โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

นิตยสาร Politico กังวล 'ทรัมป์' ปล่อยกองทัพมีบทบาทการเมืองโลก-ละเลยการทูตพลเรือน

Posted: 14 Apr 2017 12:38 PM PDT

หลังรัฐบาลสหรัฐฯ นำโดยโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดปฏิบัติการทางทหารหลายพื้นที่ในโลก ตั้งแต่ยิงโทมาฮอว์กใส่ฐานทัพอากาศซีเรีย การเคลื่อนกองเรือกดดันเกาหลีเหนือ หรือการทิ้งระเบิดใส่อุโมงค์ไอซิส ด้าน "Politico" ออกบทวิเคราะห์ว่ามีข้อกังวลอย่างหนึ่งก็คือทรัมป์ปล่อยให้ฝ่ายการทหารได้รับมอบอำนาจอย่างเต็มที่มากเกินไป ซึ่งขาดความสมดุลและจะเป็นอันตรายต่อการทูต

โดนัลด์ ทรัมป์ ในวันสาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อ 20 มกราคม 2560 (ที่มา: แฟ้มภาพ/The White House)

14 เม.ย. 2560 ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แสดงความชื่นชมปฏิบัติการทิ้งระเบิด  GBU-43/B หรือ MOAB ซึ่งเป็นระเบิดประเภทที่ไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์ลูกใหญ่ที่สุดเท่าที่สหรัฐฯ ใช้ในสมรภูมิ ใส่บริเวณที่อ้างว่าเป็นเครือข่ายอุโมงค์ของไอซิสในทางตะวันออกของอัฟกานิสถาน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมก็แสดงความกังวลว่าทรัมป์อาจจะใช้การทหารมามีอิทธิพลนำมากเกินไปซึ่งจะเป็นอันตรายต่อนโยบายที่ขาดความสมดุลอันจะกระทบต่อเรื่องการทูต

นิตยสาร Politico ระบุว่าก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่นำนายทหารระดับสูงเกษียณอายุแล้วขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในกิจการเกี่ยวข้องกับพลเรือน นอกจากนี้แล้วยังอนุญาตให้ผู้บัญชาการกองทัพมีอำนาจสั่งการวางกำลังและยุทธการอื่นๆ โดยเฉพาะในกรณีซีเรีย แตกต่างจากสมัยรัฐบาล บารัก โอบามาที่มีการจัดการแบบลงรายละเอียด (micromanaging) แม้แต่รายละเอียดเล็กๆ ด้านความมั่นคง

แต่จากการให้สัมภาษณ์ของทรัมป์ในกรณีการการทิ้งระเบิดที่อัฟกานิสถานล่าสุดดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดอะไรมากแค่บอกว่าเขาได้มอบอำนาจแก่กองทัพสหรัฐฯ โดยอ้างว่าสหรัฐฯ มีกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและปฏิบัติการที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงปฏิบัติการทั่วไป โดยที่เขามอบอำนาจให้กองทัพทำอะไรก็ได้อย่างเต็มที่ และในความคิดเห็นของทรัมป์แล้วถือว่ากองทัพสหรัฐฯ "ประสบความสำเร็จ" ในปฏิบัติการทางทหารเมื่อไม่นานมานี้ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ด้าน อดัม สมิทธ์ สมาชิกวุฒิสภารัฐวอชิงตันจากพรรคเดโมแครต คณะกรรมาธิการการทหารของวุฒิสภาสหรัฐฯ กล่าวว่าทรัมป์ไม่มีประสบการณ์ในด้านความมั่นคงและคนใกล้ชิดของเขาก็น่าเป็นห่วงว่าเขาจะเน้นใช้การทหารแก้ปัญหาต่างๆ มากเกินไป เช่น ในกรณีของซีเรียที่ก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยกล่าวต่อต้านการใช้ปฏิบัติการทหารมาตลอดแต่ในรัฐบาลของเขาก็มีการสั่งโจมตีในช่วงที่ผ่านมา และที่ปรึกษาของเขาที่เต็มไปด้วยฝ่ายการทหารก็อาจจะได้รับอำนาจปฏิบัติการอย่างเป็นอิสระมากเกินไป

Politico ยังวิเคราะห์การให้สัมภาษณ์ของทรัมป์หลังปฏิบัติการโจมตีฐานของกลุ่มไอซิสในอัฟกานิสถานว่าเขาพยายามแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ แสดงออกถึงความเข้มแข็งทางการทหารมากกว่าในช่วงสมัยของรัฐบาลโอบามาโดยที่ทรัมป์กล่าวว่า "ถ้าหากคุณมองเหตุการณ์ในช่วง 8 สัปดาห์ที่ผ่านมาเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเมื่อช่วง 8 ปีที่ผ่านมา (สมัยรัฐบาลโอบามา) คุณจะเห็นว่ามีความแตกต่างอย่างใหญ่หลวง"

แต่อลิซ ฮันท์ เฟรนด์ นักวิจัยอาวุโสจากศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และนานาชาติศึกษาก็มองว่าการปล่อยปละละเลยไม่มีการควบคุมปฏิบัติการทางทหารจะเป็นการใช้การทหารนำมากเกินไปจนไม่มีการพิจารณาเรื่องการทูตและการเมืองภายในประเทศมาประกอบ ทั้งที่ปฏิบัติการทางทหารควรคำนึงถึงบริบทของการเมืองจากฝ่ายพลเรือนประกอบเช่นการที่ผู้นำทหารต้องอาศัยเสียงสนับสนุนในสภาแต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ชวนให้กังวลว่าบุคคลในกองทัพจะกลายเป็นผู้ประกอบสร้างนโยบายแทนหรือไม่ จากที่มีหลายคนแสดงความกังวลว่ารอบตัวทรัมป์เป็นกลุ่มผู้มีวิชาชีพทางการทหารจะส่งผลต่อกระบวนการออกนโยบายต่างๆ ด้วย

เรียบเรียงจาก

Worries deepen about Trump's military tilt, Bryan Bender, Politico, 13-04-2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นายกแพทยสภาเข้าขอโทษตัวแทน WHO กรณีโดนห้ามพูดในงานประชาพิจารณ์

Posted: 14 Apr 2017 11:55 AM PDT

แดเนียล เอ. เคอร์แทสซ์ (Dr.Daniel A. Kertesz) ผู้แทนจากองค์การอนามัยโลก

15 เม.ย. 2560 สืบเนื่องจากกรณีแดเนียล เอ. เคอร์แทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ร่วมเวทีประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นร่าง พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพฉบับใหม่เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2560 แต่เมื่อจะเริ่มแสดงความเห็นก็ถูก พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา กรรมการแพทยสภาห้ามไว้เสียก่อน อ้างว่าการแสดงความเห็นขององค์กรระหว่างประเทศจะรุกล้ำอธิปไตยไทย กระทบความมั่นคงประเทศพร้อมวาทะเด็ด "WHO ไม่ใช่พ่อ เราไม่จำเป็นต้องฟัง" (อ่านต่อ ที่นี่) จนผู้แทนองค์การอนามัยโลกต้องออกจากห้องประชุม ส่งผลให้ภาคประชาชนร้องเรียนกรรมการแพทยสภาที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมดังกล่าว

เมื่อ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา นายกแพทยสภา พร้อมด้วย นพ.สุกิจ ทัศนสุนทรวงษ์ เลขาธิการแพทยสภา และ พ.ญ. ชัญวลี ศรีสุโข โฆษกแพทยสภา เดินทางเข้าพบ แดเนียล พร้อมช่อดอกไม้เนื่องในโอกาสวันปีใหม่ไทย และเพื่อแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น

ชัญวลี กล่าวว่า แดเนียล เข้าใจถึงสถานการณ์ ที่ผ่านมาเคยเป็นผู้แทน WHO มาหลายประเทศ และเคยเจอถ้อยคำที่รุนแรงกว่านี้มาก ซึ่งเขามองว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แดเนียล ยังได้กล่าวว่าตนเข้าใจ และยังมีทัศนคติที่ดีและยังคงเคารพต่อแพทยสภา รวมถึงยินดีร่วมมือในการทำงานด้านสาธารณสุขในไทยต่อไป

การทำเวทีประชาพิจารณ์ร่าง พรบ. ดังกล่าว ได้จัดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมาในกรุงเทพฯ ท่ามกลางข้อกังขาของภาคประชาสังคมหลายข้อ จนเกิดการทยอยเดินออกจากห้องประชุม (วอล์กเอาท์) กลางคันของภาคประชาสังคมหลายราย (อ่านต่อ ที่นี่)

 

ที่มา:

ผู้จัดการออนไลน์, http://m.manager.co.th/QOL/detail/9600000037499

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สภาอุตฯ เตือนรัฐรับมือกำลังซื้อ ตจว.ดิ่ง 'อภิสิทธิ์' ห่วง ศก.ฐานรากซบเซา

Posted: 14 Apr 2017 10:04 AM PDT

สภาอุตสาหกรรม ระบุตัวเลขภาคผลิตลดลง มาจากกำลังซื้อที่ซบเซาจากประชาชนกลุ่มฐานราก โดยเฉพาะต่างจังหวัดไม่ค่อยดีนัก ทำให้สินค้าที่โรงงานอุตสาหกรรมผลิตออกมามียอดขายลดลง 'อภิสิทธื์' ห่วงเศรษฐกิจฐานรากซบเซา ชี้รัฐประหารเป็นเหตุด้วย

<--break- />

เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา วัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) และรองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มกำลังซื้อช่วงไตรมาส 2 /2560 ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน 2560 อยากให้รัฐบาลติดตามภาวะเศรษฐกิจแบบรอบด้านเพื่อเตรียมแนวทางรับมือและแก้ปัญหา เนื่องจากขณะนี้ภาคเอกชนในภาคผลิตได้รับสัญญาณเศรษฐกิจที่สวนทางกัน โดยตัวเลขความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมลดลง จากเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 86.2 และลดติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 สอดคล้องกับตัวเลขดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(เอ็มพีไอ) อยู่ที่ 110.54 ลดลง 1.5% เป็นการลดลงในรอบ 7 เดือน สวนทางกับตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคของหอการค้าไทย ระบุว่าสูงสุดรอบ 2 ปี และหนี้ครัวเรือนลดลงรอบ 11 เดือน แต่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น

"ภาครัฐแสดงความพอใจกับตัวเลขดังกล่าว ขณะที่ตัวเลขภาคผลิตลดลง มาจากกำลังซื้อที่ซบเซาจากประชาชนกลุ่มฐานราก โดยเฉพาะต่างจังหวัดไม่ค่อยดีนัก ทำให้สินค้าที่โรงงานอุตสาหกรรมผลิตออกมามียอดขายลดลงไปด้วย ขายไม่ได้ ต่างกับกำลังซื้อของกลุ่มประชาชนรายได้ปานกลางถึงรายได้สูงกำลังซื้อยังดี เป็นโจทย์ที่รัฐบาลต้องดูว่าจะแก้ปัญหา"  วัลลภ กล่าว

วัลลภ กล่าวว่า กำลังซื้อในช่วงเทศกาลสงกรานต์ มั่นใจว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้พอสมควร แต่เป็นช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น เนื่องจากวันหยุดปีนี้ ประชาชนวางแผนหยุดตั้งแต่วันจักรี 6 เมษายนยาวถึงสิ้นเทศกาลสงกรานต์ ประชาชนต่างจังหวัดมีการวางแผนกลับบ้าน และอีกกลุ่มมีการวางแผนท่องเที่ยวในประเทศ ทำให้การใช้จ่ายมีความคึกคัก ทั้งภาคการค้า บริการ การเข้าพักโรงงาน รีสอร์ท สินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภคมียอดขายดี สินค้าสำหรับเทศกาลทั้งแว่นกันน้ำ ปืนฉีดน้ำ ซองกันน้ำ เสื้อผ้า ยังมียอดขายดี

อภิสิทธื์ ห่วงเศรษฐกิจฐานรากซบเซา ชี้รัฐประหารเป็นเหตุด้วย

โดยวันนี้ (14 เม.ย.60) อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจในชนบทที่ประชาชนยังมีความเดือดร้อนมาก สำหรับมาตรการที่รัฐบาลขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อย ควรจะเร่งทำให้เป็นรูปธรรม พร้อมเสนอว่าควรทำให้เป็นระบบสวัสดิการ ซึ่งสาเหตุที่เศรษฐกิจซบเซา เกิดจากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นจากรัฐประหารด้วย เพราะมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนที่ต้องการเห็นการเมืองเดินไปในระบบอย่างชัดเจน อีกทั้งการเจรจาการค้าหลายอย่างทำไม่ได้ในปัจจุบัน ขณะเดียวกันปัจจัยเศรษฐกิจโลก นโยบายของประเทศคู่ค้าที่สำคัญก็มีความไม่แน่นอน

ขณะที่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่ต่อเนื่องให้คนมีรายได้ จึงทำให้เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ส่วนนโยบายประชารัฐยังค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะคนที่เข้าไปมีส่วนร่วม ผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม ประกอบอาชีพอิสระ หรือเกษตรกร ไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางเท่าที่ควร

 

ที่มา : มติชนออนไลน์ และผู้จัดการออนไลน์

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

“หมุดคณะราษฎรอยู่ไหน” ศรีสุวรรณ ออกแถลงการณ์ทวงคืนหมุด หลังหายไปอย่างไร้ร่องรอย

Posted: 14 Apr 2017 08:06 AM PDT

ศรีสุวรรณ จรรยา ออกแถลงการณ์ "ขอทวงคืนหมุดคณะราษฎร" หลังพบหมุดคณะราษฎรหายไป และมีหมุด "ประชาชนสุขสันต์หน้าใส" มาแทนที่ จี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวหาหมุดกลับมาไว้ที่เดิม หากไม่ดำเนินเตรียมฟ้องแน่นอน

14 เม.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เฟซบุ๊กของ ศรีสุรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย (Srisuwan Janya) ได้เผยแพร่แถลงการณ์ของ สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เรื่องขอทวงคืนหมุดคณะราษฎร โดยแถลงการณ์มีรายละเอียดดังนี้

00000

แถลงการณ์
สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย
เรื่อง ขอทวงคืนหมุดคณะราษฎร
 

ตามที่ปรากฏเป็นการทั่วไปว่ามีการเปลี่ยนหมุดคณะราษฎรบริเวณลานหน้าพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งเป็นหมุดที่ทำขึ้นเพื่อสะท้อนเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของชาติไทย อันเนื่องในเหตุการณ์การอภิวัฒน์สยาม 2475 ซึ่งพระยาพหลพลพยุหเสนา หนึ่งในแกนนำคณะราษฎร ได้ยืนอ่านประกาศคณะฉบับที่ 1 เสร็จสิ้นในเวลาย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยภายในหมุดเดิมมีข้อความว่า "ณ ที่นี้ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ"
แม้หมุดดังกล่าวจะเคยถูกอำนาจรัฐสั่งรื้อสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของชาติไทยไปในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็ตาม แต่เมื่อพ้นยุคสมัยไปแล้วเลขาธิการรัฐสภาในสมัยนายประเสริฐ ปัทมสุคนธ์ ได้ให้กรุงเทพมหานครเอาหมุดดังกล่าวกลับมาประดิษฐานดังเดิมอีกครั้ง

การที่มีบุคคลหรือหน่วยงานใดได้กระทำการอันพยายามบิดเบือนหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชาติในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการจัดทำหมุดขึ้นมาใหม่ โดยมีข้อความรอบนอกว่า "ความนับถือรักใคร่ในพระรัตนตรัยก็ดี ในรัฐของตนก็ดี ในวงศ์ตระกูลของตนก็ดี มีจิตซื่อตรงในพระราชาของตนก็ดี ย่อมเป็นเครื่องทำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง" ส่วนข้อความในวงด้านใน ระบุว่า "ขอประเทศสยามจงเจริญยั่งยืนตลอดไป ประชาชนสุขสันต์ หน้าใส เพื่อเป็นพลังของแผ่นดิน" และนำไปสับเปลี่ยนหมุดคณะราษฎรเดิมนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอาญา และขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 57(1) ประกอบมาตรา 78 ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงวัฒนธรรม จะต้องเร่งดำเนินการนำหมุดคณะราษฎรดังกล่าวกลับมาประดิษฐานยังที่เดิม หากไม่ดำเนินการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญจะใช้สิทธิตามมาตรา 51 ของรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไปแน่นอน

ประกาศมา ณ วันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2560

นายศรีสุวรรณ จรรยา
เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมุดคณะราษฏรถูกรื้อถอน พบหมุดใหม่ “ประชาชนสุขสันต์หน้าใส” มาฝังแทนที่

Posted: 14 Apr 2017 03:13 AM PDT

หมุดคณะราษฎรหายไป พบหมุดใหม่ เขียนว่า "ประชาชนสุขสันต์หน้าใส-ความนับถือรักใคร่ในพระรัตนตรัยก็ดี ในรัฐของตนก็ดีในวงศ์ตระกูลของตนก็ดี มีจิตซื่อตรงในพระราชาของตนก็ดี ย่อมเป็นเครื่องทำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง" มาฝังแทนที่ ไร้คำว่า "ประชาธิปไตย"

ภาพจากเฟซบุ๊กแฟนเพจ หมุดคณะราษฎร

ภาพในมุมใกล้เคียงกันก่อนที่จะมีการร้อถอดหมุดคณะราฎรออก

14 เม.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ที่ตั้งของหมุดคณะราษฎร ซึ่งเป็นหมุดกลมสีทองเหลือง ฝังลงบนพื้น กลางถนน ระหว่างฐานของพระบรมรูปทรงม้าและประตูทางเข้า สนามเสือป่า ที่ตั้งกองบัญชาการทหารสูงสุดในอดีต เพื่อเป็นที่ระลึกถึงจุดที่ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร ประกาศเปลี่ยนระบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย และอ่าน "ประกาศคณะราษฎร" ฉบับแรก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ได้หายไป โดยข้อความในหมุดคณะราษฎรที่หายไปนั้นได้เขียนข้อความไว้ว่า "24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง ณ ที่นี้ คณะะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ"

ขณะที่ได้มีหมุดใหม่มาแทนที่ โดยในหมุดดังกล่าวได้เขียนข้อความว่า "ขอให้ประเทศสยามจงเจริญยั่งยืนตลอดไป ประชาชนสุขสันต์หน้าใส เพื่อเป็นพลังของแผ่นดิน" และ "ความนับถือรักใคร่ในพระรัตนตรัยก็ดี ในรัฐของตนก็ดีในวงศ์ตระกูลของตนก็ดี มีจิตซื่อตรงในพระราชาของตนก็ดี ย่อมเป็นเครื่องคำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง"

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติม สำหรับข้อความในวงขอบนอกที่เขียนว่า "ความนับถือรักใคร่ในพระรัตนตรัยก็ดี ในรัฐของตนก็ดี ในวงศ์ตระกูลของตนก็ดี มีจิตซื่อตรงในพระราชาของตนก็ดี ย่อมเป็นเครื่องทำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง" ตรงกับข้อความในพระราชลัญจกรประจำเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ในสมัยรัชกาลที่ 5

พระราชลัญจกรประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.จ.ก.

ซึ่งในพระราชลัญจกรนั้นบริเวณขอบจักรมีอักษรเป็นคาถาภาษิตสำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ คือ "ติรตเนสกรฏฺเฐจ สมฺพํเสจมมายนํ สกราโชชุจิตฺตญฺจ สกรฏฺฐาภิวัฑฺฒนํ" ซึ่งแปลว่า "ความนับถือรักใคร่ในพระรัตนตรัยก็ดี ในรัฐของตนก็ดี ในวงศ์ตระกูลของตนก็ดี มีจิตซื่อตรงในพระราชาของตนก็ดี ย่อมเป็นเครื่องทำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง"

อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานว่าหน่วยงานใดเป็นผู้รื้อถอดหมุดคณะราษฎรออก และนำหมุดใหม่มาแทนที

ด้านมติชนออนไลน์ ได้สอบถามไปยังนายบันลือ สุขใส ผู้อำนวยการเขตดุสิต เปิดเผยว่า ทางเขตฯได้ทราบว่ามีการเปลี่ยนหมุดคณะราษฎรแล้ว แต่ทางเขตฯไม่ได้เป็นผู้เปลี่ยน ซึ่งขณะนี้ทางเขตกำลังรอรายละเอียดและข้อมูลที่ชัดเจนอยู่ว่าหน่วยงานใดเป็นผู้เปลี่ยนหมุดพร้อมข้อความดังกล่าว และหากทราบรายละเอียดที่ชัดเจนแล้ว ทางเขตจะได้แจ้งให้ประชาชนทราบต่อไป

ขณะที่นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าว กรมศิลป์ฯไม่ทราบเรื่องดังกล่าว และหากมีการเปลี่ยนแปลงข้อความในหมุดดังกล่าวจริงก็ไม่ต้องแจ้งให้กรมศิลป์ฯรับทราบ เพราะไม่ใช่พื้นที่ที่กรมศิลป์ดูแล ทางกรมศิลป์ดูแลเฉพาะองค์อนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ได้อยู่ในความดูแลของกรมศิลป์ ส่วนบริเวณหมุดอยู่ในความดูแลของหน่วยงานใดนั้น ตนไม่ทราบ

 

สำหรับหมุดของคณะราษฎรนั้น ได้มีการคาดว่า หมุดทองเหลือง หรือ "งานศิลปกรรมชิ้นแรกๆ ในยุคแห่งคณะราษฎร" นี้ น่าจะจัดทำขึ้นราวปี พ.ศ.2484 ที่รัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 24 มิถุนายน ของทุกปี เป็น "วันชาติ" นับแต่นั้นมา ก่อนที่วันชาติถูกเปลี่ยนไปเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ เมื่อปี พ.ศ. 2503 ในสมัยการปกครองของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์

โดยหมุดดังกล่าวเริ่มกลับมามีบทบาทโดยเฉพาะเป็นสถานที่จัดงานรำลึกเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยในวันที่ 24 มิ.ย. ของทุกปีช่วงวิกฤติการเมืองปัจจุบันจะมีการจัดงานรำลึกบริเวณดังกล่าว และมีการแสดงออกทางการเมืองบริเวณนั้นด้วย

อย่างไรก็ตามมีผู้พยายามทำลายหมุดดังกล่าวมาโดยตลอด เช่น มีการนำวัสดุสีดำมาลาดทับ การนำของแข็งมาขีดจนเป็นรอยจำนวนมาก รวมทั้งการปฏิบัติการเชิงสัญลักษณ์ เช่น นำพระมาสวดทำพิธีสะกด โดยเมื่อต้นปี 2558 สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด ได้โพสต์ภาพชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังทำพิธีกับหมุดคณะราษฎร ที่ฝังไว้กับถนนหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยนายสมบัติเผยว่าเป็นการทำพิธีถอนหมุดออก แต่เป็นเพียงแค่การทำพิธีตามความเชื่อเท่านั้น

ภาพ ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังทำพิธีกับหมุดคณะราษฎร

ขณะที่เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2559 เทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ โพสต์ภาพหมุดปฏิวัติ 2475/หมุดคณะราษฎร ผ่านเฟซบุ๊ก 'Thepmontri Limpaphayorm' และพิมพ์ข้อความว่า "ประกาศหาเจ้าของ ถ้าไม่มาขุดเอาไป ภายในวันที่ 30 ธ.ค. 2559 ผมกับเพื่อนๆ ถือว่าไม่มีเจ้าของ จะไปเอาออกหรือทำให้หมดสภาพเอง ถ้ายังอยากเก็บรักษาไว้ รีบขุดออกไปเสียให้พ้น"

โดย ก่อนหน้านั้น เทพมนตรี โพสต์ถามผ่านเฟซบุ๊กดังกล่าวด้วยว่า มีคนมาขอความเห็นตนว่า ตั้งแต่คณะราษฎรปฏิวัติ 2475 มาถึงปัจจุบัน ก็เป็นเวลาประมาณ 85 ปีแล้ว เราได้นักการเมือง รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ที่โกงกินบ้านเมืองมามากมาย สมควรที่จะถอนหมุดอันนี้ออกหรือไม่ มีคนพูดกันว่าหมุดอันนี้เป็นความอัปยศของระบอบประชาธิปไตยก็มี คิดเห็นประการใดบ้าง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดาวเทียมตรวจจับเกาหลีเหนือเคลื่อนไหวใกล้แท่นทดลองนิวเคลียร์

Posted: 14 Apr 2017 02:38 AM PDT

รอง รมว.ต่างประเทศเกาหลีเหนืออัดสหรัฐเคลื่อนเรือรบมุ่งหน้าคาบสมุทรเกาหลี ลั่นพร้อมจู่โจมก่อนหากถูกโจมตี ขณะที่ดาวเทียมตรวจจับแท่นยิงนิวเคลียร์เกาหลีเหนือมีความเคลื่อนไหวก่อนถึงวันเกิด 105 ปี คิมอิลซุง

ภาพไม่ระบุวันที่ของสำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) ของทางการเกาหลีเหนือ ระบุว่าเป็นการซ้อมยิงขีปนาวุธโดยหน่วยทหารปืนใหญ่ฮวาซ็อง กองทัพเกาหลีเหนือ โดยภาพถูกเผยแพร่เมื่อ 7 มีนาคม 2017 (ที่มา: KCNA/Urminzokkiri)

14 เม.ย. 2560 เมื่อวานนี้ (13 เม.ย.) ดาวเทียมพาณิชย์จับภาพความเคลื่อนไหวที่แท่นทดลองระเบิดนิวเคลียร์บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือชื่อ พุงเก-รี ในเกาหลีเหนือได้ ยกระดับความขัดแย้งในภูมิภาคหลังสหรัฐฯ มีท่าทีแข็งกร้าวต่อเกาหลีเหนือมากขึ้น

โจเซฟ เบอร์มูเดซ จูเนียร์ และ แจ๊ค หลิว นักวิเคราะห์จาก 38 North สถาบันวิเคราะห์ความเป็นไปในเกาหลีเหนืออย่างรอบด้านระบุว่า "มีความเคลื่อนไหวมาอย่างต่อเนื่องบริเวณประตูทิศเหนือของฐานทดลองอยู่แล้ว ในครั้งนี้เป็นภาพของยานพาหนะขนาดเล็กหรือไม่ก็รถพ่วงอยู่ด้านนอกของประตู"

"บริเวณศูนย์อำนวยการมีความเคลื่อนไหวใหม่ๆ มีสิ่งที่น่าจะเป็นกองวัสดุ อุปกรณ์คลุมด้วยผ้าใบประมาณ 11 กอง มีกลุ่มเจ้าหน้าที่ตั้งแถวอยู่และมีผู้คนเดินผ่านไปมา" นักวิเคราะห์กล่าวเพิ่มเติม ทั้งยังระบุว่า ขณะนี้ แท่นทดลอง "มีความพร้อม" สำหรับการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ครั้งต่อไป

เกาหลีเหนือกร้าว มีนิวเคลียร์ในมือไม่ยอมตกเป็นผู้ถูกกระทำ เผย พร้อมทดสอบนิวเคลียร์ทันทีที่ผู้นำสั่ง

ทางด้านเกาหลีเหนือ สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้ รายงานว่า ฮานซองรยอล รอง รมว. กระทรวงการต่างประเทศ มีถ้อยแถลงตอบโต้สหรัฐฯ ใจความว่า "เราจะเปิดฉากโจมตีสหรัฐฯก่อนถ้าทางสหรัฐฯใช้เครื่องมือทางทหารอย่างไม่ระมัดระวัง...เรามีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในมือ และเราจะไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำถ้าสหรัฐฯจะเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อน" ทั้งยังกล่าวว่า การทดลองนิวเคลียร์จะพร้อมจะเริ่มได้ทุกเมื่อ ตามแต่ผู้นำประเทศจะสั่ง

มีความกังวลกันว่า ในวันที่ 15 เม.ย. ซึ่งเป็นวันวันคล้ายวันเกิดปีที่ 105 ของคิมอิลซุง ผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ ผู้เป็นปู่ของคิมจองอึน จะเป็นวันที่เกาหลีเหนือทดลองอาวุธนิวเคลียร์ครั้งที่ 6

ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีทวีความรุนแรงขึ้นหลังรัฐบาลวอชิงตันมีท่าทีแข็งกร้าวต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของเกาหลีเหนือมากขึ้น ดังที่เห็นได้จากท่าทีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า สหรัฐฯ พร้อมจะเข้าไปแก้ไขวิกฤติการณ์เกาหลีเหนือด้วยตัวเอง รวมถึงการสั่งเคลื่อนเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส คาร์ล วิลสัน จากสิงคโปร์ไปยังคาบสมุทรเกาหลีร่วมกับกองเรือรบญี่ปุ่น

พุงเก-รี เป็นฐานทดลองระเบิดนิวเคลียร์แห่งเดียวที่เป็นที่รู้จักในเกาหลีเหนือ ตั้งอยู่ในอำเภอคิลจู จังหวัดฮามยอง เป็นฐานทดสอบระเบิดนิวเคลียร์มาแล้ว 5 ครั้งในปี 2549 2552 2556 และอีกสองครั้งในปี 2559

 

แปลและเรียบเรียงจาก:

Punggye-ri Nuclear Test Facility, http://www.nti.org/learn/facilities/881/

North Korea's Punggye-ri Nuclear Test Site: Primed and Ready, http://38north.org/2017/04/punggyeri041217/

ทรัมป์เสนอเอื้อประโยชน์-ยอมขาดดุลการค้า แลกจีนช่วยจัดการเกาหลีเหนือ, http://www.manager.co.th/around/ViewNews.aspx?NewsID=9600000037857

N.K. says it will conduct nuke test when leader decides: report, http://english.yonhapnews.co.kr/northkorea/2017/04/14/93/0401000000AEN20170414006152315F.html

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไผ่ ดาวดิน ได้รับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชนจากประเทศเกาหลีใต้

Posted: 13 Apr 2017 11:18 PM PDT

ไผ่ ดาวดิน ผู้ต้องหาคดี 112 จากการแชร์รายงานข่าวพระราชประวัติ ร.10 ได้รับรางวัลนักปกป้องสิทธิจากเกาหลีใต้พร้อมเงิน 50,000 ดอลลาร์ ผู้ที่เคยได้รับรางวัลนี้มาแล้วได้แก่ นางอองซาน ซูจี จากประเทศพม่า นายสมบัด สมพอน ทนายสิทธิผู้ถูกบังคับให้สูญหายชาวลาว กลุ่มรณรงค์การเลือกตั้งที่สะอาดและยุติธรรม หรือ 'Bersih' ประเทศมาเลเซีย และนางอังคณา นีละไพจิตร 

14 เมษายน 2560 เวลา 11.10 น. ประชาไทได้รับแจ้งจาก สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล ว่า ทางสถาบันได้รับอีเมล์แจ้งว่า นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน นักศึกษา ม.ขอนแก่น นักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ได้รับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชน (Gwang Ju Prize for Human Rights) ประจำปี 2560 จากมูลนิธิ 18 พฤษภารำลึก (May 18 Memorial Foundation) สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้)


อีเมล์ดังกล่าวได้ส่งถึง ไผ่ ดาวดิน และสถาบันสิทธิฯ ซึ่งเป็นองค์กรที่เสนอชื่อให้ ไผ่ เข้ารับรางวัลดังกล่าวโดยเนื้อหาส่วนหนึ่งได้ระบุว่า

" คณะกรรมการคัดสรรรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชนประจำปี 2017 ขอชื่นชมความกล้าหาญและจิตใจรักความเป็นธรรมของคุณที่เคลื่อนไหวต่อสู้กับเผด็จการและการละเมิดสิทธิมนุษยชน เราเล็งเห็นด้วยว่าการต่อสู้ของคุณช่วยปลุกเร้าประชาชน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ให้หันมาสนใจสภาพการณ์ทางการเมืองและความสำคัญของการแก้ไขปัญหา รวมทั้งได้สร้างคุณูปการต่อการเรียกร้องระบอบประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศไทย"

ในจดหมายได้เชิญให้ไผ่เดินทางไปรับรางวัลในวันที่  18 พฤษภาคม 2560 ที่เมืองกวางจู ประเทศเกาหลีใต้ โดยได้ระบุว่าหาก ไผ่ ไม่สามารถเดินทางไปรับรางวัล ให้ตัวแทนของไผ่ เป็นผู้ไปรับรางวัลแทน นอกจากการรับเกียรติบัตรแล้วทางมูลนิธิยังจะได้มอบเงินให้กับผู้ได้รับรางวัล 50,000 ยูเอสดอลลาร์ 

มูลนิธิ 18 พฤษภารำลึก (May 18 Memorial Foundation) เจ้าของรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ก่อตั้งขึ้นโดยเหยื่อของการปราบปรามการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยที่เมืองกวางจู ประเทศเกาหลีใต้ (เมื่อปี 2523)  มูลนิธิได้ทำงานรวบรวมและบันทึกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ปราบปรามสังหารประชาชนที่เมืองกวางจู เพื่อเป็นการสืบสานเจตนารมย์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และสนับสนุนและเผยแพร่การเรียกร้องประชาธิปไตยและการทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนในเอเชีย ซึ่งรางวัลที่ ไผ่ และนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนที่มีชื่อเสียงอีกหลายคนได้รับเป็นหนึ่งในกิจกรรมของมูลนิธิ 

สำหรับผู้ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างที่เคยได้รับรางวัลมาแล้วได้แก่ นางอองซาน ซูจี อดีตผู้เรียกร้องประชาธิปไตย เลขาธิการพรรค NLD และ รมว.ต่างประเทศพม่า นายสมบัด สมพอน (2015) ทนายความนักสิทธิมนุษยชน ประเทศลาวที่ถูกบังคับให้หายสาบสูญ และกลุ่มรณรงค์การเลือกตั้งที่สะอาดและยุติธรรม หรือ 'Bersih' ประเทศมาเลเซีย

สำหรับผู้ได้รับรางวัลชาวไทยคนแรกได้แก่ นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของนาย สมชาย นีละไพจิตร ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่ถูบังคับให้สาบสูญ โดยรางวัลดังกล่าวได้รับเมื่อปี 2549 (2006)  และในปัจจุบันนี้นางอังคณา ได้รับการสรรหาให้เป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)

0000


เนื้อหาในจดหมาย

 

เรียน คุณจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา

มูลนิธิ 18 พฤษภารำลึก (May 18 Memorial Foundation) มีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะแจ้งให้คุณทราบว่า คุณคือผู้ได้รับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชนประจำปี 2017 ขอแสดงความยินดีด้วย

คณะกรรมการคัดสรรรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชนประจำปี 2017 ขอชื่นชมความกล้าหาญและจิตใจรักความเป็นธรรมของคุณที่เคลื่อนไหวต่อสู้กับเผด็จการและการละเมิดสิทธิมนุษยชน เราเล็งเห็นด้วยว่าการต่อสู้ของคุณช่วยปลุกเร้าประชาชน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ให้หันมาสนใจสภาพการณ์ทางการเมืองและความสำคัญของการแก้ไขปัญหา รวมทั้งได้สร้างคุณูปการต่อการเรียกร้องระบอบประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศไทย

พิธีรับรางวัลจะจัดขึ้นในวันที่ 18 พฤษภาคม 2017 ที่เมืองกวางจูระหว่างการจัดงาน Gwangju Asia Forum ในช่วงวันที่ 16 -18 พฤษภาคม เราจะยินดีเป็นอย่างยิ่งหากคุณสามารถมาร่วมเวทีเสวนานี้ โดยเฉพาะพิธีมอบรางวัล ทางมูลนิธิยินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องกับการเดินทางมายังประเทศเกาหลี

หากคุณไม่สามารถมาร่วมงานได้ โปรดแจ้งให้เราทราบถึงบุคคลที่จะมาเป็นตัวแทนของคุณ แต่เราภาวนาขอให้คุณได้รับอิสรภาพในเร็ววันเพื่อที่เราจะได้พบคุณที่เมืองกวางจู หากมีสิ่งใดก็ตามที่เราสามารถทำได้เพื่อให้สิ่งนี้เป็นจริง โปรดบอกให้เราทราบทันที เราจะยินดีอย่างที่สุดหากได้ช่วยเหลือคุณ

ขอแสดงความยินดีอีกครั้งที่คุณได้รับรางวัลนี้ สิ่งที่แนบมาด้วยคือจดหมายเชิญและเอกสารขอข้อมูลอื่นๆ ที่จำเป็น

ด้วยความนับถือ

อินเร ยู
ผู้ประสานงานกิจการระหว่างประเทศ




Dear Mr. Jatupat Boonpattararaksa,

The May 18 Memorial Foundation is very happy and honored to inform you that you are the winner of the 2017 Gwangju Prize for Human Rights. Congratulations.

The 2017 GPHR Selection Committee thought highly of your brave and noble actions against dictatorship and violations on human rights. We also noticed that your struggles have aroused attention about political conditions and the importance of their improvement among your citizens, especially among the young and have contributed to bringing democracy to Thailand.

The Award Ceremony will be held on May 18, 2017 in Gwangju during the 2017 Gwangju Asia Forum between May 16 and 18. We would be pleased if you are present at the Forum, especially at the Award Ceremony. All the expenses related to your visit to Korea will be covered by the Foundation.

If unfortunately, though, you are not available for it, please inform us of someone who can be your surrogate for the occasion. But we do pray that you are freed soon enough so we see you in person here in Gwangju. If there is anything that we can do to make this happen, please let us know. We will be more than happy to assist with you.

Congratulations again on your award winning. Please note the attachments of the invitation letter and other papers for further information.

Sincerely,

Inrae You
International Affairs Coordinator



เกี่ยวกับ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน 

'ไผ่ ดาวดิน' หรือนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นักศึกษาและนักกิจกรรมที่เริ่มเป็นที่รู้จักจากการต่อสู้ร่วมกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการโครงการพัฒนาต่าง ๆ ในภาคอีสาน ในช่วงหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557  ไผ่และเพื่อนเคยชู 3 นิ้วพร้อมใส่เสื้อที่เรียงกันเป็นข้อความว่า "ไม่เอารัฐประหาร" ต่อหน้าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรัฐประหาร คสช.ที่สนามหน้าศาลากลาง จ.ขอนแก่น

ในปีต่อมาไผ่และกลุ่มกิจกรรมนักศึกษาดาวดินก็ได้จัดกิจกรรมรำลึก 1 ปี รัฐประหารที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จ.ขอนแก่น ก่อนที่จะลงมาร่วมกับกลุ่มนักศึกษาและนักกิจกรรมในนามขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (NDM) ชุมนุมต่อต้าน คสช. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กรุงเทพฯ จนเป็นเหตุให้ถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดีและถูกจับขังอยู่ในเรือนจำ

ต่อมาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2559 ไผ่ และกลุ่มกิจกรรมใน ม.ขอนแก่น ได้จัดกิจกรรมพูดเพื่อเสรีภาพฯ เพื่อรณรงค์เรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นประชามติ ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น จนถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง หน.คสช. หลังจากนั้นไผ่และเพื่อนอีก 1 คนยังได้ไปแจกเอกสารรณรงค์ประชามติ ที่ จ.ชัยภูมิ จนเป็นเหตุให้ถูกแจ้งข้อหากระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประชามติ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 10 ปี

เหล่านี้คือเหตุการณ์ที่ทำให้ไผ่ถูกจับกุมและดำเนินคดีช่วงหลังรัฐประหาร ซึ่งนับรวมการจับกุมและดำเนินคดีในครั้งนี้ถือได้ว่าไผ่ถูกจับกุมทั้งหมด 5 ครั้ง และถูกดำเนินคดี 5 คดี


ในส่วนคดีของนายจตุภัทร์ หรือไผ่ ดาวดิน เกิดจากการเข้าแจ้งความดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 โดย พ.ท. พิทักษ์พล ชูศรี หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษ มณฑลทหารบกที่ 23 จากการที่จตุภัทร์ ได้แชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC Thai เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2559 ซึ่งมีผู้แชร์บทความดังกล่าวประมาณ 2,800 ครั้ง แต่มีจตุภัทร์เพียงคนเดียวที่ถูกจับกุมดำเนินคดี โดยในวันที่ 3 ธ.ค. 2559 จตุภัทร์ ถูกจับกุมตัวที่จังหวัดชัยภูมิ ขณะกำลังร่วมขบวนธรรมยาตรา กับพระไพศาล วิสาโล โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงหมายจับที่ออกโดยศาลจังหวัดขอนแก่น

ต่อมาในวันที่ 4 ธ.ค. 2559 ศาลได้พิจารณาอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จตุภัทร์ โดยทนาย พร้อมนายประกันได้ยื่นหลักทรัพย์ 4 แสนบาท และให้เหตุผลไว้ในคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวว่า จตุภัทร์ เป็นผู้ต่องหาคดีการเมืองอยู่ 4 คดี แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีพฤติกรรมหลบหนี อีกทั้งในวันที่ 8 ธ.ค. ผู้ต้องหามีสอบเป็นวิชาสุดท้าย หากไม่ได้เข้าสอบวิชาดังกล่าวจะส่งผลให้เขาเรียนไม่จบตามหลักสูตร ศาลจึงพิจารณาให้ประกันตัว

ต่อมาในวันที่ 22 ธ.ค. 2559 ศาลจังหวัดขอนแก่น ได้นัดพิจารณาคำร้องของพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น ที่ขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว จตุภัทร์ โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหา ได้ทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว จึงสั่งให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราว ทั้งยังเห็นว่านายประกัน ซึ่งเป็นบิดา ไม่ได้ทำการห้ามปราบการกระทำดังกล่าวแต่อย่างใด

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลได้มีคำสั่งกำชับให้นายประกัน, ผู้ต้องหาให้มาศาลตามนัด ห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ พยานหลักฐานในคดี หรือก่อความเสียหายใดๆ หลังปล่อยตัวชั่วคราว หากผิดนัด ผิดเงื่อนไข ศาลอาจถอนประกันและอาจไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวอีก และภายหลังปล่อยตัวชั่วคราว ได้ความจากทางไต่สวนว่า ผู้ต้องหาไม่ได้ลบข้อความที่ถูกกล่าวหาเป็นคดีนี้ในสื่อสังคมออนไลน์บนเฟซบุ๊กของผู้ต้องหา กับทั้งผู้ต้องหาได้แสดงออกถึงพฤติกรรมในสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐ โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ ทั้งผู้ต้องหายังมีแนวโน้มจะกระทำการในลักษณะเช่นนี้ต่อไปอีก ผู้ต้องหาเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มีอายุ 25 ปี ย่อมรู้ดีว่า การกระทำของผู้ต้องหาดังกล่าวข้างต้นเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาล จึงฟังได้ความตามคำร้องว่า ผู้ต้องหาได้กระทำการอันก่อให้เกิดความเสียหายภายหลังการปล่อยตัวชั่วคราว ประกอบกับนายประกันผู้ต้องหาไม่ได้กำชับหรือดูแลให้ผู้ต้องหาปฏิบัติตามเงื่อนไขศาลที่มีคำสั่ง จนก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าว จึงให้เพิกถอนสัญญาประกันตัวผู้ต้องหา หมายขังผู้ต้องหา ตรวจคืนหลักประกันให้นายประกัน

ต่อมาวันที่ 10 ก.พ. 2560 ศาลได้รับฟ้องคดีดังกล่าว พร้อมไต่สวนคำให้การของจตุภัทร์ โดยเขาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และพร้อมที่จะสู้คดี โดยในวันนั้นศาลได้ใช้อำนาจสั่งขังเขาต่อไประหว่างการพิจารณาคดี และได้นัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้งในวันที่ 21 มี.ค. 2560 ทั้งนี้อัยการโจทก์ได้ระบุในคำฟ้องด้วยว่า

"อนึ่ง หากจำเลยขอปล่อยตัวชั่วคราว โจทก์ขอคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เป็นการกระทำต่อพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งและเทิดทูนของประชาชน และเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง เกรงว่าจำเลยจะหลบหนี"

ทั้งนี้จตุภัทร์ ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ทัณฑสถานบำบัด จังหวัดขอนแก่น มาตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 2559 โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2560 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราว 'ไผ่' จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา  หลังจากเมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา ทนายความเข้ายื่นอุทธรณ์ เพื่อคัดค้านคำสั่งศาลจังหวัดขอนแก่นลงวันที่ 21 มี.ค. 60 ที่ไม่อนุญาตให้ประกันตัวจตุภัทร์

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รายงานว่า ในคดีนี้ อัยการจังหวัดขอนแก่นเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจตุภัทร์ต่อศาลจังหวัดขอนแก่น เป็นคดีหมายเลขดำที่ 301/2560 ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 3 และ 14 (3) โดยจตุภัทร์ให้การปฏิเสธ และศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 3-4, 15-17 ส.ค. 60 สืบพยานจำเลยในวันที่ 30-31 ส.ค. และ 5-7 ก.ย. 60 ในชั้นสอบสวน จตุภัทร์เคยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นเวลา 18 วัน แต่ถูกถอนประกันจากการที่ยังโพสต์แสดงความเห็นในโซเชียลมีเดีย หลังถูกถอนประกัน ทนายความได้ยื่นประกันจตุภัทร์ รวม 8 ครั้ง และอุทธรณ์รวม 2 ครั้ง แต่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวอีกเลย


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คลังกู้ 3 งวด 5 พันล้าน อุ้ม 'บินไทย' ปรับโครงสร้างหนี้

Posted: 13 Apr 2017 07:55 PM PDT

ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงิน ประจําปีงบประมาณ  2560 ให้แก่บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ รวม 3 งวด เป็นเงิน 150 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 5,291,140,000 บาท 

14 เม.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงิน Euro Commercial Paper หรือ ECP Programme ของกระทรวงการคลัง ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 3 ให้แก่บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ลงนามโดย พชร อนันตศิลป์ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ระบุว่า เพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 กระทรวงการคลังขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า กระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 7 ประกอบมาตรา 20 และมาตรา 25 แห่ง พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการบริหาร หนี้สาธารณะ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ได้ดําเนินการกู้เงิน โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไข ดังต่อไปนนี้ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2560 กระทรวงการคลังได้ตกลงกู้เงินภายใต้ ECP Programme วงเงินรวม 50,000,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเทียบเท่ากับ 1,765,930,000 บาท (หนึ่งพันเจ็ดร้อย หกสิบห้าล้านเก้าแสนสามหมื่นบาทถ้วน) โดยคํานวณตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันเบิกจ่ายเงินกู้ คือ 1 เหรียญสหรัฐ เท่ากับ 35.3186 บาท กับ Nomura International plc (Dealer) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตามสัญญาให้กู้ยืมเงินต่อแก่ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งได้เบิกจ่ายเงินกู้ ภายใต้ ECP Programme เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2560 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ วงเงิน 50,000,000 เหรียญสหรัฐ กําหนดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 1.49 ต่อปี (เทียบเท่าอัตรา LIBOR ระยะ 6 เดือน บวกส่วนต่างเฉลี่ยร้อยละ 0.06733 ต่อปี) อายุ 181 วัน (ครบกําหนดไถ่ถอนในวันที่ 5 กันยายน 2560) และได้รับเงินสุทธิรวมจากการออกตราสาร ECP ครั้งนี้ วงเงิน 49,628,215.74 เหรียญสหรัฐ

3 งวด 150 ล้านเหรียญสหรัฐ  หรือ 5.29 พันบาท 

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ รายงานด้วยว่า งวดแรก ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงการคลัง เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2560 เรื่อง การกู้เงิน Euro Commercial Paper หรือECP Programme ของกระทรวงการคลัง ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 1 ให้แก่บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2560 กระทรวงการคลังได้ตกลงกู้เงินภายใต้ ECP Programme วงเงินรวม 50,000,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเทียบเท่ากับ 1,771,350,000 บาท (หนึ่งพันเจ็ดร้อย เจ็ดสิบเอ็ดล้านสามแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) โดยคํานวณตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันเบิกจ่ายเงินกู้ คือ 1 เหรียญสหรัฐ เท่ากับ 35.4270 บาท กับ Daiwa Capital Markets Singapore Limited และ Nomura International plc (Dealers) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตามสัญญาให้กู้ยืมเงินต่อแก่ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งได้เบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้ ECP Programme เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2560  โดยมีรายละเอียด

วงเงิน 50,000,000 เหรียญสหรัฐ กําหนดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 1.5252 ต่อปี (เทียบเท่าอัตรา LIBOR ระยะ 6 เดือน บวกส่วนต่างเฉลี่ยร้อยละ 0.16698 ต่อปี) อายุ 180 วัน (ครบกําหนดไถ่ถอนในวันที่ 24 กรกฎาคม 2560) และได้รับเงินสุทธิรวมจากการออกตราสาร ECP ครั้งนี้ วงเงิน 49,621,586.31 เหรียญสหรัฐ

งวดที่ 2 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงการคลัง เมื่อ 16 มีนาคม 2560 เรื่อง การกู้เงิน Euro Commercial Paper หรือ ECP Programme ของกระทรวงการคลัง ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2 ให้แก่บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน)

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 กระทรวงการคลังได้ตกลงกู้เงินภายใต้ ECP Programme วงเงินรวม 50,000,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเทียบเท่ากับ 1,759,895,000 บาท (หนึ่งพันเจ็ดร้อย ห้าสิบเก้าล้านแปดแสนเก้าหมื่นห้าพันบาทถ้วน) โดยคํานวณตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันเบิกจ่ายเงินกู้ คือ 1 เหรียญสหรัฐ เท่ากับ 35.1979 บาท กับ Nomura International plc (Dealer) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตามสัญญาให้กู้ยืมเงินต่อแก่ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งได้เบิกจ่าย เงินกู้ภายใต้ ECP Programme เมื่อวันที่  15 กุมภาพันธ์ 2560 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ วงเงิน 50,000,000 เหรียญสหรัฐ กําหนดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 1.4500 ต่อปี (เทียบเท่าอัตรา LIBOR ระยะ 6 เดือน บวกส่วนต่างเฉลี่ยร้อยละ 0.11511 ต่อปี) อายุ 181 วัน (ครบกําหนดไถ่ถอนในวันที่ 15 สิงหาคม 2560) และได้รับเงินสุทธิรวมจากการออกตราสาร ECP ครั้งนี้ วงเงิน 49,638,124.29 เหรียญสหรัฐ

รวม 3 งวด เป็นเงิน 150 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 5,291,140,000 บาท 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โปรดเกล้าฯ ให้ออกจากราชการ ถอดยศ เรียกคืนเครื่องราชฯ นายทหารถวายความปลอดภัย

Posted: 13 Apr 2017 07:19 PM PDT

มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ปลด พ.อ.ธนวัฒน์-พ.ท.ภูวดล นายทหาร หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ให้ออกจากราชการ ให้ถอดยศทหาร และเรียกคืนเครื่องราชฯ เหตุทําความผิดไม่ได้มาตรฐานหน่วยทหาร มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 

14 เม.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ปลดนายทหารสัญญาบัตรออกจากราชการ ให้ถอดยศทหาร และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระราชโองการ 

มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ปลดนายทหารสัญญาบัตร สังกัด หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ออกจากราชการ และถอดออกจากยศทหาร ตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. 2560 เนื่องจากกระทําความผิด กล่าวคือ ไม่ได้มาตรฐานหน่วยทหาร มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ไม่กํากับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาปล่อยปละละเลย ประมาท เลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ถวายงานเป็นผลทําให้เกิดความเสียหายกับทางราชการอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ตามข้อ 4 (2) ของข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการบรรจุ ปลด ย้าย เลื่อน และลดตําแหน่งข้าราชการกลาโหม พ.ศ. 2502 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2556 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติยศทหาร พุทธศักราช 2479 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2501 ประกอบระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควรจะดํารงอยู่ในยศทหาร และบรรดาศักดิ์ พ.ศ. 2507 ข้อ 2 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เรียกคืน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับพระราชทานทุกชั้นตรา ตามข้อ 6 และข้อ 7 (4) ของระเบียบ สํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548 จํานวน 2 ราย ดังนี้

1. พ.อ.ธนวัฒน์ พัฒนทอง และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นทวีติยาภรณ์ มงกุฎไทย ตริตาภรณ์ช้างเผือก ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย และเหรียญราชการชายแดน 2. พ.ท.ภูวดล ใจหวัง และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก ตริตาภรณ์มงกฎไทย ุ จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก และจัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย

นอกจากนี้วันเดียวกัน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ถอดยศทหาร ด้วย โดยระบุว่า มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ถอด พ.ท.พงษ์ศักดิ์ จิตชาญวิชัย ข้าราชการพลเรือน ในพระองค์ ออกจากยศทหาร ตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. 2560 ซึ่งเป็นวันที่มีคําสั่งปลดออกจากราชการ เนื่องจากได้กระทําผิดวินัยฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เกิดผลดีด้วยความตั้งใจ อุตสาหะ เอาใจใส่ รักษา ประโยชน์ของทางราชการและประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง กล่าวคือ มีพฤติกรรมเฉื่อยชา ย่อหย่อน บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ถวายงาน พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็น ความผิดวินัย จึงไม่สมควรดํารงอยู่ในยศทหารต่อไป ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติยศทหาร พุทธศักราช 2479 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยศทหาร (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2501 ประกอบระเบียบ กระทรวงกลาโหมว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควรจะดํารงอยู่ในยศทหารและบรรดาศักดิ์ พ.ศ. 2507 ข้อ 2

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น