ประชาไท | Prachatai3.info |
- นิธิ เอียวศรีวงศ์: อพยพในประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ
- SLAPPs การฟ้องปิดปากหลังรัฐประหาร 2557(1)
- ผู้บัญชาการทหารสูงสุด มั่นใจ ผบ.ทบ.จะนำกองทัพบกขึ้นสู่กองทัพชั้นนำของภูมิภาค
- นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดี 'อภิชาต' ชูป้ายค้านรัฐประหารหน้าหอศิลป์ฯ พรุ่งนี้
- กองทัพซิมบับเวยึดทีวี แถลงปราบอาชญากรรม ปัดยึดอำนาจประธานาธิบดี
- พยานโจทก์ไม่มา ศาลทหารเลื่อนสืบคดี ม.112 ‘รุ่งศิลา’ ทนายเผยไม่ได้ประกันมา 3 ปี 4 เดือนแล้ว
- สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศยุบงานแถลงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเวียดนาม
- เลื่อนสืบพยานปีหน้า คดีฟ้อง ทบ. เรียกค่าเสียหาย เหตุทหารมหาดเล็กเสียชีวิตในระหว่างฝึก
- 1 ทศวรรษคดี 112 ตอนที่ 2: ‘ความแปลกใหม่’ หลังรัฐประหารและรัชสมัยใหม่
- จัดงบดูแลผู้สูงอายุมีภาวะพึ่งพิงปี 61 ‘1.2 พันล้าน’ ดึงท้องถิ่นร่วมจัดแล้วกว่า 4 พันแห่ง
- สกว.เปิดเวทีสัญจรระดมสมองทำแผนยุทธศาสตร์ สานพลังวิจัย-นวัตกรรมเปลี่ยนประเทศ
- นักสตรีนิยม 'จูดิธ บัตเลอร์' ถูกขวาจัดบราซิลประท้วงขับไล่
นิธิ เอียวศรีวงศ์: อพยพในประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ Posted: 15 Nov 2017 10:13 AM PST
เรื่องอพยพโยกย้ายในความจำของชาวตะวันตก เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ มาถึงสมัยประวัติศาสตร์ จนดูเป็นปรกติธรรมดา ว่ากันว่าพวกกรีกเดิมมีภูมิลำเนาอยู่ฝั่งเอเชียไมเนอร์ ขยับย้ายไปตั้งบ้านเมืองอยู่ในแหลมบอลข่าน จากนั้นก็กระจายไปตามเกาะแก่งและชายฝั่งอีกหลายแห่งบนคาบสมุทรอิตาลี ไล่มาถึงการตั้งถิ่นฐานในไอซ์แลนด์, อเมริกาเหนือและใต้ รวมถึงแอฟริกาใต้และออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ทั้งหมดนี้ต้องรวมเอาการอพยพคืนถิ่นของพวกยิวภายใต้การนำของโมเสสด้วย แม้ไม่ใช่ชาวยุโรป แต่เรื่องดังกล่าวเป็นที่นับถือในหมู่ฝรั่งมานาน อาจเป็นเพราะการอพยพโยกย้ายฝังลึกอยู่ในจินตนาการเกี่ยวกับอดีตของคนตะวันตก บวกกับความก้าวหน้าทางวิชาการด้านภาษาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทำให้นักวิชาการของระบบอาณานิคมสามารถเห็นความเชื่อมโยงระหว่างชนชาติต่างๆ ในเอเชีย ซึ่งอาจตั้งภูมิลำเนาอยู่ห่างไกลกันสุดกู่ คำอธิบายว่าทำไมคนกลุ่มต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นญาติกันทางภาษาได้ จึงมักเป็นเรื่องการอพยพเคลื่อนย้ายอย่างใหญ่อยู่บ่อยๆ ผมไม่ได้หมายความว่าการอพยพเคลื่อนย้ายเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริงนะครับ อาจเกิดขึ้นจริงก็ได้ โดยเฉพาะในหมู่พวกอินโดยุโรปและเซมิติก เพราะอาชีพดั้งเดิมของคนเหล่านี้คือการล่าสัตว์ขนาดใหญ่ (ไม่ใช่จิ้งกุ่ง, แมงอีนูน, กะปอมและกระรอก หรือหอย กุ้ง ปลา) และการเลี้ยงสัตว์ โดยอาชีพก็ต้องอพยพเคลื่อนย้ายเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ที่น่าประหลาดก็คือ ในตำนานต้นกำเนิดของคนเอเชียโดยส่วนใหญ่มักไม่มีการอพยพโยกย้ายมากนัก ชาติพันธุ์เอเชียโดยส่วนใหญ่คิดว่าตัวก็อยู่ของตัวมาในดินแดนที่กลายเป็นประเทศชาติในปัจจุบัน ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะเราไม่มีความรู้ด้านภาษาศาสตร์, โบราณคดี และชาติพันธุ์วรรณนาเท่าฝรั่งก็ได้ แต่ผมคิดว่าเหตุผลที่สำคัญกว่าอยู่ตรงที่ว่า รัฐในเอเชียไม่ได้นิยามความเป็นพลเมืองหรือข้าราษฎรของตนจากชาติพันธุ์ ฮ่องเต้จีนนั้นรู้อยู่เต็มอกว่า ราษฎรทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีคือชาวพื้นเมืองที่ถูกกลืนเป็นจีนในภายหลัง แต่เขายอมรับอารยธรรมจีนไม่ต่างจากชาวฮั่นในลุ่มน้ำเหลือง ดังนั้น เขาก็เป็นราษฎรของฮ่องเต้เท่ากัน รัฐชาติสมัยใหม่ที่เริ่มในตะวันตกก่อนต่างหาก ที่เอาเชื้อชาติไปผูกกับความเป็นพลเมือง กลายเป็นธุระของข้าราชการอาณานิคมที่ต้องรายงานว่าใครเป็น "เชื้อชาติ" อะไร และเป็นญาติกับ "เชื้อชาติ" อะไรอีกบ้าง รวมทั้งคาดเดาว่าใครอพยพมาจากบ้านเดิมที่ไหน และด้วยเหตุดังนั้น บ้านเดิมของคนเอเชียจึงต้องอยู่ที่อื่น ไม่ใช่บ้านที่ตัวอยู่ทั้งนั้น มอญ-เขมรน่าจะมาจากอินเดีย เพราะยังมีคนที่เรียกว่ามุณฑ์ พูดภาษาที่เนื่องกับภาษามอญที่นั่น (ทำไมไม่คิดกลับกันว่าพวกมุณฑ์ต่างหาก ที่อพยพจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังอินเดีย ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน) ว่ากันว่า บ้านเดิมของมลายู-อินโดนีเซีย, พม่า และไทย ต่างมีบ้านเดิมอยู่ทางตอนเหนือ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศจีน แล้วก็อพยพเคลื่อนย้ายลงมาแย่งบ้านคนอื่นเขาอยู่ในเวลาต่อมา แต่ก็ดังที่กล่าวแล้วว่า ส่วนใหญ่ของตำนานกำเนิดคน, กำเนิดรัฐ, หรือกำเนิดสังคมของคนเอเชีย ไม่ได้กล่าวถึงการอพยพ ก็อยู่ต่อๆ กันมาในที่ซึ่งอยู่ในปัจจุบัน ผมเข้าใจว่า ทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีคนอยู่สองพวกเท่านั้นที่มีตำนานเกี่ยวกับการอพยพจากที่อื่น เข้ามาอยู่ในบ้านที่ตัวอยู่ปัจจุบัน พวกแรกที่ผมไม่แน่ใจนักว่าใช่ก็คือชาวชวา-บาหลี เล่าถึงบรรพบุรุษที่เป็นเทพจากทะเล ซึ่งแปลว่ามาจากนอกเกาะ แต่ตำนานอย่างนี้จะบอกว่าเกี่ยวกับการอพยพก็ไม่ค่อยชัดนัก เพราะในหมู่ประชาชนออสโตรนีเชียน-โพลีนีเชียน อีกฝั่งโพ้นของทะเลคือที่อยู่ของบรรพบุรุษ ตำนานอาจจะบอกเพียงว่า คนที่นำความเจริญมาให้ก็คือผีบรรพบุรุษเท่านั้นเองก็ได้ พวกที่สองซึ่งผมมั่นใจมากกว่าก็คือพวกไท-ไต-ไทย-ลาวนี่แหละ ตำนานของคนกลุ่มนี้ล้วนเป็นเรื่องของการอพยพทั้งนั้น บางกลุ่มบอกปีได้เลยว่า กษัตริย์องค์นั้นองค์นี้ยกทัพข้ามภูเขาปาดไก่ในปีอะไร ตำนานขุนบรมของล้านช้าง ก็อ้างกำเนิดที่นาน้อยอ้อยหนูในเวียดนามปัจจุบัน ซ้ำยังพูดถึงเรื่องส่งลูกส่งหลานไปเที่ยวครองเมืองโน้นเมืองนี้กว้างใหญ่ไพศาลออกไป เช่นเดียวกับตำนานเมืองของพวกไทในสิบสองจุไท ก็เต็มไปด้วยเรื่องการยกทัพไปเที่ยวชิงเมืองของคนอื่น หรือตั้งเมืองใหม่ขยายออกไป พงศาวดารเหนือหรือตำนานอีกเรื่องหนึ่ง พูดถึงการอพยพโยกย้ายของเจ้านายเมืองเชียงแสนลงมาแถบกำแพงเพชร แล้วลูกหลานก็เลยมาตั้งเมืองอยุธยา กลายเป็นคนไทยภาคกลาง คนอีสานมีตำนานท้องถิ่นเล่าถึงการอพยพโยกย้ายมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไม่นานมานี้เอง มีแต่คนภาคใต้เท่านั้นที่ไม่มีตำนานเรื่องอพยพโยกย้าย ทั้งหมดนี้ ผมอยากให้เอาไปเปรียบกับพม่าและเวียดนาม ซึ่งตำนานและสำนึกทางประวัติศาสตร์ของเขาคืออยู่ที่นั่นตลอดมา ไม่ได้อพยพมาจากไหนทั้งสิ้น ตํานานและพงศาวดารพม่าเล่าถึงประชาชนหลากหลายจำพวกที่อยู่ในลุ่มอิระวดีตอนกลางร่วมกับชาวพม่า แต่ไม่ได้บอกว่าชาวพม่ามาจากไหน มีแต่ราชวงศ์ของพม่าเท่านั้นที่ไม่ใช่คนพื้นถิ่น แต่เป็นศากยวงศ์จากอินเดีย หลบหนีความยุ่งยากทางการเมืองเข้ามาตั้งบ้านเมืองเหนือประชาชนพื้นเมืองในพม่า ไม่ใช่เฉพาะแต่ราชวงศ์แรกเท่านั้นนะครับ ทุกราชวงศ์สืบมาจนถึงราชวงศ์กอนบอง ซึ่งเขียนพระราชพงศาวดารใหม่เพื่อชี้ว่า พระเจ้าอลองพญาก็เป็นเชื้อวงศ์กษัตริย์พุกาม ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากศากยวงศ์เหมือนกัน พระเจ้าแผ่นดินพม่าจึงประกาศชัดเจนว่า ไม่ได้เป็นคนในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกับข้าราษฎรของพระองค์ และเป็นกลุ่มเดียวในสังคมพม่าที่มีตำนานการอพยพโยกย้าย ส่วนประชาชนชาวพม่าล้วนอยู่ในพื้นที่ตลอดมา แม้มีหลากหลายกลุ่มในสมัยพุกาม แต่ก็ผสมปนเปกันจนกลายเป็นพม่าไปหมดแล้ว การจัดองค์กรทางสังคมของพม่าวางอยู่บนการจัดกลุ่มคนไว้ในกลุ่มตระกูล ชีวิตจะได้ดีหรือตกยากก็ขึ้นอยู่กับชะตากรรมของสมาชิกในกลุ่มตระกูลของตัว บางกลุ่มตระกูลอาจมีสมาชิกไม่มาก เป็นหนึ่งในกลุ่มตระกูลของหมู่บ้าน บางกลุ่มตระกูลอาจใหญ่ครอบคลุมคนทั้งหมู่บ้าน หรือทั้งตำบล หรือหลายๆ ตำบลไปทั่วอาณาเขตของเมืองใหญ่ไปเลย แม้ไม่บังคับเด็ดขาด แต่ถือเป็นธรรมเนียมว่า คนควรเลือกหาคู่จากคนในกลุ่มตระกูลเดียวกัน (แน่นอนไม่ใช่พี่น้องร่วมท้องหรือร่วมพ่อเดียวกัน ยกเว้นกษัตริย์) (ดู Thant Myint U, The Making of Modern Burma) นี่เป็นเหตุผลให้คนพม่ายิ่งรู้สึกถึงความต่างระหว่างตนเองกับเจ้านายอย่างมาก เพราะนอกจากร่วมวงศ์พระพุทธเจ้าแล้ว ยังสืบสาโลหิตในกลุ่มตระกูลที่นับเป็นราชตระกูลเสียอีก (อย่างน้อยโดยทฤษฎี) เป็นทั้งคนละชนชั้น และคนละชาติพันธุ์ ตํานานของเวียดนามก็เช่นเดียวกัน จะว่าประชาชนเวียดนามคือชาวเยว่ ซึ่งเคยอยู่ใต้แม่น้ำแยงซีมาทางตะวันออกเฉียงใต้ก็ได้ แต่คำนี้ไม่มีความหมายอะไร เพราะจีนใช้เรียกคนที่ไม่ใช่ฮั่นในตอนใต้ทั่วไปหมด เยว่จึงรวมคนไม่รู้จะกี่ชาติกี่ภาษา ที่อยู่คนละกลุ่มตระกูลภาษาก็ถูกเรียกเยว่เหมือนกัน เช่น บรรพบุรุษของคนเวียดนามพูดภาษาในกลุ่มออสโตเอเชียติคเหมือนมอญ-เขมร บรรพบุรุษไทยพูดภาษาในกลุ่มตระกูลไท-กะได แต่ต่างถูกจีนเรียกรวมๆ ว่าเยว่หมด พวกเยว่ที่อยู่ในกวางสี-กวางตุ้ง-ฮกเกี้ยน เคยขับไล่อำนาจจีนออกไปแล้วสถาปนาอาณาจักรของตนเองขึ้น บางครั้งเจ้าประจำถิ่นในเวียดนามก็ยอมขึ้นต่ออาณาจักรของเยว่ในจีน บางครั้งก็ไม่ยอม สมัครใจจะสวามิภักดิ์จีนต่อไป แต่ในที่สุดแล้วจีนก็ผนวกเอาทั้งกวางสี-กวางตุ้ง-ฮกเกี้ยนและตังเกี๋ยหรือลุ่มน้ำแดง-ดำเข้าไว้ในจีนหมด ตำนานกำเนิดเวียดนามพูดถึงการร่วมวงศ์ของเทพจากภูเขาและเทพจากทะเล แต่ก็ไม่ได้ส่อเรื่องราวของการอพยพมากไปกว่าการรวมกันของพลังอำนาจในเขตภูเขาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และลุ่มแม่น้ำแดงตอนล่างซึ่งติดทะเล อันเป็นแก่นของเรื่องต้นกำเนิดประชาชาติเวียดนาม เมื่อเปรียบเทียบตำนานของพวกไทในสิบสองจุไทกับของเวียดนามแล้ว ตำนานของพวกไทเต็มไปด้วยเรื่องของการอพยพเคลื่อนย้ายของชนชั้นปกครอง ในขณะที่ตำนานของเวียดนามไม่ปรากฏ ยกเว้นการขยายตัวของจีน เข้าไปตั้งเมืองใหม่เพิ่มมากขึ้นในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง เพราะความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการเกษตรที่จีนนำเข้ามา เมื่อเวียดนามขับไล่อำนาจจีนออกไปได้ หว่างเด๊ของเวียดนามก็ย้ายเมืองหลวงมาสร้างที่ธังลงหรือฮานอยปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่าศูนย์อำนาจของเวียดนามขยับจากเขตลาดเขาลงมาอยู่บนพื้นราบใกล้ทะเล และศูนย์อำนาจของรัฐในเวียดนามก็จะตั้งอยู่ในทำเลเช่นนี้สืบมาจนปัจจุบัน เป็นเรื่องของการขยับศูนย์อำนาจมากกว่าอพยพโยกย้าย (Keith W. Taylor, The Birth of Vietnam) โดยสรุปก็คือคนไทยเป็นพวกเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป ที่มีการอพยพเคลื่อนย้ายเป็นเรื่องใหญ่ในความทรงจำ ในขณะที่คนเวียด, คนเขมร, คนพม่า, คนกะเหรี่ยง, คนมอญ (ที่ยังอยู่ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดี) ไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับการอพยพโยกย้ายมาจากที่อื่นเลย ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ทั้งนี้ว่ากันตามตำนานและความเชื่อนะครับ ไม่ใช่ความเห็นของนักวิชาการที่มองจากภาษาศาสตร์และชาติพันธุ์วรรณนา อย่างไรก็ตาม แม้แต่การอพยพโยกย้ายของพวกไท-ไต-ไทย-ลาวที่ปรากฏในตำนาน ก็ไม่ใช่การอพยพโยกย้ายประชากรจำนวนมากๆ จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง แต่เป็นการเคลื่อนย้ายของชนชั้นนำ ซึ่งมักมีอำนาจทางการเมืองที่ตั้งมั่นอยู่ในเมืองใดเมืองหนึ่งแล้วหนุนหลัง (เช่น เมืองของพระราชบิดา) ซ้ำที่ใหม่ซึ่งเคลื่อนย้ายไปก็หาได้เป็นป่าดงพงพีซึ่งไม่มีใครอยู่ไม่ แต่เป็นถิ่นที่อยู่หรือเป็นส่วนหนึ่งในระบบนิเวศน์เพื่อการดำรงชีพของคนกลุ่มอื่นอยู่แล้ว และน่าจะมีจำนวนประชากรมากกว่าพวกที่อพยพไป แต่เนื่องจากความเหนือกว่าสองด้านของพวกไทย คือเทคโนโลยีการเกษตรอย่างหนึ่ง และการจัดกำลังทัพอีกอย่างหนึ่ง ทำให้ในที่สุดคนพื้นเมืองก็เลือกจะเข้ามาอยู่ใน "ระบบ" สังคมและการเมืองของพวกไทย กลายเป็นข้าไพร่ของเจ้าไทย ยึดถืออัตลักษณ์อย่างเดียวกับพวกที่อพยพลงมา ภาพการอพยพของตำนานเหล่านี้ ตรงกับทฤษฎีเกี่ยวกับการอพยพของนักวิชาการรุ่นใหม่ มากกว่าภาพของการหลั่งไหลเป็นสายน้ำที่ต่อเนื่องกันอย่างไม่หยุดหย่อนอย่างภาพการอพยพของนักวิชาการรุ่นก่อน ถึงรัฐหรือสังคมที่ไม่ได้อพยพมาจากไหน ก็ไม่ต่างกันในแง่นี้ เพราะดินแดนที่เป็นเอเชียอาคเนย์นั้นมีคนเดินผ่านไปมา และตั้งรกรากหากินอยู่หลายพวกหลายเผ่ามาแต่ดึกดำบรรพ์ก่อนประวัติศาสตร์ แล้วแต่ใครจะมองเห็น "ช่องว่าง" (niche) ทางนิเวศที่เหมาะกับการดำรงชีวิตของตัว เมื่อชนชั้นนำกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นคนในพื้นที่หรืออพยพโยกย้ายมาจากไหน สามารถสถาปนาอำนาจทางการเมืองขึ้นได้ โดยเฉพาะรับเอาอารยธรรมจากภายนอกที่เหนือกว่าไว้ได้มาก ก็จะทำให้คนพื้นถิ่นเดิมอีกหลายเผ่าหลายพันธุ์ ค่อยๆ รับวัฒนธรรมของชนชั้นนำ จนกลายเป็นพวกเดียวกันไปในที่สุด จึงไม่เฉพาะแต่คนไทยเท่านั้นที่ถูกนักวิชาการเรียกว่า "ร้อยพ่อพันแม่" พม่าและเวียดนาม (เป็นอย่างน้อย) ก็เหมือนกัน ทั้งนี้ ยังไม่นับการอพยพเข้าของคนจากเกือบทั่วโลกในสมัยประวัติศาสตร์ ที่ยังทิ้งเชื้อสายของตนไว้ในสังคมทั้งสามของอุษาคเนย์ สำนึกหรือความทรงจำที่ต่างกันระหว่างคนไทย, คนเวียดนาม และคนพม่าในเรื่องนี้ ทำให้เกิดความต่างอะไรหรือไม่ในทัศนคติทางการเมือง (หรือเศรษฐกิจ, สังคม, วัฒนธรรม) ของคนสามพวกนี้ ผมตอบไม่ได้ แต่มีความแตกต่างระหว่างรัฐทั้งสามในเรื่องท่าทีต่อเพื่อนบ้าน ผมคิดว่ามีแต่ไทยเท่านั้นที่ระแวงเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกันอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นพม่าทางตะวันตกหรือเวียดนามทางตะวันออก ในขณะที่ทั้งพม่าและเวียดนามไม่ระแวงไทยเหมือนอย่างที่ไทยระแวงสองชาตินั้น จะว่าเพราะประวัติศาสตร์ที่เคยทำสงครามกันมา ก็ถ้าอย่างนั้นสงครามในประวัติศาสตร์ก็น่าจะสร้างความระแวงให้พม่าและเวียดนามเหมือนกัน สองชาตินั้นระแวงเพื่อนบ้านเหมือนกันคือระแวงจีน เพราะทั้งสองชาติเคยถูกรุกรานและยึดครองจากจีนมาหลายครั้งหลายหนในอดีต และถึงอย่างไรใครที่มีพรมแดนติดกับยักษ์ใหญ่อย่างจีน ก็คงไม่สบายใจนักอยู่ดี อย่างเดียวกับที่กัมพูชาและลาวย่อมระแวงทั้งไทยและเวียดนามเหมือนกัน แต่ความแตกต่างดังกล่าวนี้เป็นผลมาจากความทรงจำที่ต่างกันว่า ไทยรู้สึกเป็นคนแปลกหน้าในบ้านตนเอง ในขณะที่สองชาตินั้นรู้สึกเป็นเจ้าบ้านเต็มตัว ใช่หรือไม่ ผมไม่ทราบ
ที่มา: www.matichonweekly.com ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
SLAPPs การฟ้องปิดปากหลังรัฐประหาร 2557(1) Posted: 15 Nov 2017 09:53 AM PST
ความหมายและขอบเขตการฟ้องร้องดำเนินคดีในลักษณะ SLAPPs1. ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประเทศไทยมีอัตราการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะวิธีการดำเนินคดีโดยรัฐเพิ่มสูงขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการต่อต้านและการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของรัฐบาล คสช.ที่ยึดอำนาจการปกครองด้วยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยอ้างว่ามีความจำเป็นต้องขจัดปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และปราบปรามผู้ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ 2.ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ผู้ที่แสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกด้วยวิธีการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางการเมืองหรือไม่ก็ตาม มักจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีโดยรัฐ ทั้งอาศัยฐานความผิดที่มีโทษทางอาญาตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่แล้ว หรือโดยอาศัยคำสั่งและประกาศของที่คณะรัฐประหารออกมาเอง ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือผลการกระทำของรัฐบาล 3.มาตรการข้างต้นนอกจากรัฐบาลแล้ว ในภาคธุรกิจที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับโครงการพัฒนาต่างๆ ก็ยังใช้มาตรการเดียวกันเข้ามาจัดการยับยั้งขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเช่นกัน ซึ่งถูกนำมาใช้มากกับกลุ่มนักเคลื่อนไหวประเด็นทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสานและภาคใต้ 4.ดังนั้น การทำความเข้าใจมาตรการของรัฐในการควบคุมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือการแสดงออกของประชาชน และมาตรการของภาคธุรกิจที่ใช้ในการตอบโต้ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจควบคู่ไปกับสถานการณ์ในยุคปัจจุบันที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของคณะรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร เพื่อให้ทราบว่ากลไกอันเป็นกฎหมายใดที่รัฐใช้เพื่อควบคุมการใช้สิทธิในเสรีภาพดังกล่าวของประชาชนและการยับยั้งนั้นมีผลต่อผู้ถูกกล่าวหาตลอดทั้งครอบครัวและสังคมในประเด็นใดบ้าง 5.ผู้เขียนพบว่า ยุทธศาสตร์หนึ่งของการฟ้องร้องดำเนินคดีในรูปแบบที่เป็นการปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะหรือปิดปากไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ หรืออีกนัยหนึ่งคือการใช้กระบวนการทางกฎหมายควบคุมการใช้เสรีภาพในการแสดงความเห็นหรือแสดงออก ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Strategic Lawsuits Against Public Participation หรือ SLAPPs เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ผู้กระทำมีทั้งรัฐและภาคเอกชน วิธีการนี้มักถูกนำมาใช้กับผู้ที่เรียกร้องสิทธิ ไม่ว่าเป็นองค์กรภาคประชาสังคม (NGOs) ปัจเจกบุคคล หรือกลุ่มคนที่ต้องการสื่อสารประเด็นที่เป็นประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) เช่น การทำกิจกรรมของผู้ที่แสดงความคิดเห็นหรือการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาล การแสดงความคิดเห็นต่อโครงการพัฒนาของรัฐและการต่อต้านโครงการอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
6.ตัวอย่างการศึกษา SLAPPs ในต่างประเทศ เช่นประเทศสหรัฐอเมริกา นักวิชาการอย่าง Pring และ Canan พบว่า SLAPPs เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหลังทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา[1] โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อโจมตีการทำกิจกรรมทางการเมืองที่ก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง เช่น การเดินขบวนประท้วง (Demonstrations) การบอยคอตหรือการคว่ำบาตร (Boycotts) และการรณรงค์ประชามติเรื่องสิทธิการเลือกตั้ง (Referendum Elections)[2] เป็นต้น 7.เมื่อขอบเขตของการฟ้องร้องดำเนินคดีในลักษณะ SLAAPs มีความหลากหลายจึงทำให้การนิยามความหมายของ SLAPPs เป็นเรื่องยาก เพราะไม่มีเกณฑ์ตายตัวในการชี้วัดว่าคดีความที่เกิดขึ้นเป็น SLAPPs หรือไม่ ดังนั้นการพิจารณาอาจดูได้จากแรงจูงใจของคำฟ้อง ซึ่งบ่งบอกเป็นนัยยะว่าลักษณะของการฟ้องคดีมีเป้าหมายเกี่ยวกับการทำให้หยุดแสดงออกทางการเมืองหรือยับยั้งการต่อสู้ทางการเมืองหรือการพูดประเด็นสาธารณะ[3]ใช่หรือไม่และอย่างไร 8.สถานการณ์การฟ้องร้องดำเนินคดีในประเทศไทยที่อาจนำมาเทียบเคียงว่าอยู่ในความหมายและขอบเขตของการฟ้องร้องดำเนินคดีในลักษณะ SLAAPs ได้ มักเกิดกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ที่แม้กลุ่มดังกล่าวจะให้ความหมายของการต่อสู้เรียกร้องในกลุ่มตนที่แตกต่างกัน เช่น การต่อสู้ด้านสิทธิพลเมืองและด้านการเมือง ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านป่าไม้ที่ดิน ชุมชนดั้งเดิมและวัฒนธรรม หรือประเด็นอื่น แต่ส่วนใหญ่แล้วบุคคลหรือกลุ่มคนดังกล่าวก็มักต่อสู้ด้วยวิธีการพูดหรือการเปล่งเสียง (Speaking Out) ให้ดัง ด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้คนในสังคมทั่วไปได้รับรู้เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นและมุ่งต่อสู้ประเด็นปัญหาของตัวเองให้ได้รับการแก้ไขจากรัฐ แม้กระบวนการเหล่านั้นจะชี้ให้เห็นว่า รัฐเป็นตัวกำหนดหรือควบคุมอำนาจที่ครอบคลุมทุกปัญหาในระดับโครงสร้างทางการเมือง แต่การที่คนหรือกลุ่มคนที่ออกมาเรียกร้องถูกปิดปากโดยผู้ถูกกล่าวหาใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ แต่นอกจากรัฐที่เป็นผู้กระทำแล้วยังรวมถึงบริษัทเอกชนที่อาจสูญเสียประโยชน์และขาดความน่าเชื่อถือในทางธุรกิจจากการร้องเรียนหรือการพูดถึงข้อเท็จจริงของผู้ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการในชุมชน[4] จึงสามารถสรุปได้ว่า การฟ้องร้องดำเนินคดีในลักษณะ SLAPPs ก็เกิดขึ้นกับบุคคลหรือกลุ่มกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมประเทศไทยเช่นกัน |
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด มั่นใจ ผบ.ทบ.จะนำกองทัพบกขึ้นสู่กองทัพชั้นนำของภูมิภาค Posted: 15 Nov 2017 08:56 AM PST พล.อ.ธารไชยยันต์ มอบนโยบายให้กับกองทัพบก เน้นเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ หนุนกิจกรรมหน่วยพระราชทานและประชาชนจิตอาสา เชื่อมั่น พล.อ.เฉลิมชัย นำกองทัพบกไปสู่ความเป็นกองทัพบกชั้นนำของภูมิภาค และเป็นที่ศรัทธาของประชาชน ที่มาภาพ เพจ Army PR Center 15 พ.ย.2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (15 พ.ย.60) เมื่อเวลา 8.30 น. ที่ กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติงานให้กับกองทัพบก มี พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ กองทัพบกให้การต้อนรับ นับเป็นการตรวจเยี่ยมอย่างเป็นทางการครั้งแรก หลังเข้าดำรงตำแหน่ง ผบ.ทสส. ผบ.ทสส. มอบนโยบายให้กองทัพบก เน้นการพิทักษ์เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ สนับสนุนการจัดกิจกรรมโครงการหน่วยพระราชทานและประชาชนจิตอาสา "เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ" รวมทั้ง การปฏิบัติตามศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน อย่างเต็มขีดความสามารถ และสมพระเกียรติ นอกจากนี้ ให้ยึดถือนโยบายของรัฐบาล นโยบายของกระทรวงกลาโหม และนโยบายเร่งด่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นแนวทาง พล.อ.ธารไชยยันต์ ยังชื่นชมผลการปฏิบัติงานของกองทัพบก ทั้งด้านการป้องกันประเทศ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน การแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ และการพัฒนาขีดความสามารถของกำลังรบ การพัฒนาคุณลักษณะผู้นำของผู้บังคับหน่วยทหารในทุกระดับ และการพัฒนาระบบการฝึกต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้กองทัพไทยมีความพร้อม และสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ "เชื่อมั่นว่า กองทัพบกภายใต้การบังคับบัญชาของผู้บัญชาการทหารบก จะสามารถปฏิบัติภารกิจและแก้ไขปัญหาของชาติ ให้ลุล่วงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำกองทัพบกไปสู่ความเป็นกองทัพบกชั้นนำของภูมิภาค และเป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนตลอดไป" พล.อ.ธารไชยยันต์ กล่าว รายงานข่าวระบุด้วยว่า หลังเสร็จสิ้นการตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติงานให้กับกองทัพบก ผบ.ทสส. จะเดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติงาน ให้กับกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จากนั้น สัปดาห์หน้า จะตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติงานให้กับกองทัพอากาศและกองทัพเรือต่อไป
ที่มา : สำนักข่าวไทย และเพจ Army PR Center
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดี 'อภิชาต' ชูป้ายค้านรัฐประหารหน้าหอศิลป์ฯ พรุ่งนี้ Posted: 15 Nov 2017 05:22 AM PST ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดี 'อภิชาต' ชูป้ายคัดค้านรัฐประหารหน้าหอศิลป์กรุงเทพฯ 16 พ.ย.นี้ หลังปีที่แล้วศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาใหม่ ให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ภาพเหตุการณ์วันที่ 23 พ.ค.57 หน้าหอศิลปฯ 15 พ.ย.2560 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ( สนส. รายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดคดีนี้ว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2557 หลังการรัฐประหารของ คสช. เพียงวันเดียว มีกลุ่มประชาชนจำนวนหนึ่งได้ ต่อมา ศาลแขวงปทุมวันมีคำพิพากษาเมื่ วันที่ 17 มี.ค. 2559 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดได้อุทธรณ์ จนกระทั่ง วันที่ 19 ธ.ค. 2559 ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาใหม่ว่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กองทัพซิมบับเวยึดทีวี แถลงปราบอาชญากรรม ปัดยึดอำนาจประธานาธิบดี Posted: 15 Nov 2017 04:22 AM PST กองทัพซิมบับเวยึดสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ ปิดล้อมรัฐสภา แต่ยังปฏิเสธว่าไม่ได้ทำรัฐประหาร ทูตสหรัฐ-อังกฤษแนะพลเมืองตนเองที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้อยู่แต่ในบ้านพัก จนกว่าสถานการณ์จะมีความชัดเจน 15 พ.ย. 2560 รายงานข่าวจากสื่อต่างประเทศระบุว่า วันนี้ (15 พ.ย.60) ที่ สาธารณรัฐซิมบับเว (Republic of Zimbabwe) ประเทศทางตอนใต้ทวีปแอฟริกา เกิดเหตุกองทัพซิมบับเวเข้ายึดสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ (ZBC) พร้อม ออกแถลงการณ์ว่าเป็นการเข้าปราบปรามกลุ่มอาชญากรรม ไม่ใช่การใช้กำลังทหารยึดอำนาจมาจากรัฐบาล และประธานาธิบดี โรเบิร์ต มูกาเบ และ เกรซ มูกาเบ ผู้เป็นภรรยาปลอดภัยอยู่ภายใต้การดูแลของทหาร นอกจากนี้รายงานข่าวยังระบุว่า มีเสียงปืนดังกึกก้องในพื้นที่ทางเหนือของกรุงฮาราร์ ช่วงเช้าวันพุธ ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีเห็นทหารปิดกั้นเส้นทางโดยรอบอาคารรัฐสภา และมีรถทหารจอดหน้าสำนักงานพรรค ZANU-PF ฝ่ายรัฐบาล พร้อมเจ้าหน้าที่ตรึงกำลังอยู่ ขณะที่ ทูตซิมบับเว ประจำแอฟริกาใต้ ยืนยันว่าไม่ใช่การรัฐประหาร กองทัพยังคงทำหน้าที่และติดต่อรัฐบาล ด้านสถานทูตสหรัฐแถลงผ่านทางเว็บไซต์ว่า เอกอัครราชทูตสหรัฐสั่งให้เจ้าหน้าที่สถานทูตทุกคนอยู่แต่ในบ้านพักวันนี้ เนื่องจากสถานการณ์การเมืองยังไม่มีความมั่นคง และขอให้ชาวอเมริกันที่อยู่ในซิมบับเวอยู่แต่ในที่พักอาศัยจนกว่าจะได้รับแจ้งต่อไป และสถานทูตจะปิดให้บริการในวันนี้ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเรียกร้องให้ซิมบับเวแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี และให้ดำเนินการตามระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งให้มีความโปร่งใสและแก้ไขความแย้งตามกระบวนการทางรัฐธรรมนูญด้วย ด้านกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษแนะนำให้ชาวอังกฤษที่อยู่ในกรุงฮาราเร่อยู่ในที่พักอาศัยจนกว่าสถานการณ์จะมีความชัดเจนมากกว่านี้ สำหรับสถานการณ์ความวุ่นวายในประเทศซิมบับเวนี้ เกิดขึ้นหลังพรรคซานู-พีเอฟ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของ มูกาเบ กล่าวหา พล.อ.คอนสแตนติโน่ ชิเวงก้า ผู้บัญชาการกองทัพ ว่า "กระทำการอันเป็นกบฏ" หลังเขาเตือนถึงความเป็นไปได้ที่จะใช้กำลังทหารแซงแทรกการเมืองที่กำลังเกิดความขัดแย้งรุนแรง กรณีการแย่งชิงอำนาจว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจาก มูกาเบวัย 93 ปี ซึ่งอยู่ในอำนาจมาตั้งแต่ประเทศได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 2513 โดยพลเอกชีเวงกาท้าทายมูกาเบหลังเขาปลด เอ็มเมอร์สัน เอ็มนังกักว่าออกจากตำแหน่งรองประธานาธิบดีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งกรณีผู้สืบทอดอำนาจ ที่มา : TNN24 บีบีซีไทย และข่าวสดออนไลน์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
พยานโจทก์ไม่มา ศาลทหารเลื่อนสืบคดี ม.112 ‘รุ่งศิลา’ ทนายเผยไม่ได้ประกันมา 3 ปี 4 เดือนแล้ว Posted: 15 Nov 2017 02:53 AM PST ศาลทหารเลื่อนสืบพยาน คดี ม.112 'รุ่งศิลาหรือสิรภพ' ไป 28 พ.ย.นี้ เหตุพยานโจทก์ซึ่งเป็นประชาชนที่ไปให้ความเห็นไม่มาศาล ทนายเผยจำเลยไม่ได้รับสิทธิประกันตัว-คุมขังมา 3 ปี 4 เดือนแล้ว ชี้เมื่อบีบให้รับสารภาพ แถมหาพยานหลักฐานสู้คดีลำบาก 15 พ.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (15 พ.ย.60) ศาลทหารกรุงเทพ นัดสืบพยานโจทก์ ในคดีที่ สิรภพ (สงวนนามสกุล) หรือ รุ่ง ศิลา ตกเป็นจำเลย จากการถูกฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือหมิ่นประมาทกษัตริย์ เหตุเขียนบทกวีและเผยแพร่บทความในเว็บไซต์ ซึ่ง สิรภพ ถูกจับกุมหลังรัฐประหารไม่กี่วันและถูกคุมขังในเรือนจำมาประมาณ 3 ปี 4 เดือนจนปัจจุบัน นั้น ผู้สื่อข่าวสอบถาม อานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งรับผิดชอบในดคีนี้ เปิดเผยว่า คดีนี้สืบพยานโจทก์เสร็จไปเพียงปากเดียว คือ ตำรวจผู้กล่าวหา ส่วนปากที่ 2 ซึ่งเป็นประชาชนที่ไปให้ความเห็นนั้นยังค้างคาอยู่ และเลือนมา ซึ่งวันนี้ เขาก็ไม่มา ศาลจึงเลือนสืบพยานใหม่เป็นวันที่ 28 พ.ย.นี้ ซึ่ง สิรภพ โดนฟ้องคดี ม.112 จำนวน 3 กระทง โดยที่กระทงหนึ่งมาจากการโพสต์ถึงทายาทและรากเหง้าของกบฎบวรเดช อานนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิรภพ ไม่ได้รับสิทธิประกันตัวและอยู่ในเรือนจำกว่า 3 ปี 4 เดือนแล้ว ตั้งแต่รัฐประหารใหม่ๆ และเพิ่งสืบพยานไปได้แค่เพียงปากครึ่งเท่านั้นเอง จากพยานของโจทก์ 6, 7 ปากซึ่งอีกนานกว่าจะเสร็จ ขณะที่พยายานจำเลย คือ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ (นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์) ที่ยังไม่ได้เบิกความเลยก็เพิ่งเสียชีวิตไปแล้ว สำหรับการไม่ได้รับสิทธิประกันตัว อานนท์ ในฐานะทนายจำเลย กล่าวว่า สภาพในเรือนจำตอนนี้ก็เหมือนการบีบบังคับ เมื่อจำเลยไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวก็เหมือนบีบให้รับสารภาพ แต่สำหรับคดีนี้จำเลยใจแข็ง พยายามสู่คดีว่าไม่ได้ทำผิด นอกจากนี้ยังทำให้โอกาสที่จำเลยจะหาพยานหลักฐานในการสู้คดีก็ลำบาก เพราะบางเรื่องบอกผ่านทนาย ทนายเองก็อาจไม่ทราบเรื่อง การสอบข้อเท็จจริงของทนายกับจำเลยที่อยู่ในเรือนจำก็ลำบาก อานนท์ กล่าวด้วยว่า คดีนี้เคยยื่นประกันตัวหลายครั้งแล้ว โดยวางหลักทรัพย์ถึง 5 แสนบาท แต่ก็ไม่ได้รับสิทธิประกันตัว ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นอกจาก สิรภพ ถูกดำเนินคดีนี้แล้ว เขายังถูกดำเนินคดีฝ่าฝืนประกาศ คสช.ที่ 44/2557 ไม่ไปรายงานตัวด้วย โดยในคดีนั้น เมื่อ พ.ย. 2559 ศาลทหารพิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 18,000 บาท แต่มีเหตุให้ลดโทษเนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษให้หนึ่งในสามเหลือโทษจำคุก 8 เดือน ปรับ 12,000 บาท เนื่องจากจำเลยไม่เคยจำคุกมาก่อนจึงให้รอการลงโทษ 2 ปี
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศยุบงานแถลงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเวียดนาม Posted: 15 Nov 2017 01:36 AM PST หลังประชุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.ลุมพินีและเจ้าหน้าที่ทหาร ในงานภาคประชาชนอาเซียนปีนี้เวียดนามเสียงแตกประเด็นใส่ชื่อนักกิจกรรมเวียดนามที่ถูกจับกุมไปในแถลงการณ์ภาคประชาชน รัฐบาลเวียดนามเคยระบุกรณีการจับกุมนักกิจกรรมว่า ไม่มีนักโทษการเมืองในเวียดนาม ผู้ถูกขังคุกมีแค่คนที่ทำผิดกฎหมาย 15 พ.ย. 2560 ในเฟซบุ๊กของหทัยรัตน์ พหลทัพ ผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เผยแพร่จดหมายจากสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (Foreign Correspondents Club - FCCT) ยกเลิกงานแถลงข่าว: "เวียดนาม - นักโทษแห่งมโนธรรม 165 คน 999 ปีหลังลูกกรง" ที่จะมีขึ้นในวันนี้ (15 พ.ย. 2560) เวลา 10.30 น. โดยในการแถลงข่าวจะมีงานเสวนาที่วิทยากรอภิปรายเรื่องสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเวียดนาม ประเด็นการคุมขังนักโทษทั้ง 165 คนด้วยโทษหนัก และเหตุการณ์ล่าสุดที่มีการรณรงค์ภายใต้หัวข้อ NOW! โดยองค์กรสิทธิมนุษยชน 15 องค์กรทั่วโลกที่เดินหน้าเรียกร้องการปล่อยตัวชายและหญิงที่ถูกคุมขังตัวอยู่ ข้อความจากจดหมายของ FCCT ระบุว่าทางสโมสรฯ ตัดสินใจยกเลิกงานหลังเข้าประชุมสองครั้งกับเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจจาก สน.ลุมพินีเมื่อวานนี้ เวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการคุกคามกับนักเคลื่อนไหวทางสังคม การเมืองจากทางการเป็นระยะ เมื่อ 30 ก.ค. ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทม์ รายงานว่า รัฐบาลเวียดนามได้จับกุมเหงียนตรุงตรอง บาทหลวง นักเขียนและนักกิจกรรมร่วมกับสมาชิกกลุ่ม 4 คนด้วยข้อหาพยายามโค่นล้มรัฐบาลคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนาม เป็นหนึ่งในภาพสะท้อนท่าทีของอำนาจรัฐที่ไม่มีน้ำอดน้ำทนกับผู้แสดงความไม่พอใจในสังคม สวนทางกับการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจให้กับการลงทุนและค้าขายกับต่างชาติ นักกิจกรรมเวียดนามถูกจับข้อหาโค่นล้มรัฐบาล หันมองไทย เสรีภาพชนความมั่นคง ใครจะชนะ ผู้สื่อข่าวประชาไทรายงานว่า ในงานประชุมภาคประชาชนอาเซียนในวันที่ 9-13 พ.ย. ที่ผ่านมา มีกลุ่มนักกิจกรรมจากเวียดนาม รวมทั้งชาวเวียดนามที่ลี้ภัยออกมาจากต่างประเทศ รณรงค์เรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวนักกิจกรรมและบาทหลวงชาวเวียดนาม เหงียนบั๊กตรวน ที่ถูกทางการจับตัวไปและยังไม่มีเบาะแสว่าปัจจุบันมีชะตากรรมอย่างไร ทว่า ในเวทีการร่างแถลงการณ์ภาคประชาชนที่มีการใส่ชื่อนักกิจกรรมคนดังกล่าวไปด้วยในฐานะหนึ่งในนักกิจกรรมที่ถูกภาครัฐคุกคาม กลับมีภาคประชาสังคมเวียดนามอีกกลุ่มแสดงความไม่เห็นด้วย และแสดงความประสงค์ให้คณะกรรมการร่างแก้ไข ไม่ให้ใส่ชื่อนักกิจกรรมดังกล่าวลงไปในแถลงการณ์ กลุ่มนักกิจกรรมเวียดนามรณรงค์เรียกร้องการปล่อยตัวเหงียนบั๊กตรวน (ที่มา:แฟ้มภาพ) (ยืน)ภาพบรรยากาศของโต๊ะเวียดนามระหว่างการอภิปรายแยกประเทศ (ที่มา:แฟ้มภาพ) ในช่วงสิ้นเดือน ก.ค. ก็มีการจับกุมนักกิจกรรมชื่อทรานธิงา (Tran Thi Nga) ด้วยข้อหาเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านรัฐบาล ศาลตัดสินจำคุก 9 ปี และเมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามได้ทำการจับกุมเหงียนง็อกหงูเควน (Nguyen Ngoc Nhu Quynh) บล็อกเกอร์ชื่อดังที่รู้จักกันในนาม Mother Mushroom ถูกจับกุมในข้อหาเดียวกัน ศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 10 ปี โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติและประเทศตะวันตกบางประเทศ รวมถึงกลุ่มสิทธิมนุษยชนนานาชาติหลายกลุ่มได้วิพากษ์วิจารณ์การจับกุมและเรียกร้องให้รัฐบาลเวียดนามปล่อยตัวนักกิจกรรมและบล็อกเกอร์คนดังกล่าว ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามระบุว่า ไม่มีนักโทษการเมืองในเวียดนาม ผู้ถูกขังคุกมีแค่คนที่ทำผิดกฎหมาย หนึ่งในผู้ถูกจับกุมเป็นบาทหลวงในศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ชื่อว่า เหงียนตรุงตอน (Nguyen Trung Ton) บาทหลวงคนดังกล่าวมีลูกชายคนหนึ่งชื่อว่า เหงียนตรุงตรอมเหงีย (Nguyen Trung trom Nghia) หรือเรียกด้วยชื่อเล่นว่า เอฟฟี่ (Effy) ที่คงจะเปรียบเทียบได้ว่าเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น โดยเป็นนักกิจกรรมต้องออกมาจากประเทศฐานเป็นพวกปฏิกิริยา (Reactionary) ปัจจุบันเป็นยูทูบเบอร์และนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนที่ติดบัญชีดำของรัฐบาลเวียดนามและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ภายหลังออกมาศึกษาต่อที่ประเทศฟิลิปปินส์เป็นเวลา 5 ปี โดยเจ้าตัวอาศัยที่กรุงมะนิลามาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว เหงียนตรุงตอน กับข้อความรณรงค์ยกเลิกมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญเวียดนาม มีใจความเกี่ยวกับการให้อำนาจพรรคคอมมิวนิสต์เป็นเพียงพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว (ที่มาภาพ: baocalitoday) ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เลื่อนสืบพยานปีหน้า คดีฟ้อง ทบ. เรียกค่าเสียหาย เหตุทหารมหาดเล็กเสียชีวิตในระหว่างฝึก Posted: 15 Nov 2017 01:03 AM PST ศาลแพ่งสืบพยาน 2 นัดไปปีหน้า คดีญาติ ร.ต.สนาน ฟ้องกองทัพบกเรียกค่าเสียหาย เหตุ ร.ต.สนาน จมน้ำเสียชีวิตในระหว่างฝึกหลักสูตรทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เหตุพยานไม่มาตามนัด ร.ต.สนาน ทองดีนอก 15 พ.ย.2560 ความคืบหน้าคดี วันนี้ (15 พ.ย.60) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม รายงานว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ผู้พิพากษาศาลแพ่งออกนั่งพิ ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ผู้พิพากษาจึงได้สอบถามคู่ ผู้พิพากษาได้พิเคราะห์แล้วเห็ คดีดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อระหว่างวันที่ 13 ถึง15 มิ.ย. 2560 ผู้พิพากษาศาลแพ่งออกนั่งพิ สำหรับ ร.ต.สนาน เข้ารับการฝึกในหลักสูตรมหาดเล็กรักษาพระองค์(UKBT) รุ่นที่ 11 ในหน่วยฝึกกรมทหารราบที่ 1 กองพันทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ หลักสูตรดังกล่าวกำหนดเวลาการฝึกระหว่างวันที่ 17 พ.ค. - 27 ก.ค. 2558 และจัดให้มีช่วงที่ผู้เข้ารับการฝึกต้องผ่านการทดสอบความสามารถในการว่ายน้ำ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ในสังกัดของกองทัพบกเป็นครูฝึกและมีหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแลการฝึก โดยวันเกิดเหตุ 6 มิ.ย. 2558 ในระหว่างการฝึกว่ายน้ำตามหลักสูตร ร.ต.สนาน ได้ถูกบังคับให้ว่ายน้ำเกินกำลังความสามารถที่ร่างกายจะทนได้ โดยว่ายน้ำไป-กลับภายในสระว่ายน้ำโดยไม่มีการหยุดพักหลายสิบรอบและเป็นเวลานาน จนเป็นเหตุให้ ร.ต.สนานจมลงไปในก้นสระเป็นเวลานานจนขาดอากาศหายใจ โดยที่ครูฝึกไม่ดำเนินการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ในคำฟ้องคดีแพ่งดังกล่าวระบุว่า การเสียชีวิตของร้อยตรีสนานเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของครูฝึก ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
1 ทศวรรษคดี 112 ตอนที่ 2: ‘ความแปลกใหม่’ หลังรัฐประหารและรัชสมัยใหม่ Posted: 15 Nov 2017 12:52 AM PST
ก้าวสู่รัชสมัยของรัชกาลที่ 10 คดีมาตรา 112 ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแตกต่างไปจากเดิม ทิศทางการดำเนินคดี 112 ยังไม่เห็นสัญญาณในทางบวกหรือทางลบอย่างชัดเจนนัก ประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ยังคงเป็นไป 'ตามปกติ' เช่นเดียวกับช่วงที่ผ่านมา เช่น ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหา การดำเนินคดีที่ยาวนานในศาลทหารทำให้จำเลยยอมรับสารภาพ เป็นต้น ถึงกระนั้นก็ยังมีรายละเอียดบางอย่างที่น่าสนใจในกระบวนการยุติธรรม ดังจะนำเสนอต่อไป อาจต้องกล่าวสักเล็กน้อยก่อนว่า ช่วงก่อนที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ จะขึ้นทรงราชย์ไม่นานนักราวปลายปี 2557 ต่อต้นปี 2558 มีผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทถูกจับกุมคุมขังในความผิดตามมาตรา 112 จำนวนมาก เช่น บิดามารดาและเครือญาติของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ฯ และเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง รวมถึงมีการเสียชีวิตอย่างกะทันหัน เป็นปริศนาของ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา และนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ 'หมอหยอง' ในเรือนจำ มทบ.11 (เรือนจำชั่วคราวแขวงนครไชยศรี) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลดังกล่าว เนื่องจากไม่มีญาติผู้ตายร่วมในกระบวนการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย และไม่มีการทำพิธีศพตามปกติ แม้กระบวนการพิเศษนี้จะจำกัดอยู่เพียงผู้ใกล้ชิด แต่นั่นทำให้บรรยากาศโดยรวมในสังคมเต็มไปด้วยความหวาดกลัวมากกว่าเดิม ในส่วนของภาพรวมคดี 112 ที่เกี่ยวพันกับการแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อเรียกรับผลประโยชน์ ไอลอว์รวบรวมตัวเลขในช่วงเวลาหลังรัฐประหารพบว่า มีอยู่ 37 ราย การกวาดล้างครั้งใหญ่ หลังรัฐประหาร 2557สภาพการณ์ของคดี 112 นั้นมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากและเกิดรูปแบบใหม่ๆ ในช่วงหลังการรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา อีกทั้งตัวเลขการดำเนินคดีในช่วงนี้ยังสูงที่สุดในรอบ 10 ปีด้วย หลังการยึดอำนาจของ คสช. ผู้คนจำนวนมากถูกเรียกให้ไปรายงานตัวในค่ายทหาร นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรมทางสังคม นักวิชาการ นักการเมือง ตลอดจนประชาชนที่ไม่มีชื่อเสียงจำนวนไม่น้อยต้องลี้ภัยไปยังต่างประเทศ ด้วยความหวาดกลัวต่อการดำเนินคดี 112 เนื่องจากที่ผ่านมาเคยมีบทบาทในการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คนจำนวนหนึ่งที่ไม่รายงานตัวและไม่ได้ลี้ภัยก็ถูกจับกุมและถูกดำเนินคดีนี้ใน 'ศาลทหาร' ผู้ต้องหาบางคนให้ข้อมูลว่า ในการสอบสวนของทหาร 'แฟ้มประวัติ' ของพวกเขานั้นหนามากและบรรจุความเคลื่อนไหวย้อนหลังไปหลายปีก่อนการรัฐประหาร ตัวอย่างผู้ถูกจับและดำเนินคดีหลังรัฐประหารไม่กี่วัน เช่น เจ้าของเว็บไซต์ไทยอีนิวส์ ถูกดำเนินคดี 112 และพิพากษาให้จำคุก 9 ปี, คฑาวุธ นักจัดรายการทางยูทูปชื่อดังถูกพิพากษาจำคุก 10 ปี, ทอม ดันดี นักร้องชื่อดังที่เข้ามาเคลื่อนไหวทางการเมืองถูกพิพากษาจำคุก 10 ปี 10 เดือน เป็นต้น ทั้งหมดรับสารภาพจึงได้รับการลดโทษลงกึ่งหนึ่ง มีเพียงสิรภพ หรือ รุ่งศิลา กวีและบล็อกเกอร์ที่ตัดสินใจสู้คดี ซึ่งปัจจุบันนี้ยังสืบพยานได้เพียง 2 ปากหลังติดคุกมากกว่า 3 ปีแล้ว แม้มีนักเคลื่อนไหว สื่อ ปัญญาชน นักการเมือง แกนนำระดับพื้นที่จำนวนมากถูกเรียกเข้าค่ายทหารหายไป 7 วันแล้วถูกปล่อยตัวโดยไม่ได้ถูกดำเนินคดี แต่สภาพความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นในสังคมอย่างเห็นได้ชัด บรรณาธิการวารสารวิชาการแห่งหนึ่งที่มักเผยแพร่งานวิชาการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองและสถาบันอย่างตรงไปตรงมาที่สุดฉบับหนึ่งในประเทศไทยตัดสินใจไม่วางจำหน่ายวารสารเล่มที่กำลังจะออก เนื่องจากมีเอกสารบางอย่างที่อาจเป็นเหตุให้โดนดำเนินคดี เว็บไซต์ข่าวแห่งหนึ่งที่มุ่งเน้นประเด็นสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ตัดสินใจยังไม่ลงรายงานเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของวิทยุใต้ดิน เพราะแม้เขียนโดยระมัดระวังที่สุดก็มีข้อเท็จจริงของผู้ให้สัมภาษณ์ที่ปรากฏแนวคิดสาธารณรัฐอย่างชัดเจน และอาจเป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดีในยุครัฐบาลทหาร ความไม่แน่ใจเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ที่สะท้อน 'การเซ็นเซอร์ตัวเอง' ที่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเกิดขึ้นมากเพียงไหนในสังคมไทย นอกจากนี้ยังพบว่า คดี 112 เก่าๆ ที่อยู่ในชั้นตำรวจและไม่มีความเคลื่อนไหวมานาน หรือตำรวจสั่งไม่ฟ้องไปแล้วถูกนำมาพิจารณาใหม่ ผู้ต้องหาหลายคนที่ถูกสอบสวนในค่ายทหารระบุว่า เจ้าหน้าที่แจ้งว่าคดีพวกเขาถูกรื้อขึ้นมาในช่วงนี้โดยเฉพาะ โดยเฉพาะคดีของผู้มีประวัติป่วยเป็นจิตเภท ไอลอว์ระบุว่า หลังรัฐประหารมีผู้ต้องหาที่ป่วยเป็นจิตเภทถูกดำเนินคดี 112 อย่างน้อย 6 คน เช่น ธเนศ-เสียงแว่วให้ส่งอีเมล, ประจักษ์ชัย-เขียนหนังสือร้องทุกข์ถึงนายกฯ, เสาร์-ร้องศาลคดีนักการเมืองให้ทวงเงินคืนจากอดีตนายกฯ, ฤาชา-ร่างทรงพระแม่ธรณีสั่งให้โพสต์เฟสบุ๊ค ฯลฯ (อ่านที่นี่) เป็นต้น เจ้าหน้าที่ของกองบังคับการกองปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ยืนยันว่า หลังทหารเข้ามามีอำนาจและประกาศกฎอัยการศึก ปอท.ได้รับความร่วมมือจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ในการเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็วกว่าเดิม เพราะไม่ต้องขออนุมัติจากศาลเหมือนยามปกติ ประชาชนกับประชาชน ความรุนแรงแบบใหม่ช่วงสิ้นรัชกาลที่ 9ปรากฏการณ์ 'พิเศษ' ที่ไม่เคยเกิดขึ้นและควรบันทึกไว้คือ วันที่ 13 ตุลาคม 2559 ข่าวการเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 9 ถูกเผยแพร่ ประชาชนอยู่ในอารมณ์เศร้าโศก เมืองทั้งเมืองเต็มไปด้วยสีดำเพื่อไว้อาลัยต่อการสูญเสียพระองค์ และเมื่อมีใครทำบางอย่างแตกต่างออกไป เช่น ใส่เสื้อสีสดใสหรือโพสต์ข้อความที่ไม่แสดงความเคารพ ฯลฯ ก็เกิดเป็นความรุนแรงทางกายภาพในระดับปัจเจกชนต่อปัจเจกชน เช่น การตบปากหญิงสูงวัยคนหนึ่งที่น่าจะมีอาการทางจิต มีคนบอกว่า เธอ "ด่าพ่อหลวงมาตลอดทาง" ระหว่างนั่งบนรถเมล์ และท้ายที่สุดจึงถูกหญิงที่โดยสารรถเมล์มาด้วยกันเข้ามาตบปากอย่างแรงหลายครั้ง คลิปต้นฉบับถูกอัพขึ้นเฟสบุ๊ค ในเวลา 7 ชั่วโมงมียอดผู้ชม 2.3 ล้านวิว มีคนไลก์ 55,000 ครั้ง แชร์ 82,000 ครั้ง คอมเมนต์ส่วนใหญ่รู้สึกเห็นด้วย สะใจ และจำนวนไม่น้อยเห็นว่าการตบปากนั้นเป็นโทษที่น้อยเกินไป นอกจากนี้ยังมีการ 'ล้อมบ้าน' โดยประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เมื่อผู้คนพบเจอข้อความในเฟสบุ๊คที่สร้างความไม่สบายใจให้พวกเขา ไม่ว่าจะเป็นกรณีภูเก็ต กรณีพังงา กรณีเกาะสมุย กรณีชลบุรี กรณีจันทบุรี ปัจจุบันเป็นที่แน่ชัดว่ากรณีภูเก็ตนั้นถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 หลังการแจ้งข้อหาผู้ต้องหาสามารถประกันตัวได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบพยาน ส่วนกรณีชลบุรี ปรากฏการทำร้ายร่างกายหนุ่มโรงงานที่โพสต์เฟสบุ๊คในระหว่างที่ 'ผู้หวังดี' ตามจับตัวเขาส่งตำรวจ เขาถูกคุมขังนานกว่า 1 เดือนกว่าครอบครัวจะหาเงินมายื่นประกันตัวได้ มีรายงานยืนยันด้วยว่าในช่วงแรกที่เข้าไปในเรือนจำ เขาถูกทำร้ายร่างกายโดยนักโทษที่มีทัศนคติไม่ตรงกับเขา ไม่มีข้อมูลว่าเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นทั้งหมดกี่ครั้ง ในพื้นที่ใดอีกบ้าง และมีกี่คนที่ต้องถูกดำเนินคดีจากสถานการณ์ดังกล่าว แต่เบื้องต้นตำรวจแถลงข่าวในเดือนพฤศจิกายน 2559 ว่า ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม เป็นต้นมา พบว่ามีการกระทำผิดตามมาตรา 112 ทั้งสิ้น 27 คดี จับกุมได้แล้ว 10 คดี และอยู่ระหว่างติดตามตัวอีก 17 คดี
|
จัดงบดูแลผู้สูงอายุมีภาวะพึ่งพิงปี 61 ‘1.2 พันล้าน’ ดึงท้องถิ่นร่วมจัดแล้วกว่า 4 พันแห่ง Posted: 15 Nov 2017 12:31 AM PST สปสช.ชู 'กองทุน LTC เทศบาลอุโมงค์' บูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่ ร่วมดูแล "ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง" อย่างเป็นระบบ ยกระดับคุณภาพชีวิต พร้อมเผย ปี 61 รัฐบาลจัดสรรงบส่วนนี้ 1.2 พันล้าน ดึงท้องถิ่นร่วมจัดแล้วกว่า 4 พันแห่ง คาด 5 ปี ครอบคลุมทั้งประเทศ
14 พ.ย.2560 รายงานข่างแจ้งว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุ ขยัน กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุ นายกเทศบาลตำบลอุ นอกจากนี้เพื่อให้การดูแลผู้สู "การจัดตั้งกองทุน LTC เป็นงานใหม่ของ อปท.ระยะแรกการทำงานจึงค่อนข้ นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า การดำเนินงานกองทุน LTC เทศบาลตำบลอุโมงค์นับเป็นแบบอย่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สกว.เปิดเวทีสัญจรระดมสมองทำแผนยุทธศาสตร์ สานพลังวิจัย-นวัตกรรมเปลี่ยนประเทศ Posted: 14 Nov 2017 11:16 PM PST สกว.เปิดเวทีสัญจรพบประชาคมวิจัย ประเดิมภาคกลางที่กรุงเทพฯ ก่อนเดินสายภูมิภาคต่าง ๆ หวังระดมสมองประชาคมวิจัยสานพลังการวิจัยและนวัตกรรมสู่ประเทศพัฒนาแล้วอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงภายใน 20 ปี 15 พ.ย. 2560 รายงานข่าวจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) แจ้งว่า สกว. จัดการประชุม สัญจรพบประชาคมวิจัย: ภาคกลาง โดยมี ศ. นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการ สกว. เป็นประธานเปิด ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อนำเสนอแผนยุทธศาสตร์ สกว. ประจำปี 2560-2564 ให้ประชาคมเครือข่ายวิจัยของ สกว. รับทราบ รวมถึงเป็นเวทีรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านก่อนนำไปปรับปรุงแผนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับความต้องการในภาพรวมของประชาคมวิจัยและของประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์สานพลังการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเปลี่ยนประเทศไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้วอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงภายใน 20 ปี รายงานข่าวจาก สกว. ระบุด้วยว่า สกว.ได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ขึ้นเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการบริหารจัดการทุนวิจัย และการบริหารองค์กรเพื่อตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาประเทศ โดยมีเป้าหมายที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ยุทธศาสตร์การิวจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ 20 ปี และนโยบายประเทศไทย 4.0 เพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนให้เกิดขึ้นภายใต้กรอบแนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยขับเคลื่อนผ่าน 5 ยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ (1) สนับสนุนและบริหารจัดการงานวิจัยและพัฒนาในประเทศสำคัญ มุ่งสร้างองค์ความรู้ใหม่และนวัตกรรมที่ก้าวนำการเปลี่ยนแปลงของโลก สร้างนโยบายและต้นแบบการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นและประเทศเพื่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (2) สร้างนักวิจัยใหม่และพัฒนาศักยภาพนักวิจัย บุคลากร เครือข่ายและองค์กรวิจัยในทุกระดับให้เข้มแข็ง เพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศ (3) สนับสนุนการพัฒนาระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ร่วมในการปฏิรูประบบวิจัย บูรณาการกับหน่วยงานบริหารงานวิจัยและหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัยในทุกภาคส่วน ตลอดจนพัฒนาความร่วมมือกับหน่วยบริหารงานวิจัยนานาชาติ (4) บริหารจัดการผลงานวิจัยให้นำไปใช้ประโยชน์และสื่อสารสังคมจนเกิดผลกระทบในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมถึงพัฒนาระบบการติดตามและประเมินผลลัพธ์ ผลกระทบของงานวิจัย (5) พัฒนาและออกแบบสถาปัตยกรรมองค์กรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ผู้อำนวยการ สกว. ระบุว่าการดำเนินงานเพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์ในครั้งนี้ได้เปิดให้ผู้ส่วนได้ส่วนเสียจากหลายภาคส่วนได้มีส่วนร่วม และผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายฯ และคณะกรรมการประเมินผลฯ ผู้บริหาร และพนักงาน สกว. เพื่อให้แผนมีความสมบูรณ์และตอบสนองต่อการทำงานร่วมกันของภาคีเครือข่ายอย่างกว้างขวาง ซึ่ง สกว.จะจัดเวทีในทั้ง 4 ภูมิภาค คือ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ซึ่งจะทำให้แผนยุทธศาสตร์ฉบับนี้บรรลุวัตถุประสงค์และได้รับความร่วมมือจากประชาคมวิจัยทุกภาคส่วน พร้อมกันนี้จะถือเป็นโอกาสดีในการแนะนำโครงการใหม่ ๆ ของ สกว. ในการแนะนำโครงการใหม่ ๆ โครงการสำคัญ และภาพรวมของนโยบายการดำเนินงานในระยะ 5 ปีของ สกว. ตลอดจนช่องทางการดำเนินงาน รวมถึงพบปะพูดคุยรับกับประชาคมวิจัยเพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร เพื่อประโยชน์ในการสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยและนักวิจัย อันจะนำไปสู่ประโยชน์ในการพัฒนาระบบวิจัยของประเทศต่อไป ทั้งนี้นวัตกรรมการบริหารจัดการทุนวิจัยใหม่ของ สกว. คือ แผนงานวิจัยสำคัญ (TRF Flagship Research Program: TRP) ที่มุ่งหวังผลกระทบระดับชาติ อาทิ การสร้างขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน, จังหวัด 4.0 ออกแบบและพัฒนาเมืองเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัด, ท่องเที่ยว 4.0 พัฒนาการท่องเที่ยวของไทยสู่ความยั่งยืน โดยมีผู้ใช้ประโยชน์ที่เป็นผู้ประกอบการและผู้มีอำนาจในการตัดสินใจทั้งภาครัฐ สังคม เอกชน อุตสาหกรรม เป็นต้น ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
นักสตรีนิยม 'จูดิธ บัตเลอร์' ถูกขวาจัดบราซิลประท้วงขับไล่ Posted: 14 Nov 2017 08:57 PM PST จูดิธ บัตเลอร์ เป็นนักสตรีนิยม ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีเพศสภาพ ถูกกลุ่มขวาจัดจำนวนหนึ่งออกมาขับไล่ระหว่างร่วมจัดเสวนาในบราซิล พวกเขาทำภาพสาปแช่ง-เผาราวกับ 'ล่าแม่มด' เพราะไม่พอใจแนวคิดสนับสนุนความหลากหลายทางเพศของเธอ 14 พ.ย. 2560 เมื่อราวสัปดาห์ที่แล้วมีการจัดประชุมวิชาการในบราซิลซึ่ง จูดิธ บัตเลอร์ นักสตรีนิยมชาวอเมริกันผู้เคยเสนอแนวคิดด้านเพศสภาพ เป็นผู้ร่วมจัดงาน งานประชุมวิชาการดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องเพศสภาพโดยตรงแต่เป็นงานที่พูดเกี่ยวกับเรื่องประชาธิปไตยและบัตเลอร์ก็ไม่ได้ขึ้นเวทีร่วมพูดด้วย แต่ก็มีกลุ่มคนในบราซิลที่ไม่พอใจด่าว่าเธอเป็น "แม่มด" กล่าวหาว่าเธอเป็นผู้ที่จะ "ทำลายอัตลักษณ์ทางเพศ" และอ้างว่าการทำเช่นนี้จะ "ลดทอนคุณค่าของประเทศ" คนเหล่านี้คิดว่าบัตเลอร์จะมาพูดในประเทศบราซิลด้วยประเด็นจากหนังสือชื่อ Gender Trouble ซึ่งพูดถึงเพศสภาพของคนเราว่าเป็นสิ่งที่ถูกทำให้ยอมรับกันไปเองจากบรรทัดฐานสังคม และข้อจำกัดทางสังคมเหล่านี้ก็เป็นสิ่งกำหนดแปะป้ายให้คนเป็นเพศอะไร อีกทั้งบัตเลอร์ยังสนับสนุนให้มีการยอมรับและสร้างภาษาสำหรับคนที่มีนิยามเพศสภาพตนเองแบบไม่สามารถกำหนดเป็นชายหรือเป็นหญิงได้ตายตัว แต่กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ต่อต้านก็ไม่พอใจกล่าวหาว่าแนวคิดของบัตเลอร์ "เลวทรามดั่งปีศาจร้าย" กลุ่มคนที่ไม่พอใจบัตเลอร์พากันสร้างรูปจำลองของเธอสวมบราสีชมพูและเผาทิ้งในที่ชุมนุม มีการเขียนข้อความใต้ภาพของเธอว่า "ลงนรกไปซะ" รวมถึงถ้อยคำที่เลวร้ายกว่านั้น บางคนชูไม้กางเขนและธงบราซิล สื่อท้องถิ่นของบราซิลรายงานว่ากลุ่มชาวคริสต์ขวาจัดออกมาชุมนุมและล่ารายชื่อขับไล่ให้เธอออกห่างจากบราซิลซึ่งแน่นอนว่าบัตเลอร์ไม่ยอม เมื่อข่าวเรื่องการประท้วงแพร่ออกไปก็มีกลุ่มคนในวงการวิชาการด้านมนุษยศาสตร์พากันส่งเสียงสนับสนุนเธอ ฟรองชัวส์ ซอยเยอร์ นักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับยุคกลางจากมหาวิทยาลัยเซาแทมป์ตันในอังกฤษระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า "คุณจะรู้ได้อย่างไรว่างานวิจัยของคุณส่งผลสะเทือน นั่นก็คือเมื่อมีกลุ่มม็อบถือไบเบิลและกางเขนเผารูปจำลองของคุณอยู่นอกงานสัมมนาของคุณน่ะสิ" ทั้งนี้ ก็มีกลุ่มคนอีกส่วนหนึ่งที่ออกมาชุมนุมแสดงการสนับสนุนบัตเลอร์และต่อต้านแนวคิดของพวกขวาจัด ภาพการชุมนุมจากทวิตเตอร์ของผู้ใช้งานที่ชื่อ @AngelaMilanese ระบุว่า คนกลุ่มที่สนับสนุนบัตเลอร์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความยอมรับความต่าง ขณะที่ @BrasilWire ระบุว่าฝ่ายต่อต้านฟาสซิสต์ที่สนับสนุนบัตเลอร์พากันบอกกับผู้ชุมนุมฝ่ายเดียวกันว่าอย่าให้พวกฟาสซิสต์ยุยงให้เกิดการปะทะกันได้ไม่ว่าอย่างไรกลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์ก็มีจำนวนมากกว่า บัตเลอร์กล่าวว่า กรณีที่มีการล่ารายชื่อเรียกร้องให้ปลดเธอออกจากการเป็นวิทยากรนั้น เป็นการทึกทักไปเองว่าเธอจะมาพูดเรื่องเกี่ยวกับประเด็นเพศสภาพจากหนังสือ Gender Trouble ที่พวกเขาอ้างว่าเป็นประเด็นที่ "ทำลายครอบครัว" นอกจากนี้กลุ่มต่อต้านเธอยังดูเหมือนว่าจะไม่ได้อ่านหนังสือของเธอ หรือไม่เช่นนั้นก็เข้าใจแนวคิดของเธอผิดๆ หาว่าแนวคิดเธอพยายามทำลายรากฐานความแตกต่างทางเพศที่กำหนดโดยวิทยาศาสตร์หรือศาสนา บัตเลอร์กล่าวว่าเรื่องการศึกษาทางเพศสภาพและทฤษฎีเพศสภาพมีความสลับซับซ้อนและทฤษฎีของเธอเองก็ไม่ได้ว่าต้องมีความถูกต้องหนึ่งเดียว เป้าหมายของทฤษฎีเธอคือการเพิ่มเติมภาษาและการยอมรับในตัวคนที่รู้สึกถูกโดดเดี่ยวเพราะพวกเขาไม่ยอมรับแนวคิดที่จำกัดผู้คนว่าหญิงควรเป็นอย่างไร ชายควรเป็นอย่างไร แต่ในตัวทฤษฎีของเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าข้อจำกัดมีอยู่จริง "ในช่วงปีหลังๆ ที่ฉันพัฒนาทฤษฎีนี้มากขึ้น ฉันก็พบว่าทำไมการทำให้คนจากทุกสเปกตรัมของเพศสภาพสามารถมีชีวิตที่ดีได้ถึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำในเชิงศีลธรรม" ขณะที่บัตเลอร์พอใจกับการเสวนาซึ่งมีการหารือและมีส่วนร่วมจากกลุ่มผู้ชมนานาชาติ แต่การประท้วงที่เกิดขึ้นก็ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิด เธอมองว่ามันมีแรงจูงใจมาจากความเขลาและแสดงออกด้วยพิธีกรรมแย่ๆ อย่างการแสดงออกคล้าย "เผาแม่มด" บราสีชมพูเจิดจ้าที่พวกเขาใช้ก็น่าจะเป็นการพยายามสื่อถึงความเป็นคนรักเพศเดียวกันหรือความเป็นคนข้ามเพศ บัตเลอร์มองว่าผู้ประท้วงเหล่านี้พยายามแสดงออกกีดกันไม่ให้ LGBTQ เข้าไปในบราซิลด้วยวิธีการแบบแสดงความคลั่ง คอยสะกดรอยตาม และคุกคาม เพื่อทำให้บราซิลยังคงลักษณะความรักที่มีการแต่งงานคนละเพศแบบเดิมและประชาชนไม่มีเสรีภาพในการเจริญพันธุ์และวางแผนครอบครัวเพราะการทำแท้งยังคงผิดกฎหมาย บัตเลอร์กล่าวอีกว่า ฝ่ายขวาเหล่านี้ต้องการให้เด็กผู้ชายก็ยังคงอยู่ในกรอบที่สร้างไว้ครอบเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงยังคงอยู่ในกรอบที่สร้างไว้ครอบเด็กผู้หญิง และไม่ยอมให้มีการตั้งคำถามซับซ้อนใดๆ ต่อสิ่งเหล่านี้ "ความพยายามของพวกเขาเป็นสิ่งที่ต่อต้านเฟมินิสต์ ต่อต้านคนข้ามเพศ เกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน และชาตินิยม" บัตเลอร์กล่าว "สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาดูเหมือนกับพวกลัทธินีโอฟาสซิสต์ที่ผุดขึ้นในส่วนอื่นๆ ของโลก พวกเขาย้ำเตือนพวกเราเกี่ยวกับการประชุมนี้ว่าพวกเราคิดถูกแล้วที่เป็นห่วงเกี่ยวกับสภาพการณ์ของประชาธิปไตย" บัตเลอร์กล่าว ผู้ประท้วงยังตามบัตเลอร์ไปถึงสนามบินก่อนที่เธอจะกลับประเทศหลังเสร็จสิ้นงานเสวนา มีผู้ต่อต้านเธอราว 20 รายถือป้ายรูปภาพบัตเลอร์ที่ถูกตัดต่อและป้ายผ้าไล่ให้เธอ "กลับบ้านหรือลงนรกไปเสีย" ผู้ประท้วงเหล่านี้ยังกรีดร้องตะโกนไล่เธอ พูดถึงเรื่องคนที่รักเด็กในเชิงชู้สาว (pedophilia) (ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอและนักคิด-นักกิจกรรมสตรีนิยมต่อต้านเช่นกัน) มีผู้เห็นเหตุการณ์บางคนพยายามเข้าไปหยุดไม่ให้ผู้ประท้วงคุกคามเธอ หลังจากที่เธอผ่านพื้นที่รักษาความปลอดภัยไปก็มีคนตะโกนตามหลังเธอว่า "ทรัมป์ (โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ) จะจัดการคุณเอง!"
เรียบเรียงจาก Judith Butler on Being Attacked in Brazil, Insde Higher Ed, 13-11-2017 Hashtag #JudithButlerbrasil จากเว็บ Twitter ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น