โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

แรงงานผู้รอดชีวิตจากการสร้างทางรถไฟสายมรณะฉลองวันเกิดครบ 100 ปี

Posted: 11 Apr 2017 01:05 PM PDT

เอลลัน คันเนียน ชาวมาเลเซียเชื้อสายทมิฬ ผู้รอดชีวิตจากการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ ฉลองวันเกิดอายุครบ 100 ปี พร้อมญาติมิตร โดยเขาเป็นหนึ่งในบรรดาแรงงานชาวเอเชีย 300,000 รายที่ญี่ปุ่นเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟเชื่อมไทย-พม่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรและแรงงานชาวเอเชียเสียชีวิตจำนวนมาก เนื่องจากสภาพที่ทารุณและเลวร้ายระหว่างการก่อสร้างทางรถไฟ

เอลลัน คันเนียน (นั่งกลาง) แรงงานสร้างทางรถไฟสายมรณะผู้รอดชีวิต พร้อมด้วยญาติมิตรในงานฉลองวันเกิดอายุครบ 100 ปี (ที่มาของภาพ: DRIG)

ที่รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย "เอลลัน คันเนียน" (Ellan Kannian) ผู้รอดชีวิตจากการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะเชื่อมไทย-พม่า ได้จัดงานฉลองวันเกิดครบรอบ 100 ปี พร้อมกับญาติมิตรและผู้สนใจเรื่องราวของเขาเมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ทั้งนี้จากการเปิดเผยของ พ.จันทราเสคารัน กลุ่มศึกษาทางรถไฟสายมรณะ (Death Railway Interest Group-DRIG) ประเทศมาเลเซีย

ในจดหมายข่าวของกลุ่มศึกษาทางรถไฟสายมรณะ (DRIG) เปิดเผยว่าเอลลัน เป็นผู้รอดชีวิตจากการสร้างทางรถไฟสายมรณะ ผู้มีภูมิลำเนาอยู่ที่ Kenny Estate กัวลาสลังงอร์ รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้มีอายุครบ 100 ปีมาตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 2560

เอลลันเป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายทมิฬ เกิดเมื่อ 26 มีนาคม 2460 ที่เชนไน ประเทศอินเดีย ก่อนที่จะย้ายมาเป็นแรงงานสวนยางในบริติชมลายา เขาเป็นหนึ่งในบรรดาแรงงานชาวเอเชีย 300,000 ราย ที่ญี่ปุ่นเรียกแรงงานจากเอเชียรวมๆ กันว่า "โรมูฉะ" (Romusha) หรือ "แรงงาน" ที่เดินทางมาสร้างทางรถไฟสายมรณะ หรือทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างชุมทางหนองปลาดุก จ.ราชบุรี ผ่าน จ.กาญจนบุรี ไปเชื่อมกับสถานีตันบูซายัตในประเทศพม่าช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

โดยลูกชายของเอลลันคือ วสุเทวัน (Vasuthevan) อายุ 65 ปี เปิดเผยว่า ทางครอบครัวได้เชิญเพื่อนบ้าน เพื่อน ญาติ และผู้สนใจ มาร่วมฉลองวันเกิดของบิดาของเขาในเช้าวันที่ 8 เมษายน 2560 ที่บ้านพักบนถนนราชาอับดุลลาห์ ตำบลเจอรัม กัวลาสลังงอร์ รัฐสลังงอร์ โดยปัจจุบันภรรยาของเอลลันเสียชีวิตแล้ว ส่วนลูกๆ 3 คน จากทั้งหมด 8 คน ก็เสียชีวิตแล้วเช่นกัน

จากข้อมูลของวสุเทวันเปิดเผยอีกด้วยว่า มักมีครอบครัวของชาวมาเลเซียคนอื่นๆ มาสอบถามว่าบิดาทราบข่าวคราวของผู้ที่ไปสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะและไม่ได้กลับมาหรือไม่

สำหรับเอลลัน ถูกเกณฑ์ไปสร้างทางรถไฟสายมาเลเซีย โดยกองทัพญี่ปุ่นที่เข้ามายึดครองบริติชมลายา และด้วยความร่วมมือจากเสมียนในนิคมสวนยาง ทั้งนี้ เอลลันเดินทางมาสร้างทางรถไฟพร้อมกับพี่ชายของเขา พนนัน (Ponnan) น้องเขย รามาซามี (Ramasamy) และอดีตคนงานอื่นๆ โดยเอลลันเป็นผู้ที่รอดชีวิตมาจากการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ และได้รับการบันทึกเรื่องราวเอาไว้โดยกลุ่มศึกษาทางรถไฟสายมรณะ (DRIG) ประเทศมาเลเซีย

เอลลันพร้อมด้วยแรงงานหลายร้อยคนจากบริติชมลายา หรือมาเลเซีย เดินทางด้วยรถไฟมายังประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เอลลันขาดการติดต่อกับ พนนัน และรามาซามี โดยเอลลันต้องเดินไปทำงานในพื้นที่อื่นห่างไกลอย่าง "สถานีนิเกะ" ซึ่งปัจจุบันอยู่ในฝั่ง อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ห่างจากด่านเจดีย์สามองค์ ชายแดนไทย-พม่า ไปราว 22 กม. ทั้งนี้แรงงานชาวเอเชียจำนวนมากไม่เดินเท้าไปถึงไซต์งานก่อสร้างได้และเสียชีวิตตามแนวรางรถไฟ

เมื่อเอลลันเดินเท้ากินเวลาถึงวันที่ 5 เขารู้สึกว่าเขาเห็นคนหน้าตาคล้ายๆ เขานอนอยู่ตามทาง และเมื่อมองไปใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นพนนัน พี่ชายของเขา ซึ่งยังคงหายใจอยู่ แต่ไม่ทันจะช่วยเหลืออะไรเขาก็ถูกทหารญี่ปุ่นทุบตีจากด้านหลังและตะโกนให้เขาเดินต่อไป ทำให้เขาต้องทิ้งพนนันไว้ที่นั่น อย่างไรก็ตามก่อนเดินต่อไปเขาได้เอาผ้าที่ติดตัวเขามาคลุมร่างกายของพนนันก่อนที่จะต้องจากกัน

และเมื่อเดินต่อไปอีกหลายวัน เขาก็เห็นอีแร้งมารอตามต้นไม้ ซึ่งอีแร้งพวกนี้มาอาศัยกินซากศพของแรงงานที่มาเสียชีวิตอยู่ก่อนหน้านี้ และเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องปกติ และเมื่อเขาเดินไปเรื่อยๆ เอลลันก็มองเห็นภาพหลอนมากมาย เพราะเอลลันครุ่นคิดถึงชะตากรรมของทั้งพี่ชายและน้องเขย ซึ่งเขาไม่เคยพบเห็นอีก และอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นพวกเขา

ทั้งนี้เอลลัน เป็นหนึ่งในผู้ที่โชคดีรอดชีวิตจากการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ และมีชีวิตยืนยาวที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยกลุ่มศึกษาทางรถไฟสายมรณะ (DRIG) ประเทศมาเลเซีย มีโอกาสสัมภาษณ์และสอบถามบรรดาผู้ที่รอดชีวิตจากการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะเหล่านั้น

 

แรงงานชาวเอเชียผู้ก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ
และอนุสรณ์สถานเพื่อการรำลึก

สถูปใหญ่บรรจุกระดูกของแรงงานชาวเอเชียที่เสียชีวิตในช่วงก่อสร้างทางรถไฟ ที่สุสานของวัดถาวรวราราม อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับสุสานดอนรัก ที่เป็นที่ฝังศพเชลยสัมพันธมิตร (ที่มา: ประชาไท/แฟ้มภาพ/เมษายน 2557)

อนุสรณ์สถานที่ฝ่ายญี่ปุ่นสร้างไว้ใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำแคว เมื่อกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2487 โดยรอบอนุสรณ์สถานมีข้อความจารึกเป็นภาษาต่างๆ ที่เป็นภาษาของแรงงานชาวเอเชียทั้งภาษาจีน ภาษาเวียดนาม ภาษาทมิฬ และภาษามลายู เป็นต้น (ที่มา: ประชาไท/แฟ้มภาพ/มีนาคม 2558)

 

สำหรับทางรถไฟไทย-พม่า ก่อสร้างในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2485 ถึง ตุลาคม พ.ศ. 2486 เปิดใช้งานเดือนธันวาคม พ.ศ. 2486 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การก่อสร้างเริ่มต้นจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ผ่านกาญจนบุรีข้ามแม่น้ำแควใหญ่ โดยสะพานข้ามแม่น้ำแคว ไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อให้ถึงปลายทางที่เมืองตันบูซายัด รัฐมอญ ประเทศพม่า โดยระยะทางมีความยาวจากสถานีชุมทางหนองปลาดุกถึงสถานีตันบูซายัดรวม 415 กิโลเมตร เป็นรางขนาด 1 เมตร อยู่ในเขตประเทศไทยประมาณ 303.95 กิโลเมตร และอยู่ในเขตพม่า 111.05 กิโลเมตร มีสถานีจำนวน 37 สถานี

อนึ่งการสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก มีการใช้แรงงานเชลยศึกสัมพันธมิตร 61,811 ราย และแรงงานเอเชียที่เกณฑ์มา รวมทั้งผู้ที่มาเพราะถูกโฆษณาว่าเป็นงานได้รับค่าตอบแทนที่ดี ทั้งนี้มีแรงงานชาวจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า อินเดีย รวมทั้งแรงงานในไทย โดยบางช่วงมีแรงงานเอเชียทำงานมากกว่า 300,000 ราย โดยญี่ปุ่นเรียกแรงงานจากเอเชียรวมๆ กันว่า "โรมูฉะ" (Romusha) หรือ "แรงงาน" เมื่อแปลเป็นไทย

ทั้งนี้ในช่วงการก่อสร้างมีการทารุณเชลย ความโหดร้ายของสงคราม โรคภัย และการขาดแคลนอาหาร ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ในจำนวนนี้เป็นเชลยศึกสัมพันธมิตร 12,621 คน และในบรรดาแรงงานเอเชีย 300,000 รายมีบางข้อมูลที่ประเมินว่าอาจมีสถิติเสียชีวิตในช่วงที่ก่อสร้างทางรถไฟสูงถึงร้อยละ 50

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีเจ้าหน้าที่ทหารชาวญี่ปุ่นถูกดำเนินคดีในข้อหาอาชญากรสงคราม 111 ราย เนื่องจากการปฏิบัติอย่างโหดร้ายต่อเชลยศึกในช่วงที่มีการก่อสร้างทางรถไฟ โดยในจำนวนนี้มีทหารญี่ปุ่น 32 รายที่ถูกตัดสินประหารชีวิต

ขณะที่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เส้นทางรถไฟถูกรื้อจากชายแดนด้านด่านเจดีย์สามองค์มาถึงสถานีน้ำตก อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ส่วนของพม่ามีการรื้อจนถึงสถานีตันบูซายัด เส้นทางในไทยส่วนหนึ่งปัจจุบันจมอยู่ใต้เขื่อนวชิราลงกรณ์ ปัจจุบันมีการเปิดการเดินรถช่วงสถานีชุมทางหนองปลาดุกจนถึงสถานีน้ำตก โดยเป็นส่วนหนึ่งของขบวนรถไฟสายธนบุรี-น้ำตก และชุมทางหนองปลาดุก-น้ำตก

ในส่วนของสุสานทหารสัมพันธมิตรที่เสียชีวิตในช่วงก่อสร้างทางรถไฟไทย-พม่า มีการสร้างสุสานไว้ที่ จ.กาญจบุรี 2 แห่ง คือที่สุสานดอนรัก และสุสานช่องไก่ และมีการสร้างสุสานที่ตันบูซายัด ฝั่งพม่า 1 แห่ง

นอกจากนี้บริเวณสุสานของวัดถาวรวราราม ซึ่งเป็นวัดอันนัมนิกาย หรือวัดญวน โดยในสุสานมีสถูปใหญ่เป็นที่บรรจุกระดูกของแรงงานผู้เสียชีวิตในช่วงของการก่อสร้างทางรถไฟ โดยเป็นการรวบรวมซากกระดูกของผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นแรงงานเอเชีย เมื่อ พ.ศ. 2491 โดยรวบรวมได้กว่า 4,500 ราย โดยชุมชนรอบวัดถาวรวรารามมีการจัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลเป็นประจำทุกปีในช่วงใกล้เคียงกับเทศกาลเชงเม้ง

ในส่วนของญี่ปุ่นมีอนุสรณ์สถานที่ก่อสร้างไว้ใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำแคว จุดที่มีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลดังกล่าว โดยในป้ายจารึกหน้าอนุสรณ์สถานดังกล่าวระบุว่า "สร้างโดยกองทัพญี่ปุ่นใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำแคว โดยในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2487 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อไว้อาลัยให้ดวงวิญญาณทหารสัมพันธมิตรและผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้เสียชีวิตในการก่อสร้างทางรถไฟไทย-พม่า" ในป้ายระบุด้วยว่าในเดือนมีนาคมของทุกๆ ปี จะมีชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย มาร่วมชุมนุมกันเพื่อประกอบพิธีรำลึกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ส่องปฏิกิริยา หลัง BRN แถลงการณ์ 3 เงื่อนไขเจรจาสันติภาพปาตานี

Posted: 11 Apr 2017 12:02 PM PDT

'ประยุทธ์' ขออย่าขยายความ ย้ำไม่จำเป็นต้องใช้องค์กรต่างประเทศ หัวหน้าคณะคุยสันติสุขฯ ยันเดินหน้าต่อไป กำหนดพื้นที่ปลอดภัยร่วมกัน ด้าน BRN ย้ำต้องการเจรจาโดยตรงกับรัฐบาลไทย โดยมีประชาคมโลกร่วมสังเกตการณ์ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญชี้แถลงการณ์ช่วยเตือนว่าบีอาร์เอ็นยินดีเจรจาภายใต้เงื่อนไขที่ถูกต้อง

ร้านน้ำชา (แฟ้มภาพ ประชาไท) 

11 เม.ย. 2560 จากกรณีวานนี้ (10 เม.ย.60) ได้มีการเผยแพร่แถลงการณ์ระบุว่าเป็นของขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี หรือ BRN ที่ประกาศพร้อมเข้าร่วมการเจรจาสันติภาพชายแดนใต้ แต่ตั้งเงื่อนไขว่าต้องมีคนกลางที่เชื่อถือได้ ต้องมีความยุติธรรม จะต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกการเจรจาตามกรอบกระบวนการที่คู่ขัดแย้งเห็นชอบร่วมกัน และมีผู้สังเกตการณ์จากต่างประเทศเข้าร่วม รวมถึงต้องมีการออกแบบขั้นตอนการเจรจาร่วมกันก่อนที่จะเริ่มต้นเจรจาจริง นั้น (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ประยุทธ์ ขออย่าขยายความ ย้ำไม่จำเป็นต้องใช้องค์กรต่างประเทศ

วันนี้ (11 เม.ย.60) เดลินิวส์ รายงานด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีกลุ่มบีอาร์เอ็นออกแถลงการณ์ดังกล่าวด้วยว่า ขออย่าขยายความการเผยแพร่ข่าวของกลุ่มต่างๆ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพูดคุยสันติสุข ซึ่งไม่ว่าใครที่อยากจะออกมาพูดคุยต้องประสานมาเลเซียในฐานะผู้อำนวยความสะดวก เพราะรัฐบาลไม่สามารถพูดคุยกับคนที่มีรายชื่อในกลุ่มก่อความไม่สงบภายในประเทศได้ โดยกลุ่มดังกล่าวถือว่าเป็นกลุ่มเห็นต่างที่มีส่วนน้อยเท่านั้น

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาของตัวเองได้ และไม่จำเป็นต้องใช้องค์กรต่างประเทศ ขอให้เชื่อถือรัฐบาลเพราะต้องทำให้สถานการณ์สงบโดยเร็ว ซึ่งจะต้องหาสาเหตุที่เกิดขึ้นทั้งเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือเรื่องต่างๆ ทั้งนี้หากพิสูจน์ทราบว่าเป็นการกระทำผิดกฏหมายจนนำไปสู่การต่อสู้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มีการบาดเจ็บและล้มตาย แต่หากเป็นสาเหตุอื่นต้องดำเนินการสอบสวนต่อไป แม้ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ก็ไม่ละเว้น 

อักษรา ยันเดินหน้าต่อไป กำหนดพื้นที่ปลอดภัยร่วมกัน

มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีกลุ่มบีอาร์เอ็น ออกแถลงการณ์ดังกล่าวว่า ตนได้เห็นแถลงการณ์ดังกล่าวแล้วและยืนยันว่าเรายังคงเดินหน้าต่อไปในการกำหนดพื้นที่ปลอดภัยร่วมกัน ถือเป็นเรื่องภายในของกลุ่มมาราปาตานี ซึ่งก็คือ บีอาร์เอ็นเหมือนกัน ที่ต้องไปดำเนินการ ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรา

ต่อกรณีคำถามที่ว่า กลุ่ม BRN เรียกร้องมากับไทยว่าให้เปลี่ยนตัวคณะพูดคุยนั้น พล.อ.อักษรา กล่าวว่า กลุ่มบีอาร์เอ็น คงอึดอัด เพราะสื่อเสนอข่าวว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการพูดคุย จะใช้ความรุนแรง และประกาศเอกราช ปี 2575 ซึ่งเขาก็แค่ยืนยันว่าเห็นด้วยกับแนวทางการพูดคุย ที่ผ่านมาสื่อไปพูดแทนกลุ่มบีอาร์เอ็น เขาคงอึดอัด และออกแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวออกมา ส่วนเรื่องการขอเปลี่ยนตัวคณะพูดคุยฯและเปลี่ยนประเทศอำนวยความสะดวกนั้น เป็นประเด็นเก่า

"การพูดคุยเดินหน้ามาจนถึงขนาดนี้แล้ว ในส่วนของการขอให้เปลี่ยนตัวชุดคณะพูดคุยฯและเปลี่ยนประเทศอำนวยความสะดวกนั้น อาจจะเกิดความผิดพลาดก็ได้ ซึ่งตรงนี้เราก็ไม่รู้ และเราให้ทางมาราปาตานีไปจัดการ เพราะถือว่าเป็นกลุ่มบีอาร์เอ็นด้วยกัน ต้องไปดูว่าเป็นอย่างไร และไปดูว่าเป็นใคร ซึ่งมีพวกที่ตกขบวนการพูดคุยอยู่ เขาก็อยากเข้าร่วม เพราะกลุ่มบีอาร์เอ็นเห็นด้วยกับการพูดคุย และทุกพวก ทุกฝ่ายก็อยากมาเข้าร่วม และเขาอยากจะคุยกับรัฐบาลไทย" พล.อ.อักษรา กล่าว

พล.อ.อักษรา กล่าวต่อว่า ส่วนข้อเสนออื่นๆก็เป็นของเก่าตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งถือว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องภายในกลุ่มบีอาร์เอ็นเอง ขออย่าไปเต้นตามหรือเดือดร้อนแทนเขา และที่คุยกับอยู่ทุกวันนี้กับกลุ่มมาราปาตานี ไม่ได้มีข้อเสนอ หรือเงื่อนไขเหล่านี้ ถือเป็นความร่วมมือทั้งสองฝ่าย ซึ่งเราต้องมุ่งมั่นเดินหน้าไปตามนโยบายรัฐบาล ส่วนกลุ่มไหนที่ออกมาแถลง ใครเห็นด้วย เห็นต่าง ก็ต้องคุยกันต่อไป

BRN ต้องการเจรจาโดยตรงกับ รบ.ไทย มีประชาคมโลกสังเกตการณ์

ขณะที่ บีบีซีไทย รายงานบทสัมภาษณ์ ทางด้าน อับดุล การิม คาลิด ผู้แทนจาก BRN ซึ่งให้สัมภาษณ์กับ บีบีซีแผนกภาษาอินโดนีเซียว่า กลุ่มบีอาร์เอ็นมีความประสงค์ที่จะเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลไทยโดยตรง และมีสักขีพยาน เป็นผู้แทนจากนานาประเทศร่วมสังเกตการณ์ เพราะที่ผ่านมาไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเจรจาสันติภาพที่รัฐบาล มาเลเซียเป็นผู้ประสานงานให้ทางการไทยได้เจรจากับกลุ่มมาราปาตานี ที่รวมผู้ก่อความไม่สงบกลุ่มต่าง ๆ เข้าด้วย เนื่องจากบีอาร์เอ็น "ไม่เห็นด้วยกับข้อบังคับ และมองว่าการดำเนินการไม่มีความเท่าเทียม"

อับดุล การิม ยืนยันว่า เขาคือ "สมาชิก" ของ "แผนกข่าวสาร" ของ บีอาร์เอ็น ที่มีเป้าหมายในการปลดปล่อย อาณาจักรปาตานี จากการล่าอาณานิคมของสยาม เมื่อกว่าศตวรรษที่ผ่านมา พวกเขาเริ่มการต่อสู้จากกระบวนการ ทางการเมือง จนหมดหนทาง จึงต้องหันมาจับอาวุธ เขายอมรับว่าเหตุการณ์ความไม่สงบหลายครั้ง ทึ่คร่าชีวิตทหาร ตำรวจ และพลเรือน เป็นฝีมือของบีอาร์เอ็น

"เราเสียใจต่อความสูญเสียของพลเรือน แต่คุณต้องเข้าใจว่าปัตตานีตกอยู่ในภาวะสงคราม และในสงคราม เป็นเรื่องยาก มาก ที่จะป้องกันการเสียชีวิตของพลเรือน" อับดุล การิม ซึ่งให้สัมภาษณ์เป็นภาษามาลายู กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ ขณะที่สมาชิกอีกคนหนึ่งของ "แผนกข่าวสาร" ของบีอาร์เอ็น กล่าวเสริมว่าเหตุยิงถล่มจุดตรวจร่วม 3 ฝ่าย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชุมชนกลางตลาดกรงปินัง ม.7 บนถนนเส้นทางสาย 410 สายยะลา - เบตง ต.กรงปินัง อ.กรงปินัง จนเป็นเหตุให้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 10 นาย เมื่อคืนวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมาเป็นฝีมือของบีอาร์เอ็น เช่นกัน

ผู้เชี่ยวชาญชี้แถลงการณ์ช่วยเตือน บีอาร์เอ็นยินดีเจรจาในเงื่อนไขที่ถูกต้อง

แมทธิว วีเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญจากกลุ่มอินเตอร์เนชั่นแนล ไครซิส กรุ๊ป ให้ความเห็นกับเอเอฟพีถึงท่าทีของกลุ่มบีอาร์เอ็นว่า "กลุ่มบีอาร์เอ็นมองว่ากระบวนการสันติภาพที่มีอยู่ในขณะนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่รัฐบาลไทยและมาเลเซียผลักดันเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง" อย่างไรก็ดี แถลงการณ์นี้ของกลุ่มบีอาร์เอ็นเป็นสิ่งช่วยเตือนทั้งสองฝ่ายว่าบีอาร์เอ็นยินดีที่จะเจรจาด้วยภายใต้เงื่อนไขที่ถูกต้องเหมาะสมเท่านั้น

"ไม่ใช่เป็นการปฏิเสธการเจรจา แม้ว่ากลุ่มบีอาร์เอ็นจะปฏิเสธการเข้าร่วมในกระบวนการเจรจาที่มีอยู่ในขณะนี้ก็ตาม" วีเลอร์ กล่าว 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปมถูกฟ้อง ม.112 'พุทธะอิสระ' แจงกองปราบขออนุญาตปลุกเสกพระเครื่องแล้ว

Posted: 11 Apr 2017 11:05 AM PDT

กรณีถูกร้องเอาผิด ม.112 ใช้เลือดปลุกเสกพระ มีพระปรามาภิไธยภปร. 'พุทธะอิสระ' แจงกองปราบขออนุญาต ภปร.แล้ว ยันไม่ได้ผิดเป็นวิชาโบราณสืบทอดตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนคดีรุกป่า จนท. แจง พุทธะอิสระ คืนที่ดินแล้ว ยังไม่ได้เป็นคดีทางกม. และถือว่ายังไม่ใช่ผู้กระทำผิด

ที่มาภาพ เพจ Issaradham

11 เม.ย. 2560 จากกรณีวานนี้ (10 เม.ย.60) วิชัย ประเสริฐสุดสิริ ผู้ประสานงานองค์กรส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา (อสคพ.) พร้อมคณะร้องทุกข์กล่าวโทษกับกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ พระสุวิทย์ ธีรธฺมโม หรือ หลวงปู่พุทธอิสระได้ประกอบพิธีปลุกเสกพระเครื่อง "พระนาคปรก" รุ่น "หนึ่งในปฐพี" โดยที่ด้านหลังของพระเครื่อง มีการอันเชิญพระปรมาภิไธย ภปร. และมีการใช้เลือด หรือปะสะโลหิต ของหลวงปู่พุทธอิสระ ในการจัดพิธีด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น

ล่าสุดวันนี้ (11 เม.ย.60) เวลา 09.00 น. พระพุทธะอิสระ ได้ยื่นหลักฐานการขออนุญาตจัดสร้างพระนาคปรก รุ่น หนึ่งในปฐพี แก่พนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบ

พระพุทธะอิสระ กล่าวว่า ได้นำเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการขอพระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระปรมาภิไธยย่อมาใช้ด้านหลังพระเครื่องที่มีพิธีปลุกเสกจัดสร้าง "พระนาคปรก" รุ่นหนึ่งในปฐพี มามอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบ อย่างไรก็ดี ขอยืนยันว่าก่อนที่จะทำพิธีปลุกเสกพระเครื่องดังกล่าวนั้นได้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร และเอ่ยด้วยวาจา ขออนุญาตจากนายแก้วขวัญ วัชโรทัย อดีตรองเลขาธิการพระราชวังแล้ว ส่วนกรณีที่ใช้เลือดในการประกอบพิธีนี้ด้วยนั้นยอมรับว่าทำจริง แต่เห็นว่าไม่ได้ผิดอะไรเพราะเป็นหนึ่งในวิชาปะสะโลหิตซึ่งเป็นวิชาโบราณ เป็นพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาในการจัดสร้างวัตถุมงคล ส่วนที่ถูกแจ้งความก็เชื่อว่าน่าจะเป็นการกลั่นแกล้งของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย ซึ่งการที่ได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน บก.ป.ครั้งนี้ก็เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ แสดงตนให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าพร้อมจะเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย หากมีการพิจารณาดำเนินคดีก็จะได้ต่อสู้คดีในชั้นศาลต่อไป

พระพุทธะอิสระกล่าวอีกว่า นอกจากมาชี้แจงกรณีที่ถูกกล่าวหาแล้วนั้นก็ยังประสงค์จะร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีต่อกลุ่มการเมืองกลุ่มหนึ่งที่กล่าวอ้างว่าได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองถูกต้องแล้ว แต่จากการตรวจสอบกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พบว่ายังไม่มีการจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งเข้าข่ายนำความเท็จกราบบังคมทูลถวายฎีกาต่อพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เป็นการกระทำที่มีความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดตามกฎหมายพรรคการเมืองด้วย
       
พ.ต.ท.อนันต์ จริงจิตร รอง ผกก.(สอบสวน) กก.5 บก.ป. กล่าวว่า กรณีดังกล่าวได้รับเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่หลวงปู่พุทธะอิสระนำมามอบให้มาตรวจสอบข้อเท็จจริงประกอบคำให้การแล้ว โดยขณะนี้ยังไม่ได้มีการพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ และอยู่ระหว่างประมวลข้อมูลทั้งหมดเพื่อเสนอต่อผู้บังคับบัญชาได้พิจารณาสั่งการต่อไป 

จนท. แจงคดีรุกป่า พุทธะอิสระคืนที่ดินแล้ว ยังไม่ได้เป็นคดี  

ขณะที่ วอยซ์ทีวี รายงานความคืบหน้าในการดำเนินคดีรุกป่า 315 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ขาน-แม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ที่พระพุทธอิสระ ได้ครอบครองบริเวณบ้านวังผาปูน หมู่ 15 ต.แม่วิน อ.แม่วาง โดยมีการสร้างสิ่งปลูกสร้าง 1 หลัง และได้ทำโครงการปลูกป่า เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลนั้น 

ทีมข่าววอยซ์ทีวี ได้โทรศัพท์สอบถามเจ้าหน้าที่ประจำส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบ โดยเจ้าหน้าที่ รายงานว่า ได้ตรวจสอบพบว่ามีการซื้อขายผิดเงื่อนไข 17 แปลง จากทั้งหมด 53 แปลง พื้นที่ 315 ไร่ พบว่า มีเพียง 17 แปลงที่มีการซื้อขาย โดยถือว่ากระทำผิดเงือนไขที่ได้รับการรังวัดตามโครงการจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ขาม-แม่วาง ซึ่งห้ามซื้อขายที่ดิน โดยผู้ได้รับรังวัดจะต้องทำประโยชน์จากเกษตรกรรม

ทั้งนี้ ได้ส่งเรื่องต่อให้ส่วนการจัดการที่ดินเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2560 เพื่อทำการเพิกถอนการรังวัด ยึดคืนสู่สภาพป่า ซึ่งเป็นไปตามระเบียบ ทั้งนี้ ในส่วนของพระพุทธะอิสระได้คืนที่ดินให้กับกรมป่าไม้แล้ว โดยเรื่องนี้ยังไม่ได้เป็นคดีทางกฎหมาย ถือว่ายังไม่ใช่ผู้กระทำผิด 

 

ที่มา : เพจ Issaradham วอยซ์ทีวี และ ผู้จัดการออนไลน์

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดความเห็นแย้ง ตลก. เสียงข้างน้อย คดี 'ยิ่งลักษณ์' ขอทุเลาบังคับชดใช้ 3.5 หมื่นล้าน

Posted: 11 Apr 2017 09:27 AM PDT

2 ความเห็นแย้งของคณะตุลาการเสียงข้างน้อย  คดี 'ยิ่งลักษณ์' ขอทุเลาบังคับคำสั่งชดใช้ 3.5 หมื่นล้าน ชี้การให้คำสั่งมีผลบังคับจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงยากแก่การเยียวยา แต่หากทุเลาการบังคับก็ไม่เป็นอุปสรรคกับการบริหารงานของรัฐ 

แฟ้มภาพ

11 มี.ค. 2560 จากกรณี วชิระ ชอบแต่ง ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองและเจ้าของสำนวน และองค์คณะตุลาการเสียงข้างมาก มีคำสั่งให้ยกคำขอ ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและจำเลยคดีโครงการจำนำข้าวในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ฟ้องคดีปกครอง ที่ขอให้ศาลปกครองสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 59 ที่ให้  ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากเหตุขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ปล่อยให้เกิดความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวโดยเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดแก่ราชการตามอำนาจหน้าที่ เป็นเหตุให้กระทรวงการคลังได้รับความเสียหาย มูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาทเศษ ไว้ก่อนที่จะมีคำพิพากษา ซึ่งคดีดังกล่าว ยิ่งลักษณ์ ยื่นฟ้อง นายกรัฐมนตรี, รมว.คลัง, รมช.คลัง และปลัดกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-4

โดยเหตุผลที่ตุลาการเสียงข้างมากยกคำขอ ยิ่งลักษณ์ เนื่องจากภายหลังจากผู้ถูกฟ้อง ออกคำสั่งเรียกให้ ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ผู้ถูกฟ้องได้มีหนังสือแจ้งเตือนให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว ซึ่งผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีให้ถ้อยคําต่อศาลรับกันว่า นอกจาก หนังสือแจ้งเตือนดังกล่าวแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดียังไม่มีการใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยยึดหรืออายัด ทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีและขายทอดตลาดเพื่อชําระค่าสินไหมทดแทนแต่อย่างใด ในเมื่อผู้ถูกฟ้องคดียัง ไม่มีการใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ในชั้นนี้จึงรับฟ้งไม่ได้ว่า หากศาลไม่มีคําสั่งทุเลาการบังคับ ตามคําสั่งพิพาท จะทําให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไข ในภายหลัง จึงเห็นว่าเงื่อนไขตามข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีในคําขอให้ศาลมีคําสั่งทุเลาการบังคับตามคําสั่ง พิพาทยังไม่มีน้ําหนักพอที่จะรับฟ้งได้ กรณีจึงไม่เข้าเงื่อนไขที่ศาลจะมีคําสั่งทุเลาการบังคับตามคําสั่ง ที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไว้เป็นการชั่วคราวในระหว่างพิจารณาคดี ศาลจึงมีคําสั่งยกคําขอวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาของผู้ฟ้องคดี

เห็นแย้งเกรงคำสั่งเกิดความเสียหายร้ายแรงยากเยียวยา และทุเลาก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อรัฐ 

ขณะที่วานนี้ มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า แม้องค์คณะตุลาการเสียงข้างมากมีคำสั่งให้ยกคำขอของ ยิ่งลักษณ์ ผู้ฟ้อง แต่ในการพิจารณาคำขอดังกล่าว ภานุพันธ์ ชัยรัต รองอธิบดีศาลปกครองกลาง หนึ่งในองค์คณะก็ได้มีความเห็นแย้งเห็นสมควรที่ศาลปกครองกลางจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งทางปกครองของกระทรวงการคลังที่เป็นเหตุในการฟ้องคดีนี้

โดยสรุปเหตุผลว่า ผู้ฟ้องได้อ้างถึงคำสั่งกระทรวงการคลังให้ชดใช้ค่าเสียหาย 35,717,273,028.23 บาท ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวกระทรวงการคลังจะดำเนินมาตรการบังคับทางปกครอง ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ที่จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินขายทอดตลาดเพื่อชำระเงินให้ครบถ้วน ซึ่งนายภานุพันธ์ เห็นว่า การใช้มาตรการบังคับทางปกครองเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งนั้นมีขั้นตอนตามปรกติที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองหรือ กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินที่ตราโดยรัฐสภา แต่กรณีโครงการรับจำนำข้าว นายกรัฐมนตรีผู้ถูกฟ้องที่ 1 เลือกใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 44 กำหนดความคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับมอบหมายตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ให้ดำเนินการต่อผู้กระทำผิด และกำหนดให้กรมบังคับคดีเป็นเจ้าหน้าที่ในการใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง แสดงให้เห็นว่า นายกฯผู้ถูกฟ้องที่ 1 กับพวกประสงค์จะดำเนินการและพร้อมจะดำเนินการกรณีโครงการรับจำนำข้าวเป็นกรณีพิเศษ แตกต่างไปจากกรณีปรกติ

โดยเมื่อผู้ฟ้องไม่ชำระเงินตามเวลาที่กำหนดในคำสั่งทางปกครอง กระทรวงการคลังได้มีหนังสือลับ ด่วนที่สุด ลงวันที่ 4 ม.ค. 60 แจ้งเตือนให้ชดใช้ค่าสินไหม โดยระบุในหนังสือว่า เมื่อไม่ชำระเงิน เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน เพื่อชำระเงินให้ครบถ้วน ขณะที่ข้อเท็จจริงที่รับฟังตามคำสั่งกระทรวงการคลัง นายกฯผู้ถูกฟ้องที่ 1 กับพวกกล่าวอ้างในคำสั่งว่า จากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ถือได้ว่าผู้ฟ้องจงใจกระทำละเมิดเป็นเหตุให้กระทรวงการคลังได้รับความเสียหายเป็นเงิน 178,586,365,141.17 บาท จึงให้ผู้ฟ้องรับผิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนการกระทำของตน ในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหายซึ่งคิดเป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 8 และ 10 ทั้งนี้หากทางราชการมีการระบายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555 /26 และปีการผลิต 2556/57 ได้ในราคาที่สูงกว่า ราคาที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกที่ผ่านมาของรัฐบาล ก็ให้นำมาคำนวณเป็นมูลค่าสินค้าคงเหลือ ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 57 และนำมาหักคืนแก่ผู้ฟ้อง ตามสัดส่วนที่ได้ชำระไว้ต่อไป จึงเห็นว่าจำนวนเงิน 3.5 หมื่นล้านบาทเศษ ที่ผู้ฟ้องกับพวกกล่าวอ้างในคำสั่งกระทรวงการคลังที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี เป็นข้อเท็จจริงที่ยังไม่ยุติเป็นที่สุด

เพราะอาจมีเงินจำนวนหนึ่งที่ต้องนำคืนแก่ผู้ฟ้องในภายหลังตามที่ระบุไว้ในคำสั่งทางปกครองนั้น ขณะที่ความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวยังมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆเพื่อกำหนดค่าเสียหายที่ยุติเป็นที่สุด รวมทั้งหากนโยบายของรัฐบาลดังกล่าวไม่ชอบและทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ยังมีประเด็นการเรียกเงินคืนจากผู้ที่ได้รับไปจากนโยบายของรัฐบาลในฐานะลาภที่ไม่ควรได้ด้วย

ดังนั้นเมื่อยังมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยการกำหนดค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวที่แน่นอนซึ่งผลการวินิจฉัยอาจส่งผลเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงของค่าเสียหายที่จะสั่งให้รับผิดชดใช้ เมื่อสาระสำคัญของคำสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดียังไม่ยุติเป็นที่สุดจึงน่าจะมีปัญหาเรื่องความไม่ชอบของคำสั่ง เละเมื่อคำสั่งนั้นแจ้งให้ต้องรับผิดชดใช้เป็นจำนวนเงินที่สูงมาก หากมีการใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินขายทอดตลาดให้ครบตามจำนวนทั้งที่ข้อเท็จจริงยังไม่ยุติเป็นที่สุด ก็ย่อมเกิดผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อผู้ฟ้อง รวมทั้งบริวารที่มีธุรกรรมเกี่ยวข้องกับผู้ฟ้อง ในความเสียหายต่อสิทธิทรัพย์สินของบุคคล

จึงเห็นว่าหากให้คำสั่งกระทรวงการคลังนั้นมีผลใช้บังคับต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับผู้ฟ้องและ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขภายหลัง ซึ่งถ้าแม้ศาลปกครองจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงการคลังนี้ นายกฯผู้ถูกฟ้องที่1 ในฐานะหัวหน้า คสช.ยังมีอำนาจพิเศษที่จะสั่งการระงับยับยั้งคำสั่งของศาลปกครองได้ตาม รัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) มาตรา 44 จึงเห็นว่าการทุเลาบังคับคำสั่งกระทรวงการคลัง ก็ไม่เป็นอุปสรรคกับการบริหารงานของรัฐ

เมื่อการออกคำสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุการณ์ฟ้องคดีดำเนินการภายใต้สถานการณ์การใช้กำลังยึดอำนาจการปกครองและมีการใช้อำนาจรัฐ ศาลปกครองในฐานะองค์กรตุลาการของรัฐซึ่งมีหน้าที่อำนวยความยุติธรรมทางปกครองต้องตะหนักและให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนด้วยการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐแทนรัฐให้เป็นไปในฐานะรัฐที่ดีตามรัฐนิติธรรมเพื่อป้องกันการใช้อำนาจรัฐตามอำเภอใจ โดยดำเนินกระบวนพิจารณาคดีปกครองให้ครบตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองจนกว่าจะมีคำพิพากษาเป็นที่สุดเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมทางปกครอง ของประเทศได้ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามคำสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุในการฟ้องคดีก่อนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินผู้ฟ้องเพื่อเป็นหลักประกันในการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองแก่ประชาชนและสังคมไทยและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งจะดำเนินการใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามคำสั่งทางปกครอง ที่ไม่ใช่การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลซึ่งเป็นที่สุดแล้ว

เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าคำสั่งกระทรวงการคลังเหตุของการฟ้องคดีมีปัญหาความน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการให้คำสั่งนั้นมีผลบังคับต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงยากแก่การเยียวยาในภายหลัง ขณะที่หากทุเลาการบังคับคำสั่งนั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคกับการบริหารงานของรัฐ ศาลปกครองจึงมีอำนาจที่จะสั่งทุเลาได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามข้อ 72 วรรค 3 ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 จึงเห็นสมควรที่ศาลปกครองจะสั่งทุเลาคำสั่งกระทรวงการคลังไว้จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

การทุเลาไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้อง

ขณะเดียวกันก็ยังมีความเห็นแย้งของ วชิระ ชอบแต่ง ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนคดีนี้ ก็ยังมีความเห็นแย้งเช่นกัน แต่ในทางที่ว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่ผู้ฟ้องได้โต้แย้งถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของการออกคำสั่งทั้งในเรื่องการใช้อำนาจตามกฎหมายของผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 ,ขั้นตอนและวิธีการ ที่เป็นสาระสำคัญและดุลพินิจที่ใช้ในการออกคำสั่งในหลายกรณี กรณีจึงน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายซึ่งหากมีผลบังคับใช้ต่อไประหว่างการพิจารณาคดีของศาลจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับผู้ฟ้องที่ยากเกินเยียวยาในภายหลัง ซึ่งการที่ผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 มีหนังสือแจ้งเตือนในวันเดียวกันกับที่ออกคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ขณะเดียวกันได้มีการออกคำสั่งหัวหน้า คสช.มอบให้กรมบังคับคดีที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะมาเป็นผู้ใช้อำนาจในมาตรการบังคับทางปกครองโดยให้มีการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว จึงเป็นที่แน่ชัดว่าหากให้คำสั่งชดใช้ค่าสินไหมใช้บังคับต่อไปผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดีจะต้องดำเนินการใช้มาตรการบังคับทางปกครองยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องแล้วนำมาขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชดใช้ค่าสินไหมอย่างแน่นอนซึ่งสอดคล้องกับพยานหลักฐาน ที่ผู้ฟ้องแสดงต่อศาลว่าเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หลายฉบับว่าจะใช้มาตรการบังคับทางปกครองหากศาลมีคำสั่งไม่ทุเลา

กรณีจึงถือได้ว่าผู้ถูกกฟ้องได้เริ่มกระบวนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินแล้ว ขณะที่ได้ปรากฏข้อเท็จจริงจากการไต่สวนและหนังสือชี้แจงของผู้ฟ้องเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 60 พบว่าเมื่อสถานภาพของผู้ฟ้องเปลี่ยนแปลงไปยังมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นซึ่งหากนำค่าใช้จ่ายที่ผู้ฟ้องอ้าง กับทรัพย์สินตามที่แจ้งต่อศาลและ ป.ป.ช.มาเปรียบเทียบกับจำนวนเงินที่ผู้ฟ้องจะต้องชดใช้ตามคำสั่งแล้ว เห็นได้ว่าหากมีการบังคับทางปกครองโดยการยึดหรืออายัดทรัพย์ของผู้ฟ้องโดยสิ้นเชิง ย่อมทำให้ไม่มีทรัพย์ใดๆเหลืออยู่เลยในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลและย่อมได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยทันที

ซึ่งหากรอให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดียึดหรืออายัดทรัพย์ไปก่อนแล้ว ผู้ฟ้องมีคำขอให้ทุเลาแม้ศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาก็ไม่ได้ทำให้ผู้ฟ้องได้รับทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดไปแล้วกลับคืนมา เพียงแต่ทำให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดีไม่อาจมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินอื่นของผู้ฟ้องต่อไปได้เท่านั้น หรือหากผู้ฟ้องจะแก้ไขความเดือดร้อนด้วยการฟ้องเป็นคดีใหม่ขอให้เพิกถอนคำสั่งยึดและอายัดก็จะต้องดำเนินการตามเงื่อนไขการฟ้องคดีที่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาอีกพอสมควร

อีกทั้งถ้าแม้ศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาในครั้งนี้ก็ไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดีที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองกับทรัพย์สินของผู้ฟ้อง เพราะผู้ถูกฟ้องและกรมบังคับคดียังมีอำนาจหน้าที่ในส่วนของการเตรียมสืบหาทรัพย์สินต่างๆของผู้ฟ้องเพื่อนำไปสู่การยึดและอายัดต่อไป ดังนั้นถ้าจะสั่งทุเลาจึงไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐ แต่แม้คดีนี้ศาลจะมีอำนาจสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งทางปกครองได้ก็ตาม

แต่เมื่อพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของการกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาที่มุ่งคุ้มครองคู่กรณีระหว่างการพิจารณาคดีแล้ว การที่ศาลมีคำสั่งให้ทุเลาคำสั่งทั้งหมดซึ่งจะมีผลทำให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 และกรมบังคับคดีไม่สามารถยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินใดๆ ของผู้ฟ้องได้เลยในระหว่างการพิจารณาของศาลก็ย่อมทำให้เกิดปัญหาอุปสรรคกับการบริหารงานของรัฐตามมาได้และทำให้ผู้ฟ้องมีสิทธิใช้บรรดาทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ได้ตามปรกติเสมือนไม่มีคำสั่งที่ใช้บังคับเลยทั้งๆที่ผู้ฟ้องยังคงมีหน้าที่ชดใช้เงินตามคำสั่ง ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ และปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นกับการบริหารงานของรัฐตามมากับการพิจารณาถึงความเดือดร้อนเสียหายของผู้ฟ้องจากรายได้ ค่าใช้จ่ายที่สมควรลดลงตามแก่กรณี ความจำเป็นในการใช้ที่อยู่อาศัยและการครอบครองเคหะสถานโดยปรกติสุข เกียรติยศชื่อเสียง และ พฤติการณ์แห่งคดีของผู้ฟ้องที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว จึงเห็นสมควรที่จะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงการคลังเพียงบางส่วนเท่านั้นด้วยการห้ามไม่ให้คำสั่งกระทรวงการคลังมีผลในบ้านและที่ดินเลขที่ 38/9 ซอย นวมินทร์ 111 แขวง นวมินทร์ เขตบึงกุ่ม กทม.ที่เป็นบ้านพักอาศัยของผู้ฟ้องและครอบครัว และที่ดินซึ่งเป็นบ้านพักคนงานรวมถึงซึ่งของเครื่องใช้ต่างๆภายในบ้านทั้ง2หลัง รวมทั้งบัญชีเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยในธนาคารกรุงเทพฯสาขาศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคารเอ รวม 9 บัญชีไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

 

ที่มา : ข่าวศาลปกครอง เว็บไซต์ศาลปกครอง และ  มติชนออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อีสต์เอเชียฟอรั่มเสนอทางออกอย่างสันติ หลังสหรัฐฯ เคลื่อนกำลังเรือบรรทุกเครื่องบินกดดันเกาหลีเหนือ

Posted: 11 Apr 2017 07:51 AM PDT

บทบรรณาธิการของวารสารเกี่ยวกับเอเชียตะวันออก ชวนทำความเข้าใจเรื่องการขู่สั่งสมอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ พร้อมประเมินว่าการด่วนโจมตีก่อนจากฝ่ายสหรัฐฯ อาจจะส่งผลกระทบเลวร้ายและเสี่ยงเกินไป สิ่งที่จะปลดล็อกปัญหานี้ได้ควรจะใช้วิธีการทางการทูต และระบบตลาดที่มุ่งประชาชนเกาหลีเหนือมากกว่า

11 เม.ย. 2560 เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาประเด็นที่เกี่ยวกับท่าทีของสหรัฐอเมริกาต่อคาบสมุทรเกาหลีกลายเป็นที่จับตามองเมื่อสหรัฐฯ สั่งเคลื่อนเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส คาร์ล วิลสัน จากสิงคโปร์ไปยังคาบสมุทรเกาหลี หลังมีความกังวลเรื่องการพัฒนาอาวุธของเกาหลีเหนือ วารสารเชิงวิเคราะห์เอเชียอีสต์เอเชียฟอรัม นำเสนอบทบรรณาธิการเรื่อง เกาหลีเหนือกับอาวุธนิวเคลียร์ และความพยายามปลดอาวุธโดยชาติตะวันตกตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน และวิธีการใดที่จะสามารถ "ปลดอาวุธ" เกาหลีเหนือได้จริง

นับตั้งแต่เกาหลีเหนือประกาศเจตจำนงว่าว่าจะออกจากสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Non-proliferation Treaty) ในปี 2536 ประชาคมโลกก็พยายามอย่างหนักในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ประเทศที่แยกตัวออกจากโลกประเทศนี้

ในปี 2537 เคยมีการพยายามยับยั้งศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ยองเบียน จนทำให้ประเทศสหรัฐฯ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลียและสหภาพยุโรป ร่วมกันจัดตั้งองค์กรพัฒนาพลังงานคาบสมุทรเกาหลีเพื่อให้เครื่องปฏิกรณ์น้ำมวลเบา 2 เครื่องแก่เกาหลีเหนือเพื่อพยายามยับยั้งการเพิ่มนิวเคลียร์ นอกจากนี้ยังมีการหารือ 6 ฝ่ายระหว่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือ เพื่อพยายามลดอาวุธนิวเคลียร์จาเกาหลีเหนือแลกกับสนธิสัญญาสันติภาพอย่างถาวร โดยมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพลังงาน รวมถึงการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตให้เป็นอย่างเป็นปกติทั่วไปกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น

บทบรรณาธิการอีสต์เอเชียฟอรัมระบุว่าในสมัยรัฐบาลบารัก โอบามา ของสหรัฐฯ ได้เน้นใช้ "ความอดทนในเชิงยุทธศาสตร์" คือการใช้แนวคิดปล่อยให้เกาหลีเหนือล่มไปเองจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และรอให้พวกเขามาขึ้นโต๊ะเจรจาเพื่อเลิกพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็กลายเป็นการที่ไม่ได้ทำอะไรกับเกาหลีเหนือ และปล่อยให้เกาหลีเหนือพัฒนาอาวุธมากขึ้น แนวคิดที่ว่าเกาหลีเหนือจะล่มสลายไปเองก็เป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ

ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหรัฐฯ หลังการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว อดีตประธานาธิบดีโอบามาก็บอกกับโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีคนใหม่ว่าเกาหลีเหนืออาจจะเป็นปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดที่เขาต้องเผชิญในฐานะประธานาธิบดี ส่วนทรัมป์เคยประกาศแบบคุยโตว่าเขามี "ทุกวิถีทาง" เตรียมพร้อมที่จะยับยั้งการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

บทบรรณาธิการของอีสต์เอเชียฟอรัมระบุว่า การเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือเป็นประเด็นที่พัวพันกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ถึงแม้ว่าสงครามเกาหลีจะจบไปแล้วในปี 2496 ด้วยการเจรจาหยุดยิงแต่ทางสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ก็ยังไม่สามารถหารือข้อตกลงสันติภาพแบบถาวรกับเกาหลีเหนือได้ การครอบครองนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือยังส่อนัยว่าจะเกิดการครอบครองนิวเคลียร์โดยเกาหลีใต้และญี่ปุ่นได้ด้วย

อิสต์เอเชียฟอรัมประเมินว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกาหลีเหนือไม่ยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์ตามคำสั่งของสหรัฐฯ เพราะกลัวว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในอนาคต

เดวิด คัง ศาตราจารย์ด้านธุรกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยเซาธ์เทิร์นแคลิฟอร์เนียระบุว่า สถานการณ์นิวเคลียร์เกาหลีเหนือคล้ายกับช่วงเมื่อ 20 ปีที่แล้ว จากการที่สองฝ่ายต่างก็มองกันและกันว่าเป็นภัย รวมถึงมีการคว่ำบาตรและการกดดันกัน โดยที่คังตั้งคำถามแบบเดียวกับบทบรรณาธิการว่าการคว่ำบาตรจะได้ผลจริงหรือไม่แม้กระทั่งว่าถ้าหากจีนร่วมกดดันทางเศรษฐกิจด้วย เพราะเกาหลีเหนือเป็นประเทศที่แยกตัวออกมาเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว การทำให้พวกเขาแยกตัวจากโลกไปอีกคงไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองง่ายๆ 

ทางบท บก. อีสต์เอเชียฟอรัมยังระบุอีกว่าการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือจะทำร้ายประชากรทั่วไปในประเทศมากกว่ากลุ่มชนชั้นนำระดับสูงสุด พวกเขาจะอ้างเรื่องการถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติมาเป็นข้ออ้างโฆษณาชวนเชื่อว่าประเทศภายนอกเป็นศัตรูได้มากขึ้นด้วย 

แต่ทว่าการใช้กำลังโจมตีเกาหลีเหนือก่อนก็มีความเสี่ยงสูงและอาจจะถึงขั้นเป็นการกระทำบุ่มบ่ามขาดความยั้งคิดในสายตาของอีสต์เอเชียฟอรัม เพราะนอกจากจะไม่รู้ว่าอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนืออยู่ที่ไหนแล้ว อาจจะทำให้เกาหลีเหนือโต้ตอบกลับใส่เกาหลีใต้หรือญี่ปุ่นได้ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อชีวิตคนหลายล้านคน

การคว่ำบาตรธนาคารจีน และธุรกิจจีนที่ทำธุรกรรมกับเกาหลีเหนือก็อาจจะเป็นการกดดันจีนอีกทาง เพื่อให้ทำอะไรกับเกาหลีเหนือมากขึ้น แต่อีสต์เอเชียฟอรัมก็มองว่าในจุดนี้ควรเน้นอาศัยความร่วมมือและการประสานงานมากกว่า ส่วนหนึ่งที่ยังขาดความเข้าใจกันคือ ทางการจีนเองก็มีความไม่พอใจต่อผู้นำคิมจองอึนแห่งเกาหลีเหนือ ขณะที่พ่อของเขาอดีตผู้นำคิมจองอิลเคยมีสายสัมพันธ์ทีดีคอยเข้าหาผู้นำจีนบ่อยครั้ง แต่คิมจองอึนกลับสั่งกวาดล้างหรือประหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือที่ทางการจีนรู้จัก และคิมจองอึนเองก็ไม่ค่อยเข้าหาผู้นำจีนเท่าใด

เมื่อประเมินทางการทูตแล้วอีสต์เอเชียฟอรัมระบุว่าจีนยังคงรั้งรอที่จะบีบเกาหลีเหนือไม่ใช่เพราะว่าจีนมองเกาหลีเหนือเป็นพันธมิตร ความสัมพันธ์ใกล้ชิดแบบประสบการณ์ที่พวกเขาต่อสู้ร่วมกันในสงครามเกาหลีจบไปนานแล้ว แต่ทางการจีนคำนวนแล้วว่าประเทศใกล้เคียงเกาหลีเหนือที่ดูน่ารำคาญยังดีกว่าเกาหลีเหนือเองที่มีสภาพหลังชนฝา และมีโอกาสที่จะล่มสลายลงด้วยความโกลาหลจนทำให้มีผู้ลี้ภัยหลายล้านคนทะลักเข้าสู่เอเชียคะวันออกเฉียงเหนือ นั่นยังไม่รวมว่าอาวุธนิวเคลียร์จะตกไปอยู่ในมือใคร

อีสต์เอเชียฟอรัมเสนอว่าถ้าต้องการหลีกเลี่ยงกรณีความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดข้างต้นนั้น กลุ่มประเทศสมาชิกเจรจา 6 ฝ่ายควรจะทำงานร่วมกันเพื่อให้เกาหลีเหนือหาทางลงแบบนุ่มนวลได้ 

ขณะที่คังอธิบายในทางเศรษฐกิจว่ารายได้เกาหลีเหนือร้อยละ 40 ในตอนนี้มาจากเศรษฐกิจระบบตลาด สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเกาหลีเหนือมีความผูกโยงกับรัฐบาลของพวกเขาน้อยลงกว่าเมื่อก่อน ทำให้เมื่อรัฐบาลเกาหลีเหนือเล็งเห็นในเรื่องนี้พวกเขาก็พยายามสร้างอำนาจระบบตลาดเพื่อพยายามควบคุมประชาชนของพวกเขาอีกครั้งเพราะกลัวจะสูญเสียอำนาจการควบคุมของตัวเองไปเมื่อมีคนเข้าสู่ระบบตลาดมากขึ้น

อีสต์เอเชียฟอรัมเสนออีกว่าในระยะยาวควรมีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ด้วยการเปลี่ยนวิธีคิดของชาวเกาหลีเหนือที่มีต่อรัฐบาลของตนเองและโลกภายนอก ซึ่งถึงแม้ว่าอาจจะยังมีความเสี่ยงแต่ก็จะช่วยบริการจัดการความตึงเครียดและหลีกเลี่ยงกรณีที่จะก่อให้เกิดหายนะอย่างการใช้อาวุธนิวเคลียร์

 

เรียบเรียงจาก

Trump's North Korea conundrum, East Asia Forum, 10-04-2017

http://www.eastasiaforum.org/2017/04/10/trumps-north-korea-conundrum/

North Korea policies the same old, same old, David Kang, East Asia Forum, 09-04-2017

http://www.eastasiaforum.org/2017/04/09/north-korea-policies-the-same-old-same-old/

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลิก ม.44 คุมธรรมกาย ประยุทธ์ ยัน กรณีอื่นยังใช้แต่จะไม่ให้ขัดรธน.

Posted: 11 Apr 2017 06:54 AM PDT

ประยุทธ์ ยกเลิกม.44 ควบคุมพื้นที่วัดธรรมกาย ยัน กรณีอื่นใช้เท่าที่จำเป็นและไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ ชี้ ประชาชนทั่วไปไม่เดือดร้อนมีแต่นักการเมืองได้รับผลกระทบ ส่วนวิษณุ แจง ม.44 บางฉบับอาจคงอยู่ ยกเลิก หรือเปลี่ยนเป็นพ.ร.บ.

วันนี้ (11 เมษายน 2560) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการยกเลิกใช้มาตรา 44 ควบคุมพื้นที่วัดธรรมกายว่า เป็นการยกเลิกควบคุมพื้นที่วัดธรรมกายเพราะเกิดความสงบในพื้นที่แล้ว แต่การใช้มาตรา 44 ยังคงเหมือนเดิม ซึ่งหากมีปัญหาเกิดความรุนแรงเกิดขึ้นภายในพื้นที่ที่ยกเลิก ก็สามารถใช้มาตรา 44 กลับมาควบคุมพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยไม่ให้เกิดความรุนแรง

ส่วนกรณีที่นักการเมืองออกมาระบุว่า ไม่ต้องการให้รัฐบาลใช้มาตรา 44 พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลใช้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งประชาชนทั่วไปไม่ได้รับความเดือนร้อนจากการบังคับใช้มาตรา 44 มีแต่นักการเมืองเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลจะใช้มาตรา 44 เท่าที่จำเป็นและจะไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ

"ไม่อยากให้ใช้ หรือให้ใช้เท่าที่จำเป็น สรุปจะเอาแบบเขาหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะมาตรา 44 หรือกฎหมายปกติเขาก็ไม่ให้ใช้ ไม่ให้กวดขัน ไม่ให้กำกับดูแล ปล่อยปละละเลย เอาแบบเขาหรือไม่ บ้านเมืองจะได้ไม่มีกฎหมาย อยู่กันสบายๆ จะอยู่ได้หรือไม่ ผมไม่รู้ ต้องไปถามเขาดู อย่างไรก็ตาม ผมจะใช้เท่าที่จำเป็น พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็แล้วแต่มุมมอง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

วานนี้ (10 เม.ย.) วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประเด็นเกี่ยวกับการเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรา 44 ว่า ขอบคุณในความเป็นห่วงและท้วงติง แต่มาตรา 265 ในรัฐธรรมนูญได้รับรองการใช้อำนาจมาตรา 44 อยู่  โดยรัฐบาลยืนยันจะไม่ใช้ล่วงเกินแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช้เพื่อเป็นโทษกับใคร แต่จะใช้ในกรณีมาตรการทางปกครอง รวมทั้งการแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างเร่งด่วน ซึ่งไม่สามารถใช้มาตรการตามปกติแก้ไขปัญหาได้

ทั้งนี้ วิษณุ กล่าวถึงความจำเป็นในการใช้มาตรา 44 ว่า มีมาก ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้คัดออกไปหลายเรื่อง องค์กรที่ขอให้รัฐบาลใช้มาตรา 44 มีตั้งแต่องค์กรระหว่างประเทศ องค์กรในประเทศที่น่าเชื่อถือ เมื่อรัฐบาลพิจารณาแล้วว่าจำเป็นก็ต้องใช้ในทางสร้างสรรค์ เช่น การแก้ไขปัญหาให้การประกอบธุรกิจดำเนินด้วยความสะดวกมากขึ้น การแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย โดยปัญหาเหล่านี้หากจะแก้ไขกฎหมายจะต้องใช้เวลาหลายเดือน ไม่ทันต่อการตรวจสอบจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง

วิษณุ กล่าวเกี่ยวกับการใช้มาตรา 44 อีกว่า เราใช้น้อยลงมา 3 เดือนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นไปในลักษณะที่ว่า เสนอมา 10 ฉบับ รับมา 1 ขณะนี้ได้หารือกับ คสช. เกี่ยวกับการพิจารณาเกี่ยวกับมาตรา 44 ที่ประกาศใช้ไปแล้ว ซึ่งบางฉบับจะต้องยกเลิก บางฉบับจะยังคงอยู่ และบางฉบับจะแปลงไปเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)

เรียบเรียงจาก: ข่าวทำเนียบรัฐบาล ไทยรัฐออนไลน์ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทวิตเตอร์ฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ หลังถูกขอข้อมูลผู้ใช้ที่วิจารณ์รัฐบาล

Posted: 11 Apr 2017 06:32 AM PDT

ทนายความจากกลุ่มสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกันกล่าวชมทวิตเตอร์ปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหลังจากทวิตเตอร์ฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ขอข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยทวิตเตอร์ฟ้องร้องว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

9 เม.ย. 2560 จากเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ เรียกขอข้อมูลผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งที่แสดงการต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ทวิตเตอร์ได้ยืนยันสิทธิในการเเสดงความคิดเห็นโดยฟ้องร้องดำเนินคดีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) กับสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ศาลรัฐบาลกลางในเมืองซานฟรานซิสโก โดยฟ้องร้องด้วยฐานที่ว่า การพยายามขอข้อมูลส่วนบุคคลของบัญชีผู้ใช้ถือเป็นการละเมิดบทบัญญัติเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตราที่ 1 ของสหรัฐฯ ที่ว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

ทวิตเตอร์ยืนยันว่าผู้ใช้งานของพวกเขาควรจะได้รับสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการเผยแพร่ข้อความแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้อย่างไม่ต้องเปิดเผยนามและใช้นามแฝงได้

โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2560 ทางการสหรัฐฯ เรียกร้องให้เปิดเผยรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับผู้ใช้ที่ชื่อ @ALT_uscis ไม่ว่าจะเป็นชื่อผู้ใช้ อีเมลล์ผู้ใช้งาน เบอร์โทรศัพท์ผู้ใช้งาน หรือแม้กระทั่งหมายเลขไอพีเครื่องคอมพิวเตอร์ผู้ใช้ แต่เมื่อดูตามเอกสารแฟกซ์ที่ทางสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งให้ทวิตเตอร์ระบุให้ทวิตเตอร์ต้องส่งข้อมูลดังกล่าวให้ภายในวันที่ 13 มี.ค. ทั้งๆ ที่แฟกซ์ส่งถึงวันที่ 14

นิวยอร์กไทม์ระบุว่าบัญชีผู้ใช้งานที่ชื่อ @ALT_uscis เป็นชื่อที่จงใจสื่อถึงสำนักงานบริการพลเมืองและตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ (USCIS) โดยระบุราวกับเป็นรัฐบาลกลาง "ทางเลือก" ("Alternative" Federal Government) มีการสร้างบัญชีนี้ขึ้นมาตั้งแต่ 2 เดือนที่แล้ว และมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายกีดกันผู้อพยพของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์รวมถึงแสดงให้เห็นว่านโยบายเหล่านี้เป็นความสิ้นเปลืองและการจัดการที่ผิดพลาดของ DHS และ USCIS

นอกจาก @ALT_uscis แล้วยังมีบัญชีทวิตเตอร์ "ทางเลือก" อื่นๆ ที่ทำขึ้นในเชิงวิพากษ์วิจารณ์หรืออ้างว่าเป็นตัวแทนของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ทั้งอดีตและปัจจุบัน ซึ่งบัญชีเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากทรัมป์เข้าสู่ตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น @Alt_CDC ที่อ้างว่าเป็น "ทางเลือก" ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อ (CDC) หรือ @AltUSEPA ที่สื่อถึงสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (EPA) บัญชีนี้อ้างว่าเป็น "ฝ่ายต่อต้านอย่างไม่เป็นทางการของทีมปกป้องสิ่งแวดล้อม"

จนถึงตอนนี้ฝ่ายรัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่ได้เหตุผที่ชัดเจนว่าต้องการให้ทวิตเตอร์ระบุตัวตนของผู้ใช้ไปทำไม

ในการฟ้องร้องของทวิตเตอร์ พวกเขาบอกว่ารัฐบาลไม่สามารถบังคับให้บริษัทเปิดเผยตัวตนของผู้ใช้ได้โดยไม่มีเหตุจำเป็นซึ่งการพิสูจน์เตุจำเปนดังกล่าวต้องผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอน พวกเขาต้องมีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าผู้ใช้เหล่านั้นกระทำผิดจริงไม่ว่าจะในทางแพ่งหรือทางอาญา ทางการต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้นำข้อมูลเหล่านั้นไปโดยมีเจตนาต้องการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และยังต้องทำให้เห็นว่าประโยชน์ด้านการสืบสวนของพวกเขามีน้ำหนักมากพอเมื่อเทียบกับสิทธิของทวิตเตอร์และของผู้ใช้ตามที่ระบุไว้ในบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตราที่ 1 ของสหรัฐฯ 

แต่สำนวนคำฟ้องร้องของทวิตเตอร์ก็ระบุว่าฝ่ายรัฐบาลสหรัฐฯ แทบจะไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นในเรื่องเหล่านี้เลย

อิชา บันดารี ทนายความจากสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU) ได้กล่าวชื่นชมทวิตเตอร์ในเรื่องนี้ว่า พวกเขารู้สึกดีที่ทวิตเตอร์ยืนหยัดต่อสู้เพื่อผู้ใช้งานของตัวเองและออกตัวปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

นิวยอร์กไทม์ระบุว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทวิตเตอร์ฟ้องร้องรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของผู้ใช้งาน ในปี 2555 ทวิตเตอร์ก็เคยโต้กลับคำสั่งศาลที่บังคับให้ส่งข้อมูลผู้ใช้งานและข้อความทวีตของผู้ประท้วง "ยึดวอลล์สตรีท" (Occupy Wall Street) ในปี 2557 ก็เคยฟ้องร้องรัฐบาลโอบาม่า เพื่อให้พวกเขามีสิทธิที่จะเปิดเผย "รายงานความโปร่งใส" ฉบับเต็ม ซึ่งมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขอข้อมูลของรัฐบาล

 

เรียบเรียงจาก

Twitter Challenges US Order for Anti-Trump User Records, New York Times, 06-04-2017

https://www.nytimes.com/aponline/2017/04/06/us/ap-us-twitter-government-lawsuit.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครม.เห็นชอบ 28 ก.ค. และ 13 ต.ค. เป็นวันหยุดราชการประจำปี ส่วน 5 พ.ค.ไม่ถือเป็นวันหยุดแล้ว

Posted: 11 Apr 2017 05:21 AM PDT

ครม. เห็นชอบกำหนดให้วันที่ 28 ก.ค. และ 13 ต.ค. เป็นวันหยุดราชการประจำปี อีก 2 วัน กรณีวันที่ 5 พ.ค. ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล บัดนี้ได้ล่วงพ้นรัชสมัยแล้ว จึงไม่ถือเป็นวันหยุดราชการประจำปี 

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

11 เม.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่า เมื่อเวลา 15.40 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. ได้มีการพิจารณากำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่มและกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษในปี 2560 โดย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกำหนดให้วันที่ 28 ก.ค. และวันที่ 13 ต.ค. เป็นวันหยุดราชการประจำปี อีก 2 วัน ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอ ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

ทั้งนี้ ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็น หรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประชาชน

โดย สาระสำคัญของเรื่อง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอว่าได้จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการกำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่มและการกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษในปี 2560 ดังนี้ 1. ควรกำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่ม รวม 2 วัน เนื่องจากทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้กำหนดวันสำคัญของชาติไทยเพิ่มเติม ได้แก่ วันที่ 28 ก.ค. ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และวันที่ 13 ต.ค. ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เพื่อให้ประชาชนได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ดังนั้น จึงเห็นควรกำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่ม รวม 2 วัน ดังนี้  1.1 วันที่ 28 ก.ค. เนื่องจากเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร  1.2 วันที่ 13 ต.ค. เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

นอกจากนี้ กรณีวันที่ 5 พ.ค. ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล หรือ วันบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และบัดนี้ได้ล่วงพ้นรัชสมัยแล้ว จึงไม่ถือเป็นวันหยุดราชการประจำปี 

2. สำหรับกรณีส่วนราชการที่ต้องปฏิบัติภารกิจในการให้บริการประชาชนหรือมีความจำเป็นหรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไป จะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชนให้ถือปฏิบัติตามแนวทางเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติในเรื่องเดียวกันนี้แล้ว กล่าวคือให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประชาชน ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศ และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

ที่มา เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จีนแชมป์ประหารชีวิตมากสุดในโลก ไทยยังเป็นประเทศส่วนน้อยที่ใช้โทษประหารชีวิตอยู่

Posted: 11 Apr 2017 03:40 AM PDT

แอมเนสตี้ฯ เผยรายงานโทษประหารชีวิต ปี 59 พบจีนยังคงเป็นประเทศที่ประหารชีวิตประชาชนมากที่สุดในโลก รองลงมาเป็น อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย อิรัก และปากีสถาน ส่วนไทยได้ก้าวเข้าสู่ปีที่แปดที่ไม่มีการประหารชีวิตจริง 

11 เม.ย. 2560 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยรายงานสถานการณ์โทษประหารชีวิตและการประหารชีวิตของปี 2559 พบว่าการประหารชีวิตส่วนใหญ่ในโลกเกิดขึ้นในประเทศจีน อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย อิรักและปากีสถาน ตามลำดับ  ส่วนไทยยังคงเป็นหนึ่งใน 57 ประเทศที่ยังใช้โทษประหารชีวิต ในขณะที่อีก 141 ประเทศทั่วโลกยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติแล้ว

ในรายงาน "สถานการณ์โทษประหารชีวิตและการประหารชีวิตในปี 2559" (Death Sentences and Executions in 2016) ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลที่เผยแพร่ในวันนี้ ยืนยันว่าแนวโน้มทั่วโลกมุ่งสู่การยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยในปี 2559 มีประชาชนอย่างน้อย 1,032 คนที่ถูกประหารชีวิตใน 23 ประเทศ หรือหนึ่งใน 10 ของประเทศทั่วโลกเท่านั้นที่ยังทำการประหารชีวิต

แอมเนสตี้ ระบุว่า จีนยังคงเป็นประเทศที่ประหารชีวิตประชาชนมากที่สุดในโลก แต่เราไม่ทราบจำนวนการใช้โทษประหารชีวิตที่แท้จริงในประเทศได้ เนื่องจากทางการจีนเก็บข้อมูลเหล่านี้เป็นความลับของชาติ ตัวเลขการประหารชีวิตระดับโลกอย่างน้อย 1,032 กรณีจึงไม่ครอบคลุมการประหารชีวิตที่คาดว่าเกิดขึ้นหลายพันกรณีในจีน หากไม่นับการประหารชีวิตในจีน 87% ของการประหารชีวิตทั้งหมดในโลกเกิดขึ้นในสี่ประเทศ ได้แก่ อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย อิรัก และปากีสถาน

ปัจจุบันมี 141 ประเทศหรือมากกว่า 2 ใน 3 ของประเทศทั่วโลกที่ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติแล้ว

สำหรับประชาคมอาเซียนซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 10 ประเทศนั้น กัมพูชาและฟิลิปปินส์ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดทางอาญาทุกประเภทแล้ว ส่วนลาว พม่า และบรูไนได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ (หมายถึงการที่ยังคงไว้ซึ่งโทษประหารชีวิต แต่ได้ระงับการประหารชีวิตจริงเป็นระยะเวลา 10 ปีติดต่อกัน) ส่วนประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์และเวียดนามยังคงมีและใช้โทษประหารชีวิตอยู่

ข้อมูลจากรายงานล่าสุดระบุว่า เวียดนามติดอันดับเป็นหนึ่งในประเทศที่ประหารชีวิตประชาชนมากสุดในโลก โดยมีนักโทษที่ถูกประหารชีวิต 429 คนระหว่างวันที่ 6 สิงหาคม 2556 ถึง 30 มิถุนายน 2559 เฉพาะจีนและอิหร่านเท่านั้นที่ประหารชีวิตประชาชนมากกว่าเวียดนามในช่วงเวลาดังกล่าว

ในส่วนของประเทศไทย จากรายงานพบว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสัดส่วนจำนวนการกำหนดโทษประหารชีวิตเพิ่มสูงขึ้น เป็นผลมาจากการที่ทางการไทยได้ให้ข้อมูลอย่างละเอียดมากขึ้นกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล โดยในปี 2559 พบว่ามีการกำหนดโทษประหารชีวิตครั้งใหม่ 216 กรณี นับเป็นการให้ข้อมูลแบบนี้ครั้งแรกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยเปิดเผยว่าสำหรับประเทศไทย มีการประหารชีวิตครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2552 ขณะนี้ไทยได้ก้าวเข้าสู่ปีที่แปดที่ไม่มีการประหารชีวิตจริง ซึ่งหากไม่มีการประหารชีวิต 10 ปีติดต่อกัน ทางองค์การสหประชาชาติจะถือว่าไทยเป็นประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติทันที ซึ่งจะถือเป็นพัฒนาการที่ดีด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยอีกก้าวหนึ่ง

"แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องรัฐบาลไทยให้ดำเนินการตามเจตน์จำนงที่ระบุไว้ในแผนสิทธิมนุษยชน โดยประกาศพักการใช้โทษประหารชีวิตชั่วคราวอย่างเป็นทางการ และเสนอแก้ไขกฎหมายเพื่อลดจำนวนความผิดทางอาญาที่มีบทลงโทษด้วยการประหารชีวิต รวมทั้งให้ลงนามและให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเลือกรับฉบับที่สองของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (Second Optional Protocol to the International Covenant on Civil and Political Rights) ที่มุ่งยกเลิกโทษประหารชีวิต" ปิยนุช กล่าว

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลคัดค้านโทษประหารชีวิตทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดทางอาญาประเภทใด ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะมีบุคลิกลักษณะใด หรือไม่ว่าทางการจะใช้วิธีประหารชีวิตแบบใด โทษประหารชีวิตละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิตตามที่ประกาศไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และถือเป็นการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งมีงานวิจัยมากมายจากนานาประเทศได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโทษประหารชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงใด ๆ กับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอาชญากรรมที่เกิดขึ้น

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลให้ประกัน 3 จำเลยคดีชุดดำ หลังยกฟ้องแต่ให้ขังระหว่างอุทธรณ์ตั้งแต่เดือน ม.ค.

Posted: 11 Apr 2017 02:55 AM PDT

ทนายวิญญัติ เผย ศาลอนุญาตให้ปล่อย 3 จำเลย คดีชายชุดดำ 10 เม.ย.53หลังยกฟ้องแต่ให้ขังระหว่างอุทธรณ์ตั้งแต่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ระบุทีมทนายจะยื่นขอประกันตัวอีก 2 จำเลยต่อไป เผยถูกคุมขังตั้งแต่เดือน ก.ย. 57

แฟ้มภาพ

11 เม.ย.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจำเลย จากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะสาธารณะ ระบุว่า วันนี้ เวลา 14.40 น. ตนและทีมทนายจำเลยคดีชายชุดดำ ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวระหว่างอุทธรณ์จำเลยที่ 3,4,5 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ตีราคาหลักประกัน คนละ 200,000 บาท เมื่อหมายปล่อยส่งถึงเรือนจำพิเศษกรุงเทพและทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งสามคนจะถูกปล่อยตัวในเย็นวันนี้ (11 เม.ย.60) ประกอบด้วย จำเลยที่ 3 รณฤทธิ์ หรือ นะ สุริชา อายุ 36 ปี ชาวจังหวัดอุบลราชธานี จำเลยที่ 4 ชำนาญ หรือ เล็ก ภาคีฉาย อายุ 48 ปี ชาวกรุงเทพมหานคร และ จำเลยที่ 5 ปุนิกา หรือ อร ชูศรี อายุ 42 ปี ชาวกรุงเทพมหานคร

วิญญัติ ระบุด้วยว่า  คดีนี้สืบเนื่องจากจำเลยทั้ง 5 คน ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น "ชายชุดดำ" ถูกฟ้องคดีอาญาต่อศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.4022/2557 ฐานความผิดร่วมกันครอบครองอาวุธปืนสงครามฯ ในเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. 2553 ที่บริเวณแยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง ในช่วงการสลายการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปชฺ.) และแนวร่วมคนเสื้อแดงที่ชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือยุบสภา และในวันนั้นเกิดเหตุประชาชนและเจ้าหน้าที่ทหารหลายคนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากนั้น จนกระทั่งต่อมาจำเลยทั้งห้าถูกจับกุมโดยทหาร คสช.เมื่อเดือน ก.ย. 2557 โดยนำแถลงข่าวและฟ้องเป็นคดี ต่อมาศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2560 

ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของฝ่ายอัยการ(โจทก์) และฝ่ายจำเลยที่ 1,2 ที่ยังเห็นแย้งในคำวินิจฉัยพยานหลักฐานบางประเด็นตามคำพิพากษาต่อไป โดย วิญญัติ ระบุด้วยว่า ทีมทนายจะยื่นขอประกันตัวจำเลยที่ 1,2 ในลำดับถัดไป
 
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามฟ้อง จำคุกคนละ 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 3,4,5 นั้นยังมีเหตุแห่งความสงสัยจึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังระหว่างอุทธรณ์ 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

The Mask Fighter: หน้ากากนักสู้ ภายใต้หน้ากากเหล่านี้คุณคิดว่าเขาคือใคร

Posted: 11 Apr 2017 01:47 AM PDT

หลังจากที่กลายเป็นกระแสกันมาอยู่ช่วงหนึ่ง สำหรับรายการ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง ซึ่งเป็นรายงานการประกวดร้องเพลงที่มีผู้ชม Live ทางเฟซบุ๊ก และยูทูปรวมกันมากที่สุดถึง 1.6 วิว ซึ่งถือเป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่ทำเอาเรทติ้งรายการ หรือละครทีวีในช่วงเวลาเดียวทยอยต่ำลงไปด้วย สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจจะรู้สึกเหมือนกันคือ มันเป็นรายการประกวดร้องเพลงที่แต่ละหน้ากากต่างก็มีน้ำเสียงที่ทรงพลัง มีเอกลักษณ์ที่แตกต่าง และน่าหลงใหลต่างกันไป

บ่อยครั้งในรายการ เรามักจะได้ยินประโยคที่ว่า "คืนนี้คนไทยทั้งประเทศ จะได้รู้กันว่าใครที่อยู่ภายใต้หน้ากาก…" และช่วงสุดท้ายของรายการผู้ที่ที่ได้รับคะแนนโหวตน้อยกว่า ก็จะต้องเปิดหน้ากากให้คนที่กำลังดูรายการได้เห็นว่า เขาคือใคร และแน่นอนที่สุดคนแพ้ก็ตกรอบไป ส่วนผู้ที่ชนะยังคงใส่หน้ากากและเข้าแข่งขันในรอบถัด จนสุดท้ายจะเหลือผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว

หากจะบอกว่ารายการนี้น่าสนใจเพราะมันสร้างความสงสัยก็คงไม่ผิด ประชาไทหยิบเอาคอนเซ็ปท์ "ความสงสัยภายใต้หน้ากาก" มาท้าทายให้ผู้อ่านได้คาดเดาว่า ภายใต้หน้ากากที่เราตั้งชื่อใกล้เคียงกันว่า The Mask Fighter หรือหน้ากากนักสู้ พวกเขาคือใคร  โดยจะมี 5 คำใบ้ที่บอกเรื่องราวบางส่วนของพวกเขา ผู้อ่านจะเดาออกหรือไม่ว่าเขาเหล่านั้นเป็นใครจากเรื่องราวของเขา ... ซึ่งหลายกรณีก็ไม่แน่ว่าเมื่อเปิดหน้ากากออกเขาอาจจะเป็นคุณ

000000

หน้ากากแคน

- นักดนตรีวงสามัญชน ผู้หลงรักในเสียงพิณแคนแดนอีสาน

- เคยทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ภาคอีสานหลายจังหวัด

- กำลังจะจบการศึกษาระดับปริญญาตรี แต่เขาไม่ได้สอบวิชาสุดท้ายในมหาวิทยาลัย

- เขาเคยถูกคุมขังในเรือนจำรวมครั้งปัจจุบันด้วยเป็น 3 ครั้งจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง และครั้งล่าสุดเขาถูกจองจำตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 2559 จนถึงปัจจุบัน แม้คดีความจะยังไม่ได้ตัดสินเลยก็ตาม

- ทุกวันนี้กลายเป็นนักอ่านตัวยงคนหนึ่งภายในเรือนจำแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน

หน้ากากกุญแจ

-เขาเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดในเรือนจำแห่งหนึ่ง ชอบซื้อขันและกุญแจล็อกเกอร์ให้นักโทษใหม่ที่ญาติยังไม่มาเยี่ยม

-เคยเป็นนักรณรงค์เรื่องสิทธิแรงงานมาตั้งแต่ปี 2520

-ก่อตั้งกลุ่มที่มีชื่อตรงกับวันเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย

-เคยยื่นประกันตัวราว 15 ครั้ง หลักทรัพย์ตั้งแต่ 4 แสน ถึง 2 ล้าน แต่ไม่เคยได้ประกัน

-คดีที่เขาเผชิญหน้าอยู่เป็นคดีร้ายแรงเป็นคดีแรกในรอบทศวรรษที่มีการสู้กันจนถึงชั้นฎีกา

หน้ากากฮาร์ดดิสก์

-ก่อนหน้าปีรัฐประหาร 2557 เคยจับตาหนักเรื่องการเซ็นเซอร์ เรื่องเสรีภาพในการแสดงออก เคยมีอีเว้นท์ จัดฉายหนังและเสวนาเกี่ยวกับ "หนังน่าจะแบน" และจับตาเรื่องการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

-รูดซิป(เ)ปิดปาก คือชื่อค่ายที่พวกเขาจัดทุกปี

-ตอนนี้ออกหนังสื่อที่เกี่ยวข้องกับนักโทษคดี 112 วางขายในร้านขายหนังสือทั่วประเทศ

- มีผลงานเด่นในปีนี้คือการค้นหาว่ามี สนช. คนไหนโดดประชุมบ่อย

- เป็นกลุ่มบุคคลที่อาศัยอยู่ในออฟฟิศที่มีแมวจรชื่อ ไข่ต้ม ชอบมาอาศัยอยู่

หน้ากากชุดครุย

- กลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันหลังรัฐประหารปี 2557

- มีเพื่อนร่วมงาน 2 คน แม้จะเป็นทนายความแต่ก็มีสถานะเป็นจำเลยด้วย

- มีเพื่อนร่วมงาน 1 คนได้รับรางวัล "สมชาย นีละไพจิตร" ปี 2560 และอีกหนึ่งคนได้รับรางวัล Lawyers for Lawyers Award 2017

- พวกเขามีชีวิตผูกพันกับศาลทหาร พร้อมให้คำปรึกษา ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางคดีการเมืองหลังรัฐประหารซึ่งมีเยอะมาก ส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ และมีต่างจังหวัดด้วย

-หน้ากากก็จัดเต็มแบบนี้ถ้าบอกข้อนี้เพิ่มอีกก็เฉลยเลยดีมั้ย

หน้ากากเด็ก

-เป็นผู้หญิงอายุ 25-26 ปี เธอทำงานประจำอยู่ที่กรมเด็ก เรียนจบคณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

-มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับทหารเกณฑ์

-ปัจจุบันมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา

-เคยมีคนส่งกระสุนปืนใส่ซองธูปไปให้เธอที่บ้าน หลังจากออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ญาติของเธอซึ่งถูกซ้อมทรมานเสียชีวิตในค่ายทหาร

-ประชาไทได้ยกย่องเธอเป็นบุคคลแห่งปีประจำปี 2016

หน้ากากชาชัก

-เขาเคยทำงานภาคประชาสังคม และเป็นทีมงานสื่อออนไลน์แห่งหนึ่งที่ชื่อเดียวกันกับ "ดอกชบา" และปี 2555 ได้ร่วมกับนักกิจกรรมด้านสื่อก่อตั้งสำนักข่าวออนไลน์ขึ้นมาเพื่อสื่อสารประเด็นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

-เขาถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 12 ปีเมื่อกลางปี 2556 ในข้อหาความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ อั้งยี่ และซ่องโจร เพราะถูกซัดทอดว่าเข้าร่วมขบวนการกู้ชาติปัตตานี ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เพราะประวัติของเขาไม่เคยร่วมก่อเหตุรุนแรงหรือกระทำความผิดอาญาอื่นใด

-เขาใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำเป็นเวลา 3 ปี 8 เดือน 7 วัน ก่อนพ้นโทษออกมาไม่นานนี้

-ขณะที่ถูกจองจำ เขาถูกกล่าวหาอีกว่า เป็นแกนนำในการก่อการจลาจลที่เรือนจำปัตตานี แต่หลังจากที่มีการให้ข่าวโดย กอ.รมน.ภ.4 สน.  พี่ชายของเขาได้ออกมาชี้แจงว่า ทราบจากเจ้าหน้าที่ว่า น้องชายของตนไม่เกี่ยวข้อง เพียงแต่ทำหน้าที่ในการช่วยเจรจา เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลง

-หลังจากได้รับอิสระภาพแล้ว อาชีพหนึ่งที่ทำต่อไปนอกจากการขายน้ำชาคือ สื่อมวลชน

หน้ากากแท๊กซี่

-เขาเป็นอดีตพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิต

-หลังจากออกจาการเป็นพนักงานการไฟฟ้าฯ เขาขับแท๊กซี่ สีม่วง ทะเบียน ทน 345 กรุงเทพมหานคร

-เคยขับรถแท๊กซี่พุ่งชนรถถังเบา M41A2 Walker Bulldog ป้ายทะเบียนตรากงจักร 71116 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2549

-เขาเสียชีวิตโดยการตัดสินใจผูกคอตายเพื่อลบคำสบประมาทของนายทหารคนหนึ่งที่ว่า "ไม่มีใครตายเพื่ออุดมการณ์ได้"

-ส่วนหนึ่งของข้อความในจดหมายลาตายระบุด้วยว่า "สุดท้ายขอให้ลูกๆ และภรรยาจงภูมิใจในตัวพ่อ ไม่ต้องเสียใจ ชาติหน้าเกิดมา คงไม่พบเจอการปฏิวัติอีก"

หน้ากากลายนิ้วมือ

-เป็นกลุ่มบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับวันที่ 2 ก.พ. 2557 (จำไม่ได้ล่ะสิว่าวันอะไร) และแต่ละคนอาจจะไม่รู้จักกันมาก่อน

-พวกเขาพยายามหลายวิธีมากเพื่อที่จะได้เดินทางเข้าไปในสถานต่างๆ เพื่อทำในสิ่งที่เป็นการยืนยันว่าพวกเขาคือ เจ้าของอำนาจรัฐที่แท้จริง แต่สถานที่เหล่านั้นถูกมวลชนล้อมและประกาศห้ามเข้า

-หลายคนถูกด่าว่าเป็นขี้ข้าทักษิณ และเป็นพวกไม่รักชาติ

-บางคนถูกทำร้ายร่างกาย เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาต้องการจะทำ

-หนึ่งในพวกเขา อาจมีเรารวมอยู่ด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เบอร์นี แซนเดอร์ส วิจารณ์ ทรัมป์ ดึงสหรัฐฯ กลับไปจมปลักกับสงครามตะวันออกกลาง

Posted: 11 Apr 2017 12:13 AM PDT

9 เม.ย. 2560 สื่อนอกกระแสจากสหรัฐฯ คอมมอนดรีมส์รายงานในเชิงวิพากษ์วิจารณ์คำสั่งการโจมตีซีเรียด้วยอาวุธจรวดมิสไซล์ "โทมาฮอว์ก" มุ่งเป้าหมายที่ฐานทัพอากาศ โดยระบุว่าเป็นการโจมตีที่ไม่มีการขอความเห็นชอบจากสภาคองเกรสของสหรัฐฯ หรือมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือมากพอในการอ้างความชอบธรรมโจมตีรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอัสซาด ของซีเรีย หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นไปเพื่อตอบโต้การใช้อาวุธเคมีช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาที่รัฐบาลซีเรียเป็นผู้ต้องสงสัยก่อเหตุ

ทางการสหรัฐฯ เผยแพร่ภาพการยิงจรวดมิสไซล์ "โทมาฮอว์ก" จากกองกำลังเรือที่ประจำการอยู่ที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีการยิงจรวด 59 ลูก ใส่ฐานทัพอากาศเชย์รัตในตอนกลางของประเทศซีเรีย โดยทางการสหรัฐฯ อ้างว่าพวกเขาเล็งเป้าหมายเป็นลานบิน โรงเก็บเครื่องบิน หอบัญชาการ และพื้นที่เก็บอาวุธ อย่างไรก็ตาม ทาลัล บาราซี ผู้ว่าการเขตปกครองฮอมของซีเรียกล่าวว่ามีชาวซีเรียที่ถูกสังหารและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้โดยไม่ได้ระบุตัวเลขที่ชัดเจน

เบอร์นี แซนเดอร์ส ส.ว.จากรัฐเวอร์มอนต์กล่าววิพากษ์วิจารณ์การโจมตีซีเรียในครั้งนี้ว่าจะเป็นการดึงสหรัฐฯ ให้กลับไป "จมปลัก" กับการปฏิบัติการทางทหารในตะวันออกลางแบบที่เคยเป็นมาในอดีต แซนเดอร์สยังเรียกร้องให้ทรัมป์อธิบายกับชาวอเมริกันว่าการยกระดับปฏิบัติการทางทหารต่อซีเรียในครั้งนี้เป็นไปเพื่อต้องการให้เกิดอะไร และจะเข้ากับเป้าประสงค์กว้างๆ ในการแก้ปัญหาด้วยวิธีทางการเมืองได้อย่างไร แซนเดอร์สเชื่อว่าวิธีการทางการเมืองเท่านั้นที่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สงครามกลางเมืองซีเรียจบลงได้

อย่างไรก็ตามคอมมอนดรีมส์รายงานว่าถึงแม้แซนเดอร์สผู้สังกัดพรรคเดโมแครตจะกล่าววิจารณ์การโจมตีของสหรัฐฯ แต่เพื่อนนักการเมืองพรรคเดโมแครตหลายคนก็กล่าวสนับสนุนการโจมตีในครั้งนี้ ยกเว้นวุฒิสมาชิกจากเวอร์มอนต์อีกคนคือ แพทริก เลห์ฮี, ไบรอัน ชาตซ์ ส.ว.จากฮาวาย, ทิม เคน ส.ว.จากเวอร์จิเนีย, เท็ด ลิว และบาร์บารา ลี ส.ส.แคลิฟอร์เนีย ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากพรรคเดโมแครต นอกจากนี้ยังมีนักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมบางส่วนที่กล่าวต่อต้านในเรื่องนี้ด้วย

การโจมตีด้วยจรวดมิสไซล์ใส่ฐานทัพอากาศซีเรียในครั้งนี้เป็นการสั่งการโดยไม่ได้มีความเห็นชอบจากสภาคองเกรส ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อ้างว่าพวกเขามีสิทธิใช้กำลังเพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติและปกป้องประชาชนของตัวเอง ขณะที่สถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลซีเรียรายงานว่าการโจมตีของสหรัฐฯ เป็น "การรุกราน"

ถึงแม้แซนเดอร์สจะเคยประกาศว่าอัสซาดเป็น "อาชญากรสงคราม" จากการใช้อาวุธเคมีเพื่อสังหารประชาชนของตนเองหลายแสนคนเพื่อปกป้องอำนาจและความมั่งคั่งของตนเองแต่แซนเดอร์สก็เตือนว่าในฐานะที่สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีอำนาจที่สุดในโลกก็ควรจะทำงานร่วมกับประชาคมโลกในการนำสันติภาพและเสถียรภาพกลับมาสู่ซีเรีย 

"ถ้าหากมีอะไรที่เราควรจะเรียนรู้จากสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน ที่มีผู้กล้าชาวอเมริกันทั้งชายและหญิงหลายพันคนสูญเสียชีวิตและมีพลเรือนอิรักกับอัฟกันนับแสนเสียชีวิต มีการใช้เงินสูญไปถึงหลายล้านล้านดอลลาร์" แซนเดอร์สกล่าว "มันง่ายที่จะเข้าสู่สงครามมากกว่าจะออกมาจากสงคราม"

หลังจากการโจมตีในครั้งนี้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้เข้าหารือกับสหรัฐฯ ในเรื่องนี้ ขณะที่ประเทศรัสเซียเรียกร้องให้มีการประชุมหารือโดยด่วน โดยถึงแม้ว่าทางสหประชาชาติกำลังสืบสวนสอบสวนเรื่องการใช้อาวุธเคมีในซีเรียอยู่แต่ทรัมป์ก็ไม่ยอมรอแม้กระทั่งจะให้เริ่มการสืบสวน เขาได้สั่งใช้กำลังทหารโต้ตอบอย่างทันที

คอมมอนดรีมส์รายงานว่าสื่อกระแสหลักระดับบรรษัทใหญ่ในสหรัฐฯ จากที่คอยวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์กลับแสดงท่าทีแบบอ่อนข้อ สนับสนุนสงคราม โดยที่ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ อย่างไรก็ตามมีนักวิจารณ์ข่าวในช่วงกลางคืนที่พยายามวิจารณ์โต้ตอบกลับในเรื่องนี้เท่าที่จะทำได้

ฟิลลิส เบนนิส ผู้อำนวยการของนิตยสารนิวอินเตอร์เนชันแนลลิสต์จากสถาบันวิจัยนโยบายออกรายการช่องเอ็มเอสเอ็นบีซีกล่าววิจารณ์ว่าการโจมตีซีเรียในคืนวันพฤหัสบดี (6 เม.ย.) เป็นเรื่องร้ายแรงและเป็นการยกระดับที่อันตราย ถึงแม้จะสมมติว่าทรัมป์ได้รับมติจากสภาคองเกรสให้ทิ้งระเบิดได้แต่ก็ยังเป็นเรื่องผิดกฎหมายนานาชาติอยู่ดีหากไม่ได้รับการรับรองจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและมีข้ออ้างเรื่องการป้องกันภัยประเทศตัวเองที่เชื่อถือได้จริง

แซนเดอร์สกล่าวอีกว่าเขามีความกังวลอย่างมากว่าการโจมตีซีเรียจะทำให้สหรัฐฯ ถูกดึงกลับไปสู่ความขัดแย้งในระยะยาวกับตะวันออกกลางอีก จากที่ตลอด 15 ปีที่ผ่านมาการปฏิบัติการในตะวันออกกลางส่งผลเสียหายต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และต่อประชาชนชาวอเมริกันเอง

บาร์บารา ลี ส.ส. เดโมแครตแถลงในเรื่องนี้ว่าในขณะที่นักการเมืองกำลังอยู่ในช่วงลาพักเทศกาลอีสเตอร์ ทรัมป์ก็กำลังนำประเทศไปสู่สงครามในแบบที่ยังไม่รู้ว่าจะส่งผลและมีราคาที่ต้องจ่ายไปอีกเท่าไร เรื่องนี้สภาคองเกรสของสหรัฐฯ ไม่ควรนิ่งนอนใจ

นอกจากนี้ผู้นำสภาฝ่ายเสียงข้างน้อยอย่างแนนซี เพโลซี จากแคลิฟอร์เนีย เรียกร้องให้โฆษกสภาผู้แทนฯ พอล ไรอัน เปิดประชุมหารือถกเถียงกันในเรื่องที่สหรัฐฯ กำลังนำกำลังพลของพวกเขาไปเผชิญอันตราย

มีกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "ชนะโดยไม่ต้องมีสงคราม" (Win Without War) ที่เปิดล่ารายชื่อเรียกร้องให้ ส.ส. ยกเลิกการหยุดพักร้อนและหันมาอภิปราย ลงมติ "ก่อนที่จะมีการทิ้งระเบิดไปมากกว่านี้"

 

เรียบเรียงจาก

Sanders Warns Trump Against Dragging US Into Another Endless 'Quagmire', Common Dreams, 07-04-2017
http://www.commondreams.org/news/2017/04/07/sanders-warns-trump-against-dragging-us-another-endless-quagmire

Without Proof or Cause or Consent, 'Impetuous' Trump Bombs Syria, Common Dreams, 07-04-2017
http://www.commondreams.org/news/2017/04/07/without-proof-or-cause-or-consent-impetuous-trump-bombs-syria

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือข่ายผู้ป่วยฯ ร้อง ‘ประยุทธ์’ แก้กฎหมายให้ สปสช.จัดซื้อยา

Posted: 11 Apr 2017 12:10 AM PDT

 
11 เม.ย.2560 รายงานข่าวแจ้งว่า เครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนด้านสิทธิสุขภาพ (Healthy Forum) ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขอให้พิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักประกันสุขภาพแห่งชาติด้านการจัดซื้อยา ผ่านทางศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.)
 
ธนพล ดอกแก้ว ประธานเครือข่าย Healthy Forum กล่าวว่า เครือข่ายผู้ป่วยโรคเรื้อรังมีความกังวลใจอย่างยิ่งต่อคำสั่งตามมาตรา 44 ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อยารวม โดยเฉพาะยาที่มีราคาแพง รวมถึงยาที่มีอัตราการใช้น้อยและมักไม่ได้เป็นยาที่โรงพยาบาลซื้อเก็บไว้ ซึ่งส่งผลต่อการเข้าถึงยาของผู้ป่วยในชุมชน โดยที่ผ่านมาสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้รับมอบหมายจากบอร์ดให้ดำเนินการจัดหาเป็นยา เวชภัณฑ์ ที่ต่อรองราคารวมระดับประเทศแล้วส่งกระจายให้ตามความต้องการในพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งมีปัญหาในการตีความว่าเป็นอำนาจของบอร์ดเพียงใด
 
"ก่อนที่จะมีระบบการต่อรองและจัดซื้อยารวม เดิม สปสช.จ่ายชดเชยค่าบริการและค่ายาเป็นเงินให้กับทางโรงพยาบาล ผลที่เกิดขึ้นพบว่าโรงพยาบาลไม่ได้ดำเนินการสำรองยาไว้ เนื่องจากยาดังกล่าวมีราคาแพง ทำให้ยามีไม่เพียงพอต่อความจำเป็นที่ผู้ป่วยต้องได้รับ ต่อมาทาง สปสช.ดำเนินการจัดซื้อรวม โดยต่อรองราคายาระดับประเทศ ส่งผลให้ยาหลายชนิดราคาลดลงตั้งแต่ 10 - 85% และใช้ระบบการจ่ายชดเชยเป็นยา ทำให้โรงพยาบาลไม่จำเป็นต้องจัดหาและสำรองยาไว้เอง ซึ่งส่งผลด้านบวกแก่ผู้ป่วย ให้เข้าถึงยาและได้รับยาจำเป็นอย่างต่อเนื่องโดยไม่ขาดยา" ประธานเครือข่าย Healthy Forum กล่าว
         
ภาษิต ชุนศิริวัฒน์ กรรมการเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า การจัดซื้อยารวมโดย สปสช.สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยารวมแล้วกว่า 37,000 ล้านบาท ตัวอย่างเช่น ยารักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชื่อ Nilotinib จากราคา 21,227 บาทต่อกล่อง ลดลงเหลือเพียง 3,537 บาทต่อกล่อง เป็นต้น
 
"ทางเครือข่ายฯ ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องนี้เป็นกรณีเร่งด่วน โดยต้องสร้างกระบวนการสอบถามข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเปิดเผยต่อประชาชนให้รับทราบ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน และอนาคตของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ต้องดูแลประชาชนกว่า 48 ล้านคนให้เข้าถึงบริการและการรักษาอย่างทั่วถึง" ภาษิต กล่าว
          
ทั้งนี้ ข้อเสนอตามหนังสือที่เครือข่ายฯ ยื่น มีดังนี้ 1.ขอให้แก้ไขระเบียบหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ สปสช.สามารถดำเนินการต่อรองราคายาและจัดซื้อยารวมในระดับประเทศได้ เพื่อให้การจัดซื้อยารวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และ 2.ขอให้คณะกรรมการแก้ไขกฎหมายพิจารณาการจัดซื้อยาอย่างรอบคอบและต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าสิ่งที่จะแก้ไขนั้นดีกว่าระบบเดิมอย่างไร โดยใช้ประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ส่วนสิ่งที่ทำได้ดีอยู่แล้ว เช่น การจัดซื้อยารวม คณะกรรมการฯ ควรต้องปรับปรุงกฎหมายให้เอื้อต่อการดำเนินการ 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ซูจี' เพิ่มบทบัญญัติของตัวเองลงในร่างกฎหมาย 'เฮทสปีช' ของเมียนมาร์

Posted: 11 Apr 2017 12:01 AM PDT

เมียนมาร์มีปัญหาการปลุกปั่นยุยงให้เกิดความเกลียดชังต่อศาสนาอยู่จริง แต่ร่างกฎหมายต่อต้านเฮทสปีชหรือ "คำพูดสร้างความเกลียดชัง" ฉบับใหม่ก็มีคนวิจารณ์ว่ากลัวจะถูกนำมาอ้างใช้ผิดๆ โดยอองซานซูจีที่ปรึกษาแห่งรัฐได้เพิ่มเติมบทบัญญัติของตัวเองลงไปด้วย หลังจากหารือกับนานาชาติแล้วตามคำบอกเล่าของพรรครัฐบาล

อิระวดีรายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า อองซานซูจี ที่ปรึกษารัฐของเมียนมาร์เพิ่มเติมบทบัญญัติของตัวเองลงในร่างกฎหมายต่อต้านเฮทสปีชหรือ "คำพูดสร้างความเกลียดชัง" โดยที่รัฐมนตรีกระทรวงกิจการศาสนาและวัฒนธรรมเปิดเผยว่าซูจีได้ปรึกษากับประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกเพื่อขอคำแนะนำในการร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้

การเพิ่มเติมบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการเติมเข้าไปขณะที่ร่างกฎหมายอยู่ในร่างที่ 4 มีเนื้อหาระบุว่ากฎหมายฉบับนี้จะอนุญาตให้ตำรวจปฏิบัติการทางกฎหมายต่อใครก็ตามที่แพร่กระจายข้อความสร้างความเกลียดชัง อย่างไรก็ตามนิยามของคำว่าเฮทสปีชในร่างกฎหมายของเมียนมาร์ยังไม่มีความชัดเจนนัก

ในระดับสากลแล้วคำว่าเฮทสปีช (hate speech) คือการใช้ถ้อยคำกล่าวโจมตีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลด้วยฐานของคุณลักษณะของบุคคลนั้นๆ เช่น เพศสภาพ, พื้นเพทางชาติพันธุ์, ศาสนา, เชื้อชาติ, ความพิการ หรือรสนิยมทางเพศ กฎหมายที่ห้ามเฮทสปีชในบางประเทศจะระบุห้ามการสื่อในเชิงยุยงให้เกิดความรุนแรงหรือการปฏิบัติอย่างมีอคติต่อกลุ่มบุคคลที่มีคุณลักษณะตามที่ได้รับการคุ้มครอง

ในเมียนมาร์นั้นมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับพระสงฆ์หัวรุนแรงกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า มะบ๊ะต๊ะ มักจะใช้วาจาในเชิงปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังต่อชุมชนชาวมุสลิม 

อ่องโก (Aung Ko) รมว.กระทรวงกิจการศาสนาและวัฒนธรรมกล่าวว่า พระส่วนใหญ่ในกลุ่มมะบ๊ะต๊ะ "มีศีลธรรมและปัญญาธรรม" และบอกอีกว่า "มี(พระ)จำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่สอนโดยใช้วาจาให้เกิดความเกลียดชัง"

อย่างไรก็ตามกลุ่มจับตามองเฮทสปีชที่มีฐานในย่างกุ้ง "โนเฮทสปีชโปรเจกต์" (No-Hate Speech Project) เปิดเผยว่าเมื่อชาวเมียนมาร์สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ก็มีการใช้ถ้อยคำเผ็ดร้อนในการพูดถึงเชื้อชาติและศาสนาอย่างแพร่หลายมากขึ้น

ในร่างที่สามของกฎหมายเฮทสปีชของเมียนมาร์ระบุว่าการตีพิมพ์หนังสือ เผยแพร่ออกอากาศ หรือถ่ายทอดสดวิดีโอ และเผยแพร่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงทางอินเทอร์เน็ตในเชิงยุยงให้เกิดความเกลียดชังทางศาสนาจะถูกลงโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี

อย่างไรก็ตาม เนโพนลัต (Nay Phone Latt) สมาชิกสภาภาคย่างกุ้งผู้ที่เคยรณรงค์โครงการ "วาจาดอกไม้" เพื่อต่อต้านเฮทสปีชกล่าวว่าเขากังวลว่าอันตรายของกฎหมายนี้คืออาจจะมีคนนำมาใช้ในทางที่ผิดเพื่อเป็นการแก้แค้นส่วนตัว อย่างไรก็ตามเขาเห็นด้วยว่ากฎหมายนี้ควรจะลงโทษผู้ที่สร้างความขัดแย้งและก่อปัญหาให้กับสังคมเท่านั้น เขายังเสนออีกว่าควรจะมีการเพิ่มบทบัญญัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับการต่อต้านเฮทสปีชลงไปในกฎหมายคอมพิวเตอร์แทนการเขียนกฎหมายใหม่แยกออกมาเลย

ในการร่างกฎหมายนี้กลุ่มผู้นำศาสนาต่างๆ และกลุ่มส่งเสริมมิตรภาพระหว่างศาสนาของเมียนมาร์ต่างก็มีส่วนในการกำหนดเกณฑ์ร่างกฎหมายนี้ในเบื้องต้นก่อนที่จะดำเนินการร่วมกับกระทรวงกิจการศาสนาและวัฒนธรรมจนเป็นร่างกฎหมายออกมา

 

 

เรียบเรียงจาก

Daw Aung San Suu Kyi Alters Draft of Hate Speech Law, Irrawaddy, 03-04-2017
https://www.irrawaddy.com/news/burma/daw-aung-san-suu-kyi-alters-draft-hate-speech-law.html

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Hate_speech

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยื่นค้านคำขอสิทธิบัตรยารักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี ฉบับ 3 ซัด คสช.ยังไม่ทิ้งความคิดปล่อยผีสิทธิบัตรยา

Posted: 10 Apr 2017 11:46 PM PDT

ภาคประชาชน ยื่นคำคัดค้านคำขอรับสิทธิบัตรยารักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีเป็นฉบับที่ 3 ต่อสำนักสิทธิบัตร กรมทรัพย์สินทางปัญญา หวังสกัดกั้นสิทธิบัตรด้อยคุณภาพ เพื่อให้ยาชื่อสามัญในยาชนิดเดียวเข้ามาแข่งขันและราคาถูกลง

 
11 เม.ย. 2560 รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ตัวแทนมูลนิธิเข้าถึงเอดส์และเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย กว่า 30 คนยื่นเอกสารคำคัดค้านคำขอรับสิทธิบัตรเลขที่ 1401002830 ซึ่งเป็นคำขอรับสิทธิบัตรยารักษาโรค ที่ยื่นโดยตัวแทนของบริษัทยากิลิแอตในยารักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีที่มีชื่อสามัญทางยาว่า "โซฟอสบูเวียร์"
 
เฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล เจ้าหน้าที่รณรงค์การเข้าถึงยา มูลนิธิฯ ให้ข้อมูลว่า ยาโซฟอสฯ ตัวเดียว มีการยื่นขอสิทธิบัตรถึง 13 ฉบับ โดยก่อนหน้านี้ มูลนิธิฯ ได้ยื่นคัดค้านคำขอฯ ไปแล้ว 2 ฉบับภายใน 90 วันหลังวันประกาศโฆษณา และยื่นเอกสารข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาให้ยกคำขอฯ อีก 2 ฉบับ เนื่องจากยื่นคัดค้านไม่ทัน
 
"ในต่างประเทศมีการยื่นคัดค้านในลักษณะเดียวกัน โดยสำนักสิทธิบัตรในอียิปต์ จีน เยอรมนี และบราซิลไม่ให้สิทธิบัตรยาโซฟอสบูเวียร์ไปแล้วหลายฉบับ ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่เราได้ยื่นให้กับสำนักสิทธิบัตรของไทยด้วย" เฉลิมศักดิ์ กล่าว
 
นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า เครือข่ายที่ติดตามเรื่องการเข้าถึงยามีความเป็นห่วงอย่างมาก เพราะทราบมาว่า หลังวันหยุดสงกรานต์จะมีการประกาศคำสั่ง คสช. เพื่อปล่อยคำขอสิทธิบัตรที่ค้างเกิน 5 ปี แม้ว่าทางเครือข่ายจะให้ข้อมูลกับรองนายกฯ วิษณุ เครืองาม ที่ถูกมอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้แล้วก็ตาม ว่าจะมีผลกระทบรุนแรงต่อค่ายา งบประมาณแผ่นดิน และระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลทุกระบบ จึงไม่อาจนิ่งนอนใจได้
 
"จากที่ประชุมร่วมกัน รองนายกฯ วิษณุ ซึ่งเป็นประธาน กล่าวว่าคงต้องมาเจอกันอีกหลายรอบกว่าจะได้ข้อยุติ เราก็รออยู่ว่าจะมีการนัดประชุมครั้งต่อไปเมื่อไหร่และยังไม่ได้หารือกันอีก แต่กลับมีข่าวออกมาว่าจะใช้ มาตรา 44 เร่งออกสิทธิบัตรหลังสงกรานต์ เช่นนี้เท่ากับกำลังโกหกหลอกลวงพวกเราที่ร่วมประชุมในวันนั้น" นิมิตร์ ให้ความเห็น
 
ผู้อำนวยการมูลนิธิฯ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วก็ตาม แต่ภายใต้มาตรา 265 รัฐบาลยังคงใช้มาตรการในลักษณะเดียวกับมาตรา 44 ได้อยู่ ดังนั้น ภาคประชาสังคมยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดและจะคัดค้านอย่างถึงที่สุด หากเร่งปล่อยสิทธิบัตรที่ด้อยคุณภาพ หรือไม่เหมาะสมออกมา
 
ทั้งนี้ ในคำคัดค้านฯ ระบุว่า คำขอฯ นี้ไม่สมควรได้รับสิทธิบัตรเพราะเป็นการขอจดสิทธิบัตรในเรื่องการบำบัดรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งขัดกับมาตรา 9 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สิทธิบัตร
 
นอกจากนี้ คำขอฯ ดังกล่าวยังขอการคุ้มครองการนำยาโซฟอสบูเวียร์ไปผสมกับยาไรบาไวริน แล้วอ้างว่ามีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น ทั้งๆ ที่ในเอกสารคำขอฯ ไม่ได้ชี้แจงหรือพิสูจน์ให้เห็นว่า การผสมยาทั้งสองตัวเข้าด้วยกันจะเสริมฤทธิ์ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพดีขึ้นได้อย่างไร
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น