โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ฟ้องนายกมาบตาพุดอนุญาตโรงงานถ่านหินโค้กโดยไม่ชอบ

Posted: 03 Jul 2012 02:46 PM PDT

สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนร่วมกับชาวชุมชนมาบข่า ระยอง ยื่นฟ้องปลัดและนายกเทศมนตรีเมืองมาบตาพุดหลังปล่อยให้โรงงานถ่านหินโค้กได้ใบอนุญาตก่อสร้างได้ทั้ง ๆ ที่ชุมชนคัดค้านมากว่า 5 ปี

วันนี้ (๓ ก.ค.๕๕) เวลา ๑๐.๐๐ น. ที่ศาลปกครองระยอง นายศรีสุวรรณ  จรรยา  นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้ร่วมกับชาวมาบข่า อ.นิคมพัฒนา ชาวห้วยโป่ง มาบตาพุด จำนวน ๗๙ คน ได้เดินทางไปยื่นฟ้องปลัดเทศบาลเมืองมาบตาพุด และนายกเทศมนตรีเมืองมาบตาพุด ต่อศาลปกครองระยอง ข้อหาเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือกระทำการโดยมิชอบโดยการอนุมัติ/อนุญาตให้ผู้ประกอบการโรงงานถ่านหินโค้ก ชื่อบริษัท ไทยเจนเนอรัลไนซ์โคล แอน โค้ก จำกัด ได้รับใบอนุญาตก่อสร้างโรงงานได้ ตั้งแต่วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๔ ที่ผ่านมา

การกระทำของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการลุแก่อำนาจในการให้ใบอนุญาตแก่บริษัท เข้าข่ายเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ ขัดหรือแย้งต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ หลายมาตรา อาทิ มาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘  มาตรา ๖๗ วรรคสอง มาตรา ๒๘๗  ทั้ง ๆ ที่ชาวชุมชนมาบข่า-ห้วยโป่ง ได้คัดค้านโรงงานดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องกว่า 5 ปีแล้วก็ตาม

ทั้งนี้ในการยื่นฟ้องดังกล่าว ชาวบ้านได้มีคำขอท้ายคำฟ้อง ดังนี้

๑) ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกถอนใบอนุญาตการก่อสร้างอาคารโรงงานทั้งหมดที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้อนุญาตให้บริษัท ไทยเจนเนอรัลไนซ์โคล แอนโค้ก จำกัดไปแล้วเสีย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีร่วมกันรับผิดชอบต่อความเสียหายของบริษัทดังกล่าวโดยส่วนตัวด้วย

๒) ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีอาญาต่อผู้ถูกฟ้องคดีในความผิดเกี่ยวกับการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ

๓) ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีจัดให้มีวิธีการที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยให้ประชาชนออกเสียงประชามติตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา ๒๘๗ เกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติกำหนดทั้งหมด

๔) ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อย่างครบถ้วนก่อนใช้อำนาจทางปกครองใด ๆ ในกรณีดังกล่าว โดยเฉพาะการต้องดำเนินการให้การคุ้มครองสิทธิของประชาชนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๒๖ มาตรา ๕๖ มาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘ มาตรา ๖๖ มาตรา ๖๗ มาตรา ๗๘ มาตรา ๘๕ (๕) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา ๘๗ มาตรา ๒๘๗ มาตรา ๒๙๐ ประกอบพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๓๕ พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.๒๕๓๕ พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.๒๕๕๒ และหรือระเบียบของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานที่เกี่ยวข้อง และหรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความเห็นของประชาชน พ.ศ.๒๕๕๘ โดยยึดถือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ ๓/๒๕๕๒ เป็นหลักด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฟ้องนายกมาบตาพุดอนุญาตโรงงานถ่านหินโค้กโดยไม่ชอบ

Posted: 03 Jul 2012 02:46 PM PDT

สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนร่วมกับชาวชุมชนมาบข่า ระยอง ยื่นฟ้องปลัดและนายกเทศมนตรีเมืองมาบตาพุดหลังปล่อยให้โรงงานถ่านหินโค้กได้ใบอนุญาตก่อสร้างได้ทั้ง ๆ ที่ชุมชนคัดค้านมากว่า 5 ปี

วันนี้ (๓ ก.ค.๕๕) เวลา ๑๐.๐๐ น. ที่ศาลปกครองระยอง นายศรีสุวรรณ  จรรยา  นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้ร่วมกับชาวมาบข่า อ.นิคมพัฒนา ชาวห้วยโป่ง มาบตาพุด จำนวน ๗๙ คน ได้เดินทางไปยื่นฟ้องปลัดเทศบาลเมืองมาบตาพุด และนายกเทศมนตรีเมืองมาบตาพุด ต่อศาลปกครองระยอง ข้อหาเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือกระทำการโดยมิชอบโดยการอนุมัติ/อนุญาตให้ผู้ประกอบการโรงงานถ่านหินโค้ก ชื่อบริษัท ไทยเจนเนอรัลไนซ์โคล แอน โค้ก จำกัด ได้รับใบอนุญาตก่อสร้างโรงงานได้ ตั้งแต่วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๔ ที่ผ่านมา

การกระทำของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการลุแก่อำนาจในการให้ใบอนุญาตแก่บริษัท เข้าข่ายเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ ขัดหรือแย้งต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ หลายมาตรา อาทิ มาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘  มาตรา ๖๗ วรรคสอง มาตรา ๒๘๗  ทั้ง ๆ ที่ชาวชุมชนมาบข่า-ห้วยโป่ง ได้คัดค้านโรงงานดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องกว่า 5 ปีแล้วก็ตาม

ทั้งนี้ในการยื่นฟ้องดังกล่าว ชาวบ้านได้มีคำขอท้ายคำฟ้อง ดังนี้

๑) ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกถอนใบอนุญาตการก่อสร้างอาคารโรงงานทั้งหมดที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้อนุญาตให้บริษัท ไทยเจนเนอรัลไนซ์โคล แอนโค้ก จำกัดไปแล้วเสีย และให้ผู้ถูกฟ้องคดีร่วมกันรับผิดชอบต่อความเสียหายของบริษัทดังกล่าวโดยส่วนตัวด้วย

๒) ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีอาญาต่อผู้ถูกฟ้องคดีในความผิดเกี่ยวกับการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ

๓) ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีจัดให้มีวิธีการที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยให้ประชาชนออกเสียงประชามติตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา ๒๘๗ เกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติกำหนดทั้งหมด

๔) ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อย่างครบถ้วนก่อนใช้อำนาจทางปกครองใด ๆ ในกรณีดังกล่าว โดยเฉพาะการต้องดำเนินการให้การคุ้มครองสิทธิของประชาชนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๒๖ มาตรา ๕๖ มาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘ มาตรา ๖๖ มาตรา ๖๗ มาตรา ๗๘ มาตรา ๘๕ (๕) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา ๘๗ มาตรา ๒๘๗ มาตรา ๒๙๐ ประกอบพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๓๕ พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.๒๕๓๕ พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.๒๕๕๒ และหรือระเบียบของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานที่เกี่ยวข้อง และหรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความเห็นของประชาชน พ.ศ.๒๕๕๘ โดยยึดถือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ ๓/๒๕๕๒ เป็นหลักด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ความคิดเห็นจากรุ่นพี่ถึงรุ่นน้อง 'ม.ขอนแก่น' ออกนอกระบบ

Posted: 03 Jul 2012 02:39 PM PDT

ในฐานะรุ่นพี่คนหนึ่งที่เรียนจบจากที่นี่ และกำลังเรียนในระดับบัณฑิตศึกษา พี่ตั้งข้อสังเกตดังนี้ครับ

1. ประเด็นที่พี่อยากร่วมสนทนา มีอยู่ในร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขอนแก่นเพื่อไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ (http://kkufuture.kku.ac.th/2552/2553/01/03_rule.pdf) โดยขออนุญาตตั้งข้อสงสัยในประเด็นแนวคิดพื้นฐานของเรื่องนี้

2. ถ้าเป็นประเด็นแค่เรื่องค่าเทอม จะออก หรือไม่ออกนอกระบบ ค่าเทอม ม.ข. เอง ขึ้นมานานแล้ว จากหน่วยกิตละ 60 บาท ปฏิบัติการหน่วยละ 120 บาท คิดทั้งเทอม รวมค่าบำรุงคณะ ไม่เกิน 8500 บาท เป็นเหมาจ่าย 15000 บาท คำถามคือ เรากำลังถูกแนวคิด ม.นอกระบบหลอกให้ตกหลุมบางอย่างหรือเปล่า เพราะมันเปลี่ยนมา 6-7 ปีแล้ว สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนคือ ยังไม่มีตัวบทกฎหมายรองรับเท่านั้นเอง

3. นอกจากเรื่องเงินแล้ว ในเรื่องระบบทุกอย่างก็เปลี่ยนมานานแล้วเหมือนกัน ตอนนี้ อ.รุ่นใหม่ๆ ไม่ได้อยู่ในรูปของข้าราชการ แต่เป็นพนักงาน ซึ่งต้องมีผลงานทางด้านวิชาการตลอดเวลา เป็นเรื่องที่พี่คิดว่า เป็นแกนความสำคัญของการมีมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่ได้ต้องการแค่คนมาสอนหนังสือ แล้วรับเงินเดือนไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ทำงานด้านวิชาการเลย

4. พี่รู้สึกว่า มันมีแนวคิดหลักสองด้านที่เป็นพื้นฐานในการต่อสู้เรื่องนี้ ข้อแรกคือ เรื่องรายจ่ายของผู้เรียน ซึ่งพี่คิดว่า เป็นเรื่องที่น้องๆ ชูขึ้นมาเพื่อใช้ในการต่อสู้กันอยู่ กับเรื่องคุณภาพของการศึกษา และความอิสระทางวิชาการ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ม.ทุกแห่งในประเทศ ต้องพึ่งพาเงินของรัฐในการจัดการภายใต้ระบบราชการ ทุกอย่างเชื่องช้า ไม่มีประสิทธิภาพ และเช้าชามเย็นชาม การควบคุมมหาวิทยาลัย ก็มีการแต่งตั้งสภามหาวิทยาลัยมาจากส่วนกลาง คนพวกนี้แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรเลยกับมหาวิทยาลัย และพี่ยังไม่เห็นประโยชน์อะไรของคนเหล่านี้เลย นักวิชาการเวลาทำงานก็ต้องขึ้นอยู่กับคนพวกนี้ ถ้าต้องการตำแหน่งทางวิชาการ (หลายครั้ง) มากกว่าผลงานทางวิชาการเอง ทำให้มีประเด็นการเมืองเข้ามาก้าวก่ายมากมายในวงวิชาการ ลองจินตนาการว่า ถ้าการออกนอกระบบ ทำให้เรามีอำนาจที่จะหลุดจากกระบวนการพวกนี้ได้ จะดีกว่าที่เป็นอยู่หรือเปล่า ซึ่งพี่ว่าเป็นประเด็นที่น่าต่อสู้มากกว่าเรื่องเงิน

5. พี่มีคำถามว่า ทำไมคนในประเทศ ต้องพยายามดิ้นรนเพื่อที่จะเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัย ทำไม "ทุกคน" ต้องเรียนมหาวิทยาลัย เป้าหมายของการเรียนในมหาวิทยาลัยคืออะไร พี่ขอแชร์สิ่งที่พี่รู้นิดนึงนะครับ ระบบการศึกษาในโลกนี้ มีหลักๆ สองระบบ ซึ่งมุ่งที่จะผลิตบุคลากรสองประเภท ให้แก่สังคม คือ ระบบที่ผลิตนักวิชาการ และระบบที่ีผลิตผู้ชำนาญการ พูดให้ง่ายขึ้นคือ สายสามัญและสายอาชีพ ประเทศของเราเป็นประเทศที่คนส่วนใหญ่มุ่งที่จะเข้าสู่การศึกษาสายสามัญ ซึ่งมุ่งจะผลิตนักวิชาการ ทั้งที่หลายคนไม่มีความพร้อมเลย และผลลัพท์ของมหาวิทยาลัยในประเทศเราคือ ผลิตพนักงานบริษัทมากกว่าผลิตนักวิชาการ ในขณะที่สายอาชีพที่มีเป้าหมายมุ่งผลิตบุคลากรในแบบที่มหาวิทยาลัยไทยในปัจจุบันผลิตอยู่ กลับโดนค่านิยมบางอย่างในสังคมไทย บอกว่า มีระดับการศึกษาที่ต่ำกว่าการเรียนมหาวิทยาลัย  ทั้งที่จริงๆ แล้ว สถาบันทางการศึกษาเหล่านี้ ได้ผลิตบุคลากรที่มีความชำนาญในงานที่ตนเองทำออกมามากมาย ตามเป้าหมายของระบบการศึกษาที่วางไว้ โดยที่คนเหล่านั้นไม่ต้อง เรียนแคลคูลัส ฟิสิกส์ เคมี หรืออะไรก็ตามที่เรียนไปแล้ว แทบจะไม่ได้ใช้ในการทำงานจริงเลย ประเด็นในข้อนี้คือ คำว่า "ริดรอนสิทธิทางการศึกษา" ที่กล่าวถึงกัน หมายความว่า ทุกคน "ต้อง" ได้เรียนมหาวิทยาลัย อย่างนั้นหรือ

6. ข้อสุดท้าย พี่มีคำถามที่ถามตัวเองเสมอ และคิดว่าได้รับคำตอบนั้นแล้ว และอยากแลกเปลี่ยนคำถามดังกล่าว กับน้องๆ ว่า ใครบ้างที่ได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ "จริง ๆ" ในระยะยาวมากกว่า ในระยะสั้นจากการออก พรบ.ฉบับนี้ ลองตั้งคำถามนี้ โดยรวมแม้กระทั้ง คนที่เราเคารพ (จะเป็นอาจารย์ หรือบุคลกรอื่นๆ ก็แล้วแต่) ผู้บริหาร หรือแม้กระทั่งตัวน้องเอง และสังคมโดยรวม และหวังว่า เราจะได้แลกเปลี่ยนคำตอบนั้นกัน

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แผนเปลี่ยนผ่านอำนาจในซีเรียถูกปฏิเสธจากทั้งสองฝ่าย

Posted: 03 Jul 2012 02:24 PM PDT

ฝ่ายต่อต้านและฝ่ายรัฐบาลซีเรียแสดงความไม่เห็นด้วยในแผนการตั้งรัฐบาลเปลี่ยนผ่านอำนาจตามแนวคิดของโคฟี่ อันนัน 

 
เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ทั้งสื่อรัฐบาลและฝ่ายต่อต้านในซีเรียต่างก็กล่าวว่า แผนการของนานาชาติในการจัดตั้งรัฐบาลเปลี่ยนผ่านของซีเรียประสบความล้มเหลว ขณะที่เหตุรุนแรงในซีเรียช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกเป็น 140 ราย
 
ในการประชุมที่เจนีวาของประเทศมหาอำนาจเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีมติให้สมาชิกของรัฐบาลซีเรียปัจจุบันมีบทบาทในแผนการเปลี่ยนผ่านทางอำนาจ แต่ชาติตะวันตกไม่ยอมรับบทบาทของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดในรัฐบาลสมานฉันท์ชุดใหม่นี้
 
ด้านรัสเซียกับจีนยืนยันว่า ควรให้ซีเรียได้ตัดสินใจด้วยตนเองในแผนการเปลี่ยนผ่านอำนาจ แทนการให้ประเทศอื่นเข้าครอบงำ อย่างไรก็ตามทั้งรัสเซียและจีน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยคัดค้านมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในกรณีของซีเรียมาแล้วสองครั้ง ต่างก็ได้ลงนามในร่างมติขั้นสุดท้ายที่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าให้อัสซาดลงจากตำแหน่ง
 
ทั้งสื่อรัฐบาลซีเรียและกลุ่มต่อต้านรัฐบาล LCC ต่างก็ไม่ได้เห็นด้วยกับแผนการครั้งนี้มากนัก
 
โดยหนังสือพิมพ์ อัล-บาธ สื่อของพรรคบาธซึ่งเป็นพรรครัฐบาลปัจจุบันของซีเรียรายงานว่าการประชุมของเหล่ามหาอำนาจที่เจนีวาถือเป็นความล้มเหลว
 
หนังสือพิมพ์ อัล-บาธ ระบุอีกว่า การประชุมที่เจนีวาเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. เป็นเหมือนการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่มีองค์ประชุมมากขึ้น ขณะที่จุดยืนของผู้เข้าร่วมยังคงเหมือนเดิม
 
กลุ่มต้านยังยืนยันไม่เจรจากับอัสซาด
กลุ่ม LCC ที่เป็นกลุ่มจัดตั้งการประท้วงต้านรัฐบาลในซีเรียกล่าวว่า ผลที่เกิดขึ้นได้แสดงให้เห็นความล้มเหลวอีกครั้งในการยอมรับจุดยืนร่วมกัน
 
กลุ่ม LCC บอกว่าข้อตกลงการเปลี่ยนผ่านนี้ คล้ายกับข้อเรียกร้องของผู้นำรัสเซียซึ่งเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลอัสซาด ที่คอยคุ้มครองด้านการทหารและด้านการเมืองภายใต้หน้าฉากที่ถูกกดดันจากนานาชาติ
 
เบอฮาน กาลิอุน สมาชิกอาวุโสของ LCC และอดีตผู้นำสภาแห่งชาติซีเรีย (SNC) กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ อัล-อราบิยา ว่า "นี้ถือเป็นแถลงการณ์ของนานาชาติที่แย่ที่สุดที่เกี่ยวกับประเด็นซีเรีย"
 
ในเฟสบุ๊คเพจของกลุ่ม SNC เบอฮานกล่าวถึงแผนการณ์นี้บอกว่าเป็นแค่ "ปาหี่"
 
เบอฮาน บอกว่ามันถือเป็นการ "หยามเหยียด" ที่จะให้ชาวซีเรียเจรจากับฆาตกรที่ยังไม่หยุดสังหาร, ทรมาน และข่มขืนผู้หญิงมากว่า 16 เดือน
 
ด้านโฆษก SNC บาสมา กัดมานี กล่าวว่า ข้อตกลงของนานาชาติก็มีด้านดีอยู่ แม้ว่าสาระสำคัญของมันยังคงดูกำกวม และแผนการก็คลุมเครือเกินกว่าจะมองเห็นการปฏิบัติได้จริงและโดยทันที
 
กัดมานีกล่าวว่า "ประการแรกคือคำประกาศล่าสุดได้ระบุว่าผู้เข้าร่วมเห็นพ้องกันว่าครอบครัวของอัสซาดไม่ควรปกครองประเทศต่อไป ดังนั้นครอบครัวของอัสซาดจึงไม่สามารถเป็นผู้นำในช่วงเปลี่ยนผ่านได้"
 
"ประการที่สองคือ ข้อตกลงนี้มีข้อดีอยู่คือการเปลี่ยนผ่านถ่ายโอนอำนาจควรเป็นไปตามความคาดหวังของประชาชนชาวซีเรีย"
 
"สำหรับพวกเราแล้ว นี่หมายความว่าอัสซาดควรออกไป เพราะประชาชนชาวซีเรียได้บอกไปแล้วว่าพวกเขาต้องการให้อัสซาดออกไป"
 
ความรุนแรงช่วงสุดสัปดาห์ ตาย 140
ด้านประเทศอิหร่านที่เป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นกับอัสซาดก็บอกว่า การประชุมที่เจนีวาไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากซีเรียและอิหร่านไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมด้วย
 
สหรัฐฯ และประเทศยุโรปคัดค้านไม่ให้อิหร่านเข้าร่วม แม้ว่าโคฟี่ อันนัน และบันคีมูน เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติต้องการให้อิหร่านเข้าร่วม
 
สื่อของอียิปต์และกลุ่มสันนิบาติชาติอาหรับรายงานว่า กลุ่มต่อต้านรัฐบาลมีแผนประชุมสองวันในไคโร และมีนัดหมายพบเจอกับรัฐมนตรีของประเทศอาหรับในวันที่ 3 ก.ค. เพื่อออกแถลงการณ์ร่วมกัน
 
ขณะที่กลุ่มต่างๆ ยังหารือเรื่องทางออกของวิกฤติซีเรีย ทางกลุ่มสิทธิมนุษยชนในซีเรียก็รายงานว่า มีประชาชนมากกว่า 140 คนถูกสังหารในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในวันที่ 30 มิ.ย. มี 120 ราย และในวันที่ 1 ก.ค. มี 21 ราย รวมอีก 5 รายในเขตฮามาด้วย
 
อันนันได้กล่าวตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย. ว่า เป็นเรื่องของประชาชนชาวซีเรียเองที่จะตัดสินใจว่าต้องการใครในรัฐบาลสมานฉันท์ แต่อันนันก็แสดงความสงสัยว่า "ชาวซีเรียจะเลือกคนที่มือเปื้อนเลือดมาเป็นผู้นำพวกเขา"
 
ทางด้านสหรัฐฯ และฝรั่งเศส ต่างก็กล่าวว่า มันชัดเจนที่อัสซาดจะไม่มีบทบาทในอนาคต
 
 
 
ที่มา
Syria transition plan denounced by both sides, Aljazeera, 01-07-2012
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไต่สวนการตาย ‘ยิงรถตู้’ 53 ทหารจากลพบุรียันไม่ได้ยิง-ไม่มีแจกกระสุนจริง-ไม่รู้ใครยิง

Posted: 03 Jul 2012 02:01 PM PDT

 

3 ก.ค.55 ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา รัชดา มีการไต่สวนการเสียชีวิตของนาย พัน คำกอง คนขับแท็กซี่ ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตบริเวณถนนราชปรารภ ใกล้แอร์พอร์ตลิงก์ซึ่งเป็นจุดประจำการของทหาร เมื่อวันที่ 15 พ.ค.53 โดยมีทหารจากกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 31 รักษาพระองค์ จังหวัดลพบุรี ซึ่งประจำการบริเวณดังกล่าวขึ้นเบิกความ 4 นาย

คลิปข่าวเนชั่นทีวีรายงานจากที่เกิดเหตุ ระบุชัดทหารยิงสกัดรถตู้

ทั้งนี้ เหตุการณ์ในวันดังกล่าวมีการรายงานโดยสื่อหลายสำนัก โดยเนชั่นทีวี ผู้สื่อข่าวภาคสนามได้รายงานว่ามีรถตู้สีขาววิ่งเข้ามาในบริเวณดังกล่าว ทหารจึงมีการแจ้งเตือน แต่รถตู้ยังขับต่อทำให้ทหารต้องยิงสกัด หลังเหตุการณ์พบว่าคนขับรถตู้ได้รับบาดเจ็บ และมีเด็กชายวัย 14 ปีถูกลูกหลงเสียชีวิต (ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรือ อิซา) รวมทั้งนายพัน คำพอง คนขับแท็กซี่ที่ไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวและเป็นผู้ตายในคดีนี้ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่านายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายฝ่ายผู้เสียชีวิตแจ้งว่า นายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ที่ได้รับบาดเจ็บได้มาเบิกความไปแล้ว โดยระบุว่า มีอาชีพขับรถตู้รับจ้างรับส่งชาวต่างชาติ วันเกิดเหตุพยายามหาทางกลับบ้านและต้องผ่านเส้นทางดังกล่าวซึ่งไม่ได้มีด่านหรือการแจ้งว่าปิดถนน เมื่อถึงที่เกิดเหตุไม่ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ประกาศจึงขับต่อไปจนกระทั่งถูกยิง ส่วนนายพัน คำกอง ทราบว่าเป็นคนขับแท็กซี่ ช่วงเกิดเหตุกลับบ้านไม่ได้เพราะไม่มีรถ จึงเข้าไปพักอยู่ในสำนักงานของคอนโดที่ยังสร้างไม่เสร็จใกล้กับจุดที่เกิดเหตุ

ผู้บังคับกองพันจากลพบุรี ยัน M79 ลงก่อนช่วงค่ำ -ได้รับรายงานแต่ไม่ได้ลงมาดูที่เกิดเหตุ  
พ.ท.วรการ ฮุ่นตระกูล ผู้บังคับกองพันที่ 31 ทหารปืนใหญ่ รักษาพระองค์  ( ผบ.ป.พัน.31 รอ.) เบิกความว่า ผู้บังคับกองพันประจำการอยู่บนแอร์พอร์ตลิงก์ ชั้น 3 โดยหน่วยของตนย้ายจากทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 14 พ.ค.มาประจำการบริเวณนี้ในช่วงเย็น ตั้งแต่หัวค่ำก็มีเสียงระเบิดทยอยเกิดขึ้นทางฝั่งซ้ายของตึก ห่างไปไม่เกิน 500 เมตร คาดว่าเป็น M79 กระทั่งมาตกที่ถนนราชปรารภและบนหลังคาสะพานลอยซึ่งมีทหารประจำการอยู่ จึงสั่งให้มีการถอนกำลัง เมื่อเงียบไปพักหนึ่งจึงให้กลับไปประจำการใหม่  กระทั่งเวลาประมาณ 24.00 น.มีการวิทยุแจ้งว่ามีรถตู้วิ่งเข้ามา มีการประกาศเตือนให้หยุดรถ ไม่นานก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น แต่ไม่ทราบทิศทาง ดังต่อเนื่องหลายนัดประมาณ 1 นาที  ตนไม่ได้ออกมาดูเหตุการณ์ แต่ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานว่ามีรถตู้วิ่งออกมาจากซอยวัฒนวงศ์ (ราชปรารภ 8) มุ่งหน้าหาแอร์พอร์ตลิงก์  ไม่มีการรายงานว่ามีการระดมยิง แต่ภายหลังเหตุการณ์สงบพบในรถมีผ้าพันคอและเสื้อสีแดง เขียนข้อความ “แดงทั้งแผ่นดิน” และมีมีดดาบยาวประมาณ 2 ฟุต ไม่มีอาวุธอย่างอื่น หลังจากนั้นพักใหญ่ก็ได้รับรายงานจากหน่วยพยาบาลอีกว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ เป็นคนขับรถตู้ และเด็กอีก 1 คน จึงให้ติดต่อประสานรถพยาบาลในพื้นที่ จากนั้นก็มีการแจ้งว่ามีผู้บาดเจ็บอีกรายที่บริเวณคอนโด Ideao ซึ่งกำลังก่อสร้าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ได้ตนไม่ได้ลงไปดูที่เกิดเหตุแต่อย่างใด

ยันไม่มีการใช้ – ไม่มีการแจกกระสุนจริงให้กำลังพล
เมื่อถามถึงการวางกำลังและการใช้อาวุธของทหารที่ประจำการบริเวณดังกล่าว พ.ท.วรการ ตอบว่า หน่วยของตนเป็นกองร้อยรักษาความสงบ อาวุธหลักคือ โล่และกระบอง ซึ่งมีประจำกายทหารทั้ง 150 คน ส่วนปืนลูกซองนั้นมีประมาณ 30 กระบอก ปืน M16 มีประมาณ 20 กระบอก ในวันเกิดเหตุได้แจกกระสุนแบงก์หรือกระสุนซ้อมรบสำหรับปืน M16 กับ กระสุนยางสำหรับปืนลูกซอง ให้เจ้าหน้านำไปด้วยโดยไม่ได้บรรจุไว้ในปืน กระสุนดังกล่าวไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต และยืนยันว่าไม่มีการแจกกระสุนจริงให้ผู้ใต้บังคับบัญชา นอกจากนี้จากการสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่มีคนไหนใช้อาวุธยับยั้งไม่ให้รถตู้เข้ามา ส่วนที่มีการเขียนป้ายในบริเวณใกล้เคียงว่า “พื้นที่กระสุนจริง” ก็ไม่ทราบว่าหน่วยไหนเป็นคนเขียน

พ.ท.วรการตอบทนายซักถามว่า ในช่วงดังกล่าวมีการเบิกกระสุนจริงสำหรับปืน M16 มาด้วย 400 นัด ส่วนกระสุนซ้อมรบนั้นจำยอดแน่นอนไม่ได้เพราะใช้ที่เหลือจากการฝึก ส่วนกระสุนจริงสำหรับใช้กับปืนลูกซองจำนวนที่แน่นอนไม่ได้ ส่วนปืนพกที่ผู้บังคับกองร้อย และผู้บังคับกองพันเป็นผู้ใช้นั้นไม่มีกระสุน  โดยการเบิกจ่ายกระสุนจริงนั้นเบิกที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.) ที่ทำเนียบรัฐบาล มีบัญชีเบิกจ่ายชัดเจนและมีการนำกระสุนที่ไม่ได้ใช้ไปคืนด้วยในช่วงก่อนสิ้นเดือนพ.ค.

มีการเตือนระวัง “ชายชุดดำ” และรถตู้คาร์บอม

พ.ท.วรการ ระบุอีกว่า กำลังพลที่ตนดูแลมีทั้งหมด 500 คน โดยปฏิบัติการ 350 คน ที่เหลือก็มีการหมุนเวียนกัน สำหรับบริเวณแอร์พอร์ตลิงก์ มี 4 หน่วยจาก 4 กองพันที่ปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้  ที่หน่วยของตนมีการเคลื่อนกำลังเข้าไปนั้นเพราะผู้บังคับบัญชา คือทาง ศปก.พล.1 รอ.แจ้งว่าแอร์พอร์ตลิงก์ถูกยึดโดยผู้ชุมนุมและอาจถูกเผา ในตอนแรกมีหนึ่งหน่วยซึ่งไม่ทราบหน่วยไหนปฏิบัติหน้าที่อยู่ ดังนั้นอีก 3-4 หน่วยจึงต้องเข้าไปยึดคืน แต่เมื่อไปถึงราว 4 โมงเย็น ก็เห็นมีทหารประจำการอยู่ก่อนแล้วเข้าใจว่าหน่วยที่มาก่อนยึดคืนได้แล้ว  และเห็นมีกองยาง รถน้ำทหารโดนเผาอยู่บริเวณใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม ระหว่างเคลื่อนกำลังเข้าไปในพื้นที่ได้รับแจ้งให้ระมัดระวังชายชุดดำที่อยู่บนปืนตึกสูง ซึ่งก็มีการใช้อาวุธปืนยิงลงมาจากตึกสูงด้วย แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ยังมีการแจ้งเตือนมาด้วยว่าให้ระวังรถตู้ที่อาจเข้ามาก่อเหตุคาร์บอม

เมื่อทนายถามว่าทั้ง 4 กองพันมีการประสานกันหรือไม่ พ.ท.วรการ ตอบว่า ประสาน โดยผู้บังคับกองร้อยจะประสานกันเอง ส่วนผู้บังคับกองพันทำหน้าที่รับนโยบายและควบคุมดูแล ในการวางกำลังหน่วยของตนจะประจำฝั่งซ้ายของถนนราชปรารภ ประมาณ 80 นาย ส่วนฝั่งขวาเป็นของ ร.1 พัน 3 ผู้บังคับบัญชาคือ พ.ท.พงศ์กร อาจสัญจร (ขณะนี้ยศ พ.อ.)  ซึ่งหน่วยนี้พักอยู่ที่ไหนไม่ทราบ ขณะนั้นมีการปิดถนน แต่ก็ยังเห็นจักรยานยนต์ จักรยานของประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นสัญจรอยู่บ้าง

เมื่อถามว่ามีการสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไรในพื้นที่ที่อันตรายมีการโจมตีด้วย M79 พ.ท.วรการ กล่าวว่า สั่งให้หลบหนีเข้าที่กำลังอย่างเดียว ส่วนอาวุธที่แจกก็เป็นเหมือนเครื่องแบบ ส่วนจะใช้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง หากเจ้าหน้าที่ถูกข่มขู่คุกคาม สามารถใช้กระสุนซ้อมรบยิงป้องกันได้เลยโดยไม่ต้องรอคำสั่ง  

ไม่รู้ใครยิงรถตู้
ไม่มีการจับคนร้าย
เมื่อถามว่ามีการจับคนร้ายที่ยิงรถตู้ได้ไหม พ.ท.วรการตอบว่า ไม่ได้จับใคร เมื่อถามว่า ใครเป็นผู้ยิงรถตู้ทราบหรือไม่ เขาตอบว่า ไม่ทราบ และคืนนั้นก็ไม่ได้มีการประสานหรือประชุมกองอำนวยการใดๆ

เปิดคลิปนักข่าว กลางศาล 10 กว่านาที เสียงกระสุนยิงใส่รถตู้ราว 20 นัด
จากนั้นศาลได้สอบถามว่าจะให้เปิดวีซีดีคลิปวิดีโอของนักข่าวเนชั่นที่ถ่ายเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุ [เป็นคลิปเต็มที่ยังไม่ได้ตัดต่อดังที่นำมารายงานข่าว-ประชาไท] และมอบให้พนักงานสอบสวนและเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ดีหรือไม่ ทุกฝ่ายเห็นพ้องกัน จึงมีการเปิดวีซีดีดังกล่าว ซึ่งยาวประมาณ 10 กว่านาที ถ่ายหลังทหารที่ยืนหลบอยู่ข้างเสาไฟฟ้า ห่างจากรถตู้ประมาณ 50-100 เมตร มีเสียงปืนดังขึ้นเพื่อหยุดรถตู้ติดต่อกันเกือบ 20  นัด จนรถตู้หยุดสนิท และมีทหารเข้าไปดู มีการนำคนเจ็บลงจากรถเพื่อปฐมพยาบาล และมีภาพการลำเลียงคนเจ็บอื่นๆ จากรถพยาบาลทหารขึ้นรถหน่วยกู้ชีพ

จากนั้นทนายได้ซักถาม พ.ท.วรการต่อว่า ในคลิปดังกล่าวมีลูกน้องปรากฏในคลิปไหม เขาตอบว่า มีสองคน คนหนึ่งอยู่ใกล้กับกล้อง อีกคนหนึ่งเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ ส่วนทหารที่เหลือมองไม่ชัดเจน ไม่ใจว่าเป็น ร.1พัน3 หรือไม่  เมื่อถามว่าหากได้รับมอบหมายให้ประจำการในพื้นที่นี้ทหารหน่วยอื่นจะเข้ามาในพื้นที่ไม่ได้ใช่หรือไม่ พ.ท.วรการตอบว่า เข้ามานอนหรือเข้าห้องน้ำได้ แต่จะมาปฏิบัติการตรงหน่วยที่ได้รับมอบหมายประจำการอยู่ไม่ได้

ผู้บังคับกองร้อยเบิกความเห็นชายชุดดำ ก่อนโดน M79
พยานปากที่สอง ได้แก่ ร.อ.เสริมศักดิ์ คำละมูล ผู้บังคับการกองร้อย ผู้ใต้บังคับบัญชาของ พ.ท.วรการ ซึ่งคุมกำลังพลอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ เบิกความว่า เดินทางจากลพบุรีมาปฏิบัติการที่กรุงเทพ ตั้งแต่ 11 มี.ค.53 – 25 พ.ค.53 โดยหน่วยปืนใหญ่มากัน 2 กองร้อย กองร้อยของตนเคลื่อนย้ายมาจากทำเนียบฯ ในวันที่ 14 พ.ค.เพื่อมาประจำการอยู่บริเวณแอร์พอร์ตลิงก์ โดยจัดกำลังส่วนหนึ่งริมถนนราชปรารภฝั่งซ้าย หันหน้าไปทางประตูน้ำ แยกเป็นบนสะพานลอยบริเวณซอยราชปรารภ 6 และบริเวณฟุตบาทหน้าร้านอินเดียฟู้ดส์ อีกส่วนหนึ่งอยู่ที่ถนนมักกะสัน เรียบทางรถไฟ ขณะประจำการยังมีประชาชนสัญจรไปมา รถยนต์ยังผ่านได้อยู่ในช่วงเย็น ไม่ได้มีประกาศห้ามผ่าน จากนั้นได้รับการแจ้งเตือนว่าให้ระวังรถตู้สีขาวที่อาจเข้ามาก่อเหตุ 

เวลาประมาณ 17.00-18.00 น. มีประชาชน  ผู้ชุมนุมเข้ามาด่าทอทหารบริเวณซอยราชปรารภ 6 สังเกตเห็นชายแต่งชุดดำอยู่ในนั้นด้วย จากนั้นทั้งหมดก็ออกไปจากพื้นที่ ไม่ถึงนาทีก็มีระเบิดปิงปอง 3 ลูก ตกมาบริเวณใกล้จุดที่ทหารประจำการ แต่ไม่มีอำนาจทำลายล้างจึงไม่มีใครบาดเจ็บ จากนั้นโดนโจมตีด้วยระเบิด M79 โดยมีการยิงเป็นระยะประมาณ 10 นาที แต่กำลังพลไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ไม่ทราบแน่ชัดว่ายิงมาจากทางไหน แต่ระยะไม่น่าจะเกิน 750 เมตร เวลาประมาณ 22.00 น.ก็โดนโจมตีด้วย M79 อีกในลักษณะเดิม มีการยิงหัวน็อต ลูกแก้ว โดยใช้หนังสติ๊กเข้ามาด้วย และได้ยินเสียงปืนสั้นประปราย แต่ไม่มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ

หมอบขณะเสียงปืนดัง ไม่เห็นเหตุการณ์

สำหรับซอยราชปรารภ 8 ซึ่งมีรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างวิ่งเข้าออก ก็ได้นำลวดหนามไปปิดไว้เพื่อป้องกันรถใหญ่ แต่ก็เป็นลวดหนามที่คนสามารถยกออกได้ ประมาณ 23.00 น. ก็มีการจัดกำลังพลไปรักษาการใกล้ซอย 8 จากนั้นเวลาประมาณเที่ยงคืนก็มีรถตู้สีขาว ลักษณะคล้ายกับที่มีการแจ้งเตือนไว้วิ่งออกมาจากซอย 8 จอดที่ปากซอย ตนจึงแจ้งกำลังพลบริเวณนั้นให้ใช้โทรโข่งประกาศให้รถตู้กลับออกไปทางเดิม หรือเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปทางประตูน้ำ จากนั้นประมาณ 10 นาที ก็สั่งให้รถทหารประกาศอีกที ปรากฏว่ารถตู้หักเลี้ยวขวามุ่งมาทางแอร์พอร์ตลิงก์ ได้ยินเสียงประกาศอยู่ด้วยพร้อมๆ กับได้ยินเสียงกระสุนปืนเป็นระยะ ตนและกำลังพลที่อยู่ด้วยกัน 5-6 นาย บริเวณร้านอินเดียฟู้ดส์จึงหมอบลงกับพื้น จากนั้นก็ไม่เห็นเหตุการณ์อีก หมอบประมาณ 1 นาทีจนเสียงปืนสงบลง จากนั้นตนก็สั่งให้กำลังพลไปตรวจการบริเวณประตูน้ำ โดยไม่ได้วิ่งไปดูที่รถตู้แต่อย่างใด

อัยการถามย้ำว่า มีการใช้ปืนยิงสกัดรถตู้ไหม ร.อ.เสริมศักดิ์ตอบว่า ไม่มี  เมื่อถามว่าทหารปฏิบัติการร่วมกันหลายหน่วย มีการใช้สัญลักษณ์ในการจำแนกอย่างไร เขาตอบว่า ไม่ต่างกัน ใช้วิธีจำหน้ากำลังพล  

ทนายถามว่า ระหว่างที่เสียงปืนดังขึ้น ดังมาจากสองฟากถนนใช่หรือไม่ ร.อ.เสริมศักดิ์ ระบุว่า เสียงก้องมาก เมื่อถามว่าเมื่อถูกยิงแล้วรถตู้มีอาการอย่างไร เขาตอบว่า ตอนนั้นหมอบบริเวณฟุตบาทจึงไม่เห็นเหตุการณ์ เมื่อถามว่าพอจะทราบไหมว่าเสียงปืนที่ดังขึ้นนั้นเป็นปืนอะไร เขาตอบว่า แยกไม่ออก

จากนั้นมีการเปิดคลิปอีกครั้ง โดยเปิดเฉพาะช่วงต้นที่มีเสียงปืนดัง ทนายถามย้ำอีกว่า ทราบไหมว่าปืนอะไร ร.อ.เสริมศักดิ์ กล่าวว่า บอกไม่ได้ เมื่อถามว่าหลังเกิดเหตุมีการประสานหน่วยข้างเคียงเพื่อสอบถามหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาตอบว่า ไม่มีการประสาน

ทหารพยาบาลไม่เห็นแผลว่าเกิดจากอะไร ระบุไฟไม่สว่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงเย็นมีการเบิกความของ 2 ปาก สุดท้าย ซึ่งเป็นทหารพยาบาลที่อยู่ในที่เกิดเหตุ โดยคนหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือคนขับรถตู้และอีกคนหนึ่งเข้าช่วยเหลือ ด.ช.คุณากร หลังได้รับแจ้งว่ามีผู้บาดเจ็บเพิ่มเติม โดยทหารที่เข้าไปช่วยคนขับรถตู้ตอบคำถามว่า เมื่อเหตุการณ์สงบได้เข้าไปช่วยคนขับรถตู้เบื้องต้นด้วยการห้ามเลือดบริเวณช่องท้อง โดยไม่ทันได้ดูบาดแผลชัดเจน ไม่ทราบว่าได้รับบาดเจ็บจากอะไรเนื่องจากบริเวณที่ปฐมพยาบาลแสงไฟไม่สว่าง  แต่ยืนยันกับทนายว่าในช่วงเช้าเห็นรถตู้จอดอยู่ที่เดิมโดยมีร่องรอยกระสุนรอบคัน  เมื่อทนายนำผลการรักษาของแพทย์มาอ่านให้ฟังว่า พบชิ้นส่วนหัวกระสุนปลายแหลมหุ้มทองเหลืองในบาดแผลของคนขับรถตู้ แล้วถามว่าใช่ลักษณะของกระสุน M16 หรือไม่ เขาตอบว่าไม่ทราบ

ชี้ ‘น้องอิซา’ ลำไส้ไหล ไม่ตอบสนอง
ส่วนทหารพยาบาลอีกนายหนึ่งที่ช่วยเหลือเด็ก ระบุว่า พบว่าผู้บาดเจ็บมีบาดแผลที่ช่องท้องและลำไส้ไหลออกมา แต่ไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุใด มีการสอบถามจากเจ้าหน้าที่คนอื่นว่าพบเด็กคนนี้ได้อย่างไร เจ้าหน้าที่ก็ไม่ทราบ ขณะนั้นสภาพของเด็กไม่ตอบสนอง ไม่รู้สึกตัว ชีพจรเต้นช้า และมาทราบภายหลังว่าเด็กที่เสียชีวิตคือ ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ  

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ร้องสมาคมต้านโลกร้อน ช่วยแก้ “โรงงานยาง” ปล่อยน้ำเน่า ศาลสั่งแล้วยังเฉย

Posted: 03 Jul 2012 12:03 PM PDT

ตัวแทนชาวบ้านบุรีรัมย์ยื่นหนังสือสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ร้องช่วยตรวจสอบการแก้ปัญหาโรงงานยางพาราก่อมลพิษ เผยสร้างความเดือดร้อนมานานกว่า 6 ปี ล่าสุดศาลปกครองมีคำสั่งให้แก้ไข แต่หน่วยงานรัฐยังเพิกเฉย

 
 
เมื่อวันที่ 2 ก.ค.55 ตัวแทนชาวบ้าน 13 หมู่บ้าน ใน ต.บึงเจริญ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ นำโดยนายกิตติพงษ์ อภัยจิตต์ และนางขวัญทราย ชาร์เตอร์ เดินทางมายื่นหนังสือต่อนายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เพื่อร้องขอให้ช่วยเหลือทางคดีและการแก้ไขปัญหา กรณี บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด โรงงานผลิตยางพารา ที่ตั้งอยู่ใจกลางชุมชนได้ก่อมลพิษทั้งส่งกลิ่นเหม็น และปล่อยน้ำเสียลงสู่ชุมชน ทำให้ชาวบ้านโดยเฉพาะเด็ก และคนชราหลายรายเกิดอาการเจ็บป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ ทั้งยังทำให้นาข้าวของเกษตรกรที่อยู่ใกล้บริเวณโรงงานเสียหายไม่ได้ผลผลิต เดือดร้อนมานานกว่า 6 ปี
 
นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านเคยร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทั้งทางจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงเทศบาลตำบลบึงเจริญแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านแต่อย่างใด
 
ล่าสุดชาวบ้านที่เดือดร้อนได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองนครราชสีมา และ เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลได้มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และทางโรงงานดำเนินการป้องกัน ควบคุม ขจัดกลิ่นเหม็นจากการประกอบกิจการโรงงานรีดยางพาราดังกล่าว เพื่อไม่ให้รบกวนและกระทบต่อการดำรงชีพโดยปกติสุขและสุขภาพของชาวบ้าน
 
อย่างไรก็ตาม จนขณะนี้ยังได้รับผลกระทบจากปัญหากลิ่นเหม็น และน้ำเสียจากโรงงานดังกล่าวอยู่ จึงไม่สามารถที่จะไปพึ่งพิงหน่วยงานใดได้ จึงได้เดินทางมายังสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนให้เข้ามาช่วยเหลือในทางคดีและการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำสั่งของศาล
 
นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กล่าวว่า หลังจากรับเรื่องร้องเรียนของชาวบ้านแล้วจะทำคำร้องเสนอเรื่องไปยังศาลปกครองนครราชสีมา เพื่อขอคำบังคับจากศาล ให้ศาลออกมาตรการใดๆ เพื่อลงโทษหน่วยงานรัฐและผู้ประกอบการในฐานฝ่าฝืนคำสั่งศาล และจะได้ใช้มูลเหตุในการไม่ปฏิบัติคำสั่งศาลดังกล่าว ยื่นแถลงคำขอท้ายฟ้องเพิ่มเติม เพื่อเพิกถอนใบอนุญาตหรือปิดโรงงานดังกล่าวเป็นการถาวรต่อไป
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ญาติลุกยืน รวมตัวตั้งเครือข่ายผู้ประสบภัย 112 เปิดตัว 5 ก.ค.

Posted: 03 Jul 2012 10:42 AM PDT

สืบเนื่องจากสถิติการจับกุมในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังรัฐประหารปี 2549 รวมถึงมีรายงานจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชนถึงปัญหาหลายประการที่ผู้ต้องโทษและผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต้องเผชิญ เช่น ไม่ได้รับการรักษาพยาบาลตามมาตรฐานสากล ไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว

ล่าสุด ญาติของผู้ต้องโทษและผู้ต้องหา รวมถึงผู้ได้รับผลกระทบจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ร่วมก่อตั้ง “เครือข่ายญาติและผู้ประสบภัยจากกฎหมายอาญามาตรา 112” เพื่อเรียกร้องให้ผู้ต้องโทษและผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้รับการปล่อยตัวโดยเร็วที่สุดอย่างไม่มีเงื่อนไข และได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ เช่น สิทธิในการประกันตัว สิทธิในการเข้าถึงการดูแลรักษาพยาบาลภายในเรือนจำ สิทธิที่จะไม่ถูกซ้อมทรมานและทำร้ายร่างกาย เป็นต้น

นอกจากนี้ การรวมกลุ่มจัดตั้งเครือข่ายยังเป็นไปเพื่อแสดงความต้องการของญาติในฐานะตัวแทนของผู้ต้องโทษและผู้ต้องหา และเพื่อแสดงเจตจำนงของกลุ่มญาติในการรณรงค์เพื่อปล่อยตัวผู้ต้องโทษและผู้ต้องหาในคดีอาญามาตรา 112 ด้วย

ทั้งนี้ จะมีการจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวในวันที่ 5 กรกฎาคม 2555 เวลา 10.30-12.00 น. ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) เพื่อให้ข้อมูลกับนักข่าวต่างประเทศเผยแพร่ในวงกว้าง และจะจัดแถลงข่าวซ้ำอีกครั้งในวันที่ 7 กรกฎาคม 2555 เวลา 13.00-15.00 น. ณ ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ร่วมกับการเสวนา โดยมีผู้เข้าร่วมแถลงข่าวและร่วมเป็นวิทยากรดังนี้

ผู้ดำเนินรายการ: ปณิธาน พฤกษาเกษมสุข
ผู้ร่วมแถลงข่าว: สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยามผู้เคยถูกฟ้องด้วยมาตรา 112
จอน อึ๊งภากรณ์ ผู้แทนคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย
ประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสหนังสือพิมพ์ เดอะเนชั่น
ศราวุฒิ ประทุมราช สถาบันหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน
ตัวแทนกลุ่มสร้างสรรค์ประชาธิปไตยเพื่อสันติภาพ (DPP)

ตัวแทนญาติและผู้ได้รับผลกระทบ: 
ปราณี (ขอสงวนนามสกุล) ภรรยาสุรชัย แซ่ด่าน
กีเชียง (ขอสงวนนามสกุล) พ่อของหนุ่ม เรดนนท์
รสมาลิน (ขอสงวนนามสกุล) ภรรยาอากง
แต้ม (ขอสงวนนามสกุล) แม่ของสุรภักดิ์
ณัฐ (ขอสงวนนามสกุล)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เต้านมแห่งไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ กับอาการดัดจริตของสังคมไทย

Posted: 03 Jul 2012 10:15 AM PDT

กรณีนางสาวดวงใจ  จันทร์เสือน้อย หรือน้องปอนด์ ที่เปลื้องผ้าใช้เต้านมอันเต่งตึงละเลงสีวาดรูปในรายการไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซั่น 2 เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2555 เป็นที่ฮือฮา วิพากษ์วิจารณ์กันทั่วบ้าน ทั่วเมือง  บรรดานักศีลธรรม ศิลเปรอะ หรือศิลปะ นักสิทธิสตรี ทั้งหลายต่างดาหน้าออกมาแสดงความคิดเห็นตำหนิติเตียนราวกับว่าการกระทำของเธอจะทำให้ประเทศชาติล่มจม โดยมองว่าเป็นการเลียนแบบตะวันตก พากันประณามน้องปอนด์สาดเสียเทเสีย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางสุกุมล  คุณปลื้ม ออกมาบอกว่าคนไทยรับไม่ได้ จะมีการเฝ้าระวัง กระตุกเตือนมิให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก ในขณะที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สั่งให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 และบริษัทเวิร์คพอยต์เอนเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ชำระค่าปรับเป็นเงิน 500,000 บาท

เรื่องการเปลือยกายในที่สาธารณะของหญิงไทยในวาระโอกาสต่าง ๆ กัน กลายเป็นข่าวใหญ่ของสื่อมวลชนอยู่เสมอ และทุกครั้งจะมีกระแสต่อต้าน ตำหนิ ติเตียน ประณาม หยามเหยียด ตามด้วยบทลงโทษตามกฎหมายอย่างรุนแรง โดยอ้างถึงประเพณีวัฒนธรรมไทย ไม่เหมือนตะวันตก สะท้อนถึงความคับแคบและการเลือกปฏิบัติที่มีต่อหญิงไทยด้วยความงี่เง่ามานานนับร้อยปีด้วยกัน

การเปลือยหน้าอกของหญิงสาวโดยความเป็นจริงแล้วไม่ได้เสียหายอะไรเลย เพราะเต้านมก็คือสรีระ และอวัยวะชิ้นส่วนต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า หู ตา คอ จมูก สะดือ หรืออวัยวะเพศ แต่ละชิ้นส่วนมีหน้าที่ประกอบเข้ากันทางชีววิทยา เป็นเรือนร่างของมนุษย์เหมือนกันหมดทุกชาติ ทุกภาษา ดังนั้นการปกปิดหรือเปิดเผยอวัยวะในสรีระแต่ละส่วน จึงเป็นความจำเป็นที่มีเหตุผลแน่นอน กล่าวคือ การนุ่งห่มก็เพื่อช่วยปกป้องอันตรายจากแสงแดด ลม หรืออุณหภูมิจะเห็นได้ว่าในสมัยโบราณหญิงไทยเปลือยหน้าอกโชว์เต้านมกันทั่วไป ซึ่งเหมาะสมกับประเทศในเขตร้อนอย่างประเทศไทยเรา หรือพวกหญิงสาวทั้งแก่ หรือไม่แก่ในประเทศตะวันตกมาเปลือยกายโชว์เต้านมตามชายหาดกันโดยไม่ต้องถูกตำหนิติเตียนเลย

ในอีกด้านหนึ่ง สังคมไทยแทบไม่มีใครฉุกคิด หรือตั้งคำถามกันเลยก็คือ พวกผู้ชายแก้ผ้าเปลือยกาย หน้าอกกันอย่างสง่าผ่าเผยออกมาแสดงความสามารถในรายการไทยแลนด์ก็อตทาเลนท์กันหลายคน หลายครั้ง ไม่มีการเซ็นเซอร์ อวดโฉมด้านหน้า เห็นหัวนมกันชัดเจน ก็แล้วทำไมไม่มีการตำหนิติเตียน ไม่มีการประณามหยามเหยียดพวกผู้ชายเปลือยหน้าอกเหล่านี้ ? หรือแม้กระทั่งยังชื่นชมในความงดงามเสียอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะเปลือยกายโชว์หน้าอกเหมือนกัน แต่กลับมีมุมมองแตกต่างกัน และยังมีกฎหมายลงโทษว่าเป็นการอนาจาร นี่ก็เป็นการเลือกปฏิบัติเช่นกัน ย่อมชัดกับหลักสิทธิมนุษยชน ขัดกับรัฐธรรมนูญ ขัดกับหลังความเสมอภาค เท่าเทียม ขัดกับหลักเสรีภาพของมนุษย์ซึ่งย่อมมีสิทธิ์จะปกปิด หรือเปิดเผยก็ได้

ถ้าใช้หลักเหตุผลดังกล่าว พวกนักศีลธรรม นักสิทธิสตรี ซื่อบื้อทั้งหลายก็ต้องออกมาโวยวายกันอีกว่า เพราะผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกัน เป็นเรื่องของความเหมาะสม หรือเป็นเรื่องทางศีลธรรม ตัวอย่างเช่น หากผู้หญิงถูกข่มขืนก็เพราะว่าพวกผู้หญิงเหล่านั้นชอบแต่งตัววาบหวิว วับๆแวมๆ ความผิดเกิดจากฝ่ายหญิงมากกว่าฝ่ายชายที่ใช้ความหื่น หรือใช้กำลังข่มขืนผู้หญิง

ถ้าพิจารณาในเรื่องศีลธรรม หรือความเหมาะสม การเปลือยกาย หน้าอก ยังไม่มีศีลธรรมในศาสนาใดระบุว่า การเปลือยกาย หน้าอก มันผิดศีลธรรมอะไร เพราะไม่ได้สร้างความเดือดร้อน หรือไปเบียดเบียนใคร จึงไม่มีประเด็นทางศีลธรรมที่จะมาตำหนิ ติเตียน ผู้หญิงเปลือยกาย หน้าอก ปัญหาทางศีลธรรมเกิดขึ้นมาจากคนดู – คนเห็น ที่คิดไปทางอกุศล หรือมองแล้วเกิดอารมณ์ ตัณหา ตรงนี้ต่างหากเป็นปัญหาทางศีลธรรมของคนดี หรือคนเห็น ไม่ใช่ปัญหาทางศีลธรรมของคนเปลือยกาย

ส่วนเรื่องวัฒนธรรมก็เป็นเรื่องทุเรศอีกเรื่องหนึ่งของคนไทย ในการเลือกปฏิบัติระหว่างเพศที่ชัดเจนที่สุด ยกตัวอย่าง พวกผู้ชายนักธุรกิจ นักการเมืองที่แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวผูกเน็คไทใส่สูท เครื่องแต่งกายแบบนี้ “โคตรตะวันตก” มากที่สุด ไม่มีความเหมาะสมแม้แต่น้อย สิ้นเปลือง ล้างผลาญทรัพยากรมากที่สุด ราคาก็แพงบรรลัย และยังเป็นชุดที่น่าเกลียดที่สุด แต่ผู้ชายไทยกลับนิยมชมชอบ และใช้เป็นเครื่องแต่งกายอย่างเป็นทางการของคณะรัฐมนตรี และสภาผู้แทนราษฎร น่าแปลกไหม ? ไม่เห็นมีใครหน้าไหน ซึ่งไม่เห็นด้วยกับวัฒนธรรมตะวันตก ที่จะดาหน้าออกมาวิจารณ์การแต่งกายใส่สูท เอาอย่างตะวันตก และแต่งกายด้วยชุดสูทราคาแพงแสนแพงมากยิ่งกว่าชาวตะวันตกเสียอีก ทำไม ?

การแต่งกายด้วยชุดสูท ใส่เน็คไทด์ รัดคอแน่นติ้ว ใส่เสื้อสูทหนาทับแขนยาวชั้นใน เหมาะสมกับประเทศหนาวจัด ส่วนประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน อากาศในบ้านเราอยู่ในสภาพตั้งแต่โคตรร้อนจนถึงร้อนฉิบหาย การแต่งกายด้วยชุดสูทจึงไม่เหมาะสมโดยสิ้นเชิง ไม่มีความเป็นไทย เป็นการแต่งกายที่ต้องล้างผลาญทรัพยากรของขาติ ต้องใช้ผ้าหลายชิ้นสวมทับกัน ต้องอยู่ในห้องแอร์ที่หนาวจัด การแต่งกายแบบโคตรตะวันตกของนักการเมือง พวกผู้ลากมากดีของคนไทย เหตุไฉนไม่ถูกตำหนิติเตียนกันเล่า ?  เหตุไฉนจึงพากันตำหนิติเตียนนางสาวดวงใจ จันทร์เสือน้อย ที่เปลือยกาย หน้าอกแบบวัฒนธรรมไทยดั้งเดิมที่มีมาช้านาน และเหมาะสมกับภูมิอากาศในประเทศเขตร้อนกันด้วยเล่า ?

ในความเป็นจริง แฟชั่นการแต่งกายของสาวไทย ทั้งสาวใหญ่ หรือสาวเล็กในปัจจุบันแทบไม่แตกต่างไปจากการเปลือยหน้าอกกันแล้ว มีทั้งคอเว้าลึกเห็นร่องนมชัดเจน ใส่เกาอก กางเกงเอวต่ำ กางเกงขาสั้นถึงง่ามก้น สายเดี่ยว หรือที่ใส่จีสตริง (G-String) และซีทรู (See – Through) ในงานสังคมชั้นสูงที่มีให้เห็นกันอยู่เกลื่อนกลาด ประเจิดประเจ้อ เมื่อเป็นเช่นนี้จะมาโวยวายกับการเปลือยหน้าอกออกทีวีกันไปทำไมกันเล่า ?

เนื้อแท้ของวัฒนธรรมให้ผู้หญิงสาวปกปิดเต้านม หรือปกปิดอวัยวะเพศ ในที่สาธารณะเป็นวัฒนธรรมของสังคมชายเป็นใหญ่ที่ต้องการครอบครองสรีระร่างกายของสตรี เพื่อความบันเทิงเริงรมณ์ทางเพศ ดังนั้นบริเวณเต้านม และอวัยวะเพศจึงต้องสงวนสิทธิการครอบครองสำหรับผู้ชายซึ่งเป็นสามี หรือมีไว้โชว์ให้กับพวกผู้ชายคนชั้นสูงเท่านั้น ในสังคมศักดินาโบราณผู้หญิงมีฐานเป็นเพียงนางสนม เอาไว้บำบัดความใคร่ของพระราชา และเหล่าขุนนาง ประเภท “เช้าเฝ้าสีซอ เย็นเข้าหอล่อกามา” วัฒนธรรมแบบนี้จึงออกกฎเกณฑ์ให้ผู้หญิงปกปิดเต้มนม อวัยวะเพศไม่ยอมให้เปิดเผยต่อสาธารณะโดยเด็ดขาด

ในอีกด้านหนึ่งมักเป็นความดัดจริตของสังคมไทยที่ไม่ยอมรับความเป็นจริง ตกอยู่ในสภาพของการโฆษณาชวนเชื่อ และการหลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะทุกวันนี้เต้านม และอวัยวะเพศของหญิงสาวไทยถูกทำให้กลายเป็นสินค้าที่สร้างมูลค่า และรายได้เข้าประเทศมหาศาลทีเดียว หากคำนวณเป็นสัดส่วนน่าจะถึง 30 % ของรายได้ประชาชาติ (GDP) เสียด้วยซ้ำ เพราะอุตสาหกรรมโสเภณีแห่งชาติยังก่อให้เกิดการขยายตัวของการจ้างงานและการลงทุนในภาคบริการ (โรงแรม – ภัตราคาร – สถานบันเทิง –ซ่อง ฯลฯ) ภาคการผลิต (อาหาร – เครื่องดื่ม – ถุงยางอนามัย – ยางพารา) ภาคการท่องเที่ยว (พัทยา – พัฒน์พงศ์ – เพชรบุรีตัดใหม่ ฯลฯ) ทั้งหมดนี้เป็นห่วงโซ่ของระบบเศรษฐกิจ ครึ่งหนึ่งขออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในแต่ละปีย่อมมาจากเต้านม และอวัยวะเพศของสาวไทย

นอกจากจะสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว โสเภณีไทยยังช่วยการกระจายรายได้สู่ชนบท ซึ่งแต่เดิมคนไทยจมปลักอยู่กับความยากจน ดักดาน ให้พอลืมตาอ้าปากได้บ้าง และน่าจะมีรายได้ดีกว่ากรรมกรโรงงานในภาคการผลิต ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า หากไม่มีเต้านม และอวัยวะเพศของสาวไทยแล้วเมืองไทยคงล่มจมไปตั้งนานแล้ว

อีกประการหนึ่ง หากสาวลึกไปในประวัติศาสตร์ชนชาติไทย ซึ่งควรได้รับความภาคภูมิใจในเต้านม และอวัยวะเพศของสาวไทยที่มีส่วนต่อการกอบกู้เอกราช ต่อสู้กับอริราชศัตรู หลายครั้ง หลายหน ดังตัวอย่างเช่น การใช้หญิงไทยเป็นเครื่องบรรณาการ และใช้เป็นการผูกมิตรไมตรีกับข้าศึกผู้รุกราน การเสียสละของหญิงไทยนี่แหละทำให้ไทยมีนักรบผู้ยิ่งใหญ่ กอบกู้เอกราชให้กับชาติไทยเป็นผลสำเร็จ แต่คนไทยมักถูกสอนให้ต้องยกยอปอปั้นให้ผู้ชายเป็นผู้นำที่มีความกล้า มีความสามารถจนเกินความเป็นจริง โดยมองข้ามเต้านม และอวัยวะเพศอันทรงพลานุภาพที่มีคุณูปการใหญ่หลวงในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา

สังคมไทยยังมีอาการสะดีด สะดิ้ง เป็นที่น่าสังเวชใจเป็นอย่างยิ่งเพราะน้องปอนด์ไม่ได้มีความผิดอะไรแม้แต่น้อย แม้งานศิลปะยังไม่เข้าขั้น แต่เธอใช้เต้านมให้กลายเป็นศิลปะของความกล้าหาญในการแสดงออกอย่างทรงพลังให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมไทย และยังได้กะเทาะกะโหลกหนาของผู้คนที่ถูกวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยอคติทางเพศต่อผู้หญิงไทยมาช้านานอีกด้วย

ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้เธอ และพวกเธออีกหลายคนที่จะต่อสู้ปลดปล่อยพันธนาการหญิงไทยด้วยความกล้าหาญ และมุ่งมั่น “เมื่อเธอกล้า เธอชนะแล้ว” เต้านมแห่งไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ให้ประกัน9ผู้ต้องขังแดงสารคามหลังขังยาวกว่า2ปี

Posted: 03 Jul 2012 07:16 AM PDT

3 กรกฎาคม 2555 เวลา 13.30 น. ศาลฏีกา กรุงเทพฯ มีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราว 9ผู้ต้องขังเสื้อแดง โดยกำหนดวงเงินประกัน รายละ 1ล้านบาท 

นรินทร์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ผู้รับผิดชอบในการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องขังเสื้อแดง ได้แจ้งกับประชาไทว่า วันนี้ศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราว9ผู้ต้องขังเสื้อแดง ตามคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวตามที่สมาคมทนายความแห่งประเทศไทยร่วมกับ กรมคุ้มครองสิทธิ กระทรวงยุติธรรมได้ยื่นคำร้องไปโดยกำหนดวงเงินประกันรายละ 1ล้านบาท 

นายนรินทร์พงษ์ได้กล่าวต่อว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมต.กระทรวงยุติธรรม ได้แจ้งต่อตนแล้วว่าได้อนุมัติให้ใช้งบประมาณจากกรมคุ้มครองสิทธิตามวงเงินที่ศาลกำหนดได้ โดยทางคณะจะเตรียมเงินประกันเข้ายื่นในวันพรุ่งนี้และคาดว่าผู้ต้องขังทั้ง9คน จะได้รับการปล่อยตัวในวันศุกร์ที่ 5 กค.2555 นี้ 

ทั้งนี้คนเสื้อแดงทั้ง9คนได้ถูกจับกุมดำเนินคดีภายหลังจากการสลายการชุมนุม 19 พฤษภาคม 2553 ที่ จ.มหาสารคาม พวกเขาถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหา ฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉิน ร่วมกันวางเพลิง และเตรียมการวางเพลิง ทำให้เสียทรัพย์สินราชการ โดยอัยการจังหวัดมหาสารคาม

ในส่วนของกระบวนการพิจารณาคดี ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกพวกเขารายละ 5ปี8เดือน ถึง6ปี 8เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยืนตามศาลชั้นต้น ปัจจุบันคดีของพวกเขาอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาคดีในศาลชั้นฎีกา

อนึ่งในระหว่างการต่อสู้คดีเป็นเวลากว่า2ปี แม้ว่าจะมีการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวหลายครั้งแต่พวกเขาทั้ง 9 คน ไม่เคยได้สิทธิ์ในการปล่อยตัวชั่วคราวมาก่อน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"เฟซบุ๊ก" เพิ่มไอคอนแสดงสถานะแต่งงานสำหรับเกย์-เลสเบี้ยนแล้ว

Posted: 03 Jul 2012 03:56 AM PDT

เฟซบุ๊ก เว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์กอันดับหนึ่งของโลก ได้เพิ่มสัญลักษณ์ หรือไอคอน สำหรับคู่รักเพศเดียวกัน สำหรับแสดงสถานะการแต่งงานของพวกเขาและเธอแล้ว จากเดิมที่มีเพียงไอคอนของเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวเท่านั้น โดยไอคอนเจ้าบ่าวกับเจ้าบ่าวปรากฏครั้งแรกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (30 มิ.ย.) หลัง คริส ฮิวจ์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ก แสดงสถานะแต่งงานกับ ฌอน เอลดริจ คู่สมรสของเขา บนไทม์ไลน์ โดยมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอเฟซบุ๊กเข้ามากดไลค์ด้วย

ด้าน ริช เฟราโร รองประธานฝ่ายสื่อสารของพันธมิตรต่อต้านการหมิ่นประมาทเกย์และเลสเบี้ยน (Gay and Lesbian Alliance Against Defamation: GLAAD) แสดงความขอบคุณต่อเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า ไอคอนใหม่นี้จะช่วยเพิ่มความเข้าใจต่อความรักของคนรักเพศเดียวกันว่าเป็นความรักเช่นเดียวกับเพศอื่นๆ

ทั้งนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฟซบุ๊กแสดงจุดยืนสนับสนุนคู่รักซึ่งเป็นเพศเดียวกัน ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2554 เฟซบุ๊กได้เพิ่มตัวเลือกสถานะความสัมพันธ์ให้กับกลุ่มเกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กส์ชวล และผู้หญิงข้ามเพศ (LGBT) อย่าง “In a domestic partnership” and “In a civil union” ที่แสดงถึงสถานะการเป็นคู่แต่งงานอย่างเป็นทางการของหลายๆ ประเทศ นอกจากนี้ เฟซบุ๊กยังได้ร่วมกับกลุ่ม GLAAD และกลุ่มคนรักเพศเดียวกันต่างๆ ตั้ง Network of Support เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งจากกลุ่มที่แอนตี้คนรักเพศเดียวกันบนเฟซบุ๊กด้วย

 

ที่มา
Facebook Adds Same-Sex Marriage Icons for Couples
http://mashable.com/2012/07/02/facebook-same-sex-marriage/#411218-CoverJunction

Bride-bride, groom-groom: Gay wedding? Facebook has icons for that
http://www.latimes.com/business/technology/la-fi-tn-facebook-timeline-icons-for-same-sex-weddings-20120702,0,2929799.story
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นศ.ค้าน มข.ออกนอกระบบ ปิดถนนมิตรภาพ ร้องมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายมหา'ลัย

Posted: 03 Jul 2012 03:13 AM PDT

เครือข่ายนักศึกษาคัดค้านการนำมหาลัยขอนแก่นออกนอกระบบ ชุมนุมสื่อสารความคิดค้าน ม.นอกระบบ-เรียกร้องเจรจากับอธิการบดีฯ ด้านอธิการบดี มข.แจงผ่านเว็บไซต์มหา'ลัย เผยกระบวนการยังอยู่ที่ สกอ. ชี้พร้อมให้สิทธิร่วมแสดงความเห็น

วันนี้ (3 ก.ค.55) เมื่อเวลา 08.00 น. ขบวนเครือข่ายนักศึกษาคัดค้านการนำมหาลัยขอนแก่นออกนอกระบบ พร้อมด้วยเครือข่ายแนวร่วมซึ่งเป็นนิสิต-นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ อาทิ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ฯลฯ ได้เดินเท้าจากหอพักมุ่งหน้าไปรวมตัวยังศูนย์อาหารและบริการ1 (คอมเพล็กซ์) มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อชุมนุมคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบ

วรรณวิศา เกตุใหม่ ตัวแทนเครือข่ายฯ กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้ทางเครือข่ายนักศึกษาคัดค้านการนำมหาลัยขอนแก่นออกนอกระบบมีจุดประสงค์คือ เรียกร้องกระบวนการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายของทางมหาลัย และยืนยันจะชุมนุมต่อไปเรื่อยๆ หากยังไม่ได้รับคำตอบและได้เจรจากับนายกิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น

ทั้งนี้ นักศึกษาส่วนหนึ่งได้เดินทางไปขอเข้าเจรจากับอธิการบดีฯ แต่ได้รับคำตอบจากเลขาว่าอธิการบดีฯ ไม่อยู่ ซึ่งทางพวกเรายืนยันจะขอเข้าพบกับท่านอธิการบดีเท่านั้น

วรรณวิศา กล่าวด้วยว่า เมื่อขบวนนักศึกษาได้เดินทางมาถึงหน้าคอมเพล็กซ์ เราได้ร่วมกันตะโกนดังๆ พร้อมกันว่า “ม.นอกระบบออกไป” โดยเสียงที่เปล่งออกมานั้นเปี่ยมไปด้วยความหวังว่า สาธารณชนจะรับรู้และเห็นใจว่า พวกเรานักศึกษากำลังต่อสู้กับความไม่ชอบธรรมของผู้บริหารในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อขบวนนักศึกษาเดินทางมาถึงคอมเพล็กซ์ ได้มีการกางเต็นท์ ปูเสื่อ และเวทีเล็กๆ พร้อมเปิดการปราศรัยให้ข้อมูลแก่นักศึกษาที่ผ่านไปผ่านมา และเชิญชวนมาร่วมแสดงเจตนารมณ์กับทางเครือข่าย โดยสลับกับการเล่นดนตรีเพื่อผ่อนคลาย อีกทั้งเปิดให้เครือข่ายแนวร่วมจากมหาวิทยาลัยต่างๆ กล่าวแสดงความรู้สึก ความคิดเห็น และปลุกระดมพลังนักศึกษาที่ยังคงเพิกเฉยกับประเด็น ม.นอกระบบอยู่ 

“บรรยากาศรอบๆ มีนักศึกษาทยอยออกมาหลังจากพักเที่ยง บ้างยืนฟังบนคอมเพล็กซ์ บ้างมานั่งในพื้นที่หน้าเวทีที่ทางเครือข่ายจัดเตรียมไว้ ความตื่นตัวของนักศึกษาเริ่มเพิ่มมากขึ้น หลังจากได้ยินเสียงจากบนเวที และมีนักศึกษาหลายคนที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าเทอม มาแสดงความรู้สึกกับทางเครือข่ายเราว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งคนที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าเทอม และเล็งเห็นชะตากรรมในอนาคตว่าเมื่อมหาลัยออกนอกระบบไปแล้ว ค่าเทอมคงพุ่งขึ้นอย่างแน่นอน” วรรณวิศา กล่าว

รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาเดินทางมาพูดคุยเจรจากับเครือข่ายนักศึกษาคัดค้านการนำมหาลัยขอนแก่นออกนอกระบบหลังจากที่ทางเครือข่ายได้เคลื่อนย้านเต็นท์ไปยังบริเวณหน้ามหาลัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อเวลาประมาณ 16.30 น.เครือข่ายนักศึกษาคัดค้านการนำมหาลัยขอนแก่นออกนอกระบบและกลุ่มแนวร่วมประมาณ 100 คน ได้รวมตัวกับปิดถนนมิตรภาพ 2 ช่องจราจร บริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยขอนแก่นเพื่อกดดันให้อธิการบดีฯ เดิมทางมาร่วมเจรจา ท่ามกลางสายฝนที่ยังโปรยปราย ต่อมาจึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาเจรจากับกลุ่มนักศึกษา โดยระบุว่าได้ประสานกับทางอธิบดีให้ลงมาเจราจาของให้เปิดเส้นทางการจราจร เครือข่ายนักศึกษาฯ จึงเคลื่อนย้ายการชุมนุมออกมาจากบนท้องถนนเพื่อรอการเจรจาหลังจากใช้เวลาในการปฏิบัติการปิดถนนประมาณ 30 นาที

ล่าสุด เวลา 17.30 น. ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ และทีมจาก สภ.เมืองขอนแก่น จำนวน 200 นาย พร้อมเจ้าหน้าที่รปภ.มข.อีกกว่า 50 นาย พร้อมนับแถวที่ประตูมอดินแดง เพื่อเตรียมเข้ารื้อเวทีของเครือข่ายนักศึกษาฯ ก่อนเวลา 18.00น. อย่างไรก็ตามเวทีได้ถูกรื้อไปเรียบร้อยแล้วโดยทีมงานเวทีเอง และอธิการบดีฯ ไม่ได้เดินทางมาพบเครือข่ายนักศึกษาฯ แต่อย่างใด

 

อธิการบดี มข.แจงกระบวนการยังอยู่ที่ สกอ. เผยพร้อมให้สิทธิ นศ.แสดงความคิดเห็น
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ข่าวมหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.ดร.กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงกรณีนักศึกษาออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐว่า มข. เป็นสถาบันการศึกษาของภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นศูนย์รวมทางความคิด สติปัญญาของสังคม เป็นที่พึ่งของชาวอีสานมาตลอด 48 ปี ซึ่งตระหนักดีถึงการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในทุกด้าน  ส่วนเรื่องมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ (ม.นอกระบบ) เป็นความพยายามของรัฐบาลเพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานของแต่ละมหาวิทยาลัยให้มีความคล่องตัวและมีอิสระทางวิชาการอย่างแท้จริง จึงได้มีการเสนอให้มหาวิทยาลัยในประเทศปรับเปลี่ยนสถานะภาพให้เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐตามนโยบายในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี 
 
รศ.ดร.กิตติชัย กล่าวด้วยว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้มีการดำเนินการขับเคลื่อนไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2541-2553 โดยเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน การรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีคณะกรรมการฯ ที่ประกอบด้วยผู้แทนจากสภามหาวิทยาลัย สภาคณาจารย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และบุคลากรเป็นผู้รับผิดชอบในการรับฟังประชาวิจารณ์ จึงมาสู่การจัดทำ (ร่าง) พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. ... เพื่อไปเป็นมหาวิทยาลัยในกับของรัฐ ซึ่งการดำเนินการเสร็จสิ้นและผ่านความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.53 แล้ว และนำเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไปแล้วตั้งแต่สมัยผู้บริหารชุดที่ผ่านมา
 
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเป็นชุดปัจจุบัน สกอ.ก็ได้ดำเนินการทำหนังสือสอบถามมายังมหาวิทยาลัยที่ได้ส่ง (ร่าง) พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. ... เพื่อไปเป็นมหาวิทยาลัยในกับของรัฐ เพื่อให้มหาวิทยาลัยยืนยันในร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว และสภามหาวิทยาลัยขอนแก่นก็มีมติให้ยืนยันเรื่องดังกล่าวไปยัง สกอ. อีกครั้งหนึ่ง โดยในขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังคงอยู่ที่ สกอ. ยังไม่ได้มีขั้นตอนในการส่งต่อเพื่อพิจารณาใดๆ ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนทางกฎหมายอีกหลายลำดับ จึงจะถูกนำเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาในการประชุม ครม. เรื่องนี้ไม่ใช่วาระเร่งด่วน จึงยังไม่มีการพิจารณาใดๆ ในเรื่องนี้ 
 
กรณีความหนักใจของผู้ปกครอง และนักศึกษา ในเรื่องของค่าเล่าเรียนจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการตัดโอกาสทางการศึกษาของผู้มีรายได้น้อยทางอ้อมนั้น ทางมหาวิทยาลัยเน้นย้ำว่ามหาวิทยาลัยขอนแก่นยังคงยืนหยัดในบทบาทของการเป็นสถาบันการศึกษาที่เป็นที่พึงของชาวอีสาน เปิดโอกาสให้นักศึกษาที่ผ่านการคัดเลือกเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย หากนักศึกษามีความขัดสนในเรื่องค่าเล่าเรียน มหาวิทยาลัยก็มีการจัดหางบประมาณ เพื่อสนับสนุนเรื่องทุนการศึกษาทั้งจากภาครัฐและเอกชนสนับสนุนให้แก่นักศึกษาที่ยากจนมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการจัดหารายได้จากทรัพยากรของมหาวิทยาลัยที่มีอยู่ เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ที่จะต้องเป็นกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ และสนับสนุนการศึกษา ที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคม ซึ่งครอบคลุมถึงการไม่มีสถานที่ที่เป็นแหล่งมั่วสุมหรือมอมเมาเยาวชน ไม่เป็นสถานที่ที่จำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และผิดกฎหมาย โดยหวังว่าวิธีนี้จะเป็นทางออกในการพัฒนาสถาบันโดยเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย
 
อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวต่อมาถึงการออกมาเคลื่อนไหวและแสดงความคิดเห็นของนักศึกษาว่า เป็นสิทธิที่สามารถแสดงออกได้ และผู้บริหารก็รับฟังมาโดยตลอดและพร้อมที่จะหาทางออกร่วมกัน อย่างไรก็ตาม นักศึกษาออกมาเคลื่อนไหวต้องระวังไม่ไปกระทบสิทธิของผู้อื่นที่อยู่ร่วมกัน ทุกฝ่ายมุ่งเน้นที่จะพัฒนามหาวิทยาลัยในทุกด้านให้ก้าวไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่พัฒนาและสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่สามารถแก้ปัญหาของภูมิภาคและประเทศได้ มีการจัดการองค์กรที่ดี เป็นต้นแบบที่ดีในการบริหารจัดการทรัพยากร ทรัพย์สิน และทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อพัฒนามหาวิทยาลัยให้เกิดประโยชน์สูงสุดและพึ่งตนเองได้ และต้องเป็นมหาวิทยาลัยแห่งความสุขด้วย
 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รอบโลกแรงงานประจำเดือนมิถุนายน 2555

Posted: 03 Jul 2012 02:47 AM PDT

ชาวอาร์เจนตินาประท้วงให้รัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ

1 พ.ค. 55 - ชาวกรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินาพากันประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ

ผู้คนในนครหลวงของอาร์เจนตินาพากันชุมนุมตามท้องถนนสายต่างๆ โดยมีการตีเกราะเคาะไม้ ส่งเสียงดังอึกทึก และนำรถยนต์ออกมาแล่นพร้อมกับบีบแตรดังสนั่น เพื่อเรียกร้องให้ผู้คนหันมาสนใจปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำ ผู้ประท้วงคนหนึ่งบอกว่า ทุกวันนี้คนหนุ่มคนสาวไม่สามารถหางานทำได้ ส่วนคนที่ทำงานในชนบทก็ต้องดิ้นรนกันอย่างยากลำบาก การประท้วงในครั้งนี้มีการนัดแนะกันทางสังคมออนไลน์ 

ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า เศรษฐกิจอาร์เจนตินาปีนี้จะขยายตัวเพียงร้อยละ 2.5 ถึงร้อยละ 3 เท่านั้น ซึ่งดิ่งลงอย่างมากจากปีที่แล้วที่เคยขยายตัวถึงร้อยละ 8.9 ขณะที่บางคนคาดว่า เศรษฐกิจอาร์เจนตินาอาจถึงขั้นเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในช่วงปลายปีนี้

 

แม่บ้านอินโดนีเซียเริ่มกลับไปทำงานในมาเลย์หลังรัฐบาลเลิกคำสั่งแบน

3 มิ.ย. 55 - อินโดนีเซียประกาศเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า จะยกเลิกคำสั่งห้ามดังกล่าว หลังรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศทำข้อตกลงว่าจะดูแลและปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของแม่บ้าน รวมถึงให้มีวันหยุด 1 วันต่อสัปดาห์ด้วย

จาการ์ตา ออกคำส่งห้ามพลเมืองไปทำงานเป็นแม่บ้านในแดนเสือเหลืองตั้งแต่ปี 2009 หลังเกิดกรณีแม่บ้านอิเหนาถูกล่วงละเมิดจำนวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เจ้าหน้าที่จัดหางานในมาเลเซีย ระบุว่า แม้จะมีชาวอิเหนาเดินทางเข้ามาเป็นแม่บ้านน้อยลง "แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย"

"4 วันที่ผ่านมา เราหาแม่บ้านชาวอินโดนีเซียได้เพียง 29 คนเท่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่กล้ามา เพราะเกรงพิธีรีตองของสำนักงานจัดหางานในอินโดนีเซีย" เจฟฟรีย์ ฟู ประธานสมาคมสำนักงานแม่บ้านต่างด้าวแห่งมาเลเซีย เผยต่อหนังสือพิมพ์ นิว ซันเดย์ไทม์ส

สุรยานา ศาสตราดิเรจา เจ้าหน้าที่ฝ่ายสังคมและวัฒนธรรมจากสถานทูตอินโดนีเซียในกรุงกัวลาลัมเปอร์ กล่าวว่า เขาเองก็ไม่ทราบว่าเหตุใดจำนวนแม่บ้านที่สมัครใจกลับเข้ามาทำงานในมาเลเซียจึงน้อยลงมาก แต่อาจเป็นได้ว่า พวกเธอกลัวการถูกละเมิดนั่นเอง

รายงานเปิดเผยว่า หลังจากคำสั่งห้ามถูกยกเลิกแล้ว คาดว่าจะมีชาวอิเหนาเดินทางมาทำงานเป็นแม่บ้านในมาเลเซียถึงเดือนละ 5,000 คน

แม่บ้านชาวอินโดนีเซียได้รับค่าแรงคนละ 600 ริงกิตต่อเดือน (ราว 6,000 บาท) แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องทำงานตั้งแต่เช้ายังค่ำ และคนเหล่านี้มักเป็นผู้สูงวัยและเด็กที่ทำหน้าที่หุงหาอาหาร

ในอดีตเคยมีชาวอิเหนาทำงานเป็นแม่บ้านในมาเลเซียถึง 300,000 คน แต่คำสั่งแบนของรัฐบาลจาการ์ตาส่งผลให้จำนวนแม่บ้านขาดแคลน และกระทบถึงชีวิตประจำวันของพ่อแม่ชาวมาเลย์ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน

ด้านกัมพูชาก็ออกคำสั่งห้ามประชาชนเดินทางเข้าไปทำงานเป็นแม่บ้านในมาเลเซียตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ด้วยเหตุผลคล้ายคลึงกัน

 

ยอดคนว่างงานในสเปนลดลงแต่ก็ยังสูงอยู่

4 มิ.ย. 55 - กระทรวงแรงงานสเปนแถลงว่า จำนวนผู้ว่างงานเดือนพฤษภาคมลดลงเหลือ 4.71 ล้านคน หรือลดลงร้อยละ 0.63 แต่ก็ยังถือว่าสูงอยู่ แม้ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 หลังจากทำสถิติสูงสุดเมื่อเดือนมีนาคม 

สำนักงานสถิติแห่งชาติของสเปนเผยว่า สเปนมีอัตราว่างงานสูงที่สุดในโลกอุตสาหกรรมที่ร้อยละ 24.44 เมื่อสิ้นเดือนมีนาคม ส่วนเดือนพฤษภาคมปีนี้แม้ลดลงจากเดือนก่อนหน้านี้ แต่ถือว่าเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคมปีก่อน 524,463 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.52 

นายเอ็นกราเซีย ฮิดัลโก รัฐมนตรีช่วยกระทรวงแรงงานสเปนกล่าวว่า สเปนสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยระยะที่ 2 แม้ไม่รุนแรงเท่าระยะแรก แต่ก็มีผลเชิงลบต่อการจ้างงาน รัฐบาลสเปนคาดว่า อัตราว่างงานปีนี้จะอยู่ที่ร้อยละ 24.3 ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าจะลดลงเล็กน้อยในปีหน้า 

สเปนเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเมื่อต้นปีนี้ ทั้งที่เพิ่งพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาได้เพียง 2 ปี ตัวเลขของทางการเมื่อวันพฤหัสบดีระบุว่า นักลงทุนถอนเงินออกจากสเปนมากเป็นประวัติการณ์ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้

 

ฝรั่งเศสเล็งเพิ่มค่าชดเชยเลิกจ้าง หวังสกัดอัตราว่างงานที่สูงถึง 10%

7 มิ.ย. 55 - รัฐบาลประธานาธิบดีฟรองซัวส์ โอลลองด์ ของฝรั่งเศสเตรียมกำหนดให้บริษัทต้องเพิ่มค่าชดเชยเลิกจ้างพนักงาน หลังจากข้อมูลล่าสุดชี้ว่าอัตราว่างงานในฝรั่งเศสสูงถึงร้อยละ 10 

ผลสำรวจพบว่า การว่างงานเป็นปัญหาที่ชาวฝรั่งเศสกังวลมากที่สุด เพิ่มแรงกดดันต่อนายโอลลองด์เนื่องจากพรรคสังคมนิยมของเขาต้องการได้เสียงข้างมากในสภาในการเลือกตั้งรอบสองวันที่ 16-17 มิถุนายนนี้ นายมิเชล ซาแปง รัฐมนตรีแรงงานเผยว่า จำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนสกัดกั้นการว่างงาน เขาจะเสนอร่างกฎหมายกำหนดให้บริษัทต้องเพิ่มค่าชดเชยการจ้างงานเมื่อสภาเปิดประชุมอีกครั้ง หลังปิดสมัยประชุมช่วงฤดูร้อน แนวคิดนี้ไม่ใช่การลงโทษบริษัท แต่พนักงานต้องได้รับการชดเชยในอัตราที่เหมาะสม เขากล่าวว่า ยอมรับไม่ได้หากบริษัทบางแห่งคิดปลดพนักงานเพียงเพื่อต้องการเพิ่มกำไร และเพิ่มเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น 

ด้านนายอาร์โนลด์ มอนเตบูร์ก รัฐมนตรีอุตสาหกรรมกล่าวว่า กำลังร่างกฎหมายบังคับให้บริษัทต้องนำโรงงานที่ไม่ต้องการไปขายต่อในราคาตลาด เพื่อเลี่ยงการปิดโรงงาน และลูกจ้างตกงาน 

ข้อมูลของสถาบันสถิติที่เผยแพร่วันนี้ระบุว่า อัตราว่างงานในฝรั่งเศสแตะเกณฑ์ทดสอบทางจิตวิทยาที่ร้อยละ 10 ในไตรมาสแรกของปีนี้ สูงกว่าเมื่อครั้งเกิดวิกฤติการเงินโลกปี 2551-2552 และสูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2542

 

นิวซีแลนด์เตรียมถกประเด็นเยาวชนว่างงานในการประชุมแรงงานระหว่างประเทศ

8 มิ.ย. 55 - เคต วิลคินสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานนิวซีแลนด์ เตรียมกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับวิกฤตว่างงานในกลุ่มเยาวชนในการประชุมแรงงานระหว่างประเทศซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงเจนีวาในสัปดาห์หน้า

“การจ้างแรงงานเยาวชนเป็นปัญหาที่เริ่มรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก โดยนับเป็นประเด็นที่ซับซ้อนอย่างยิ่งและต้องการการตอบสนองอย่างรอบด้านจากรัฐบาลและนานาประเทศ" วิลคินสันระบุในแถลงการณ์วันนี้

“นี่เป็นโอกาสดีสำหรับนิวซีแลนด์ที่จะได้มีส่วนร่วมในการประชุม เพื่อที่จะได้นำเสนอแนวทางของรัฐบาลของเราในการสนับสนุนเยาวชนเข้าสู่การทำงาน รวมไปถึงเพื่อที่จะได้รับรู้มาตรการต่าง ๆ ที่ใช้ในประเทศอื่น ๆ"

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นอกเหนือจากการกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมรัฐมนตรีแรงงานกลุ่มประเทศเอเชีย-แปซิฟิกในอังคารที่จะถึงนี้ วิลคินสันยังจะกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อรองเกี่ยวกับการสร้างอนาคตด้วยงานที่เหมาะสม ในที่ประชุมใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ด้วย

นอกจากนี้ วิลคินสันยังมีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมระดับทวิภาคีทั้งในกรุงเจนีวา ลอนดอน และแวนคูเวอร์ ก่อนจะกลับนิวซีแลนด์ในวันที่ 22 มิถุนายน

 

ศาลซาอุดิอาระเบียพลิกคำอนุญาตกระทรวงแรงงานให้จ้างชาย-หญิงทำงานร่วมกันได้

8 มิ.ย. 55 - ศาลซาอุดี้ออกคำพิพากษาพลิกข้อปฏิบัติของกระทรวงแรงงานาอุดิอาระเบีย ที่ระบุในหนังสือเวียนอนุญาตให้พนักงานขายหญิง ทำงานร่วมกับพนักงานขายชายได้

ก่อนหน้านี้นักธุรกิจนำเรื่องขึ้นฟ้องร้องต่อศาลขอคำชี้ขาด กรณีกระทรวงแรงงานออกหนังสืออนุญาตให้เจ้าของกิจการ จ้างพนักงานทั้งชาย-หญิงให้ทำงานในสถานที่เดียวกัน

ทนายความกล่าวว่า กษัตริย์อับดุลเลาะฮฺ ได้ทรงออกพระกระแสจำกัดให้สตรีทำงานในแผนกขายชุดชั้นในเท่านั้น เพื่อแก้ปัญหาที่ผู้หญิงจะรู้สึกกระดากใจเมื่อต้องไปซื้อชุดชั้นในกับพนักงานชาย แต่กระทรวงแรงงานได้นำมาขยายความหมาย ว่าเป็นการอนุญาตให้สามารถจ้างผู้หญิงทำงานในที่เดียวกับชายได้

การจ้างพนักงานขายหญิงทำงานในที่เดียวกับพนักงานขายชายก่อให้เกิดปัญหา อาทิ ผู้หญิงถูกก่อกวน หรือแทะโลมด้วยคำพูด รวมทั้งการเลิกงานกะดึกทำให้พนักงานหญิงลาออกไปอีกหลายคน

อัตราการว่างงานในหมู่สตรีาอุดิอาระเบียอยู่ที่ประมาณ 30% 

 

กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อคนต่างด้าวในกรีซ รวมตัวประท้วงต่อต้านพรรคขวาจัดฯ

9 มิ.ย. 55 - กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อคนต่างด้าวในกรีซ พากันรวมตัวนับพันคน เดินขบวนประท้วงกลางกรุงเอเธนส์ ต่อต้านพรรคขวาจัดอรุณรุ่งสีทอง ที่ทำร้ายคนต่างด้าวโดยไม่เลือกหน้า

แม้ทางพรรคอรุณรุ่งสีทอง จะออกมาปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำร้ายคนต่างด้าวในกรุงเอเธนส์เมื่อเร็วๆ นี้ ก็ตาม แต่กลุ่มผู้ประท้วงก็ได้เคลื่อนขบวนพร้อมป้ายชนาดใหญ่ ที่มีข้อความประณามเผด็จการและพวกขวาจัดรุนแรงและเรียกร้องประชาชนอย่าเลือกพรรคอรุณรุ่งสีทอง ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดรุนแรงในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า หลังจากที่พรรคนี้ได้รับเลือกจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนที่แล้วถึง 21 ที่นั่ง จากทั้งหมด 300 ที่นั่งในรัฐสภา การชุมนุมประท้วงนี้มีขึ้นเพียงวันเดียว หลังจากที่โฆษกพรรคอรุณรุ่งสีทองก่อเหตุทำร้ายร่ายกายนักการเมืองสตรีในรายการทางโทรทัศน์ หลังจากปะทะคารมกันอย่างดุเดือด  ซึ่งภายหลังสำนักอัยการได้ออกหมายจับโฆษกพรรคในข้อหาทำร้ายร่างกายแล้ว.

 

จีนจะประสบปัญหาภาวะการว่างงานในอีก 5 ปี ข้างหน้า

11 มิ.ย. 55 - หยิน เว่ยหมิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงทางสังคมของจีน กล่าวว่า ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า จีนจะมีความกดดันอย่างมากในการสร้างงานให้กับประชาชน เราคาดการณ์กันว่า ในเขตเมืองจะต้องมีงานใหม่รองรับประมาณ 24-25  ล้านคน แม้จะน้อยกว่าจำนวนแรงงานใน 5 ปี ที่ผ่านมา (2006-2010) ที่ต้องสร้างงานให้ประชาชนในเขตเมืองจำนวน 55 ล้านคนและจำนวน 45 ล้านคนสำหรับแรงงานอพยพจากต่างถิ่นซึ่งขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของสัดส่วนแรงงานล้นตลาดในเขตชนบทแล้ว ในขณะเดียวกันจะมีผู้สำเร็จการศึกษาอีก 27 ล้านคน และมากว่า ร้อยละ 70 ได้งานทำก่อนเรียนจบแล้ว ขณะที่อีกร้อยละ 80 จะต้องทำงานหลังเรียนจบอีก 6 เดือน

วิกฤตการเงินโลกและมหันตภัยจากธรรมชาติมีผลกระทบต่อจีนในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา (2006-010) รวมถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงโลกตกต่ำลงทำให้แรงงานเป็นด่านที่หนักหน่วงที่จีนต้องฟันฝ่าไป

ในประเทศตะวันตกต่างต้องเผชิญปัญหาการว่งงานในอัตราที่สูงเช่นกัน ได้แก่ สหรัฐฯ ประมาณร้อยละ 9.6 ประชาคมยุโรป 1 ใน 10 คน ไม่มีงานทำ ในทางตรงกันข้ามเขตเมืองของจีนเฉลี่ยน้อยกว่าร้อยละ 4.3 ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมาไม่มีงานทำ ดังนั้น จีนยังคงรักษาสถานะภาพการว่างงานได้อยู่ แต่มันไม่ง่ายนักภายใต้เงื่อนไขของโครงสร้างประชากรจีนซึ่งมีประชากรมากกว่า 1.3 พันล้านคน และจีนได้ทุ่มทุนไป 160 พันล้านหยวนหรือ 24 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ  ในการสร้างงานให้กับประชาชนและในช่วงปี 2001-2005 ก่อนหน้านี้ ได้ใช้เงินไปแล้ว 91.5 พันล้านหยวนหรือประมาณร้อยละ 134 ของงบประมาณรัฐบาล นอกจากนั้น สภาวะการทำงานที่มีปัญหา เช่น แรงงานไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง โรงงานไม่สามารถหาแรงงานมีฝีมือมาลงในตำแหน่งที่ว่างลงได้ทันที

การสร้างงานให้ประชาชนเป็นนโยบายอันดับแรกของรัฐบาลที่จำดำเนินการในอีก 5 ปี ข้างหน้า สิ่งที่จะดำเนินการต่อไปคือต้องหาวิธีสร้างแรงานมีฝีมือให้มีมากขึ้นและการจูงใจให้คนทำธุรกิจด้วยตนเอง

สภาวะการว่างงานของประชากรเป็นปัญหาที่ท้าทายของจีนในปี 2012 ทั้งในเรื่องการหางานทำและตลาดแรงงานไม่สมดุล  แรงงานมากกว่า 25 ล้านคนทั้งเมืองใหญ่เมืองเล็กที่ต้องเข้าสู่ตลาดในปีนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นผู้จบการศึกษา และอีก 9-10 ล้านคนเป็นคนในเมืองที่ต้องย้ายถิ่นไปหางานทำ ปัญหาใหญ่ของแรงงานจีนที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในขณะนี้ ไม่พ้นเรื่องของแรงงานที่หางานทำไม่ได้และโรงงานไม่สามารถหาแรงงานมีฝีมือโดยเฉพาะช่างทางเทคนิค

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีจีน นายเวิน เจีย เป่า กล่าวว่าในปีนี้จะมีคนเข้าในตลาดแรงงานอีก 25 ล้านคนเพราะฉะนั้น รัฐบาลจึงตั้งเป้าที่จะสร้างงานให้ประชาชนทั้งเมืองใหญ่เมืองเล็กจำนวน 12 ล้านคนเพื่อรักษาอัตราว่างงานให้คงที่ไม่ลดลงมากไปกว่าร้อยละ 4.6

ปีที่แล้วจีนได้เพิ่มงานทั้งในเมืองและในชนบทจำนวน 12.21 ล้านตำแหน่งทำให้มีผู้ว่างงานในเขตเมืองร้อยละ 4.1 ส่วนในปีนี้มีผู้หางานอีกประมาณ 25 ล้านคน และมากกว่าครึ่งเป็นผู้จบการศึกษาและอีกประมาณ 9 ถึง 10 ล้านคน จะเป็นแรงงานในชนบท

ผู้จบการศึกษาจะหางานได้ค่อนข้างยาก หลายบริษัทพบปัญหาไม่สามารถหาคนมาทำงานได้โดยเฉพาะช่างเทคนิค ดังนั้นรัฐบาลตั้งเป้าที่สร้างงานให้ได้มากกว่า 9 ล้านตำแหน่งปีนี้และต้องรักษาระดับการว่างงานไว้ให้ไม่เกินร้อยละ 4.6

การที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงจาก  GDP ร้อยละ 9.2 ในปี 2011 และตั้งเป้า GDP ปี 2012 ร้อยละ 7.5 มีผลทำให้ผู้ประกอบการโดยทั่วไปชะลอการว่าจ้างงาน  การปิดตัวของโรงงานขนาดเล็กและกลางในเขต Yangtze River Delta region เมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้โรงงานขนาดใหญ่ได้รับอานิสงก์จำนวนแรงงานเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามจากกการสำรวจผู้ประกอบการ ร้อยละ 66 จาก 650 บริษัทมีความตั้งใจที่จะว่าจ้างงานเพิ่มขึ้นต่ำกว่าร้อยละ 6 จากปีที่แล้ว 200,000 คนจะจบปีนี้มากกว่าปี่ที่แล้ว

นักวิเคราะห์เศรษฐกิจจีนหลายรายกล่าวว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะเป็นผลดีต่อการว่าจ้างงานสำหรับแรงงานและผู้จบใหม่ ถ้าแรงไปจากการที่จะต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและผู้ได้รับประโยชน์คือรัฐบาล-รัฐวิสาหกิจแต่ผู้เดียวเองแล้วจะดึงแรงงานจากโรงงานขนากเล็กและกลางไปได้น้อยกว่าและการชลอตัวลงอาจหมายถึงรัฐบาลจะพยายามช่วยพลิกฟื้นผู้ประกอบการรายเล็กขึ้นมาได้ใหม่ด้วย ขณะนี้รัฐบาลเริ่มที่จะเสนอมาตรการใหม่ๆ เพื่อช่วยเหลือเช่น การฝึกอบรมและการบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เพื่อที่จะช่วยเหลือแรงงานที่เพิ่งจบการศึกษา รัฐบาลจะจูงใจให้เข้าไปทำงานในเขตตอนกลางและตะวันตกของประเทศให้มากขึ้นและจูงใจให้คนสร้างธุรกิจด้วยตนเอง

นอกจากนี้แล้ว ประเด็นผลประโยชน์แรงงานต่างชาติในจีนที่สำคัญ จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเจรจาทวิภาคีระหว่าง  7 ประเทศในประเด็นหลักๆ เพื่อทำความตกลงกี่ยวกับการประกันสังคมกับประเทศและภูมิภาคต่างๆ  และมาตรการเกี่ยวกับการประกันสังคมของแรงงานต่างชาติในจีนมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2554 โดยอนุญาตให้แรงงานต่างชาติมีใบอนุญาตในการทำงานในจีนและได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เหมือนกับแรงงานจีนทุกประการ เช่น การเกษียณอายุ การว่างงาน ค่ารักษาพยาบาล การบาดเจ็บระหว่างทำงานและการมีบุตร

 

แรงงานนับพันในออสเตรเลียประท้วงการปรับลดค่าแรง

13 มิ.ย. 55 - สื่อออสเตรเลียรายงานว่า ผู้ใช้แรงงานในรัฐนิวเซาท์เวลส์หลายพันคนเดินขบวนที่รัฐสภาในซิดนีย์ เพื่อประท้วงการพิจารณาการปรับลดค่าตอบแทนแรงงานโดยรัฐบาล

เจ้าหน้าที่ดับเพลิง พยาบาล กรรมกร รวมไปถึงผู้ใช้แรงงานประเภทอื่น ๆ เดินประท้วงท่ามกลางสายฝนนอกอาคารรัฐสภาในซิดนีย์วันนี้ ก่อนที่รัฐสภาจะมีการยื่นรายงานเสนอให้เปลี่ยนแปลงแผนครอบคลุมการทำงาน

สำนักข่าวแห่งชาติออสเตรเลีย (APP) รายงานว่า ผู้ชุมนุมประท้วงรวมตัวกันอย่างหนาแน่นที่นถนนแมคควอรี่ พร้อมป่าวร้อง “สหภาพแรงงานจะไม่มีวันพ่ายแพ้" และ “แบร์รี่ โอ แฟร์เรล คุณช่างไร้ยางอาย"

เมื่อช่วงเช้าของวันนี้  นายแบร์รี่ โอ แฟร์เรล ผู้ว่าการรัฐนิวนิวเซาท์เวลส์กล่าวว่าค่าใช้จ่ายที่ใช้ในแผนดังกล่าวมีจำกัด และสหภาพแรงงานจำเป็นต้องตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้เป็นผู้บริหารรัฐอีกต่อไป

ในขณะเดียวกัน สมาชิกสหภาพแรงงานหน่วยดับเพลิงเลือกที่จะชุมนุมประท้วงต่อไป หากรัฐบาลยังยืนยันที่จะปรับลดค่าตอบแทนแรงงาน และค่าชดเชยในกรณีที่ต้องเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ  สำนักข่าวซินหัวรายงาน

 

มาเลเซียเสนอร่าง กม.กำหนดอายุเกษียณขั้นต่ำภาคเอกชนเข้าสู่สภา

13 มิ.ย. 55 - มาเลเซียนำร่างกฎหมายกำหนดอายุเกษียณขั้นต่ำของภาคเอกชนที่ 60 ปี เข้าสู่การพิจารณาของสภาในวันนี้ เป็นมาตรการปฏิรูปภาคแรงงานล่าสุดของรัฐบาลที่หวังได้คะแนนนิยมจากชนชั้นแรงงาน

ร่างกฎหมายนี้จะบังคับใช้แทนสัญญาจ้างงานทั้งหมด และกำหนดโทษปรับ 10,000 ริงกิต (ราว 100,000 บาท) หากนายจ้างให้พนักงานเกษียณก่อนอายุขั้นต่ำ นอกจากนี้ ยังเปิดทางให้รัฐบาลสามารถปรับเกณฑ์อายุขั้นต่ำให้สูงขึ้นอีกได้ในอนาคต อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายนี้ไม่ครอบคลุมลูกจ้างทำงานบ้าน พนักงานชั่วคราว และพนักงานต่างชาติ 

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลมาเลเซียเพิ่งฟื้นแผนประกันการว่างงาน และกำหนดค่าแรงขั้นต่ำเดือนละ 900 ริงกิต (ราว 9,000 บาท) สำหรับแรงงานบนคาบสมุทรมาเลเซีย และเดือนละ 800 ริงกิต (ราว 8,000 บาท) สำหรับแรงงานในรัฐซาบาห์และรัฐซาราวัคบนเกาะบอร์เนียว จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากธุรกิจขนาดกลางและย่อม ซึ่งจ้างงานแรงงานร้อยละ 59 หรือราว 7 ล้านคน.

 

โรงงาน "ฟ็อกซ์คอนน์" ยังไม่พ้นสภาพ "นรก" พนักงานกระโดดตึกตายอีกหนึ่งศพ

15 มิ.ย. 55 - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุสลดล่าสุดที่โรงงานฟ็อกซ์คอนน์ในเมืองเฉิงตู ของจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าให้บริษัทแอปเปิล ได้ก่อเหตุกระโดดตึกโรงงานเสียชีวิต สาเหตุการฆ่าตัวตายยังไม่เป็นที่แน่ชัด และอยู่ระหว่างการสอบสวนของตำรวจ แต่นับเป็นโศกนาฎกรรรมล่าสุดของโรงงานแห่งนี้ ซึ่งมีพนักงานกว่า 1.2 ล้านคน

รายงานระบุว่า ที่ผ่านมา โรงงานฟ็อกซ์คอนน์สาขาใหญ่ในไต้หวันและจีน ซึ่งผลิตอุปกรณ์สินค้าให้แก่แอปเปิล โซนี่ และโนเกีย ต้องตกเป็นข่าวอื้อฉาวกดขี่แรงงาน และเหตุการณ์ลูกจ้างกระโดดตึกตายนี้ยังมีขึ้นแม้ว่าแอปเปิลจะรับประกันว่าจะมีการคุ้มครองสวัสดิภาพของแรงงานในโรงงานดังกล่าว และได้มีการบรรลุข้อตกลงกันระหว่างแอปเปิลกับฟ็อกซ์คอนน์ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาแล้วก็ตาม โดยที่ผ่านมา โรงงานแห่งนี้ได้ตกเป็นเป้าถูกจับตาหลังจากวิกฤตพนักงานแห่ฆ่าตัวตาย และเหตุการณ์พนักงานก่อความไม่สงบ นับตั้งแต่ปี 2010 แม้ว่าโรงงานฟ็อกซ์คอนน์จะปฎิเสธข้อกล่าวหา ระบุว่า บริษัทได้ขึ้นค่าแรงให้แก่พนักงานเกือบ 70 เปอรืเซนต์เมื่อปี 2010 ขณะที่นายโทนี่ กวง ผู้บริหารของฟ็อกซ์คอนน์บอกว่า บริษัทได้ใช้หุ่นยนต์โรงงานกว่า 1 หมื่นตัว ปฎิบัติหน้าที่ต่าง ๆ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนตัวในปีหน้า และ 1 ล้านเครื่องในปี 2014

 

แรงงานอิตาลี ประท้วงนโยบายรัดเข็มขัด

16 มิ.ย. 55 - แรงงานชาวอิตาลีนับหมื่นคน รวมตัวประท้วงนโยบาล ลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล ภายใต้การนำของ มาริโอ มอนติ เพื่อให้รอดพ้นวิกฤติหนี้ยุโรป โดยกลุ่มสหภาพแรงงาน ตัดสินใจรวมตัวกันกลางกรุงโรม หลังจากที่ทางรัฐบาลได้ออกนโยบายตัดเงินบำเหน็จบำนาญ เพื่อปฏิรูปแรงงานตามนโยบายภาครัฐ พร้อมเรียกร้องให้ รัฐบาลอิตาลีเพิ่มมาตรการคุ้มครองให้แรงงาน มีเสถียรภาพมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อีกด้วยสำหรับนโยบายลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลอิตาลี มีเป้าหมายที่จะลดค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 8 หมื่นล้านยูโร หรือประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท เพื่อต้องการออกจากวิกฤติหนี้ยุโรป และเป็นการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนับตั้งแต่ที่รัฐบาลอิตาลีภายใต้การนำของ มอนติ มานาน 7 เดือน ได้ทำให้ชาวอิตาลีต้องมีรายได้ลดลง รวมทั้งได้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 36 เปอร์เซ็นต์

 

ผู้นำสหรัฐประกาศผ่อนผันการบังคับใช้กฎหมายคนต่างด้าว

16 มิ.ย. 55 - ผู้นำสหรัฐประกาศผ่อนผันการบังคับใช้กฎหมายคนต่างด้าว และให้โอกาสคนต่างดาวในสหรัฐนับแสนคนให้ทำมาหากินในสหรัฐต่อไปได้

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประกาศแผนระงับการเนรเทศคนต่างด้าว ที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตั้งแต่ยังเด็ก โดยกล่าวว่า เป็นการให้โอกาสแก่คนต่างด้าวเหล่านั้น ซึ่งไม่ใช่การนิรโทษกรรม หรือจะนำไปสู่การให้สัญชาติแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงการกระทำในสิ่งที่สมควรต้องกระทำในขณะนี้เท่านั้น  นโยบายของผู้นำสหรัฐจะส่งผลให้คนต่างดาวกว่า  8 แสนคน ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐในสภาพหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในขณะนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า การปรับนโยบายใหม่ของผู้นำสหรัฐมีขึ้นในปีนี้ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และจะเป็นการหวังผลจากคะแนนเสียงของชาวสหรัฐที่พูดภาษาสเปน ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของประธานาธิบดีโอบามา ทางด้านนายมิตต์ รอมนีย์  คู่แข่งของประธานาธิบดีโอบามา กล่าวว่า การกระทำเช่นนั้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาคนต่างด้าวในสหรัฐเลยแม้แต่น้อย

 

โรงงานสิ่งทอบังกลาเทศหลายร้อยโรงปิดเพราะคนงานชุมนุมปิดถนน

17 มิ.ย. 55 - ตำรวจบังกลาเทศแจ้งว่า โรงงานสิ่งทอหลายร้อยแห่งปิดทำการอย่างไม่มีกำหนดตั้งแต่วันนี้ ขณะที่คนงานร่วมแสนคนชุมนุมปิดทางหลวง นอกกรุงธากา ทำให้การจราจรเป็นอัมพาตเป็นระยะทาง 6-7 กิโลเมตร

คนงานโรงงานสิ่งทอประท้วงมาตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน เรียกร้องขอขึ้นค่าแรง ทำให้โรงงานในเขตอุตสาหกรรมนอกกรุงธากาต้องปิดทำการทั้งหมด ตำรวจเผยว่า ได้ใช้เครื่องขยายเสียงขอให้คนงานยุติการประท้วงและเปิดถนนให้ยวดยานสัญจรได้ตามปกติ คนงานให้ความร่วมมือด้วยดีด้วยการเลี่ยงการชุมนุมบริเวณทางเท้า จึงไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น แต่แหล่งข่าวแย้งว่า ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาและใช้กระบองทุบตีเพื่อสลายการชุมนุม คนงานตอบโต้ด้วยการขว้างปาก้อนอิฐ ขณะนี้ยังไม่ทราบจำนวนผู้บาดเจ็บ แต่มีข่าวว่าการประท้วงมาร่วมสัปดาห์ทำให้มีคนบาดเจ็บแล้วหลายร้อยคน มียวดยานถูกทุบเสียหายกว่า 150 คัน

คนงานสิ่งทอบังกลาเทศขอขึ้นค่าแรงอีก 1,500-2,000 ตากา (ราว 600-800 บาท) จากที่ได้ค่าแรงขั้นต่ำเดือนละ 3,000 ตากา (ราว 1,200 บาท) โดยให้เหตุผลว่าเงินเดือนไม่พอกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น

 

ธนาคารโลกแนะเพิ่มค่าแรงหญิงเท่าชาย เพื่อโอกาสทางเศรษฐกิจมากขึ้น

18 มิ.ย. 55 - ธนาคารโลกประจำประเทศไทยร่วมกับสำนักงานในประเทศกัมพูชาและอินเดีย แถลงรายงานฉบับล่าสุดเรื่อง”ก้าวสู่ความเสมอภาคหญิงชายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก”  ผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเร้นซ์

โดยนายแอนดรู เมสัน หัวหน้าคณะผู้จัดทำ กล่าวว่า การสงเสริมให้หญิงชายมีความเสมอภาคกันในการเข้าถึงแหล่งผลิตและโอกาสทางเศรษฐกิจ จะทำให้ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นได้อีกทั้งยังช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจภูมิภาคเติบโตและลดความยากจนได้มากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะประเทศไทยแม้สัดส่วนผู้หญิงจะมากกว่าผู้ชายซึ่งนับเป็นอันดับต้นๆในภูมิภาค แต่ในกลุ่มแรงงานภาคอุตสาหกรรมแม้ผู้หญิงกับผู้ชายจะทำงานในลักษณะงานเดียวกัน แต่ผู้ชายกับมีค่าแรงเฉลี่ยสูงกว่า ทั้งที่ในภูมิภาคนี้สัดส่วนแรงงานสตรีสูงถึง 70 % ร่วมถึงการมีส่วนร่วมในการบริหารและเป็นเจ้าของกิจการสูงกว่าภูมิภาคอื่น

ทั้งนี้แนวทางนโยบายรัฐที่ควรทำ คือ การสนับสนุนเงินทุนการศึกษาให้กับผู้หญิงได้เรียนทางด้านวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์เพราะต้องใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยใช้อัตราผลตอบแทนเป็นแรงจูงใจ

ต่อไปควรลดช่องว่างในโอกาสทางเศรษฐกิจ คือ ในบางสาขาอาชีพให้ลดข้อจำกัดทางเพศและให้ผู้หญิงมีสิทธิมีเสียงของผู้หญิงมากขึ้นรวมทั้งลดภาระหน้าที่ในครอบครัวเพื่อให้ผู้หญิงมีโอกาสออกมาทำงานมากขึ้น เช่น อาจจะมีสวัสดิการเลี้ยงบุตรที่เหมาะสม

 

เผยชาวอเมริกันกว่า 46 ล้านคนยังขาดประกันสุขภาพ แม้โอบามาผลักดันปฏิรูป

19 มิ.ย. 55 - ข้อมูลจากผลสำรวจด้วยการสัมภาษณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า แนวโน้มด้านสาธารณสุขของเด็กๆ ในสหรัฐฯ ดีขึ้น โดยปีที่ผ่านมามีเยาวชนที่ไม่มีประกันสังคมเพียง 7% เมื่อเทียบกับ 13.9% ในปี 1997

ขณะที่ผู้ใหญ่อายุ 18-64 ปี กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยในปี 2011 ผู้ที่ไม่มีประกันสุขภาพสูงถึง 21.3% หรือ 40.7 ล้านคน ตามข้อมูลจากศูนย์ป้องกัน และควบคุมโรคของสหรัฐฯ ซึ่งบันทึกไว้ว่าในปี 1997 จำนวนผู้ใหญ่ที่ไม่มีประกันสุขภาพต่ำสุด 13.9% และสูงสุดในปี 2010 ที่ 22.3%

“เปอร์เซ็นต์ของผู้ใหญ่ที่อายุ 18-64 ปี ซึ่งไม่มีความคุ้มครองด้านสุขภาพในขณะสัมภาษณ์นั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” การศึกษาซึ่งอ้างอิงผลสำรวจใน 32 มลรัฐจากทั้งหมด 50 มลรัฐเผย

การเปลี่ยนแปลงของสถานะการคุ้มครองประกันสุขภาพของเด็กๆ ส่วนใหญ่มาจากประกันสังคม ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลแก่คนยากจน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 36.5% จากปี 1997-2011 ส่วนอัตราประกันสุขภาพเอกชนในเด็กที่ครอบครัวมีรายได้ต่ำในปี 2011 นั้นน้อยกว่าปี 1997 ถึง 25.1%

สำหรับประกันสุขภาพเอกชนของผู้ใหญ่ในช่วงที่ทำการสำรวจก็มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน

ผลสำรวจนี้ออกมาในขณะที่คาดกันว่าศาลสูงสุดของสหรัฐฯ จะตัดสินคดีเกี่ยวกับการลงนามในแผนปฏิรูปประกันสุขภาพครั้งใหญ่ของประเทศ โดยประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในเร็ววันนี้

ผลการตัดสินนั้นอาจทำให้แผนปฏิรูปหลายส่วนสำคัญ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้พลเมืองชาวอเมริกันทั้งหมดได้รับสิทธิคุ้มครองประกันสุขภาพอย่างทั่วถึง และมีทางเลือกในการทำประกันที่ถูกลงต้องหยุดชะงักลง

 

คนขับแท็กซี่เกาหลีใต้ 2 แสนคนประท้วงขอขึ้นราคา

20 มิ.ย. 55 - พนักงานขับรถแท็กซี่ชาวเกาหลีใต้กว่า 200,000 คนผละงานประท้วงตลอดทั้งวันนี้เพื่อขอขึ้นราคาและเรียกร้องให้ลดราคาพลังงานลง ส่งผลให้ทางการต้องเพิ่มบริการรถโดยสารและรถไฟใต้ดิน

กระทรวงขนส่งรายงานว่า คนขับรถแท็กซี่ราว 220,000 คนจากพนักงานขับรถแท็กซี่ที่มีใบอนุญาตทั้งหมด 255,500 คนร่วมผละงานประท้วงในวันนี้ จึงทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเพิ่มบริการรถโดยสารในกรุงโซลและที่เมืองปูซานซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสอง รวมถึงบริการรถไฟในระบบรถไฟใต้ดิน  นอกจากนี้เจ้าหน้าที่จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 

สำนักข่าวยอนฮัพรายงานว่า ไม่มีเหตุวุ่นวายมากนักในการจราจรช่วงเช้าเนื่องจากเพิ่มบริการรถโดยสารและรถไฟใต้ดินมาชดเชย และการที่แท็กซี่หยุดให้บริการมีส่วนช่วยคลายการจราจรบนท้องถนนได้  สหภาพแรงงานแท็กซี่เกาหลีประกาศว่า คนขับรถนับแสนคนจะชุมนุมประท้วงใหญ่ในใจกลางกรุงโซลบ่ายวันนี้  โดยเรียกร้องให้ปรับขึ้นค่าโดยสารเริ่มจากที่ 2,400 วอน (62 บาท) และลดราคากาซแอลพีจีลงด้วยหลังราคาพุ่งขึ้นมากว่าร้อยละ 50 ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

 

คนขับรถบรรทุกในอาร์เจนตินาปิดถนนประท้วงขอขึ้นค่าแรง

21 มิ.ย. 55 - ทางการอาร์เจนตินาต้องวางกำลังสารวัตรทหารเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หลังกลุ่มผู้ขับรถบรรทุกพากันผละงานประท้วง เพื่อเรียกร้องขอขึ้นค่าแรง

กลุ่มคนขับรถบรรทุกในอาร์เจนตินาพากันปิดถนนประท้วงเพื่อขอขึ้นค่าแรง โดยมีกำหนดจะผละงานประท้วงเป็นเวลาถึง 3 วัน ขณะที่ประธานาธิบดีคริสตินา เฟอร์นันเดซ ซึ่งอยู่ระหว่างเข้าร่วมการประชุมว่าด้วยปัญหาสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติที่บราซิล ต้องเดินทางกลับประเทศทันที หลังกลุ่มผู้ประท้วงไม่ยอมทำตามคำสั่งของรัฐบาลที่ให้ยุติการประท้วง

ผู้นำสหภาพคนงานขับรถบบรทุกประกาศด้วยว่า จะยกระดับการชุมนุมให้เข้มข้นขึ้น หากทางการใช้กำลังเข้าปราบปราม พร้อมทั้งขอให้รัฐบาลยอมรับข้อเรียกร้องของพวกเขา ที่ต้องการขอขึ้นค่าแรงร้อยละ 30 รวมทั้งลดการเก็บภาษีเนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาเงินเฟ้อที่ทะยานขึ้นไปถึงร้อยละ 25 กลุ่มผู้ประท้วงประกาศจะปักหลักชุมนุมประท้วงต่อไปจนถึงเช้าวันศุกร์นี้

 

สเปน-สหภาพแรงงานประท้วงแผนอดออมของรัฐบาล

21 มิ.ย. 55 - สหภาพแรงงานสเปนสามารถรวบรวมผู้คนออกมาเดินขบวนในกรุงมาดริดได้หลายพันคนเมื่อวานนี้ เพื่อคัดค้านการใช้มาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล เนื่องจากเกรงว่าจะนำไปสู่การลอยแพคนงานและความถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศกรีซ 

การออกมาประท้วงของสหภาพแรงงานสเปนเมื่อวานนี้ มีขึ้นในช่วงเดียวกับที่ดอกเบี้ยพันธบัตรสเปน ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญในการกู้ยืมเงินของรัฐบาลได้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างน่าวิตก และคาดว่ากัน ดอกเบี้ยพันธบัตรใหม่ที่รัฐบาลสเปนกำลังจะนำออกประมูลในวันนี้ อัตราดอกเบี้ยจะยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ซึ่งจะสร้างความหนักใจให้กับบรรดาธนาคารต่างๆของสเปนในการซื้อพันธบัตรของรัฐบาล และในที่สุดแล้ว อาจทำให้รัฐบาลสเปนต้องขอพึ่งเงินกู้ระหว่างประเทศเพื่อไม่ให้ล้มละลายทั้งประเทศเหมือนกรณีของกรีซ และโปรตุเกส ซึ่งผลที่เกิดตามมาก็คือ การยอมอดออมทุกอย่างเพื่อทำตามเงื่อนไขของเจ้าหนี้

 

ฟิลิปปินส์สอบเหตุค้าแรงงานไปซีเรีย

24 มิ.ย. 55 - ทางการฟิลิปปินส์สอบสวนเหตุลักลอบส่งแรงงานไปยังซีเรีย เบื้องต้นพบเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างน้อย 14 คน

นายริคาร์โด เดวิด หัวหน้ากองบังคับการตรวจคนเข้าเมืองเปิดเผยถึงการประสานกับเจ้าหน้าที่พิเศษของทางการเพื่อสอบสวนเหตุลอบค้าแรงงานซึ่งอาจนำไปสู่การดำเนินคดีอาญาหรือปลดเจ้าหน้าที่ออกจากตำแหน่ง พร้อมกันนี้ยืนยันว่าเขาจะไม่ปกป้องผู้กระทำผิด โดยยกตัวอย่างการสั่งปลดเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง 19 คนเมื่อปีก่อนจากความผิดฐานช่วยเหลือนายหน้าแรงงานเถื่อน   

ด้านกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า มีแรงงานจากพื้นที่ยากไร้จำนวนมากโดนหลอกส่งตัวไปทำงานยังซีเรีย และแรงงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมักได้งานเป็นคนใช้และต้องทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายอย่างยิ่ง และคาดว่ามีแรงงานโดนส่งตัวไปซีเรียเฉลี่ยราวเดือนละ 100 คน    อนึ่ง ทางการซีเรียสั่งห้ามแรงงานทำงานในซีเรียและสั่งให้อพยพคนของตนเองออกตั้งแต่ธันวาคมปีก่อน โดยสามารถอพยพแรงงานกลับมาได้แล้วราว 1,500 คนจากจำนวนแรงงานฟิลิปปินส์ที่คาดว่ามีอยู่ในซีเรียร่วม 7,000 คน

 

พนักงานขับรถโดยสารลอนดอนกว่า 23,000 คน หยุดงานประท้วง 

24 มิ.ย. 55 - ชาวลอนดอนและนักท่องเที่ยวต้องเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้าใต้ดิน หลังพนักงานขับรถโดยสารสาธารณะในกรุงลอนดอนหยุดงานกว่า 23,000 คน เพื่อขอขึ้นค่าแรงในช่วงกีฬาโอลิมปิกเป็น 500 ปอนด์ หรือ 24,000 บาท

พนักงานขับรถโดยสารประจำทางในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษกว่า 23,000 คน หยุดงานประท้วง

ส่งผลให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้รับความเดือดร้อน เพราะไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าว่า จะมีการหยุดงานจึงต้องหาทางเลือกด้วยการใช้รถไฟใต้ดิน หรือเดินไปทำงานในช่วงเวลาเร่งด่วน

สภาสหภาพการค้าอังกฤษระบุว่า มีพนักงานขับรถโดยสารหยุดงานประท้วงกว่าร้อยละ 85 เพื่อเรียกร้องเงินพิเศษ

ในช่วงมหกรรมกีฬาโอลิมปิค ระหว่างเดือนก.ค.- ส.ค.นี้ ที่คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการรถโดยสารจำนวนถึง 800,000 คน

พนักงานจึงเรียกร้องขอขึ้นค่าแรงเป็น 500 ปอนด์ หรือประมาณ 24,000 บาท แต่เทศมนตรีกรุงลอนดอนตกลงว่า

จะเพิ่มให้เป็น 300 ปอนด์ หรือประมาณ 15,000 บาท ทำให้พนักงานไม่พอใจ และขู่ว่าจะประท้วงครั้งใหม่ เพื่อเรียกร้องเพิ่มค่าแรงเป็น 600 ปอนด์หรือเกือบ 30,000 บาท

 

ตำรวจโบลิเวียผละงานประท้วงขอขึ้นเงินเดือน

26 มิ.ย. 55 - ตำรวจโบลิเวียไม่ยอมรับข้อตกลงกับรัฐบาล ที่เสนอให้มีการขึ้นเงินเดือนอีก 30 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 900 บาท จากปัจจุบันที่ได้เงินเดือน 194 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6,000 บาท ที่บรรลุข้อตกลงกันไปก่อนหน้านี้  ทั้งนี้ ตำรวจโบลิเวียพากันผละงานประท้วงทั่วประเทศเป็นเวลา 4 วัน พร้อมตั้งเงื่อนไขขอขึ้นเงินเดือนให้อยู่ในระดับเดียวกับทหารในกองทัพ ซึ่งได้เงินเดือนเกือบ 300 ดอลลาร์สหรัฐ   หรือประมาณ 9,000 บาท 

ด้าน ประธานาธิบดีอีโว โมราเลส กล่าวหาพรรคการเมืองฝ่ายค้านว่า ใช้ประโยชน์จากเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นเพื่อวางแผนก่อรัฐประหาร

 

แรงงานอพยพเสฉวนไม่พอใจ ลุกฮือก่อจลาจลในกวางตุ้ง

26 มิ.ย. 55 - ศูนย์ข้อมูลประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนฮ่องกงเผยว่า ขณะนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 30 คน รถของเจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ 2 คันถูกทุบทำลายจากการปะทะดังกล่าวในเมืองจงซาน ภายใต้เขตบริหารของเทศบาลตำบลซาซี มณฑลก่วงตง (กวางตุ้ง)

ขณะนี้สาเหตุของการจลาจลยังไม่เป็นที่ชัดเจน แต่แถลงการณ์รัฐบาลท้องถิ่นระบุ (26 มิ.ย.) ว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแห่งหมู่บ้านหลงซาน ภายใต้เขตบริหารของเทศบาลตำบลซาซี ได้จับตัวเด็กนักเรียนประถมชายวัย 13 ขวบคนหนึ่งซึ่งครอบครัวเป็นแรงงานอพยพจากฉงชิ่ง แล้วทุบตีและจับมัดไว้

แถลงการณ์เผยไปอีกว่า เด็กชายดังกล่าวได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้าในระหว่างที่ถูกจับไว้ รัฐบาลยังไม่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของการทุบตี แต่ชาวเน็ตในเว็บเทียนหยาเผยว่า เด็กคนดังกล่าวไปขู่เอาเงินจากนักเรียนในโรงเรียนประถมที่กำลังจะเก็บมะม่วงกิน ทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจับไปลงโทษ แต่ต่อมาความเห็นเหล่านี้ก็ถูกลบไป

แถลงการณ์ของรัฐบาลเมืองจงซานเผยว่า ญาติของเด็กชายจากฉงชิ่งราว 30 คน อารมณ์รุนแรงได้รวมตัวกันหน้าสำนักงานหมู่บ้านหลงซาน เมื่อเย็นวันจันทร์ (25 มิ.ย.) และจากนั้นไม่นานจำนวนผู้คนก็เพิ่มเป็น 300 คน ภายในเวลา 22.30 น. ฝูงชนเริ่มปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลายคนขว้างปาก้อนหินก้อนอิฐ

ศูนย์ประชาธิปไตยฯ ฮ่องกงเผยว่า “ผู้คนเสฉวนอีกหลายพันคนเข้าร่วมการปะทะเลือดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย”

ไมโครบล็อกบางแห่งเผยว่า อย่างน้อยผู้คนที่ลงไปร่วมจลาจลมี 1,000 คน และจากนั้นก็ลงภาพถ่ายตำรวจปราบจลาจลหลายร้อยคนและตำรวจติดอาวุธยืนประจำการอยู่ทุกมุมถนนของเมืองโพสต์ไปในโลกออนไลน์ วานนี้พยานในเหตุการณ์คนหนึ่งโพสต์ข้อความระบุว่า ขณะนี้มีคนถูกจับไปแล้วอย่างน้อย 2 คน ส่วนร้านรวง ธนาคาร ภัตตาคาร ปิดเงียบ

สื่อของเทศบาลซาซีและเมืองจงซานประกาศเตือนประชาชนให้อยู่แต่ในที่พักอย่าออกไปไหนมาไหนในช่วงนี้

ในขณะเดียวกัน ชาวบ้านท้องที่ก็แสดงความโกรธทางออนไลน์ว่า แรงงานอพยพจากเสฉวนทำให้ระเบียบปฏิบัติของท้องถิ่นเสียหาย หลายคนถึงกับบอกว่ารู้สึกเสียดายเงินที่อุตส่าห์ไปบริจาคช่วยเสฉวนตอนแผ่นดินไหวเมื่อปี 51

เจ้าหน้าที่ตำรวจเทศบาลตำบลซาซีให้สัมภาษณ์กับเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ว่า ขณะนี้ยังคงปิดตายเมืองจงซานไว้ก่อน เพื่อควบคุมสถานการณ์ “พวกเราจะทำให้ดีที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเปิดถนนให้รถวิ่งได้ตามปรกติเมื่อไร” เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งไม่เผยชื่อเล่าให้ฟัง

เทศบาลตำบาลซาซีเป็นเมืองในแถบสามเหลี่ยมไข่มุก ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องการผลิตเสื้อผ้า

การจลาจลเมื่อวันจันทร์ได้นำไปสู่เหตุการณ์เผชิญหน้าระหว่างแรงงานท้องถิ่นกับแรงงานอพยพากมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) เมื่อเดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว ผู้ก่อเหตุได้วางเพลิงสำนักงานรัฐบาลท้องถิ่น เผาพาหนะตำรวจเป็นเวลาหลายวันในเมืองจิงเฉิง มณฑลก่วงตง อันเป็นศูนย์กลางการผลิตผ้ายีนส์ เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ก่อให้เกิดความตระหนักถึงการแก้ปัญหาการปะทะระหว่างแรงงานท้องถิ่นและแรงงานอพยพ

 

แฉซัพพลายเออร์แอปเปิล ละเมิดกฎหมายแรงงาน

28 มิ.ย. 55 - บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากสหรัฐ เจ้าของผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอย่างไอโฟนและไอแพด โดนกลุ่มสิทธิแรงงานแฉอีกแล้วว่า สร้างซัพพลายเออร์หลายแห่งในจีนที่ละเมิดกฎหมายแรงงานและกดขี่แรงงานอย่างเลวร้าย

กลุ่มจับตาแรงงานจีนซึ่งมีฐานอยู่ในนครนิวยอร์กเปิดเผยรายงานผลการสอบสวนโรงงาน 10 แห่งในภาคตะวันออกและภาคใต้ของจีน ที่รับจ้างผลิตสินค้าส่งให้แอปเปิล โดยส่งคณะทำงาน 6 คนเข้าไปสำรวจและสอบถามคนงาน 620 คน ทั้งโดยเปิดเผยและอำพรางตน เป็นเวลา 4 เดือน ซึ่งทำให้ได้พบการละเมิดสิทธิของแรงงานหลายอย่าง อาทิ การทำงานล่วงเวลาที่มากเกินที่กฎหมายจีนกำหนด และสภาพการจ้างงานที่เป็นอันตราย

กลุ่มสิทธิแรงงานกลุ่มนี้พบว่า ลูกจ้างในโรงงาน 10 แห่งนี้ทำงานล่วงเวลาเฉลี่ยคนละ 100-130 ชั่วโมง/เดือน ซึ่งเกินว่าที่กฎหมายจีนกำหนดไว้ที่ 36 ชั่วโมง สาเหตุที่ทำให้คนงานทำงานล่วงเวลาล้นเกินมาค่าจ้างต่ำ และบางโรงงานยังไม่จ่ายค่าตอบแทนโอทีที่สมน้ำสมเนื้อด้วย 

ปัญหาซัพพลายเออร์ของแอปเปิลเริ่มเป็นข่าวใหญ่ตั้งแต่ปี 2543 เมื่อคนงานของฟอกซ์คอนน์ ผู้รับจ้างผลิตจากไต้หวันที่มีโรงงานหลายแห่งในจีน ฆ่าตัวตายอย่างน้อย 13 ราย และก่อหวอดประท้วงหลายครั้ง ปีที่แล้วก็ยังมีคนเสียชีวิตเพิ่มอีกหลายราย

"การละเมิดสิทธิแรงงานที่ฟอกซ์คอนน์ยังเกิดขึ้นในโรงงานซัพพลายเออร์แห่งอื่นๆ ทั้งหมดของแอปเปิล และหลายกรณีนั้นเลวร้ายกว่าที่ฟอกซ์คอนน์มากนัก" รายงานกล่าว

รายงานฉบับนี้ตอกย้ำผลการศึกษาของสมาคมเพื่อความเป็นธรรมของแรงงาน (เอฟแอลเอ) เมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ ซึ่งเข้าไปตรวจเยี่ยมซัพพลายเออร์ของแอปเปิลในจีน 3 แห่งด้วยความยินยอมของผู้บริหารแอปเปิล และพบการบังคับคนงานทำงานล่วงเวลากับปัญหาแรงงานด้านอื่นๆ 

หลี่เชียง ผู้อำนวยการองค์กรยังเรียกร้องให้ ทิม คุก ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารแอปเปิล ปฏิบัติตามคำมั่นที่เคยให้ไว้ว่าจะปรับปรุงสภาพการจ้างงานที่เลวร้ายในจีน.

 

คนงานเกาหลีใต้ประท้วงเรียกร้องให้ปรับปรุงเงื่อนไขการจ้างงาน

28 มิ.ย. 55 - คนงานในเกาหลีใต้รวมตัวประท้วงเพื่อเรียกร้องขอให้มีการปรับปรุงเงื่อนไขในการจ้างงานให้ดีขึ้นและขู่ด้วยว่าอาจจะมีการผละงานประท้วงตามมา

คนงานราว 3 หมื่นคน รวมตัวประท้วงครั้งใหญ่ในกรุงโซล เพื่อเรียกร้องให้มีการปรับปรุงเงื่อนไขในการจ้างงานให้ดีขึ้น และขู่ด้วยว่าหากรัฐบาลไม่ตอบสนองข้อเรียกร้อง พวกเขาจะพากันผละงานประท้วงตามมาอีก  กลุ่มคนงานที่มาชุมนุมในครั้งนี้ เป็นสมาชิกของสมาพันธ์สหภาพการค้า ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มแรงงานขนาดใหญ่ของเกาหลีใต้  โดยผู้ชุมนุมต้องการเรียกร้องให้มีการปรับแก้ไขกฎหมายแรงงานหลายมาตรา เพื่อเป็นหลักประกันว่าคนงานจะได้รับการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน  การชุมนุมในครั้งนี้ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลและเป็นไปอย่างสันติโดยไม่มีเหตุการณ์ปะทะกับตำรวจ ขณะที่รัฐบาลระบุว่าจะเพิ่มรายจ่ายสาธารณะกว่า 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติยูโรโซน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลุ่มหยุดยิงเมืองลาจัดงานรำลึกหยุดยิงกับพม่าครบ 23 ปี

Posted: 03 Jul 2012 02:09 AM PDT

กลุ่มหยุดยิงเมืองลา ภายใต้การนำของเจ้าจายลืน จัดงานพิธีรำลึกวันแห่งการหยุดยิงกับรัฐบาลพม่าครบ 23 ปี ในเขตพื้นที่เขตปกครองตนเอง มีทหารและประชาชนเข้าร่วมนับพันคน ด้านเลขาธิการกลุ่มหยุดยิงเมืองลา ให้คำมั่นจะร่วมมือกับทุกฝ่ายในการสร้างสันติภาพ และจะร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง 

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา กองกำลังสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตย หรือ กองกำลังเมืองลา NDAA (National Democratic Alliance Army) ได้จัดงานรำลึกวันแห่งการหยุดยิงกับรัฐบาลพม่าครบรอบ 23 ปี โดยงานพิธีจัดขึ้นพร้อมกัน 3 แห่ง คือที่เมืองลา ที่ตั้งกองบัญชาการใหญ่ของ NDAA เมืองสือลือ ทางเหนือของเมืองลา และที่เมืองน้ำปาน ทางตอนใต้เมืองลา ทั้งหมดอยู่ในเขตพื้นที่ครอบครองของกองกำลังเมืองลา NDAA

งานพิธีเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 8.00 น. โดยกองทหารและประชาชนได้รวมตัวกันหน้างานพิธี เวลา 9.00 น. มีการชักธงชาติไทใหญ่ขึ้นสู่ยอดเสา จากนั้นประธานในพิธีแต่ละพื้นที่ได้อ่านกล่าวประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับกองกำลัง NDAA ได้ลงนามหยุดยิงสร้างสันติภาพกับรัฐบาลพม่า และก่อตั้งเป็นเขตปกครองพิเศษมาตั้งแต่ปี 2532 โดยงานพิธีที่เมืองลา มีเจ้าแสงลา เลขาธิการเป็นประธาน งานพิธีที่เมืองสือลือ มีเจ้าจายติ๊บ ประธานฝ่ายการปกครองเป็นประธาน ส่วนงานพิธีที่เมืองน้ำปาน มีเจ้าคำหม่อง รองประธานฝ่ายการปกครองเป็นประธาน โดยในงานมีทหารและประชาชนเข้าร่วมนับพันคน 

เจ้าแสงลา เลขาธิการ NDAA กล่าวว่า กองกำลัง NDAA ได้ทำการหยุดยิงกับรัฐบาลเมื่อปี 2532 เหตุเพราะต้องการสร้างสันติภาพ โดยกองกำลัง NDAA จะร่วมมือกับทุกฝ่ายในการสร้างสันติภาพ และจะร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง นอกจากนี้ กองกำลังเมืองลา NDAA จะเดินหน้าพัฒนาเขตพื้นที่ปกครองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

สำหรับกองกำลังสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตย หรือ กลุ่มหยุดยิงเมืองลา NDAA เป็นอดีตแนวร่วมพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (Communist Party of Burma - CPB) หลังแยกตัวจาก CPB ในปี 2532 ได้เจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่าเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ในปีเดียวกัน และได้รับสิทธิ์ครอบครองพื้นที่ในภาคตะวันออกของรัฐฉานติดกับชายแดนจีน เรียกเขตปกครองพิเศษที่ 4 กองกำลัง NDAA มีนายจายลืน หรือ หลินหมิ่งเสียน เป็นผู้นำสูงสุด โดยเมื่อปี 2552 กองกำลัง NDAA ได้จัดงานรำลึกการหยุดยิงกับรัฐบาลครบรอบ 20 ปี อย่างยิ่งใหญ่  

 
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/

"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โวย! คำสั่งบังคับคดีสั่งรื้อถอนชุมชนเกษตรกรสุราษฎร์ ไม่เป็นธรรม

Posted: 03 Jul 2012 02:01 AM PDT

ชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนาร้อง ถูกบังคับคดีให้รื้อถอนชุมชนที่มีกว่า 85 ครัวเรือน ออกจากพื้นที่ สปก. ด้าน สกป.ชี้ บังคับคดีไม่มีสิทธิ์รื้อถอนชุมชนในพื้นที่ สปก. และได้ส่งมอบพื้นที่ไปแล้ว เตรียมหนังสือแจ้งระงับการรื้อถอนด่วน

 
 
สืบเนื่องมาจากบริษัทสหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม มหาชน จำกัด ฟ้องคดีอาญาข้อหาบุกรุก และคดีแพ่งต่อชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนา ต.บางสวรรค์ อ.พระแสง จ.สุราษฏร์ธานี ซึ่งเป็นสมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย โดยเรียกค่าเสียหายกว่า 1 ล้านบาท คดีความดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการอุทธรณ์ และเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.55 ได้มีคำสั่งบังคับคดีให้รื้อถอนชุมชนที่มีกว่า 85 ครัวเรือน โดยเริ่มดำเนินการรื้อถอนในวันที่ 29 มิ.ย.55
 
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.55 นายบุญฤทธิ์ ภิรมณ์ และตัวแทนชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนาได้เข้าประชุมร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยมี นายสถิตย์พงษ์ สุดชูเกียรติ รองเลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.) ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการสำนักปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นประธาน การร่วมพูดคุยถึงปัญหาเรื่องการจัดการที่ดินและความขัดแย้งในระหว่างกลุ่มบุคคลในพื้นที่
 
นายสถิตย์พงษ์ กล่าวว่า บังคับคดีไม่มีสิทธิ์เข้าไปรื้อถอนชุมชนเพราะเป็นพื้นที่ สปก. และสปก.ได้ส่งมอบพื้นที่ไปแล้ว ตนเองจะทำหนังสือแจ้งไปทางบังคับคดีระงับการรื้อถอน และจะแจ้งไปทางจังหวัดสุราษฏร์ธานีโดยด่วน
 
จากนั้นในวันที่ 29 มิ.ย.55 นายบุญฤทธิ์ และตัวแทนชาวบ้านก็ได้เข้าพบนายเชิดศักดิ์ ชูศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฏร์ธานีเพื่อเข้าร้องเรียนถึงความเดือดร้อนที่ชาวบ้านได้รับหากปล่อยให้มีการบังคับคดีและชุมชนถูกรื้อถอนจริง
 
ข่าวล่าสุดแจ้งว่า เมื่อถึงวันที่ 29 มิ.ย.55 ในวันที่ถึงกำหนดรื้อถอน ได้มีกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งขับรถวนเวียนบริเวณใกล้ๆ ชุมชน แต่ไม่มีการรื้อถอนแต่ประการใด
 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พื้นที่ตั้งชุมชนสันติพัฒนาเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของ สปก.จังหวัดสุราษฎร์ธานี และ สปก.ได้ส่งมอบพื้นที่ให้ชุมชนไปแล้วตามหนังสืออ้างถึงสำนักการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ กษ 1204/1977 ลงวันที่ 23 มี.ค.52
 
ทั้งนี้ ชุมชนสันติพัฒนา เกิดจากการรวมตัวของชาวบ้านที่ขาดแคลนที่ดินทำกินในหมู่ 6 และบริเวณใกล้เคียงเพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบการถือครองที่ดินของบริษัทเอกชน หลังจากที่พบว่าบริษัทถือครองที่ดินของรัฐโดยมิชอบหลายประเภท แต่หน่วยงานรัฐยังนิ่งเฉยไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้าน ส่งผลให้ประชาชนเข้าดำเนินการปฏิรูปที่ดินด้วยตนเอง ตั้งแต่ประมาณปลายปี 2550
 
ต่อมา บริษัทสหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) ได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับชาวชุมชนสันติพัฒนา ในกรณีที่ที่ดินรวมเนื้อที่ 1,486 ไร่ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ คดีอาญาในข้อหาบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น จำนวน 2 คดี
และคดีแพ่งในข้อหาละเมิด ขับไล่ เรียกค่าเสียหาย จำนวน 2 คดี รวมค่าเสียหายในส่วนแพ่ง 15 ล้านบาท
 
การฟ้องคดีทั้ง 4 คดี อาศัยเหตุการณ์วันเวลา เนื้อที่พิพาทแปลงเดียวกัน โดยโจทก์คือบริษัทฯ จำเลยคือชาวบ้านในชุมชนสันติพัฒนา จำนวน 12 คน ระหว่างการต่อสู้คดีจำเลยเสียชีวิต 3 คน โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดิน 1,486 ไร่ โดยมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3ก 330 ไร่ ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการออกเอกสารสิทธิ แต่ถูกจำเลยบุกรุกและทำละเมิด
 
จำเลยต่อสู้ว่า ที่ดิน 1,486 ไร่ ที่โจทก์ฟ้องมิใช่ที่ดินโจทก์แต่เป็นที่ดินของรัฐ โดยแบ่งเป็นที่ดินรัฐ 2 ประเภท ประเภทแรกอยู่ในเขต สปก. ประมาณ 276 ไร่เศษ ซึ่งจำเลยตั้งชุมชนอยู่ในส่วนนี้ ประเภทที่สองเป็นที่ดินอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ประมาณ 1,200 ไร่ ซึ่งรวมที่ดิน น.ส.3ก 330 ไร่ ที่โจทก์อ้างว่ามีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งจากการตรวจสอบของหลายหน่วยงานรวมทั้ง DSI พบว่าเอกสารสิทธิออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย
 
ในส่วนที่ดินของ สปก.นั้นมีการตรวจสอบและได้มีการดำเนินคดีอาญากับบริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) ในข้อหาบุกรุกฯ บริษัทฯ จึง ได้ส่งมอบพื้นที่คืนเพื่อให้ทางพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งต่อมามีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องแล้วเนื่องจากทางบริษัทโจทก์ได้มีการส่งมอบพื้นที่คืนให้กับสำนักงานการปฏิรูปที่ดินแล้ว
 
อย่างไรก็ตาม คดีแพ่งดำ 230/2552 แดง 953/2554 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า ให้จำเลยรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดิน 110 ไร่ และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำนวน 1,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนว่าจะชำระเสร็จ และชำระค่าเสียหายเดือนละ 50,000 บาทจนกว่าจะขนย้ายฯ และเป็นเหตุให้มีการบังคับคดีดังกล่าว
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น