร กล่าวอีกว่า เรื่องสต๊อกข้าวจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยปีต่อๆ ไป แต่ต้องกลืนไปเรื่อยๆ หากจะรักษาระดับราคาข้าว ผลผลิตก็ถีบตัวสูงขึ้น เวลานี้ทุกคนอยากปลูกข้าวมาก การบอกให้ปลูกข้าวน้อยลง ถามว่า รัฐบาลมีมาตรการอย่างไรให้ชาวนาปลูกข้าวน้อยลงได้สำเร็จ  หวังว่าการปลูกข้าวในประเทศไทยจะไม่ใช่การปลูกฝิ่นที่เป็นของต้องห้าม ปลูกไม่ได้

“คำถามที่เรามีต่อนโยบายการจำนำ จึงไม่ใช่ราคาขึ้นจริงหรือไม่  เมื่อรัฐบาลซื้อข้าวได้ เพราะสัญญาไว้แล้ว แต่จะทำอย่างไรกับสัญญา จะเก็บสต๊อกนานแค่ไหน ปีหน้าจะเป็นอย่างไร ขณะที่ข้าวออกมาเรื่อยๆ"

สำหรับการตั้งราคาข้าวสูงๆ นั้น ดร.อัมมาร กล่าวว่า การตั้งราคาสูงลูกค้าหาย ข้าวเหล่านั้นก็จะไปกองอยู่ในสต๊อก และ หากเราหยุดขายข้าว คนที่ได้ประโยชน์คือคู่แข่ง เพราะเราส่งออกข้าวในราคาบ๊องๆ อย่างนั้น

ตั้งชื่อรัฐบาลนี้ ดีแต่โม้
เมื่อถามถึงข้อเสนอแนะในการบรรเทาความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว ดร.อัมมาร กล่าวว่า การรับจำนำ 15,000 บาท และการรับจำนำ รัฐบาลคงไม่ถอยแน่ ฉะนั้นการไปเยียวยาลดปัญหาลงนั้น เหลือวิสัยที่เราจะคิดออก ไม่ใช่หน้าที่ ที่จะไปคิด 

“รัฐบาลบอกจำนำก็เชิญท่านทำไป เพื่อต้องรักษาสัญญา ผมมีแต่คำถามที่รัฐบาลต้องตอบ” ดร.อัมมาร กล่าว และว่า   รัฐบาลชุดนี้มีนโยบายพรั่งพรูออกมาโดยไม่ได้คิด ซึ่งต่างจากรัฐบาลทักษิณยุคแรก เวลานี้ผมจึงเห็นว่า นักการเมืองกำลังหันซ้ายหันขวา แก้ปัญหาไปวันต่อวัน โม้ไปวันต่อวัน จนผมอยากตั้งชื่อรัฐบาลนี้ว่า ดีแต่โม้ โม้ทุกวัน เป็นอย่างนั้น

นักวิชาการทีดีอาร์ไอ กล่าวด้วยว่า  ดังนั้น โครงการรับจำนำข้าวไม่ควรออกแบบมาตั้งแต่ต้น การมีนโยบายที่มีการคาดหมายเข้าข้างตัวเองเสมอๆ แบบที่รัฐบาลนี้มีเป็นเรื่องที่ตัวเองก็กลัว ผิวปากไปเรื่อยๆ  เป็นนโยบายฝันให้ตัวเองหลุดพ้นปัญหาที่สร้างขึ้นมา

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ใจ อึ๊งภากรณ์: แกนนำเสื้อแดงไม่ยอมพูดความจริงทั้งหมดกับมวลชน

Posted: 04 Sep 2011 09:18 AM PDT

ในงาน "คอนเสิร์ตต้อนรับวันอิสรภาพ ลมหายใจที่ไม่แพ้" ของเสื้อแดงเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2554 ที่ชั้น 6 ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว แกนนำหลายคนได้แสดงจุดยืนเกี่ยวกับรัฐบาลใหม่ ซึ่งเราจะต้องนำมาวิเคราะห์ (ดูคลิปวิดีโอได้ที่ http://thaienews.blogspot.com/ )

บก.ลายจุด สมบัติ บุญงามอนงค์ เสนอว่า “เสื้อแดงเป็นกองหลัง เพื่อไทยเป็นกองหน้า” บอกว่าเสื้อแดงกับเพื่อไทยต้องเกาะกันสนิท และเชื่อว่าคนของเราที่คุมอำนาจอยู่ ท้ายสุดสมบัติมีความหวังว่านายกยิ่งลักษณ์จะนำคนที่สั่งฆ่าประชาชนมาขึ้นศาล ประชาชน

ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ บอกว่าจะเดินหน้าหาทางประกันคนเสื้อแดงทั่วประเทศ 40 คนที่ยังถูกขังอยู่ ณัฐวุฒิเสนออีกว่าต้องปรับวิธีทำงานของคนเสื้อแดง เน้นการขยายมวลชน บอกให้คนเสื้อแดงใจเย็นไปก่อน รอให้แกนนำนปช.กำหนดแนวทาง และมองว่าเราต้องปกป้อง “รัฐบาลของประชาชน”

จตุพร พรหมพันธ์ บอกว่าคนเสื้อแดงต้องปกป้องรัฐบาลเพื่อไทยจากรัฐประหาร อย่างที่เคยเกิดกับรัฐบาลไทยรักไทยและพลังประชาชน จตุพรบอกด้วยว่าฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชนยังมีตำแหน่งและลอยนวล เราไม่ควรลืม

แกนนำเหล่านี้เป็นคนที่กล้าหาญเสียสละและต่อสู้มานาน แต่ตอนนี้เขามีแนวโน้มที่จะไว้ใจรัฐบาลเพื่อไทยมากเกินไปว่าจะแก้ไขวิกฤตการ เมือง เช่นเรื่องการนำคนสั่งฆ่าประชาชนมาขึ้นศาล โดยไม่มีการวิเคราะห์เลยว่าเพื่อไทยพร้อมจะปรองดองยอมจำนนต่อทหารแค่ไหน ไม่เตรียมมวลชนสำหรับการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมเลย ซึ่งเราอาจต้องสู้เพื่อกดดันรัฐบาล หรืออาจต้องถึงกับคัดค้านรัฐบาลในบางเรื่องด้วย แกนนำเหล่านี้มองว่าเสื้อแดงต้องไว้ใจรัฐบาลให้โอกาสรัฐบาล และใจเย็นรอเป็นปีๆ เพื่อให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ การพูดแบบนี้เป็นการเสนอมุมมองว่าเสื้อแดงเป็นแค่ “กองเชียร์” หรือ “ลูกน้อง” ของรัฐบาล แทนที่เสื้อแดงจะเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อความยุติธรรมและ ประชาธิปไตย

การเสนอว่าเสื้อแดงควรใช้เวลาตอนนี้ในการขยายเครือข่ายมวลชน เป็นเรื่องดี แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือไม่ระบุว่าการขยายมวลชนเสื้อแดง ควรเน้นไปที่ไหน ไม่พูดถึงความสำคัญของขบวนการแรงงาน พูดแค่ว่าเราควรหามิตรให้มากที่สุด ซึ่งอาจหมายความว่าต้องไปจับมือกับเสื้อเหลืองหรือเปล่า? ยิ่งกว่านั้นการเสนอให้ขยายเครือข่ายมวลชน โดยไม่ขยายผลงานในรูปธรรมของเสื้อแดงพร้อมๆ กัน เช่นเรื่องการเคลื่อนไหวให้ยกเลิก 112 การเลิกคดีคนเสื้อแดง การปลด ผบ.ทบ. หรือการแจ้งความ อภิสิทธิ์ สุเทพ อนุพงษ์ ประยุทธ์ ในคดีฆ่าประชาชน จะทำให้ขยายมวลชนอยากมาก เพราะเราจะต้องมีผลงานรูปธรรมไปเสนอกับคนที่ยังไม่เป็นเสื้อแดงเพื่อให้เขา มาเป็นพวก

บางคนอาจบอกว่าถ้าเรารุกสู้แบบนั้น เราจะดึงเสื้อเหลืองมาเป็นมิตรไม่ได้ ถ้าคิดอย่างนั้นก็เท่ากับคิดยอมจำนนกับอำมาตย์ เพื่อนำเสื้อเหลืองมาเป็นมิตร ความคิดแบบนี้จะนำเราไปสู่ความพ่ายแพ้

แกนนำเสื้อแดงพูดถูกเวลาบอกว่าเราต้องปกป้องรัฐบาลจากรัฐประหาร แต่ถ้าเราเน้นบทบาทของเสื้อแดงไว้แค่นี้ และปลุกให้คนกลัวรัฐประหารมากเกินไป จะทำให้เรามองข้ามความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลเพื่อไทยทำข้อตกลงกับทหารอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้มีการทำรัฐประหาร เช่นการสัญญาว่าจะไม่ปลดประยุทธ์ ไม่แก้ไขปัญหา 112 หรือไม่นำคนสั่งฆ่าประชาชนมาขึ้นศาล ถ้าเราไม่ระวังการพูดแต่เรื่องรัฐประหารจะกลายเป็นข้ออ้างในการเสนอว่าเสื้อ แดงควรใจเย็นไม่เคลื่อนไหวเพื่อทวงความยุติธรรมต่างๆ เลย

แกนนำเสื้อแดงเหล่านี้พูดในทำนองว่ารัฐบาลเพื่อไทยไม่มีหนี้บุญคุณกับเสื้อ แดงเลย ไม่พูดในลักษณะต่อรองว่าเสื้อแดงจะสนับสนุนรัฐบาล ต่อเมื่อรัฐบาลตอบสนองความต้องการของเราในเรื่องความยุติธรรม การสนับสนุนรัฐบาลต้องมีเงื่อนไขเสมอ

ในเรื่องคดี 112 หรือกฏหมายเผด็จการ 112 ไม่มีการพูดอะไรเลย ทั้งๆ ที่รัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยสองคนประกาศว่าจะใช้ 112 ในลักษณะเข้มงวดมากขึ้น ถ้าเลือกที่จะมองข้ามปัญหานี้ ก็เท่ากับเลือกที่จะมองข้ามอำนาจนอกระบบของอำมาตย์

เวลาแกนนำอย่างสมบัติและจตุพรพูดว่า “คนเสื้อแดงเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยและเป็นเจ้าของรัฐบาล” เราต้องถามว่าจริงแค่ไหน? หรือว่าในความเป็นจริงทหารและแนวร่วมอำมาตย์ เพียงแต่ยอมให้เราลงคะแนนเสียงเลือกรัฐบาลเท่านั้น ในขณะที่เขาถืออำนาจดิบอยู่ในมือ เพื่อบังคับไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงแท้จริงในสังคมไทย

คนเสื้อแดงไม่ควรรอโดยไม่ทำอะไร เราควรตั้งวงถกเถียงแลกเปลี่ยนเรื่องแนวทางการต่อสู้ เราควรจะมีตารางเวลาในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เราระบุต่อสังคมให้ชัดเจนและเรียกร้องต่อรัฐบาล เราต้องพูดถึง 112 และอำนาจทหารด้วย และเราควรจะนำข้อสรุปต่างๆ ของเราไปยื่นให้กับแกนนำ นปช. เพื่อให้ขบวนการเสื้อแดงมีความเป็นประชาธิปไตย คนเสื้อแดงระดับรากหญ้าควรจะเป็นเจ้าของนโยบาย นปช. ไม่ใช่นั่งรอให้แกนนำสั่งการลงมาอย่างเดียว และอย่าลืมว่าถ้าเรายิ่งนั่งรอนานเท่าใด ขบวนการของเราจะอ่อนแอลงมากขึ้นเท่านั้น เรายิ่งหลงไว้ใจรัฐบาลมากเท่าใด เราจะยิ่งผิดหวังเท่านั้น

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อียูคว่ำบาตรน้ำมันซีเรีย เผยดันยูเอ็นช่วยกดดัน

Posted: 04 Sep 2011 07:59 AM PDT

สหภาพยุโรปประกาศคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากซีเรียโต้ปราบผู้ชุมนุมหนัก อังกฤษและฝรั่งเศสหมายดันยูเอ็นเพิ่มมาตรการ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศหมายเยี่ยมคุกซีเรียที่ขังนักโทษชุมนุมทางการเมืองหลายพันคน

3 ก.ย. 2554 - สำนักข่าวต่า่งประเทศรายงานว่าสหภาพยุโรปประกาศคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากซีเรียเพื่อเป็นการเตือนรัฐบาลของประธานาธิบดีบาร์ชาร์ อัลอัสซาดที่ใช้กำลังปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุม โดยถือเป็นครั้งแรกที่ยุโรปมุ่งเป้าไปยังอุตสาหกรรมของซีเรีย ซึ่งมีการปราบปรามประชาชนอย่างหนักทางสหประชาชาติรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุรุนแรงในซีเรียแล้วราว 2,200 ราย

ส่วนใหญ่แล้วซีเรียจะส่งออกน้ำมันไปยังยุโรป ทางสหภาพยุโรปมีมติร่วมกันว่าจะไม่ถึงขั้นสั่งห้ามการลงทุนเช่นเดียวกันที่สหรัฐฯ สั่งเมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าการคว่ำบาตรการนำเข้าจะส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อการเข้าถึงเงินทุนของอัสซาด

ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมระบุว่าทาง 27 ประเทศสหภาพยุโรปต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มทุนบางเจ้าเช่น Anglo-Dutch Royal Dutch Shell และ France's Total ซึ่งเป็นผู้ลงทุนในซีเรียรายสำคัญ

ในการหารืออย่างไม่เป็นทางการของสหภาพยุโรป รมต. ต่างประเทศของฝรั่งเศสและอังกฤษเสนอว่าควรมีการคว่ำบาตรน้ำมันมากกว่านี้ แต่ไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ โดย วิลเลี่ยน ฮาค รมต. ต่างประเทศของอังกฤษบอกว่าการคว่ำบาตรในตอนนี้ครอบคลุมกิจการส่งออกของซีเรียกว่าร้อยละ 95 และครอบคลุมกิจการของรัฐบาลซีเรียร้อยละ 25

รมต. ต่างประเทศของฝรั่งเศส และอังกฤษ ยังได้กล่าวอีกว่าทางสหภาพยุโรปจะผลักดันให้สหประชาชาติแสดงการตอบโต้การกระทำของซีเรียมากกว่านี้ รวมถึงหว่านล้อมให้รัสเซียและจีนเลิกยับยั้งการดำเนินมาตรการของสหประชาชาติด้วย

ทางด้าน รมต. ต่างประเทศของรัสเซีย เซอกี ลาฟรอฟ ได้ประณามการคว่ำบาตรของสหภาพยุโรปในครั้งนี้ โดยกล่าวว่าการคว่ำบาตรข้างเดียวไม่ทำให้อะไรดีขึ้น และเป็นการทำลายกระบวนการความร่วมมือใดๆ ที่จะช่วยแก้วิกฤติได้

 

ICRC หมายเยี่ยมคุกขังนักโทษการเมืองซีเรีย

ขณะเดียวกันประธานคณะกรรมการกาชาดสากล (ICRC) ก็เดินทางเยือนประเทศซีเรียเพื่อหาทางเข้าเยี่ยมสถานกุมขังในซีเรียซึ่งมีประชาชนรวมถึงนักกิจกรรมจำนวนหลายพันรายที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยถูกจับขังอยู่

ทางองค์กรสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของซีเรียบอกว่ามีประชาชน 3 รายถูกสังหารหลังจากมีเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในหมู่บ้าน เฮช์ เมื่อตามล่าตัว อัดนัน บาคเคอร์ รมต.กระทรวงยุติธรรมที่ประกาศลาออกผ่านทางเว็บไซต์ Youtube เมื่อเดือนที่แล้ว

สำนักข่าวรอยเตอร์ตั้งข้อสังเกตว่าถ้ามีการยืนยันการลาออกของบาคเคอร์อย่างเป็นทางการจริง เขาจะถือเป็นผู้นำระดับสูงรายแรกที่ถอนตนจากฝ่ายรัฐบาล ขณะที่เจ้าหน้าที่ซีเรียบอกว่าบาคเคอร์แค่ถูกลักพาตัวไปขณะกำลังเดินทางไปทำงานในฮามา

องค์กรสิทธิมนุษยชนของซีเรียยังได้รายงานอีกว่า มีประชาชนถูกสังหารในช่วงเช้าของวันที่ 3 ก.ย. ในเมืองฮอม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 14 ราย เป็น 21 รายนับตั้งแต่วันศุกร์ (2) ที่ผ่านมา

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เรื่องสั้น: ความฝันของประภากรณ์

Posted: 04 Sep 2011 07:39 AM PDT

เสียงปืนยังดังไม่หยุด เสียงโห่ร้อง เสียงระเบิดดังเป็นพัก ๆ ประภากรณ์หลบอยู่หลังตึกเรียนกับเพื่อนๆและรุ่นน้อง มันเป็นเวลาเช้ามืด ทุกคนต่างนิ่งเงียบด้วยความเหนื่อยล้าเพราะไม่ได้นอนกันทั้งคืน บางคนนั่งร้องไห้ วิทยุประโคมข่าวไม่หยุดว่าในมหาวิทยาลัยมีอาวุธสงครามที่เตรียมไว้สำหรับล้มล้างสถาบัน

เค้ามองห่อข้าวแล้วนึกถึงแม่ แม่บอกเค้าเมื่อวานก่อนมาชุมนุมว่า สถานการณ์ไม่ค่อยดี มีพระคนหนึ่งประกาศออกทีวีว่าฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่ผิด กลุ่มจัดตั้งผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ซึ่งล้วนแต่นิยมความรุนแรง เค้าบอกแม่ว่า เค้าและเพื่อนๆต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ ภารดรภาพเท่าเทียมกัน ถ้าเค้าต้องตาย เค้าจะตายเพื่อประชาธิปไตย แม่น้ำตาไหลซึม เปล่าประโยชน์ที่จะห้ามปรามหรือขังเค้าไว้ในบ้าน แม่เดินเข้าไปในครัว ทำกับข้าวใส่ปิ่นโต กรอกน้ำใส่กระติก แล้วใส่ไว้ในถุงย่ามพร้อมขนมที่ซื้อจากตลาด ยื่นให้เค้า แล้วบอกว่า เอาไปแบ่งเพื่อนที่ชุมนุมนะ ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็ให้รีบออกมา

น้ำในกระติกสุดท้ายหมดแล้ว หมดไปพร้อมๆกับความหวังของทุกคนที่นี่ ... รุ่นน้องคนหนึ่งวิ่งเข้ามาใต้ตึกเรียนแล้วตะโกนว่า “ทหารบุกเข้ามาแล้ว” ตึกเรียนที่กำบังไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ทุกคนต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอด

ระหว่างที่วิ่งออกจากตึกเรียน ประภากรณ์ถูกยิงอย่างจัง ร่างลอยไปกระแทกกับต้นไม้ข้างสนามฟุตบอล เค้านั่งทรุดลงใต้ต้นไม้ เสื้อนักศึกษาสีขาว ชุ่มไปด้วยเลือดสีแดง เค้าเห็นเพื่อนนักศึกษาถูกยิงตายเหมือนใบไม้ร่วง มีทหารคนหนึ่งที่พึ่งฆ่าคนที่เค้ารู้จักวิ่งมาทางเค้า และสันปืนเอ็ม16ที่ซื้อมาด้วยภาษีของประชาชนก็กระแทกเข้าเต็มหน้าเค้าทันที... ทุกอย่างมืดสนิท

เค้าสะดุ้งตื่น... เค้าอยู่ในห้องประชุมของขบวนการนักศึกษา พรุ่งนี้เป็นวันที่ 19 กันยายน ครบรอบ 5ปี ของการทำรัฐประหาร จะมีกิจกรรมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รุ่นน้องหน้าห้องถามว่า พรุ่งนี้เราจะรวมกันยังไงดี คนหนึ่งในที่ประชุมบอกว่า รวมกันที่แม็กโดนัลด์ข้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แล้วค่อยโทรตามกันก็ได้ อีกคนหนึ่งก็เสนอว่ารวมกันที่มหาลัยดิ แล้วค่อยเดินไป อีกคนบอกว่า จะเดินไปได้ยังไงตั้งไกล เกือบกิโล ไม่ไหวหรอก แล้วแถวนี้ก็ไม่มีสะพานลอยด้วย คนอื่นๆ พยักหน้า

สิ้นสุดการประชุม ประภากรณ์เดินออกจากตึกเรียน ผ่านสนามฟุตบอล ไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ฝนตกเปียกไปหมด พอถึงบ้านเค้ารีบอาบน้ำ แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า เค้าเห็นแม่ยังทำกับข้าวอยู่ในครัว เค้าหยิบหนังสือออกจากกระเป๋า ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการสอบของเ้ค้า

ประภากรณ์ไม่เคยจำความฝันได้ เช่นเดียวกับทุกๆ คน...

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"กรณ์" แนะ "ยิ่งลักษณ์" ถ้าคิดแก้น้ำท่วมไม่ออก ขอให้โทรถาม

Posted: 04 Sep 2011 07:11 AM PDT

โฆษกเพื่อไทยแฉรัฐบาล ปชป. ใช้งบช่วยน้ำท่วมไปแล้ว 6.3 หมื่นล้านจนเหลืองบกลางเพียง 3.5 พันล้าน ด้าน "กรณ์" แจกของช่วยน้ำท่วมที่สามง่าม พิจิตร ชี้มีเงินมากกว่า 3 พันล้าน และถ้าจะคิดช่วยจริงๆ ก็มีวิธีบริหารจัดการเงิน แต่ยิ่งลักษณ์น่าจะคิดไม่เป็น เย้ยให้โทมาถามตนได้ โดยไม่ต้องรอ "ดูไบ"

โฆษกเพื่อไทยเผยรัฐบาล ปชป. ใช้งบช่วยน้ำท่วม 6.3 หมื่นล้าน เหลืองบกลางเพียง 3.5 พันล้าน

สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานวันนี้ (4 ก.ย.) ว่า นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์  โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีงบกลางในการช่วยเหลือประชาชนกรณีน้ำท่วมที่เหลือจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา จำนวนมาก ว่า เหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปัจจุบันครอบคลุมพื้นที่ 20 จังหวัด มีผู้ได้รับผลกระทบมากถึง 1.2 ล้านคน จากการตรวจสอบของพรรคเพื่อไทยพบว่า ในช่วงที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีการตั้งงบกลางในปีงบประมาณ 2554 เพื่อดำเนินการช่วยเหลือ จำนวน 4.7 หมื่นล้านบาท ต่อมามีการโอนเงินงบประมาณเพิ่มเติมอีก 2 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 6.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งปรากฏว่า งบกลางที่คงเหลืออยู่มีเพียง 3,500 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลสมัย นายอภิสิทธิ์ ใช้งบประมาณไปมากกว่า 6.3 หมื่นล้านบาท จึงตั้งคำถามว่า นำไปใช้อะไรบ้าง โดยเฉพาะในส่วนที่เพิ่มมาในภายหลังจำนวน 2 หมื่นล้านบาท กรณีดังกล่าวทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องทำงานอย่างยากลำบากในการช่วยเหลือประชาชน

 

"กรณ์" แนะ "ยิ่งลักษณ์" ให้โทรมาหาตนเรื่องแก้ไขน้ำท่วมได้ ยินดีให้คำปรึกษา

ขณะที่เว็บไซต์เอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ในวันเดียวกันนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรมต.คลัง พร้อมด้วยนายนราพัฒน์ แก้วทอง ส.ส.พิจิตรเขต 2 , นายไพฑรูย์ แก้วทอง อดีตรมต.แรงงาน , นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมต.ต่างประเทศ , นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน, นายอัศวิน วิภูศิริ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยคณะได้ร่วมกันนำถุงยังชีพที่ประกอบด้วย ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม จำนวนกว่า4 พันชุดแจกจ่ายให้กับราษฎรในเขต อ.ตะพานหิน อ.เมือง อ.สามง่าม ที่ถูกน้ำท่วม

จากนั้น นายกรณ์ ได้ให้สัมภาษณ์โต้กรณีที่พรรคเพื่อไทยออกมาแถลงเรื่องประชาธิปัตย์ใช้งบประมาณช่วยน้ำท่วมไปมาก จนเหลืองบประมาณไม่พอนั้น นายกรณ์กล่าวว่า จริงๆแล้วเงินมีมากกว่า 3 พันล้านบาทและถ้าจะช่วยชาวบ้านจริงๆ ก็มีวิธีบริหารจัดการการเงินที่ทำได้ แต่รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ น่าจะคิดไม่เป็นมากกว่า

นายกรณ์ มองว่า เป็นการเล่นการเมืองใส่ร้ายป้ายสีกันมากกว่ามีความจริงใจที่จะช่วยเหลือชาวบ้านและยังได้พูดทิ้งท้ายว่า ถ้ารัฐบาล “ปู-ยิ่งลักษณ์” คิดไม่ออก ให้โทรมาถามก็ยินดีจะให้คำปรึกษาไม่ต้องรอความคิดจากดูไบก็ได้

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้นายบูรณะ แสงระวีวิสิษฐ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองตะพานหิน เปิดเผยว่า น้ำท่วมในเขตชุมชนและพื้นที่โดยรอบมาตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2554 และได้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ เพราะแม่น้ำน่านสูงเอ่อล้นตลิ่งแล้วกว่า 1.20 เมตรอีกทั้งน้ำป่าจาก จ.เพชรบูรณ์ ก็ไหลซ้ำเข้ามา ทำให้ทั้งบ้านเรือนในรอบแรกกว่า 500 หลังคาเรือน และพื้นที่ที่ทำการเกษตรได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง จากนั้นมีฝนตกต่อเนื่องทำให้พื้นที่ทั้ง 16 ชุมชนของเทศบาลตะพานหิน น้ำเข้าท่วมบ้านเรือน ล่าสุดเสียหายแล้วถึง 1,886 ครัวเรือน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ผู้นำอิหร่านแสดงความยินดีกับรัฐบาลชุดใหม่ของไทย

Posted: 04 Sep 2011 06:51 AM PDT

ประธานาธิบดีมาห์มุด อาห์มาดิเนจัดของอิหร่านแสดงความยินดีกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และหวังว่าความสัมพันธ์สองประเทศที่มามายาวนานจะขยายไปกว้างขวางขึ้น

เตหะราน 4 ก.ย.- สำนักข่าวไทย รายงานว่า เว็บไซต์สำนักข่าวอิสนาของอิหร่านรายงานว่า ประธานาธิบดีมาห์มุด อาห์มาดิเนจัดของอิหร่านแสดงความยินดีกับรัฐบาล นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีมายาวนานจะขยายไปกว้างขวางขึ้น

ประธานาธิบดีอาห์มาดิเนจัดแสดงความพอใจต่อความสัมพันธ์ของสองประเทศและแสดง ความหวังว่าความร่วมมือทวิภาคีจะขยายไปยังหลากหลายด้าน รวมถึงความร่วมมือของรัฐบาลทั้งสองฝ่ายในประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศ

ผู้นำอิหร่านยังถือโอกาสนี้แสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีเจือง เติ๋น ซางของเวียดนามเนื่องในวันชาติเวียดนาม 2 กันยายนว่า ประวัติการต่อสู้อันยาวนานและมีเกียรติของอิหร่านและเวียดนาม ควบคู่ไปกับศักยภาพทางเศรษฐกิจและเจตนารมณ์ทางการเมืองจะนำไปสู่ความร่วมมือ ระหว่างกันทั้งในเวทีภูมิภาคและเวทีสากล

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น