ประชาไท | Prachatai3.info |
- กัมพูชาทำพิธีถอนทหารจากพื้นที่รอบพระวิหาร
- คดี ‘พัน คำกอง’ จนท.ยันกระสุนชนิดเดียวปืนทหาร แต่ไม่ตรงกับกระบอกที่ส่งตรวจ
- "ญาติวีรชนพฤษภา 35" ร้องจ่ายเยียวยาตามเกณฑ์ใหม่ ปคอป.
- เครือข่ายต้านคอรัปชั่นเสนอ 112 เข้มข้น พบความผิดแล้วเฉยเท่ากับ ‘ตัวการร่วม’
- จำเลยคดีขายซีดี ABC เบิกความพรุ่งนี้-ทนายยื่นขอตีความ ม.112 ขัดรัฐธรรมนูญ
- จดหมายเปิดผนึกพนักงาน TPBS (ภาคชำแหละ เละ!)
- จดหมายเปิดผนึกพนักงาน TPBS เรียกร้องให้สรรหาผู้บริหารโปร่งใส ละเว้นการสืบทอดอำนาจพวกพ้อง
- ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "ไวอะก้า"
- กรรมการสิทธิฯ ติง กฟผ.ให้ข้อมูลบกพร่อง สผ.ชี้ ‘แรมซาร์ไซต์’ ห้ามโรงไฟฟ้าถ่านหิน
- ชาวบ้านมึน! ปลัดจังหวัดยันสั่งหยุดฟันยางในพื้นที่โฉนดชุมชน แต่อุทยานฯ เตรียมเดินหน้า
- ดันตั้งศูนย์คุมเดินรถโดยสาร 24 ชั่วโมง ลดอุบัติเหตุ
- บ้านเมืองไม่ใช่ของเรา : วิพากษ์วิธีกับขบวนการเสื้อแดงจากใจ อึ๊งภากรณ์
- มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันน้ำท่วมของญี่ปุ่น
- อัยการสั่งเด็ดขาด ไม่ฟ้องโชติศักดิ์ คดีไม่ยืนในโรงหนัง
- ทบ.แจงติดป้าย "เขตการใช้กระสุนจริง" เพื่อไม่ให้ปชช.เข้ามา แม้แต่ทหารยังถูกโต้ด้วยกระสุนจริง
กัมพูชาทำพิธีถอนทหารจากพื้นที่รอบพระวิหาร Posted: 18 Jul 2012 10:01 AM PDT ด้านไทยมี ผบ.ทบ. และ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เป็นประธานในพิธีถอนกำลัง ขณะที่โฆษกประชาธิปัตย์ปรามจะถอนทหารต้องยื่นเรื่องเข้าสภา ตาม ม.190 สำนักข่าว CTN ของกัมพูชา รายงานข่าวการถอนทหาร และรายงานความเห็นของชาวกัมพูชาต่อการถอนทหาร ประชาชนกัมพูชานำน้ำมอบให้กับทหารที่กลับมาจากชายแดนปราสาทพระวิหาร (ที่มา: youtube.com/PeterKhemara007) สำนักข่าวไทย รายงานว่า วันนี้ (18 ก.ค.) กัมพูชาได้ถอนทหารจำนวน 485 นายออกจากเขตปลอดทหารรอบปราสาทพระวิหารเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว และโดยได้เสริมตำรวจ 255 นายและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 100 นายเข้าไปทำหน้าที่แทน ทั้งนี้พิธีถอนทหาร มี พล.อ.เตีย บัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประเทศกัมพูชาเป็นประธาน มีเจ้าหน้าที่สถานทูตต่างๆ ในกัมพูชาเข้าร่วมพิธี มีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศด้วย ส่วนการถอนทหารของฝ่ายไทย สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 รายงานว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ได้เดินทางไปร่วมในพิธีถอนกำลังทหารออกจากเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ ค่ายพิทักษ์อุทุมพรเขต จ.ศรีสะเกษ และมีการร่วมประชุมกับนายทหารระดับสูงด้วย อนึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อ 13 ก.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พล.อ.อ.สุกัมพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.เตียบัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ร่วมแถลงข่าวผลหารือทวิภาคี โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะปรับลดกำลังเจ้าหน้าที่บริเวณปราสาทพระวิหาร เพื่อให้สอดคล้องกับคำสั่งของศาลโลก และสมเด็จฮุนเซน ระบุว่า ขอเชิญชวนให้คนไทยและกัมพูชาเดินทางท่องเที่ยวปราสาทพระวิหารและผามออีแดง ได้อย่างปลอดภัย ขณะเดียวกันเว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ รายงานความเห็นของนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ให้ความเห็นต่อเรื่องการถอนทหารนี้ว่า "ถ้าจะถอนทหารออกจากแผ่นดินไทยควรนำเข้าสู่การประชุมรัฐสภาตามมาตรา 190 (2) เพราะเกี่ยวกับเขตแดนและอธิปไตย นอกจากนี้การถอนทหารในวันเดียวกับที่ พล.อ.เตียบัณห์ รมว.กลาโหมกัมพูชา ประกาศทำพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 4 ปีกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น ถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้สังคมโลกโดยเฉพาะกรรมการมรดกโลกรู้สึกว่าเป็นพื้นที่สันติ สงบสุข ไทย - กัมพูชา ไม่ขัดแย้งตกลงกันได้แล้ว" นายชวนนท์กล่าวด้วยว่า “หากวันนี้มีการถอนทหารออกทั้งสองฝ่าย กัมพูชาจะยังเหลือชุมชน วัด ตลาด สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เข้าทางกัมพูชา เพราะจะอ้างได้ว่าไทยยอมถอนทหารออกจากประเทศของตัวเองทำให้กัมพูชาไปอ้างสิทธิว่าเป็นพื้นที่สงบเรียบร้อยให้ศาลเห็นว่าเดินหน้าตัดสินเขตแดนและคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาการขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ เนื่องจากเงื่อนไขความขัดแย้งในช่วงสอง - สามปีที่ผ่านมากระบวนการมรดกโลกไม่คืบหน้า เพราะรัฐบาลในขณะนั้นต่อสู้มาโดยตลอดในเรื่องการบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารที่จะกระทบต่ออธิปไตยของไทย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยต้องระมัดระวัง ผมเห็นว่าต้องส่งเจ้าหน้าที่ประจำการ ทั้งตำรวจตระเวณชายแดน เจ้าหน้าที่ป่าไม้ หรือเจ้าหน้าที่ด้านอื่น ไปประจำจุดแผ่นดินไทยบริเวณสันปันน้ำในทุกจุดที่ทหารไทยเคยอยู่ และต้องประกาศให้ชัดถอนทหารไม่ใช่ถอนอธิปไตย ทุกตารางนิ้วยังเป็นของไทย” ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
คดี ‘พัน คำกอง’ จนท.ยันกระสุนชนิดเดียวปืนทหาร แต่ไม่ตรงกับกระบอกที่ส่งตรวจ Posted: 18 Jul 2012 09:52 AM PDT จนท.พิสูจน์หลักฐานเบิกความ ไต่สวนการตายคดี ‘คำ พันกอง’ ยันกระสุนที่อยู่ในร่างผู้ตายเป็นกระสุนปืนเล็กกลชนิดเดียวกับปืนของทหารที่ส่งตรวจหลังเหตุการณ์ 1 ปี แต่ไม่ใช่กระบอกเดียวกัน พร้อมอธิบายผลตรวจเปลี่ยน หากเปลี่ยนลำกล้อง 18 ก.ค.55 ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา รัชดา มีการไต่สวนการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง คนขับแท็กซี่ ชาว จ.ยโสธร ซึ่งถูกยิงบริเวณถนนราชปรารภ ใกล้แอร์พอร์ทลิงค์ ซึ่งเป็นจุดประจำการของทหาร เมื่อหลังเที่ยงคืนวันที่ 14 พ.ค.ต่อกับวันที่ 15 พ.ค.53 จากกรณีที่มีการยิงสกัดรถตู้ที่เข้ามาในพื้นที่ดังกล่าว โดยในวันนี้มีพยาน 4 ปากเป็นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการพิสูจน์เปรียบเทียบหัวกระสุนที่อยู่ในร่างผู้ตายกับอาวุธปืนที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้ในการปฏิบัติการในพื้นที่ โดยหนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่ตรวจหัวกระสุนที่อยู่ในร่างนายพัน คำกอง ผู้เสียชีวิต เบิกความว่า หัวกระสุนดังกล่าวเป็นกระสุนปืนเล็กกลขนาด .223 ( 5.56 มม.) ซึ่งสามารถใช้กับปืนเล็กกลและปืนไรเฟิลได้ เช่น M16, HK ทราโว่ เป็นต้น และเป็นกระสุนชนิดเดียวกันกับปืนของเจ้าหน้าที่ทหารที่ส่งมาตรวจ แต่ลักษณะรอยตำหนิพิเศษของหัวกระสุนที่ถูกยิงจากลำกล้องของปืนที่ส่งตรวจนั้นไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นปืนกระบอกเดียวกันกับที่ใช้ยิงนายพัน คำกอง ทั้งนี้ ลักษณะของตำหนิพิเศษจะเกิดจากลำกล้องของปืนแต่ละกระบอกซึ่งจะไม่เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามปืนแต่ละกระบอกก็สามารถเปลี่ยนลำกล้องได้ และหากมีการเปลี่ยนลำกล้องก็ไม่สามารถยืนยันได้ พ.ต.ท.ธีรนันต์ นคินทร์พงษ์ จากกลุ่มงานตรวจอาวุธและเครื่องกระสุน กองพิสูจน์หลักฐานกลาง เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งที่ทำการพิสูจน์เปรียบเทียบหัวกระสุนที่อยู่ในร่างผู้เสียชีวิตกับอาวุธปืนที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้ในการปฏิบัติการในพื้นที่ดังกล่าว โดยหน่วยงานตรวจสอบได้รับมอบปืนเล็กกล 5 กระบอกของกองพันที่ 31 ทหารปืนใหญ่ รักษาพระองค์ (ป.พัน.31 รอ.) ในวันที่ 1 มิ.ย.54 หรือกว่า 1 ปีหลังเกิดเหตุ จากพนักงานสอบสวน สน.พญาไท “ปรากฏว่ากระสุนของกลาง [ที่พบในศพผู้ตาย-ประชาไท] ไม่ได้ใช้ยิงจากปืนทั้ง 5 กระบอกนี้” พ.ต.ท.ธีรนันต์ กล่าว เมื่ออัยการสอบถามถึงเหตุที่ไม่เหมือนกัน พ.ต.ท.ธีรนันต์ ตอบว่า ได้พิจารณาจากตำหนิรอยร่องเกลียว ซึ่งเป็นตำหนิพิเศษที่เกิดจากการที่กระสุนวิ่งผ่านลำกล้องของปืนแต่ละกระบอก ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะไม่ซ้ำกัน อัยการถามต่อว่า ลำกล้องของปืนแต่ละกระบอกนั้นสามารถเปลี่ยนได้หรือไม่ พ.ต.ท.ธีรนันต์ยืนยันว่า สามารถเปลี่ยนได้ เมื่อสอบถามถึงประเภทของกระสุนที่พบในร่างผู้ตายว่าเป็นกระสุนประเภทอะไร พ.ต.ท.ธีรนันต์ เบิกความว่า เป็นกระสุนปืนเล็กกล .223 สามารถใช้กับปืนเล็กกลและปืนไรเฟิลได้ เช่น M16, ทราโว่ และHK เป็นต้น อัยการถามต่อว่ากระสุนปืนที่พบจากศพ สามารถยิงจากปืนของทหารที่นำมาตรวจสอบได้หรือไม่ พ.ต.ท.ธีรนันต์ ยืนยันว่าได้ ด้านนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความฝ่ายผู้ตาย ถามต่อว่าถ้าปืนที่ใช้ก่อเหตุมีการเปลี่ยนลำกล้องก่อนนำมาตรวจจะสามารถยืนยันหัวกระสุนได้หรือไม่ พ.ต.ท.ธีรนันต์ ตอบว่า ไม่สามารถยืนยันได้ เพราะจะไม่ตรงกันและทำให้ผลเปลี่ยนแปลงไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลได้สอบถามพยานเพิ่มเติมว่าปืนที่นำมาตรวจสอบนี้ขณะยิงจะมีไฟออกที่ปากกระบอกปืนหรือไม่ พ.ต.ท.ธีรนันต์ ตอบว่ามี แต่ไม่สว่างมากเพราะปืนชนิดนี้มีปล่องควบคุมไว้ ทั้งนี้ ศาลได้นัดไต่สวนพยานปากต่อไปวันที่ 24 ก.ค.นี้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
"ญาติวีรชนพฤษภา 35" ร้องจ่ายเยียวยาตามเกณฑ์ใหม่ ปคอป. Posted: 18 Jul 2012 08:49 AM PDT คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ยื่นหนังสือ ขอให้รัฐบาล โดยประธาน ปคอป. พิจารณาชดใช้เยียวยาแก่ญาติวีรชนพฤษภา 35 โดยไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อคืนศักดิ์ศรีญาติวีรชน ตามบรรทัดฐานที่ ปคอป. กำหนดหลักเกณฑ์ใหม่เพื่อเป็นบรรทัดฐานทางการเมือง
วันนี้ (18 ก.ค.) ที่กระทรวงมหาดไทย นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 พร้อมด้วยญาติวีรชน เดินทางเข้าพบนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) พร้อมยื่นหนังสือเพื่อเรียกร้องต่อนายยงยุทธ ขอให้ดำเนินการพิจารณาชดใช้และเยียวยาแก่ญาติวีรชนพฤษภา 2535 อย่างไม่เลือกปฏิบัติ ตามหลักเกณฑ์ของ ปคอป. คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ระบุว่า เมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อติดตามผู้สูญหายและช่วยเหลือผู้เสียหายจากเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ซึ่งมีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และเป็นคณะกรรมการอิสระชุดแรกของประเทศไทย ภายใต้คำสั่งแต่งตั้งของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2544 ซึ่งต่อมาหมดภาระหน้าที่และมีข้อเสนอการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ต่อรัฐบาลแล้วเสร็จนั้น รัฐบาลที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้เสียหายจากเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระฯ แต่อย่างใด โดยเฉพาะการจ่ายค่าทดแทนหรือค่าเสียหายตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระฯ แม้ว่ามติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 30 ธันวาคม 2546 ได้มีมติให้ดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระฯ แล้วก็ตาม แต่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลับอนุมัติงบประมาณตามกฎหมายสงเคราะห์ผู้ประสบภัยฯ ซึ่งขัดแย้งและผิดเงื่อนไขกับข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระฯ ที่ต้องการสร้างบรรทัดฐานในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากอ้างว่า ยังไม่มีกฎหมายรองรับฯ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 จึงขอให้รัฐบาล โดยประธาน ปคอป. แก้ไขเรื่องดังกล่าวโดยพิจารณาชดใช้เยียวยาแก่ญาติวีรชนพฤษภา 35 โดยไม่เลือกปฏิบัติ โดยแก้ไขและคืนศักดิ์ศรีญาติวีรชน 2535 ตามบรรทัดฐานที่ ปคอป. กำหนดหลักเกณฑ์ใหม่เพื่อเป็นบรรทัดฐานทางการเมือง ตามที่เห็นชอบในหลักการให้เสนอแนะมาตรการ กลไก และวิธีการเพื่อส่งเสริมการเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อและผู้เสียหายตลอดจนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมืองทุกฝ่าย โดยประกาศขอโทษและยกเลิกการใช้ตาม พ.ร.บ.สงเคราะห์ผู้ประสบภัยอันเนื่องมาจากช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของชาติ หรือการปฏิบัติหน้าที่มนุษยธรรม พ.ศ.2543 เพื่อคืนความเป็นวีรชนที่ถูกลบหลู่ เพื่อเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 30 ธันวาคม 2546 ที่มีมติให้ดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระฯ และพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระเพื่อติดตามผู้สูญหายและช่วยเหลือผู้เสียหายจากเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 และหลักเกณฑ์ใหม่ของ ปคอป. ซึ่งเป็นการชดเชย เยียวยาและฟื้นฟูที่ไม่อยู่ในกรอบกฎหมายและแนวทางปฏิบัติเดิม โดยเทียบเคียงมาตรฐานสากลกับการกำหนดค่าชดเชยของสหประชาชาติและประเทศที่มีการชดเชยเยียวยาให้แก่ผู้เสียหาย ซึ่งแตกต่างจากการเยียวยาในกรณีปกติ อันเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบของรัฐที่ไม่มีกลไกที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองอยู่ในกรอบและดำเนินไปตามครรลองของสันติวิธีจนเกิดความรุนแรงและสร้างความเสียหายแก่บุคคลและสังคม เพื่อเป็นการแสดงออกว่า รัฐตระหนักและรับรู้ถึงความเจ็บปวดสูญเสียของผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย นอกจากนี้ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ยังให้กำลังใจนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ในการปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยระบุด้วยว่า นายยงยุทธควรจะได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าภารกิจดังกล่าวจะลุล่วงตามนโยบายด้วย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เครือข่ายต้านคอรัปชั่นเสนอ 112 เข้มข้น พบความผิดแล้วเฉยเท่ากับ ‘ตัวการร่วม’ Posted: 18 Jul 2012 08:09 AM PDT
จากกรณีข่าวการประท้วงของประชาชนกลุ่มหนึ่งที่สุวรรณภูมิและมีการบอยคอตจากกัปตันการบินไทยไม่ยินยอมให้นางฐิตินันท์ (สงวนนามสกุล) อายุ 63 ปี เดินทางกลับนิวซีแลนด์ หลังจากถูกกลุ่มภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ จังหวัดจันทบุรี แจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นสถาบัน มาตรา 112 เนื่องจากในวันอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เธอได้เตะพระบรมฉายาลักษณ์ ขณะที่ทางตำรวจยืนยันว่า มีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้วพร้อมควบคุมตัวส่งโรงพยาบาลศรีธัญญา เนื่องจากมีประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว ต่อมาได้นำตัวส่งสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ พร้อมอายัดตัวไว้เพื่อตรวจสอบสภาพจิต ซึ่งขณะนี้แพทย์ได้สั่งห้ามเยี่ยม เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการคลุ้มคลั่ง ยังมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจต่อเนื่องจากกรณีอีก เมื่อนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เลขาธิการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งชาติ(ภชต.) ได้กล่าวใน รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ทาง ASTV ช่วงที่ 1 (17 ก.ค.) โดยเล่าถึงเหตุการณ์ว่า ในวันอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เวลาประมาณ 9.30 น.นางฐิตินันท์ กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งหน้าต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ 13 กองร้อย หรือพันกว่าคน แล้วก็ไม่มีใครทำอะไร ซึ่งโดยปรกติสามารถจับกุมได้เลย หรือสามารถขอหมายศาลภายในวันศุกร์เพื่อจับกุมและสั่งคุมขังได้เลย นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ กล่าวด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะอ้างว่านางฐิตินันท์เคยมีอาการวิกลจริตเป็นบางช่วงเวลาไม่ได้ เพราะถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยปกติแล้วจะต้องมีหนังสือยืนยันจากนิติจิตเวชของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะเป็นที่กักกันของคนที่กระทำความผิดกฎหมายและเป็นโรคจิต และช่วงที่มีอาการต้องถูกกักกันไว้ที่นิติจิตเวชก่อน เป็นสถานที่กักกันเหมือนคุก แต่เป็นคุกของคนโรคจิต เมื่อเขาสติดีแล้วเขาจะต้องมาอยู่ในคุกปกติ เพราะฉะนั้นความผิดนี้สำเร็จแล้ว คือ เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ บวกด้วยคดีอีกคดีหนึ่งคือ ถือว่าสมรู้ร่วมคิดกับคนกระทำความผิดกรณีมาตรา 112 ด้วย ถ้าไม่จับถือว่าเป็นตัวการร่วมโดยทันทีทั้ง 13 กองร้อยและผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบ
เสนอ หากพบการหมิ่นฯ แล้วเฉย มีความผิดฐานเป็นตัวการร่วม “ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 8 เขาบอกองค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น การแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อไปสังคมไทยต้องเปลี่ยนใหม่หมด ห้ามมองเฉย ๆ ต้องแสดงออก” นายมงคลกิตติ์กล่าว พร้อมทั้งอธิบายด้วยว่าถ้าเห็นคนกระทำหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้วอยู่เฉยก็จะต้องมีความผิดด้วย เพราะถือเป็นตัวการร่วม เพราะฉะนั้นต้องแสดงออกทันที ไม่ว่าจะเป็นการจับกุมหรือเป็นพยาน นายมงคลกิตติ์ ยังระบุถึงเหตุผลที่ไปยื่นเรื่องต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า เป็นเพราะเขาและอาจารย์โชติ เนืองนันท์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ทนไม่ไหวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงออกมาเคลื่อนไหว อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ จากคณะนิติราษฎร์ควรดูเป็นเยี่ยงอย่าง ว่าข้าราชการที่ดี ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทำแบบนี้ ไม่ใช่มาป่วนบ้านป่วนเมือง
ขู่ สตช.ไม่ดำเนินการ ราชภัฏรำไพพรรณีจะชุมนุม 20 คันรถ เขายังเปิดเผยด้วยว่า ได้ให้กรอบระยะเวลากับสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใน 3 วัน ถ้าไม่ดำเนินการภายใน 16.30 น.ของวันที่ 20 ก.ค.นี้ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณีจะมากันทั้งหมด พร้อมกับพ่อค้าและประชาชน โดยจะมาประมาณ 20 คันรถที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมทั้งเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ที่มีชื่อสถาบันพระมหากษัตริย์พ่วงท้ายเข้าร่วมด้วย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : ตร.แจ้งข้อหาหมิ่นสถาบัน "ป้าบุกศาล รธน."-อายัดตัวตรวจสุขภาพจิต http://prachatai.com/journal/2012/07/41597 ภตช.จี้ ผบ.ตร.ดำเนินคดีหมิ่นม.112 หน้าศาล รธน. http://www.dailynews.co.th/crime/136306 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
จำเลยคดีขายซีดี ABC เบิกความพรุ่งนี้-ทนายยื่นขอตีความ ม.112 ขัดรัฐธรรมนูญ Posted: 18 Jul 2012 07:04 AM PDT
18 ก.ค.55 ที่ศาลอาญา รัชดา มีการสืบพยานคดีเอกชัย (สงวนนามสกุล) จำเลยในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากกรณีขายซีดีสารคดีของสำนักข่าว ABC ประเทศออสเตรเลีย และเอกสารวิกิลีกส์ ซึ่งพยานโจทก์เป็นพนักงานสอบสวนในคดีนี้ซึ่งเป็นพยานปากสุดท้ายของฝ่ายโจทก์ ส่วนในวันพรุ่งนี้ (19 ก.ค.) นายเอกชัย จะขึ้นเบิกความในฐานะพยานจำเลย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อานนท์ นำภา ทนายจำเลยได้ยื่นคำแถลงแนวทางการสืบพยานเพื่อประกอบคำร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานเพิ่มเติมตามที่ศาลแจ้งไว้วานนี้ โดยประสงค์ให้ออกหมายเรียกพยานจำนวน 2 คน คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา [บุคคลที่ถูกอ้างถึงในเอกสารวิกิลีกส์-ประชาไท] โดยระบุว่าหากศาลอนุญาตก็สามารถตัดปากของ นายอานันท์ ปันยารชุน ได้ ศาลรับคำแถลงดังกล่าวไว้และนัดหมายฟังคำสั่งในวันพรุ่งนี้ (19 ก.ค.) นอกจากนี้ทนายจำเลยยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ตีความว่า มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญาขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 29 มาตรา 45 ประกอบกับมาตรา 8 และมาตรา 6 ซึ่งศาลได้รับเรื่องไว้เพื่อตรวจสอบว่าเคยมีการส่งเรื่องเช่นนี้ถึงศาลรัฐธรรมนูญและมีแนวคำวินิจฉัยไว้แล้วหรือไม่ โดยนัดหมายให้ฟังคำสั่งในวันพรุ่งนี้ (19 ก.ค.) เช่นกัน ทั้งนี้ ในคำร้องที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญระบุเหตุผลสรุปได้ดังนี้ 1.มาตรา 112 ระบุอัตราโทษไว้สูงเกินความจำเป็นและไม่ได้สัดส่วนในการลงโทษ กระทบสิทธิประชาชน ขัดแย้งกับมาตรา 29 ซึ่งระบุว่าการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ จะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้ ซึ่งอัตราโทษของมาตรา 112 ได้ตราไว้จนเกินเลยกว่าที่รัฐธรรมนูญมุ่งหมายที่จะคุ้มครองเป็นกรณีพิเศษ คือ มาตรา 8 ได้บัญญัติคุ้มครองพระมหากษัตริย์ไว้เป็นกรณีพิเศษเพียงผู้เดียว มิได้ให้ความคุ้มครองถึงราชินี, รัชทายาท หรือองคมนตรี การที่มาตรา 112 บัญญัติโทษในภาพรวมที่มีอัตราโทษเท่ากันของกลุ่มบุคคลโดยมีสัดส่วนสูงเกินความจำเป็น ไม่แยกอัตราโทษตามสถานะขอบุคคลที่กฎหมายคุ้มครอง จึงทำให้มาตรานี้ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 ไม่สามารถบังคับใช้ได้ 2.มาตรา 112 ขัดแย้งกับมาตรา 45 แห่งรัฐธรรมนูญ และไม่สอดคล้องกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะมีเจตนารมณ์มุ่งคุ้มครองบุคคลแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สำเร็จราชการทนพระองค์ และต้องมีการกระทำคือดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อบุคคลข้างต้น สำหรับการหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป หลักกฎหมายเรื่องหมิ่นประมาทย่อมหมายถึงทั้งการกล่าวข้อความเป็นเท็จและแม้จะเป็นความจริงแต่หากเสียหายต่อบุคคลที่สาม และหากไม่เข้าข้อยกเว้นตามกฎหมาย การกระทำนั้นย่อมเป็นความผิด กรณีที่จะเข้าข้อยกเว้นไม่เป็นความผิด หรือผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ การกระทำนั้นต้องเป็นไปตามมาตรา 329 และ 330 ของประมวลกฎหมายอาญา คือ กระทำโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม หรืออีกกรณีที่ผู้ถูกหาว่ากระทำผิดพิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นก็ไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน การที่บัญญัติข้อยกเว้นไว้เช่นนี้เป็นไปเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และเสรีภาพดังกล่าวก็สอดคล้องกับมาตรา 45 แห่งรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ มาตรา 45 ก็มีบัญญัติถึงข้อยกเว้นไว้ว่าเสรีภาพนั้นถูกจำกัดได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัวหรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน ซึ่งมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาหาได้เป็นกฎหมายเฉพาะที่สามารถจำกัดเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญมาตรา 45 ได้ไม่ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตามมาตรา 8 ก็มีแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วว่า จะแก้ตัวให้พ้นผิดตามข้อมีแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วว่า จะแก้ตัวให้พ้นผิดตามข้อยกเว้นตามมาตรา 329 ไม่ได้ แต่ต้องเป็นกรณีการกล่าวหาต่อพระมหากษัตริย์เท่านั้น บุคคลอื่น เช่น ราชินี องค์รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ย่อมต้องตกอยู่ภายใต้การบังคับของกฎหมายและภายใต้รัฐธรรมนูญ กล่าวคือ หากเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามรัฐธรรมนูญแล้ว บุคคลที่แสดงความคิดเห็นย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 45 การกระทำของจำเลยในคดีนี้เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการเผยแพร่ข้อเท็จจริงอันเป็นการแสดงความเห็นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 45 แต่มาตรา 112 มิได้บัญญัติถึงข้อยกเว้นในกรณีของพระราชินี รัชทายาท อันจะสอดคล้องกับมาตรา 45 ดังนั้น มาตรา 112 จึงขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 45 จำกัดการใช้เสรีภาพของจำเลยและไม่สอดคล้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงมิอาจใช้บังคับเป็นกฎหมาย และไม่อาจใช้บังคับแก่คดีนี้ได้ คำร้องระบุในตอนท้ายว่า ขอศาลโปรดส่งคำโต้แย้งพร้อมความเห็นของจำเลยต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยด้วย พร้อมกันนี้ยังขออนุญาตส่งร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของคณาจารย์คณะนิติราษฎร์ ประกอบความเห็นของจำเลยด้วย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
จดหมายเปิดผนึกพนักงาน TPBS (ภาคชำแหละ เละ!) Posted: 18 Jul 2012 06:49 AM PDT
18 กรกฎาคม 2555 ในนามของพนักงานและลูกจ้างองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย มีความตระหนักถึงพันธกิจที่มีค่าขององค์กรในฐานะสื่อสาธารณะของประชาชน มีพันธกิจในการเผยแพร่ข่าวสาร ชี้นำปัญญา สนับสนุนส่งเสริมสังคมการมีส่วนร่วมตามครรลองประชาธิปไตย ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 (มาตรา 7) ตลอดระยะเวลาร่วมสี่ปีที่ผ่านมา ไทยพีบีเอสได้ใช้พื้นที่หน้าจอสาธารณะแห่งนี้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพความเป็นธรรมให้แก่พี่น้องประชาชนตามพันธกิจหลักในการส่งเสริมและปลูกฝังสังคมประชาธิปไตยและความเสมอภาค ซึ่งนับเป็นความภูมิใจของชาวไทยพีบีเอส แต่เป็นที่น่าเสียดายและอดสูแทนประชาชนผู้เสียภาษีให้กับรัฐ เมื่อภาษีบาปไม่ได้ถูกผันแปรให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนเต็มร้อย เนื่องด้วยความล้มเหลวในการบริหารจัดการภายในทั้งเรื่อง การงาน คน และการคลัง ด้วยเชื่อว่าศูนย์อำนาจการบริหารงานและผู้บริหารบางกลุ่มใช้อำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการเกื้อหนุนสนับสนุนพวกพ้องเดียวกันให้เข้ามามีบทบาทการบริหารงานต่างๆ อย่างขาดความชอบโปร่งใส ปิดกั้นโอกาสให้ผู้มีความสามารถ มีศักยภาพที่แท้จริงได้เข้ามามีบทบาทพัฒนาสื่อสาธารณะแห่งนี้ผ่านวิธีและกระบวนการคัดเลือกที่ถูกต้องโปร่งใส หนึ่งในปัญหาที่สะสมจนเป็นภาพพจน์ที่เน่าเสีย คือการบริหารงานด้านบุคลากร แม้ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือกสรรพวกพ้องเครือข่ายเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันบริหารงานนั้นเป็นวัฒนธรรมของสังคมไทย หากดึงสมุนพรรคพวกพ้องที่มีความสามารถมีศักยภาพการทำงานเข้ามาเป็นผู้ช่วยมือซ้ายมือขวา ก็จะถือว่าผลประโยชน์ “ส่วนตัว” นั้นกลายเป็นผลประโยชน์ส่วนรวมเพราะได้บุคลากรที่เก่งจริงเข้ามาขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างสง่าผ่าเผย ความล้มเหลวในการบริหารบุคลากรเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับไทยพีบีเอสซึ่งสมควรได้รับการตรวจสอบโดยเร่งด่วนก่อนที่จะกลายเป็นวงจรอุบาวท์กัดกร่อนป้ายใหญ่โตมโหฬารด้านหน้าสถานีโทรทัศน์สาธารณะ ด้วยข้อความงดงาม “สื่อเพื่อสาธารณะ เที่ยงตรง โปร่งใส สังคมเป็นธรรม” ซึ่งเป็นเพียงแค่ภาพลักษณ์การประชาสัมพันธ์ต่อสาธารณะชนเท่านั้น ความไร้ประสิทธิภาพของการบริหารจัดการรอบด้านสะท้อนความละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ ละทิ้งเจตนารมณ์บทบาทของสื่อสาธารณะ ข้อความจารึกบนเสาแท่งแรกว่า “สื่อเพื่อสาธารณะ” ซึ่งในข้อเท็จจริง กลับกลายเป็น “สื่อเพื่อพวกพ้อง” ข้อความที่ปรากฏจารึกบนเสาต้นที่สอง “สังคมเป็นธรรม” ก็กลับกลายเป็น “สังคมเสื่อมไร้เสรีภาพขั้นพื้นฐาน” พนักงานภายในองค์กรมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง ขวัญกำลังใจลดหาย สมองไหลหายไปกู่ไม่กลับ ผู้บริหารใช้ช่องโหว่งของการบริหารด้านบุคคลและกฏระเบียบเพื่อการโยกย้ายถ่ายเทพนักงาน หลายคนเป็นผู้จัดการอยู่ดีๆ ก็ถูกลดตำแหน่งกลายเป็นผู้ชำนาญการ ผู้เชี่ยวชาญทั้งที่ไม่มีความผิดใดๆ ไม่มีแนวทางการชี้นำหรือกำหนดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเพื่อส่งเสริมบุคลากรได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพการทำงานของตนเองก่อนคำสั่งการถูกโยกย้าย โอนย้าย ฯลฯ ราวกับพนักงานเป็นน้ำเป็นวุ้นเป็นอิฐเป็นปูน ขาดความเป็นธรรมในการบริหารจัดการด้านพัฒนาส่งเสริมบุคลากร โดยไร้หลักธรรมาภิบาลหรือความมีเมตตาธรรม แต่กล้าประกาศต่อสาธารณะชนบนเสาต้นที่สามหน้าองค์กรว่า “เที่ยงตรง โปร่งใส” ทั้งที่ปรากฏการณ์ความเป็นจริงเบื้องหลังจอคือ “ ความผิดของพวกพ้องมองไม่เห็น เก่งวิ่งเต้นป้องพวกพ้องพัลวัน” ร่วมสี่ปีที่ผ่านมาเป็นบทพิสูจน์แน่ชัดแล้วว่า ผลงานความล้มเหลวของการบริหารงานหลังจอสาธารณะแห่งนี้ ด้วยเหตุเพราะไม่เคยมีเสียงสะท้อนใดใดจากพนักงานได้รับการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงใจและเร่งรีบให้ความเป็นธรรมจนอาจเข้าข่ายละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารที่มีอำนาจในการบริหารจัดการ และมักถูกซ้ำเติมว่า เป็นแค่เสียงเล็กๆ ของพนักงานหรือพนักงานกลุ่มหนึ่งที่เสียผลประโยชน์ แทนที่จะช่วยกันรีบเร่งตรวจสอบ ทบทวน เร่งแก้ไขปัญหา นำมาซึ่งความเป็นธรรม หลายกรณีที่ร้องเรียกกลับถูกเพิกเฉย ซ้ำยังใช้อำนาจกระทำการต่อ สื่อมวลชนไทยพีบีเอสกลับถูกกระทำเหมือนเป็นมนุษย์แรงงานที่ไม่สามารถเรียกร้องสิทธิที่พึ่งชอบธรรม หลายคนหวาดกลัวที่จะเผยความจริงเพราะเจ้านายผู้เป็นใหญ่สามารถใช้อำนาจในการให้คุณให้โทษ น่าเสียดายจิตวิญญาณความเป็นสื่อมวลชนที่มีพันธกิจในการนำเสนอความจริง แต่สื่อมวลชนหลายท่านที่นี่อาจไม่มีความกล้าหาญหรือถูกลิดรอนสิทธิจนเป็นความเคยชิน และเกิดความหวาดกลัวที่จะพูดความจริง ในขณะที่พนักงานหลายชีวิตที่นี่กลับเกิดความละอายทุกครั้งที่มีการโหมโรงประชาสัมพันธ์องค์กรฯ ว่าเป็นผู้มีจิตสาธารณะบ่มเพาะสังคมประชาธิปไตย ทั้งที่ในความเป็นจริง พนักงานไทยพีบีเอสกำลังถูกลิดรอนสิทธิพื้นฐานของการแสดงและสะท้อนความคิดเห็น ขาดความรู้สึกภาคภูมิใจไปกับความมั่นคงเติบโตได้ในวิชาชีพตามครรลองที่ควรจะเป็นภายใต้ร่มเงาสื่อสาธารณะของประชาชนเพื่อประชาชน เมื่อผู้บริหารทั้งหลาย ไม่ได้ยึดมั่นในหลักการแห่งความโปร่งใสตามที่ชอบป่าวประกาศสู่สาธารณะ เช่น การคัดเลือกพนักงาน ซึ่งใช้วิธีดึงสมัครพรรคพวกของตนเข้ามาเป็นเครือข่ายเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งบริหารกิจการของประชาชนในหลายภาคส่วน ตั้งแต่ระดับบริหารยันถึงระดับปฏิบัติการโดยไม่ได้คำนึงถึงความมีประสบการณ์ ความมีศักยภาพ ความสามารถรอบรู้ด้านงานสื่อสาธารณะ และประสบการณ์เฉพาะด้าน ตลอดจนวิสัยทัศน์ อุดมการณ์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของบุคลากรไทยพีบีเอส ที่นี่นิยมระบบอุปถัมภ์ดันพวกพ้องสู่ระดับผู้บริหาร ส่วนผู้ที่มีควาสามารถแต่ไม่เป็นพวกเดียวกันหรือมีทัศนคติที่ผิดแผกแตกต่างก็ถูกกดตำแหน่ง กดเงินเดือน บวกลบคูณหารคะแนนการประเมินได้ตามอำเภอใจและไม่ละลายต่อบาปทั้งผู้กระทำและผู้สนับสนุนเซ็นอนุมัติจนเป็นวงจรอุบาวท์ หมิ่นศักดิ์ศรีเพื่อนสื่อมวลชนและภาษีจากประชาชน สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวการบริหารการจัดการรอบด้านไม่ว่าจะเป็น เรื่องการบริหารงานจัดการด้านบุคลากร องค์กรขาดวัฒนธรรม มากด้วยความเหลื่อมล้ำ กระบอกเงินเดือนซึ่งเป็นเรื่องต้องเปิดเผยอย่างโปร่งใส แต่ไม่กล้านำมาเผยเพราะความเหลื่อมล้ำเรื่องฐานเงินเดือนที่ไม่เคยได้รับการแก้ไขให้เที่ยงธรรม หากกลับยิ่งสร้างให้เกิดความเหลื่อมล้ำทวีคูณ หากเข้ามาแบบเครือข่ายรู้จักลากกันมา ก็สามารถใช้อำนาจบันดาลให้เงินเดือนสูงลิ่ว หรือปรับเงินเดือนพนักงานพวกพ้องเสมือนเจ๊ดัน แม้มีข้อพิสูจน์ ในขณะที่ผู้เข้ามาด้วยความชอบธรรม หรือเป็นพนักงานเดินดินกินข้าวแกงถูกต่อรองแบบไม่ได้ศึกษาตลาดแรงงานโดยอ้างว่าที่นี่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานของกระบอกเงินที่เปี่ยมด้วยความเท่าเทียมเป็นธรรม ซึ่งล้วนส่งผลร้ายต่อขวัญและกำลังใจพนักงานที่ไม่สามารถมองเห็นอนาคตความก้าวหน้า ยามที่พนักงานแสดง อริยะขัดขืน ก็จะแสดงทัศนคติแห่งความเมตตาคือ “อยู่ไม่ได้ก็ออกไปซะ” (จะได้เอาคนของเครือข่ายตนเองมาแทน) ผลพวงของวงจรอุบาทว์นี้ ทำให้องค์กรสาธารณะแห่งนี้ขาดบุคลากรที่มีความสามารถจริงในวิชาชีพ ขาดผู้นำที่บริหารงานด้วยเมตตาธรรม คุณธรรม ความโปร่งใส และดำรงไว้ซึ่งความเท่าเทียม ไทยพีบีเอส วันนี้จึงเป็นแค่องค์กรที่มุ่งเน้นแต่การสร้างผลผลิตหน้าจอเพื่อสร้างภาพลักษณ์ ในขณะที่หลังจอนั้นขาดเสถียรภาพในการบริหารงานการปกครองคนรอบด้านอย่างสิ้นเชิง ที่นี่ไทยพีเอส จึงไม่แตกต่างจากภาพของสังคมไทยที่ผู้มีอำนาจละเลยการตรวจสอบ ละเลยการให้ความเป็นธรรม ซ้ำยังมีกลุ่มผู้ยึดมั่นในอำนาจหน้าที่ร่วมด้วยช่วยกันปกผิดความผิด ความไม่โปร่งใสของพวกพ้อง และสร้างภาพไปวันๆ ด้วยการไล่จับผิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้เข้าข่ายการผิดวินัย ทั้งที่ผู้ตั้งตนเป็นประธานกรรมการสอบสวนโดยไม่มีมีคุณสมบัติด้านจิตสำนึกแห่งความยุติธรรม ใช้ถ้อยคำข่มขู่พยานหรือผู้ถูกกล่าวหา สะท้อนการขาดความรู้ด้านการสอบสวนทางวินัยและใช้อำนาจหน้าเกินขอบเขตในการไต่สวนอย่างไร้หลักธรรมาภิบาล ที่นี่...ไทยพีบีเอส กำลังขาดบุคลากรระดับผู้นำที่มีความเป็นผู้นำ มีความกล้าหาญที่จะพูดความจริง มีความกล้าหาญที่จะลบล้างสิ่งผิด เนื่องด้วยมีประเพณีที่กระทำอยู่คือเมื่อใดที่มีอารยะขัดขืน ใครทำงานแข็งขืนไม่เป็นที่ได้ใจ ก็จะถูกสั่งโยกย้ายถ่ายเท ลดตำแหน่ง และนำเอาพวกพ้องคนสนิทเข้ามาแทนที่ แม้ไม่มีอัตราก็จะมีวิธีในการสร้างกล่องงาน เพื่อเอา ด้านการจัดจ้างบริษัทภายนอกเพื่อประเมินค่างานกลับได้รับผลการวัดค่างานที่ถอยหลังเข้าคลอง ทั้งที่สูญเสียค่าใช้จ่ายเป็นล้าน แต่การประเมินค่างานที่ได้กลับขาดความความชัดเจนกว่าเดิม สะท้อนความล้มเหลวในการจัดการบริหารบุคคลขั้นพื้นฐาน การบริหารการจัดการภายในเรื่องเล็กๆ ยังพายเรืออยู่ในอ่างพูดเรื่องซ้ำๆ แต่ไม่เคยจัดการให้ขยับได้ ลำพังแค่เรื่องจะจัดตั้งศาลพระภูมิ การติดตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ แต่งตั้งคณะกรรมการหารือกันเป็นปี จนบัดนี้เป็นองค์กรที่ไร้ศาลพระภูมิ ไร้พระบรมฉายาลักษณ์ เรื่องวิบัติวุ่นวายต่างๆจึงเกิดขึ้น เป็นประจำ นี่เป็นตัวอย่างสะท้อนให้เห็นการจัดการเรื่องง่ายๆ แต่บริหารงานอย่างล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง ผลพวงการบริหารงานถอยหลังเข้าคลองแบบนี้เป็นเหตุให้เกิดปัญหาสมองไหล พนักงานที่มีความสามารถลาออกไปอยู่หน่วยงานอื่นทั้งที่รายได้ไม่ได้สูงกว่าที่นี่ และนี่ถือเป็นบทพิสูจน์การบริหารงานชิ้นโบว์ดำของคณะผู้บริหารชุดนี้ ด้วยภาวะผู้นำที่ล้อมรอบด้วยยุทธเสนาแบบไร้ซึ่งศักยภาพและวิสัยทัศน์ บริหารจัดการงานอย่างขาดธรรมาภิบาล ไม่เหมาะสมที่จะบริหารงานขององค์กรที่มาจากภาษีประชาชนได้ เพราะผู้บริหารที่ดีจะต้องมีความเสียสละรับฟังปัญหาของพนักงานอย่างจริงใจ ตรึกตรองเพื่อนำไปสู่การตรวจสอบนำความเป็นธรรมกลับมาให้ได้ ในนามพนักงานขององค์กรขอ “สานพลัง” เพื่อปกป้องพื้นที่สื่อสาธารณะแห่งนี้ และขอสงวนไว้ให้เฉพาะผู้บริหารที่มีคุณธรรม มีความสามารถเข้ามานำทิศทางสื่อสาธารณะ ไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันนนี้ ขอชื่นชมผู้บริหารที่มาจากตัวแทนภาคประชาสังคมในส่วนต่างๆ ท่านได้พยายามใช้ศักยภาพ ความรู้ความสามารถของท่านอย่างเต็มที่ในการร่วมกำหนดกรอบนโนบาย การตรวจสอบ การวางแผนงานบริหาร การจัดการปัญหา ฯลฯ และในขณะเดียวกันพวกเราต้องขอแสดงความเห็นใจที่ท้ายสุดท่านไม่สามารถเดินหน้าเพื่อตรวจสอบความถูกต้องความโปร่งใสได้ตามเจตนารมณ์แม้แต่น้อย เพียงเพราะที่นี่ ไทยพีบีเอส ยังมีนัก วงจรอุบาทว์เหล่านี้ควรจบสิ้นด้วยพลังบริสุทธ์ของพนักงานไทยพีบีเอส ที่ต้องใช้ความกล้าหาญและร่วมสานพลัง ด้วยเจตนารมณ์ในการรักษาปกป้องสื่อสาธารณะแห่งนี้ให้พ้นจากผู้มีอำนาจซึ่งมากด้วยมลทิน และพ้นจากภาพจำลองสังคมไทยที่อันตรายและเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนสิ่งดีๆ ผลพวงแห่งการบริหารจัดการที่ล้มเหลวมาจากการที่ “ผู้มีอำนาจละเลยสิ่งที่ถูกต้อง และปกป้องสิ่งที่ไม่ถูกต้อง” ในนามพนักงานไทยพีบีเอส ขอใช้สิทธิภายใต้ระเบียบ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ เพื่อเรียกร้องให้เกิดการตรวจสอบการบริหารการจัดการภายในองค์กรทุกภาคส่วน นับตั้งแต่ การบริหารงานของสำนักทรัพยากรบุคคล / ประสิทธิภาพการตรวจสอบทุจริตของสำนักตรวจสอบภายใน / การบริหารงานของรองผู้อำนวยการด้านบริหารที่เชื่อว่ามีการใช้อำนาจลักษณะครอบงำสำนักบริหาร สำนักการคลัง สำนักทรัพยากรมนุษย์ สำนักกฎหมาย ซึ่งถือเป็นศูนย์อำนาจการบริหารงานที่สามารถเอื้อประโยชน์ต่อการทุจริตเชิงบริหาร ตลอดจนสำนัก / หน่วยงานต่างๆขององค์กรที่ถือเป็นแหล่งรวมผลประโยชน์ขององค์กร ปรากฏตามเอกสารประกอบที่แนบมานี้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน / ข้อมูลสำคัญชี้นำไปสู่การตรวจสอบโดยอาศัยอำนาจหน้าที่และกลไกการตรวจสอบทั้งจากคณะกรรมการรับร้องเรื่องร้องเรียนภายในองค์กร และหน่วยงานอิสระภายนอกองค์กร เพื่อนำประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาล ภายใต้การบริหารงานของผู้นำองค์กรในด้านต่างๆ ที่เปี่ยมด้วยความรู้ ความสามารถและมีคุณธรรม ผู้ที่สามารถขับเคลื่อนฟันเฟื่องทุกชิ้นส่วนของไทยพีบีเอสด้วยการมองเห็นหัวใจของความเป็นมนุษย์ ท้ายสุดเพื่อการนำมาซึ่งขวัญกำลังใจของพนักงานทุกระดับเพื่อสร้างสรรค์และผลิตคุณภาพงานหน้าจอให้แก่สังคมไทย พนักงานไทยพีบีเอส ขอใช้พลังน้ำใจและอุดมการณ์ และเจตนารมณ์ที่ต้องการรักษาปกป้องสื่อสาธารณะแห่งนี้ เพื่อนำไปสู่การบูรณาการด้านโครงสร้างการบริหารจัดการทุกภาคส่วน ทุกระบบของสื่อสาธารณะแห่งนี้ จึงขอเรียกร้องให้เกิดความชอบธรรมในข้อปฏิบัติต่อไปนี้เป็นการเร่งด่วนที่สุด และทำการชี้แจงต่อพนักงานทุกภาคส่วนขององค์กรภายใน 3 วัน นับจากการยื่นคำร้องเรียน 1. ผู้บริหารที่เข้ามาด้วยความไม่ชอบธรรม และไม่ผ่านการประเมินที่ถูกต้อง ขาดความโปร่งใสด้วยระบบเครือข่ายดึงกันมาเพราะเป็นคนของตนเอง ซ้ำยังทิ้งผลงานแห่งการบริหารงานจัดการที่ล้มเหลวไว้ กระทำการซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าขาดความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการองค์กรสื่อ ขอให้พิจารณาลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรักษาภาพลักษณ์และอนาคตที่ดีขององค์กรสื่อสาธารณะ โดยขอให้มีการตรวจสอบผู้บริหารระดับผู้อำนวยการสำนักภายใต้รองผู้อำนวยการส.ส.ท. ด้านบริหาร ตลอดจนตำแหน่งผู้ชำนาญการ ตำแหน่งผู้จัดการที่เข้ามารับตำแหน่งนับตั้งแต่ปี 2554-ปัจจุบัน นับตั้งแต่กระบวนการสัมภาษณ์-คัดเลือก การประเมินผลเพื่อผ่านการบรรจุเป็นผอ.สำนัก/ผู้จัดการว่าถูกต้องตามหลักเกณฑ์และมีความโปร่งใสอย่างไร โดยเฉพาะข้อสงสัยที่เชื่อว่าผอ.สำนักกฎหมาย ผอ.การคลัง ผอ.สำนักบริหาร มีผลงานการบริหารที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ทิ้งผลงานที่สร้างความปั่นป่วนเละเทะไว้ให้แก่องค์กรมากมาย พนักงานเชื่อว่ามีการหาช่องทางกฎหมายจากผิดให้เป็นถูกเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อนำพวกพ้องบรรจุเข้าสู่ตำแหน่งต่างๆในองค์กร งบการคลังปิดไม่ลงเป็นจำนวนเงินกว่าสิบล้านเฉพาะจากโครงการใช้งบประมาณโครงการหนึ่ง (ยังไม่รวมงบที่ปิดไม่ลงอื่นๆ) แต่กลับให้การแถลงเท็จต่อหน้ารัฐสภา การใช้จ่ายบานเบอะ ขาดความรู้ความเข้าใจด้านการบริหารจัดการด้านการคลังขององค์กรสื่อ เรื่องเน่าเฟะจะถูกโยนให้นักกฎหมายหัวอ่อนในสำนัก ฯ เพื่อจัดการดำเนินปัญหาต่างๆด้วยการหาช่องทางแบบผิดๆถูกๆ เพื่อขุดขุ้ยหาความผิดหรือบกพร่องให้ผู้อื่น แต่ท้ายสุดก็กำลังสะท้อนความแปดเปื้อนเข้าตัวเองกันอย่างจัด ฯลฯ หากตรวจสอบประวัติจะพบว่าแต่ละท่านมิได้มีประสบการณ์ตรงและผ่านประสบการณ์งานบริหารอย่างมืออาชีพในองค์กรใหญ่มาก่อน และมีการเชื่อว่า “ล็อคสเป็ก” เกิดขึ้นจริงในองค์กรนี้ เป็นผลหายนะขององค์กรเพราะจะได้บุคลากรที่ไร้คุณภาพมาเป็นแกนนำองค์กรในส่วนต่างๆ โดยเฉพาะสำนักทรัพยากรบุคคล มีการรับพนักงานพวกพ้องมาจากหน่วยงานเดิมของผอ.สำนัก ฯ เข้าเป็นพนักงานในสำนักของตนเองอย่างขาดความชอบธรรม 2.ผู้บริหารที่พึงกระทำการข่มคู่คุกคามพนักงานทั้งด้วยวาจา และการกระทำใดใดที่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และขวัญกำลังใจพนักงาน ใช้อำนาจในการกระทำใดใดให้ผิดเป็นถูก แม้ว่าไม่มีหลักฐานใดใดพิสูจน์ได้ เนื่องด้วยคุณธรรมธรรมภิบาลล้วนเป็นนามธรรม แต่จะเป็นกรรมเวรและเวรกรรมของท่านและตราบาปติดตัวติดใจของผู้กระทำไว้ จึงขอให้พิจารณาลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรักษาภาพลักษณ์และอนาคตที่ดีกว่าขององค์กรสื่อสาธารณะ และเปิดพื้นที่ให้ผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาพัฒนาองค์กรได้อย่างถูกทิศทาง 3.ขอให้เผยเปิดกระบอกเงินเดือน และการประเมินค่างานตามโครงสร้างค่างานที่ปรับใหม่ทั้งหมด เพื่อนำไปสู่การพิจารณาทบทวนรื้อฐานปรับปรุงเงินเดือนใหม่และการปรับโครงสร้างค่างานใหม่ทั้งหมด โดยความสามารถและประสบการณ์ของพนักงานนั้นๆอย่างถูกต้องเป็นธรรม เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ โดยศึกษาจากคู่แข่งขันตลาดแรงงานในแต่ละสาขา และให้พิจารณาจากประสบการณ์ ความสามารถ และผลงานในสายวิชาชีพของพนักงานทุกชั้นทุกระดับอย่างเป็นธรรม และส่งเสริมกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางการแข่งขันของตลาดแรงงาน 4.ขอให้พิจารณาทบทวนปรับปรุงสวัสดิการการรักษาพยาบาลต่างๆ ตลอดจนอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงทั้งการปฏิบัติหน้าที่ในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นเปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งค่าเบี้ยเสี่ยงภัย ค่าปฏิบัติงานล่วงเวลา ฯลฯ 5. ขอให้ผู้บริหารชุดใหม่ ตลอดจนผู้บริหารที่ดำรงตำแหน่งในส.ส.ท. จากทุกภาคส่วนตระหนักในความสำคัญของการพัฒนาสื่อสาธาณะเพื่อประชาชน ละเว้นการสืบทอดอำนาจเพื่อผลประโยชน์พวกพ้องของตนเองเหมือนเช่นตลอดสี่ปีที่ผ่านมา และให้สัตยาบรรณต่อพนักงานทุกชีวิตที่ร่วมใช้สิทธิในการตั้งกระทู้ต่อสังคมเพื่อนำไปสู่การตรวจสอบการบริหารงานทุกระบบ โดยเฉพาะการบริหารทรัพยากรบุคคล และการบริหารจัดการองค์กรทุกภาคส่วน เพื่อปกป้องไม่ให้เกิดอำนาจการคุกคามด้วยอคติทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อพนักงานผู้ใช้สิทธิและเสียงในการสะท้อนความเป็นจริงขององค์กรครั้งนี้บนเจตนารมณ์ในการปกป้องศักดิ์ศรีองค์กรสื่อสาธารณะเพื่อสาธารณะ 6. พนักงานที่ได้รับความไม่เป็นธรรมในเรื่องต่างๆที่ถูกละเลยจาการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบ ให้ความเป็นธรรม ขอให้มีการนำกลับมาพิจารณาโดยเร่งด่วน โดยเฉพาะเพื่อนพนักงานที่ถูกลดตำแหน่งทั้งที่ไม่เคยกระทำความผิดทางวินัยใดใด หรือการถูกโอนย้ายไปในตำแหน่งต่างๆอย่างขาดความชอบธรรม 7. ขอให้มีการกำหนดกลไกใหม่ในการการประเมินผลงานของระดับผู้อำนวยการทุกๆสองปี เพื่อการบริหารสื่อสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อประโยชน์ของสังคม
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
จดหมายเปิดผนึกพนักงาน TPBS เรียกร้องให้สรรหาผู้บริหารโปร่งใส ละเว้นการสืบทอดอำนาจพวกพ้อง Posted: 18 Jul 2012 05:09 AM PDT กลุ่มพนักงาน TPBS ร่อนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องความโปร่งใสของกระบวนการสรรหา ผอ. TPBS คนใหม่ พร้อมเรียกร้องให้ผู้บริหารใน TPBS ละเว้นการสืบทอดอำนาจเพื่อพวกพ้อง ปรับปรุงสวัสดิการพนักงานรวมถึงให้นำเรื่องที่พนักงานไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกลดตำแหน่ง โอนย้าย กลับมาพิจารณาโดยเร่งด่วน วันนี้ (18 ก.ค.) มีพนักงานของสถานีโทรทัศน์ TPBS ใช้ชื่อกลุ่มว่า "พนักงาน ส.ส.ท. ที่ต้องการสงวนรักษาสื่อสาธารณะให้เป็นสมบัติของประชาชนต่อไปอย่างยั่งยืน" ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกถึงประชาไท โดยมีรายละเอียดของจดหมายเปิดผนึกดังนี้ (หมายเหตุ ตัวเน้นเป็นการเน้นในจดหมายเปิดผนึก)
000 จดหมายเปิดผนึก ในนามของพนักงานและลูกจ้างองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย มีความตระหนักถึงพันธกิจที่มีค่าขององค์กรในฐานะสื่อสาธารณะของประชาชนที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์สังคมคุณภาพและคุณธรรม มีพันธกิจในการเผยแพร่ข่าวสาร ชี้นำปัญญา สนับสนุนส่งเสริมสังคมการมีส่วนร่วมตามครรลองประชาธิปไตย ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 (มาตรา 7) พนักงานไทยพีบีเอส ขอใช้พลังน้ำใจและอุดมการณ์ และเจตนารมณ์ที่ต้องการรักษาปกป้องสื่อสาธารณะแห่งนี้ เพื่อนำไปสู่การบูรณาการด้านโครงสร้างการบริหารจัดการทุกภาคส่วน ทุกระบบของสื่อสาธารณะ เพื่อทำให้สถาบันแห่งนี้ สร้างคุณค่าและความเชื่อมั่นให้เกิดกับสังคมโดยรวมของ จึงขอเรียกร้องให้การตรวจสอบในประเด็นต่างๆ ตามเอกสารแนบ เพื่อนำไปสู่การบริหารงาน การบริหารคน และการบริหารการคลังความชอบธรรมในข้อปฏิบัติต่อไปนี้เป็นการเร่งด่วนที่สุด และทำการชี้แจงต่อพนักงานทุกภาคส่วนขององค์กรภายใน 3 วัน นับจากการยื่นคำร้องเรียน 1. ขอให้ผู้บริหาร ส.ส.ท.ทุกตำแหน่งมีความตระหนักยึดมั่นในการบริหารงานที่โปร่งใส มีคุณธรรม เพื่อเป้าหมายในการพัฒนาสื่อสาธารณะเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนโดยแท้จริง ละเว้นการสืบทอดอำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง และให้สัตยาบรรณต่อพนักงานทุกชีวิตที่ร่วมใช้สิทธิ์ในตั้งกระทู้ต่อคณะกรรมการตรวจสอบร้องเรียนการร้องทุกข์ของพนักงาน องค์กร/หน่วยงานอิสระภายนอก เพื่อปกป้องไม่ให้เกิดอำนาจคุกคามต่อพนักงานที่ดำเนินการเรื่องร้องเรียนด้วยการกระทำใดใดที่จะส่งผลกระทบต่อพนักงานทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องด้วยพนักงานใช้สิทธิขั้นพื้นฐานที่พึงมีในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นด้วยเจตนารมณ์ในการเรียกร้องให้เกิดการชี้แจงและตรวจสอบระบบบริหารงานในประเด็นต่างๆ 2.เรื่องการแต่งตั้งและคัดเลือกพนักงานระดับบริหาร ซึ่งต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ ผู้บริหารและพนักงานระดับผู้บริหารต้องไม่มีผลประโยชน์ทั้งทางตรงและแอบแฝงตามข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน พ.ศ. 2551 ข้อ 4 (1) หลักผลประโยชน์สาธารณะ ข้อ 4 (5) หลักความโปร่งใส หากตรวจสอบประวัติจะพบว่ามีบุคลากรหลายภาคส่วนมิได้มีประสบการณ์การบริหารอย่างมืออาชีพ และ/หรือมีประสบการณ์เฉพาะด้านมาก่อน ส่งผลเสียหายต่อองค์กรเพราะจะนำมาซึ่งบุคลากรที่ไม่มีศักยภาพและคุณภาพการทำงานการทำงานมาร่วมขับเคลื่อนองค์กรในส่วนต่างๆ ผู้บริหารที่เข้ามาด้วยความไม่ชอบธรรม และไม่ผ่านการประเมินที่ถูกต้อง ขาดความโปร่งใสด้วยระบบเครือข่ายดึงกันมาเพราะเป็นคนของตนเอง ซ้ำยังทิ้งผลงานแห่งการบริหารงานจัดการที่ล้มเหลวไว้ กระทำการซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าขาดความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการองค์กรสื่อ ขอให้พิจารณาลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรักษาภาพลักษณ์และอนาคตที่ดีขององค์กรสื่อสาธารณะ โดยขอให้มีการตรวจสอบผู้บริหารระดับผู้อำนวยการสำนัก ตลอดจนตำแหน่งผู้ชำนาญการ ตำแหน่งผู้จัดการที่เข้ามารับตำแหน่งนับตั้งแต่ปี 2554-ปัจจุบัน นับตั้งแต่กระบวนการสัมภาษณ์-คัดเลือก การประเมินผลเพื่อผ่านการบรรจุเป็นผอ.สำนัก/ผู้จัดการว่าถูกต้องตามหลักเกณฑ์และมีความโปร่งใสอย่างไร ตามข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน พ.ศ. 2551 ตามข้อ 4 (5) หลักความโปร่งใส ผู้บริหารต้องแสดงให้เห็นและพร้อมชี้แจงความโปร่งใสในการกำหนดการปฏิบัติงานขององค์กร ในกรณีกระบอกเงินเดือนและการประเมินค่างานตามโครงสร้างใหม่ โดยขอให้พิจาณาตรวจสอบฐานเงินเดือนตามความสามารถและประสบการณ์ของพนักงานนั้นๆอย่างถูกต้องเป็นธรรม เพราะมิเช่นนั้นอาจก่อให้เกิดความสงสัยว่ามีเจตนาอันไม่สุจริต ตามข้อบังคับฯ ข้อ 4 (4) ว่าด้วยหลักความสุจริต เนื่องด้วยเชื่อได้ว่ามีปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านกระบอกเงินเดือนของพนักงานในองค์กร เพื่อนำไปสู่การพิจารณาทบทวนรื้อฐานปรับปรุงเงินเดือนใหม่และการปรับโครงสร้างค่างานใหม่ทั้งหมด โดยความสามารถและประสบการณ์ของพนักงานนั้นๆอย่างถูกต้องเป็นธรรม เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ โดยศึกษาจากคู่แข่งขันตลาดแรงงานในแต่ละสาขา และให้พิจารณาจากประสบการณ์ ความสามารถ และผลงานในสายวิชาชีพของพนักงานทุกชั้นทุกระดับอย่างเป็นธรรม และส่งเสริมกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางการแข่งขันของตลาดแรงงาน 3.ขอให้พิจารณาทบทวนปรับปรุงสวัสดิการการรักษาพยาบาลต่างๆ ตลอดจนอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงทั้งการปฏิบัติหน้าที่ในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นเปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งค่าเบี้ยเสี่ยงภัย ค่าปฏิบัติงานล่วงเวลา ฯลฯ 4.พนักงานที่ได้รับความไม่เป็นธรรมในเรื่องต่างๆที่ถูกละเลยจากการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบ ให้ความเป็นธรรม ขอให้มีการนำกลับมาพิจารณาโดยเร่งด่วน โดยเฉพาะเพื่อนพนักงานที่ถูกลดตำแหน่งทั้งที่ไม่เคยกระทำความผิดทางวินัยใดใด หรือการถูกโอนย้ายไปในตำแหน่งต่างๆอย่างขาดความชอบธรรม 5. ผู้บริหารที่พึงกระทำการข่มขู่พนักงานทั้งด้วยวาจา หรือการกระทำใดใดที่เป็นการละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล และขวัญกำลังใจพนักงาน ซึ่งอาจละเมิดสิทธิมนุษยชนตามข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน ตามข้อ 4 (3) และข้อปฏิบัติของกรรมการและผู้บริหารองค์กรต้องมีข้อประพฤติปฏิบัติ ตาม (9) (11) เนื่องด้วยคุณธรรมธรรมภิบาลล้วนเป็นนามธรรม แต่จะเป็นกรรมเวรและเวรกรรมของท่านและตราบาปติดตัวติดใจของผู้กระทำไว้ จึงขอให้พิจารณาลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรักษาภาพลักษณ์และอนาคตที่ดีกว่าขององค์กรสื่อสาธารณะ และเปิดพื้นที่ให้ผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาพัฒนาองค์กรได้อย่างถูกทิศทาง 6. ขอให้มีการกำหนดกลไกใหม่ในการประเมินผลงานของระดับผู้อำนวยการทุกๆสองปี เพื่อการบริหารสื่อสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อประโยชน์ของสังคม
ประกาศโดยพนักงาน ส.ส.ท. ที่ต้องการสงวน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "ไวอะก้า" Posted: 18 Jul 2012 03:39 AM PDT |
กรรมการสิทธิฯ ติง กฟผ.ให้ข้อมูลบกพร่อง สผ.ชี้ ‘แรมซาร์ไซต์’ ห้ามโรงไฟฟ้าถ่านหิน Posted: 18 Jul 2012 03:18 AM PDT กรรมการสิทธิฯ ลงตรัง จัดประชุมรับฟังการชี้แจงข้อเท็จจริงโรงไฟฟ้าถ่านหิน แนะบอกทั้งข้อดีข้อเสีย สผ.ชี้โรงไฟฟ้าถ่านหินตรังไม่ควรตั้งพื้นที่แรมซาร์ไซต์ ย้ำศึกษาให้ดี ผู้ช่วย กฟผ.ลั่นไม่สร้างหากอยู่ในแรมซาร์ไซต์ เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 17 กรกฎาคม 2555 ที่ห้องประชุม 131 อาคารอำนวยการ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีตรัง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร ในกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และคณะอนุกรรมการฯ จัดประชุมรับฟังการชี้แจงข้อเท็จจริงด้วยวาจาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินจังหวัดตรัง ขนาด 800 เมกะวัตต์ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลในอำเภอกันตัง นายอำเภอกันตัง ปลัดจังหวัดตรัง พลังงานจังหวัดตรัง เจ้าหน้าที่ของ กฟผ. ตัวแทนสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ทรัพยากรและธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดตรัง โดยมีชาวบ้านอำเภอกันตัง และอำเภออื่นๆ ในจังหวัดตรัง องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ร่วมรับฟังประมาณ 200 คน นายชวการ โชคดำลีลา วิศวกร 9 กฟผ.หัวหน้าศูนย์พลังงานไฟฟ้าจังหวัดตรัง ชี้แจงว่า โครงการไฟฟ้าถ่านหินจังหวัดตรัง ขนาด 800 เมกะวัตต์ ซึ่งใช้ถ่านหินซับบิทูมินัส ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาศักยภาพและความเป็นไปได้ของพื้นที่ และให้ข้อมูลรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้น หลังจากนี้จะเปิดให้ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยใช้ระยะเวลาดำเนินการ 8 เดือน จากนั้นให้ประชาชนเสนอพื้นที่พร้อมกับร่วมศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ใช้ระยะเวลา 12 เดือน การดำเนินการเสนอพื้นที่เพื่อจัดซื้อที่ดิน ไปพร้อมๆ กับศึกษา EHIA ใช้ระยะเวลา 6-12 เดือน จากนั้นดำเนินขั้นตอนขออนุมัติโครงการ 1 ปี และดำเนินการก่อสร้าง 5 ปี โดยได้คัดเลือก 3 พื้นที่ ในอำเภอกันตัง คือตำบลบางสัก ตำบลนาเกลือ และตำบลวังวน เนื่องจากเป็นพื้นที่ติดทะเลในการขนถ่านถ่านหินจากอินโดนีเซีย นายมนภัทร วังศานุวัตร ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดตรัง ชี้แจงว่า จังหวัดตรังมีพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (แรมซาร์ไซต์) คือ พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม - เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง - ปากน้ำตรัง จังหวัดตรัง มีพื้นที่ประมาณ 515,745 ไร่ มีพะยูนฝูงใหญ่ 150 ตัว ปลาโลมา เต่า หญ้าทะเล และยังเป็นแหล่งทรัพยากรทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวดึงรายได้เข้าสู่จังหวัด ส่วนนางปิยนันท์ โศภนคณาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (สผ.) ชี้แจงว่า หากพื้นที่มีศักยภาพสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้ง 3 แห่ง เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (แรมซาร์ไซต์) คงจะเข้าไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ต้องพิจารณาในการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่แรมซาร์ไซต์ ด้านนายสมชาติ ศรีปรัชญากุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการก่อสร้างโรงไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย (กฟผ.). กล่าวว่า หากเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (แรมซาร์ไซต์) กฟผ.จะไม่ดำเนินการสร้าง ตอนนี้ยังไม่ได้เลือกพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง กฟผ.จะจัดซื้อที่ดินสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเมื่อรัฐบาลอนุมัติเท่านั้น นายวุฒิชัย หวังบริสุทธิ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายรักษ์บ้านเกิดวังวน ตำบลกันตัง กล่าวว่า แม้ กฟผ.ยังไม่ดำเนินการซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่มีนายหน้ากำลังวิ่งเต้นเจรจาขอซื้อต่อรอราคาที่ดินกันอย่างกว้างขวางในพื้นที่ อีกทั้งพื้นที่ทั้ง 3 แห่งอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (แรมซาร์ไซต์) “กฟผ.เข้ามาเคลื่อนตั้งแต่ปลายปี 2553 จนเรามารู้เมื่อกลางปี 2554 โดยมุ่งเป้าหมายเข้าหาผู้นำ มีการล่ารายชื่อบอกว่าสร้างโรงไฟฟ้าแล้วจะได้ใช้ไฟฟรี ชาวบ้านก็นึกว่าเป็นแค่สถานีพักไฟ เพิ่งมาทราบเอาตอนหลังว่าจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน” นายวุฒิชัย กล่าว นางสาวศยามล ไกรยูรวงศ์ ผู้อำนวยการโครงการเสริมสร้างจิตสำนึกนิเวศวิทยา (สจน.) กล่าวว่า บทบาทของ กฟผ.กับหลักการธรรมาภิบาล ไม่ให้มีส่วนร่วมและการนำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้าน กฟผ.ไม่ได้นำเสนอข้อมูลอย่างที่เราต้องการโดยพูดแต่ข้อดี ไม่พูดเรื่องผลกระทบ ขณะที่มองเอ็นจีโอว่าเอาแต่ค้าน ความจริงเรามีหน้าที่หาข้อมูลให้ชาวบ้านเรียนรู้ในภาพรวม ไม่ใช่แค่โรงไฟฟ้าถ่านหินตรัง แต่ให้ข้อมูลกับชาวบ้านถึงแผนพัฒนาภาคใต้ในภาพรวมด้วย ด้านนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากรฯ สรุปว่า กฟผ.มีปัญหาในการให้ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็น ไม่ใช่ให้ข้อมูลแต่ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ แต่ไม่ให้ข้อมูลชาวบ้าน แสดงว่าบริหารจัดการไม่ถูกต้อง ข้อมูลที่สะท้อนออกมาต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เมื่อมีปัญหาแล้วจะแก้ไขยังไง “การมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นไม่ใช่นำคนที่เห็นด้วยร่วมเวที โครงการของหน่วยงานอื่นบางพื้นที่ให้คนเซ็นต์ชื่อแล้วอ้างว่าเห็นด้วย นายอำเภอ นายก อบต.ก็สามารถมีส่วนร่วมได้โดยจัดเวทีเป็นกลางเพื่อให้ความรู้ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ถ้าขืนเดินหน้าทำ EHIA ทั้งที่ยังมีความขัดแย้งมันจะเป็นระเบิดลูกใหญ่ของชุมชน” นายแพทย์นิรันดร์ กล่าวสรุป ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ชาวบ้านมึน! ปลัดจังหวัดยันสั่งหยุดฟันยางในพื้นที่โฉนดชุมชน แต่อุทยานฯ เตรียมเดินหน้า Posted: 18 Jul 2012 03:00 AM PDT เครือปฏิรูปที่ดินฯ ตรัง พบปลัดจังหวัดตรัง พร้อมยื่นหนังสือจี้พ่อเมืองสั่งหยุดฟันต้นยางชาวบ้านในพื้นที่โฉนดชุมชน เผยป่าไม้เตรียมฟันอีก 5 แปลง ปลัดจังหวัดยันส่งหนังสือสั่งป่าไม้ให้หยุดแล้ว วันที่ 17 ก.ค.55 เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ที่ศาลากลางจังหวัดตรัง เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือก พร้อมกันนี้ทางเครือข่ายได้ ก่อนหน้านี้เครือข่ายฯ ได้ยื่นข้อเ “ปลัดจังหวัดตรัง” ยันให้อุทยานฯ-เขตรักษาพันธุ์สั นายอมรเศรษฐ์ กล่าวว่า ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ยังมีมุมมองคนละทิศทาง จึงน่าจะมีการพูดคุยกันบ่อย ส่วนประเด็นการเข้าพบของเ ชาวบ้านเผยป่าไม้เตรียมฟันอีก 5 แปลง ด้านนายสมนึก พุฒนวล คณะทำงานเครือข่ายปฏิรูปที่ “ปลัดจังหวัดตรังยืนยันในที่ประชุมว่า ทางจังหวัดตรังได้ดำเนินการ นายสมนึกกล่าวกล่าวด้วยว่า หัวหน้าเขตอุทยานฯ ได้ยืนยันในที่ประชุมว่าจะตัดฟันต้นยางพาราในพื้นที่โฉนดชุมชนของสมาชิกเครือข่ ร้องอัยการชะลอการดำเนินคดี สมาชิกพื้นที่นำร่องโฉนดชุม นายสมนึก ให้ข้อมูลด้วยว่า ในวันนี้ได้ยื่นหนังสือถึงอ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา นายอัมมรได้รับหนังสือจากสำนักงานอั จี้พ่อเมืองสั่งหยุดฟันต้นยางชาวบ้านในพื้นที่โฉนดชุมชน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเนื้อห พร้อมทั้งขอให้ ผวจ.ตรัง ประสานงานหน่วยงานป่าไม้ และหน่วยงานอื่นภายใต้การบริหารงานของจังหวัดตรัง ให้มีการปราบปรามผู้บุกรุกป่าตัวจริง และยุติการกลั่นแกล้ง ข่มขู่คุกคาม ทำลายอาสิน ดำเนินคดีกับสมาชิกเครือข่า อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเจ้าหน้าที่ป่าไม้ยังคงข่มขู่ คุกคามสมาชิกเครือข่าย โดยการพ่นสีต้นยางพารา เพื่อเตรียมการรื้อถอน จำนวน 5 ราย ได้แก่ 1.นายคล้าว-นางเดียม อยู่ทอง 2.นายประพันธ์ จันทร์ขาว อยู่ในพื้นที่นำร่องโฉนดชุม เนื้อหาในหนังสือระบุอีกว่า 1. ขอให้มีคำสั่งชะลอการรื้อถอ 2. ขอให้เร่งดำเนินการประสานงา 3. ขอให้แจ้งผลการดำเนินการให้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติม ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ดันตั้งศูนย์คุมเดินรถโดยสาร 24 ชั่วโมง ลดอุบัติเหตุ Posted: 18 Jul 2012 02:20 AM PDT วันนี้ (18 กรกฎาคม 2555) เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงคมนาคม ถนนราชดำเนิน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายผู้บริโภคภาคประชาชนจำนวน 72 จังหวัด รวมถึงเครือข่ายนักวิชาการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคอันประกอบด้วย นักวิชาการจากศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) คณะทำงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เข้ายื่นหนังสือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ขอให้จัดตั้ง“ศูนย์ควบคุมการเดินรถโดยสารสาธารณะประจำทางตลอด 24 ชั่วโมง” และให้มีการติดตั้งระบบจีพีเอสและกล่องเก็บข้อมูลในรถโดยสารสาธารณะประจำทาง เพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ จากอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะประจำทางที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมาจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมากทั้งที่เป็นผู้โดยสารชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะประจำทางของประชาชนโดยทั่วไป รวมถึงส่งผลเสียหายต่อภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและชื่อเสียงของประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม นายแพทย์ธนะพงษ์ จินวงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายขนส่ง มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดมาตรการเกี่ยวกับความปลอดภัยและความสะดวกในการขนส่งทางบกซึ่งรวมถึงรถโดยสารสาธารณะประจำทาง ต้องทำหน้าที่กำหนดนโยบายและกำกับดูแลด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด โดยให้มีการพัฒนาและจัดตั้ง “ศูนย์ควบคุมการเดินรถโดยสารสาธารณะประจำทางตลอด 24 ชั่วโมง” ขึ้นเพราะเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด “ข้อมูลจากบริษัทขนส่ง หรือ บขส. 5 ปีย้อนหลัง คือตั้งแต่ปี 2545 ถึงปี 2549 พบว่า รถ บขส.เกิดอุบัติเหตุเฉลี่ย 325 ครั้งต่อปี หรือเกือบวันละครั้ง มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 4 รายต่อเดือน ส่วนรถร่วมบริการเกิดขึ้น 10 รายต่อเดือน จากมติคณะรัฐมนตรี 28 ธันวาคม 2553 ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการศึกษาแนวทางและมาตรการ ในการนำเทคโนโลยีระบบ GPS มาใช้ติดตั้งกับรถสาธารณะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการเดินรถ รวมทั้งเป็นการตรวจสอบและยกระดับความปลอดภัยทางถนน แต่ถึงแม้จะมีมติ ครม. ให้เร่งดำเนินการเรื่องการนำ GPS มาใช้ และที่ประชุมของกระทรวงคมนาคมจะระบุว่าเป็นระบบที่เหมาะสม แต่ผ่านมาปีกว่า ก็ยังคงไม่มีรูปธรรมในการดำเนินงาน โดยเฉพาะกับ “รถ บขส.” ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ต้องเป็นแบบอย่างในเรื่อง “มาตรฐานความปลอดภัย” ยังคงเกิดอุบัติเหตุซ้ำซาก สร้างความสูญเสียเป็นอย่างมาก ในส่วนของคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกก็ควรจะให้ความสำคัญกับนโยบายการสร้างความปลอดภัยสำหรับผู้โดยสาร ไม่ใช่พิจารณาแค่เรื่องการปรับขึ้นค่าโดยสารเท่านั้น” ดร.สุเมธ องกิตติ กุล นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่า ศูนย์ควบคุมการเดินรถ เริ่มแรกควรอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ บขส. มีหน้าที่ควบคุมการเดินรถทั้งของ บขส. และผู้ประกอบการรถร่วมอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาที่รถโดยสารสาธารณะประจำทาง แล่นรับส่งผู้โดยสาร รวมทั้งให้มีการติดตั้งอุปกรณ์ติดตามการเดินรถหรือจีพีเอส และกล่องบันทึกข้อมูลการเดินรถในเส้นทางรถโดยสารระหว่างประเทศ เส้นทางรถโดยสารประจำทางกรุงเทพฯไปยังส่วนภูมิภาค (หมวด 2) และเส้นทางรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัดในส่วนภูมิภาค (หมวด 3) ซึ่ง เป็นเส้นทางระยะไกลเป็นสำคัญ และเพื่อมิให้ผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะประจำทางต้องแบกรับภาระในการ ดำเนินการดังกล่าว จึงขอให้รัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนทั้งมาตรการด้านการเงิน และมาตรการด้านภาษีด้วย นายรักษิต ฐิติพัฒนพงษ์ วิศวกรจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และกรรมการสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย(TSAE) กล่าวว่าระบบ GPS มีความเหมาะสมในการใช้ติดตั้งกับรถสาธารณะ เนื่องจากสามารถส่งข้อมูลในลักษณะ Real time โดยแสดงข้อมูลได้ทั้งตำแหน่งของรถและรายละเอียดการเดินรถ ผู้ประกอบการขนส่ง สามารถติดตามตรวจสอบเส้นทางการเดินรถ พฤติกรรมผู้ขับรถ การควบคุมความเร็วในการเดินรถ รวมทั้งการควบคุมค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เช่น ค่าเชื้อเพลิงและค่าซ่อมบำรุงรักษารถ ส่วนภาครัฐได้ประโยชน์อย่างมากในการติดตามและควบคุมการเดินรถให้ปลอดภัยและถูกกฎหมายมากขึ้น ด้านประชาชนผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจต่อบริการมากขึ้น นางสาวสวนีย์ ฉ่ำ เฉลียว ผู้ประสานงานโครงการการมีส่วนร่วมของเครือข่ายผู้บริโภคเพื่อรถโดยสาร ปลอดภัย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า รถโดยสารสาธารณะประจำทางขนาดใหญ่และรถตู้โดยสารประจำทาง นับเป็นบริการสาธารณะสำคัญที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวใช้เดินทางในเส้นทาง ระหว่างกรุงเทพมหานครไปยังส่วนภูมิภาค และใช้เดินทางระหว่างจังหวัดในส่วนภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันมีผู้โดยสารใช้บริการกับบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เฉลี่ย 11-12 ล้านคนต่อปี และหากรวมกับผู้โดยสารที่ใช้บริการกับผู้ประกอบการรถร่วมที่มีจำนวนรถมากกว่ารถของ บขส.ถึง 10 เท่าตัว จึงคาดว่าน่าจะมีผู้ใช้บริการรถโดยสารรวมกันแล้วไม่น้อยกว่า 100 ล้านคนต่อปี ดังนั้น การที่รัฐบาลสนับสนุนให้รัฐบาลมีมาตรการในการจัดตั้งศูนย์ควบคุมการเดินรถตลอด 24 ชั่วโมง และให้มีการติดตั้งระบบจีพีเอสรวมทั้งกล่องบันทึกข้อมูลในรถโดยสารสาธารณะประจำทางเพื่อให้การกำกับดูแลการเดินรถมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงเป็นเรื่องที่มีความคุ้มค่าและสมควรเร่งดำเนินการเป็นอย่างยิ่ง “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายเห็นว่าการหาทางป้องกันเฝ้าระวังเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็น มากกว่าการมาชดเชยเยียวยากันหลังเกิดเหตุแล้ว เพราะบางครั้งความสูญเสียของผู้ประสบภัยไม่สามารถคำนวณมาเป็นตัวเลขความเสียหายได้ โดยเฉพาะผู้โดยสารที่ตัดสินใจเสียเงินใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะแล้ว ก็ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ ทั้งด้านบริการ และความปลอดภัยควบคู่กันไป ผู้ให้บริการไม่ใช่แค่มีหน้าที่เร่งขับรถไปให้ถึงจุดหมายปลายทางอย่างรวด เร็วเพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงชีวิตผู้ที่โดยสารมาด้วย ” นางสาวสวนีย์กล่าว นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ออกมารับหนังสือข้อเสนอดังกล่าวและยืนยันกับ ว่าทางกระทรวงคมนาคมไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหาอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ โดยเฉพาะรถโดยสารประจำทางจากกรุงเทพไปต่างจังหวัด ล่าสุดมีการประชุมปรึกษาหารือในคณะกรรมการนโยบายขนส่งเรื่องศูนย์ควบคุมการเดินรถแบบตลอด 24 ชั่วโมงโดยการใช้ GPS ไป แล้ว รวมทั้งวางโครงสร้างของระบบ โดยเชื่อมกับกรมการขนส่งทางบก เพราะเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง พร้อมกันนี้ยังรับปากว่าจะนำข้อเสนอที่รับไปในวันนี้เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในฐานะประธานกรรมการนโยบายขนส่งทางบกอย่างเร่งด่วน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
บ้านเมืองไม่ใช่ของเรา : วิพากษ์วิธีกับขบวนการเสื้อแดงจากใจ อึ๊งภากรณ์ Posted: 18 Jul 2012 02:15 AM PDT บ้านเมืองไม่ใช่ของเรา เทปนี้คุยกับใจ อึ๊งภากรณ์ ถึงประเทศเยอรมัน ถึงเรื่องมุมมองต่อขบวนการประชาธิปไตยของประชาชนอิยิปต์เปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวคนเสื้อแดงในเมืองไทย และความแตกต่างของการขยายพื้นที่ประชาธิปไตยในสังคมที่ไม่มีขบวนการแรงงานเข้าร่วมอย่างประเทศไทย ต่างกับประเทศอื่นๆ อย่างอิยิปต์หรือแม้แต่ในกรีซอย่างไร ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันน้ำท่วมของญี่ปุ่น Posted: 18 Jul 2012 01:55 AM PDT 1 บทนำ สำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมของญี่ปุ่นในครั้งนี้มิใช่ครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นได้เผชิญ หากแต่ประเทศญี่ปุ่นได้ประสบกับปัญหาน้ำท่วมมาเป็นเวลาช้านาน ด้วยสาเหตุมาจากสภาพภูมิประเทศประกอบด้วยเกาะกว่าสามพันแห่ง โดยประเทศญี่ปุ่นมักเผชิญกับพายุไต้ฝุ่นที่รุนแรง (Mega-scale Typhoons)และฝนตกที่รุนแรง (Heavy Raining)[3]จึงทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่หลายครั้ง ตัวอย่างเช่น วิกฤติน้ำท่วมบริเวณแม่น้ำชิคูโกะ (Chikugo River) ค.ศ. 1953 ในบริเวณทางตอนเหนือของเกาะคิวชู อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายราวพันคนและบ้านเรือนเสียหายกว่าสี่แสนห้าหมื่นครัวเรือน[4]และวิกฤติน้ำท่วมบริเวณแม่น้ำคาโน (Kano River) เมืองชิซูโอกะ (Shizuoka) ในปี ค.ศ. 1958 อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตกว่าหนึ่งพันห้าร้อยคน[5]เป็นต้น เพราะญี่ปุ่นประสบปัญหาน้ำท่วมจากพายุและฝนที่ตกหนักติดต่อหลายครั้ง ทำให้ประเทศญี่ปุ่นได้พยายามแสวงหาแนวทางและวิธีการเพื่อรับมือกับปัญหาน้ำท่วม โดยหลังจากปี ค.ศ.1949 รัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้กำหนดมาตรการทางกฎหมายเพื่อป้องกันน้ำท่ว[6]อันประกอบไปด้วยกฎหมายที่สำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่ กฎหมาย Disaster Measures Basic Act 1961 กฎหมาย River Act 1964 และกฎหมาย Flood Protection Act 194[7] 2 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันน้ำท่วมของประเทศญี่ปุ่น 2.1 กฎหมาย Flood Protection Act 1949 ประการที่สอง กฎหมายฉบับนี้ยังได้กำหนดหน้าที่ของรัฐบาลญี่ปุ่น ในการพยากรณ์ภาวะน้ำท่วม (Flood Forecasting) โดยให้อำนาจแก่กรมอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น (Japan Meteorological Agency - JMA) เป็นผู้พยากรณ์และประมวลผลสภาพอากาศที่เกี่ยวข้องกับการคาดการณ์ภาวะน้ำท่วม เมื่อได้ผลการพยากรณ์แล้ว ให้กรมอุตุนิยมวิทยาดำเนินการแจ้งผลดังกล่าวต่อกระทรวงที่ดิน สาธารณูปโภค การขนส่งและท่องเที่ยว (Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism) เพื่อให้กระทรวงดังกล่าวนำไปแจ้งต่อจังหวัด (Prefecture) ในกรณีที่มีความเป็นไปได้ว่าระดับน้ำอาจขึ้นสูง อาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในอนาคต หรือในกรณีเกิดน้ำท่วมแล้วและน้ำท่วมดังกล่าวมีระดับความลึกมากขึ้น เพื่อให้จังหวัดประกาศให้ประชาชนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เตรียมการรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจเกิดหรือกำลังเกิดขึ้น ประการที่สาม กฎหมายดังกล่าวยังได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่ในการจัดทำแผนที่ระบุอันตรายจากภาวะน้ำท่วม (Flood Hazard Maps) เพื่อกำหนดพื้นที่ที่อาจสุ่มเสี่ยงจะได้รับผลกระทบหรืออันตรายจากภาวะน้ำท่วมและระบุจุดที่มีการเตรียมการป้องกันเพื่อต่อสู้กับปัญหาน้ำท่วม สำหรับประโยชน์ของแผนที่ระบุอันตรายจากภาวะน้ำท่วมนี้ นอกจากจะทำให้ภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถวางแผนหรือคาดการณ์เพื่อรับมือกับภาวะน้ำท่วมปัญหาน้ำท่วมในระยะยาวได้แล้ว ยังถือเป็นการจัดทำข้อมูลข่าวสารด้านน้ำท่วมอีกประการหนึ่ง เพื่อให้ประชาชนรู้จุดแข็งและจุดด้อยของสภาพภูมิประเทศหรือภูมิศาสตร์ให้ชุมชนของตนล่วงหน้า ทำให้ประชาชนสามารถหลีกเลี่ยงจากภัยอันตรายได้ทันท่วงที[13] 2.2 กฎหมาย Disaster Measures Basic Act 1961 2.3 กฎหมาย River Act 1964 อนึ่ง ผู้มีอำนาจสั่งการเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงจากภาวะน้ำท่วมทั้งในระดับประเทศและระดับจังหวัด ต่างต้องบริหารจัดการป้องกันน้ำท่วมในลักษณะที่ครอบคลุม (Comprehensive Manner) กล่าวคือ ผู้บริหารจัดการแม่น้ำทั้งสองระดับอาจกำหนดการปฏิบัติการที่เหมาะสม เช่น การออกคำสั่งให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องหาวัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่น มาทำเป็นแนวป้องกันน้ำท่วม เป็นต้น นอกจากนี้ กฎหมายฉบับนี้ยังให้อำนาจกับผู้บริหารจัดการแม่น้ำในการเวนคืน (Expropriate) ที่ดินหรือพื้นที่บริเวณที่เกี่ยวข้องกับภาวะน้ำท่วม เพื่อนำพื้นที่ดังกล่าวมาบริหารจัดการภาวะน้ำท่วม และอำนาจสั่งให้ท้องถิ่นทำลาย (Dispose) สิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งกีดขวางอื่นๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำ เพื่อให้น้ำสามารถระบายออกไปได้ดีในกรณีที่มีภาวะน้ำท่วม 3 ข้อจำกัดบางประการสำหรับการบังคับใช้กฎหมาย 4 บทสรุปและข้อเสนอแนะ ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงควรศึกษาแนวทางและพัฒนาการในการต่อสู้กับภาวะน้ำท่วม ที่อาจกระทบต่อประเทศไทยในอนาคต โดยอาศัยบทเรียนจากพัฒนาการทางกฎหมายป้องกันน้ำท่วมของญี่ปุ่น มาเป็นแนวทางในการกำหนดกลไกและวิธีการในการแก้ปัญหาน้ำท่วมทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไปในอนาคต
* นักวิจัยประจำสาขาวิชานิติศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจและกฎหมาย มหาวิทยาลัยเดอมงฟอร์ต สหราชอาณาจักร อีเมลล์ pedithep.youyuenyong@email.dmu.ac.uk [1] BBC News.: Japan floods: Relief teams work as residents return. [cited 2012 July 20]. Available from: http://www.bbc.co.uk/news/world-asia-18852163 [2] BBC News.: Japan floods: 250,000 people ordered to leave homes. [cited 2012 July 20]. Available from: http://www.bbc.co.uk/news/world-asia-18840329 [3] Takahasi, Y.: Flood Management in Japan During the Last Half-Century. National University of Singapore, Singapore, p 3, 2011. [4] Takahasi, Y. and Monma, Y.: The Reverse Side Story on the River Management in These 60 Years in Japan – As the Examples of the Conflict Between the Upper and Downstream People. Japanese National Water Problems Association, Tokyo. p. 4, 2008. [5] United Nations Environment Programme.: International Shiga Forum on Technology for Water Management in the 21st Century. United Nations Environment Programme, Shiga, p. 38, 1999. [6] นอกจากนี้ ประเทศญี่ปุ่นยังมีการบัญญัติมาตรการทางกฎหมายเฉพาะขึ้นหลายฉบับ เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและควบคุมแหล่งน้ำประเภทต่างๆ โดยคำนึงถึงปัญหาต่างๆ ที่อาจกระทบต่อทรัพยากรน้ำได้ เช่น การควบคุมคุณภาพน้ำ การควบคุมคุณภาพน้ำดืมและสุขาภิบาลน้ำ การระบายน้ำในชุมชนเมืองอย่างยั่งยืน และผลกระทบจากภาวะโลกร้อนต่อแหล่งน้ำ เป็นต้น โปรดดู United Nations. : Freshwater country profile - Draft-freshwater 2003-Japan, pp. 1-12, 2003. (2004). [cited 2012 July 20]. Available from:http://www.un.org/esa/agenda21/natlinfo/countr/japan/Japanwater04f.pdf [7] Adachi, T.: Flood damage mitigationefforts in Japan - Fifth US-Japan Conference on Flood Control and Water Resources Management January 2009. Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism, Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism, Tokyo, p 1-28, 2009. [8] Japan Water Agency.: History. [cited 2012 July 20]. Available from: http://www.water.go.jp/honsya/honsya/english/08.html [9] นอกจากนี้ ประเทศญี่ปุ่นยังมีการบัญญัติมาตรการทางกฎหมายเฉพาะขึ้นหลายฉบับ เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและควบคุมแหล่งน้ำประเภทต่างๆ โดยคำนึงถึงปัญหาต่างๆ ที่อาจกระทบต่อทรัพยากรน้ำได้ เช่น การควบคุมคุณภาพน้ำ การควบคุมคุณภาพน้ำดืมและสุขาภิบาลน้ำ การระบายน้ำในชุมชนเมืองอย่างยั่งยืน และผลกระทบจากภาวะโลกร้อนต่อแหล่งน้ำ เป็นต้น โปรดดู United Nations. : Freshwater country profile - Draft-freshwater 2003-Japan, pp. 1-12, 2003. (2004). [cited 2012 July 20]. Available from:http://www.un.org/esa/agenda21/natlinfo/countr/japan/Japanwater04f.pdf [10] Adachi, T.: Flood damage mitigationefforts in Japan - Fifth US-Japan Conference on Flood Control and Water Resources Management January 2009. Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism, Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism, Tokyo, p 1-28, 2009. [11] ในบางตำราเรียก “Flood Fighting (Suibo) Law” โปรดดูใน Tachi, K.: Organization of local people for preparedness and emergency response- Flood fighting (Suibo) system in Japan Session: Preparedness and Emergency Response. [cited 2012 July 20]. Available from: http://www.nfrmp.us/ifrma/docs/pre/summary/TachiPaper.pdf [12] กฎหมายดังกล่าวได้เสริมสร้างการกระจายอำนาจเพื่อให้ท้องถิ่นและประชาชนในท้องถิ่นสามารถต่อสู้กับภาวะน้ำท่วมได้ โดยความร่วมมือระหว่างท้องถิ่นและประชาชนอาจเรียกว่า Suibo-dan หรือ Flood Fighting Team Working โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครและประชาชนมีส่วนร่วมในการห้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมร่วมกัน เช่น การเตือนภัยให้ชุมชน การตั้งกระสอบทรายและคันกันน้ำให้ชุมชน เป็นต้น [13] Ministry of Land, Infrastructure and Transport.: Flood Hazard Mapping Manual in Japan. [cited 2012 July 20]. Available from: http://www.icharm.pwri.go.jp/publication/pdf/2005/flood_hazard_mapping_manual.pdf [14] Tachi, K.: Organization of local people for preparedness and emergency response ‐ Flood fighting (Suibo) system in Japan. [cited 2012 July 20]. Available from: http://www.nfrmp.us/ifrma/docs/presentations/Tachi_Presentation.pdf [15] Ministry of Land, Infrastructure and Transport, Japan.: Japan: Tokai Heavy Rain (September 2000). [cited 2012 July 20]. Available from: http://www.apfm.info/pdf/case_studies/japan.pdf [16] นอกจากในเรื่องของปัญหาน้ำท่วมแล้ว กฎหมายดังกล่าวยังได้ถูกบัญญัติขึ้นมาเพื่อเหตุผลหลักสี่ประการด้วยกัน ประการแรก กฎหมายดังกล่าวได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการใช้ที่ดิน (Land use) ที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำ ได้แก่ การวางผังเมือง การพัฒนาเมืองบริเวณชายฝังแม่น้ำและการวางมาตรฐานการก่อสร้างหรือสิ่งปลูกสร้างบริเวณริมแม่น้ำ ประการต่อมา กฎหมายดังกล่าวได้กำหนดในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อมของแม่น้ำและบริเวณชายฝั่งแม่น้ำ เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในบริเวณแม่น้ำ รวมถึงการป้องกันมลภาวะและสิ่งปฏิกูลทางน้ำไม่ให้มากระทบกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของแม่น้ำ ประการที่สาม กฎหมายดังกล่าวยังเสริมสร้างแนวทางการต่อสู้กับภาวะน้ำท่วมและภาวะดินถล่มอันเนื่องมากจากน้ำท่วม ที่อาจก่อให้เกิดภัยอันตรายต่อสาธารณะชน และประการสุดท้าย กฎหมายดังกล่าวยังกำหนดแนวทางการใช้น้ำและการเก็บกักน้ำ เพื่อให้น้ำเพียงพอต่อสาธารณชนและเพียงพอต่อการดำเนินกิจกรรมทางอุตสาหกรรมของประเทศ โปรดดูเพิ่มเติมใน Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism, Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism.: IDI Water Series No. 4 The River Law with Commentary by Article Legal framework for River and Water Management in Japan, Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism, Tokyo, p I - IV, 1999. [17] Takahasi, Y.: Flood Management in Japan During the Last Half-Century. National University of Singapore, Singapore, p 18, 2011.
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
อัยการสั่งเด็ดขาด ไม่ฟ้องโชติศักดิ์ คดีไม่ยืนในโรงหนัง Posted: 18 Jul 2012 12:07 AM PDT อัยการมีคำสั่งเด็ดขาด ไม่ฟ้องนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง ผู้ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากไม่ยืนแสดงความเคารพในระหว่างเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี ในโรงหนัง ระบุแม้จะเป็นกิริยาที่ไม่อยู่ในบรรทัดฐานที่ประชาชนทั่วไปต้องปฏิบัติ แต่ไม่อาจชี้ชัดได้ว่ามีเจตนาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพฯ ใต้ 4 มีหนังสือแจ้งไปยังสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันเมื่อวันที่ 15 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยคำวินิจฉัยของอัยการระบุว่า พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ผู้ต้องหาไม่ลุกขึ้นเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี และมีการพูดว่า "ทำไมต้องยืนด้วยไม่มีกฎหมายบังคับ" นั้น เห็นว่าการกระทำดังกล่าวมิได้แสดงออกซึ่งวาจาหรือกิริยาอันจะเข้าลักษณะเป็นการดูถูก เหยียดหยาม ทำให้อับอาย เสียหาย สบประมาท ด่าว่า และการกล่าวหรือโต้เถียงเกิดขึ้นหลังจากเพลงจบแล้ว แม้จะเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสมและไม่อยู่ในบรรทัดฐานที่ประชาชนทั่วไปต้องปฏิบัติก็ตาม แต่การกระทำของผู้ต้องหาทั้งยังไม่อาจชี้ชัดได้ว่ามีเจตนาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ อีกทั้งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดมา พยานหลักฐานจึงไม่พอฟ้อง ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 50 นายนวมินทร์ วิทยกุล ได้ขว้างปาข้าวโพดคั่วและกระดาษใส่นายโชติศักดิ์ อ่อนสูง และเพื่อน เนื่องจากทั้งสองไม่ยืนขึ้นเมื่อมีการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง นายโชติศักดิ์และเพื่อน จึงฟ้องนายนวมินทร์ วิทยกุล ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ, ทำร้ายร่างกายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หมิ่นประมาทและดูหมิ่นซึ่งหน้า, ทำให้เสียทรัพย์, ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดฯ, และทะเลาะกันอื้ออึงในที่สาธารณสถานฯ จากนั้นนายนวมินทร์ได้ฟ้องนายโชติศักดิ์ และเพื่อนกลับด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ("ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี") ต่อมาวันที่ 19 ก.ย.51 พนักงานอัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้องนายนวมินทร์ ในข้อหา ร่วมกันทำร้ายร่างกายฯ และวันที่ 20 ต.ค.51 ตำรวจได้ส่งสำนวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา กรุงเทพใต้ อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ iLaw ได้เก็บข้อมูลคดีลักษณะใกล้เคียงกันนี้ ระบุว่า มีกรณีที่เกิดในพื้นที่ตำรวจนครบาลพหลโยธิน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2551 เวลากลางวัน ขณะที่โรงภาพยนต์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน เปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี จำเลยไม่ลุกขึ้นยืนเพื่อถวายความเคารพ และได้ยกเท้าทั้งสองข้างพาดเก้าอี้ไปทางจอภาพยนต์ เมื่อเพลงสรรเสริญพระบารมีจบและได้ตะโกนคำหยาบคายออกมา วันที่ 19 ตุลาคม 2552 ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 เห็นควรลดให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี เนื่องจากพิเคราะห์จากรายงานการสืบเสาะและพินิจแล้ว เห็นว่ามีแพทย์จากโรงพยาบาลศรีธัญญา และโรงพยาบาลตรัง ซึ่งเป็นจิตแพทย์ผู้ทำการรักษาอาการทางจิต ของจำเลยมาให้ปากคำต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติสอดคล้องกันว่าจำเลยเป็นผู้ป่วยทางจิตเภท
หมายเหตุ ประชาไทสงวนชื่อผู้ถูกกล่าวหาอีกราย เนื่องจากเจ้าตัวไม่ประสงค์เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ทบ.แจงติดป้าย "เขตการใช้กระสุนจริง" เพื่อไม่ให้ปชช.เข้ามา แม้แต่ทหารยังถูกโต้ด้วยกระสุนจริง Posted: 17 Jul 2012 09:39 PM PDT รองโฆษก ทบ. แจงข่าวขึ้นเบิกความคดีเสียชีวิต "ชาญณรงค์ พลศรีลา" ที่ราชปรารภเมื่อ พ..ค. ปี 53 นั้นยังไม่มีการพิสูจน์วิถีกระสุน เพียงแต่ระบุว่าเสียชีวิตด้วยกระสุนความเร็วสูง แถมอาวุธปืนของทหารที่ถูกปล้นก็ถูกนำมาใช้ร่วมอยู่ในสถานการณ์หลายครั้ง กรณีที่มีการนำเสนอข่าวการขึ้นเบิกความในเรื่องคดีการเสียชีวิตของนายชาญณรงค์ พลศรีลา เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553 บริเวณหน้าปั้มเชลล์ ถ.ราชปรารภนั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) ล่าสุดเช้าวันนี้ (18 ก.ค.) มติชนออนไลน์ รายงานความเห็นของ พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก (ทบ.) ชี้แจงถึงกรณีที่มีการนำเสนอข่าวการขึ้นเบิกความในเรื่องคดีการเสียชีวิตของนายชาญณรงค์ว่า การเบิกความดังกล่าวนั้นอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดว่านายชาญณรงค์เสียชีวิตด้วยการกระทำจากเจ้าหน้าที่ทหาร เนื่องจากมีการให้การว่าในวันเกิดเหตุมีการก่อความวุ่นวายของผู้ชุมนุมบริเวณปั้มเชลล์ซอยรางน้ำ จากนั้นก็ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีผู้บาดเจ็บต้องการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งทางผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ในขณะนั้นได้สั่งให้รถพยาบาลเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บแต่ไม่สามารถเข้าไปได้เนื่องจากถูกยิงสกัดจากแนวรั้วลวดหนามนั้น "กองทัพบกขอชี้แจงว่าเดิมทีเจ้าหน้าที่ทหารได้วางกำลังเข้าไปในซอยรางน้ำ แต่เนื่องจากถูกกดดันต่อต้านจากกลุ่มผู้ชุมนุม อีกทั้งถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบชนิด จนต้องทำให้เจ้าหน้าที่ทหารถอนกำลังออกจากรางน้ำมาอยู่บริเวณปากซอย ราชปรารภ 14 แสดงว่ามีบุคคลอื่นนอกเหนือจากเจ้าหน้าที่ได้มีการใช้อาวุธอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น และทางทหารเองก็ได้รับแจ้งจากประชาชนในพื้นที่เช่นกันว่ามีผู้บาดเจ็บจึงได้จัดกำลังเข้าไปเพื่อค้นหาและช่วยเหลือ โดยในขณะนั้นยังคงมีการใช้อาวุธตอบโต้และขัดขวางการเข้าช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ไม่ใช่แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้นที่ถูกขัดขวาง ซึ่งช่างภาพที่อยู่ในชุดที่ออกไปช่วยเหลือนั้นก็ยังได้ถูกยิง แต่ก็ยังคงออกไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจนสามารถนำผู้บาดเจ็บคือ นายชาญณรงค์และนักข่าวรายหนึ่งส่งโรงพยาบาลได้ อีกทั้งแสดงว่ามีบุคคลอื่นนอกเหนือจากเจ้าหน้าที่ได้มีการใช้อาวุธอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น รวมทั้งการเสียชีวิตของนายชาญณรงค์ก็ยังไม่มีการพิสูจน์เรื่องวิถีกระสุน เพียงแต่ระบุว่าเสียชีวิตด้วยกระสุนความเร็วสูง ซึ่งอาวุธปืนของทหารที่ถูกปล้นยึดไปจำนวนหลายสิบกระบอก และพบว่าถูกนำมาใช้ร่วมอยู่ในช่วงสถานการณ์หลายครั้ง" พ.อ.วินธัย กล่าว พ.อ.วินธัย กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องการสืบสวนหาข่าวเห็นทหารพกปืนเอ็ม16 และทราโว่นั้นขอเรียนว่าปืนทั้งสองชนิดเป็นอาวุธประจำกายมีไว้เพื่อป้องกันตัว สำหรับปืนทราโว่นั้นที่ติดกล้องนั้นถือเป็นส่วนประกอบหลักของปืนรุ่นนี้ทุกกระบอกอยู่แล้ว ไม่ได้มีการติดตั้งเพิ่มเติม และไม่ใช่อาวุธปืนที่เรียกกันว่าปืนสไนเปอร์ ส่วนความจำเป็นในเรื่องการติดป้ายเขตการใช้กระสุนจริงนั้น เพื่อความปลอดภัยและไม่ต้องการให้ประชาชน เข้ามาในเขตอันตรายนี้ เพราะเจ้าที่ทหารเองก็ยังถูกตอบโต้ด้วยกระสุนจริงภายในเขตนี้ ดังนั้นขอชี้แจงเพิ่มเติมไว้เพื่อให้สังคมได้ใช้วิจารณญาณในการรับทราบข้อมูลในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย พ.อ.วินธัยกล่าว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น