ประชาไท | Prachatai3.info | |
- เผยมีคำสั่งไล่ 'ธาริต' ออกจากราชการตั้งแต่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา
- ตร.ปรามถึงบ้าน 'เอกชัย' ยันจะยื่นหนังสือนายกฯ ถอนหมุดใหม่
- ศาลเลื่อนพิจารณาคดี 7 นศ.ละเมิดอำนาจศาล ไปวันที่ 31 พ.ค.
- ยอมรับ ครม.อนุมัติซื้อเรือดำน้ำจีนแล้ว
- สปท. ลงมติว่ากล่าวตักเตือน 'อนุสร' ทำร้ายร่างกายพนักงานร้านอาหาร
- เครือข่ายติดตามคดีวิสามัญฆาตกรรม 'ชัยภูมิ ป่าแส' แถลงขอให้เปิดภาพจาก CCTV
- สื่อมวลชนในรัฐธรรมนูญ 2560
- ชาวกะเหรี่ยงแม่ปอคีจัดพิธีบวชป่า ยืนยันกับการอยู่ร่วมกันของคนกับป่า
- แถลงการณ์ นศ. 10 กลุ่ม ยืนยันกรณี 7 นศ. ไม่ได้รบกวนการพิจารณาคดีของศาล
- ศาลเชียงใหม่ยกฟ้องลุงติดป้าย 'เผด็จการจงพินาศ'
- 'เยาวชนปาตานี' แถลงยืนยันเคียงข้าง 7 นศ. ถูกคดีละเมิดอำนาจศาล
- ร้อง กทค. ผู้บริโภคคงสิทธิเลขหมายตัวเองไม่ได้
เผยมีคำสั่งไล่ 'ธาริต' ออกจากราชการตั้งแต่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา Posted: 24 Apr 2017 08:19 AM PDT 24 เม.ย. 2560 เว็บไซต์โลกวันนี้ รายงานว่าจากการเปิดเผยของ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งชี้แจงกรณีคำสั่งลงโทษไล่ออก นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งถูกย้ายมาปฏิบัติหน้าที่ในสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นเอกสารทางการว่า เป็นการดำเนินการตามที่ประธานคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) แจ้งมา หลัง ป.ป.ช. มีมติ ชี้มูลความผิด นายธาริต ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ และหนี้สินลดลงผิดปกติ รวมมูลค่ากว่า 346,652,588 บาท โดยเมื่อสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับเรื่อง จาก ป.ป.ช.และได้ตรวจสอบประเด็นที่เกี่ยวข้อง และหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ป.ป.ช.,สำนักงาน ก.พ. และ สำนักงานกฤษฏีกา เพื่อให้เกิดความชัดเจนในข้อกฏหมาย และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา พร้อมระบุว่า นายธาริต เมื่อถูกย้ายมา และได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สังกัดสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จึงเป็นอำนาจของเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในการออกคำสั่ง ทั้งนี้หน่วยงานข้างต้น ได้ให้ความเห็นสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันว่า กรณีนี้เป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาในการพิจารณาลงโทษตามที่กำหนดในมาตรา 80(4)แห่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2542 โดยไม่ต้องดำเนินการตามกฏหมายอื่น ประกอบกับที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีกำหนดไว้ว่าการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ เป็นความผิดร้ายแรง ควรลงโทษไล่ออกจากราชการ จึงได้มีคำสั่งลงโทษ ไล่ออกจากราชการเมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||
ตร.ปรามถึงบ้าน 'เอกชัย' ยันจะยื่นหนังสือนายกฯ ถอนหมุดใหม่ Posted: 24 Apr 2017 06:48 AM PDT ตำรวจบุกบ้าน 'เอกชัย หงส์กังวาน' นักกิจกรรมทางการเมืองและอดีตผู้ต้องขังคดีการเมือง ขอให้หยุดยื่นหนังสือนายกฯ เรื่องหมุดใหม่พรุ่งนี้ เจ้าตัวยืนยัน ไม่หวั่นโดนรวบ ![]() 24 เม.ย.2560 เอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมืองและอดีตผู้ต้องขังคดีการเมือง โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า วันนี้ เวลาประมาณ 16.30 น.มีชาย 8 คนมายืนที่หน้าบ้านของเขา โดย 2 คนในจำนวนนั้นแต่งเครื่องแบบตำรวจ ตัวแทนของกลุ่มที่มาแจ้งกับเขาว่า มาจาก สน.ลาดพร้าวและต้องการพูดคุยด้วย แต่เขาปฏิเสธที่จะออกไปคุยนอกบ้านและสนทนาผ่านกระจกหน้าบ้านแทน เจ้าหน้าที่ถามถึงการเตรียมจะไปยื่นคำร้องเกี่ยวกับหมุดคณะราษฎร เขาปฏิเสธว่าจะไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาลเกี่ยวกับหมุดใหม่ ไม่ใช่หมุดคณะราษฎรแต่อย่างใด จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ร้องขอไม่ให้เขาเดินทางไปทำเนียบรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ แต่เขายังคงยืนยันที่จะไป เอกชัยกล่าวว่า เขามีความกังวลเล็กน้อยที่จะถูกรวบตัว แต่เชื่อมั่นว่าการยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในประเด็นนี้ไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย ดูได้จากกรณีที่ผ่านมารัฐใช้มาตรการปรับทัศนคติเท่านั้น ก่อนหน้านี้เขาโพสต์เฟซบุ๊กว่า เขาไม่เห็นด้วยที่ประชาชนจะตกอยู่ในความหวาดกลัวมาตรการนอกกฎหมายอย่างการปรับทัศนคติ และยอมหยุดเคลื่อนไหวทุกอย่างโดยง่าย "เอาเป็นว่า ถ้า 10 โมง ผมยังไม่ถึงทำเนียบรัฐบาล แสดงว่าผมน่าจะโดนรวบไปแล้ว เพราะผมยืนยันว่ายังไงก็จะไป" เอกชัยกล่าว สำหรับข้อเรียกร้องของเขาคือ ขอให้รัฐบาลประกาศเจ้าของหมุดใหม่ทางสื่อสารมวลชนทุกช่องทางเป็นเวลา 7 วัน หากยังไม่มีผู้แสดงตัวเป็นเจ้าของ ขอให้รัฐบาลขุดหมุดใหม่ออกไปเก็บไว้ยังที่เหมาะสมก่อนเพื่อรอเจ้าของมารับคืนภายหลัง "การดำเนินการเหล่านี้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อการรักษาซึ่งนิติรัฐ อันเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการสร้างความปรองดองในหมู่ประชาชน" หนังสือระบุ โดยเอกชัยโพสต์หนังสือดังกล่าวไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ทั้งนี้ เอกชัย วัย 41 ปี เดิมมีอาชีพขายหวยบนดิน หลังการรัฐประหารในปี 2549 เอกชัยเริ่มสนใจการเมือง และชื่นชอบแนวทางของสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ เมื่อไปชุมนุมในเดือนมีนาคม 2554 เขาได้นำซีดีสารคดีการเมืองไทยของสำนักข่าว ABC ประเทศออสเตรเลีย และเอกสารวิกิลีกส์แปลไทยทำสำเนาไปขายชุดละ 20 บาทในที่ชุมนุม จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบล่อซื้อและจับกุม จากนั้นราว 2 เดือนถัดมา คดีก็เข้าสู่การพิจารณาของศาล โดยเอกชัยเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาไม่กี่คนที่สามารถประกันตัวได้ตั้งแต่ชั้นสอบสวน โดยถูกคุมขังอยู่เพียงสัปดาห์กว่าๆ ภายหลังการจับกุมเขาเคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงมูลเหตุจูงใจในการขายซีดีและเอกสารดังกล่าวว่าต้องการให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมุมมองจากสื่อต่างประเทศนั้นเป็นสิ่งน่าสนใจและอาจดีกว่าสื่อไทยซึ่งต่างเลือกข้างกันหมด ในระหว่างต่อสู้คดี ทนายจำเลยได้ร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานสำคัญ 2 ปากคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และพล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา แต่หลังจากผู้พิพากษาหารือกับทนายจำเลยก็ยอมที่จะไม่เรียกพยานทั้ง 2 ปากดังกล่าว (อ่านรายละเอียด) จากนั้นวันที่ 28 มี.ค.2556 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 5 ปีแต่ลดโทษให้เหลือ 3 ปี 4 เดือนเนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี (อ่านรายละเอียด) ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ส่วนศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นจำคุก 2 ปี 8 เดือน เขาถูกคุมขังในเรือนจำจนครบโทษและได้ออกจากเรือนจำเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||
ศาลเลื่อนพิจารณาคดี 7 นศ.ละเมิดอำนาจศาล ไปวันที่ 31 พ.ค. Posted: 24 Apr 2017 04:55 AM PDT ศาลเลื่อนพิจารณาคดีละเมิดอำนาจศาลของ 7 นักศึกษา/นักกิจกรรม ไปวันที่ 31 พ.ค. 2560 เนื่องจาก 'จ่านิว' ไม่ได้มาตามศาลนัด ส่วน 6 คนที่มาในวันนี้ได้ให้การปฎิเสธและขอสู้คดีโดยไม่ขอใช้ทนาย 24 เม.ย. 2560 เพจดาวดิน สังกัดพรรคสามัญชน เปิดเผยว่าที่ห้องพิจารณาคดี ศาลจังหวัดขอนแก่น ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาคดีละเมิดอำนาจศาลของ 7 นักศึกษา/นักกิจกรรม ให้กับทั้ง 6 คนที่เดินทางมายังศาลจังหวัดขอนแก่นวันนี้ ได้แก่ นายภานุพงศ์ ศรีธนานุวัฒน์ นายพายุ บุญโสภณ นายอาคม ศรีบุตตะ นายณรงค์ฤทธิ์ อุปจันทร์ นายอภิวัฒน์ สุนทรารักษ์ และ นางสาวจุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ โดยในวันนี้นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ไม่ได้เดินทางมาแต่อย่างใด การพิจารณาดำเนินไปจนกระทั่งเวลา ประมาณ 12:50 น. ศาลได้อ่านคำสั่งเลื่อนพิจารณาคดีละเมิดอำนาจศาลของ 7 นักศึกษา/นักกิจกรรม ไปวันที่ 31 พ.ค. 2560 เนื่องจากนายสิริวิชญ์ ไม่ได้มาตามศาลนัด ส่วน 6 คนที่มาในวันนี้ได้ให้การปฎิเสธและขอสู้คดีโดยไม่ขอใช้ทนาย และศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว วงเงิน 50,000 บาท/คน โดยใช้ตำแหน่งอาจารย์ประกันตัวทั้ง 6 คน และศาลให้ยื่น คำให้การเป็นเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 15 วัน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||
ยอมรับ ครม.อนุมัติซื้อเรือดำน้ำจีนแล้ว Posted: 24 Apr 2017 04:24 AM PDT โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียอมรับ ครม.อนุมัติซื้อเรือดำน้ำจีนแล้วจริง เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ระบุที่ไม่แถลงเพราะเป็นเอกสารลับ ด้าน 'ประวิตร' กำชับหน่วยขึ้นตรงและเหล่าทัพให้ทำความเข้าใจและศึกษาติดตามเกี่ยวกับความเชื่อมโยงในรัฐธรรมนูญที่มีผลต่อการขับเคลื่อนการบริหารราชการ 24 เม.ย. 2560 มติชนออนไลน์ รายงานว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ ตามที่กองทัพเรือเสนอ ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน ว่า ครม.มีมติอนุมัติโครงการดังกล่าวจริง โดยจัดซื้อเรือดำน้ำหยวนคลาส เอส 26 ที (Yuan Class S26T) จากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 1 ลำ วงเงิน 13,500 ล้านบาท ยืนยันว่าไม่มีอะไรเป็นลับลมคมใน ซึ่งการจัดซื้อเป็นงบผูกพัน ไม่ได้จ่ายเงินครั้งเดียว แต่จะทยอยจ่าย ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมผู้ที่เกี่ยวข้องจากกระทรวงกลาโหม ชี้แจงในที่ประชุมว่า มีความจำเป็นต้องจัดซื้อ เพราะเป็นการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ ไม่ใช่อยากได้ตามประเทศอื่น แต่กองทัพเรือประเมินจากภัยคุกคามของประเทศที่มีอาณาเขตติดกับไทย ประเมินจากความมั่นคงทางท้องทะเล จึงต้องมีการศึกษาแนวทางการป้องกันทางทะเล เพื่อการป้องกันภัยคุกคามที่มีศักยภาพเหนือกว่า "ประเทศเราอยู่ติดทะเล วันหน้าไม่มีสิ่งที่แน่นอน เราจึงต้องมีศักยภาพเพื่อป้องกันภัย และการสั่งซื้อไม่ใช่ว่าอนุมัติไปแล้วจะได้ใน 3- 5 วัน แต่ต้องรอหลายปี ทั้งนี้ เป็นการซื้อลำเดียวก่อน ส่วนลำต่อไปอยู่ที่กองทัพเรือ อย่างไรก็ตามที่โฆษกฯไม่ได้แถลงข่าว เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเอกสารลับที่สุดหรือมุมแดง และเป็นโหมดงานด้านความมั่นคง จึงไม่จำเป็นต้องแถลง แต่ยืนยันว่าไม่มีลับลมคมใน" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว 'ประวิตร' กำชับหน่วยขึ้นตรงและเหล่าทัพให้ทำความเข้าใจและศึกษาติดตามเกี่ยวกับความเชื่อมโยงในรัฐธรรมนูญ ด้าน สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหมที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ว่า พล.อ.ประวิตรสรุปสถานการณ์ความมั่นคงกับสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจทั้งในและต่างประเทศ โดยภาพรวมความมั่นคงในปัจจุบันเชื่อมกับทุกมิติในสังคม รวมถึงสถานการณ์โลกที่ขณะนี้มีความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด "ส่วนในประเทศต้องร่วมกันสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจให้มากขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม ให้เกิดความสงบเรียบร้อย รัฐบาลพยายามวางรากฐานประเทศเพื่อให้ประชาชนเกิดสงบสุข ที่ผ่านมาประเทศไทยมีปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม รัฐบาลจึงต้องวางรากฐานประเทศ โดยการเร่งสร้างความสามัคคีปรองดอง ขณะนี้ได้รับการตอบรับจากภาคส่วนต่าง ๆ ดีมากขึ้น ยึดประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติเป็นหลัก รัฐบาลกำลังสร้างความปรองดองโดยเดินตามยุทธศาสตร์ที่ตั้งไว้ ซึ่งขณะนี้คืบหน้ามาก โดยเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นและยึดประโยชน์ส่วนรวม มีประชาชนเป็นที่ตั้งในการดำเนินการตามกรอบที่วางไว้" โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว สำหรับการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า รัฐบาล ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นของประเทศใด แต่จะคำนึงความเหมาะสม ให้ครอบคลุมด้านความมั่นคงในอนาคต การใช้ในระยะยาว เพิ่มอำนาจต่อรองของประเทศ นอกจากนี้ยังให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมน้อมนำพระบรมราโชวาท รัชกาลที่ 10 พระราชทานไว้ในวันข้าราชการพลเรือน 1 กุมภาพันธ์ 2560 ถ่ายทอดให้กำลังพลยึดเป็นหลักปฎิบัติงานในกระทรวงกลาโหมด้วย "พล.อ.ประวิตรกำชับหน่วยขึ้นตรงและเหล่าทัพให้ทำความเข้าใจและศึกษาติดตามเกี่ยวกับความเชื่อมโยงในรัฐธรรมนูญที่มีผลต่อการขับเคลื่อนการบริหารราชการ การปฎิบัติงานให้สอดคล้องเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ให้กองทัพสนับสนุนงานวิจัยอาวุธยุทโธปกรณ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเกิดการใช้งานได้จริงของแต่ละกองทัพ ส่วนโรงซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ ขณะนี้กำลังหารือกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศอื่น ๆ โดยคาดว่าจะได้กรอบการก่อสร้างที่ชัดเจนประมาณเดือนกรกฎาคมนี้" โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำชับเหล่าทัพดูแลการฝึกทหารเกณฑ์ที่เข้ามาใหม่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้อย่างใกล้ชิด ให้เป็นไปตามธรรมเนียมวินัยทหาร ตามระเบียบที่กำหนดไว้ให้เกิดความเรียบร้อย ให้ระวังการฝึกขณะอากาศร้อนจัดและอุบัติเหตุ การลงโทษต้องเป็นไปตามวินัยที่กำหนดทางราชการ ไม่ทำร้ายหรือกดขี่เด็ดขาด ส่วนความคืบหน้าการสร้างความสามัคคีปรองดอง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เตรียมหารือกับพรรคการเมือง นักวิชาการและภาคประชาสังคมเป็นกลุ่มย่อยตามแนวทางที่เสนอมา โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 เมษายนนี้ เพื่อตรวจสอบข้อมูลที่เสนอมาแล้วว่าเป็นไปตามที่เคยหารือกันหรือไม่ ส่วนในภูมิภาคจะเปิดเวทีพูดคุยกับกลุ่มต่าง ๆ และรับฟังความเห็นอีกครั้ง โดยจะแบ่งเป็นกลุ่มแต่ละภาค ซึ่งจะสร็จสิ้นในต้นเดือนพฤษภาคม "รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมได้ขอบคุณกำลังพล และให้กำลังใจเหล่าทัพที่ทุ่มเทดูแลความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา" โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||
สปท. ลงมติว่ากล่าวตักเตือน 'อนุสร' ทำร้ายร่างกายพนักงานร้านอาหาร Posted: 24 Apr 2017 03:28 AM PDT สปท. ลงมติว่ากล่าวตักเตือน อนุสร จิรพงศ์ ทำร้ายร่างกายพนักงานร้านอาหาร หลังประชุมลับกว่า 3 ชั่วโมง แต่ไม่เปิดคะแนน และยังบอกรูปแบบการตักเตือนไม่ได้ อ้างเป็นครั้งแรก 24 เม.ย. 2560 สำนักข่าวไทย รายงานว่าที่ประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ได้ประชุมลับของ สปท. กว่า 3 ชั่วโมง วันนี้ (24 เม.ย.) พิจารณารายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการจริยธรรมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เรื่องนายอนุสร จิรพงศ์ สมาชิก สปท. อาจมีพฤติกรรมฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและกรรมาธิการ พ.ศ. 2558 ประกอบข้อบังคับ สปท. พ.ศ.2558 กรณีมีการนำเสนอข่าวนายอนุสร ทำร้ายร่างกายนายชาตอลงกรณ์ นิลยาน บริกรร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีกับนายอนุสร และนายอนุสรรับสารภาพในความผิดฐานทำร้ายผู้อื่น โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ รวมทั้ง ยินยอมให้ปรับ 10,000 บาท นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ แถลงภายหลังการประชุมลับว่าที่ประชุม สปท. มีติว่าการกระทำของนายอนุสร ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมฯ ประกอบข้อบังคับ สปท. ข้อ 102 โดยเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างไม่ร้ายแรง และมีมติให้ว่ากล่าวตักเตือน โดยไม่ต้องส่งให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเพราะไม่ใช่การฝ่ายฝืนความผิดจริยธรรมขั้นร้ายแรง "กรณีนี้เป็นครั้งแรกของสภาไทย จึงไม่มีรูปแบบปฏิบัติการกล่าวตักเตือน มาก่อน ประธาน สปท.และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับการประชุม ยืนยัน สปท. ดำเนินการพิจารณาทุกอย่างเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย แต่ไม่สามารถเปิดเผยผลคะแนนได้ และไม่ใช่ว่า สปท.จะไปดำเนินการในลักษณะเช่นนี้กับใครก็ได้" นายคำนูณ กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามข้อบังคับการประชุม ข้อ 33 ววรค 1 ระบุว่าในกรณีที่สภาเห็นว่ามีหลักฐานและข้อเท็จจริงอันควรเชื่อได้ว่า สมาชิกหรือกรรมาธิการ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับ ให้สภามีมติว่ากล่าวตักเตือน หรือ ตําหนิ หรือประณามให้เป็นที่ประจักษ์ ส่วนในวรรค 2 ระบุว่า ในกรณีที่สภามีมติว่าเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับอันเกี่ยวกับมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้สภาดําเนินการตามวรรคหนึ่ง และให้ประธานสภาส่งเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาดําเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป และแจ้งให้ที่ประชุมสภาทราบ ขณะที่ วรรค 3 ระบุว่า มติของสภาตามวรรคหนึ่ง ให้ถือเอาคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เว้นแต่มติของสภาตามวรรคสอง ให้ถือเอาคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 ของจํานวน สมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||
เครือข่ายติดตามคดีวิสามัญฆาตกรรม 'ชัยภูมิ ป่าแส' แถลงขอให้เปิดภาพจาก CCTV Posted: 24 Apr 2017 03:09 AM PDT เครือข่ายติดตามความคืบหน้าคดีวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส แถลง "38 วัน หลังวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส : ความ (ไม่) คืบหน้าในการแสวงหาความจริง" เรียกร้องให้มีการเปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิด (CCTV) โดยขอให้หน่วยงานทหารส่งมอบพยานหลักฐานให้กับพนักงานสอบสวนโดยเร็ว-ให้หน่วยงานทหารยุติบทบาทในการปฏิบัติการทางจิตวิทยา ![]() 24 เม.ย. 2560 ศูนย์วิจัยและพัฒนากฎหมาย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยเนื้อหาการแถลงข่าว "38 วัน หลังวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส : ความ (ไม่) คืบหน้าในการแสวงหาความจริง" โดย เครือข่ายติดตามความคืบหน้าคดีวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส ระบุว่าสืบเนื่องจากกรณีเจ้าหน้าที่ทหารประจำด่านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ได้วิสามัญฆาตกรรมเยาวชนนักกิจกรรมชาติพันธุ์ลาหู่ ชัยภูมิ ป่าแส เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 จนถึงปัจจุบันยังคงอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนนั้น เครือข่ายติดตามความคืบหน้าคดีวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส (ปรากฏรายนามด้านล่าง) พบว่ามีข้อสังเกตที่สำคัญ ดังนี้ 1. นับจากวันเกิดเหตุ ทั้งที่กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงยังไม่เริ่มต้นหรือแม้เริ่มต้นในเวลาต่อมา แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จ ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหาร อาทิ รองโฆษกกองทัพบก โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง ผู้บัญชาการทหารบก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาทิ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ฯลฯ ซึ่งมิใช่ผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ต่างชี้แจงให้ข้อมูล รวมถึงแสดงความคิดเห็นต่อสื่อมวลชนไปในทิศทางเดียวกัน คือ ยืนยันว่าชัยภูมิ เกี่ยวข้องกับยาเสพติด มีพฤติการณ์หลีกเลี่ยง ขัดขืนการตรวจค้นรถ รวมถึงมีความพยายามจะปาระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ทหาร อันเป็นเหตุให้ต้องวิสามัญฯ พร้อมกับอ้างถึงภาพจากกล้องวงจรปิด รวมถึงกรณีที่แม่ทัพภาคที่ 3 ออกมาปกป้องการวิสามัญฯ โดยกล่าวว่า "ถ้าเป็นผม ณ เวลานั้น อาจกดออโตได้" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นเรื่องภาพจากกล้องวงจรปิด ในช่วงแรกเจ้าหน้าที่รัฐต่างยืนยันว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่สามารถยืนยันการกระทำความผิดของชัยภูมิ แต่ต่อมาภายหลังกลับมีความเห็นว่า ไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยเฉพาะการให้เหตุผลของผู้บัญชาการทหารบกที่กล่าวว่า "ได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว เห็นว่าตอบโจทย์ไม่ได้ทั้งหมด หากเปิดให้ดูเกรงว่าจะเกิดปัญหา เพราะต่างคนต่างมองประเด็นที่แตกต่างกันออกไป.." และจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการส่งมอบภาพจากกล้องวงจรปิดให้แก่พนักงานสอบสวนแต่อย่างใด เครือข่ายติดตามความคืบหน้าคดีวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส มีข้อกังวลว่า การปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวนในการการตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐาน ท่ามกลางข้อมูลและความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงของหน่วยงานต่างๆ อาจส่งผลต่อความเป็นอิสระในการทำงานของพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานระดับล่าง 2. จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเครือข่ายฯ พบว่า หลังเหตุการณ์วิสามัญชัยภูมิ ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปในชุมชนกองผักปิ้งซึ่งเป็นภูมิลำเนาของชัยภูมิเกือบทุกวัน บุคคลที่เกี่ยวข้องกับชัยภูมิ หรือแม้แต่ผู้นำชุมชน ถูกเจ้าหน้าที่รัฐเชิญตัวไปพบ พบลูกกระสุนปืนถูกนำไปวางในบริเวณบ้านของคนใกล้ชิดกับชัยภูมิโดยไม่สามารถสืบทราบได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ ซึ่งถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคาม รวมถึงกรณีชายแปลกหน้าไปถ่ายรูปบ้านคนใกล้ชิดของชัยภูมิ ล่าสุด มีเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนหนึ่งเข้าไปก่อสร้างห้องน้ำให้กับบ้านของชัยภูมิ โดยอ้างว่าเป็นการเยียวยาให้กับครอบครัวของชัยภูมิ ฯลฯ ซึ่งส่งผลให้เกิดความสับสน ความรู้สึกหวาดกลัวและไม่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่และหน่วยงานรัฐมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เดิม เพราะเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า เคยเกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารกับคนในชุมชนบ้านกองผักปิ้งมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ทหารนายหนึ่งตบตีทำร้ายชาวบ้านในงานฉลองวันปีใหม่ จนนำไปสู่การฟ้องร้องชาวบ้านคนหนึ่งที่โพสต์เฟสบุ๊คเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น ซึ่งต่อมาศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้มีคำพิพากษาศาลยกฟ้องคดีดังกล่าว เครือข่ายติดตามความคืบหน้าคดีวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส มีข้อสังเกตว่า การเข้าไปในชุมชนของเจ้าหน้าที่ทหารที่เดินผ่านแต่ละบ้านในแต่ละวัน ไม่แตกต่างไปจากปฏิบัติการทางจิตวิทยาลักษณะหนึ่งที่สร้างความตึงเครียดให้กับชุมชน โดยเฉพาะบุคคลที่ใกล้ชิดกับชัยภูมิ ข้อเรียกร้อง 1. เครือข่ายติดตามความคืบหน้าคดีวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส เห็นด้วยและสนับสนุนเสียงเรียกร้องของภาคประชาสังคมและประชาชนที่เรียกร้องให้มีการเปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิด โดยขอให้หน่วยงานทหารส่งมอบพยานหลักฐานให้กับพนักงานสอบสวนโดยเร็ว ทั้งนี้ เพื่อให้สาธารณชนคลายข้อกังวลต่อประเด็นการใช้ความรุนแรงในการจับกุมผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิด และขอเรียกร้องให้บุคคลในหน่วยงานรัฐที่ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับคดี โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล กองทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยุติการให้ความเห็นที่มีลักษณะชี้นำรูปคดี หรือแทรกแซงการทำงานของพนักงานสอบสวน เพื่อให้พนักงานสอบสวนสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา 2. ขอเรียกร้องให้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ เร่งดำเนินการเพื่อให้เกิดกระบวนการไต่สวนการตายตามกฎหมาย เพื่อให้ความจริงและความเป็นธรรมปรากฏโดยเร็ว และแจ้งความคืบหน้าต่อครอบครัวของชัยภูมิและสาธารณชนเป็นระยะๆ 3. ขอเรียกร้องให้หน่วยงานทหารยุติบทบาทในการปฏิบัติการทางจิตวิทยาโดยสิ้นเชิง เพราะการกระทำดังกล่าว แทนที่จะเป็นการสร้างความเข้าใจระหว่างประชาชนกับรัฐ แต่กลับจะสร้างความหวาดกลัวและไม่ไว้วางใจมากยิ่งขึ้น เครือข่ายติดตามความคืบหน้าคดีวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส ประกอบไปด้วย นักวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย เครือข่ายเยาวชนต้นกล้าชนเผ่าพื้นเมือง เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง เครือข่ายการศึกษาชนเผ่าพื้นเมือง เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เขตงานตะนาวศรี เครือข่ายสตรีชนเผ่าพื้นเมือง ชุมชนนักกิจกรรมภาคเหนือ มูลนิธิรักษ์เด็ก สมาคมปกาเกอะญอเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน สมาพันธ์เพื่อช่วยเหลือชาวมอญผู้ประสบภัยตามแนวชายแดน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||
Posted: 24 Apr 2017 02:50 AM PDT ภายหลังเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 แล้ว ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ของประเทศไทย ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มีมาตราที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน นั้นทำให้เห็นว่า ในภาพรวมของรัฐธรรมนูญ 2560 เน้นความสำคัญในเรื่องของวิชาชีพสื่อมวลชนเพิ่มมากขึ้น หน่วยงานของรัฐสามารถอุดหนุนกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน แต่ต้องเปิดเผยรายละเอียดให้คณะกรรมการ ตรวจเงินแผ่นดินทราบตามระยะเวลาที่กำหนดและประกาศให้ประชาชนทราบ (มาตรา 35) สิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะ ในครอบครองของหน่วยของรัฐเปลี่ยนไปเป็นสภาพบังคับที่รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานของรัฐต้องจัดให้ ประชาชนเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารดังกล่าวได้โดยสะดวก (มาตรา 59) แต่สื่อมวลชนไม่ได้ถูกปกป้องจากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นนอกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา (มาตรา 98) รวมไปถึงสื่อมวลชนไม่ได้ถูกปกป้องจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเจ้าของกิจการ และหลังจากการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีก็สามารถเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน (มาตรา 184) เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง แต่ให้คำนึงถึงวัตถุประสงค์ และภารกิจของหน่วยงานที่ตนสังกัดอยู่ด้วย (มาตรา 49) ในส่วนของประเด็นเรื่อง เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย และการสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเพื่อลิดรอนเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง จะกระทำมิได้ ยังคงอยู่เพื่อปกป้องสื่อมวลชนจากทุนของต่างชาติและการห้ามสั่งปิดกิจการสื่อมวลชน (มาตรา 35) ในส่วนของการควบรวมการครองสิทธิข้ามสื่อ หรือการครอบงำ ระหว่างสื่อมวลชนด้วยกันเองหรือโดยบุคคลอื่นใด ในส่วนนี้กลับหายไป รวมไปถึงการที่ให้ความสำคัญกับสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม ที่ว่ารัฐต้องรักษาไว้ซึ่งคลื่นความถี่และในส่วนของสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมอันเป็น สมบัติของชาติ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน และมีการป้องกันมิให้มีการแสวงหาประโยชน์จากผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือสร้างภาระแก่ผู้บริโภคเกินความจำเป็น (มาตรา 60) จุดที่น่าสนใจคือมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญ 2560 บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ในส่วนนี้น่าสนใจเพราะมีการให้ความสำคัญกับวิชาชีพสื่อมวลชน และจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ซึ่งสอดรับกับร่างพระราชบัญญัติ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งอยู่ในกระบวนการของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) จะเดินต่อไปอย่างไร
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||
ชาวกะเหรี่ยงแม่ปอคีจัดพิธีบวชป่า ยืนยันกับการอยู่ร่วมกันของคนกับป่า Posted: 24 Apr 2017 02:39 AM PDT ชาวกะเหรี่ยงบ้านขุนแม่เหว่ย (แม่ปอคี) จัดพิธีบวชป่า เป็นชุมชนตัวอย่างที่อยู่กับป่ามากว่า 200 ปี โดยชาวบ้านยังมีวิถีชีวิตดั้งเดิมตามหลักการอยู่ร่วมกันของคนกับป่าได้อย่างเกื้อกูลกันและกัน ![]() ![]() แม้ระยะทางจากตัวอำเภอท่าสองยาง ถึงบ้านขุนแม่เหว่ย (แม่ปอคี) แค่ไม่เกิน 60 กิโลเมตร แต่กลับต้องใช้เวลาเดินทาง ไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง โดยเฉพาะระยะทาง เข้า หมู่บ้าน ช่วง 16 กิโลเมตร สุดท้าย ใช้เวลาเดินทางมากว่า 2 ขั่วโมง ผ่านหมู่บ้านถึง 4 หมู่บ้าน ลัดเลาะตามแนวเขากว่า 5 ลูก จึงจะถึงที่หมาย บ้านขุนแม่เหว่ย (แม่ปอคี) ซึ่งเป็นชุมชนกะเหรี่ยงอาศัยมาเนิ่นนานกว่า 200 ปี โดยชาวบ้านยังมีวิถีชีวิตดั้งเดิมทำไร่หมุนเวียน ไม่มีการผลิตพืชเชิงเดี่ยวเพื่อการค้า อาทิ ข้าวโพด กระหล่ำปลี ไม่มีการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง ขณะที่ทุนนิยมและความเจริญภายนอกคืบคลานเข้าหาหมู่บ้าน ชาวกะเหรี่ยงจะตั้งรับอย่างไร เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2560 ชาวบ้านจากหมู่บ้านขุนแม่เหว่ย (บ้านแม่ปอคี) ตำบลท่าสองยาง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก องค์การบริหารส่วนตำบลท่าสองยาง และเครือข่ายร่วมกันจัดพิธีบวชป่า ที่บริเวณโดยรอบน้ำตกขุนแม่เหว่ย ซึ่งเป็นต้นน้ำขุนแม่เหว่ย เพื่อเป็นการนำพิธีกรรมตามภูมิปัญญาวัฒนธรรมของคนปากเกอะญอมาประยุกต์ใช้ในการปกป้องและพิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ให้คงอยู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน อีกทั้งเป็นการเปิดพื้นที่การเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์แก่เยาวชนในหมู่บ้านให้เห็นคุณค่าการดูแลรักษาป่า และเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างชุมชน ภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาชุมชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับป่า โดยใช้วิถีภูมิปัญญาของคนในชุมชน ที่สำคัญเป็นการจุดประกายประเด็นความสนใจของชุมชนที่ต้องการหาแนวทางในการบริหารจัดการพื้นที่โดยชุมชนได้มีส่วนร่วม เพื่อหาทางออกในการอยู่ร่วมกันของชุมชนกับพื้นที่เขตป่า โดยที่เขตป่าไม่รุกรานชุมชน และชุมชนไม่บุกรุกเขตป่า เป็นชุมชนที่อยู่กับป่าอย่างยั่งยืนได้ ![]() พาเหาะ ลำเนาไพร อายุ 65 ปี ผู้นำทางจิตวิญญาณ แห่งหมู่บ้านขุนแม่เหว่ย (บ้านแม่ปอคี) นายพาเหาะ ลำเนาไพร อายุ 65 ปี ผู้นำทางจิตวิญญาณ แห่งหมู่บ้านขุนแม่เหว่ย (บ้านแม่ปอคี) ตำบลท่าสองยาง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้เป็นความต้องการของชุมชนที่จะปลุกจิตสำนึกเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะการอยู่ร่วมกันของชุมชนกับเขตป่า ซึ่งชุมชนบ้านขุนแม่เหว่ยนั้นมีประวัติศาสตร์การตั้งชุมชนมากว่า 150 ปี เป็นชุมชนชาวปกาเกอะญอที่ยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้ง น้ำตก ป่าไม้ สัตว์ป่า โดยเฉพาะในชุมชนมีภูมิปัญญาท้องถิ่น ในการดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ คือ มีป่าเดป่อทู่ หรือ ป่าสะดือ ที่ดูแลจัดการโดยวิถีชุมชน ที่มีความผูกพันธ์กับป่ามาตั้งแต่เกิด โดยจะมีการนำสายสะดือของเด็กแรกเกิดไปแขวนไว้กับต้นไม้เป็นการผูกสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับต้นไม้ให้เจริญเติบโตไปพร้อมกัน โดยห้ามใครตัดต้นไม้ต้นนั้น รวมถึงมีระบบการเกษตรแบบผสมผสาน คือการทำไร่หมุนเวียน เพราะเป็นระบบการเกษตรที่สร้างสมดุลให้ระบบนิเวศน์ และถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางภูมิปัญญา ซึ่งการทำไร่หมุนเวียนนั้น จะมีพิธีกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมการบอกกล่าวเจ้าป่า เจ้าเขา เพื่อขอทำไร่ข้าว เมื่อทำเสร็จก็จะมีพิธีส่งคืนให้กับเจ้าป่าเจ้าเขา โดยมีความเชื่อว่าพื้นที่ทั้งหมดนั้นเป็นของเจ้าป่า เจ้าเขา อีกทั้งในพื้นที่ต้นน้ำ ยังมีการทำบุญเลี้ยงเจ้าป่า เจ้าเขาในเขตป่า ซึ่งเป็นความเชื่อ ความศรัทธา ต่อจิตใจของชาวปกาเกอะญอ หรือกะเหรี่ยง ![]() ดร.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ รองคณบดีฝ่ายเครือข่ายชุมชน วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย ดร.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ รองคณบดีฝ่ายเครือข่ายชุมชน วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย กล่าวว่าการจัดพิธีบวชป่า ของชุมชนบ้านขุนแม่เหว่ยในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าชุมชนมีความตั้งใจที่ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ของชุมชนเอง โดยเฉพาะป่าต้นน้ำ ซึ่งป่าต้นน้ำขุนแม่เหว่ย แห่งนี้มีความสำคัญต่อคนในชุมชนและละแวกใกล้เคียงเป็นแหล่งน้ำสำหรับใช้ในการอุปโภค บริโภค แหล่งอาหาร และที่ทำกิน การบวชป่านั้นเป็นการแสดงออกถึงจิตสำนึกของชุมชนในการพิทักษ์ผืนป่าให้คงอยู่ และถือว่าเป็นการเสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชุมชน ซึ่งีความคิดร่วมกัน คือการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในชุมชน โดยให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรภายในชุมชน อีกทั้งอนาคตต้องมีการร่วมกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้ชุมชนสามารถอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน ซึ่งต้ออาศัยความร่วมมือทั้งจากภาครัฐ คนในชุมชน และส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันส่งเสริมให้เป็นหมู่บ้านนำร่อง ชุมชนสีเขียว โดยมีการประยุกต์ใช้ทั้งภูมิปัญญาชาวปาเกอะญอและองค์ความรู้ใหม่ๆเข้ามาปรับใช้ ซึ่งทางวิทยาลัยโพธิวิชชาลัยเองก็ได้มีการจัดการร่วมกันกับชุมชน ในการจัดทำแหล่งเรียนรู้ สร้างงานวิจัย เพื่อให้ชุมชนเกิดประโยชน์ พร้อมทั้งเสริมสร้างพลังให้ชุมชนมั่นใจในการจัดการชุมชน ![]() สุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา ด้านนายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา กล่าวว่า ได้เห็นความตั้งใจของชุมชน บ้านขุนแม่เหว่ย ในการที่จะอยู่ร่วมกับป่า โดยชุมชนเองพยายามที่จะหาแนวทางในการบริหารจัดการพื้นที่โดยที่ชุมชนต้องมีส่วนร่วมกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางออกในการอยู่ร่วมกันของชุมชนกับพื้นที่เขตป่า โดยที่เขตป่าไม่รุกรานชุมชน และชุมชนไม่บุกรุกเขตป่า เป็นชุมชนที่อยู่กับป่าอย่างยั่งยืนได้ ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที 3 สิงหาคม 2553 เรื่องนโยบายในการการฟื้นฟูวิถีชาวกะเหรี่ยง โดยมีประเด็นหลักๆ 5 ด้าน ด้วยกัน ได้แก่ 1 อัตลักษณ์ ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม 2 การจัดการทรัพยากร 3 สิทธิในสัญชาติ 4 การสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม และ5 การศึกษา โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการทรัพยากร นั้น มีมาตรการคือ ยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่เป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีกรณีพิพาทเรื่องที่ทำกินในพื้นที่ดั้งเดิม และให้จัดตั้งคณะกรรมการ หรือกลไกในการทำงานเพื่อกำหนดเขตพื้นที่ในการทำกิน การอยู่อาศัย และการดำเนินชีวิตตามวิถีวัฒนธรรม ใคร่เรียกร้องให้หน่วยงานรัฐเข้าใจวิถีวัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยง เข้ามาเรียนรู้และส่งเสริมให้คนที่อยู่รักษาป่า ได้มีวิถีวัฒนธรรมอันดีงามเหล่านี้ต่อไป ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||
แถลงการณ์ นศ. 10 กลุ่ม ยืนยันกรณี 7 นศ. ไม่ได้รบกวนการพิจารณาคดีของศาล Posted: 24 Apr 2017 12:27 AM PDT แถลงการณ์ร่วม 10 กลุ่มนักศึกษาทั่วประเทศ กรณี 7 นักศึกษา-นักกิจกรรม ถูกฟ้องละเมิดอำนาจศาล ระบุจากข้อเท็จจริงการจัดกิจกรรมอยู่ภายนอกรั้วของศาล ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการรบกวนการพิจารณาคดีของศาลได้เลย 24 เม.ย. 2560 กลุ่มนักศึกษา 10 กลุ่ม ประกอบไปด้วย สมัชชาแม่โจ้เสรีเพื่อประชาธิปไตย FMFD, กลุ่มประชาคมจุฬาฯ เพื่อประชาชน CCP, ธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย LLTD, กลุ่มเสรีเกษตรศาสตร์, กลุ่มเสียงของคนหนุ่มสาว รามคำแหง, ดาวดิน สังกัดพรรคสามัญชน, The Federation of Patani Students and Youth - PerMAS, สมัชชาเสรีแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย, PPDD ธรรมศาสตร์ และผู้เคลื่อนไหวอิสระในขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ออกแถลงการณ์ร่วม 10 กลุ่มนักศึกษาทั่วประเทศ กรณี 7 นักศึกษา นักกิจกรรม ถูกฟ้องละเมิดอำนาจศาล โดยในแถลงการณ์ระบุว่าเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 นักศึกษา นักกิจกรรม ได้รับหมายจากศาลจังหวัดขอนแก่นในคดีละเมิดอำนาจศาล ได้แก่ นักศึกษาทั้งหมด 6 คน และ นักกิจกรรมจากกรุงเทพฯ 1 คน ต่อเนื่องจากเหตุการณ์วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 โดยได้จัดกิจกรรมในนามของเครือข่ายนักศึกษาสี่ภาคเพื่อให้กำลังใจ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน และมีการแสดงเชิงสัญลักษณ์ในการประท้วงกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษาการละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้นมีเจตนารมณ์เพื่อให้การดำเนินพิจารณาคดีของศาลเป็นไปโดยเรียบร้อย แม้จะเป็นดุลพินิจของศาลก็ตาม แต่การบังคับใช้ควรอยู่ในบริเวณศาลที่อาจรบกวนการพิจารณาของศาลได้ จากข้อเท็จจริงนั้นการจัดกิจกรรมเล็ก ๆ ภายนอกรั้วของศาล ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการรบกวนการพิจารณาคดีของศาลได้เลย อ่านเนื้อหาของแถลงการณ์ทั้งหมดได้ที่ แถลงการณ์ร่วม 10 กลุ่มนักศึกษาทั่วประเทศกรณี 7 นักศึกษา นักกิจกรรม ถูกฟ้องละเมิดอำนาจศาล ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||
ศาลเชียงใหม่ยกฟ้องลุงติดป้าย 'เผด็จการจงพินาศ' Posted: 23 Apr 2017 11:25 PM PDT ศาลเชียงใหม่ยกฟ้อง 'สามารถ ขวัญชัย' จำเลยในข้อหาประชามติ ชี้ข้อความ 'เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ 7 ส.ค. Vote No' ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดพ.ร.บ.ประชามติฯ นายสามารถ ขวัญชัย ที่มาภาพ: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
ศาลได้อ่านคำพิพากษาโดยสรุปเห็นว่า การกระทำที่จะเป็นความผิดตามพ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 61(1) และ วรรค 2 ต้องมีองค์ประกอบด้วยกัน 4 ประการ คือ 1. เป็นการก่อความวุ่นวายเพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย 2. มีการเผยแพร่ข้อความ ภาพ เสียง ในสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือในช่องทางอื่นใด 3. มีลักษณะที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงหรือรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกระดม หรือข่มขู่ และ 4. จะต้องมีเจตนาพิเศษ คือเพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง การกระทำจะเป็นความผิดได้ ต้องเข้าองค์ประกอบความผิดทั้งสี่ประการ ศาลวินิจฉัยว่าเมื่อพิจารณาข้อความจากใบปลิวที่ว่า "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ"แล้ว ตามพจนานุกรม คำว่า "เผด็จการ" หมายถึงการใช้อำนาจบริหารการปกครองประเทศอย่างเด็ดขาด และคำว่า "พินาศ" หมายถึง ทำให้หมดสิ้นไป สูญสลายไป เมื่อนำมารวมกันแล้ว มีลักษณะเป็นความหมายเชิงนามธรรมทั่วๆ ไป ไม่ได้มีความหมายถึงร่างรัฐธรรมนูญ และแม้จะตีความหมายว่าถ้อยคำดังกล่าวหมายถึงรัฐบาลที่บริหารประเทศในขณะนั้นได้ แต่ก็ไม่อาจตีความให้เกี่ยวข้องไปถึงการออกเสียงประชามติในร่างรัฐธรรมนูญได้ เพราะรัฐบาลไม่ใช่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบกับผู้มีสิทธิที่จะไปลงประชามตินั้นมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ ย่อมมีวุฒิภาวะพอที่จะตัดสินใจเองได้ ไม่จำเป็นต้องเกิดความเห็นคล้อยตาม ข้อความในใบปลิวจึงไม่อาจจูงใจให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียงหรือไปใช้สิทธิออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง คำว่า "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ" ยังเป็นคำที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และใช้กันทั่วไปในหมู่ผู้รักประชาธิปไตย ก่อนที่จำเลยจะนำมาใช้ในใบปลิว อีกทั้ง เจตนารมณ์ของพ.ร.บ.ประชามติ ยังมิใช่มีจุดมุ่งหมายเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ของทั้งฝ่ายที่เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ดังในมาตรา 7 ของพ.ร.บ.ประชามติ ที่ระบุไว้ว่า "บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเผยแพร่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกเสียงโดยสุจริตและไม่ขัดต่อกฎหมาย" โดยเฉพาะมาตรา 61 ในพ.ร.บ.ประชามติที่มีโทษทางอาญานั้น ต้องตีความกฎหมายโดยเคร่งครัด ไม่อาจตีความให้กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินความจำเป็น แม้โจทก์จะมีพยานเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ เบิกความยืนยันว่าข้อความดังกล่าว มีลักษณะรุนแรงเป็นการปลุกระดมทางการเมืองก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล โดยที่ไม่มีการนำพยานผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา, กรรมการการเลือกตั้ง หรือกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ เข้ามาเบิกความยืนยันในประเด็นนี้ จึงฟังไม่ได้น้ำหนัก การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพ.ร.บ.ประชามติ ศาลพิพากษายกฟ้องจำเลย และใบปลิวในคดีนี้ จึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด หรือมีไว้เป็นความผิด เห็นสมควรให้คืนแก่จำเลย หลังฟังคำพิพากษา นายสามารถ กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณทุกๆ คนที่มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือตน หากไม่ได้ทุกคนมาช่วยเหลือ ตนก็มืดแปดด้านจริงๆ เมื่อฟังคำพิพากษาแล้ว รู้สึกว่าความเป็นธรรมยังพอหาได้ในประเทศนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่จะหยิบขึ้นมาใช้อีก หากผู้ใช้ดีก็ดี หากผู้ใช้ไม่ดี ผลก็คงไม่ดี อย่างน้อยเรื่องนี้ก็เกิดบรรทัดฐานหรือประกายไฟเล็กๆ ให้สังคม ให้ผู้คนได้เห็นความเป็นประชาธิปไตย ชัยชนะครั้งนี้เป็นอีกขึ้นหนึ่งของฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อต่อสู้กันต่อไป สำหรับนายสามารถ ขวัญชัย ปัจจุบันอายุ 63 ปี ประกอบอาชีพช่วยครอบครัวขายภาพโมเสคที่ร้านค้าในจังหวัดเชียงใหม่ นายสามารถเข้าร่วมการเคลื่อนไหวกับคนเสื้อแดงในฐานะมวลชนอิสระ เคยร่วมเป็นพยาบาลอาสาในการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์เมื่อปี 2553 อีกทั้ง นายสามารถยังมีโรคประจำตัวคือโรคเบาหวานและความดัน โดยหลังถูกจับกุมในคดีนี้ นายสามารถถูกฝากขังและถูกคุมตัวในเรือนจำเป็นเวลา 9 วัน ก่อนได้รับการประกันตัว โดยหลักทรัพย์ 1 แสนบาท ทั้งนี้ จากการติดตามคดีในช่วงการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน คดีนี้เป็นคดีที่ถูกกล่าวหาในข้อหาพ.ร.บ.ประชามติคดีแรก ที่ศาลมีคำพิพากษาออกมา (อ่านรายงานสรุปคดีประชามติทั้งหมด)
หมายเหตุ: แก้ไขเนื้อหาข่าวเมื่อเวลา 13.49 น. ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||
'เยาวชนปาตานี' แถลงยืนยันเคียงข้าง 7 นศ. ถูกคดีละเมิดอำนาจศาล Posted: 23 Apr 2017 11:07 PM PDT สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS) ออกแถลงการณ์กรณี 7 นศ. ถูกคดีละเมิดอำนาจศาล ขอให้รัฐไทยเคารพหลักการสิทธิมนุษยชนสากลและคืนอำนาจอธิปไตยแก่ประชาชนโดยเร็วที่สุด ยืนยันการแสดงออกทางการเมืองใด ๆ เป็นสิ่งที่พลเมืองทุกคนพึงกระทำได้ ยืนยันอยู่เคียงข้าง 7 นศ. เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2560 สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS) ออกแถลงการณ์สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี เรื่อง กรณี 7 นักศึกษาในเครือข่ายนักศึกษา 4 ภาคถูกดำเนินคดีละเมิดอำนาจศาล ระบุว่าจากกรณี 7 นักศึกษาในเครือข่ายนักศึกษา 4 ภาคได้รับหมายศาลในคดีละเมิดอำนาจศาล "จากการที่พวกเขาออกมาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อสะท้อนถึงปัญหาของกระบวนการยุติธรรม กรณีคดีแชร์ข่าว BBC ของไผ่ ดาวดิน เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560" และจะมีการนัดหมายพิจารณาคดีในวันจันทร์ ที่ 24 เมษายน 2560 ซึ่งภายใต้สถานการณ์ทีน่าเป็นห่วงของประชาธิปไตยไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและสถานการณ์ทางการเมืองที่เปราะบาง จึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่าอาจจะเกิดการแทรกแซงอำนาจของศาลเพื่อหวังผลทางการเมือง สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือ PerMAS เป็นองค์กรเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อสันติภาพปาตานี ซึ่งยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนสากล ขอแสดงจุดยืนและข้อเสนอดั่งนี้ 1.ขอให้รัฐไทยเคารพหลักการสิทธิมนุษยชนสากลและคืนอำนาจอธิปไตยแก่ประชาชนโดยเร็วที่สุด และ 2.เราขอยืนยันว่าการแสดงออกทางการเมืองใด ๆ เป็นสิ่งที่พลเมืองทุกคนพึงกระทำได้ และเราจะอยู่เคียงข้างนักศึกษาทั้ง 7 ท่าน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||
ร้อง กทค. ผู้บริโภคคงสิทธิเลขหมายตัวเองไม่ได้ Posted: 23 Apr 2017 10:35 PM PDT กทค. เตรียมถกเรื่องร้องเรียนกรณีผู้บริโภคไม่สามารถใช้บริการคงสิทธิเลขหมายหรือโอนย้ายเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปยังผู้ให้บริการรายใหม่ได้ และกรณีที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรายการส่งเสริมการขายได้ โดยทั้งสองกรณีมีลักษณะปัญหาคล้ายคลึงกัน 24 เม.ย. 2560 ในการประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ครั้งที่ 11/2560 วันอังคารที่ 25 เม.ย. 2560 มีวาระที่น่าสนใจคือการพิจารณาแก้ไขเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภค กรณีที่ไม่สามารถใช้บริการคงสิทธิเลขหมายหรือโอนย้ายเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปยังผู้ให้บริการรายใหม่ได้ และกรณีที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรายการส่งเสริมการขายได้ โดยทั้งสองกรณีมีลักษณะปัญหาคล้ายคลึงกัน สำหรับกรณีแรกเป็นเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภครายหนึ่งสมัครใช้โปรโมชั่น Platinum Number "เบอร์สวยคัดพิเศษ" ของ บจ. ดีแทค ไตรเน็ต เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2559 โปรโมชั่นโทรฟรี 1900 นาที ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ 20 GB ค่าบริการเดือนละ 1500 บาท และรับสิทธิซื้อเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อ SAMSUNG รุ่น Note 7 ลด 50 เปอร์เซ็นต์ ชำระค่าบริการล่วงหน้า 6 เดือน จำนวน 9,624 บาท แต่ปรากฏว่าโทรศัพท์รุ่นดังกล่าวไม่สามารถนำมาจำหน่ายในประเทศไทยได้ บริษัทฯ จึงมอบสิทธิ์ในการซื้อเครื่องโทรศัพท์ IPhone 6 Plus ในราคาลด 50 เปอร์เซ็นต์แทน แต่ในเวลานั้นยังไม่มีเครื่องและยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะสามารถซื้อเครื่องได้วันไหน โดยเจ้าหน้าที่บริษัทฯ แจ้งว่าจะติดต่อกลับ อย่างไรก็ดี ผู้บริโภครายดังกล่าวไม่ได้รับการติดต่อกลับแต่อย่างใด ผู้บริโภคเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการใช้บริการ จึงติดต่อผู้ให้บริการรายอื่นเพื่อขอโอนย้ายเลขหมาย แต่ไม่สามารถโอนย้าย เนื่องจากบริษัทฯ อ้างติดสัญญารับสิทธิ์ซื้อเครื่องโทรศัพท์ในราคาพิเศษ ผู้บริโภคจึงร้องเรียนมายังสำนักงาน กสทช. โดยในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2559 ผู้บริโภคตัดสินใจลดความเสียหายจากการที่ไม่มีเครื่องโทรศัพท์ใช้ด้วยการตัดสินใจซื้อเครื่อง SAMSUNG รุ่น S7 Edge แต่ยังคงมีความประสงค์โอนย้ายเลขหมายไปยังเครือข่ายอื่น พร้อมทั้งขอคืนเงินค่าบริการที่ได้ชำระไปแล้วล่วงหน้า จำนวน 9,624 บาท ภายหลังจากที่สำนักงาน กสทช. นำเสนอเรื่องร้องเรียนดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคมพิจารณา คณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่า "ผู้ร้องเรียนมีสิทธิยกเลิกบริการหรือโอนย้ายเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปใช้บริการกับผู้ให้บริการรายอื่นได้ ส่วนสัญญาและเงื่อนไขการรับสิทธิ์ซื้อเครื่องราคาพิเศษมิใช่สัญญาใช้บริการโทรคมนาคม จึงไม่อยู่ในอำนาจของ กสทช. หากบริษัทฯ ประสงค์จะเรียกเก็บเงินดังกล่าว ก็สามารถใช้สิทธิเรียกร้องทางแพ่งกับผู้ใช้บริการได้ ส่วนกรณีที่ผู้ร้องเรียนขอคืนค่าบริการที่ได้ชำระไว้จำนวน 9,624 บาทนั้น เมื่อพิจารณาโดยข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่าในระหว่างนั้นมีรายการการใช้งาน จึงถือเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงจากการใช้งานของผู้ร้องเรียน" ส่วนอีกกรณีหนึ่งเป็นเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภคที่สมัครใช้โปรโมชั่น 4G iSmart 899 ของ บจ. เรียล มูฟ ค่าบริการรายเดือน 899 บาท สัญญา 12 เดือน ใช้สิทธิแลกซื้อเครื่อง Samsung Galaxy 5 Duos 2 ราคา 490 บาท ต่อมาผู้บริโภครายนี้ต้องการเปลี่ยนแปลงโปรโมชั่นให้เหลือแพ็กเกจต่ำกว่า 500 บาทต่อเดือน เนื่องจากต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งไม่สะดวกนำเลขหมายดังกล่าวไปใช้งาน แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโปรโมชั่นได้ หลังจากที่สำนักงาน กสทช. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า ผู้ร้องเรียนได้ทำสัญญารับสิทธิ์แพ็กเกจพร้อมเบอร์สวยสำหรับลูกค้าที่เปิดเบอร์ใหม่ โดยมีเงื่อนไขการรับสิทธิ์ว่า หากประสงค์จะเปลี่ยนแปลงผู้รับ-ถือสิทธิ์ หรือยกเลิกบริการในโปรโมชั่นที่ใช้ร่วมกับเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ผู้รับสิทธิ์ยินดีชำระค่าปรับเป็นเงิน 10,000 บาท และจำเป็นต้องคืนเบอร์สวยนี้ให้กับบริษัทฯ อย่างไรก็ดี ในกรณีนี้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาแล้วมีมติว่า "ข้อตกลงและเงื่อนไขการรับสิทธิ์แพ็กเกจพร้อมเบอร์สวยของบริษัทฯ นั้น เกี่ยวข้องกับเลขหมายโทรคมนาคม สิทธิในการเลือกใช้รายการส่งเสริมการขาย และการยกเลิกบริการ จึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม ซึ่งตามมาตรา 51 ของ พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 กำหนดให้สัญญาและเงื่อนไขใดๆ เกี่ยวกับการให้บริการโทรคมนาคมที่ผู้รับใบอนุญาตจะกำหนดขึ้น ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ และข้อ 4 ของประกาศ กทช. เรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 กำหนดว่า สัญญาจะมีผลผูกพันและบังคับใช้ได้ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ซึ่งในกรณีนี้สัญญาดังกล่าวยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ จึงไม่มีผลบังคับใช้ ดังนั้นผู้ร้องเรียนจึงมีสิทธิเปลี่ยนรายการส่งเสริมการขายเช่นเดียวกับผู้ใช้บริการรายอื่นๆ ที่ใช้หมายเลขทั่วไปได้" เรื่องร้องเรียนทั้งสองกรณีนี้นับเป็นประเด็นที่น่าสนใจ เพราะเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งไม่สามารถโอนย้ายเลขหมายหรือขอเปลี่ยนแปลงโปรโมชั่นได้ อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามผลการวินิจฉัยชี้ขาดของ กทค. ว่า จะมีมติสอดคล้องกับคณะอนุกรรมการฯ หรือไม่ อย่างไร ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น