ประชาไท | Prachatai3.info |
- เกิดเหตุ 'ระเบิด-เผาเสาไฟ' หลายจุดชายแดนใต้ ส่งผลไฟดับ สัญญาณโทรศัพท์ขาดหาย หลายพื้นที่
- พล.อ.ประยุทธ์แถลงหลังใช้ รธน.60 ว่าไม่ได้มาเพื่ออยู่ไปวันๆ แต่มาแก้ไขปัญหาที่ค้างคา
- หน้าที่ 6 ประการของการสื่อสารด้วยภาษา: ข้อพิจารณาเกี่ยวกับข้อความ ‘แค็ป’ จากสื่อสังคม
- สปสช.จับมือพันธมิตรลงนาม ‘ชัวร์ก่อนแชร์’ สังคมได้รับรู้ข้อมูลถูกต้อง ไม่บิดเบือน
- รัฐธรรมนูญ 2560 แก้ 8 มาตราจากร่างฯประชามติ-ตัดองค์กรแก้วิกฤต-เพิ่มส.ว.ร่วมเลือกนายกฯ
- สงครามอาวุธเคมีในซีเรีย-พุ่งเป้าโรงเก็บอาวุธฝ่ายกบฏหรือโจมตีประชาชน
- [อ่านที่นี่] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
- สิทธิมนุษยชนของคนไร้สัญชาติที่กำเนิดจากแรงงานต่างด้าว
- 'ผสานวัฒนธรรม' จี้ตั้งกก.อิสระสอบเหตุ 'พลฯยุทธกินันท์' ถูกซ้อมตายในคุกทหาร ด่วน-โปร่งใส
- แอมเนสตี้ฯ ขอรัฐบาลไทยยกเลิกการดำเนินคดี ต่อนักปกป้องสิทธิฯ หลัง รธน.ใหม่ประกาศใช้
- พระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
- ประยุทธ์ ชี้ 'ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก' นำประเทศมีรายได้สูง ขอปชช.อย่าตื่นตระหนก
- ตร.ชี้ระเบิดหน้ากองสลากเก่า ชนิดแรงดันต่ำ ไม่ทำอันตรายถึงชีวิต ไม่พบโยงเหตุระเบิดที่ผ่านมา
- เดชตือโป๊ยก่าย ตอน รถถังประจัญบาน
- พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท์
เกิดเหตุ 'ระเบิด-เผาเสาไฟ' หลายจุดชายแดนใต้ ส่งผลไฟดับ สัญญาณโทรศัพท์ขาดหาย หลายพื้นที่ Posted: 06 Apr 2017 12:39 PM PDT เกิดเหตุรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้ ทั้ง ระเบิด เผาเสาไฟฟ้า โรยตะปูเรือใบ และเผายาง ใน ปัตตานี 11 จุด ยะลา 4 จุด นราธิวาส 8 จุด ส่งผลให้หลายพื้นที้ไฟฟ้าดับ สัญญาณโทรศัพท์ขาดหาย บางส่วนตั้งคำถามเกี่ยวกับประกาศใช้ รธน. 60 หรือไม่ ภาพจาก สำนักสื่อวาร์ตานี 7 เม.ย.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดระเบิดหลายจุดในพื้นที่ปาตานี หรือ จังหวัดชายแดนใต้ โดยเมื่อเวลาประมาณ 23.40 น. ของวันที่ 6 เม.ย. ต่อเนื่อง 00.00 น. ของวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุระเบิดและปฎิบัติทางอาวุธในหลายพื้นที่ ได้แก่ จ.สงขลา อ.จะนะ จ.ปัตตานี ได้แก่ อ.หนองจิก อ.โคกโพธ์ อ.กะพ้อ อ.สายบุรี อ.ปะนาเระ อ.มายอ และ อ.เมือง จ.ยะลา ใน อ.รามัน และ อ.บันนังสตา ส่วนใน จ.นราธิวาส มีเหตุการณ์ใน อ.เจาะไอร้อง อ.บาเจาะ อ.รือเสาะ อ.ตากใบ อ.สุไหงโกลก และ อ.สุไหงปาดี สำนักสื่อวาร์ตานี รายงานว่า มีการเผาเสาไฟฟ้าบริเวณ ม.5 บ.กาโสด ถนนสาย.ยะลา-เบตง จ.ยะลา มีการโรยตะปูเรือใบ และเผายางที่ มูโนะ สุไหงโกลก จ.นราธิวาส และได้ยินเสียงระเบิดเกิดขึ้น 2 ครั้ง พื้นที่สุไหงโกลก มีรายงานเพิ่มเติม มีระเบิดที่ ปาลัส อ.มายอ จ.ปัตตานี ที่อ.รือเสาะ มีเสียงระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง ไฟฟ้าดับ มีการเผายางหน้าเทคนิคกาญจนา เส้นทางไปหาดใหญ่ จ.สงขลา ระเบิดที่ สะพานเกาะเปาะ ก่อนถึงวงเวียนมะพร้าวต้นเดียว อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ที่อ.ยะรัง ปัตตานี มีเสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความโกลาหนให้กับชาวบ้านในพื้นที่อย่างยิ่ง โดยในหลายพื้นที้ไฟฟ้าดับ สัญญาณ AIS ขาดหาย สัญญาณดีแทคใช้งานได้บางพื้นที่ โดยสรุป มีเกิดรุนแรงที่ จ.ปัตตานี 11 จุด จ.ยะลา 4 จุด จ.นราธิวาส 8 จุด ภาพจาก ศูนย์แม่หลวง ปัตตานี ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ประชาชนในพื้นที่บางส่วน ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งตั้งคำถามต่อรัฐบาลด้วยว่าเหตุการณ์นี้มีความเกี่ยวข้องกับการประกาศใช้ "รัฐธรรมนูญ 2560" ที่เพิ่งประกาศใช้ในวันเดียวกันนี้ (6 เม.ย.60) ด้วยหรือไม่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
พล.อ.ประยุทธ์แถลงหลังใช้ รธน.60 ว่าไม่ได้มาเพื่ออยู่ไปวันๆ แต่มาแก้ไขปัญหาที่ค้างคา Posted: 06 Apr 2017 11:53 AM PDT พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงในโอกาสใช้รัฐธรรมนูญ 2560 โดยยืนยันว่า คสช. และรัฐบาลจะอยู่กับประชาชนต่อไป คำสั่งและประกาศ คสช. ยังมีผลใช้ต่อไป ยอมรับไม่สามารถระบุได้ว่าจะเลือกตั้งเมื่อใด และอันที่จริงไม่ว่าใครก็ไม่อาจระบุวัน เวลา ชัดเจนได้ ทราบแต่เพียงว่าวันนี้เริ่มต้นนับหนึ่งของการใช้รัฐธรรมนูญ ต่อจากนั้นเหตุอื่นๆ จะขับเคลื่อนเลื่อนไหลไปตามลำดับ พร้อมแนะคนเราเมื่อมีสิทธิ ก็ต้องมีหน้าที่คู่กัน จะเรียกร้องแต่สิทธิหรือเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวมิได้ คลิป พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. แถลงเนื่องในโอกาสประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. แถลงหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันนี้ (6 เม.ย.) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์เนื่องในโอกาสประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยมีรายละเอียดดังนี้ พี่น้องประชาชนที่เคารพ วันนี้ เมื่อ 235 ปีที่แล้ว เป็นวันสถาปนาพระบรมราชจักรีวงศ์ เริ่มต้นรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เราจึงเรียกว่า "วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" และ "วันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์" วันเวลาได้ผ่านพ้นรัชสมัยของพระมหากษัตริย์หลายพระองค์ มาจนถึงรัชกาลที่ 10 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ผมจึงใคร่ขอเชิญชวนทุกท่านน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบูรพกษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ ที่ปกเกล้าปกกระหม่อมชาวไทยให้ร่มเย็นเป็นสุข และรักษาเอกราช อธิปไตย ยั่งยืนมาได้จนถึงทุกวันนี้ วันเดียวกัน ในปีนี้ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับใหม่ แก่ประชาชนชาวไทยเรียบร้อยแล้ว นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ในประวัติการเมือง 85 ปีของไทย และเป็นรัฐธรรมนูญที่ได้รับความเห็นชอบในการออกเสียงประชามติถึง 16 ล้านเสียงเศษ คิดเป็นร้อยละ 61.35 จากจำนวนผู้มาใช้สิทธิออกเสียงประมาณ 30 ล้านคน หรือร้อยละ 60 ของผู้มีสิทธิทั้งหมด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในงานพระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม (ที่มา: โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย) ผลที่เกิดขึ้นจากการนี้ คือ 1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งใช้มาประมาณ 2 ปีเศษ เป็นอันสิ้นสุดลง 2. ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ คณะรัฐมนตรีชุดนี้จะยังคงอยู่ต่อไป เช่นเดียวกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง แม้แต่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ก็จะยังคงอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง 3. ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ สิทธิเสรีภาพของพี่น้องทั้งหลายจะมีเพิ่มขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่าหน้าที่ของชนชาวไทยก็เพิ่มจากเดิมด้วยเช่นกัน เพราะคนเราเมื่อมีสิทธิ ก็ต้องมีหน้าที่คู่กัน จะเรียกร้องแต่สิทธิ หรือเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว มิได้ เช่นเดียวกับรัฐ ซึ่งมีหน้าที่มากขึ้น แม้แต่การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการใช้อำนาจรัฐ และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ไม่ว่าทหาร ตำรวจ หรือพลเรือน ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเดิม 4. มีภารกิจสำคัญ 2 เรื่อง ที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่บัญญัติให้ต้องทำ คือ การวางยุทธศาสตร์ชาติระยะยาว เพื่อกำหนดเป้าหมายการพัฒนาประเทศ ทั้งในทางการเมือง การปกครอง ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม ว่าเราจะเดินหน้าต่อไปในทิศทางใด และด้วยวิธีการอย่างไร อีกเรื่องหนึ่งที่ควบคู่กัน คือ การปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ เพื่อจะได้ก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามยุทธศาสตร์ชาติ ภารกิจนี้มีความสำคัญมาก โดยระยะหนึ่งถึงกับพูดกันว่า "จะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง หรือจะเลือกตั้งแล้วจึงค่อยปฏิรูป" การดำเนินการทั้ง 2 ภารกิจนี้จะต้องมีกฎหมายมารองรับเพื่อกำหนดผู้รับผิดชอบ กำหนดวิธีดำเนินการ และขั้นตอนต่างๆ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งรัฐบาลจะได้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในเร็ววันนี้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาล ไม่ได้เข้ามาเพื่อต้องการอำนาจและผลประโยชน์ หรืออยู่ยาวนาน โดยปล่อยให้เหตุการณ์ต่างๆ ผ่านพ้นไปแต่ละวันโดยเปล่าประโยชน์ หากแต่ต้องการแก้ปัญหาเดิมๆ ที่ค้างคาอยู่ จนเป็นกับดักสกัดกั้นความเจริญของชาติ ทั้งนี้ ได้เคยแจ้งแผนและขั้นตอนการทำงาน หรือที่เรียกว่าโรดแมป ให้พี่น้องทั้งหลายทราบล่วงหน้ามาตั้งแต่แรกแล้วว่า ช่วงเวลาระยะที่ 1 จะเป็นการบริหารประเทศโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งได้สิ้นสุดลงแล้ว หลังจากใช้เวลาสั้นๆ เพียง 2 เดือน ช่วงเวลาช่วงต้นของระยะที่ 2 ก็คือการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นบริหารประเทศ ตลอดจนแต่งตั้งคณะบุคคลขึ้นยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งใช้เวลามาจนถึงบัดนี้ 2 ปีครึ่ง ช่วงปลายของระยะที่ 2 ก็คือ การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเริ่มต้นแล้วในวันนี้ แผนและขั้นตอนการทำงานในช่วงปลายต่อจากนี้ไป คือการบริหารประเทศโดยการเสริมสร้างความมั่นคงในทุกๆ ด้าน รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง พัฒนาคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ และแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ให้ทันสมัย ตลอดจนเตรียมการปฏิรูปประเทศ เตรียมการด้านยุทธศาสตร์ชาติ และสร้างความสามัคคีปรองดองของชนในชาติ ซึ่งรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นกำกับดูแลและขับเคลื่อนงานเหล่านี้ไว้แล้ว ดังที่เรียกตัวย่อว่า "ป.ย.ป." นอกจากนั้น ในช่วงปลายของระยะที่ 2 นับจากวันนี้ไป จะเป็นการเริ่มต้นของเหตุการณ์ต่างๆ ได้แก่ การที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 10 ฉบับ ให้แล้วเสร็จภายใน 8 เดือน แต่ละฉบับจะเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณา ซึ่งจะต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 2 เดือน หากมีการแก้ไขเพิ่มเติม ก็จะใช้เวลาเพิ่มอีกประมาณ 1 เดือน ต่อจากนั้น จึงนำทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นกฎหมายภายใน 90 วัน เมื่อประกาศใช้กฎหมาย 4 ฉบับแรก เฉพาะที่จำเป็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งครบถ้วนแล้ว ก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาของการเลือกตั้ง อันประกอบด้วย การสมัครรับเลือกตั้ง การรณรงค์หาเสียง และการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ซึ่งต้องทำให้เสร็จภายใน 5 เดือน นับจากวันประกาศใช้กฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งครบ 4 ฉบับ รัฐบาลไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าวันเลือกตั้งจะเป็นเมื่อใด เพราะยังไม่อาจกำหนดวันเริ่มต้นของแต่ละเหตุการณ์ได้ บัดนี้ เราทราบเพียงวันเริ่มต้นนับหนึ่งของเหตุการณ์แรก คือ การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ต่อจากนั้น เหตุการณ์อื่นๆ ก็จะขับเคลื่อนเลื่อนไหลไปตามลำดับ อันที่จริง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจระบุวัน เวลา ชัดเจนได้ นอกจากคาดเดาว่าน่าจะเป็นเมื่อนั้นเมื่อนี้ ขั้นตอนทั้งหลายจะเป็นดังที่เรียนมา และไม่ได้เพิ่งมากำหนดใหม่ในวันนี้ หากแต่ทุกคนทราบมาตั้งแต่การออกเสียงประชามติแล้ว โดยไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือ การเริ่มต้นนับหนึ่งของแต่ละเหตุการณ์เท่านั้น เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้น และจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว รัฐบาลนี้ก็จะส่งมอบภารกิจให้กับรัฐบาลใหม่ และสิ้นสุดการทำงานลง อันจะเป็นการเริ่มช่วงเวลาระยะ 3 ตามโรดแมปต่อไป นับจากวันนี้ รัฐบาลจะยังคงอยู่กับพี่น้องทั้งหลาย และปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้แต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็จะยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป บรรดาประกาศ และคำสั่งของ คสช. หรือหัวหน้า คสช. ที่ออกไปแล้ว ยังคงมีผลใช้บังคับ อำนาจตามมาตรา 44 ยังคงมีอยู่ ซึ่งจะใช้ภายใต้หลักเกณฑ์เดิม คือ ใช้เท่าที่จำเป็น เร่งด่วน เพื่อรักษาความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยของประเทศ หรือเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปและแก้ปัญหาของประเทศ ซึ่งไม่อาจใช้มาตรการปกติได้ทัน หากเนิ่นช้าออกไปจะเกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม พี่น้องประชาชนที่เคารพ รัฐบาลขอให้โอกาสต่อจากนี้ไป เป็นเวลาที่ทุกคน ทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน จะได้ร่วมมือกันยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาประเทศตามแนวทางประชารัฐ และปฏิบัติตามบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ที่มุ่งเห็นประเทศไทยมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในทุกทาง ในการร่วมกันสร้างความสามัคคีปรองดอง ตลอดจนรักษาความสงบเรียบร้อย สร้างบรรยากาศที่สงบและสันติสุข เอื้ออำนวยต่อวาระแห่งชาติที่จะมาถึง นั่นคือ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ใหม่ แม้แต่การเตรียมการเลือกตั้ง ภายใต้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บริสุทธิ์ และยุติธรรม เพื่อแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ ภายใต้กฎเกณฑ์ กติกาใหม่ เมื่อเป็นวาระแห่งชาติสำคัญ จึงไม่ควรที่ผู้ใดจะทำให้เสียบรรยากาศ หรือทำให้เสียความรู้สึก และเสียความตั้งใจของประชาชนชาวไทย รัฐบาลขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ช่วยกันประคับประคองสถานการณ์ ช่วยกันรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง และช่วยกันขับเคลื่อนโรดแมป จนผ่านพ้นช่วงเวลาและขั้นตอนต่างๆ มาได้ด้วยดี และขอเดชะพระบารมีแห่งสมเด็จพระบูรพกษัตริยาธิราชเจ้าในพระบรมราชจักรีวงศ์ จงพิทักษ์รักษาราชอาณาจักรไทยให้สงบสุข และปกเกล้าปกกระหม่อมประชาชนชาวไทย ให้เย็นศิระเพราะพระบริบาล สืบเนื่องต่อไปตราบกาลนาน เทอญ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
หน้าที่ 6 ประการของการสื่อสารด้วยภาษา: ข้อพิจารณาเกี่ยวกับข้อความ ‘แค็ป’ จากสื่อสังคม Posted: 06 Apr 2017 11:08 AM PDT
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อนำเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับปัจจัยและหน้าที่ของการสื่อสารด้วยภาษา ซึ่งอ้างอิงจากแนวคิดแรกเริ่มของโรมัน ยาคอบสัน (Jakobson, 1960) นักภาษาศาสตร์ชาวรัสเซียสัญชาติอเมริกัน ที่มุ่งเน้นการอธิบายลักษณะจำเพาะของการใช้ภาษาในวรรณกรรม (Eagleton, 1996: 85-86) และต่อมาได้แพร่หลายไปสู่ผู้ศึกษากระบวนการสื่อสารด้วยภาษาโดยทั่วไป (Danesi, 2013: 375-376) แม้ว่าแนวความคิดนี้จะไม่ใช่แนวความใหม่ในวงวิชาการด้านภาษาและการสื่อสาร แต่เนื่องจากในปัจจุบันลักษณะของ 'สื่อ' ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์ประเภทสื่อสังคม ที่ทำให้การสื่อสารระหว่างบุคคลในชีวิตประจำวันและการสื่อสารมวลชนกลายเป็นสิ่งที่แยกขาดจากกันได้ยากขึ้น การนำแนวคิดของยาคอบสันเกี่ยวกับปัจจัยและหน้าที่ของการสื่อสารด้วยภาษากลับมาพิจารณาใหม่บริบทปัจจุบัน ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ 'หลักฐานทางภาษา' เพื่อให้เห็นความละเอียดซับซ้อนของการสื่อสารด้วยภาษา อันจะนำไปสู่การเพิ่มความแม่นยำของการตีความหลักฐาน ตามทฤษฎีของยาคอบสัน การสื่อสารด้วยภาษา (verbal communication) ต้องอาศัยปัจจัย 6 ประการ คือ - ผู้ส่งสาร (addresser) - สารหรือข้อความที่ถูกสื่อออกมา (message) - ผู้รับสาร (addressee) - บริบทของการสื่อสาร (context) - ภาษาหรือรหัสที่ใช้ในการสื่อสาร (code) - ช่องทางถ่ายทอดที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร (contact) ในกรณีของการสื่อสารด้วยภาษา ผู้ส่งสาร ได้แก่ผู้พูด-ผู้เขียน เป็นต้น คือต้นทางของ 'สาร' หรือความที่ผู้ส่งสารส่งให้ผู้รับสาร ส่วนผู้รับสาร ได้แก่ ผู้ฟัง-ผู้อ่าน เป็นต้น ทำความเข้าใจสารที่ถูกส่งมาโดยมีบริบท กาลเทศะ หรือเป้าประสงค์ของการสื่อสารเป็นเครื่องกำกับความหมายของการสื่อสาร และอาศัยภาษาหรือรหัสที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารใช้ร่วมกันเป็นปัจจัยก่อให้เกิดความเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย ผ่านการเชื่อมโยงติดต่อถึงกันทางช่องทางใดช่องทางหนึ่ง เช่น การพูดคุยกันต่อหน้า การโทรศัพท์ระหว่างบุคคล หรือการพูดผ่านไมโครโฟนเพื่อขยายเสียงไปให้ถึงผู้ฟังหลายคนพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม การสื่อสารด้วยภาษาอาจทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างพร้อมกัน โดยอาศัยปัจจัย 6 ประการที่กล่าวถึงข้างต้น หน้าที่ของการสื่อสารด้วยภาษานี้ยาคอบสัน (1960) ระบุไว้ว่ามี 6 ประการตามปัจจัยของการสื่อสารด้วยภาษานั่นเอง ดังนี้ - หน้าที่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกของผู้ส่งสาร (emotive) - หน้าที่โน้มนำพฤติกรรมผู้รับสาร (conative) - หน้าที่ชี้แสดงวรรณศิลป์ของสาร (poetic) - หน้าที่ระบุความหมายตามบริบท (referential) - หน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ส่งสาร-รับสาร (phatic) - หน้าที่อธิบายความหมายของตัวภาษาเอง (metalingual) การส่งเสียงร้องเมื่อเจ็บปวด ตกใจ หรือประหลาดใจ เช่น โอ๊ย! เฮ้ย! โอ้แม่เจ้า! ทำหน้าที่บอกภาวะที่ผู้พูดกำลังประสบอยู่มากกว่าจะเป็นการส่งสารอย่างหนึ่งอย่างใดไปถึงผู้ฟัง ในขณะที่การถาม การขอร้อง หรือออกคำสั่ง เป็นการใช้ภาษาเพื่อก่อให้เกิดพฤติกรรมบางอย่างในฝั่งของผู้รับสาร เช่น หยุดคุยกันได้แล้ว เปิดประตูให้หน่อย สองบวกสิบเจ็ดเป็นเท่าไหร่? ซึ่งไม่ได้เน้นบอกกล่าวความหมายในฝั่งผู้พูด แต่เน้นที่พฤติกรรมที่ผู้พูดคาดหมายจากผู้ฟัง นั่นคือการที่ผู้ฟังหยุดคุยกัน ประตูถูกเปิดออก และคำตอบ 19 เป็นต้น ในบางกรณี สารบางอย่างอาจมีความสละสลวยงดงามเป็นพิเศษจนกระทั่งผู้รับสารให้ความสนใจกับตัวสารในระดับเดียวกับความหมายที่เฉพาะเจาะจงของมัน หรือบางครั้งก็ทำให้สารนั้นได้รับการพิจารณาในเชิงวรรณศิลป์ของตัวมันเอง โดยข้ามพ้นความจำกัดด้านกาลเทศะหรือบริบทที่สารนั้นถูกสร้างขึ้นในครั้งแรก ซึ่งเป็นกรณีที่สอดคล้องกับการใช้พิจารณาตัวบทวรรณคดี ที่บางครั้งตัวบทเองไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป้าหมายทางศิลปะแต่แรก เช่น พระราชหัตถเลขาของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ถึงพระโอรสธิดา ที่ภายหลังมีการนำมาศึกษาในฐานะตัวบทที่ทรงคุณค่าในตัวเอง แม้แรกเริ่มทีเดียวตัวบทดังกล่าวจะทำหน้าที่ในการสื่อสารภายในบริบทที่เฉพาะเจาะจง ในฐานะจดหมายส่วนตัวระหว่างพ่อ-ลูกในยามที่อยู่ห่างไกลกัน หน้าที่สื่อสารความหมายที่มีความเฉพาะเจาะจงภายในบริบทหนึ่ง ๆ นี้เองที่เป็นการสื่อสารในชีวิตประจำวันและใช้มากที่สุด เพราะภาษาเป็นระบบสัญลักษณ์ที่ผู้ใช้อาจใช้กล่าวถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้ตามขอบเขตที่ของความหมายที่มันมีอยู่ โดยคำพูดคำเดียวกันหรือประโยคเดียวกันอาจมีความหมายแตกต่างกันไปตามบริบทที่แปรไป เช่น ใครเป็นคนพูด พูดกับใคร พูดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ผู้พูดผู้ฟังเข้าใจตรงกัน แต่ผู้ที่ได้ยินการสนทนานั้นอาจไม่ทราบเลยว่าคู่สนทนากำลังคุยถึงเรื่องอะไรกันอยู่ ส่วนการใช้ภาษาเพื่อตรวจสอบประสิทธิผลของช่องทางสื่อสารหรือสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้พูด-ผู้ฟังนั้น เราอาจพบเจอได้เป็นครั้งคราวในชีวิตประจำวัน เช่น การนับเลขเพื่อตรวจสอบว่าไมโครโฟนและลำโพงใช้งานได้ การสอบถามคู่สนทนาทางโทรศัพท์ว่าได้ยินข้อความหรือไม่ การคุยเรื่องดินฟ้าอากาศเพื่อแสดงความเป็นพวกพ้องกัน เป็นต้น หน้าที่สุดท้ายที่จะกล่าวถึงก็คือการใช้ภาษาเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวภาษานั้นเอง ซึ่งใช้มากในทางวิชาการ เช่น การบอกประเภทและหน้าที่ทางไวยากรณ์ของคำในพจนานุกรม การให้นิยามของคำที่ใช้ เป็นต้น ภาพที่ 1: ปัจจัยและหน้าที่ของการสื่อสารด้วยภาษา ประเด็นปัญหาในการพิจารณารูปแบบสื่อสารทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องทาง Facebook ผู้เขียนพบว่ามีความยากในการระบุความหมายของข้อความด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรกคือการควบคุมขอบเขตของการสื่อสารหรือความเป็นส่วนตัว แม้ว่าการโพสต์ข้อความแสดงสถานะจะมีข้อกำหนดในการเห็นข้อความได้ก็ตาม แต่เนื่องจากผู้ใช้ Facebook เชื่อมโยงถึงกันในลักษณะเครือข่าย ผู้ที่ได้เห็นข้อความของผู้โพสต์อาจจะไม่ใช้ผู้รับสารที่ผู้โพสต์จงใจจะให้เห็นข้อความนั้นก็ได้ ประการที่สอง บริบททางความหมายของการสื่อสารผ่านข้อความแสดงสถานะหนึ่ง ๆ อาจสัมพันธ์กับความเข้าใจร่วมระหว่างผู้โพสต์และผู้รับสารที่ผู้โพสต์ตั้งใจจะสื่อสารด้วย ซึ่งก็อาจจะระบุได้อย่างตรงไปตรงมา ผ่านการแท็กชื่อบุคคลที่อยากให้รับรู้ การโพสต์บนกระดานข้อความของผู้อื่นทำให้คนเหล่านั้นทราบว่าผู้โพสต์กำลังกล่าวถึงอะไรอยู่ ในขณะที่ผู้อ่านคนอื่นอาจเข้าใจความหมายไปอีกอย่างหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เอง สารของข้อความในสื่อสังคมออนไลน์จึงมีความอ่อนไหวต่อบริบททางเวลาและหัวข้อการสื่อสารอย่างยิ่ง การพิจารณาความหมายของข้อความนอกบริบทเวลาและสถานการณ์ที่มันถูกเขียนขึ้นจะยิ่งทำได้ยากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาข้อความนั้นหลังจากข้อความถูกสร้างขึ้นในตอนแรกไประยะเวลาหนึ่ง นอกจากนั้นหากผู้พิจารณาข้อความมีความรู้พื้นหลังเกี่ยวกับข้อความนั้นแตกต่างไปจากที่ผู้รับสารเป้าหมายมากเท่าไร ผู้พิจารณาข้อความก็จะมีโอกาสในการเข้าใจความหมายของข้อความน้อยลงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น การใช้โปรแกรมจับภาพจากหน้าจอ หรือที่เรียกเป็นภาษาปากว่าการ 'แค็ปเจอร์' หรือ 'แค็ป' เพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นข้อมูลประกอบการศึกษาก็ดี หรือเพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าผู้เขียนข้อความจงใจละเมิดกฎหมายด้วยวาจาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี เป็นวิธีการที่เสี่ยงต่อการตีความหมายคลาดเคลื่อนไปจากบริบทเดิมของข้อความ โดยเฉพาะเมื่อผู้พิจารณาความหมายของข้อความพิจารณาข้อความนั้นในบริบทเวลาและเหตุการณ์ที่ห่างไกลไปจากบริบทดั้งเดิมของการสื่อสาร ดังนั้น การมีข้อมูลเกี่ยวกับบริบทในการสื่อสารของข้อความที่ถูก 'แค็ป' จึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ผู้พิจารณาความหมายและเป้าประสงค์ของข้อความที่อยู่ในการพิจารณา เพราะการกำหนดกรอบหรือบริบทของการพิจารณาย่อมส่งผลต่อการสรุปความหมายของข้อความ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยและหน้าที่ของการสื่อสารด้วยภาษาทั้ง 6 ประการตามที่ได้อธิบายมาแล้วข้างต้น ว่าผู้ส่งสารเป็นใคร อยู่ในสภาวการณ์เช่นไร เขากำลังสื่อสารอะไรด้วยความรู้สึกนึกคิดอย่างไร ใครคือผู้รับสารที่เขาตั้งใจจะสื่อสารด้วย และด้วยความคาดหวังเชิงพฤติกรรมเช่นไร เขาใช้ช่องทางการสื่อสารแบบไหน อาทิ การสื่อสารด้วยการโพสต์สถานะส่วนตัวอาจแตกต่างจากการแช็ทผ่านกล่องข้อความระหว่างคนสองคนหรือเป็นกลุ่ม แตกต่างจากการโพสต์ข้อความลงบนกระดานของผู้อื่น แตกต่างจากการให้ความเห็นสนับสนุนหรือตอบโต้ในโพสต์ของคนอื่น เป็นต้น และภาษาที่เขาใช้เป็นการจำกัดวงเพื่อให้เข้าใจในกลุ่มเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่อย่างไร การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยของการสื่อสารด้วยภาษาที่เสนอแนะไว้ข้างต้น แม้จะทำได้ยากแต่ก็เป็นประโยชน์สำหรับการพิจารณาความหมายของข้อความที่มีความละเอียดอ่อน อันส่งผลต่อการตัดสินความผิดถูกชั่วดีของผู้กล่าวหรือผู้ใช้ข้อความ มิฉะนั้นจะถือเป็นการด่วนสรุปและตัดสินบุคคลอย่างไม่ให้ความเป็นธรรม
Danesi, Marcel, 'Jakobson's Model of Communication,' in Encyclopedia of Media and Communication (ed. Marcel Danesi), 2013. Eagleton, Terry, Literary Theory: An Introduction (2nd edition), 1996. Jakobson, Roman, 'Closing Statement: Linguistics and Poetics,' in Style in Language (edited by Thomas Sebeok), 1960.
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
สปสช.จับมือพันธมิตรลงนาม ‘ชัวร์ก่อนแชร์’ สังคมได้รับรู้ข้อมูลถูกต้อง ไม่บิดเบือน Posted: 06 Apr 2017 08:52 AM PDT สปสช.จับมือ อสมท. และองค์กรพันธมิตร ร่วมขับเคลื่อน "ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์" หนุนเดินหน้ากลไกสร้างความเข้ 6 เม.ย. 2560 รายงานข่าวแจ้งว่า อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ โฆษกสำนักงานหลักประกันสุ โฆษก สปสช. กล่าวว่า ที่ผ่านมาในสื่อสังคมออนไลน์มี "จากความร่วมมือเพื่อขับเคลื่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
รัฐธรรมนูญ 2560 แก้ 8 มาตราจากร่างฯประชามติ-ตัดองค์กรแก้วิกฤต-เพิ่มส.ว.ร่วมเลือกนายกฯ Posted: 06 Apr 2017 08:07 AM PDT อ่านเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญ 2560 กับฉบับร่างก่อนลงประชามติ โดยมีการแก้ไขบทเฉพาะกาล มาตรา 272 ให้สอดคล้องกับคำถามพ่วง เปิดทางวุฒิสภาสมัยแรกที่มาจากการแต่งตั้งร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี และแก้ไขอีก 7 มาตรา ตามที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 4 บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญคืนมาแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะบางประเด็นได้ โดยมีการตัดมาตรา 5 องค์กรแก้วิกฤต แก้ไขมาตรา 12 คุณสมบัติองคมนตรี มาตรา 15 อำนาจการแต่งตั้งและการให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่ง มาตรา 16 มาตรา 17 การตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ เมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร มาตรา 19 ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งเคยได้รับการแต่งตั้งและปฏิญาณตนมาแล้ว ไม่ต้องปฏิญาณตนที่รัฐสภาอีก และมาตรา 182 เกี่ยวกับเรื่องผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ (แถวนั่งขวา) พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ (แถวนั่งซ้าย) และคณะองคมนตรีร่วมงานพระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม (ที่มา: โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ในงานพระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จะยังคงมีอำนาจในการบริหารประเทศต่อไปภายหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 โดยตามมาตรา 265 ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ตั้งขึ้นภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก (ที่มา: โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย)
6 เม.ย. 2560 ภายหลังจากที่ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) ต่อมาผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่ออ่านเนื้อหาในรัฐธรรมนูญ 2560 เปรียบเทียบกับ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ พบว่า นอกจากส่วนของคำปรารภที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกันแล้ว มีการแก้ไขเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ 2 ส่วน รวมแก้ไขทั้งสิ้น 8 มาตราดังนี้ส่วนแรก เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในบทเฉพาะกาล มาตรา 272 เพื่อให้สอดคล้องกับคำถามพ่วงในการลงประชามติ 7 สิงหาคม 2559และ ส่วนที่สอง เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหลายมาตรา รวม 7 มาตรา ทั้งนี้เป็นตามที่ระบุไว้ในมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2560 ที่บัญญัติว่ากรณีที่พระมหากษัตริย์พระราชทานข้อสังเกตว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อความใดภายในเก้าสิบวัน ให้นายกรัฐมนตรีขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญนั้นคืนมา เพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะประเด็นตามข้อสังเกตนั้นโดยในส่วนหลังนี้พบว่ามีการแก้ไขข้อความในรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย มาตรา 5 มาตรา 12 มาตรา 15 มาตรา 16 มาตรา 17 มาตรา 19 และมาตรา 182โดยเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเปรียบเทียบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ มีรายละเอียดดังนี้
มาตรา 5 ตัดเนื้อหาที่เกี่ยวกับองค์กรแก้วิกฤตในส่วนของมาตรา 5 มีการตัดทอนข้อความเดิมในร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติออกทั้งหมด 4 วรรค ตั้งแต่วรรค 3 จนถึง วรรค 6 โดยแต่เดิม ในมาตรา 5 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการอุดช่องว่างทางรัฐธรรมนูญและองค์กรแก้วิกฤต ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมข้อความซึ่งแต่เดิมไม่เคยระบุทั้งในรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 โดยมาตรา 5 ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ ระบุว่าให้อำนาจประธานศาลรัฐธรรมนูญจัดให้มีการประชุมร่วมระหว่างประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานองค์กรอิสระ เพื่อวินิจฉัยในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด โดยข้อความเดิมของมาตรา 5 ร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ ระบุว่า "มาตรา 5 รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้ เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อมีกรณีตามวรรคสองเกิดขึ้น ให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญจัดให้มีการประชุมร่วมระหว่างประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานองค์กรอิสระ เพื่อวินิจฉัย ในการประชุมร่วมตามวรรคสาม ให้ที่ประชุมเลือกกันเองให้คนหนึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมแต่ละคราว ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งใด ให้ที่ประชุมร่วมประกอบด้วยผู้ดำรงตำแหน่งเท่าที่มีอยู่ การวินิจฉัยของที่ประชุมร่วมให้ถือเสียงข้างมาก ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด คำวินิจฉัยของที่ประชุมร่วมให้เป็นที่สุด และผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ"
ขณะที่ข้อความในมาตรา 5 รัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งมีการแก้ไขระบุว่า "มาตรา 5 รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
มาตรา 12 คุณสมบัติองคมนตรีในมาตรา 12 เกี่ยวกับคุณสมบัติขององคมนตรี ข้อความเดิมในมาตรา 12 ร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติระบุว่า "มาตรา 12 องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ" ส่วนในมาตรา 12 รัฐธรรมนูญ 2560 ระบุว่า "มาตรา 12 องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง หรือข้าราชการเว้นแต่การเป็นข้าราชการในพระองค์ ในตำแหน่งองคมนตรี และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ"
มาตรา 15 การแต่งตั้งและการให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่งโดยใน มาตรา 15 ร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ ระบุว่า "มาตรา 15 การแต่งตั้งและการให้ข้าราชการในพระองค์และสมุหราชองครักษ์พ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย การจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกา" ขณะที่ในมาตรา 15 วรรคแรก รัฐธรรมนูญ 2560 ตัดคำว่า "และสมุหราชองครักษ์" ออก ทำให้เนื้อหาในมาตรา 15 ล่าสุด ระบุว่า "มาตรา 15 การแต่งตั้งและการให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยการจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกา"
มาตรา 16 เมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร | ||||
สงครามอาวุธเคมีในซีเรีย-พุ่งเป้าโรงเก็บอาวุธฝ่ายกบฏหรือโจมตีประชาชน Posted: 06 Apr 2017 06:29 AM PDT นานาชาติประณามเหตุโจมตีด้ แผนที่แสดงสถานการณ์ล่าสุดในซีเรีย ในเดือนมีนาคม 2017 พื้นที่สีแดงเป็นของรัฐบาลอัสซาด พื้นที่สีเขียวเป็นของฝ่ายกบฎ พื้นที่สีเหลืองเป็นของกองกำลังชาวเคิร์ด และพื้นที่สีเทาเป็นของกลุ่ม IS (ที่มา: วิกิพีเดีย) 6 เม.ย. 2560 จากกรณีที่ผู้คนในเขตปกครองอิ มีการประณามเหตุโจมตีในครั้งนี้ แต่ละฝ่ายออกมาพูดถึงสาเหตุ มีการนำเหยื่อที่ถูกโจมตีด้ กระทรวงกลาโหมของรัสเซียอ้างว่ ผู้เหมือนว่าคำอธิบายของรัสเซี มีการนำเสนอภาพเหตุการณ์โดยกลุ่ มาซิน ยูซิฟ เด็กชายอายุ 13 ปี ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าถึงเหตุ เหยื่ออีกรายหนึ่งชื่อ อาห์เหม็ด อับเดล ราฮิม อายุ 31 ปี พูดถึงเหตุการณ์ว่ามีสารพิษปล่ นักข่าวในพื้นที่รายงานว่ บอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่ ฝ่ายกองกำลังของอัสซาดปฏิเสธว่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการโจมตี เรียบเรียงจาก Syria chemical attack: Russia explanation rejected, CNN, 05-04-2017 Syria chemical 'attack': Russia faces fury at UN Security Council, BBC, 05-04-2017 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
[อ่านที่นี่] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 Posted: 06 Apr 2017 04:35 AM PDT เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่รัฐธรรมนูญ 2560 มีทั้งหมด 279 มาตรา โดยมีการแก้ไขให้สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติในประเด็นเพิ่มเติม และแก้ไขในส่วนที่นายกรัฐมนตรีขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญนั้นคืนมาแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะบางประเด็น ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 4 โดยมีรายละเอียดดังนี้ อ่านรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่นี่6 เม.ย. 2560 ภายหลังจากมีพระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามที่มีการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยแล้วนั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) ในเวลาต่อมาในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา มีการเผยแพร่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยส่วนของคำปรารภของรัฐธรรมนูญ 2560 มีรายละเอียดดังนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรตราไว้ ณ วันที่ 6 เมษายน พุทธศักราช 2560 เป็นปีที่ 2 ในรัชกาลปัจจุบัน ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนกาลเป็นอดีตภาค 2560 พรรษา ปัจจุบันสมัย จันทรคตินิยม กุกกุฏสมพัตสร จิตรมาส ชุณหปักษ์ ทสมีดิถี สุริยคติกาล เมษายนมาส ฉัฏฐสุรทิน ครุวาร โดยกาลบริเฉท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรกระหม่อม ให้ประกาศว่า นายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลว่า นับแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เป็นต้นมา การปกครองของประเทศไทยได้ดำรงเจตนารมณ์ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่อเนื่องมาโดยตลอด แม้ได้มีการยกเลิก แก้ไขเพิ่มเติม และประกาศใช้รัฐธรรมนูญเพื่อจัดระเบียบการปกครองให้เหมาะสมหลายครั้ง แต่การปกครองก็มิได้มีเสถียรภาพหรือราบรื่นเรียบร้อยเพราะยังคงประสบปัญหาและข้อขัดแย้งต่าง ๆ บางครั้งเป็นวิกฤติทางรัฐธรรมนูญที่หาทางออกไม่ได้ เหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการที่มีผู้ไม่นำพาหรือไม่นับถือยำเกรงกฎเกณฑ์การปกครองบ้านเมือง ทุจริตฉ้อฉลหรือบิดเบือนอำนาจ หรือขาดความตระหนักสำนึกรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชนจนทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นผล ซึ่งจำต้องป้องกันและแก้ไขด้วยการปฏิรูปการศึกษาและการบังคับใช้กฎหมาย และเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบคุณธรรมและจริยธรรม แต่เหตุอีกส่วนหนึ่งเกิดจากกฎเกณฑ์ การเมืองการปกครองที่ยังไม่เหมาะสมแก่สภาวการณ์บ้านเมืองและกาลสมัย ให้ความสำคัญแก่รูปแบบและวิธีการยิ่งกว่าหลักการพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่อาจนำกฎเกณฑ์ที่มีอยู่มาใช้แก่พฤติกรรมของบุคคลและสถานการณ์ในยามวิกฤติที่มีรูปแบบและวิธีการแตกต่างไปจากเดิมให้ได้ผล รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2558 จึงได้บัญญัติให้มีคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อใช้เป็นหลักในการปกครอง และเป็นแนวทางในการจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น โดยได้กำหนดกลไกเพื่อจัดระเบียบและสร้างความเข้มแข็งแก่การปกครองประเทศขึ้นใหม่ด้วยการจัดโครงสร้างของหน้าที่และอำนาจขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ และสัมพันธภาพระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารให้เหมาะสม การให้สถาบันศาลและองค์กรอิสระอื่นซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สุจริต เที่ยงธรรมและมีส่วนในการป้องกันหรือแก้ไขวิกฤติของประเทศตามความจำเป็นและความเหมาะสม การรับรอง ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยให้ชัดเจนและครอบคลุมอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยถือว่าการมีสิทธิเสรีภาพเป็นหลักการจำกัดตัดสิทธิเสรีภาพเป็นข้อยกเว้นแต่การใช้สิทธิเสรีภาพดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เพื่อคุ้มครองส่วนรวม การกำหนดให้รัฐมีหน้าที่ต่อประชาชนเช่นเดียวกับการให้ประชาชนมีหน้าที่ต่อรัฐ การวางกลไกป้องกัน ตรวจสอบ และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบที่เข้มงวด เด็ดขาด เพื่อมิให้ผู้บริหารที่ปราศจากคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล เข้ามามีอำนาจในการปกครองบ้านเมืองหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจ และการกำหนดมาตรการป้องกันและบริหารจัดการวิกฤติการณ์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนได้กำหนดกลไกอื่น ๆ ตามแนวทางที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ระบุไว้ เพื่อใช้เป็นกรอบในการพัฒนาประเทศตามแนวนโยบายแห่งรัฐและยุทธศาสตร์ชาติซึ่งผู้เข้ามาบริหารประเทศแต่ละคณะจะได้กำหนดนโยบายและวิธีดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป ทั้งยังสร้างกลไกในการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญและจำเป็นอย่างร่วมมือร่วมใจกัน รวมตลอดทั้งการลดเงื่อนไขความขัดแย้งเพื่อให้ประเทศมีความสงบสุข บนพื้นฐานของความรู้รักสามัคคีปรองดอง การจะดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ให้ลุล่วงไปได้ จำต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประชาชนทุกภาคส่วนกับหน่วยงานทั้งหลายของรัฐตามแนวทางประชารัฐภายใต้กฎเกณฑ์ ตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและประเพณีการปกครองที่เหมาะสมกับสถานการณ์และลักษณะสังคมไทย หลักความสุจริต หลักสิทธิมนุษยชน และหลักธรรมาภิบาล อันจะทำให้สามารถขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างเป็นขั้นตอนจนเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ทั้งในทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในการดำเนินการดังกล่าว คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้สร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ในหลักการและเหตุผลของบทบัญญัติต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงร่างรัฐธรรมนูญ และความหมายโดยผ่านทางสื่อต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาสารัตถะของร่างรัฐธรรมนูญด้วยการเสนอแนะข้อควรแก้ไขเพิ่มเติม เมื่อการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ก็ได้เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญและคำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญโดยสรุปในลักษณะที่ประชาชนสามารถเข้าใจเนื้อหาสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญได้โดยสะดวกและเป็นการทั่วไป และจัดให้มีการออกเสียงประชามติ เพื่อให้ความเห็นชอบแก่ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ในการนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีมติเสนอประเด็นเพิ่มเติมอีกประเด็นหนึ่งเพื่อให้มีการออกเสียงประชามติในคราวเดียวกันด้วย การออกเสียงประชามติ ปรากฏผลว่า ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติโดยคะแนนเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญและประเด็นเพิ่มเติมดังกล่าว คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจึงดำเนินการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติในประเด็นเพิ่มเติม และได้ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าเป็นการชอบด้วยผลการออกเสียงประชามติแล้วหรือไม่ ซึ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมข้อความบางส่วน และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้ดำเนินการแก้ไขตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว นายกรัฐมนตรีจึงนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2560 บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญนั้นคืนมาแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะบางประเด็นได้ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ นายกรัฐมนตรีจึงนำร่างรัฐธรรมนูญนั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยสืบไป ทรงพระราชดำริว่าสมควรพระราชทานพระราชานุมัติ จึงมีพระราชโองการดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้ขึ้นไว้ ให้ใช้แทนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งได้ตราไว้ ณ วันที่ 22 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 ตั้งแต่วันประกาศนี้เป็นต้นไป ขอปวงชนชาวไทย จงมีความสมัครสโมสรเป็นเอกฉันท์ ในอันที่จะปฏิบัติตามและพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ เพื่อธำรงคงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย และนำมาซึ่งความผาสุกสิริสวัสดิ์พิพัฒนชัยมงคล อเนกศุภผลสกลเกียรติยศสถาพรแก่อาณาประชาราษฎรทั่วสยามรัฐสีมา สมดั่งพระราชปณิธานปรารถนาทุกประการ เทอญ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai This posting includes an audio/video/photo media file: Download Now | ||||
สิทธิมนุษยชนของคนไร้สัญชาติที่กำเนิดจากแรงงานต่างด้าว Posted: 06 Apr 2017 04:09 AM PDT
ปัจจุบันปัญหาเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวหรือแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในเมืองไทยมีทั้งการเข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเห็นได้จากการกลับคืนถิ่นช่วงเทศกาลทุกปี ปีละหลายแสนคนตลอดมา หลายคนมีครอบครัวและให้กำเนิดบุตรระหว่างการทำงานในประเทศไทย ทว่าบุตรที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นคนชายขอบหรือผู้ด้อยโอกาสที่ไม่ได้รับการคุ้มครองรับรองตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเอกชน หรือกฎหมายมหาชน ซึ่งถือเป็นบุคคลไร้สัญชาติ หรือบางคนไร้สัญชาติ และไร้รัฐ เมื่อมองในแง่ของความเสมอภาคหรือความไม่เท่าเทียมกัน (the equality/inequality discourse) แล้ว "แรงงานต่างด้าวหรือแรงงานข้ามชาติ" ยิ่งถูกตอกย้ำเรื่องความเป็นชายขอบหรือด้อยโอกาสมากขึ้นบนโลกใบนี้ขณะเดียวกันคนเหล่านี้ยังสร้างปัญหาให้กับสังคมไทยก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ในสังคมไทยอยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทยก็ยังคงกลืนไม่เข้าและคายไม่ออกกับปัญหาเนื่องจากนโยบายการพัฒนาประเทศทดแทนการนำเข้าในภาคอุตสาหกรรม และนโยบายส่งเสริมการลงทุน ซึ่งจำเป็นต้องใช้แรงานจำนวนมากในภาคอุตสาหกรรม กอปรกับประเทศไทยยังประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน จึงจำเป็นต้องอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวหรือแรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรไทย และต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ รวมถึงการหาทางออกเรื่องสวัสดิการบุตรผู้ไร้สัญชาติที่เกิดจากแรงงานต่างด้าวหรือแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ด้วย | ||||
'ผสานวัฒนธรรม' จี้ตั้งกก.อิสระสอบเหตุ 'พลฯยุทธกินันท์' ถูกซ้อมตายในคุกทหาร ด่วน-โปร่งใส Posted: 06 Apr 2017 03:10 AM PDT มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แนะ รบ.ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ได้รับจาก กก.ต่อต้านการทรมาน ยูเอ็น ส่วน กองทัพต้องปรับทัศนคติเจ้าหน้าที่ในสังกัดของตน ตรวจสอบเรือนจำ ให้เป็นไปตาม "ข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง" ของสหประชาชาติ หรือ "ข้อกำหนดแมนเดลา" ภาพพลทหารยุทธกินันท์ บุญเนียม ก่อนและหลังถูกทำร้ายร่างกาย จนเสียชีวิตในวันที่ 1 เม.ย. 2560 6 เม.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ออกแถลงการณ์ กรณีพลทหารยุทธกินันท์ บุญเนียม ถูกซ้อมจนเสียชีวิต ขณะถูกขังในเรือนจำมณฑลทหารบกที่ 45 ค่ายวิภาวดีรังสิต จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งข้อสั โดยมีรายละเอียดดังนี้ สืบเนื่องจากกรณีที่มีรายงานข่า จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น มูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอตั้งข้อสั 1. มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเห็นว่าเห 2. ภายใต้ข้อกำหนด พระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทางทห 3.ถ้าหากปรากฎว่าการกระทำดังกล่ 4. การตายในระหว่างการควบคุมตัว 5. การสืบสวนสอบสวนการตายในระหว่ จากเหตุดังกล่าวมูลนิธิผสานวัฒน 1. ขอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการที่เป็นอิสระ ซึ่งประกอบไปด้วยผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมีอำนาจให้สอบข้อเท็จจริงกรณี 2. ขอให้ทางกองทัพ มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือแก้ไข นโยบาย แบบแผน ทัศนคติ เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเจ้าหน้า 3. ขอให้รัฐบาลปฏิบัติตามข้อเส 4. ขอให้กองทัพดำเนินการสำรวจตรวจส ทั้งนี้มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ขอสนั มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ขอแสดงความเ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
แอมเนสตี้ฯ ขอรัฐบาลไทยยกเลิกการดำเนินคดี ต่อนักปกป้องสิทธิฯ หลัง รธน.ใหม่ประกาศใช้ Posted: 06 Apr 2017 02:38 AM PDT ผอ.สนง.ภูมิ 6 เม.ย. 2560 วันนี้ (6 เม.ย.60) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิ รายงานข่าวจาก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล แจ้งว่า แชมพา พาเทล (Champa Patel) ผู้อำนวยการสำนักงานภูมิ แชมพา พาเทล กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญใหม่กำหนดให้ "เราเรียกร้องรัฐบาลไทยให้เปิ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
พระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 Posted: 06 Apr 2017 02:25 AM PDT สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 เสด็จฯ พระที่นั่งอนันตสมาคม ทรงลงพระปรมาภิไธย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์อ่านกระแสพระราชปรารภ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ที่มาของภาพ: โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้อาลักษณ์ กองอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี อ่านกระแสพระราชปรารภ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 6 เม.ย. 2560 เมื่อเวลา 15.00 น. โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถ่ายทอดสด พระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ภายในพระราชวังดุสิต ตามที่ระบุในหมายกำหนดการ พระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษานั้น โดยในเวลา 15.05 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน ไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต ทรงยืนหน้าพระราชอาสน์ หน้าพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร แวดล้อมด้วยเครื่องประกอบ พระราชอิสริยยศ มหาดเล็กรัวกรับ เวลา 15.08 น. ชาวม่านเปิดพระวิสูตร ชาวพนักงาน ประโคมกระทั่งแตรมโหระทึก ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี พระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะทูต สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรอิสระ ข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ตามตำแหน่งเป็นมหาสมาคม เมื่อสุดเสียงประโคมแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เชิญรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ทูลเกล้า ฯ ถวาย เวลา 15.11 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว พระราชทานแก่นายกรัฐมนตรี เจ้าพนักงานอาลักษณ์ กองอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ประทับพระราชลัญจกรแล้วเชิญไป ประดิษฐานบนพานทองที่เสาบัวหน้ามหาสมาคม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้อาลักษณ์ กองอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี อ่านกระแสพระราชปรารภ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จบแล้ว ชาวพนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร ดุริยางค์ ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ยิงปืนใหญ่ฝ่ายละ 21 นัด และวัดทั่วราชอาณาจักรย่ำระฆังและกลอง ครั้นสุดเสียงปืนใหญ่ มหาดเล็กรัวกรับ ชาวม่านปิดพระวิสูตร ชาวพนักงานประโคมกระทั่งแตร มโหระทึก วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินกลับ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
ประยุทธ์ ชี้ 'ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก' นำประเทศมีรายได้สูง ขอปชช.อย่าตื่นตระหนก Posted: 06 Apr 2017 02:02 AM PDT พล.อ.ประยุทธ์ ระบุนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงสู่โฉมใหม่ พัฒนาด้วยนวัตกรรม นำประเทศมีรายได้สูง ชี้ต้องปรับแก้ไขกฎระเบียบกติกาให้เหมาะสมกับการลงทุน ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก ยอมให้ความร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อเดินหน้าอนาคตของประเทศ ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล 6 เม.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่า วานนี้ (5 เม.ย.60) เวลา 14.00 น. ณ อาคารผู้โดยสาร (หลังใหม่) การท่าอากาศยานอู่ตะเภา จ.ระยอง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่า EEC จะเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นประเทศไทยโฉมใหม่ พัฒนาด้วยนวัตกรรม เชื่อมต่อความเจริญจากภูมิภาคสู่ภูมิภาค สร้างอนาคตที่ดีให้แก่ประเทศ ส่วนเอกชนที่สนใจจะลงทุนในพื้นที่ ต่างแสดงความพอใจ และมีแนวโน้มตอบรับที่ดีกับนโยบายนี้ แต่รัฐบาลยังคงต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ลดความหวาดระแวงระหว่างรัฐกับเอกชน ปรับแก้ไขกฎระเบียบกติกา เพื่อให้เหมาะสมกับการลงทุน ทั้งยังต้องพัฒนาบุคลากรให้สอดรับกับการพัฒนาในยุคใหม่ ตรงกับความต้องการของภาคธุรกิจ พร้อมยึดแนวทางการสร้างผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ให้เกิดขึ้นกับประชาชนโดยรวม โดยเฉพาะประชาชนที่ได้รับผลกระทบในบริเวณพื้นที่โดยรอบ EEC และ ประชาชนอย่าตื่นตระหนก ยอมให้ความร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อเดินหน้าอนาคตของประเทศ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ดีที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่รัฐบาลต่อ ๆ ไปจะต้องดำเนินการสานต่อตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี "รัฐบาลมีความเป็นห่วงเรื่องใช้จ่ายงบประมาณในอนาคต ที่จะต้องหารายได้เพิ่มเติม เพราะหากอนาคตมีรายได้เพียงพอ จะมีความสามารถในการดูแลสวัสดิการให้ประชาชนทุกกลุ่ม และให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งและการพัฒนาตัวเองของประชาชนให้ทันต่อเศรษฐกิจยุค 4.0 ประเทศไทยจึงต้องปรับกฎระเบียบกติกาให้เอื้อต่อการลงทุน สร้างมูลค่าเพิ่มให้ประเทศ ทั้งนี้ เมื่อทราบปัญหาและปัจจัยต่าง ๆ แล้ว สิ่งสำคัญคือการหาแนวทางปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาด้วยการแสวงหาความร่วมมือ การลงนามในบันทึกข้อตกลงและการผลักดันโครงการสำคัญต่าง ๆ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือจากประชาชน" พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า EEC ถือเป็นก้าวแรกการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยใหม่ไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง ซึ่งในอนาคตอาจจะพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจในพื้นที่อื่น เพื่อเชื่อมโยงกับทุกพื้นที่อุตสาหกรรม นอกจากนี้ รัฐบาลยังผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษใน 10 จังหวัดที่จะเชื่อมโยงกับ EEC และเชื่อมต่อไปยัง CLMV และประชาคมโลก ซึ่งจากการได้พบผู้บริหารภาคเอกชน ทุกคนมีความพึงพอใจในโครงการของรัฐบาล ประเด็นสำคัญคือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน สร้างผลประโยชน์ที่เท่าเทียมและเป็นธรรม สร้างผลประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่และประชาชนโดยรวม ขอประชาชนในพื้นที่อย่าตกใจและขอความร่วมมือ โดยก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน เวลา 09:15 น. ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเอกชนชั้นนำต่างชาติที่สนใจลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ห้องรับรอง ชั้น 2 อาคารผู้โดยสารหลังใหม่ การท่าอากาศยานอู่ตะเภา ทั้งนี้ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับคณะภาคเอกชนในวันนี้ พร้อมแสดงความขอบคุณในความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของประเทศไทย และขอบคุณในความร่วมมือที่มีให้กับประเทศไทยมาโดยตลอด โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้แนะนำคณะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เข้าร่วมการหารือ อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น นายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลมีเจตนารมย์อย่างมุ่งมั่น ที่จะทำให้พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเป็นการสร้างอนาคตของประเทศไทย ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน โดยรัฐบาลได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน ทั้งทางด้านกฎหมาย และสิทธิประโยชน์ต่างๆ อย่างไรก็ตามการพัฒนาต้องเป็นไปอย่างสมดุลกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกจะเป็นประโยชน์อย่างสูงกับประเทศไทย ภูมิภาค CLMV รวมถึงประชาชนในพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลจะดูแลประชาชนโดยรอบให้ได้รับประโยชน์สูงสุด มีการเติบโตอย่างเข้มแข็ง มีรายได้ที่เพียงพอ นอกจากนี้รัฐบาลยังได้จัดหาบุคลากร พัฒนาด้านการศึกษา การผลิตคน เพื่อให้รองรับการเติบโตของ EEC ในอนาคต นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในวันนี้จะเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งจะมีการหารือถึงแผน EEC การสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รถไฟรางคู่เชื่อม 3 ท่าเรือ เขตนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและดิจิตัล และการสร้างเมืองใหม่ ในจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นต้น โอกาสนี้ภาคเอกชนได้แสดงความคิดเห็นและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก อาทิ BMW แสดงความขอบคุณรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในไทยมาโดยตลอด โดยเห็นว่า EEC จะเป็นประโยชน์ด้านการขนส่งสินค้าแก่บริษัทฯ และยืนยันความพร้อมในการทำงานร่วมกับรัฐบาลอย่างใกล้ชิด LAZADA กล่าวว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจในไทยกว่า 5 ปี ในด้าน E-commerce โดยหวังให้รัฐบาลพัฒนาด้านบุคลากรเพื่อรองรับด้านดิจิทัลในอนาคต Toyota กล่าวว่าบริษัทฯ มีแผนการลงทุนในไทยอย่างเต็มที่ โดยมีพื้นที่การผลิตหลักอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา อย่างไรก็ดี ขอให้รัฐบาลดูแลเรื่องถนนหนทางที่ขาดแสงสว่าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ PPT GC กล่าวว่าพร้อมให้การสนับสนุน EEC อย่างเต็มที่ โดยเห็นว่าการพัฒนาด้านการศึกษา เทคโนโลยีระดับสูง นวัตกรรม และการให้ข้อมูลแก่นักลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญ Google และ Microsoft ได้แสดงความคิดเห็นด้านนวัตกรรม และความสำคัญของการพัฒนาบุคลากร การลงทุนด้านการศึกษา โดยเฉพาะในด้านดิจิทัล ที่มา : เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล และสำนักข่าวไทย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
ตร.ชี้ระเบิดหน้ากองสลากเก่า ชนิดแรงดันต่ำ ไม่ทำอันตรายถึงชีวิต ไม่พบโยงเหตุระเบิดที่ผ่านมา Posted: 06 Apr 2017 01:31 AM PDT ที่มาภาพ สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 6 เม.ย. 2560 คืบหน้ากรณีเหตุระเบิดในถังขยะ บริเวณริมรั้วข้างกองสลากเก่า ถ.ราชดำเนินกลาง เมื่อคืนที่ผ่านมา ล่าสุดวันนี้ สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ประชุมติดตามคดีระเบิดหน้ากองสลากกินแบ่งรัฐบาลเดิม ถ.ราชดำเนินกลาง เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 เม.ย.) มีกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (อีโอดี) กองพิสูจน์หลักฐาน ตำรวจสันติบาล และ สน.ชนะสงคราม เข้าร่วมประชุม พล.ต.ท.ศานิตย์ พร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและอีโอดี เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกครั้ง ซึ่งเป็นการเข้าตรวจสอบครั้งที่ 2 ในรอบวันนี้ (6เม.ย.) หลังรอบแรกพบชิ้นส่วนโลหะ วงจรไฟฟ้า ชิ้นส่วนคล้ายท่อเหล็ก และแผงวงจรตั้งเวลา ทำให้ทราบว่าเป็นระเบิดทำจากท่อพีวีซี ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 นิ้ว ยาว 4 นิ้ว ประจุดินดำ แรงดันต่ำ จุดระเบิดด้วยการตั้งเวลา อานุภาพทำลายล้างต่ำ ทำให้เกิดเสียงดัง ไม่ทำอันตรายถึงชีวิต กำลังตรวจสอบว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ หรือวัยรุ่นนำมาทิ้งเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจค้น พร้อมเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อหาตัวคนนำระเบิดไปทิ้ง เบื้องต้นชนิดระเบิดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุไม่ใช่ชนิดแสวงเครื่อง แต่เป็นระเบิดปิงปอง หรือระเบิดแรงดันต่ำ หรือไปป์บอมบ์ ส่วนหัวนอตหรือสายไฟ น่าจะถูกพันมากับลูกระเบิดมากกว่า มีรายงานว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นชนิดที่ใกล้เคียงเหตุระเบิดตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าโรงภาพยนตร์เมเจอร์ฯ รัชโยธิน เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2550 พล.ต.ท.ศานิตย์ ได้กำหนดแนวทางสืบสวนไว้ทั้งหมดแล้ว พร้อมมอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบไปตรวจสอบและเก็บรวบรวมข้อมูล รวมถึงให้กองพิสูจน์หลักฐานลงพื้นที่เก็บรวบรวมพยานหลักฐานอีกครั้ง และประชุมความคืบหน้าคดีในวันพรุ่งนี้ (7 เม.ย.) เวลา 13.00 น. ส่วนกลุ่มผู้ต้องสงสัยยังไม่สามารถระบุได้ อยู่ระหว่างตรวจสอบกล้องวงจรปิดและรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งยังไม่สามารถระบุมูลเหตุจูงใจ ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ทำงานก่อน เบื้องต้นไม่พบความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดที่ผ่านมา พล.ต.ท.ศานิตย์ ยังสั่งการให้ทุกสถานีตำรวจนครบาล วางกำลังดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ หากปล่อยให้เกิดเหตุในลักษณะนี้ อาจมีคำสั่งโยกย้ายหัวหน้าสถานีให้ไปช่วยราชการ เพราะต้องการให้ประชาชนและกรุงเทพมหานครเป็นเมืองปลอดภัย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
เดชตือโป๊ยก่าย ตอน รถถังประจัญบาน Posted: 06 Apr 2017 01:30 AM PDT
นอกจากพ่อค้าอาวุธและผู้เสียภาษีชาวไทยแล้วในโลกนี้ไม่น่าจะมีใครตื่นเต้นอะไรมากมายกับข่าวกองทัพไทยใช้เงินอีก 2 พันล้านบาทซื้อรถถัง10 คันจากจีน นักวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็เพียงแต่อมยิ้มเล็กน้อยกับหมากกลทางการเมืองมุขนี้ของรัฐบาลทหารไทย เพราะดูเหมือนว่ารถถังจะตอบโจทย์ทางการเมืองระหว่างประเทศมากกว่ายุทธศาสตร์ทางทหาร ในความทรงจำระยะสั้นนับแต่ปลายศตวรรษที่ 20 ถึง ต้นศตวรรษที่ 21 นี้ รถถังของไทยไม่ได้มีภารกิจอะไรมากไปกว่า เป็นสัญลักษณ์ของการรัฐประหารยึดอำนาจทางการเมืองเท่านั้นเอง หากไม่ขับออกมายึดอำนาจหรือข่มขู่พลเรือนแล้ว รถถังในกองทัพไทยส่วนใหญ่จอดไว้เฉยๆ งานหนักที่สุดของทหารม้าคือการหยอดน้ำมันป้องกันสนิมกินรถถัง แม้ในภาระกิจการฝึกรถถังก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้มากมายนัก เนื่องจากท้องเรื่อง (Theme) ที่ใช้ในการฝึกรบ เช่น คอบร้าโกลด์นั้นส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องการต่อต้านการก่อการร้าย และการกู้ภัยพิบัติจากธรรมชาติ และภัยคุกคามแบบใหม่อื่นๆที่เรียกตามภาษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่า non-traditional security threat เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด ซึ่งรถถังไม่มีบทบาทอะไรเลยในสงครามเหล่านั้น รถถังถูกออกแบบมาเป็นอาวุธหนักที่เคลื่อนที่ได้เหมาะกับการใช้งานในสงครามในแบบ conventional warfare เช่นสงครามระหว่างประเทศเป็นหลักใหญ่ ความจริงกองทัพไทยได้ประเมินมาหลายปีแล้วว่า ในระยะสั้นหรือระยะปานกลาง (อย่างน้อยก็เท่ากับอายุใช้งานของรถถังที่ซื้อมาใหม่) จะไม่มีสงครามแบบนั้นเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้และในประเทศไทย สงครามรถถังประจัญบานนั้นอาจจะได้เห็นเฉพาะในภาพยนตร์อย่างเรื่อง Fury เท่านั้น ที่พอจะมีอยู่บ้างคือการปะทะกันตามแนวชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านเล็กๆ น้อยๆ เช่น การไล่ล่าพวกค้าไม้พยุง ค้ายาเสพติดและพวกลักลอบขนคนข้ามแดนหรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่ไม่ใช่ทหารหลัก การปะทะกับกองกำลังหลักของประเทศเพื่อนบ้านอาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้บ้าง เช่นกรณีข้อขัดแย้งปราสาทพระวิหารหรือเรื่องเขตแดน แต่ยุทโธปกรณ์ที่ใช้งานได้มีประสิทธิภาพที่สุดในสถานการณ์แบบนั้นคือปืนเล็กของทหารราบ ปืนใหญ่ จรวดนำวิถี ยานลำเลียงพลและเฮลิคอปเตอร์ แต่อย่างไรก็ตาม กองทัพไทยก็ยังต้องจัดซื้อรถถังมาประจำการ เพราะผู้นำกองทัพไทยสมัยนี้ไม่มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับสงครามสมัยใหม่ชัดเจนนัก พวกเขาตัดสินใจซื้อรถถังเพียงเพราะเห็นว่าที่มีอยู่มันเก่าแล้วต้องซื้อมาทดแทน ส่วนซื้อมาแล้วใช้คุ้มค่าหรือไม่ก็ไม่ใช่สิ่งที่อยู่สามัญสำนึกของนักการทหารไทยเลยแม้แต่น้อย กองทัพบกไทยตัดสินใจหารถถัง 49 คันสำหรับหนึ่งกองพันมาร่วม 10 ปีแล้วเพื่อทดแทนรถถังแบบ M41 (walker bulldog) ที่ซื้อมาจากสหรัฐเมื่อ 60 ปีก่อน (ความจริงรถถังที่ประจำการนานขนาดนั้นก็พิสูจน์ข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า มันไม่เคยถูกใช้งานเลย)
ปี 2011 กองทัพเซ็นสัญญากับบริษัทแมรีเชฟ (Malyshev) แห่งยูเครนจัดซื้อรถถัง T48 (Oplot) จำนวน 49 คัน มูลค่า 241 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ แต่สุดท้ายจำเป็นต้องยกเลิกสัญญาเพราะโรงงานที่ยูเครนสามารถส่งมอบรถถังให้ได้เพียง 20 คันตลอดระยะเวลา 5 ปีนับแต่ลงนาม ความจริงสัญญาก็หมดอายุลงตั้งแต่ปี 2014 แล้ว กองทัพไทยจึงต้องมองหาแหล่งใหม่ในราคาที่ใกล้เคียงกันและด้วยเหตุผลทางการเมืองยุทโธปกรณ์จากจีนเป็นคำตอบที่ลงตัว เพราะรัฐบาลทหารต้องการแสดงความโน้มเอียงเข้าหาจีนเพื่อถ่วงดุลสหรัฐอยู่พอดี จึงได้เซ็นสัญญาซื้อรถถัง MBT 3000 หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ VT4 จาก China North Industries Corporation (NORINCO) เมื่อปีที่แล้ว กองทัพไทยน่าจะเป็นลูกค้ารายแรกในโลกของบริษัทนี้ที่เปิดเผยข่าวเกี่ยวกับการจัดซื้อ การอนุมัติการสั่งซื้อเมื่อวันอังคารที่ 4 เมษายน ความจริงแล้วเป็นล๊อตที่สองจำนวน 10 คัน ก่อนหน้านี้กองทัพไทยสั่งซื้อรถถังแบบเดียวกันนี้จากจีนสมัย พลเอก ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบกคนก่อนจำนวน 28 คัน และตั้งใจจะซื้อต่อไปอีกจนครบ 49 คันตามต้องการเพื่อบรรจุให้ครบ 1 กองทัพรถถังตามแผน รายงานข่าวบางกระแส เช่นจาก Jane บอกว่ากองทัพไทยอยากจะได้รถถังที่เป็น Main Battle Tank แบบนี้ไว้ประจำการถึง 150 คัน
VT4 นั้นผู้สันทัดกรณีบอกว่าเป็นรถถังขนาด 52 ตัน จีนพัฒนารุ่นนี้เพื่อการส่งออกโดยเฉพาะ โดยอาศัยพื้นฐานจากรุ่น 99A ที่กองทัพประชาชนจีนใช้อยู่ในปัจจุบัน VT4 รุ่นนี้ติดปืนใหญ่ 125 มม ซึ่งมีระบบนำวิถี อีกทั้งมีปืนกลหนักติดตั้งอยู่ด้วย แต่รับประกันได้ว่าไม่เหมาะกับภารกิจในสามจังหวัดชายแดนใต้แน่นอน สื่อมวลชนรายงานกันอย่างเอิกเกริกเกี่ยวกับการซื้อรถถังจากจีนครั้งนี้เพื่อเป็นสัญญาณบอกไปทางสหรัฐที่มึนตึงกับไทยมาตั้งแต่มีการยึดอำนาจปี 2014 แต่ไม่มีใครถามถึงความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจที่ผิดพลาดในการเลือกรถถังยูเครนในตอนต้น ทั้งๆ ที่ในวงการต่างรู้กันดีแล้วว่า ยูเครนมีปัญหาในการผลิตและส่งมอบยุทโธปกรณ์มาโดยตลอด ไม่นับเรื่องคุณภาพ เพราะพัฒนาจากสิ่งที่คนในวงการเรียกว่าของโบราณ (antique) ในปี 1994 กองทัพที่มีภารกิจในการรบจริงๆไม่มีใครนิยมซื้อของจากแหล่งนั้น มีแต่กองทัพที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการรบเท่านั้นที่ผลาญงบประมาณของชาติไปกับการซื้อของที่ไม่ได้ใช้มาไว้ประจำการ
เผยแพร่ครั้งแรกใน Facebook Supalak Ganjanakhundee ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
Posted: 06 Apr 2017 01:01 AM PDT |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น