โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ไต่สวนการตาย ‘ชาญณรงค์’ ช่างภาพเนชั่น-โพสต์ทูเดย์-TPBS ยันกระสุนมาจากฝั่งทหาร

Posted: 02 Jul 2012 12:57 PM PDT

 

2 ก.ค.55  ห้องพิจารณาคดี 707 ศาลอาญา รัชดา มีการไต่สวนชันสูตรการเสียชีวิต นายชาญณรงค์ พลศรีลา ผู้ร่วมชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ถูกยิงและเสียชีวิตบริเวณหน้าปั้มเชลล์ ถนนราชปรารภ เมื่อบ่ายวันที่ 15 พ.ค.53  โดยมีผู้สื่อข่าวที่อยู่ในที่เกิดเหตุเข้าเบิกความจำนวน 3 ปาก จากเครือเนชั่น, ไทยพีบีเอส และโพสต์ทูเดย์ รวมทั้งประชาชนผู้อยู่ในเหตุการณ์อีก 1 ปาก

ทั้งนี้ การไต่สวนดังกล่าวจะมีขึ้นอีกในวันที่ 9, 16, 23, 30  ก.ค.55

ช่างภาพเนชั่นชี้ ติดป้าย PRESS ชัด
นายไชยวัฒน์ พุ่มพวง (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น เดชภพ) ช่างภาพอาวุโสของสำนักข่าวเนชั่น เดินทางมายังศาลโดยใช้ไม้เท้า เบิกความว่า ตนได้รับมอบหมายให้ไปถ่ายภาพในพื้นที่ในช่วงบ่ายของวันที่ 15 พ.ค.53 บริเวณถนนราชปรารภ ซึ่งมีลวดหนามของทหารเขียนว่า “แนวกระสุนจริง” ขณะที่ผู้ชุมนุมพยายามตั้งบังเกอร์ห่างออกไป ช่วงที่มีการยิงทหารเริ่มเดินรุกคืบบนถนนทั้งสองฝั่ง แต่ตนไม่เห็นทหารบนสะพานลอย มีเสียงปืนดังมาจากแนวทหาร ผู้ชุมนุมไม่มีการตอบโต้ด้วยอาวุธ แต่มีการยิงพลุข่มขู่ ซึ่งไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ตนใส่ปลอกแขนที่มีคำว่า PRESS ชัดเจน แต่ก็ยังโดนยิงเข้าที่โคนขาขวา โดยเชื่อว่ากระสุนมาจากฝั่งทหาร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเดชภพยืนยันว่าไม่มีการประกาศเตือนล่วงหน้าจากทางเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด ขณะที่นายณัฐพงษ์ พรหมเพชร ช่างภาพจากสถานีโทรทัศน์ทีพีบีเอส เบิกความว่าอยู่ในบริเวณดังกล่าวเช่นเดียวกัน และได้ยินเสียงประกาศเตือนแว่วๆ จากทางเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้ามาเพราะเป็นเขตกระสุนจริง ประมาณ 1-2 ครั้ง ส่วนนายพงษ์ไทย วัฒนาวณิชย์วุฒิ ช่างภาพจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ระบุว่า ไม่ได้ยินการประกาศเตือนจากเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด


ช่างภาพไทยพีบีเอส ระบุทหารเตือนก่อน ได้ยินเสียงปืนลูกโม่ตอบโต้

นายณัฐพงษ์ ช่างภาพไทยพีบีเอส เล่าเหตุการณ์ว่าในช่วงบ่ายโมงกว่า กลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้เริ่มขยับจากที่รวมตัวอยู่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง มาประมาณ 100 เมตรแล้วพยายามนำยางรถยนต์มาวาง ขณะที่ทหารน่าจะอยู่ห่างออกไปบริเวณซอยรางน้ำ อย่างไรก็ตาม ไม่เห็นอาวุธกลุ่มผู้ชุมนุมแต่เห็นมีการนำฝากระโปรงหน้าของรถทหารที่ยึดมาได้เอามาทำเป็นเกราะกำบัง จากนั้นไม่นานได้ยินเสียงปืนจากฝั่งทหาร แต่น่าจะเป็นการยิงขึ้นฟ้าจากไม่กี่นัดก็เริ่มมากขึ้นๆ และผู้คนแตกกระจายหาที่กำบัง จากนั้นผู้ชุมนุมมีการตอบโต้ด้วยพลุตะไลจำนวนประมาณ 3 นัดแต่ตอนนั้นตนเข้าใจว่าเป็น M79 ขณะที่ทหารระดมยิงมาเรื่อยๆ นั้น ก็ได้ยินเสียงปืนลูกโม่เป็นระยะๆ แต่ไม่มากนัก มาจากฝั่งผู้ชุมนุมด้วย ขณะที่นายพงษ์ไทย ช่างภาพโพสต์ทูเดย์ เบิกความว่า ไม่เห็นผู้ชุมนุมมีอาวุธ และไม่เห็นการตอบโต้ด้วยอาวุธจากฝั่งผู้ชุมนุม

ช่างภาพไทยพีบีเอส กล่าวต่อว่า ระหว่างที่มีการยิง เห็นผู้ชุมนุมถูกยิง 2 คน คนหนึ่งกระโดนหนีไปได้ อีกคนทราบภายหลังว่าคือนายชาญรณงค์ ผู้ตายในคดีนี้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่เห็นทหารยิงอย่างชัดเจน แต่ทราบว่าวิถีกระสุนมาจากทางทหาร ระหว่างนั้นเห็นนายเดชภพถูกยิงด้วย แต่เข้าไปช่วยไม่ได้ และทหารเป็นผู้เข้ามาช่วยเดชภพเอง รวมทั้งผู้ชุมนุมหรืออาจเป็นชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บด้วย

ทหารยึดเทป ลบบางภาพก่อนคืน
ช่างภาพไทยพีบีเอส ระบุด้วยว่าทหารได้ยึดเทปบันทึกภาพของเขาไป จากนั้นจึงมีการต่อรองกัน โดยเขาแจ้งทหารว่าในเทปมีภาพทหารกำลังช่วยนายเดชภพด้วย หากได้ออกอากาศน่าจะเป็นผลดี ทหารจึงยอมมอบเทปกลับมาแต่ทหารซึ่งแต่งตัวนอกเครื่องแบบคาดว่าเป็นระดับผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้ลบภาพที่มีการหามคนเจ็บหรือคนตายออกไป 1 ภาพ เมื่อได้เทปคืนมาจึงได้นำภาพที่เหลือไปออกอากาศ จำนวน 2 ครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างเบิกความมีการเปิดฉายเทปบันทึกการรายงานข่าวสถานการณ์ดังกล่าวของสถานีไทยพีบีเอสที่นายณัฐพงศ์เก็บภาพไว้ได้ด้วย โดยเห็นผู้ชุมนุมมีการจุดตะไล และมีการระดมยิงเข้ามาบริเวณบังเกอร์ใกล้ปั๊มเชลล์ กระทั่งมีการหามนายเดชภพ ช่างภาพเนชั่นซึ่งถูกยิงที่โคนขาออกมาจากจุดเกิดเหตุโดยทหารและมีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทั้งนี้ ทนายจำเลยได้ซักถามถึงภาพที่ทหารระดมยิงใส่กองยางและมีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บว่ามีการถ่ายไว้ด้วยใช่หรือไม่ นายณัฐพงศ์ ระบุว่า มีการถ่ายไว้ แต่ไม่แน่ใจว่ามีการนำไปออกอากาศหรือไม่ เพราะตนมีหน้าที่เพียงส่งภาพทั้งหมดเข้าไปยังสำนักงานเท่านั้น

โพสต์ทูเดย์ยัน ไม่เห็นการตอบโต้จากผู้ชุมนุม กระสุนมาจากทหารทั้งบน ล่าง
นายพงษ์ไทย ช่างภาพหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ เบิกความว่า การตั้งบังเกอร์บริเวณปั๊มเชลล์ดังกล่าวกระทำโดยกลุ่มมวลชนราว 20-30 คน ไม่มีแกนนำเป็นระบบ แต่ยังไม่ทันได้ตั้งเป็นรูปเป็นร่างก็ได้ยินเสียงปืน 2-3 นัด ซึ่งตนยังจับไม่ได้ว่ามาจากทางไหน จากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนอีกหลายนัด และเริ่มประเมินได้ว่ามาจากฝั่งทหาร แต่ยังไม่เห็นวิถีตก ตนจึงเข้าไปหลบที่ฝั่งตรงข้ามปั๊มเชลล์ เห็นผู้ชุมนุมหมอบอยู่หลังกองยางประมาณ 10 คน จากนั้นกระสุนชุดที่สามก็มา คราวนี้มาอย่างต่อเนื่องและเห็นวิถีกระสุนชัดว่ามาจากทางทหาร มาทั้งข้างล่างข้างบน ตกที่ถนน ข้ามกองยางไป และเห็นว่าโดนคนหลังกองยางด้วยเพราะเห็นเลือด แต่ไม่รู้ว่าโดนกี่คน ส่วนนายเดชภพซึ่งหลบอยู่ใกล้ๆ ก็โดนยิงด้วยในช่วงนี้ และมีการตะโกนบอกว่าถูกยิง เขาจึงชะโงกหน้าไปดู จากนั้นวางกล้องจะไปช่วย จังหวัดที่ชะโงกคลานไปครึ่งตัว เหมือนมีแรงลมผ่านใกล้หัวมากจึงต้องหลบเข้าที่เดิม และบอกให้นายเดชภพนั่งนิ่งๆ เพราะกลัวโดนยิงซ้ำหากขยับ ทั้งคู่นั่งอยู่นานประมาณ 20  นาทีจึงเห็นทหารกระชับพื้นที่เข้ามาเรื่อยๆ มีอาวุธปืนคาดว่าเป็น M16 ค่อย ๆ ย่องเข้ามาในลักษณะกระชับปืนคอยเล็งตลอด กระทั่งพบผู้สื่อข่าวและมีการช่วยเหลือออกไปจากพื้นที่

ประชาชนในภาพข่าวเพิ่งกล้าเป็นพยาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกเหนือจากช่างภาพที่อยู่ในเหตุการณ์ แล้วยังมีประชาชนที่หลบอยู่หลังบังเกอร์อีกคนหนึ่งเข้าเบิกความ คือ นายสรศักดิ์ ดิษปรีชา อาชีพรับจ้างขับรถให้ชาวต่างชาติ โดยเขาอยู่ร่วมเหตุการณ์และปรากฏในภาพข่าวหลายภาพ โดยร่วมสังเกตการณ์ตั้งแต่ยังไม่เริ่มตั้งกองยาง กระทั่งหลบหนีจากดงกระสุนมาได้รวมทั้งเห็นนายชาญณรงค์ถูกยิงที่ท้อง เขาระบุด้วยว่า ภายหลังเหตุการณ์ได้รับทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ แต่ไม่กล้าออกมาเป็นพยาน เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยในชีวิต กระทั่งพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจึงกล้าออกมาเป็นพยาน และมีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ทหารข้อหาพยายามฆ่าไว้แล้วด้วย

สรศักดิ์ ระบุว่า ผู้ชุมนุมด่านหน้าที่นำยางไปตั้งเป็นบังเกอร์พยายามเขยิบเข้าใกล้ทหารเรื่อยๆ เพราะต้องการถนนราชปรารภคืน เพื่อให้ประชาชนจำนวนมากที่รออยู่ที่สามเหลี่ยมดินแดงเดินทางเข้าสู่ราชประสงค์เพื่อร่วมชุมนุมกับ นปช.ได้ โดยการตั้งบังเกอร์รอบแรก ห่างจากแนวทหารประมาณ 300 เมตรและยังไม่โดนยิง บรรยากาศยังคงเป็นไปอย่างเฮฮา แต่เมื่อเขยิบไปถึงหน้าปั้มเชลล์ ซึ่งห่างจากจุดแรกประมาณ 100 เมตร ก็เห็นทหารยืนประจำการอยู่เต็มสะพานลอยไกลๆ จากนั้นเมื่อลงมือวางกองยางเพียงไม่ถึง 5 นาทีก็ถูกระดมยิง โดยไม่ได้ยินการแจ้งเตือนใดๆ  การยิงชุดแรกนั้นไม่เห็นว่ากระสุนลงที่ไหน แต่ยิงชุดที่สองกระสุนมาจากมุมสูงลงหลังกองยาง ตกกระทบพื้นถนน

สรศักดิ์ ระบุว่า ระหว่างที่เขาหลบขดตัวหลังกองยาง ขณะนั้นนายชาญณรงค์หมอบอยู่ห่างจากกองยางออกไป และพยายามคลานเข้ามาใกล้พร้อมบอกว่า “ผมโดนแล้วๆ” และเปิดเสื้อให้ดู เห็นเลือดทะลักออกมาจากบาดแผลจำนวนมาก จากนั้นเขาพยายามวิ่งเข้าปั้มซึ่งมีช่องที่ไม่มีกองยางกำบังอยู่ช่วงหนึ่งท่ามกลางกระสุนที่ยังมาไม่ขาด เมื่อเข้าไปได้ก็มีคนตะโกนบอกว่าอย่าไปอยู่ปั๊มเพราะลูกปืนจะโดนหัวจ่ายระเบิด เขาจึงวิ่งอ้อมมาหลบข้างรถเก๋งที่จอดอยู่ข้างปั๊ม ก่อนพยายามหลบออกมาจากพื้นที่ดังกล่าวเพื่อกลับไปหามอเตอร์ไซด์ที่จอดอยู่ไม่ไกล

สรศักดิ์ กล่าวว่า ผู้ชุมนุมไม่มีใครมีอาวุธ ยกเว้นนายชาญณรงค์ที่มีหนังสติ๊ก อย่างไรก็ตาม หลังจากทหารเริ่มยิง มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งนำตะไลออกมาเตรียมจุ แต่เขาได้เตือนว่าอย่าจุดเพราะจะยิ่งเป็นการยั่วยุ พร้อมยืนยันว่าเด็กหนุ่มไม่มีการจุดตะไลหลังกองยาง

ช่างภาพเนชั่น อุทธรณ์ 'ธงทอง' พิจารณาค่าชดเชยใหม่
ภายหลังเบิกความ นายเดชภพ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยังคงทำงานอยู่ที่เนชั่นเช่นเดิม และทางบริษัทได้ออกค่ารักษาพยาบาลให้อย่างเต็มที่นับล้านบาท เพราะมีการผ่าตัดหลายครั้ง  อย่างไรก็ตาม เมื่อครม.มีมติให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม ตนถูกจัดสรรไปอยู่ในส่วนของผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งจะได้เงินเยียวยาราว 1.1 ล้าน ซึ่งตนได้เข้ายื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อนายธงทอง จันทรางศุ ผู้ดูแลเรื่องการเยียวยาแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนโดยระบุว่าหลักเกณฑ์ในการจำแนกหยาบเกินไป เพราะจนถึงปัจจุบันตนยังเดินไม่สะดวก ทำงานไม่ได้ดังเดิม เพราะขาข้างที่โดนยิงสั้นลงประมาณ 2 นิ้ว ต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันตลอดและยังไม่หายเป็นปกติ จึงไม่น่าจะเข้าข่ายบาดเจ็บสาหัส แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ถึงกับทุพลภาพซึ่งจะได้รับเงินเยียวยาราว 4 กว่าล้านบาท เรียกว่าอยู่ระหว่างกึ่งกลาง ซึ่งนายธงทองได้รับเรื่องไว้และรับปากจะดำเนินการพิจารณาให้ภายในสัปดาห์หน้า

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สรุปสถิติการแข่งขันยูโร 2012

Posted: 02 Jul 2012 11:02 AM PDT

สรุปสถิติตัวเลขในการแข่งขันยูโร 2012 ทั้งผู้เล่นและทีมต่างๆ ที่เข้าร่วมการแข่งขัน

จำนวนผู้ชมที่เข้าไปชมการแข่งขันในสนาม

จำนวนผู้ชมที่เข้าไปชมการแข่งขันในสนามรวมทั้งหมด 1,440,896 คน

จำนวนผู้ชมที่เข้าไปชมการแข่งขันในสนามเฉลี่ยต่อนัด 46,479 คน

แมตซ์ที่มีผู้ชมที่เข้าไปชมการแข่งขันในสนามมากที่สุด คือ อังกฤษพบสวีเดน 64,640 คน

แมตซ์ที่มีผู้ชมที่เข้าไปชมการแข่งขันในสนามน้อยที่สุด คือ เดนมาร์กพบโปรตุเกส 31,840 คน

สถิติการทำประตู

ในการแข่งขันครั้งนี้มีการทำประตูไปทั้งสิ้น 76 ประตู (เฉลี่ย 2.45 ประตูต่อหนึ่งนัด) มีผู้เล่นที่ทำได้ 3 ประตู 6 คน ผู้เล่นที่ทำได้ 2 ประตู 10 คน ผู้เล่นที่ทำได้ 1 ประตู 37 คน และผู้เล่นที่ทำเข้าประตูตัวเอง 1 ลูก 1 คน

ที่มาภาพ: http://www.uefa.com/uefaeuro/season=2012/statistics/index.html

สถิติการผ่านบอลให้เพื่อนทำประตู

ในการแข่งขันครั้งนี้มีการผ่านบอลให้เพื่อนทำประตูทั้งสิน 60 ครั้ง ผู้เล่นที่ผ่านบอลให้เพื่อนได้ประตู 3 ครั้ง มี 4 คน ผู้เล่นที่ผ่านบอลให้เพื่อนได้ประตู 2 ครั้ง มี 7 คน และผู้เล่นที่ผ่านบอลให้เพื่อนได้ประตู 1 ครั้ง มี 36 คน

ที่มาภาพ: http://www.uefa.com/uefaeuro/season=2012/statistics/index.html

ใบเหลือง-ใบแดง

ในการแข่งขันครั้งนี้มีใบเหลืองรวม 123 ใบ (เฉลี่ย 3.97 ใบต่อหนึ่งนัด)

ในการแข่งขันครั้งนี้มีใบแดงรวม 3 ใบ (เฉลี่ย 0.097 ใบต่อหนึ่งนัด)

ที่มาภาพ: http://www.uefa.com/uefaeuro/season=2012/statistics/index.html

สถิติอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ที่มาภาพ: http://www.uefa.com/uefaeuro/season=2012/statistics/index.html

ที่มารวบรวมจาก:

http://en.wikipedia.org/wiki/UEFA_Euro_2012_statistics (เข้าดูเมื่อวันที่ 2-7-2012)
http://www.uefa.com/uefaeuro/season=2012/statistics/index.html (เข้าดูเมื่อ 2-7-2012)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แรงงานข้ามชาติถูกบังคับให้อยู่เฉพาะพื้นที่ชายแดนแม้มีวีซ่า

Posted: 02 Jul 2012 09:59 AM PDT

 

มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ (MAP Foundation for the Health and Knowledge of Ethnic Labour) ออกแถลงการณ์เรื่อง "แรงงานข้ามชาติถูกบังคับให้อยู่เฉพาะพื้นที่ชายแดน" ระบุ นายจ้างในจังหวัดชายแดนกล่อมเจ้าหน้าที่ให้คุมเข้ม และจำกัดการเดินทางของแรงงานข้ามชาติ แม้ว่าแรงงานข้ามชาติที่ถือหนังสือเดินทางชั่วคราว มี VISA ซึ่งควรจะเดินทางได้ทั่วประเทศไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้

0 0 0

 

แรงงานข้ามชาติถูกบังคับให้อยู่เฉพาะพื้นที่ชายแดน

นายจ้างในจังหวัดตากสามารถกล่อมเจ้าหน้าที่ให้คุมเข้มและจำกัดการเดินทางของแรงงานข้ามชาติจดทะเบียนที่ทำงานใน 5 อำเภอชายแดน ถึงแม้ว่าแรงงานข้ามชาติที่ถือหนังสือเดินทางชั่วคราว มี VISA ซึ่งควรจะเดินทางได้ทั่วประเทศไทยแต่กลับประสบกับการถูกจำกัดการเดินทางส่งผลให้ไม่สามารถออกนอกพื้นที่แม่สอดได้

จากสำเนาบันทึกข้อความของสำนักงานจัดหางานจังหวัดตาก วันที่ 5 มิถุนายน 2555 เรื่อง “แนวทางปฏิบัติตรวจสอบเอกสารประกอบการเดินทางออกนอกเขตของแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง “ซึ่งระบุว่า “สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตากได้เสนอถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เพราะว่ามีการหลบหนีของแรงงานต่างด้าวเพื่อไปทำงานในจังหวัดชั้นในและปริมณฑลเป็นจำนวนมาก “แต่สิ่งที่บันทึกข้อความของสำนักงานจัดหางานและสภาอุตสาหกรรมไม่ได้พูดถึงนั่นคือสภาพการทำงานและค่าจ้างในพื้นที่แม่สอดที่แย่มากจนทำให้แรงงานข้ามชาติต้องดิ้นรนไปหางานที่มีสภาพที่ดีกว่าในพื้นที่ชั้นใน

แรงงานในพื้นที่แม่สอดได้ร้องเรียนเกี่ยวกับการที่พวกตนต้องถูกจัดให้เป็นคิวสุดท้ายที่จะได้รับเอกสารจากการพิสูจน์สัญชาติและบัตรอนุญาตทำงาน ในขณะที่แรงงานที่ทำงานในพื้นที่อื่นๆของประเทศไทยได้รับเอกสารเหล่านั้นก่อนแรงงานที่อยู่ในพื้นที่แม่สอด ซึ่งขณะนี้แรงงานในแม่สอดได้รับเอกสารเหล่านั้นแล้ว  แต่กลับถูกปฏิบัติแตกต่างจากแรงงานที่จดทะเบียนในพื้นที่อื่นๆของประเทศไทย พวกเขาและเธอยังคงถูกจำกัดการเดินทางซึ่งขัดกับกฎหมายและระเบียบระดับชาติที่กำหนดให้แรงงานที่ถือหนังสือเดินทางชั่วคราวสามารถเดินทางได้อย่างเสรี    ซึ่งในขณะนี้แรงงานยังได้รายงานอีกว่าพวกเขาถูกเรียกให้หยุดและต้องเดินทางกลับไปแม่สอดในขณะที่พยายามจะเดินทางผ่านด่านห้วยหินฝน ทั้งที่แรงงานเหล่านี้ถือหนังสือเดินทางชั่วคราว ซึ่งมีวีซ่าและบัตรอนุญาตทำงานที่ถูกกฎหมาย ส่วนแรงงานคนอื่นๆ บางคนถูกเรียกเก็บเงินเพื่อที่จะให้ปล่อยผ่านด่านไปได้  การจำกัดการเดินทางเช่นนี้มิได้แค่เป็นการขัดต่อนโยบายระดับชาติเท่านั้น แต่หากยังเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการทุจริตและการพึ่งพานายหน้า

เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ณ จุดตรวจด่านห้วยหินฝน ได้รับคำสั่งให้อนุญาตเพียงแต่ผู้ที่ถือหนังสือเดินทางชั่วคราวที่จะเดินทางได้แต่ต้องมีเอกสารที่จำเป็นในการเปลี่ยนนายจ้าง ด้วยเหตุนี้ทำให้แรงงานที่ถือบัตรหนังสือเดินทางชั่วคราวถูกลดสถานะให้เท่ากับแรงงานที่ถือบัตรอนุญาตทำงานที่หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายอีกครั้ง แรงงานที่ถือหนังสือเดินทางชั่วคราวได้ลงทุนทั้งแรง เวลา และเงินในการเข้าสู่กระบวนการหลายขั้นหลายตอนเพื่อที่จะเปลี่ยนสถานภาพให้ถูกกฎหมาย ถือหนังสือเดินทางชั่วคราว   มีวีซ่าที่ถูกต้องและบัตรอนุญาตทำงานที่ถูกกฎหมาย  แน่นอนว่าการเกิดกรณีเช่นนี้แรงงานต้องถามตัวเองว่า ทำไม จะทำการเปลี่ยนสถานะภาพให้เสียเวลาทำไม   จะต้องให้แสดงอะไรให้เห็นอีกว่าพวกเขาเห็นความสำคัญของการทำให้สถานะถูกกฎหมาย แรงงานข้ามชาติยังคงได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย พวกเขาและเธอยังคงทำงานในสภาวะที่ต่ำกว่ามาตรฐานแรงงาน ยังคงไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางได้โดยเสรี ยังคงถูกเรียกว่า “แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง “ทั้งที่ดำเนินการปรับสถานะทางกฎหมายแล้ว ยังคงถูกกล่าวโทษว่าก่อให้เกิดปัญหาชายแดน แทนที่จะได้รับชื่อเสียงว่าเป็นผู้พัฒนาด้านเศรษฐกิจพื้นที่ชายแดนที่เคยไกลปืนเที่ยงอย่างแม่สอด จนกลายเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ

เราขอเรียกร้องให้รัฐยกเลิกการจำกัดเสรีภาพในการเดินทางดังกล่าวของแรงงานที่ถือหนังสือเดินทางโดยชั่วคราวโดยทันที

เราขอย้ำอีกครั้งว่าสาเหตุที่แท้จริงของการขาดแคลนแรงงานในแม่สอด นั้นคือสภาพการทำงานที่ย่ำแย่ซะจนน่าตกใจ  แต่การแก้ปัญหานั้นง่ายยิ่งนัก แทนที่สภาอุตสาหกรรมและสำนักงานจัดหางานจะจัดทำข้อเสนอให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องหน่วยงานต่างๆกระทำการที่เกินอำนาจที่ได้รับมอบหมาย ทั้งสภาอุตสาหกรรมและสำนักงานจัดหางานควรที่จะกำกับดูแลให้นายจ้างทุกสถานประกอบการในห้าอำเภอของจังหวัดตากยุติการกระทำการที่ละเมิดกฎหมายแรงงานและปฏิบัติตามกฎหมาย จ่ายค่าจ้างอย่างน้อยขั้นต่ำตามกฎหมาย ปรับปรุงสภาพการทำงานและความปลอดภัยและอย่างน้อยควรที่จะแสดงถึงการเคารพสิทธิของแรงงานผู้ซึ่งต้องทำงานอย่างตรากตรำเพื่อทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้มีสุขสบายมานานหลายปี
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยุทธศาสตร์ของไทยตกขบวนรถด่วนสายบูรพา?

Posted: 02 Jul 2012 07:18 AM PDT

          สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ ม.รังสิต ร่วมกับแผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.)  และ สสส. จัดเวทีภาคีระดมปัญญา(Think Tank) โดยดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการจัดภาคีระดมปัญญาว่า ถึงเวลาแล้วที่คนไทยต้องเลิกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ผสานพลังสมองที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างยุทธศาสตร์ของชาติภายใต้โลกที่กำลังเปิดกว้างมากขึ้น ไทยกำลังบวกกับอาเซียน บวกกับจีน และจะบวกเข้ากับโลกทั้งหมด หากไทยมียุทธศาสตร์ที่ดีในด้านต่างๆ อาทิ การค้าการลงทุน เศรษฐกิจ การศึกษา คมนาคม พลังงาน ก็เชื่อได้ว่า สังคมไทยมีความหวังที่จะฝ่าวิกฤติของชาติ รับมือต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เป็นไปอย่างรวดเร็วได้อย่างแน่นอน

          ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ในฐานะประธานสถาบันคลังปัญญาฯ ระบุว่า การจัดเวทีดังกล่าวเพื่อกระตุ้นให้สังคมเกิดการเรียนรู้เรื่อง “อนาคต” ที่จำเป็นสำหรับการอยู่รอดและเติบโตในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเพื่อให้ไทยทราบ positioning ของตนท่ามกลางกระแสบูรพาภิวัตน์ จึงได้จัดเวทีระดมสมองในหัวข้อ จีนและอาเซียนในยุคบูรพาภิวัตน์ ขึ้นมา โดยตั้งคำถามว่า ในขณะที่ไทยยืนอยู่ในบริบทของโลกสองวง กล่าวคือ วงใหญ่ คือประเทศไทยที่อยู่ในโลกที่เป็นบูรพาภิวัตน์มากขึ้น และวงเล็กก็คือประเทศไทยในฐานะสมาชิกอาเซียนเราจะต้องมียุทธศาสตร์อะไรบ้าง?

          การที่จะก้าวสู่ประชาคมอาเซียนหน่วยงานราชการ คณะรัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. จะต้องร่วมกันจัดเวทีระดมสมองเพื่อสร้างข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่นประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ที่ภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา พากันครุ่นคิดและพยายามจัดทำยุทธศาสตร์ชาติในอีก 5 ปีข้างหน้าว่าประเทศจะไปในทิศทางใด แม้แต่มหาอำนาจอย่างจีนก็ทำงานหนักในเรื่องนี้ เพราะกำลังเผชิญปัจจัยท้าทายหลายอย่าง ที่ทำให้กำหนดนโยบายมีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น ความไม่แน่นอนเรื่องการสืบทอดอำนาจในหมู่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ จากกรณีจับกุมสมาชิกพรรคที่พัวพันข้อกล่าวหาทุจริต และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวเพราะกำไรจากการส่งออกลดลง การขยายอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังต่ำรวมทั้งบทบาทของสหรัฐฯในภูมิภาคอาเซียนที่เพิ่มขึ้น จีนจึงอดหวั่นเกรงไม่ได้ว่าปัจจัยทั้งหมดนี้อาจส่งผลสะท้อนไปยังภายนอก แน่นอนว่าย่อมไม่พ้นกลุ่มอาเซียนของเรา

          สำหรับประเทศไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าภายใต้กระแสความร่วมมือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) นั้น ถือว่าไม่ลำบากมากนัก เพราะไทยมีเงื่อนไขที่ดีหลายอย่าง อาทิ ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ในแง่ที่เป็นประเทศเชื่อมโยงระหว่างจีนกับเพื่อนบ้านอาเซียนส่งผลให้การเปิดเสรีแรงงานนั้นไทยจะได้รับผลในด้านบวกเพราะผู้เชียวชาญในวิชาชีพต่างๆที่ได้มีการทำข้อตกลงไว้ รวมทั้งนักศึกษาจากชาติอาเซียนเข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มขึ้น  ส่วนจีนในฐานะพี่ใหญ่ก็ยังคงสนับสนุนบทบาทอาเซียนและผลักดันความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น  สิ่งที่ไทยควรทำคือทำเรื่องใหญ่ๆ ที่สำคัญให้ถูกต้องเข้าไว้ คือ สนับสนุนให้จีนเข้ามามีบทบาทนำในอาเซียนด้านการค้าการลงทุนแต่เรื่องความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงนั้น ไทยต้องรักษาดุลที่เหมาะสมระหว่างจีนและสหรัฐ ไม่แนบชิดมหาอำนาจฝั่งใดมากเกินไป

          ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ของโลกที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบประชาคมเศรษฐกิจ หรือเขตการค้าเสรีนั้นเกิดจากแนวคิดที่ว่าความร่วมมือเป็นเรื่องของ “โอกาส” ทั้งนั้น เพราะช่วยสร้างการเติบโตและเสริมศักยภาพภาคเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ  แต่ทว่าภายใต้โอกาสที่น่าจะเกิดขึ้นนี้ ภาครัฐและผู้เกี่ยวข้องในประเทศไทยได้ให้ความรู้ความเข้าใจต่อประชาชนทุกระดับพอหรือยัง ทั้งนี้เพราะถือว่าคนไทยทุกคนเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder)อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะอยู่ในฐานะผู้ประกอบการขนาดใหญ่/SME  ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือแรงงานมีฝีมือ จำเป็นต้องได้ข้อมูลที่เพียงพอว่า อะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเขา?

          โดยปัจจุบันคนไทยยังมองและเข้าใจเรื่องบูรพาภิวัตน์และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในภาพกว้างเท่านั้น แต่ยังขาดการโฟกัสในรายละเอียดเชิงปฏิบัติอีกมาก เช่น การปรับปรุงกฎหมายภายในให้สอดคล้องกับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจ การปฏิบัติงานของภาครัฐ รวมทั้งการกำหนดแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงลึกในเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนและควบคุมให้มีการปฏิบัติตามด้วย เพื่อไม่ให้อาเซียนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งเหมือนในปี 1997

          นอกจากนี้สิ่งที่ต้องพึงระวัง คือ นโยบายเกษตรกรรมแผนใหม่ของจีน ซึ่งถูกกำหนดเป็นเรื่องเร่งด่วนของทุกมณฑล กล่าวคือ ต้องมีพื้นที่ทางการเกษตรเพิ่มขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบท โดยเปิดให้ภาคเอกชนทั้งในและนอกประเทศร่วมลงทุน รัฐบาลจีนมองว่าภาคเอกชนนี้แท้จริงก็คือพลังการผลิต (Productive Force) ที่เชื่อมเข้ากับเกษตรกรและรัฐบาล ปัจจุบันมีภาคเอกชนของไทยเข้าไปร่วมลงทุนและได้ผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ ภายใต้ฐานผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่และยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

          ส่วนยุทธศาสตร์ของไทยต่อกลุ่มประเทศอาเซียนที่อยู่รอบๆเรานั้น ไม่ว่าจะไทย – ลาว, ไทย – กัมพูชา, ไทย – พม่า, ไทย – มาเลเซีย แม้ไทยจะไม่ได้มีอาณาเขตติดต่อกับทุกประเทศในอาเซียน แต่ก็ใช้ประเทศที่ติดกับชายแดนเรา ขยายการเชื่อมโยงการค้าการลงทุนออกไปอีกได้ ดังนั้น ประเทศไทยควรจัดทำแผนพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพจังหวัดชายแดนให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่มีรูปแบบสอดคล้องกับการเติบโตของเมืองนั้นๆ รวมทั้งชักชวนจังหวัดหัวเมืองในภูมิภาคต่างๆ เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงให้กับเมืองชายแดนด้วย อาทิ ขอนแก่นอาจเป็นพี่เลี้ยงให้กับมุกดาหาร หนองคาย เป็นต้น

          การเชื่อมไทยเข้ากับอาเซียนไม่จำเป็นต้องเริ่มทำจากกรุงเทพฯ เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเชื่อมเมืองชายแดนให้เข้ากับอาเซียนด้วย กรุงเทพฯ ก็จะไม่เกิดอาการโตเดี่ยว แต่เป็นการเติบโตที่เป็นไปได้ในหลายๆเมือง ซึ่งจะช่วยทำให้จังหวัดใหญ่ๆ ได้เป็น Hub เชื่อมออกไปยังเพื่อนบ้านอาทิ ผลักดันให้เชียงใหม่เป็น Regional Hub ต่อเข้ากับจีน พม่า ลาวเป็นต้น

          โดยต้องก้าวข้ามกับดักความคิดเรื่องเขตแดน (Border) ที่สร้างอคติและเป็นกำแพงทางความคิดที่ทำให้เราไม่อยากร่วมมือกับเพื่อนบ้าน ขอให้มองว่าความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านนั้นก็คือสินทรัพย์ (Asset) อันสำคัญยิ่งที่จะต้องรักษาไว้  ขณะนี้ยุทธศาสตร์ของจีนต่ออาเซียนที่เราต้องเกาะติดก็คือ จีนกำลังจะใช้เมืองหนานหนิงเป็นประตูสำคัญต่อสายตรงเข้ากับอาเซียน ทำให้เกิดความร่วมมือในด้านต่างๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ทั้งนี้ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ไทยควรเร่งทำก็ได้แก่ ยุทธศาสตร์ด้านพลังงานเพื่อรองรับการใช้พลังงานที่ขยายตัวขึ้น ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงทางอาหารที่เรามีข้อได้เปรียบอยู่มาก  

          สุดท้ายหากความร่วมมือระหว่างอาเซียนและจีนเป็นไปอย่างแน่นแฟ้นแล้ว  อาจพัฒนาไปสู่การร่วมกันจัดทำสถาปัตยกรรมทางการเงิน(Financial Architect) เพื่อร่วมกันสร้างกลไกป้องกันปัญหาเศรษฐกิจที่ภูมิภาคนี้อาจเผชิญในอนาคต

          ส่วนปัญหาที่ควรระวังสำหรับประเทศไทย คือ ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังไม่เจอทางออก ซึ่งหน่วยงานภาครัฐที่สร้างยุทธศาสตร์ไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของประเทศ  ขณะเดียวกันภาคธุรกิจและประชาชนก็มีคำถาม และมีความวิตกกังวลถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังก้าวเข้ามา ทั้งนี้คิดว่าไทยมีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่งที่จะต้องช่วยกันหาทางออกให้กับปัญหาเหล่านี้ เชื่อว่ากลไกภาครัฐและสถาบันการศึกษา นักวิชาการ มีความตั้งใจดีที่จะร่วมกันจัดทำยุทธศาสตร์ชาติอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นอาจตกขบวนรถด่วนสายบูรพาภิวัตน์ ทำให้ไทยไม่ได้ประโยชน์จากโอกาสที่กำลังจะก้าวมาถึง

          ศ.ดร.เอนกได้กล่าวอีกครั้งเกี่ยวกับ AEC และกระแสบูรพาภิวัตน์คือคนไทยมองสิ่งเหล่านี้ด้วยความกลัว แต่ความกลัวเหล่านี้หายไปได้หากชักชวนภาคส่วนต่างๆ ในสังคมมาช่วยคิด ช่วยออกแบบหน้าตาของ AEC ควรจะเป็นอย่างไร ไม่ปล่อยให้เป็นบทบาทของหน่วยงานราชการเพียงฝ่ายเดียว เพราะเมื่อรู้ว่ามีข้อตกลงอะไรเกิดขึ้นบางครั้งก็สายเสียแล้วภายใต้โลกวงใหญ่ โลกของบูรพาภิวัตน์ ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเน้นความสำคัญหรือจำกัดตนเองแต่เพียง AEC มากเกินไปไทยยังมีศักยภาพอีกมากที่จะขยายความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนไปยังภูมิภาคเกิดใหม่ได้อีกมาก อาทิ ภูมิภาคเอเชียกลาง ตะวันออกกลาง แอฟริกา ส่วนบทบาทไทยในโลกวงเล็ก ต้องกระชับพื้นที่เวทีอาเซียนให้เป็นประโยชน์กับไทยนอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจ เช่น ใช้บทบาทของอาเซียนไว้ต่อรองกับสองมหาอำนาจในเวทีระดับโลก

          ทางสถาบันคลังปัญญาฯ และ นสธ. จะจัดเวทีภาคีระดมปัญญาครั้งต่อไป เพื่อเจาะลึกถึงประเทศเพื่อนบ้านๆ รายรอบเราว่า พวกเขาเตรียมพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียนหรือยัง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมของลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม ที่พลิกโฉมหน้าใหม่ จนเราอาจต้องเปลี่ยนความคิด จินตนาการถึงเพื่อนบ้านอีกครั้ง

          หมายเหตุ : การเสวนาครั้งนี้มีผู้เข้าร่วม เช่น ดร.สารสิน วีระผลรองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ม.ล.สุภสิทธิ์ ชุมพล กูรูด้านการเงินอีกท่านหนึ่งของประเทศ คุณพิรุณ ฉัตรวนิชกุล นักวิชาการอิสระ  ศ.ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทยอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคุณภูมิธรรม เวชยชัย

          

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คำปราศรัย "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ที่ระยองเสนอให้ประชาธิปัตย์ต่อสู้ 2 แนวทาง

Posted: 02 Jul 2012 06:49 AM PDT

สุเทพ เทือกสุบรรณ เชื่อปัจจุบันมีคนต้องการเขียนกฎหมายให้การปกครองประเทศเป็นไปตามที่พวกตนต้องการ มีกลุ่ม "ลัทธิแดงก่อการร้าย" ใช้ความรุนแรงมุ่งล้มล้างรัฐบาลและสถาบันการเมือง เทียบชั้น "กองทัพแดง" ในญี่ปุ่นและเยอรมัน ซึ่งถูกดำเนินการทางกฎหมายไปแล้ว เชื่อถ้าคนกลุ่มนี้ชนะบ้านเมืองจะเสียหายย่อยยับเหมือนคิวบา เกาหลีเหนือ และเขมรแดง ดังนั้นประชาธิปัตย์จะสู้แต่ในสภาอย่างเดียวไม่ไหว ต้องสู้ทั้งในและนอกสภา 

เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ปราศรัยบนเวที “เดินหน้า ผ่าความจริง หยุดล้มรัฐธรรมนูญ – ออกฎหมายล้างผิดคนโกง” ที่สวนศรีเมือง อ.เมือง จ.ระยอง โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเดินสายปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ โดยหลังทักทายผู้สนับสนุน นายสุเทพ เริ่มปราศรัย โดยตอนหนึ่งนายสุเทพกล่าวว่า ไม่ได้ตั้งเวทีมาเพื่อล้มล้างรัฐบาล ไม่ได้ตั้งเวทีมาเพื่อต่อต้านรัฐบาลของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ทำแบบเดียวกับที่คนเสื้อแดงทำกับนายกฯ อภิสิทธิ์ เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ที่เรามาตั้งเวทีประชาชนทุกวันเสาร์ต่อไปนี้ ก็เพราะว่า บ้านเมืองมันมีวิกฤติครับ กำลังจะเกิดเหตุเภทภัยกับบ้านเมือง พวกผมถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องออกไปตั้งเวที บอกเล่าความจริง สถานการณ์จริง เรื่องที่เกิดขึ้นจริงในบ้านเมือง ให้พี่น้องประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศไทยทุกท่านได้ตระหนัก ได้ช่วยกันคิด ได้ช่วยกันหาวิธีการที่จะยับยั้งไม่ให้ความหายนะเกิดขึ้นกับแผ่นดินของเรา นี่คือวัตถุประสงค์ และต้องเรียนย้ำอย่างนี้นี่ครับ เพราะว่า ขนาดคุณรังสิมา (รอดรัศมี) ไปดึงเก้าอี้ท่านประธานออก มันยังตั้งข้อหาว่าเป็นกบฎเก้าอี้เลยครับ สำหรับผมนั่น นี่ที่มาวันนี้นี่เขาก็บันทึกเทปไว้หมดละครับ เพราะผมเป็นคนประกาศเป็นคนแรกว่าต่อไปนี้ เราจะต่อสู้ทั้งในสภา และนอกสภา ไม่ยอมอีกแล้ว ไม่ยอมให้บ้านเมืองเสียหายย่อยยับไปมากกว่านี้อีกแล้ว ไอ้ที่ผมประกาศว่าจะต้องต่อสู้ทั้งในสภา และนอกสภาเนี่ยครับ เขาเลยตั้งข้อหากบฎเอาไว้รอผมแล้ว ไว้เมื่อถึงคราวจริง ๆ ผมจะเชิญพี่น้องชาวระยองช่วยไปเป็นพยานให้ด้วยก็แล้วกัน

 

เผยอภิสิทธิ์เห็นบ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบสุขแล้วจึงจัดการเลือกตั้ง

คดีความที่เขาจะเล่นงานผมคงไม่ใช่มีเฉพาะเรื่องนี้ เพราะว่าตอนนี้ จะเป็นคนใกล้ชิด จะเป็นลูก เป็นเมีย เขาหาเรื่องหมดแหละครับ เขากำลังใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม แต่ว่าพวกผมไม่กลัวหรอกครับ ถ้ากลัวก็ไม่มาตั้งเวทีอย่างนี้ มันเหมือนคนอยู่ในป่าช้าครับ ไม่ต้องกลัวผีแล้ว ที่ต้องพูดอย่างนี้เพราะอะไรครับ เพราะปี 2551, 2552, 2553 เขาทำกับเรามามากแล้ว เกือบตายไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ตั้งแต่วันแรกเลยครับ พอผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่ในสภายกมือให้คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ เท่านั้นแหละครับ เสื้อแดงล้อมสภาเลย กว่าจะออกมาได้ก็เกือบตาย ถูกขว้างด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน เอาน้ำกรดสาด เอาระเบิดเพลิงขว้าง พอนายกฯ อภิสิทธิ์จะไปแถลงนโยบายต่อสภา ปิดล้อม ไม่ให้เข้าไปแถลงนโยบาย จะไปทำงานที่ทำเนียบ ล้อมทำเนียบไว้ไม่ให้เข้า ย้ายที่ไปประชุม ครม. ที่กระทรวงสาธารณสุข ตามเอา M79 ไปยิงใส่ ทำมาสารพัดครับ ไปพัทยาบ้านท่านนี่ก็ตามมาถึงนี่ ท่านอภิสิทธิ์นี่ถูกทุบรถตั้งแต่พัทยาแล้ว พอไปถึงกรุงเทพฯ วันนั้นจะไปประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อที่จะรักษาบ้านเมืองให้คืนกลับสู่ความสงบ นั่งรถไปกันกับผม 2 คน มันรุมทุกรถ ทุบกระจก พยายามที่จะลากเรา 2 คนออกไปทำร้าย โชคดีครับ ในฐานะรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง วันนั้นก็ขอร้องท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ว่า พ่อทูนหัว วันนี้นั่งรถกันกระสุนซักวันเถอะ

ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ บอก ถ้างั้นพี่ต้องนั่งเป็นเพื่อนผม ผมเลยรอดไปด้วยวันนั้น มิเช่นนั้นเรียบร้อยไปแล้ว ทั้งอภิสิทธิ์ ทั้งสุเทพ เปลี่ยนนายกฯ ไปตั้งแต่ปี 2552 แล้ว พอมาปี 2553 หนักกว่านั่นอีกครับ ทีนี้เอาอาวุธสงคราม นานาชนิดเลย มายิงประชาชนผู้บริสุทธิ์ มายิงตำรวจ มายิงทหาร ฆ่าเจ้าหน้าที่ ฆ่าประชาชนตายเยอะแยะกลางถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 แล้วเดือนเศษ ๆ ตั้งแต่นั้นมา ก่อเหตุทุกวัน ตายกันทุกวัน พี่น้องที่เคารพครับ เจอมาหมดแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้เหมือนอยู่ในป่าช้า ไม่กลัวผีอีกแล้ว ไอ้ผีจตุพร ไอ้ผีณัฐวุฒิ หลอกผมไม่ได้อีกแล้ว เจอมามากแล้ว

พี่น้องที่เคารพครับ เรื่องนี้มันผ่านมาแล้ว เราก็คาดว่ามันควรจะยุติลงได้แล้ว เมื่อพวกผมได้คลี่คลายสถานการณ์ในบ้านเมือง จนกระทั่งบ้านเมืองคืนกลับสู่ความสงบเรียบร้อย ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลของท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ยังมีเวลาที่จะบริหารราชการบ้านเมืองไปจนถึงสิ้นปี 2554 แต่เราไม่ได้หวงตำแหน่ง ไม่ได้หวงการเป็นรัฐบาล พอเห็นว่าบ้านเมืองมีความปกติสุขพอสมควร พอเหมาะที่จะให้มีการเลือกตั้ง ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ก็ยุบสภา จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพราะหวังว่า ทุกฝ่ายทุกคนจะทำใจได้ เลือกตั้งแล้วก็จะได้จบเรื่องกัน เพราะอะไรครับ เพราะตลอดเวลาที่นายกฯ อภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ไอ้พวกจตุพร ไอ้พวกณัฐวุฒิ ไอ้พวกหมอเหวง ไอ้เจ๋ง ดอกจิก ไอ้เปรตทั้งหลายเหล่านี้ เอาทุกวัน ข่มขู่ทุกวัน คุกคามทุกวัน ไล่ทุกวัน จะให้อภิสิทธิ์ลาออก จะให้อภิสิทธิ์ยุบสภา บอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ออกไป ยุบสภา แล้วเป็นไงครับ คุณอภิสิทธิ์ก็ยุบสภาให้ เลือกตั้งใหม่ เขาชนะ ได้เป็นรัฐบาล บ้านเมืองมันควรจะสงบใช่ไม๊ครับ เพราะฝ่ายที่ก่อเรื่อง ชนะแล้ว ได้เป็นรัฐบาลแล้ว ไอ้พวกผมที่เป็นฝ่ายแพ้นี่ไม่เคยสร้างปัญหาให้บ้านเมืองมาก่อน ก้มหน้า ก้มตา ยอมรับผลการเลือกตั้งโดยดุษฎี ตั้งหน้าตั้งตาเป็นฝ่ายค้าน เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน ไม่เคยเสียใจ ไม่เคยกลุ้มใจ เพราะว่างานเป็นฝ่ายค้านนี่ เป็นงานที่เราถนัด

 

เชื่อนายกฯ ยิ่งลักษณ์อยู่นานๆ ยิ่งสร้างความบันเทิงให้คนไทย

80 ปี ที่เขามีประชาธิปไตยกันมาในประเทศไทย พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านมากกว่าเป็นรัฐบาล เพราะฉะนั้นเรื่องการเป็นฝ่ายค้านนี่เราชำนาญกว่าเพื่อน เราสามารถเป็นปากเป็นเสียงแทนพี่น้องประชาชน รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนได้ดี ไม่เคยอิจฉาริษยา ผู้ชนะที่เขาได้เป็นรัฐบาลเลย โดยเฉพาะนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ผมต้องสารภาพกับพี่น้องตรง ๆ นะครับ อย่าโกรธผม ผมชอบเค้านะครับ

ผมไม่ได้ชอบแบบที่นายกฯ อภิสิทธิ์ชอบว่าแกมีชุดใส่วันละหลาย ๆ ชุด เข้าท่า ผมไม่ได้มองตรงนั้น แต่ผมมองว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ยิ่งอยู่ไปนาน ๆ เนี่ย มันก็เท่ากับให้ความบันเทิงกับคนไทยมากขึ้น ๆ ไปที่ไหน ไปไหนมาไหนคนก็คุยกันเรื่องนายกฯ ยิ่งลักษณ์ หัวเราะกันสนุกสนาน เพราะวันดีคืนดีนายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็มาบอกพวกเราว่า ต่อไปนี้มาปลูกหญ้าแพรกกันน้ำท่วม ก็ดีเหมือนกัน ไม่เคยได้ยินมาก่อน วันดีคืนดีบอกว่า ตอนนี้ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วเรามีเขื่อน “คอ-นก-รีด” อันนี้ก็เข้าท่า ผมเป็นคนปักษ์ใต้พี่น้องครับ เรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ภาคใต้ของประเทศไทยมี 14 จังหวัด ตั้งแต่ชุมพรลงไป มาถึงนายกฯ ยิ่งลักษณ์แกบอกว่ามี 15 จังหวัดแล้ว เพิ่มจังหวัดหาดใหญ่เข้าไปด้วย เอ้อ อย่างงี้ก็ใช้ได้ ผมส่งลูกไปเรียนที่ออสเตรเลีย ไป ๆ มา ๆ ออสเตรเลียหลายปี สู้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไม่ได้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปออสเตรเลียมาครั้งเดียวกลับมาถึงบอกพี่น้องประชาชนว่าที่ออสเตรเลียนั้น เขาแยกประเทศเป็นประเทศซิดนีย์อีกประเทศนึงแล้ว ไอ้อย่างนี้มันก็สบายสิครับ ฟังแล้วมันสบายใจสนุกสนาน ท่านจะเอาอยู่ หรือไม่เอาอยู่ ผมไม่สนแล้ว ท่านจะ ว. 5 ว.6 ผมก็ไม่สน ผมบอกว่าเชิญท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ต่อไป เป็นให้เข็ดเลย เป็นไปเรื่อย ๆ เลย เอ้า ไม่มีที่จะไปข่มขู่ คุกคาม ทำให้เสียสมาธิ เพราะฉะนั้นพูดกับพี่น้องให้ชัดเจนว่า เวทีนี้ไม่มาข่มขู่ คุกคาม ขับไล่ หรือต่อต้านนายกฯ ยิ่งลักษณ์แต่ประการใดทั้งสิ้น

แต่ที่ต้องมาตั้งเวทีประชาชน กับพี่น้องทั้งหลาย ชวนบรรดาคุณครู อาจารย์ นิสิต นักศึกษา หรือแม้แต่พี่น้องประชาชนทั้งหลายนะครับ ลุกขึ้นมาพูดคุยเรื่องบ้านเมืองกันเถอะครับ เพราะสิ่งที่ฝ่ายรัฐบาลเสียงข้างมากเขากำลังดำเนินการนั้น มันเป็นพิษ เป็นภัยต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง ปล่อยให้ทำต่อไปไม่ได้ พวกผมเป็นฝ่ายค้าน อยู่ในสภา ก็พยายามคัดค้านครับ ลุกขึ้นอภิปรายด้วยเหตุด้วยผล เขาก็ไม่ฟัง ไอ้ประธานค้อนนั่นครับ ปิดไมค์โครโฟนเสียบ้าง ตัดบทเสียบ้าง ขนาดนายกฯ อภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว วันนี้เป็นผู้นำฝ่ายค้าน เวลาขุนค้อนเขาไม่พอใจเขาปิดสวิตช์เอาเสียเฉย ๆ ไม่ให้พูด ดีนะที่รังสิมา แค่ลากเก้าอี้ ถ้าเป็นพี่น้องทั้งหลายยกเก้าอี้ตีกระบาลไปแล้ว ขุนค้อนเนี่ย มันเหลือเกินจริง ๆ บรรยากาศในสภานี่เละเทะหมดเลย เพราะว่าไม่เป็นกลาง ไม่ทำหน้าที่ให้สมศักดิ์ศรี อ้างว่าระเบียบอย่างงั้น ระเบียบเป็นอย่างงี้ แต่ตัวเองกฎหมายก็ไม่เคารพ พี่น้องถ้าใครฟังการถ่ายทอดการประชุมสภา นัดหลัง ๆ มีอยู่วันนึงครับ ผมทนไม่ไหว ก็เลยลุกขึ้นมาบอกว่า ประธานสภา ไม่ต้องให้พวกผมเคารพระเบียบหรอก เพราะถ้าประธานไม่เคารพรัฐธรรมนูญแล้ว พวกผมก็ไม่เคารพประธานอีกแล้ว ตัดขาดกันไปเลย หมดเรื่องกันไปเลย เป็นไรเป็นกัน

 

ยันแก้รัฐธรรมนูญแล้ว ประเทศไทยจะเสียหายร้ายแรง

พี่น้องทั้งหลายครับ รัฐธรรมนูญที่เขาพยายามจะแก้ไขนั้น ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ก็อธิบายให้พี่น้องฟังไปเมื่อสักครู่ ว่ามันจะเสียหายกับประเทศไทยอย่างร้ายแรง ผมขออนุญาตขยายความให้พี่น้องฟังอย่างนี้ ในระบอบประชาธิปไตยนะครับพี่น้องครับ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขนั้น อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ถวายให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ทรงใช้ แบ่งเป็น 3 อำนาจ 1.อำนาจบริหาร พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนี้ผ่านทางคณะรัฐมนตรี หรือรัฐบาล 2. อำนาจนิติบัญญัติ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนี้ผ่านทางรัฐสภา หรือสภาผู้แทน บวกกับวุฒิสภา อำนาจที่ 3 เรียกว่าอำนาจตุลาการ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนี้ทางศาล ศาลทั้งหลายนั่นแหละครับ ทั้งศาลปกครอง ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งศาลอาญา ศาลแพ่ง นี่คืออำนาจตุลาการ ในประเทศประชาธิปไตยทุกประเทศ เขาจะแบ่งอำนาจ 3 อำนาจนี้ มีคนใช้ต่างกัน เป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อกัน ไม่ให้รวบอำนาจไว้ที่ใครคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว ต้องแยกกัน ถึงจะเป็นเครื่องค้ำประกันว่า สิทธิเสรีภาพของประชาชน ผลประโยชน์ของประชาชน ผลประโยชน์ของประเทศชาติจะได้รับการดูแล ในประเทศเรานั้น ฝ่ายบริหาร กับฝ่ายนิติบัญญัติใกล้กัน เชื่อมโยงกัน เลือก สส. ไปเป็นสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติ ใครได้ สส. มากก็สามารถมีเสียงมากในสภา ได้รับสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล เรียกว่ามีความเชื่อมโยงกัน แต่อำนาจตุลาการนั้นไม่ต้องเชื่อมโยงกับใคร เป็นอิสระ พิจารณาอรรถคดีทั้งหลายทั้งปวง ในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกคนเคารพในศาล ในคำวินิจฉัยของศาล กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยที่มีมาตั้งแต่ปู่ แต่ย่า มีมาตรฐาน ทั้งโลกยอมรับ นานาประเทศที่มาค้าขายกับเรา มาทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับเรา เขายอมรับระบบศาลไทย ยอมรับระบบกฎหมายไทย นี่เราถึงตั้งอยู่ได้เดี๋ยวนี้ ใครถึงมาเที่ยวบ้านเรา ใครถึงมาค้าขายบ้านเรา ใครเขาถึงได้มาลงทุนที่บ้านเรา

 

จะมีการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ "หัวหน้าใหญ่" คุมรัฐบาล คุมสภา คุมศาล

แต่ว่ามาวันนี้ครับ ที่เขาจะแก้รัฐธรรมนูญใหม่นั้น เขาพูดในหลายที่หลายแห่ง แก้รัฐธรรมนูญคราวนี้ เขามีเป้าหมายสำคัญคือเขาจะเล่นงานศาลทั้งหลาย ทั้งศาลปกครอง ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลแพ่ง ศาลอาญา เขาจะฟาดหมด เขาจะทำยังไรครับ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองนี่ คงถูกยุบแน่นอน ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลยุติธรรม เขาจะคุม เขาจะเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ ว่าต่อไปนี้หัวหน้าใหญ่ของเขา ถ้ากลับมามีอำนาจในประเทศไทย จะคุมทั้งรัฐบาล จะคุมทั้งสภา แล้วจะคุมศาลด้วย ทำไมผมพูดอย่างนั้นครับ เพราะเขาเขียนไว้ในเหตุผลของการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญคราวนี้ ซึ่งนายกฯ อภิสิทธิ์บอกแล้วว่าไม่ได้แก้เป็นมาตรา รื้อทั้งฉบับแล้วเขียนใหม่ ไอ้ที่เรากลัว คือกลัวที่เขาจะเขียนใหม่นี่แหละครับ

เขาจะเขียนใหม่ว่า ต่อไปนี้ใครจะมาเป็นประมุขฝ่ายตุลาการ คือประธานศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลสูงสุดของเรานั้น จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ฟังดูเคลิ้มครับ แต่ถ้าพี่น้องมองลึกไปว่า รัฐสภาวันนี้คือใครล่ะครับ รัฐสภาวันนี้คือพรรคเพื่อไทย คุมเสียงข้างมากในรัฐสภา ทั้งในสภาผู้แทนฯ และยังมีเอี่ยวไปในวุฒิสภาด้วย ก็แปลว่าถ้าเขาเขียนรัฐธรรมนูญอย่างนี้ ต่อไปเขาคือคนที่จะแต่งตั้งประธานศาลฎีกา แต่งตั้งรองประธานศาลฎีกา แต่งตั้งอธิบดีศาลอุทธรณ์ แต่งตั้งอธิบดีศาลอาญา อำนาจตุลาการอยู่ในกำมือของเขาหมด เท่ากับรวบอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 อำนาจไว้ในมือของคน ๆ เดียว อย่างนี้ไม่เป็นประชาธิปไตยครับ ไม่ใช่ประชาธิปไตย อย่างนี้พวกเขาทำอะไรก็ได้ในประเทศนี้ แล้วไม่มีวันติดคุก ไม่มีวันผิดกฎหมายอีกแล้ว เพราะว่าศาลอยู่ในกำมือของพวกเขา

พี่น้องทั้งหลายครับ นี่คือประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญที่น่ากลัวที่สุด มีประเด็นอื่น ๆ แต่ผมถือว่าไม่บังควรที่จะไปพูด พี่น้องคงเข้าใจ เรายืนยันละกันว่า ที่เขาจะเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ตามอำเภอใจของเขานั่นเรายอมไม่ได้ เราจะต้องติดตาม เราจะต้องศึกษา เราจะต้องต่อสู้ เหมือนกับที่กำลังทำอยู่อย่างนี้ เพราะเราไม่ต้องการให้มีเผด็จการ รูปแบบใหม่มาปกครองในคราบของประชาธิปไตย มาอ้างประชาธิปไตยแล้วให้คน ๆ เดียว มีอำนาจทุกอย่างในบ้านเมือง กดขี่ข่มเหง ริดรอนเสรีภาพของคนไทย ยอมไม่ได้ นี่คือจุดเรื่องใหญ่ ที่จะต้องเรียนกับพี่น้อง

 

จวกฝ่ายตรงข้ามฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ ให้ประเทศไทยเป็นประเทศเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ

พี่น้องหลายท่านอาจจะกังวลใจว่า เอ๊ะ สุเทพอาจจะพูดเกินไปมั๊ง ผมเรียนกับพี่น้องครับ ตลอดเวลาที่ผมทำหน้าที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ผมติดตามพฤติกรรมของคนพวกนี้มาตลอด บอกกับพี่น้องเลยครับ ตรง ๆ เลย คนพวกนี้มีความคิดอ่าน ฝักไฝ่ในลัทธิคอมมิวนิสต์ ไม่ใช่ผมปลุกผีคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์ประเทศไทยนี่มีมาก่อนที่เราจะมีพรรคประชาธิปัตย์ แต่เขาเลิกหมดแล้ว เมื่อพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ใช้คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/23 ลบล้างความผิดให้คนที่ต่อสู้กับรัฐทั้งหมด เชิญเขาออกมาร่วมพัฒนาชาติไทย คนที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ทั้งหลายเลิก ออกจากป่ามาอยู่ในเมือง มาเป็นพลเมืองดี มาช่วยกันพัฒนาประเทศไทย เป็นปกติสุขหมด แต่ว่ามีบางส่วนครับ กากเดนของคอมมิวนิสต์มันไม่เลิก มันยังฝังหัวกับอุดมการณ์นั้น ยังตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นรูปแบบที่เขาเคยคาดหวังเอาไว้ ต้องการให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ

พี่น้องถึงจะได้เข้าใจว่าทำไมเขาถึงปลุกระดมคนข้างล่างว่าคนข้างล่างเป็นไพร่ ถูกกดขี่ ถูกขูดรีด ถูกเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะชนชั้นบนคืออำมาตย์ และเครือข่ายของอำมาตย์ ขูดรีดเอาเปรียบ ข่มเหง รังแก ไม่ให้ความเป็นธรรม เขาถึงได้ปลุกระดม แบ่งประชาชนคนไทยออกเป็นชนชั้น 2 ชนชั้น ชั้นล่าง กับชั้นบน แล้วให้คนชั้นล่างทั้งหลาย สามัคคีกัน เพื่อโค่นล้มคนชั้นบน โค่นล้มแล้วทำไมครับ แล้วจะสร้างรัฐไทยใหม่ ไม่ใช่คำที่ผมพูดขึ้นเอง เขาทั้งหลายพุดถึงคำว่า รัฐไทยใหม่ ทักษิณก็พูด วีระ มุสิก ฯ ก็พูด จตุพร ณัฐวุฒิ พูดทั้งนั้น ธิดา นั่นท่องเช้า เที่ยง เย็น กลางคืน ก่อนนอนเลย

 

อ้างจะมีการสร้าง "รัฐไทยใหม่" เพราะเคยเห็นป้ายที่เขียนว่าประธานาธิบดีทักษิณ

จะสร้างรัฐไทยใหม่ ที่มีประธานาธิบดี ผมเคยเห็นเขาเขียนป้ายว่าประธานาธิบดี ทักษิณ ชินวัตร ผมเห็นรายงานที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองเอามาให้ผมดู ผมอ่านเอกสารที่มันใช้เป็นคู่มือการสอนในโรงเรียน นปช. ปลุกระดมอย่างนี้ทุกวัน ๆ มาหลายปีแล้ว

พี่น้องทั้งหลายครับ เขาทำเหมือนที่พรรคคอมมิวนิสต์เคยทำทุกอย่าง คือมีทั้งพรรคการเมือง ต่อสู้ในสภา มีมวลชนจัดตั้งที่เขาปลุกระดม ล้างสมองไว้อย่างดี ออกมาช่วยกดดันเคลื่อนไหว คุกคาม แล้วก็มีกองกำลังติดอาวุธ พร้อมที่จะออกมาสู้รบเพื่อทำสงครามโค่นล้มอำมาตย์เปลี่ยนการปกครองของประเทศไทย พี่น้องถึงได้เห็นภาพชายชุดดำ คลุมหัว ใส่หมวกไอ้โม่ง เอาปืนมาไล่ยิงกลางถนนราชดำเนิน ในเดือนเมษายน 2553 ผมเห็นมาหมดครับ ผมเพียงแต่เอามาทบทวน เรียบเรียง เพื่อให้พี่น้องได้สะกิดใจแล้วไปคิดต่อ คนเหล่านี้ไม่ยอมเลิก ยังดิ้นรนที่จะทำต่อไป ตอนที่เป็นคอมมิวนิสต์ครั้งก่อนโน้น ทำยาก สตางค์ก็ไม่ค่อยมี สื่อที่จะไปถึงประชาชนก็ลำบาก แถมยังมีกฎหมายว่าด้วยความผิดที่เป็นการกระทำที่เป็นคอมมิวนิสต์ คอยกำกับเอาไว้ด้วย วันนี้กฎหมายนั้นไม่มีแล้ว ยกเลิกไปตั้งแต่สมัย พล.อ.เปรม แล้ว จะปลุกระดมอย่างไร จะขึ้นเวทีด่าใคร จะพูดจาอย่างไร ทำกันอย่างเปิดเผย พี่น้องทั้งหลายก็เห็น แถมสามารถที่จะตั้งสถานีโทรทัศน์ของตัวเอง สถานีวิทยุชุมชนของตัวเอง ถ่ายทอดการปลุกระดมแต่ละเวทีไปทั่วประเทศ เงินทองที่จะใช้จ่ายในการบริหาร ในการจัดตั้งมวลชน ทักษิณให้ไม่อั้น มันเป็นกรรม เป็นเวรของประเทศไทยจริง ๆ ครับ ที่คนอย่างทักษิณ กับพวกลัทธิแดง มาจับมือกัน พวกเราถึงเดือดร้อนนะครับ พวกเราถึงลำบากไงครับ เขาถึงได้ทำกับเราอย่างเต็มที่

ทักษิณอาศัยความรู้ ความชำนาญ ความสามารถในทางการเมืองของพวกลัทธิแดงนี้ ช่วยทำพรรคการเมืองให้เข้มแข็ง พอทักษิณหนีคดีออกไปอยู่ต่างประเทศ ก็ได้อาศัยพวกลัทธิแดงนี้ครับ ลุกขึ้นมาต่อสู้ให้กับทักษิณ ทักษิณไม่ต้องการติดคุก ทักษิณอยากจะได้เงิน 46,373 ล้านบาทคืน ทักษิณอยากจะกลับมามีอำนาจในประเทศไทย พวกเสื้อแดง ลัทธิแดง อาสาสู้ให้ทั้งหมด มาวันนี้เสื้อแดง ลัทธิแดง หวังมากกว่านั้นแล้วครับ ไม่หยุดแล้ว ถ้าพี่น้องที่เป็นคนติดตามข่าวสารบ้านเมือง อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ ดูทีวี พี่น้องจะเห็นเลยครับ

 

เชื่อเหตุผลลึกๆ ของเสื้อแดงแม้จะชนะเลือกตั้งแล้วก็คือล้มอำมาตย์ และเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่

นายสุเทพ กล่าวหาว่า นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ เป็น "หัวหน้าใหญ่ของลัทธิแดง" และกล่าวต่อไปว่า ที่จริงเขามีอีกคณะหนึ่ง ซุก ๆ ซ่อน ๆ อยู่ข้างหลัง คุณธิดานี่ออกมาประกาศเลยครับว่า เสื้อแดงจะไม่หยุดการต่อสู้ แม้ว่าจะชนะอภิสิทธิ์ ได้เป็นรัฐบาลแล้ว แต่ประเทศไทยยังมีอำมาตย์ และเครือข่ายอำมาตย์อยู่ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องสู้ต่อไป จนกว่าจะล้มล้างอำมาตย์ และเครือข่ายอำมาตย์ทั้งหมด นี่คืออันตรายของประเทศไทย แล้วพี่น้องโยงได้เลยว่านี่แหละ คือเหตุผลที่เขาซ่อนอยู่ลึก ๆ ในเรื่องของที่จะเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่โดยเสียงข้างมากของพวกเขาที่ยึดอยู่ในสภา

ในขณะที่พวกเขาออกมาต่อสู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เขาทำผิดกฎหมายบ้านเมืองมากมาย ทั้งฆ่าคน ทั้งปล้นทรัพย์ ทั้งวางเพลิง เผาทรัพย์ ผิดกฎหมายทั้งนั้น เขาถึงสมคบกัน อาศัยเสียงข้างมาก ตรากฎหมาย จะเขียนกฎหมายขึ้นมาใหม่ ลบล้างความผิดทั้งหมดที่ทักษิณ และพวกเขาเคยทำมาใน 2-3-4-5 ปีนี้ ตั้งชื่อกฎหมายเสียสวยเลยครับ ร่างพระราชบัญญัติการปรองดองแห่งชาติ มันปรองดองเฉพาะหน้าปกครับพี่น้อง เนื้อในมันไม่ปรองดองกับใครเลย มันเอาข้างเดียว มันดองกันเอง มันดองเฉพาะพวกมัน เราไม่ได้ดองด้วยเลยครับ มันเอาทุกมาตรานั้น มี 8 มาตราเท่านั้น อ่านทุกมาตราก็เหมือนที่ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์อภิปรายไปเมื่อสักครู่ ไอ้ที่กำลังสอบสวนคดีของมัน เลิกหมด ไอ้ที่สอบสวนแล้วส่งอัยการ ไม่ต้องฟ้อง ที่อัยการฟ้องแล้วถอนกลับ คดีไหนที่ศาลกำลังอยู่ระหว่างพิจารณา ยกเลิกไม่ต้องพิจารณาต่อ คดีไหนที่ศาลตัดสินแล้วให้ถือว่าไม่ผิด ลบคำพิพากษาศาลหมด ไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำอย่างนี้

พี่น้องครับ มีพี่น้องประชาชนที่ฟังทางวิทยุ ที่ดูโทรทัศน์อยู่ และพี่น้องที่อยู่ที่นี่ ผมเชื่อว่า วันเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมปีที่แล้ว มีพี่น้องหลายคนนะ นึกในใจว่า ให้เพื่อไทยมันชนะไปสักทีก็ดีเหมือนกัน บ้านเมืองจะได้สงบ คิดเอาอย่างนั้น แล้วในที่สุดมันก็ไม่สงบครับ ไอ้เสื้อแดงร้องแรกแหกกระเฌอว่า อภิสิทธิ์ลาออก อภิสิทธิ์ยุบสภา ยุบสภาแล้ว คุณชนะแล้ว ยังแดงอยู่เลยครับ เมื่อคืนก็ยังแดงอยู่ วันนี้ก็ยังแดงอยู่ ไอ้ไพร่ยังไม่เลิกเลย ไปไหนมาไหนก็เขียนตัวเท่าหม้อแกงว่าไพร่ มันแปลว่าอะไรครับ ยังออกมาคุกคามนายอภิสิทธิ์เหมือนเดิม ไปงานเลี้ยงกันในโรงเรียนครับ จัดงานเลี้ยงกันในระหว่างคนที่รักชอบพรรคประชาธิปัตย์ มาเลยครับ ล้อมเลยขว้างปา ด่าทอ ข่มขู่ คุกคาม เหมือนกับตอนที่เป็นนายกรัฐมนตรีเลย รู้อย่างนี้ ยุบสภาทำไม เอ้อ ยุบสภานึกว่ามึงจะชนะแล้วพอใจ หรือไม่พอใจ มันจะเอากันไปถึงไหน คุกคามศาล น่าเกลียดมากพี่น้องครับ

ผมขอทวนให้พี่น้องฟังนิดนึง ตั้งแต่วันแรกแล้ว ขณะที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ปี 2544 มีคนไปร้องคดีไปถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้วว่า ทักษิณทำผิดกฎหมาย กฎหมายเขาห้ามไม่ให้มีหุ้นที่เป็นสัมปทาน หุ้นที่เป็นในบริษัทของตัวเอง สำหรับคนที่เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ทักษิณยังถือไว้เหมือนเดิม แอบไปซุกไว้ในชื่อคนใช้ ในชื่อคนสวน ในชื่อคนรถ ชื่อลูก ชื่อน้อง ชื่อญาติ คดีไปถึงศาล 8 เสียง กับ 7 เสียง บอกว่าทักษิณไม่ผิด บกพร่องโดยสุจริต พวกเราพอใจไม๊ ไม่พอใจหรอก ผมก็ไม่พอใจ ผมก็เขม่นศาลปกครองนะวันนั้นน่ะ แต่ว่าเราเป็นคนเคารพกฎเกณฑ์กติกา ถูกต้อง เพื่อท่านองค์คณะเสียงข้างมากตัดสินแม้แต่ชนะเพียงเสียงเดียว แล้วปล่อยให้ทักษิณลอยนวล ไม่เป็นไรเรารับได้ ไอ้ฝ่ายเขาก็โอ้ ศาลรัฐธรรมนูญชอบ ดีหมด แต่พอมาวันหลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่ามันผิดเท่านั้นแหละ ด่าทันทีเลย ด่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานไปเลย

นายสุเทพกล่าวด้วยว่า เจ๋ง ดอกจิก แกนนำคนเสื้อแดง ได้ขึ้นเวทีด่าผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ แล้วเอาหมายเลขโทรศัพท์ของลูก ของเมียของท่านผู้พิพากษาประกาศบนเวทีเพื่อให้คนอื่นโทรไปด่า โทรไปข่มขู่ แล้วใช้คำหยาบคายมาก จำไว้เลยพี่น้อง ไอ้เจ๋ง ดอกจิก มาบ้านนี้อย่าหุงข้าวให้กิน แล้วมันประกาศเลยครับ จตุพรว่าวันที่ 5 ที่ 6 กรกฎานี้ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะไต่สวนว่า เรื่องรัฐธรรมนูญที่มันแก้ทั้งฉบับนี่ผิดหรือไม่ผิดนี่ มันจะไปล้อมศาล มันจะไปข่มขู่ศาล มันจะไปคุกคามศาล

พี่น้องทั้งหลายเขายังไม่หยุดพฤติกรรมอย่างนี้เลย แล้วบ้านเมืองมันจะสงบสุขได้อย่างไร แล้วพี่น้องคอยดูครับ ถ้าวันไหนมันเอากฎหมายนี้เข้าสภาอีก ทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มันจะเขียนตามอำเภอใจมัน ทั้งกฎหมายปรองดองที่มันซ่อนเร้นเอาไว้อย่างที่เล่าให้ฟัง พวกมันก็จะยกโขยงไปล้อมรัฐสภา ข่มขู่พวกผมอีก พี่น้องคอยดูสิครับทำอย่างนี้

 

ถ้าแดงชนะ ขอให้นึกถึงเกาหลีเหนือ คิวบา เขมรแดง ปชป. สู้ในสภาอย่างเดียวไม่ไหวต้องต้องนอกสภาด้วย

พี่น้องทั้งหลาย ผมกังวลใจมากอยากจะมาเรียนกับพี่น้องว่า ลัทธิแดง แกนนำเสื้อแดงทั้งหลายเหล่านี้กำลังจะปู้ยี้ปู้ยำประเทศไทยของเรา ถ้าเขาชนะบ้านเมืองเราเสียหายย่อยยับ ลูกหลานเราไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้ พี่น้องนึกถึงประเทศคิวบาก็แล้วกัน พี่น้องนึกถึงประเทศเกาหลีเหนือก็แล้วกัน พี่น้องนึกถึงเขมรก็แล้วกัน วันที่เขมรแดงยึดประเทศกัมพูชาได้คนที่ไม่ใช่พวกเขา คนที่พอมีฐานะมันยึดทรัพย์สินไปหมด เอาไปแจกจ่ายให้พวกมัน บ้านช่องห้องหอยึดหมด เอาเข้าไปสัมมนาเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนสมอง เปลี่ยนไม่สำเร็จฆ่าทิ้ง ประเทศเขมรเล็กนิดเดียว เขมรแดงฆ่าคนเขมรตาย 3 ล้านกว่าคน ผมถึงบอกกับพี่น้องไงครับว่าผมไม่กลัวแล้ว เห็นมันทำมามากแล้ว แล้วที่สิ่งที่มันจะทำต่อไปข้างหน้านั้น มันน่ากลัวที่สุด ผมจึงชวนพรรคพวกเพื่อนฝูงพี่น้องทั้งหลายว่า ลุกขึ้นสู้กับมันดีกว่า สู้มันทั้งในสภา ทั้งนอกสภา เพราะถ้าไม่สู้เสร็จมันแน่ ไปไม่รอด จะสู้ในสภาอย่างเดียวไม่ไหวครับพี่น้อง ในสภามีพวกผม 160 คน 160 เสียง ข้างเขามี 340 ยกทั้งมือ ทั้งเท้า แพ้ทุกวัน ไม่มีวันสู้ได้ ไม่มีทาง ไม่มีทางเลยครับ เพราะฉะนั้นมีทางเดียวต้องสู้ทั้งในสภา ทั้งนอกสภา ในสภานั้นไม่ต้องกลัวพี่น้องครับ เปิดไมโครโฟนให้พูดเมื่อไหร่เรามีเหตุมีผลมีข้อเท็จจริงพร้อมที่จะต่อสู้ด้วยเหตุด้วยผล แต่มันไม่ฟังเหตุผลเราหรอก เพราะฉะนั้นผมก็ต้องเอาเรื่องที่สู้ในสภา มาเล่าให้พี่น้องฟังนอกสภา เพื่อจะบอกพี่น้องทั้งหลายว่า ถ้าจะอาศัยเฉพาะพวกผม 160 คน สงสัยแพ้มันแน่นอน

พี่น้องทั้งหลายต้องมา ลุกขึ้นมาช่วยกันต่อสู้ เพราะนี่คือบ้านเมืองของพี่น้องทั้งหลาย พี่น้องคือประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศตัวจริง ประเทศนี้ไม่ใช่ของทักษิณคนเดียว ประเทศนี้ไม่ใช่ของยิ่งลักษณ์คนเดียว ประเทศนี้ไม่ใช่ของไอ้คางคกจตุพรคนเดียว ประเทศนี้ของเราด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องลุกขึ้นมาสู้กัน ไม่มีประเทศไหนในโลกครับ เขายอมให้คนที่ลุกขึ้นก่อการร้ายใช้อาวุธเพื่อล้มล้างรัฐบาล ล้มล้างระบบการเมืองยืนอยู่ได้โดยไม่ลงโทษ

 

ยกเคส "กองทัพแดง" ในเยอรมันและญี่ปุ่น มีลักษณะคล้ายกับที่เกิดในไทย

นายสุเทพกล่าวต่อไปว่า พี่น้องครับ ผมมีเอกสารถือติดมือมาด้วย เป็นรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ คณะกรรมการชุดนี้มีศาสตราจารย์ คณิต ณ นคร เป็นประธานกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ เขาทำงานมาปีกว่า ๆ แล้วครับ แล้วเขาทำงาน เขาศึกษา เขาทำงานจริง เขาร่วมกันกับคนที่เป็นกลางทั้งหลาย คนที่รักชาติ รักประเทศทั้งหลาย แล้วเขาก็ทำรายงานเสนอรัฐบาล ไอ้นี่ผมจะมาเรียนให้พี่น้องทราบนี่ครับ เป็นรายงานที่เขาลงวันที่ 30 ธันวาคม 2554 เรื่องข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ แล้วเขาทำถึงใครครับ เขาทำถึงนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีในวันที่ 30 ธันวาคม 2554 คือใครครับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เขาบอกคุณยิ่งลักษณ์ว่ายังไงครับ เขาบอกคุณยิ่งลักษณ์เลยครับว่า เขานี่ได้ศึกษามาหมด แล้วเขาเห็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในประเทศอื่น คล้าย ๆ ประเทศไทย ที่เขายกมามี 2 ประเทศ เขาบอกว่า ใน 2 ประเทศที่เขาไปศึกษานั้น มีกลุ่มเสื้อแดง มีกลุ่มลัทธิแดง มีกลุ่มกองทัพแดง ซึ่งเป็นกลุ่มที่นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์และใช้ความรุนแรงเพื่อล้มล้างรัฐบาล และสถาบันการเมือง ประเทศแรกที่เขายกมาครับ เขาบอกว่าที่ประเทศญี่ปุ่น มีกองทัพแดงของญี่ปุ่น ดำเนินการแบบบ้านเราเลยครับ มีเป้าหมายเพื่อล้มล้างรัฐบาลญี่ปุ่น และพระเจ้าจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น หัวหน้าคนแรกชื่อนาย ฮารุโกะ วาโกะ ถูกจับ ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต เพิ่งตายในคุกเมื่อปีที่แล้ว ปีที่แล้วนี่ครับ เพิ่งตาย หัวหน้าคนนี้ หัวหน้าคนที่ 2 ชื่อนายฟูซาโกะ ชิเง โนบุ ถูกจับเมื่อปี 2543 แล้วก็สู้คดีมาหลายปี จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ศาลพิพากษาจำคุกหัวหน้ากองทัพแดงญี่ปุ่น 20 ปี อ.คณิต ณ นคร และคณะกรรมการ คอป. บอกกับนายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ว่า ประเทศญี่ปุ่น เขาได้ใช้กระบวนการยุติธรรม ในการปราบปรามคนที่คิดล้มล้างรัฐบาล และล้มล้างสถาบัน

เขายกตัวอย่างอีกประเทศหนึ่งครับ คือประเทศเยอรมัน มีกองทัพแดงที่เยอรมันเหมือนกัน เป็นกลุ่มการเมืองแบบแดงบ้านเรา เป็นพวกฝ่ายซ้าย เป็นพวกนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์เหมือนกับที่ญี่ปุ่น แล้วดำเนินการในทางการเมืองเพื่อล้มล้างรัฐบาลเยอรมัน โดยใช้ความรุนแรง ดำเนินการทางการเมืองในลักษณะที่เป็นกลุ่มอาชญากรก่อการร้าย หัวหน้าเป็นผู้หญิง ชื่อ ไมน์ฮอฟ ผู้ร่วมคิดคนสำคัญชื่อ บาเดอร์ กลุ่มอาชญากรก่อการร้ายกลุ่มนี้ จึงเป็นที่รู้จักในประเทศเยอรมันว่า บาเดอร์ ไมน์ฮอฟ กรุ๊ป ที่อาจารย์คณิตเขาเขียน และที่ผมจะมาเรียนกับพี่น้องก็คือว่า อ.คณิต และกรรมการ คอป. ได้บอกกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่า ไอ้เฉพาะแค่การรวมตัวของบุคคล บุคคลอย่างนี้ที่รวมกลุ่มรวมตัวมีพฤติกรรมอย่างนี้ ยังไม่ต้องไปนับว่ามันก่ออาชญากรรมอะไรนะ ถือว่าผิดกฎหมายแล้ว ความผิดที่มันรวมตัวเป็นกลุ่ม แล้วเคลื่อนไหวแบบที่จตุพร แบบที่ณัฐวุฒิทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 ของประเทศไทย นี่เขาบอกกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ แล้วก็ยังอธิบายอีกว่า ไอ้อั้งยี่ในเยอรมัน กลุ่มที่ผมยกมาให้ท่านดูเมื่อสักครู่ บาเดอร์ ไมน์ฮอฟ ทำอะไรมั่งครับ ที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงในเยอรมัน วางระเบิดสถานที่ต่าง ๆ ห้างสรรพสินค้า สำนักพิมพ์ของเอกชน ทำการปล้นสะดม วางระเบิดสังหารผู้พิพากษา วางระเบิดสังหารอัยการสูงสุด พอถูกจับก็จะมีทนายฝ่ายซ้าย ลุกขึ้นมาว่าความถ่วงเวลาประวิงคดี เพราะว่าในประเทศเยอรมันนั้น เดิมกฎหมายเยอรมันเขาบอกว่า จำเลยนั้นจะมีทนายกี่คนก็ได้ไม่จำกัด แล้วทนายจำเลยแต่ละคนจะทำคดีร่วมกัน หรือแยกกันทำก็ได้ ไอ้ผู้ก่อการร้ายพวกนี้ก็หัวหมอ ตั้งทนายเป็น 10 – 20 เลยครับ แล้วก็แยกกันดำเนินคดี มันก็ประวิงเวลาไม่ถูกตัดสินซักที ในที่สุดครับ รัฐบาลเยอรมัน จับมือกับสภาเยอรมัน แก้กฎหมายเพื่อที่จะเล่นงานพวกกองทัพแดงเยอรมัน ไม่ให้ประวิงคดีอีกแล้ว แก้กฎหมายว่าด้วยทนายความว่าต่อไปนี้ มีทนายได้ไม่เกิน 3 คน แล้วต้องรวมกันทำคดี ประวิงเวลาไม่ได้ เขาจึงเอาพวกนั้นเข้าคุกได้หมด

ทั้งหมดนี้ คอป. เขาตบท้ายว่า บอกกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่า เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือในทางการเมืองของนักการเมือง ของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอย่างเยอรมัน เมื่อเกิดปัญหาที่สั่นคลอนต่อระบบการเมืองของประเทศ ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติได้ผนึกกำลังกันเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ อย่างมีหลัก มีเกณฑ์

คอป. ย้ำว่า ที่หยิบเอาเหตุการณ์นี้มาเรียนกับท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เพื่อชี้ให้เห็นว่าในระบอบประชาธิปไตยนั้น ย่อมมีทางแก้ปัญหาของระบบในทางการเมืองอย่างมีหลักมีเกณฑ์ได้เสมอ เพียงแต่นักการเมืองของประเทศ ต้องมีเจตจำนงในทางการเมืองที่ถูกต้องและจริงจังเท่านั้น

 

จี้ยิ่งลักษณ์ถ้ามีจิตวิญญาณนักประชาธิปไตย ต้องเอาแกนนำเสื้อแดงไปดำเนินคดี

นายสุเทพกล่าวว่า ผมยกเรื่องนี้ มาให้พี่น้องได้ฟังได้ทราบ เพราะว่าเป็นเรื่องที่คณะกรรมการ คอป. เขาบอกกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2554 ถ้านายกฯ ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐบาลมีจิต มีวิญญาณเป็นนักประชาธิปไตย เห็นว่าพวกลัทธิแดง พวกเสื้อแดง กระบวนการแดง ของไอ้ตู่ ของไอ้ณัฐวุฒิ ของหมอเหวง ของธิดา เป็นภัยต่อระบบประชาธิปไตยของประเทศ เขาต้องดำเนินคดีกับคนเหล่านี้ เหมือนกับที่พวกผมพยายามดำเนินคดีกับเขา แต่ในทางกลับกันครับ เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น ไม่ได้ช่วยประเทศไทยให้ดีขึ้นเลย ไม่ได้ทำอะไรที่ให้คนเหล่านี้ถูกลงโทษเพื่อให้ประเทศมีความสงบเลย เขากลับทำตรงกันข้าม คือพยายามออกกฎหมายลบล้างความผิดให้คนเหล่านี้ทั้งหมดทั้งสิ้น

แถมยังจะเขียนกฎหมายให้โครงสร้างบ้านเมือง โครงสร้างการปกครองของประเทศนี้เป็นไปอย่างที่พวกนี้ต้องการอีก นี่คือสิ่งที่ผมต้องการมาบอกกับพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหลาย และผมขอทวนกับพี่น้องทั้งหลายว่า ในปี 2553 ที่พวกลัทธิแดงก่อการร้ายในประเทศไทย ก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองนั้น เป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิต 92 คน เสียชีวิตในกรุงเทพฯ 89 คน ที่อุดรธานี 2 คน ที่ขอนแก่น 1 คน มีผู้บาดเจ็บทั้งสิ้น 1,885 คน เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ 542 คน ที่เหลือเป็นพลเรือน แล้วพวกนี้ได้ทำการเผาอาคาร สถานที่ในประเทศไทยไป 71 แห่ง ในกรุงเทพฯ 37 แห่ง ต่างจังหวัด 34 แห่ง ในกรุงเทพฯ ก็ได้แก่ธนาคารทั้งหลาย ทั้งธนาคารกสิกรไทย นครหลวงไทย ธนาคารออมสินมันก็เผา ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารทีเอ็มบี ธนาคารไทยพาณิชย มันเผาโรงหนัง โรงหนังสยามเป็นต้น เผาตึกแถว แถวสยามสแควร์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิร์ล เซ็นเตอร์วัน บิ๊กซี ห้างขายทอง ร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือมันยังเผาเลย ร้านแมคโดนัลด์ ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น เผาหมด ร้านขายหนังสือ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ไอ้พวกนี้ก็เผา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เผา ช่อง 3 ก็เผา การไฟฟ้านครหลวงก็เผา สำนักงานป้องกันปราบปรามยาเสพติดหรือ ปปส. ก็ถูกพวกนี้เผา ศาลากลางจังหวัด 4 แห่ง ถูกเผาเรียบ ถ้าอยู่ในเยอรมัน ถ้าอยู่ในญี่ปุ่น ทักษิณหัวหน้าใหญ่ จตุพร วีระ ณัฐวุฒิ หมอเหวง ธิดา ไอ้เจ๋ง ดอกจิก ทั้งหลายหมดนี้ ต้องติดคุกตลอดชีวิต หรืออย่างน้อย 20 ปี

ผมเอามาย้ำ มาเรียนกับพี่น้องว่า ที่เขาทำทั้งหมด ไม่มีอะไรเพื่อประชาชนเลยครับ เพื่อพวกเขาทั้งสิ้น เพื่อประโยชน์ของเขาทั้งสิ้น ทั้งประโยชน์ที่เป็นเงิน ทั้งประโยชน์ที่เป็นอำนาจ ทั้งประโยชน์ที่จะให้พวกเขาได้ยึดครองประเทศไทยต่อไป

พี่น้องทั้งหลายครับ บัดนี้เราได้ประจักษ์กันแล้ว เห็นกันชัดเจนแล้ว อย่าลืมเสียง่าย ๆ เหตุการณ์เพิ่งเกิดมาไม่นาน อย่าลืมเสียง่าย ๆ ครับ ผมเอามาทบทวน เอามาบอก วันนี้บนเวทีนี้ใครที่มาฟัง ทางคุณสาธิต ทางคุณหมอ ก็เอาหนังสือที่ผมเรียบเรียงมานี่ครับ “ประเทศไทยของเรา อย่าให้ใครเผาอีก” พอแล้วครับ อย่าให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นมาในบ้านเมืองเราอีกต่อไป

 

เรียกร้องผู้สนับสนุน สู้เพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ตอนท้ายนายสุเทพกล่าวด้วยว่า "เราไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้วเพราะเขาทำกับเราสาหัสสากรรจ์มาแล้วทั้งสิ้น มีทางเดียวคือเราต้องชวน พี่เรา น้องเรา ญาติเรา คนไทยของเราทั้งประเทศ ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้องระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข และมีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยอย่างที่เคยมีมา

อย่ายอมให้เผด็จการครองเมือง เพราะว่าลูกหลานของเราจะสูญเสียอิสระภาพ จะสูญเสียเสรีภาพ และจะทำให้เราไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาลืมตาอ้าปากได้อีกต่อไป

พี่น้องที่เคารพครับ พวกผมทั้งหมดนี้และที่อยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้กำลังทำเหมือนกับที่ผมกำลังทำ เอาความจริงไปบอกกับพี่น้อง ไปกราบเรียนกับพี่น้อง แล้วไปเชิญขวนพี่น้องทั้งหลายว่า ลุกขึ้นสู้กันเถอะครับ พวกผมตามลำพังสู้ไม่ไหวแล้ว ไม่หนักหนาสาหัสจริง ๆ ไม่ต้องถึงกับมาหาพี่น้องอย่างนี้ แต่ว่าคราวนี้หนักหนาสาหัสจริง ๆ บ้านเมืองของเราเสี่ยงจริง ๆ เพราะฉะนั้นลุกขึ้นมาครับ อย่าอยู่เฉย มีปากกาเขียนไปครับ จดหมาย มีโทรศัพท์ส่ง SMS ไปครับ เฟสบุ๊ค สื่ออิเลคทรอนิกส์ทำไปเถอะครับ ไม่มีอะไรก็ใช้ดินสอ ใช้ถ่านไฟ ใช้สีที่หาได้เอากระดาษเขียนแปะไว้ข้างหน้าว่า “กูไม่เอากับมึง” กูจะสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินไทยไว้ให้ลูกหลานกู ถ้าติดหน้าบ้านตัวเองไม่ได้ เกรงใจเสื้อแดงก็ไปติดหน้าบ้านเพื่อนก็ได้ไม่เป็นไร แต่ว่าอย่าอยู่เฉยครับ ต้องช่วยแล้วครับ ลำพังพวกผมพาชาติไม่รอด วันนี้ต้องขอแรงพี่น้องทั้งหลาย แต่ว่าพวกผมจะเป็นกองหน้า อาสาแล้ว เดินมาแล้ว ประกาศแล้ว ทั้งในสภา ทั้งนอกสภา ไม่มีวันยอมแพ้ มันจะตั้งข้อหาอีกกี่ร้อย กี่พันข้อหาก็ไม่เป็นไร ถ้าแพ้ก็พี่น้องไปส่งก๋วยเตี๋ยวมั่งก็แล้วกัน แต่ว่าสู้แน่นอนครับ ไอ้เหลิม ไอ้แหลม อะไรผมไม่กลัวทั้งนั้น ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วง ขอให้พี่น้องทั้งหลายมีกำลังใจลุกขึ้นมาครับ แล้วจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเราคนไทยทั้งประเทศจะลุกขึ้นสู้พร้อม ๆ กัน เพื่อปกป้องประเทศนี้ไว้ให้เป็นสมบัติของลูกหลานเรา"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "Unseen Thailand"

Posted: 02 Jul 2012 05:32 AM PDT

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "Unseen Thailand"

ก.ค.เดือนแห่งการตรวจเอชไอวีแห่งชาติ กระตุ้น ปชช.เห็นประโยชน์รู้ผลเลือดตัวเอง

Posted: 02 Jul 2012 04:11 AM PDT

 

 

องค์กรเอ็นจีโอด้านเอดส์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จับมือกำหนด 1ก.ค.และให้ตลอดเดือน ก.ค.ทั้งเดือนเพื่อเป็นวันรณรงค์ตรวจเลือดเอชไอวีแห่งชาติ ชวนประชาชนทบทวนความเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีที่ผ่านมาในครึ่งปีแรกเตรียมรณรงค์กระตุ้นให้คนไปขอรับบริการปรึกษาและตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีมากขึ้น ด้าน “1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์” พร้อมให้บริการปรึกษารองรับความต้องการของประชาชน

นายนิมิตร์  เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เปิดเผยรายละเอียดเรื่องนี้ว่า ที่ประชุมคณะทำงานส่งเสริมการเข้าถึงบริการปรึกษาและตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีซึ่งประกอบไปด้วยคนทำงานเรื่องเอดส์จากภาครัฐและเอกชน ได้กำหนดให้วันที่ 1ก.ค.ของทุกปีเป็นวันรณรงค์ตรวจเอชไอวีแห่งชาติ (VCT Day) เพื่อรณรงค์ให้คนเห็นความสำคัญของการรู้ผลการติดเชื้อเอชไอวีของตนเองเพราะการรู้ผลเลือดจะช่วยทำให้เกิดผลดีต่อการดูแลสุขภาพในระยะยาว เนื่องจากหากผลออกมาเป็นลบซึ่งหมายถึงไม่ติดเชื้อเอชไอวีก็จะได้หาทางเลือกในการป้องกันที่เหมาะกับตัวเอง ดูแลผลเลือดตัวเองให้เป็นลบตลอดไป แต่หากผลเป็นบวกซึ่งหมายถึงติดเชื้อเอชไอวีก็จะได้ประเมินภาวะสุขภาพและเข้าสู่กระบวนการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องรอให้เจ็บป่วย ทั้งนี้ ตลอดเดือนกรกฎาคมจะมีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เรื่องนี้ผ่านสื่อต่างๆ เช่น ภาพยนตร์โฆษณา สปอตวิทยุ บิลบอร์ด และคลิปรณรงค์ทางโซเชียลมีเดีย โดยมีสโลแกนว่า “เอชไอวี...ตรวจเพื่อก้าวต่อ” เพื่อชี้ชวนให้เห็นว่าการตรวจเอชไอวี การรู้ผลเลือด จะช่วยให้ชีวิตเราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างปกติ ไม่สะดุดล้มเพราะความเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากเอชไอวี

นายแพทย์สรกิจ ภาคีชีพ ผู้จัดการอาวุโสกองทุนเพื่อบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเอดส์ และผู้ป่วยวัณโรค สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สปสช.ได้ตั้งงบประมาณสำหรับประชาชนที่ต้องการขอรับบริการปรึกษาโดยในปี 2555 นี้ตั้งไว้ที่ประมาณ 400,000 ราย แต่ขณะนี้มีผู้มารับบริการเพียง 200,000 กว่าราย คาดว่าการรณรงค์เนื่องในวันรณรงค์ตรวจเอชไอวีแห่งชาติ 1 ก.ค.จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญของเรื่องนี้มากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มทหารเกณฑ์และหญิงตั้งครรภ์ที่ยังมีอัตราการติดเชื้อค่อนข้างสูง ทั้งนี้ ประชาชนไม่ต้องเกรงว่าจะเสียค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ เพราะ สปสช.ให้สิทธิประโยชน์เรื่องการตรวจเลือดเอชไอวีปีละ 2 ครั้งกับประชาชนไทยทุกคนและทุกสิทธิเพียงแสดงหมายเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ก็ขอรับบริการได้ที่หน่วยบริการที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกแห่ง และหากตรวจพบการติดเชื้อก็สามารถรับบริการด้านเอชไอวี/เอดส์ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

“ผมอยากเชิญชวนว่า หากใครที่ประเมินว่าตัวเองมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีให้มารับบริการที่หน่วยบริการที่ท่านสะดวกและสบายใจซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องเป็นหน่วยบริการประจำที่ท่านไปลงทะเบียนไว้ แต่ขอให้เป็นหน่วยบริการที่อยู่ในระบบของสปสช.เพื่อจะได้รับการดูแลรักษาสุขภาพแต่เนิ่นๆ  ทั้งนี้ ผลการตรวจเลือดของทุกท่าน จะถูกเก็บเป็นความลับโดยการเข้ารหัสหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลักและใช้รหัส NAP number แทน เพื่อให้ผู้รับบริการสบายใจเรื่องการรักษาความลับรวมถึงจะได้ช่วยติดตามหากผู้รับบริการหายไปจากระบบ เพราะเอชไอวี/เอดส์ เป็นโรคที่ต้องรับบริการรักษาอย่างต่อเนื่อง” นายแพทย์สรกิจ กล่าว

นางสาวเอมอร คงศรี  เจ้าหน้าที่ศูนย์ “1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์” กล่าวว่า 1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์ พร้อมให้บริการประชาชนที่ต้องการโทรศัพท์เข้ามาปรึกษาความกังวลเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์หรือต้องการข้อมูลเพื่อการดูแลรักษา โดยเปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10.00 -20.00 น. และพร้อมประสานส่งต่อผู้รับบริการไปยังหน่วยบริการหากผู้รับบริการมีความประสงค์จะตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวี

ด้านนาวสาวสุภัทรา นาคะผิว ประธานคณะกรรมการองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ (กพอ.) กล่าวว่า อยากชวนพี่น้องที่ทำงานเอดส์จากทุกภาคส่วนให้มาช่วยกันรณรงค์เรื่องนี้เพื่อคลี่คลายสถานการณ์เอดส์ไปสู่เป้าหมาย Getting to zero คือลดอัตราการติดเชื้อรายใหม่ ลดการเสียชีวิตจากเอดส์ และลดการตีตราผู้ติดเชื้อ ซึ่งการที่คนรู้สถานะผลเลือดของตัวเองจะทำให้เป้าหมายดังกล่าวเป็นจริงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม คนทำงานก็ต้องระมัดระวังและให้ความสำคัญกับเรื่องความสมัครใจและความเป็นส่วนตัวของผู้รับบริการด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แถลงการณ์ร่วมพันธมิตรควบคุมอาวุธ ความหวังไม่ให้เกิดการเข่นฆ่าแบบซีเรียในอนาคต

Posted: 02 Jul 2012 04:06 AM PDT

พันธมิตรควบคุมอาวุธ (Control Arms)  อ็อกแฟม (Oxfam)  และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International)  ออกแถลงการณ์ร่วม เนื่องในวาระที่จะมีการประชุมว่าด้วยสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธ ซึ่งจะมีขึ้นที่กรุงนิวยอร์ก ระหว่างวันที่ 2-27 กรกฎาคม 2555 โดยมีรายละเอียด ดังนี้

0 0 0

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2555
การเจรจาการค้าอาวุธครั้งประวัติศาสตร์
เป็นโอกาสป้องกันไม่ให้
เกิดการเข่นฆ่าแบบซีเรียในอนาคต

 

                ถึงเวลาที่ต้องยุติวิธีทำงานแบบ “ผ้าห่อศพ” สำหรับการควบคุมอาวุธ และต้องสนับสนุนให้เกิดสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธที่เข้มแข็ง

                นิวยอร์ก – ผู้นำการเมืองมีโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ที่จะสนับสนุนเป้าหมายด้านสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมให้อยู่เหนือผลประโยชน์และผลกำไรส่วนตน ในระหว่างการเจรจารอบสุดท้ายเพื่อควบคุมการค้าอาวุธระดับโลกที่เริ่มต้นวันนี้ที่องค์การสหประชาชาติ นักรณรงค์จากทั่วโลกกล่าวเช่นนั้น

                พันธมิตรควบคุมอาวุธ (Control Arms Coalition) ซึ่งประกอบด้วยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) อ็อกแฟม (Oxfam) และองค์กรอื่น ๆ จากกว่า 125 ประเทศ เรียกร้องรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ให้เห็นชอบต่อสนธิสัญญาที่มีหลักเกณฑ์เข้มงวดมากขึ้น เพื่อประกันการเคารพต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมระหว่างประเทศ 

                โดยเฉลี่ยทุกหนึ่งนาทีจะมีคนเสียชีวิตหนึ่งคน อันเป็นผลมาจากความรุนแรงจากการใช้อาวุธ และเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและละเมิดสิทธิอีกหลายพันคนทุกวัน  

                "ที่ซีเรีย ซูดาน และกลุ่มประเทศทะเลสาบขนาดใหญ่ 5 แห่ง (The Great Lakes) ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา (Great Lakes of Africa) โลกได้เห็นอีกครั้งถึงต้นทุนของมนุษย์ที่ต้องจ่ายให้กับการค้าอาวุธแบบลับและเปิดเผยที่ไม่บันยะบันยัง เหตุใดเราจึงควรปล่อยให้คนอีกหลายล้านคนต้องถูกสังหารและชีวิตถูกทำลายก่อนที่ผู้นำจะตื่นขึ้นมา และดำเนินการอย่างเฉียบขาดเพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายอาวุธระหว่างประเทศ?"  ไบรอัน วูด (Brian Wood) ผู้จัดการฝ่ายควบคุมอาวุธและสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว

            “การเจรจาว่าด้วยสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธ (Arms Trade Treaty - ATT) เป็นบททดสอบว่านักการเมืองเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงอย่างไร และเห็นชอบต่อหลักเกณฑ์ที่นำไปสู่การยุติการเคลื่อนย้ายอาวุธอย่างไม่รับผิดชอบ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง”

                หากไม่สามารถเห็นชอบต่อสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธที่รอบด้าน จะเป็นเหตุให้พลเรือนอีกหลายล้านคนถูกสังหาร ได้รับบาดเจ็บ ถูกข่มขืนกระทำชำเรา และถูกบังคับให้ออกจากถิ่นฐานบ้านเรือนของตน อันเป็นผลมาจากการค้าอาวุธที่ขาดความรับผิดชอบและขาดการจัดการ

                เป็นเวลาสี่ทศวรรษมาแล้ว คนในทุกภูมิภาคต้องแบกรับภาระมากกว่า 60,000 ล้านเหรียญเนื่องจากการค้าอาวุธซึ่งส่งเสริมให้เกิดการขัดกันด้วยอาวุธและความรุนแรง คอรัปชั่นและความเสื่อมถอยอย่างรุนแรงของกระบวนการพัฒนา

                “เรามีโอกาสครั้งหนึ่งในรุ่นคนของเราที่จะทำให้โลกเป็นสถานที่ปลอดภัยมากขึ้น ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสนธิสัญญาโดยทั่วไป แต่เป็นสนธิสัญญาเกี่ยวกับการค้าอาวุธที่เติบโตจนยากต่อการควบคุมในปัจจุบัน” แอนนา แม็คโดนัลด์ (Anna Macdonald) หัวหน้าแผนกรณรงค์ควบคุมอาวุธ อ็อกแฟมกล่าว

                “จากคองโกถึงลิเบีย จากซีเรียถึงมาลี ทุกประเทศต่างประสบเคราะห์กรรมจากการขาดการควบคุมการค้าอาวุธสงครามและยุทธภัณฑ์ เป็นเหตุให้ความขัดแย้งเหล่านั้นก่อให้เกิดความทุกข์ยากที่ไม่อาจประเมินได้ และจะยังดำเนินต่อไปในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้าถ้านักการทูตไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ก็คงทำให้โลกผิดหวัง” แม็คโดนัลด์กล่าวเสริม

                ในปัจจุบัน ไม่มีหลักเกณฑ์ระหว่างประเทศที่รอบด้านและมีผลผูกพันตามกฎหมาย ซึ่งครอบคลุมการค้าอาวุธแบบทั่วไปในระดับโลก และมีช่องว่างและช่องโหว่ก็ปรากฏอยู่ทั่วไปในมาตรการควบคุมอาวุธทั้งระดับชาติและภูมิภาค

                นักรณรงค์จากทั่วโลกมุ่งมั่นเรียกร้องให้รัฐบาลยุติวิธีทำงานแบบ “ถุงใส่ศพ” ซึ่งรวมทั้งกรณีที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมติคว่ำบาตรการค้าอาวุธต่อบางประเทศ แต่มักเป็นมติที่เกิดขึ้นหลังจากการค้าอาวุธอย่างไม่มีขอบเขตได้ทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติแล้ว

                สนธิสัญญาซื้อขายอาวุธเป็นกลไกที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการส่งมอบอาวุธที่จะนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน ความยากจน และความขัดแย้ง

                เพื่อให้หลักเกณฑ์ในสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธมีผลบังคับใช้จริง จะต้องกำหนดให้รัฐบาลควบคุมการขายและการส่งมอบอาวุธสงคราม อาวุธทั่วไป ยุทโธปกรณ์และอุปกรณ์ส่วนควบทั้งหมด ซึ่งต่างเคยถูกใช้เพื่อกิจการความมั่นคงของทหารและหน่วยงานในประเทศ ตั้งแต่รถหุ้มเกราะตลอดจนถึงจรวดมิสไซลส์ และเครื่องบิน ไปจนถึงอาวุธเบา ระเบิดขว้าง และยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ

                รัฐจะต้องทำหน้าที่ประเมินความเสี่ยงอย่างเข้มแข็ง ก่อนให้ความเห็นชอบต่อการขนย้ายหรือธุรกรรมด้านอาวุธระหว่างประเทศ และต้องรายงานให้สาธารณะทราบถึงการให้ความเห็นชอบและการขนย้ายอาวุธทั้งหมด ต้องมีกำหนดความผิดทางอาญาหรือความผิดอื่น ๆ ตามกฎหมายระดับประเทศสำหรับการค้าอาวุธที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือการเปลี่ยนเส้นทางการส่งอาวุธอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย

                ต้องมีมาตรการลงโทษผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีของสนธิสัญญา

            “เป็นความจริงที่เหลวไหลและน่ากลัวที่ในปัจจุบันเรามีกฎเกณฑ์ระดับโลกเพื่อควบคุมการค้าผลไม้และซากกระดูกไดโนเสาร์ แต่กลับไม่มีหลักเกณฑ์ควบคุมการค้าปืนและรถถัง” Jeff Abramson ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการการควบคุมอาวุธ (Control Arms Secretariat) กล่าว

                “นักรณรงค์ทั่วโลกให้ข่าวกับสื่อมวลชนและกดดันรัฐบาลและรัฐมนตรีให้เจรจาเกี่ยวกับสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธซึ่งจะช่วยรักษาชีวิตมนุษย์จากการมีนโยบายที่เข้มแข็งและมีผลโดยตรงในทางปฏิบัติ” Abramson กล่าวเสริม

                แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเคยเน้นย้ำถึงบทบาทของพ่อค้าอาวุธ “รายใหญ่หกราย” ของโลก ได้แก่ จีน ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งมอบอาวุธสงครามจำนวนมหาศาลให้กับรัฐบาลที่กดขี่ประชาชนทั่วโลก แม้ว่าจะมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะมีการใช้อาวุธเหล่านั้นเพื่อละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง รวมทั้งการส่งมอบอาวุธของสหรัฐฯ ให้กับอียิปต์ และบาห์เรน รวมทั้งกรณีที่รัสเซีย และจีนส่งมอบอาวุธให้กับซูดาน

                เมื่อเร็ว ๆ นี้อ็อกแฟมตีพิมพ์รายงานวิจัยแสดงให้เห็นผลกระทบของการค้ายุทธภัณฑ์ระดับโลกมูลค่า 4,000 ล้านเหรียญที่มีต่อคนยากจนสุดของประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในรัฐที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งหรือมีสถานการณ์เปราะบางอย่างเช่น อัฟกานิสถานและโซมาเลีย

                รัฐบาลส่วนใหญ่ต้องการให้มีความเห็นชอบต่อเนื้อหาของสนธิสัญญาที่เข้มแข็ง แต่ก็มีบางประเทศที่พยายามทำให้หลักเกณฑ์และนิยามของสนธิสัญญาอ่อนแอลง เมื่อเร็ว ๆ นี้สหรัฐอเมริกา จีน ซีเรีย และอียิปต์ แสดงความต่อต้านที่จะให้รวมยุทธภัณฑ์เข้าไปด้วย จีนต้องการให้ตัดหลักเกณฑ์ในสนธิสัญญาเกี่ยวกับอาวุธขนาดเล็กและอาวุธที่มอบเป็น “ของกำนัล” ให้กับรัฐบาลในตะวันออกกลางที่ไม่สนับสนุนสิทธิมนุษยชน

                ประชาชนทั่วโลกจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อผู้นำของตนเพื่อเจรจาให้มีเนื้อหาสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธที่เข้มแข็งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งคาดว่าการเจรจาจะสิ้นสุดลงในเดือนกรกฎาคม

 

เกี่ยวกับพันธมิตรควบคุมอาวุธ:
                พันธมิตรควบคุมอาวุธ (Control Arms) เป็นขบวนการระดับโลกที่รณรงค์ให้มีสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธ (Arms Trade Treaty - ATT) ที่มีผลผูกพันตามกฎหมายเพื่อคุ้มครองชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน
                มีสมาชิกและหน่วยงาน 90 แห่งและมีสำนักงานอยู่ในกว่า 125 ประเทศทั่วโลก นักรณรงค์จำนวนมากจะมารวมตัวกันในกรุงนิวยอร์กในเดือนกรกฎาคม เพื่อกดดันนักการทูตและรัฐมนตรีจากทั่วโลกเพื่อให้เจรจาเนื้อหาสนธิสัญญาซื้อขายอาวุธที่เข้มแข็ง ซึ่งจะบังคับให้รัฐต่าง ๆ ต้องยุติการเคลื่อนย้ายอาวุธและยุทธภัณฑ์ที่ส่งเสริมความขัดแย้ง ความยากจน และการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง  www.controlarms.org 

เกี่ยวกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
                แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลเป็นขบวนการระดับโลกที่มีผู้สนับสนุน สมาชิก และนักกิจกรรมกว่าสามล้านคนในกว่า 150 ประเทศและดินแดน ซึ่งทำงานรณรงค์เพื่อยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน             
                ทางหน่วยงานมีวิสัยทัศน์ที่มุ่งให้บุคคลทุกคนได้รับสิทธิมนุษยชนทุกประการตามที่ประกาศไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอื่น ๆ
                เราเป็นหน่วยงานอิสระจากรัฐบาล จากอุดมการณ์การเมือง จากผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจหรือศาสนา และได้รับทุนสนับสนุนจากค่าสมาชิกและการบริจาคของประชาชน www.amnesty.org

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จวก มข.ย้ายที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยฯ เข้ากรุงฯ ปิดทาง นศ.ร่วมให้ความเห็น

Posted: 02 Jul 2012 03:54 AM PDT

เครือข่ายนักศึกษาคัดค้าน มข.ออกนอกระบบ ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกสภามหาวิทยาลัย มข.ร้องทบทวนกรณีการย้ายสถานที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยไปจัดที่กรุงเทพฯ ชี้เลี่ยงปัญหา ปิดกั้นการมีส่วนร่วมของนักศึกษาตามหลักการของประชาธิปไตย

 
 
วันนี้ (2 ก.ค.55) เวลา 08.30 น. ตัวแทนเครือข่ายนักศึกษาคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบ ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ตึกอธิการบดี ให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยทบทวนเรื่องการย้ายสถานที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยขอนแก่นไปจัดที่โรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพมหานคร ให้กลับมาประชุมที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นเหมือนเช่นทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
 
ตัวแทนเครือข่ายนักศึกษาฯ ระบุว่า การย้ายสถานที่ประชุมดังกล่าวแสดงถึงเจตนาที่ต้องการหลบหลีก และบิดเบือนที่จะเปิดให้นักศึกษาได้มีการยื่นหนังสือในวันที่ 4 ก.ค.ที่จะถึงนี้ และไม่ต้องการเจรจาแลกเปลี่ยนกับนักศึกษา ทางเครือข่ายนักศึกษาคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบจึงเกิดความไม่ไว้วางใจ เกรงว่าจะเกิดความไม่ชอบธรรมในการประชุมในครั้งนี้ อีกทั้งไม่เห็นว่ามีเหตุผลจำเป็นในการย้ายสถานที่ประชุมไปที่กรุงเทพมหานคร
 
เครือข่ายนักศึกษาฯ มีข้อเสนอคือ ให้ทบทวนเรื่องย้ายที่ประชุมกลับมาเป็นมหาลัยขอนแก่นเหมือนเช่นเดิม และหากทางสภามหาวิทยาลัยไม่ยอมรับข้อเสนอ ทางเครือข่ายจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องกระบวนการการมีส่วนร่วมในวันที่ 3-4 ก.ค.55 และจะดำเนินการตามแนวทางประชาธิปไตยเพื่อทวงถามความชอบธรรมและต้องการให้มหาลัยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
 
 
 
ทั้งนี้จดหมายเปิดผนึกดังกล่าวมีเนื้อหาดังนี้
 
 
 
จดหมายเปิดผนึกเครือข่ายนักศึกษาคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบ  ถึงสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น
เรื่อง การย้ายที่ประชุมของสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น
เรียน นายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น
 
จากสถานการณ์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2555 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้มีหนังสือสอบถามมายังสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น เกี่ยวกับนโยบายการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบ ว่า ประชาคมในมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ไม่เห็นด้วยกับการแปรสภาพมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบ มีความเห็นสอดคล้องร่วมกันในอันที่ปรับเปลี่ยนสถานภาพไปเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบ แล้วหรือไม่ อย่างไรนั้น ปรากฏว่า สภามหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้มีมติและตอบหนังสือกลับไปยังสำนักงานคณะกรรมการการอุคมศึกษา (สกอ.) ว่า ประชาคมที่ไม่เห็นด้วยดังกล่าว ได้มีความเห็นสอดคล้องในการปรับเปลี่ยนสถานภาพไปเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบแล้ว โดยที่ข้อเท็จจริงแล้วนั้น ยังมีเครือข่ายนักศึกษาและประชาคมในมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ไม่เห็นด้วยกับการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกนระบบอยู่
 
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดกระแสต่อต้านการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบ จากนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นอย่างต่อเนื่อง และจะมีการยื่นข้อเสนอต่อผู้บริหารในวาระการประชุมสภามหาวิทยาลัยวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 แต่ทางสภามหาวิทยาลัยหลีกเลี่ยงปัญหา โดยย้ายสถานที่จัดการประชุมไปจัดที่โรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพมหานครแทน เป็นการแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมอันไม่เป็นประชาธิปไตย ในการแสดงความคิดเห็นของนักศึกษา
 
ดังนั้น เครือข่ายนักศึกษาคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบ จึงมีข้อเสนอให้ กรรมการสภามหาวิทยาลัยทบทวนการย้ายสถานที่ประชุม และให้กลับมาประชุมที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นเช่นเดิม มิเช่นนั้น เราจะถือว่าการกระทำของพวกท่าน คือ เผด็จการทางการศึกษา  ปิดกั้นการมีส่วนร่วมของนักศึกษาตามหลักการของประชาธิปไตย และหากทางสภามหาวิทยาลัยไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว เครือข่ายนักศึกษาคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบ จะทำการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องกระบวนการการมีส่วนร่วม ในการกำหนดนโยบายการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบอย่างถึงที่สุด
 
 
ด้วยจิตคารวะ
 
เครือข่ายนักศึกษาคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบ
2 กรกฎาคม 2555
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ข่าวสั้นบันเทิง: ตามไปดูโฆษณาการท่องเที่ยวเมืองเฉิงตู จับคาแรกเตอร์ของราชวงศ์อังกฤษมาช่วยโปรโมท

Posted: 02 Jul 2012 02:41 AM PDT

http://www.youtube.com/watch?v=2M-XPnldcEI
หมายเหตุ คลิปวิดีโอดังกล่าวถูกตั้งค่าส่วนตัว ภายหลังจากที่มีผู้เข้าชมไปแล้วราว 16,000 คน

ข่าวสั้นบันเทิง: ตามไปโฆษณาดูการท่องเที่ยวเมืองเฉิงตู จับคาแรกเตอร์ของราชวงศ์อังกฤษมาช่วยโปรโมท

อย่าเพิ่งตกใจว่าควีนอลิซาเบ็ธ เจ้าชายวิลเลี่ยมส์ และเคท มิดเดิลตัน มาร่วมแสดงด้วยกันเพื่อโปรโมทแคมเปญอะไรหรือเปล่า ทั้งสามคนในคลิปนี้ เป็น ‘ตัวปลอม’ ด้วยกันทั้งนั้น

คลิปนี้เป็นคลิปที่ทำโดย Chengdu Association for Cultural Exchange with Foreign Countries หรือการท่องเที่ยวเฉิงตูของประเทศจีน เพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวเมืองเฉิงตู อันเป็นเมืองต้นกำเนิดหมีแพนด้าสุดน่ารัก สินค้าขายดี อุ๊ย! มาสคอตการท่องเที่ยวของเมืองและประเทศจีนนั่นเอง

ว่าแต่คลิปนี้เกี่ยวอะไรกับราชวงศ์อังกฤษและหมีแพนด้า เรื่องราวของคลิปนี้ว่าด้วย สามราชวงศ์อังกฤษ (นับรวมเคท มิดเดิลตัน ในฐานะหลานสะใภ้ด้วย) กำลังจะไปงาน Diamond Jubilee หรืองานเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปีของควีนอลิซาเบ็ธ แต่ดันไม่สามารถใช้รถลีมูซีนของวังได้ ก็เลยต้องเรียกแท็กซี่ เจ้าชายวิลเลี่ยมส์จึงออกไอเดียเรียกแท็กซี่แพนด้าให้มารับ อันเป็นกิมมิคในการโปรโมทการท่องเที่ยวเมืองเฉิงตู และหมีแพนด้า โดยอาศัยเหตุการณ์ระดับโลกอย่างงานไดมอนด์ จูบิลี่

เรื่องควร มิควร ในการนำราชวงศ์มาล้อเลี่ยน เป็นตัวแสดงนั้น มีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปอย่างหลากหลาย บ้างว่าไม่ควร บ้างว่ากฎหมายไม่ได้ห้ามและในคลิปไม่ได้เป็นเรื่องที่ทำให้เสื่อมเสีย ร้ายแรง แต่ประการหนึ่ง การที่ใช้ตัวแสดงเป็นราชวงศ์อังกฤษก็บ่งบอกได้ว่าคนจีน (หรือองค์กรการท่องเที่ยวของจีนนี้) มีทัศนคติอย่างไรต่อคำว่า ‘ราชวงศ์’ ในแง่ของการเป็น Pop Icon มากกว่าจะเป็นสถาบันอันสูงส่งของสังคมอันมิอาจแตะต้องได้ โดยเฉพาะทัศนคติต่อเคท มิดเดิลตัน ซึ่งเห็นได้จากบทพูดของเธอที่ว่า

“I just don't understand why we cannot take the royal limo. I didn't marry into royalty to schlep around in a taxi."

อู้วววว...แสบๆ คันๆ

จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ทางต้นเรื่องที่ทำคลิปนี้บอกว่า แม้คลิปนี้จะดูหมิ่นเหม่ แต่มันเป็นเพียงความสนุกสนานที่ไม่ได้ทำร้ายใคร

ว่าแต่คนแคสติ้งนี่เก่งมากเลยนะ...แคสต์ตัวแสดงมาซะเหมือนเชียว

คลิปนี้เป็นคลิปที่เพิ่งมีการโพสต์ใหม่ หลังจากคลิปแรกที่เผยแพร่ในยูทูปว์ ในชื่อ chendu Queen takes taxi to Diamond Jubilee?! ถูกตั้งค่าเป็น private

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปิยบุตร แสงกนกกุล: Coup d'Etat 2.0 กระแสรัฐประหารรูปแบบใหม่ภายใต้การอ้างนิติรัฐ

Posted: 02 Jul 2012 01:51 AM PDT

 รัฐประหารโดยรัฐธรรมนูญ - รัฐประหารโดยศาล กำลังเป็นที่นิยมในหลายประเทศ ตลอดเดือนที่ผ่านมา ศาลแสดงบทบาทมาก ตั้งแต่ อียิปต์, ปากีสถาน, ปารากวัย, "ราชอาณาจักร" ไทย เมื่อสักครู่อ่านจาก หนังสือพิมพ์ฝรั่ง เขาตั้งชื่อว่า รัฐประหารในลักษณะนี้เป็น "Coup d'Etat 2.0" ภายหลังจาก Coup d'Etat โดยทหาร ล้าสมัยและสังคมโลกไม่อาจยอมรับได้

Coup d'Etat โดยศาล กล่าวอ้างความชอบธรรมได้เสมอ เพราะกระทำในนาม "กฎหมาย" ทำให้อำนาจดิบเถื่อนกลายเป็นสิ่งชอบธรรมและดู Rational มากขึ้น

เมื่อนิติรัฐเบ่งบานไปทั่วโลก หากศาลในประเทศไหนวิปริต คิดก่อการ Coup d'Etat ก็จะกระทำลงไปได้สะดวกขึ้น โดยอ้างความจำเป็นของการมีศาลในการควบคุมตรวจสอบตาม "นิติรัฐ"

นานาอารยประเทศจะไม่เข้ามาแทรกแซง กดดัน วิพากษ์วิจารณ์ เพราะ เป็นเรื่องระบบรัฐธรรมนูญภายในของแต่ละประเทศ และไม่ได้ใช้กำลังทางกายภาพที่แสดงออกอย่างประจักษ์ชัดถึงความรุนแรง และอย่างน้อยที่สุด ดีๆชั่วๆ มันก็มาในนาม "กฎหมาย"

นี่เป็นอันตราย และเป็นศักยภาพล่าสุดของ "Coup d'Etat 2.0"

What is to be done?

กับดักที่ทำให้ต้านรัฐประหารโดยศาลทำได้ยาก – ความเห็นต่างไม่มีผลทางกฎหมาย

อิทธิฤทธิ์ของ "Coup d'Etat 2.0" รัฐประหารโดยศาล อีกประการหนึ่ง คือ เขาจะผลักให้บุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินของศาล บุคคลที่เห็นว่าการตัดสินของศาลเป็น "รัฐประหารโดยศาล" ไปว่า "นี่เป็นความเห็นแตกต่างกัน คุณไม่เห็นด้วยก็เป็นการใช้เสรีภาพ แต่สุดท้าย ศาลตัดสินแล้วต้องเคารพ ไม่งั้นบ้านเมืองอยู่ไม่ได้"

วิธีการต่อต้านกับ "Coup d'Etat 2.0" รัฐประหารโดยศาล ที่ส่งผลพอฟัดพอเหวี่ยง และอาจต้านสำเร็จ มีเพียงประการเดียว คือ องค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นๆ ต้องใช้อำนาจที่ตนมีตามรัฐธรรมนูญ เข้าไปจัดการกับ "รัฐประหารโดยศาล" นั้น
เพราะ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ อาศัยอำนาจที่ตนมีตามรัฐธรรมนูญเข้าไป "กำจัด" ผลิตผลที่ศาลผลิตขึ้น นี่เป็นการทำตามอำนาจที่รัฐธรรมนูญให้ เหมือนกับที่ศาลก็อ้างแบบนี้

การให้บุคคลภายนอกวิจารณ์พวกเขาก็จะไม่ส่งผลทางกฎหมาย เพราะ พวกเขาจะโยนไปว่า "นี่เป็นความเห็นต่าง"
การให้ประชาชนออกไปชุมนุม ก็ไม่ส่งผลทางกฎหมาย พวกเขาจะโยนไปว่า "นี่คือการคุกคามศาล"
การเข้าชื่อถอดถอนศาล ก็สำเร็จได้ยาก เพราะ ผู้มีอำนาจถอดถอน อาจเป็นกลไกเดียวกับพวกเขา

ดังนั้น มีอยู่เพียงประการเดียว คือ องค์กรผู้มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจที่รัฐธรรมนูญมอบให้ ใช้กลไกต่างๆที่รัฐธรรมนูญมอบให้ เข้าไป "จัดการ" รัฐประหารของศาลเสีย

นี่เป็นการใช้อำนาจปะทะอำนาจ ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจให้ได้ดุลยภาพ ถ้าศาลไม่ใช้อำนาจออกนอกแถวมาก่อน ก็จะไม่มีการใช้อำนาจโต้กลับไป

พลังของตัวบทอยู่ที่การตีความ และการตีความอยู่ภายใต้การ “บีบ” ให้ผู้ตีความยับยั้งชั่งใจ

ขออนุญาตนำทฤษฎีของ Michel Troper มากล่าวซ้ำอีกครั้ง ความคิดของ Troper คร่าวๆ คือ เขาสร้างทฤษฎี Théorie réaliste de l'interprétation ขึ้นมา เพื่อบอกว่า ตัวบทที่ผลิตออกมาโดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือผู้ร่างรัฐธรรมนูญนั้น เป็นเพียงตัวบทเท่านั้น แต่ตัวบทจะกลายเป็น Norme ทางกฎหมาย มีพลังทางกฎหมายได้ ก็เพราะมีการตีความตัวบทนั้น ดังนั้น องค์กรผู้มีอำนาจตีความกฎหมายจึงเป็นคนกำหนด Norme คนร่าง กฎหมายไม่ได้เป็นคนกำหนด Norme

องค์กรผู้มีอำนาจตีความกฎหมายไม่จำเป็นต้องเป็นศาลเท่านั้น ประธานาธิบดีก็ตีความได้ นายกรัฐมนตรีก็ตีความได้ รัฐสภาก็ตีความได้ องค์กรผู้ใช้กฎหมายทั้งหลายก็ตีความได้

ปัญหาตามมาคือ เราจะมีวิธีถ่วงดุลองค์กรผู้ตีความ กฎหมายได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งตีความรัฐธรรมนูญ แล้วมีผลผูกพัน

นี่คือปัญหาพื้นฐานในการออกแบบโครงสร้างรัฐธรรมนูญเลย จะเห็นได้ว่า ประเทศที่มีศาลรัฐธรรมนูญเขาจะตีกรอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญให้น้อย และกำหนดให้ชัดเจนมากว่าศาลรัฐธรรมนูญจะใช้อำนาจได้อย่างจำกัด ตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนดอย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้ด้วยหลักการแบ่งแยกอำนาจที่มีเสถียรภาพและสมดุล ฝ่ายการเมืองก็อาจโต้ศาลรัฐธรรมนูญได้ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญตีความ มาตรา 190 เติมคำว่า "อาจจะ" รัฐสภาก็อาจแก้ไข รัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือ ศาลรัฐธรรมนูญอาศัย "ช่อง" ไปตรวจการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ รัฐสภาก็อาจแก้รัฐธรรมนูญกำหนดให้ชัดเจนว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจในเรื่องดังกล่าว เป็นต้น

Troper บอกว่า ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ยังต้องมี Théorie des contraintes juridiques ควบคู่ไปด้วย เขาพยายามหาคำตอบว่า แล้วทำไม องค์กรผู้ตีความกฎหมายถึงตีความไปในทางนี้ ทำไมตีความไปทางนั้น

ปัจจัยหลายอย่างที่มีส่วนสร้าง contraintes มีทั้งปัจจัยที่ไม่ใช่กฎหมายเช่น Ideology (อุดมการณ์) การฝึกฝนการเรียนรู้ของผู้พิพากษาตั้งแต่วัยเยาว์ และปัจจัยทางกฎหมาย เช่น การรักษาดุลยภาพของอำนาจ การจำกัดอำนาจการตีความของตนเอง

ทฤษฎี contraintes juridiques มุ่งสนใจแต่ส่วนหลัง เพราะ อยู่ในวงของวิชานิติศาสตร์  ส่วน contraintes ที่ไม่ใช่ทางกฎหมายนั้น สำนักกฎหมายเรียลิสม์ ของอเมริกาสนใจเป็นพิเศษ

Théorie des contraintes juridiques เข้ามา "บีบ" ให้องค์กรผู้มีอำนาจตีความได้ "ยับยั้งชั่งใจ" ก่อนตัดสินใจว่าจะตีความไปแบบใด โดยทั่วไปแล้ว contraintes juridiques ที่มีประสิทธิภาพ คือ การแบ่งแยกอำนาจให้ได้ดุลยภาพ เช่น หากองค์กร ก. ตีความแบบนี้ จนไปล้ำแดนขององค์กร ข. องค์กร ข. อาจใช้อำนาจโต้ได้ ซึ่งองค์กร ก. คำนวณแล้ว เกรงอันตราย ก็เลยเปลี่ยนใจไม่ตีความแบบนั้น เป็นต้น

แต่ถ้า "บีบ" ไม่สำเร็จ เช่น ศาล รธน ตีความ "บิดผัน-ล้ำแดน" ออกมาชัดเจน องค์กรตามรัฐธรรมนูญที่ได้รับผลกระทบ ย่อมใช้อำนาจของตน "ตอบโต้" กลับไป

อย่างไรก็ตาม Théorie des contraintes juridiques ของ Michel Troper อาจยิ่งซับซ้อนมากขึ้น ใน "ราชอาณาจักร" ไทย

ศาลรัฐธรรมนูญ "บิดผัน-ล้ำแดน" เพราะไม่เกรงกลัวต่อ contraintes juridiques ใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากตนเองมี ซูเปอร์ contraintes พอกระทำการใดๆออกมา รัฐสภากลับไม่กล้าสู้ ใช้อำนาจ "โต้" กลับไป เพราะ เป็นรัฐสภาต่างหากที่เกรงกลัว "ซูเปอร์ contraintes"

ส่วน "ซูเปอร์ contraintes" คืออะไร ท่านพิจารณากันเอาเอง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวญี่ปุ่นชุมนุมต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กลับมาเปิดใช้อีกครั้ง

Posted: 02 Jul 2012 01:43 AM PDT

ชาวญี่ปุ่นหลายสิบคน รวมตัวกันประท้วงหน้าโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์โอฮิ 3 ซึ่งจะกลับมาเปิดใช้อีกครั้งหลังหลุดทำงาน หวั่นเกิดเหตุนิวเคลียร์รั่วไหลซ้ำรอยเดือน มี.ค. ปีที่แล้ว ด้านรัฐบาลกล่าวถึงความจำเป็นในการใช้พลังงานไฟฟ้าในญี่ปุ่น

(1 ก.ค.55) ผู้ประท้วงในญี่ปุ่นจำนวนมากมาชุมนุมกันที่หน้าประตูของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เพิ่งกลับมาทำงานอีกครั้ง หลังจากที่ถูกปิดตัวไปเพื่อตรวจเช็คความปลอดภัยหลังเกิดเหตุวินาศกรรมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิม่า

โรงไฟฟ้าดังกล่าวคือโรงไฟฟ้าปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลขสามชื่อ โอฮิ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดฟุกุอิ โอฮิได้ถูกกลับมาเปิดใช้งานอีกครั้งเมื่อตอนเย็นวันที่ 1 ก.ค. ท่ามกลางความเห็นที่ไม่ตรงกันของประชาชน

เดือนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี โยชิฮิโกะ โนดะ ได้สั่งให้เปิดใช้โรงไฟฟ้าปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 3 และหมายเลข 4 ที่อยู่ใกล้กัน โดยบอกว่าประชาชนไม่อาจดำรงอยู่โดยมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้หากไม่มีพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์

สาเหตุที่ประชาชนจำนวนมากออกมาต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เนื่องจากเกรงกลัวเรื่องความปลอดภัยหลังเกิดอุบัติเหตุโรงไฟฟ้าฟูกุชิม่าเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา

โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมาก็มีประชาชนหลายหมื่นคนรวมตัวกันที่บ้านพักทางการของนายกฯ โนดะ เพื่อตะโกนเรียกร้องว่า "อย่าให้โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์กลับมาเปิดใช้อีก"

การประท้วงที่มีผู้คนมารวมตัวมากขนาดนี้เกิดขึ้นน้อยครั้งในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศเต็มไปด้วยระเบียบและการยอมตามกลุ่มทางสังคม


คนดังร่วมประท้วง

แม้ว่าการประท้วงในวันอาทิตย์จะไม่ได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลักในญี่ปุ่น แต่การชุมนุมทั่วประเทศก็เติบโตขึ้นผ่านการสื่อสารทางโซเชียลมีเดีย

การประท้วงครั้งนี้มีคนมีชื่อเสียงในญี่ปุ่นร่วมด้วย อาทิเช่น เคนซาบุโร่ โอเอะ นักเขียนรางวัลโนเบล และ ริวอิจิ ซากาโมโต้ ผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์เรื่อง เดอะ ลาส เอมเพอเรอร์

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของญี่ปุ่นทั้งหมด 50 แห่ง ค่อยๆ หยุดทำงานลงในช่วงที่เกิดแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทำให้เกิดการหลอมละลายในหลายจุดของโรงไฟฟ้าฟุกุชิม่าไดอิจิ จนกลายมาเป็นวินาศภัยทางนิวเคลียร์ครั้งร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์เชอโนบิล

อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเรื่องภาวะขาดแคลนพลังงานในช่วงฤดูร้อนเพิ่มมากขึ้น การนำเข้าน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นและเจ้าหน้าที่ก็ออกมาเตือนว่าจะเกิดเหตุไฟดับในบางพื้นที่

ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้ทำการตรวจทดสอบความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แล้ว และบอกว่าโรงไฟฟ้าโอฮิ หมายเลข 3 และ หมายเลข 4 ปลอดภัยสำหรับการกลับมาเปิดใช้อีกครั้ง


เหตุจากระบบทำความเย็น

ไทสุเกะ โคโนะ นักดนตรีอายุ 41 ปี เป็นหนึ่งในผู้ประท้วง 200 คนที่พยายามปิดทางเข้าโรงไฟฟ้าโอฮิ เขาบอกว่าผู้ประท้วงได้ปะทะกับตำรวจปราบจลาจลและมุ่งหมายจะปักหลักชุมนุมอยู่ข้ามวันข้ามคืน

"มันเป็นเรื่องโกหกที่บอกว่าพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานสะอาด" โคโนะกล่าว "หลังจากที่ถูกนิวเคลียร์ถล่มฮิโรชิม่าและนางาซากิมาแล้ว ญี่ปุ่นยังต้องการพลังงานนิวเคลียร์อีกหรือ"

บริษัทคันไซอิเล็กทริกซ์พาวเวอร์จำกัด ผู้ดำเนินการโรงไฟฟ้าโอฮิที่ญี่ปุ่นกลาง ไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ ในวันนี้ พวกเขากล่าวไว้ในเว็บไซต์ว่ามีการเปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หมายเลขสามให้กลับมาทำงานอีกครั้งในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการเริ่มผลิตพลังงานไฟฟ้า

โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ ไดอิจิ ซึ่งตั้งอยู่ในทางตอนเหนือของญี่ปุ่น เกิดการหลอมละลายและระเบิดขึ้น หลังจากที่เกิดสึนามิในวันที่ 11 มี.ค. ได้ทำลายเครื่องกำเนิดไฟฟ้าฉุกเฉินซึ่งใช้สำหรับทำงานปั๊มทำความเย็นให้เตาปฏิกรณ์หลัก

บริษัทโตเกียวอิเล็กทริกซ์พาวเวอร์จำกัด ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า กล่าวถึงปัญหาครั้งล่าสุดของโรงไฟฟ้าว่า ระบบทำความเย็นของแหล่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่เตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 ชำรุดในวันเสาร์ (30 มิ.ย.) ที่ผ่านมา และมีการตั้งระบบสำรองขึ้นในวันอาทิตย์ (1 ก.ค.)

ระบบทำความเย็นควรจะได้รับการซ่อมแซมภายใน 70 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นแล้วอุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้น และทำให้รังสีรั่วไหล
 

 


ที่มา

Protests in Japan as nuclear reactor restarts, Aljazeera, 01-06-2012
http://www.aljazeera.com/news/asia-pacific/2012/07/201271102219570481.html

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เรียกร้องสร้างมาตรฐานรถโดยสารสาธารณะ

Posted: 02 Jul 2012 01:26 AM PDT

นักวิชาการทีดีอาร์ไอ เผยการผลิตรถโดยสารสาธารณะของไทยทั้งรถขนาดเล็กขนาดใหญ่ ยังไร้ระเบียบบังคับการทดสอบมาตรฐานโครงสร้างรถ เป็นอีกสาเหตุความเสี่ยงภัยของผู้โดยสารที่ไม่มีสิทธิ์เลือก ความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะจึงสำคัญมากกว่าค่าโดยสาร เรียกร้องเร่งสร้างมาตรฐาน 3 องค์ประกอบ โครงสร้างรถ เบาะที่นั่ง เข็มขัดนิรภัย เพิ่มความปลอดภัย ช่วยลดความสูญเสีย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.สุเมธ องกิตติกุล นักวิชาการทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า เรื่องความปลอดภัยจากการเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ เป็นประเด็นที่ถูกหยิบมาพูดกันมากทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุความสูญเสีย ซึ่งที่ผ่านมาผู้เกี่ยวข้องมีความพยายามแก้ไขมาต่อเนื่อง แต่ระเบียบและข้อกำหนดยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ทำให้มาตรฐานและความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะที่ให้บริการอยู่ยังมีปัญหา จุดเริ่มต้นควรอยู่ที่มาตรฐานตัวรถหากอยู่ในสภาพแข็งแรง ได้มาตรฐาน มีการทดสอบต่อเนื่อง จะช่วยลดความสูญเสียจากความรุนแรงจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้

ในเรื่องมาตรฐานรถจะแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลักของรถ คือ ขั้นตอนออกแบบ ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องมีกระบวนการขออนุญาตแบบเหมือนกับการสร้างบ้าน ขั้นที่สองคือการผลิตรถซึ่งต้องมีการตรวจสอบ ขั้นที่สามคือการตรวจสภาพรถหลังจากมีการอนุญาตให้รถนั้น ๆ นำไปใช้งานแล้ว ทั้งสามขั้นตอนอยู่ภายใต้การดำเนินงานของกรมการขนส่งทางบก ที่ผ่านมายังไม่อาจตอบได้ว่ามีการตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรฐานได้อย่างเพียงพอหรือยัง เพราะจากอุบัติเหตุเล็กใหญ่ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนั้น หลายครั้งมีสาเหตุมาจากสภาพตัวรถที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดความสูญเสียมากกว่าที่ควรจะเป็น

ดร.สุเมธ กล่าวว่า จากการศึกษาเปรียบเทียบมาตรฐานรถโดยสารสาธารณะของไทยกับต่างประเทศ โดยดูสองขั้นตอนแรกเป็นหลัก พบว่ามาตรฐานของไทยก็ไม่ได้น้อยไปกว่าของต่างประเทศ แต่ในรายละเอียดบางกรณี การกำหนดข้อกำหนดมาตรฐานของไทยอาจไม่เทียบเท่า จึงทำให้ยังไม่เกิดความปลอดภัยในรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งประเด็นที่การศึกษาสนใจในเรื่องความไม่ปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ ได้แก่ เรื่องมาตรฐานโครงสร้างรถ ความแข็งแรงของโครงสร้างรถ ซึ่งในปัจจุบันมาตรฐานของต่างประเทศมีการกำหนดให้มีการทดสอบมาตรฐานโครงสร้างรถ แต่ปัจจุบันของไทยยังไม่มีระเบียบในการทดสอบบังคับใช้ เนื่องจากอุปสรรคหลายประการของหน่วยงานที่รับผิดชอบ รถโดยสารสาธารณะทั้งหมดที่มีการจดทะเบียนไปแล้วจนถึงปัจจุบันจึงเป็นรถที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการนี้ ทั้งที่ในความเป็นจริงการให้บริการรถโดยสารสาธารณะควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

ปัญหาของรถโดยสารสาธารณะ คือ เมื่อเกิดอุบัติเหตุกับรถโดยสารขนาดใหญ่ ความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุส่วนใหญ่จะมาจาก 1.โครงสร้างรถที่ไม่แข็งแรง หลังคายุบ หรือฉีกขาดเสียหายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ 2.เก้าอี้โดยสาร ไม่แข็งแรง มั่นคง 3.เข็มขัดนิรภัย ความแข็งแรงของโครงสร้างรถ ความแข็งแรงของเบาะที่นั่ง และการมีไม่มีของเข็มขัดนิรภัยจะอยู่ในสองกระบวนการแรกของมาตรฐานคือกระบวนการอนุญาตแบบรถและกระบวนการจดทะเบียนรถครั้งแรก แต่ทั้ง 3 ตัวก็เป็นผลของความที่รถอาจจะด้อยมาตรฐาน เมื่อเกิดการชน ทำให้โครงสร้างรถบิดเบี้ยว เบาะที่นั่งที่หลุด เกิดความสูญเสีย การมีเข็มขัดนิรภัยช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่าคือการมีโครงสร้างรถที่แข็งแรงได้มาตรฐานจะช่วยลดความสูญเสียได้มากกว่า เพราะเก้าอี้และเข็มขัดนิรภัยเป็นส่วนประกอบภายใน ที่ต้องยึดติดกับโครงสร้างที่แข็งแรงของตัวรถ หากเบาะที่นั่งไม่แข็งแรงติดเบาะนิรภัยไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เนื่องจากเข็มขัดนิรภัยจะทำการยึดรั้งของคนกับเบาะที่นั่ง และที่นั่งก็ยึดติดกับโครงสร้าง หากทำทั้งสามส่วนนี้ให้ได้มาตรฐานก็จะช่วยลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุนั้นได้

ดร.สุเมธ กล่าวว่า เมื่อยังไม่เคยมีการทดสอบ รถโดยสารสาธารณะในบ้านเราจึงมีปัญหาค่อนข้างเยอะ มีหลายมาตรฐาน ตั้งแต่ ผลิตดัดแปลงเองภายในประเทศโดยไม่ได้สนใจอะไร กับมาตรฐานที่อาจจะนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งก็มีหลายมาตรฐานอีกโดยมีทั้งที่นำเข้ามาทั้งคัน (ประกอบเสร็จ) หรือนำชิ้นส่วนเข้ามาแล้วนำมาประกอบภายใต้มาตรฐานของประเทศที่นำเข้า การดูแลในจุดนี้ยังมีช่องว่างเรื่องการกำหนดมาตรฐานกับเรื่องของการผลิต และส่วนใหญ่ก็คือมาตรฐานที่รัฐกำหนดก็มักเป็นมาตรฐานเชิงพินิจและตรวจสอบความแข็งแรงการตรวจสอบด้วยตาเปล่า โดยไม่ได้มีการทดสอบความแข็งแรงเชิงวัสดุ แต่ปัจจุบันกรมขนส่งทางบกก็มีการศึกษาและพยายามกำหนดระเบียบด้านนี้ออกมา แต่ก็ยังมีข้อขัดข้องที่ทำให้ดำเนินการได้ล่าช้า

เมื่อไม่มีการกำหนดมาตรฐานและการบังคับใช้ที่ชัดเจน การผลิตรถโดยสารขนาดใหญ่ในบ้านเราจึงขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ ที่จะคำนึงถึงปลอดภัยสูงสุดหรือการมีต้นทุนต่ำสุดเพื่อแข่งขันได้ในตลาด และอยู่ในเกณฑ์ความปลอดภัยที่รัฐกำหนดค่อนข้างต่ำมากและยังขาดการทดสอบที่เข้มงวด มาตรฐานที่ต่ำก็คือ หากเห็นว่าวิ่งได้ก็หมายความว่ามั่นคงแข็งแรง แต่ถ้าของต่างประเทศเขาก็จะมีการทดสอบการพลิกคว่ำ (Rollover Test) เพื่อทดสอบโครงสร้างหลักของรถโดยสารเมื่อเกิดการพลิกคว่ำ รวมกับความแข็งแรงของเก้าอี้รถโดยสาร ซึ่งพิจารณาสามส่วนหลักได้แก่ ความแข็งแรงของเฟรมที่นั่ง ความแข็งแรงของจุดต่อที่นั่งกับโครงสร้างรถ และความแข็งแรงของจุดต่อที่นั่งกับเข็มขัดนิรภัย

“สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเราตอนนี้คือ มีมาตรการบังคับใช้เข็มขัดนิรภัยออกมาก่อน โดยตอนนี้เริ่มบังคับใช้กับรถตู้โดยสารและสิ้นปีนี้กับรถโดยสารทุกชนิด แต่คำถามที่เกิดคือการบังคับใช้เข็มขัดนิรภัยก่อนไม่ได้ช่วยลดความสูญเสียจากการเกิดอุบัติเหตุ หากยังไม่ได้มีการแก้เรื่องโครงสร้างและกับความแข็งแรงของที่นั่งรถโดยสารด้วย การแก้จึงต้องมาแก้ที่การกำหนดมาตรฐานตั้งแต่แรก ซึ่งที่ผ่านมารัฐก็มีมาตรการแต่ยังดำเนินการช้าเกินไปทำให้เกิดปัญหา เนื่องจากมีรถจดทะเบียนมากขึ้นทุกวัน เราก็ควรมีการเร่งดำเนินการมากขึ้น”

นักวิชาการทีดีอาร์ไอ กล่าวด้วยว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทั้งจากความประมาท บังเอิญ หรือเหตุสุดวิสัย โครงสร้างรถที่แข็งแรงและปลอดภัยก็สามารถที่จะลดความสูญเสียได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้จึงต้องแก้ไขจากการกำหนดมาตรฐานของรัฐ โดยเฉพาะโครงสร้างรถ เบาะที่นั่ง และเข็มขัดนิรภัย ซึ่งทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้เร็วหรือช้ามากจากความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่จะให้ความสำคัญกับ “ความปลอดภัย” ของผู้โดยสารรถสาธารณะเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนลำดับแรก ๆ หรือไม่

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'FEMEN' ประท้วงเผด็จการคนสุดท้ายแห่งยุโรป 'Alexander Lukashenko'

Posted: 02 Jul 2012 01:26 AM PDT

'FEMEN' คัดค้านการเยือนของ Alexander Lukashenko ประธานาธิบดีเบลารุส ที่มีข่าวว่าจะเดินทางมาชมเกมในนัดชิงชนะเลิศระหว่างสเปนกับอิตาลี โดย Lukashenko นั้นหลายประเทศในสหภาพยุโรป (EU) สั่งห้ามเขาเดินทางเข้าประเทศ
 
 

 
ที่มาภาพและวีดีโอ http://femen.livejournal.com/
 
 
เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 55 ที่ผ่านมากลุ่ม FEMEN ได้ออกมาประท้วงบริเวณด้านหน้าสนามโอลิมปิก สเตเดี้ยม ในกรุงเคียฟ เพื่อคัดค้านการมาชมเกมของ Alexander Lukashenko ประธานาธิบดีเบลารุส ที่มีข่าวว่าจะเดินทางมาชมเกมในนัดชิงชนะเลิศระหว่างสเปนกับอิตาลี
 
หญิงสาวรายหนึ่งสวมใส่วิกผมพร้อมกับติดหนวดปลอมล้อเลียน Lukashenko ผู้ได้รับฉายาว่า 'เผด็จการคนสุดท้ายของยุโรป' ที่หลายประเทศในสหภาพยุโรป (EU) สั่งห้ามเดินทางเข้าประเทศ และผู้ประท้วงคนอื่นๆ ได้เขียนข้อความลงบนที่หน้าอกของพวกเธอว่า ‘respect, UEFA, KGB’
 
ทั้งนี้การประท้วงดำเนินการไปได้ระยะเวลาหนึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจยูเครนก็ได้มาคุมตัวพวกเธอออกไป
 
อนึ่งเมื่อปลายปีที่แล้ว (2011) นักกิจกรรมของ FEMEN ได้เดินทางไปยังเบราลุสเพื่อประท้วง Lukashenko และได้ถูกลักพาตัวไปทำร้ายร่างกายและจับพวกเธอเปลื้องผ้า รวมถึงข่มขู่และบังคับ ก่อนที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวจะยึดเสื้อผ้าและนำพวกเธอไปปล่อยไว้ในป่าในสภาพเปลือยเปล่า โดยทางกลุ่ม FEMEN เชื่อว่าเป็นฝีมือตำรวจลับของเบราลุส (KGB)
 
ที่มา:
 
Nude protest against Lukashenko's Kiev visit (http://english.ruvr.ru, 1-7-2012)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปิยบุตร แสงกนกกุล

Posted: 02 Jul 2012 01:14 AM PDT

Coup d'Etat โดยศาล กล่าวอ้างความชอบธรรมได้เสมอ เพราะกระทำในนาม "กฎหมาย" ทำให้อำนาจดิบเถื่อนกลายเป็นสิ่งชอบธรรมและดู Rational มากขึ้น

 

2 ก.ค. 2555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น