โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ครม.ไฟเขียวโครงการสละสิทธิ์เบี้ยผู้สูงอายุ ตั้งงบฯ 11 ล้านทำเหรียญเชิดชูเกียรติมอบผู้เข้าร่วม

Posted: 07 Nov 2017 10:09 AM PST

ครม.เห็นชอบโครงการสละสิทธิ์รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ  พร้อมของบฯ 11 ล้านจัดทำเหรียญเชิดชูเกียรติมอบผู้เข้าร่วมโครงการ

7 พ.ย. 2560 รายงานระบุว่า วันนี้ (7พ.ย. 60 ) เมื่อเวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1  ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยที่ประชุมฯ ได้มีการพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ 

สำหรับรายละเอียดนั้น กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบโครงการสละสิทธิ์รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดยสมัครใจในโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้ดำรงชีพอย่างเพียงพอและได้ใช้สิทธิ์ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในปัจจุบันบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติ ซึ่งเป็นเหรียญพระคลัง

ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างประสานสำนักงบประมาณ เพื่อขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 11.2 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายจัดทำเหรียญงวดแรกวงเงิน 10 ล้านบาท ประมาณ 50,000 เหรียญ ๆ ละ 200 บาท เพื่อให้กรมธนารักษ์จัดทำเหรียญและค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง

กระทรวงการคลังรายงานด้วยว่าว่า การรับแจ้งบริจาคเบี้ยยังชีพ และการส่งเงินบริจาคเข้ากองทุนผู้สูงอายุ มีดังนี้ 1. ผู้สูงอายุที่ต้องการบริจาคเบี้ยยังชีพสามารถแสดงความจำนงได้ที่หน่วยรับแจ้งการบริจาค ได้แก่ สำนักงานเขต กทม. อบต. เทศบาล และพัทยาที่ตนได้ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุไว้ โดยนำบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมกรอกแบบฟอร์มที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด ทั้งนี้ ผู้บริจาคสามารถยกเลิกการบริจาคได้

2. หน่วยรับแจ้งการบริจาคจัดส่งเงินบริจาคและข้อมูลของผู้บริจาคให้แก่กองทุนผู้สูงอายุตามขั้นตอนที่กำหนด โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งกองทุนผู้สูงอายุและพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด จะจัดส่งใบเสร็จให้แก่ผู้บริจาคต่อไป ทั้งนี้ เหรียญเชิดชูเกียรติเป็นเหรียญพระคลัง ชนิดทองแดงชุบทอง ความสูงประมาณ 3.5 เซนติเมตร สลักข้อความ "ร่ำรวย สุขภาพดี อายุยืน" และข้อความ "เหรียญเชิดชูเกียรติ สำหรับผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ"

 

ที่มา : สำนักข่าวไทยและเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครม.ไฟเขียวช้อปช่วยชาติ 11 พ.ย.-3 ธ.ค. - หยุดปีใหม่เพิ่มเป็น 4 วัน

Posted: 07 Nov 2017 09:50 AM PST

ครม.เห็นชอบมาตรการช้อปช่วยชาติ 11 พ.ย.-3 ธ.ค. ไม่เกิน 15,000 บาท ยกเว้นสุรา ยาสูบ โฆษกประจำสำนักนายกฯ เผย ปีใหม่หยุดยาว 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค. 2560 – วันที่ 2 ม.ค. 2561

แฟ้มภาพ ประชาไท

7 พ.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (7พ.ย.60 ) เมื่อเวลา 14.50 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ ณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี 2560 โดยจะมีการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2560 ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งประเมินว่าจะรัฐสูญเสียรายได้ภาษี 2,000 ล้านบาท

สำหรับเงื่อนไขการซื้อสินค้าและรับบริการต้องเป็นการซื้อสินค้าหรือบริการ เพื่อใช้ในประเทศเท่านั้น และต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 แต่สินค้านั้นไม่รวมการซื้อสุรา เบียร์ ยาสูบ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ น้ำมัน ก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ และการบริการไม่รวมการจ่ายค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ การจ่ายค่าที่พักในโรงแรมให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม

"มาตรการดังกล่าวมีผลระยะเวลาจำกัดและสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว เพราะเห็นว่ามาตรการลักษณะนี้ควรเป็นมาตรการระยะสั้น โดยมีผลบังคับใช้และสิ้นสุดลงโดยเร็ว เพื่อให้คนรีบตัดสินใจจับจ่ายใช้สอย และส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย" ณัฐพร กล่าว

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นความต้องการซื้อสินค้าและบริการปลายปี 2560 ช่วยบรรเทาภาระภาษีของประชาชน ช่วยให้การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีอยู่แล้วมีการขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของรายได้ครัวเรือน ทำให้เงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม ทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ช่วยขยายฐานภาษีและเป็นผลดีต่อการจัดเก็บรายได้ภาษีของรัฐระยะยาว ซึ่งเป็นมาตรการทำนองเดียวกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี 2559

ปีใหม่หยุดยาว 4 วัน 30 ธ.ค.60 – 2 ม.ค.61

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยเกี่ยวกับวันหยุดราชการในช่วงปีใหม่ที่จะถึงนี้ว่า วันเสาร์ที่ 30 และวันอาทิตย์ที่ 31 ธ.ค. 2560 เป็นวันหยุดประจำเดือนตามปกติอยู่แล้ว โดยวันอาทิตย์ที่ 31 ธ.ค. 2560 เป็นวันหยุดประจำเดือนซึ่งตรงกับเป็นวันหยุดประจำทุกปี และวันที่ 1 ม.ค. 2561 เป็นวันขึ้นปีใหม่และตรงกับวันจันทร์ก็ถือเป็นวันหยุดประจำปีด้วย ทั้งนี้ แนวทางการดำเนินการดังกล่าวคณะรัฐมนตรีได้มีหลักการไว้ว่า หากกรณีใดก็ตามที่วันหยุดประจำปีตรงกับวันหยุดประจำเดือน คือวันอาทิตย์ที่ 31 ธ.ค.2560 ให้นับวัดหยุดชดเชยไปอีกวันหนึ่ง จึงทำให้มีวันหยุดชดเชยอีก 1 วัน คือวันที่ 2 ม.ค. 2561 รวมวันหยุดทั้งหมด 4 วัน (วันที่ 30 ธ.ค. 2560 –  วันที่ 2 ม.ค. 2561)

นอกจากนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งต่อที่ประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รับทราบเกี่ยวกับคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 48/2560 เรื่องการแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง โดยให้ วรานนท์ ปีติวรรณ พ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมการจัดหางาน และให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงแรงงาน  และให้ อนุรักษ์ ทศรัตน์ พ้นจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวงแรงงาน และให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการจัดหางาน เป็นการย้ายสลับตำแหน่งกันเพื่อความเหมาะสม

ที่มา :  เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล และ สำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จบพิจารณาคดีเรียกค่าเสียหายเหตุทหารพรานยิงรถชาวบ้านที่ปุโละปุโย นัดฟังคำตัดสิน 13 ธ.ค.นี้

Posted: 07 Nov 2017 09:13 AM PST

ศาลจังหวัดปัตตานีนัดฟังคำพิพากษา 13 ธ.ค.นี้ คดีชาวบ้านผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 คนฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกองทัพบก และ สำนักนายกฯ กรณีทหารพรานยิงรถชาวบ้านที่กำลังจะไปละหมาดศพ เมื่อปี 55 หรือกรณีปุโละปุโย จ.ปัตตานี

7 พ.ย. 2560 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม รายงานว่า วันนี้ (7 พ.ย.60)  ศาลจังหวัดปัตตานีออกนั่งพิจารณาสืบพยานจำเลย ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.519/2558 ซึ่งเป็นคดีที่ชาวบ้าน 5 คน ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกองทัพบก และสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองสงขลาและต่อมามีการโอนคดีมายังศาลจังหวัดปัตตานี เริ่มดำเนินคดีที่ศาลจังหวัดปัตตานีเมื่อปี 2558 

โจทก์ทั้งห้าได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า 27.6 ล้านบาท จากกรณีโจทก์ทั้งห้าได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 29 ม.ค.2555 ทหารพรานใช้อาวุธปืนสงครามยิงเข้าใส่รถยนต์ของชาวบ้านซึ่งมีผู้อยู่ในรถจำนวน 9 คน ขณะกำลังเดินทางออกจากหมู่บ้านกาหยี หมู่ที่ 1 ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้เพียง 500 เมตร เพื่อไปละหมาดศพ (การละหมาดขอพรให้ผู้เสียชีวิต) ที่บ้านทุ่งโพธิ์ หมู่ที่ 4 ต.ลิปะสะโง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บ 5 ราย

โดยในวันนี้พนักงานอัยการจังหวัดปัตตานี ทนายความของกองทัพบก จำเลยที่ 1 และสำนักนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 ได้นำนายทหารยศพันโท ซึ่งเป็นฝ่ายกฎหมายของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ภาค 4 ส่วนหน้า (กอรมน. ภาค4 สน.) เป็นพยานขึ้นเบิกความ โดยกล่าวถึงรายงานของเจ้าหน้าที่ทหารชุดปฏิบัติการในวันเกิดเหตุที่ได้เสนอต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นข้ออ้างว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้ว  รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการระดับจังหวัดที่มีผลสรุปว่าเจ้าหน้าที่ทหารยิงรถชาวบ้านผู้บริสุทธิ์โดยสำคัญผิด  และพยานได้เบิกความถึงการที่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอบต.) ได้จ่ายเงินเยียวยาแก่ครอบครัวผู้ตายทั้ง 4 คน และผู้บาดเจ็บทั้ง 5 คน(โจทก์ในคดีนี้) ในเบื้องต้นไปแล้ว ภายหลังจากพยานปากนี้เบิกความเสร็จแล้ว พนักงานอัยการทนายความของจำเลยทั้งสองยังคงติดใจสืบพยานอีก 1 ปาก ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารพรานชุดปฏิบัติการในวันเกิดเหตุ ยังติดต่อพยานไม่ได้ และขอเลื่อนนัดไปสืบพยานอีกสักนัด แต่ฝ่ายโจทก์แถลงคัดค้าน  

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้มีเหตุให้เลื่อนนัดสืบพยานจำเลยมาหลายครั้งแล้ว ประกอบกับพยานปากดังกล่าวไม่สามารถติดต่อได้ และไม่ทราบว่าปัจจุบันอยู่ที่ใด จึงเป็นการไม่แน่นอนที่จะได้ตัวพยานปากดังกล่าวมาศาล จึงเห็นควรให้ตัดพยานจำเลยทั้งสอง พนักงานอัยการทนายความของจำเลยทั้งสองจึงแถลงหมดพยานแต่เพียงเท่านี้ ศาลจึงได้มีสั่งให้คดีเสร็จการพิจารณา และนัดวันฟังคำพิพากษาใน วันที่ 13 ธ.ค. 2560 เวลา 13.30 น.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทนายอานนท์จ่อฎีกา หลังอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นปรับพันบาท คดี 'ยืนเฉยๆ' ผิดพ.ร.บ.ชุมนุมฯ

Posted: 07 Nov 2017 08:38 AM PST

อุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น ปรับ 'ทนายอานนท์' 1,000 บ. ผิด พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ฐานไม่แจ้งจัดการชุมนุมกิจกรรม 'ยืนเฉยๆ' ร้องปล่อย 8 แอดมินเพจ "เรารักพล.อ.ประยุทธ์" เจ้าตัวยันยื่นฎีกาต่อประเด็นจับกุมที่ไม่ชอบ พร้อมจ่อร้องศาล รธน.วินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมายของ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ด้วย

อานนท์ (คนกลาง) ร่วมกิจกรรม 'ยืนเฉยๆ' เมื่อวันที่ 27 เม.ย.59

7 พ.ย. 2560 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า วันนี้(7 พ.ย.2560) ศาลแขวงดุสิตอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดี "ยืนเฉยๆ" ที่ อานนท์ นำภา ทนายความ ถูกฟ้องในข้อหาไม่แจ้งจัดการชุมนุม ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 จากการทำกิจกรรม 'ยืนเฉยๆ' ที่วิคตอรี่พ้อยท์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 27 เม.ย.2559 เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัว แอดมินของแฟนเพจ "เรารักพล.อ.ประยุทธ์" ทั้ง 8 คน ศาลอุทธรณ์พิพากษาปรับ 1,000 บาท ตามศาลชั้นต้น

ผู้สื่อข่าวประชาไท สอบถาม อานนท์ เพิ่มเติมถึงแนวทางการต่อสู้คดี อานนท์ เปิดเผยว่า จะยื่นฎีกา ภายใน 1 เดือน

อานนท์ เปิดเผยอีกว่า จะฎีกาประเด็นการจับกุมที่ไม่ชอบ เพราะตนเห็นว่าการที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐสามารถจับกุมได้ทันทีโดยไม่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558  คือขออำนาจศาลก่อน เป็นการตีความที่ทำให้ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ เกี่ยวกับขั้นตอนการให้ยุติการชุมนุมไม่มีผลบังคับใช้ เป็นการตัดอำนาจศาลในการพิจารณาว่าการชุมนุมนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ รวมทั้งทีมทนายกำลังปรึกษาว่าจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของ พ.ร.บ.นี้ด้วย

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ว่า พิจารณาใน 2 ประเด็น คือการจับกุมตัว อานนท์ นั้นชอบด้วยกฎหมายแล้วหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้จำเลยได้อุทธรณ์ว่าตามที่พยานตำรวจผู้จับกุมได้ให้การไว้ในศาลชั้นต้นว่าได้ทำการจับกุมจำเลยเพราะเห็น่วาเป็นความผิดซึ่งหน้า โดยไม่ได้มีการประกาศเตือนให้เลิกการชุมนุมและไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งเลิกการชุมนุมและไม่ได้ประกาศให้พื้นที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ควบคุมก่อน จำเลยจึงเห็นว่าการปฏิบัติงานของตำรวจไม่ได้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ มาตรา 21, 23 และ 24 และการแจ้งสิทธิและข้อกล่าวหาแก่จำเลยยังทำที่สน.พญาไทหลังการจับกุมแล้ว จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83 วรรคสองอีกด้วย โดย ประเด็นนี้ศาลพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดซึ่งหน้าการจับกุมของเจ้าหน้าที่จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ประเด็นต่อมาการที่จำเลยอุทธรณ์ในประเด็นการตรา พ.ร.บ.ชุมนุมฯ นั้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแต่ยังไม่ได้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเนื่องจากเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2557 เป็นเพียงฉบับชั่วคราว และการจัดกิจกรรมของจำเลยเป็นไปโดยสงบและเป็นการแสดงความคิดเห็นที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง(ICCPR) และพ.ร.บ.ชุมนุมฯ เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก

อีกทั้งตามเจตนารมณ์ของกฎหมายยังให้การแจ้งจัดการชุมนุมก่อนการชุมนุมยังเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองความสะดวกและรักษาความปลอดภัยของประชาชนแต่พยานฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกความว่าทราบจากเฟซบุ๊กของจำเลยว่าจะมีการจัดชุมนุมแล้วและได้มีการจัดกำลังมาในที่เกิดเหตุ แต่ไม่ได้มาเพื่อการดูแลความสะดวกแก่ประชาชน กลับกลายเป็นการมาเพื่อจับกุมจำเลยไม่ให้ชุมนุม จึงเป็นการขัดขวางและจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของจำเลยและประชาชน

ศาลพิจารณาว่าหากจำเลยเห็นว่ากฎหมายไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็ต้องไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้วินิจฉัยว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่และยังไม่มีการเพิกถอน พ.ร.บ.ชุมนุมฯ จึงยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ และในการตรา พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ก็ออกมาโดยชอบแล้ว

ในส่วนของประเด็นอื่นๆ ที่จำเลยอุทธรณ์เป็นเพียงรายละเอียดปลีกไม่ได้เป็นสาระแก่การเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์จึงพิจารณาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

นอกจากคดีนี้ อานนท์ ยังถูกดำเนินคดีในลักษณะเดียวกัน จากกิจกรรม 'ยืนเฉยๆ' เมื่อวันที่ 19 เม.ย.59 เพื่อเรียกร้องให้ทหารปล่อยตัววัฒนา เมืองสุข ที่ถูกคุมตัวในค่ายทหารขณะนั้น อานนท์ ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาเดียวกัน  ต่อมาศาลพิพากษาปรับ 1,000 บาท และ อานนท์ได้ยื่นอุทธรณ์ไปนั้น ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ 21 ธ.ค.นี้ 

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มท.1 ย้ายผู้ว่าฯ ชลบุรี-นนทบุรี หลัง ปชช.ไม่ปลื้มจัดวางดอกไม้จันทน์

Posted: 07 Nov 2017 06:25 AM PST

มท.1 ดึงเรื่อง โยกย้ายผู้ว่าฯ ชลบุรี นนทบุรี กลับ ไม่นำเข้าที่ประชุม ครม. ออกคำสั่งให้ทั้งสองคนไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และให้รองผู้ว่าฯ ที่อาวุโส รักษาราชการแทน 

เพจ Army Worldwide News โพสต์ภาพพร้อมรายงานว่า 20.34 น. เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มประชาชนชาวชลบุรี ที่ไม่พอใจผู้ว่าฯ ชลบุรี ได้ตั้งแถวร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ก่อนประกาศนัดรวมตัวกันใหม่กันในพรุ่งนี้ และแยกย้ายกลับบ้าน ด้านตำรวจและฝ่ายปกครองยังเฝ้าดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และยังไม่มีการใช้มาตรการสลายการชุมนุม

7 พ.ย.2560 จากกรณีประชาชน จ.ชลบุรี รวมตัวที่ศาลากลางชลบุรีประท้วงขับไล่ผู้ว่าราชการจังหวัด เนื่องจากเกิดปัญหาความไม่เรียบร้อยในการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเข้าร่วมการพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยวิจารณ์ว่า จัดงานได้ไม่ดี ทำให้ประชาชนหลายคนไม่ได้ถวายดอกไม้จันทน์ แถมการเข้าแถวก็เหมือนงูกินหาง นั้น

ล่าสุดวันนี้ (7 พ.ย.60) สำนักข่าวไทย รายงานความคืบหน้าว่า ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผย ว่า ไม่ได้เสนอบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด 4 ตำแหน่ง ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี  ตนได้ขอเรื่องคืน  และจะออกคำสั่งให้ ภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี และ ภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ไปช่วยราชการปฏิบัติหน้าที่ ที่สำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยไม่ขาดจากตำแหน่งเดิม ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อ ความเหมาะสม และให้รองผู้ว่าราชการจังหวัด ที่อาวุโสรักษาราชการแทน

รายงานข่าวระบุเพิ่มเติมด้วยว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีและนนทบุรี มีปัญหาการร้องเรียนจากประชาชน เรื่องการบริหาจัดการ การวางดอกไม้จันทน์ในพระเมรุมาศจำลอง ในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ระบุปลดล็อคพรรคการเมืองดูตามสถานการณ์ ชี้ช่วงนี้ยังมีปัญหาหลายประการ

Posted: 07 Nov 2017 06:13 AM PST

ประยุทธ์ เผยการปลดล็อคพรรคการเมืองพิจารณาตามสถานการณ์ ระบุช่วงนี้ยังมีปัญหาหลายประการ ย้ำอย่าเป็นกังวล พร้อมชี้ปรับคณะรัฐมนตรีในช่วงเวลาที่เหมาะสม เผยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก

ภาพจากเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

7 พ.ย.2560 จากกรณีตามเงื่อนไขของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พรรคการเมืองต้องเช็คชื่อจำนวนสมาชิกพรรค พร้อมกับการเลือกผู้บริหารพรรค กำหนดนโยบาย และตัดสินว่าจะส่งใครลงเลือกตั้ง ที่ต้องทำให้เสร็จภายในวันที่ 5 ม.ค.2561 ต่อด้วยการรีเซตผู้บริหารพรรค เลือกหัวหน้าพรรคใหม่ ก่อนจะกำหนดนโยบายพรรค และประกาศอุดมการณ์พรรคให้ประชาชนทราบ ซึ่งต้องเสร็จภายใน 5 เม.ย. 2561 และเข้าสู่การหาเสียงเลือกตั้ง ประมาณการวันลงคะแนนเลือกตั้งอยู่ในช่วงเดือนพ.ย. ถึง ธ.ค.2561 จนทำให้หลายพรรคการเมืองออกมาเรียกร้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปลดล็อคให้สามารถจัดกิจกรรมและประชุมได้นั้น

ล่าสุดวันนี้ (7 พ.ย.60) เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการพิจารณาปลดล็อคการเมือง ว่า รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะพิจารณาตามสถานการณ์เป็นระยะ ซึ่งช่วงนี้ยังมีปัญหาอยู่หลายประการ จึงขอให้ทุกคนช่วยกัน

ส่วนกรณีที่หลายคนกังวลเรื่องระยะเวลาปลดล็อคการเมืองมีระยะเวลากระชั้นชิดจนไม่สามารถทำให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมทางการเมืองได้ทันเวลานั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า พร้อมใช้อำนาจตามกฎหมายของนายกรัฐมนตรีให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินการทำกิจกรรมการเมืองได้ทันเวลาอย่างเหมาะสม ขออย่าเป็นกังวลในเรื่องดังกล่าว

สำหรับถึงการปรับ ครม. นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นวิธีการหนึ่งในการบริหารงาน ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ดำเนินการตามนโยบายเจตนารมย์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติว่าจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองสงบสุข มีความมั่นคง มีเสถียรภาพทั้งการเมือง และความมั่นคง นำไปสู่การแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย และเกษตรกร ส่วนการปรับคณะมนตรีนั้น อยู่ที่ผลงาน ยืนยันทุกคนไม่บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด และไม่มีปัญหาภายในรัฐบาล โดยการปรับคณะรัฐมนตรีจะทำให้ดีที่สุด เพื่อให้การปฎิรูปประเทศเดินหน้าต่อไปได้ในอนาคต สามารถทำงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องของโครงสร้างและการช่วยเหลือประชาชน สำหรับช่วงระยะเวลาการปรับคณะรัฐมนตรี จะปรับในเวลาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ และไม่ได้คำนึงถึงสัดส่วนทหารหรือพลเรือน แต่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อีกกี่ ‘ก้าว’ จะถึงหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (1) “เขาไม่เคยเชื่อว่าหลักประกันสุขภาพดีกับประชาชน”

Posted: 07 Nov 2017 05:34 AM PST

ต่อให้เรามีตูน บอดี้สแลมมากกว่าหนึ่งคนและก้าววิ่งอีกหลายพันกิโลเมตร เงินบริจาคที่ได้จะเพียงแค่ผ่อนผันปัญหาเฉพาะหน้าออกไป ระบบสุขภาพใหญ่โตเกินกว่าใครคนหนึ่งจะแบกไว้บนบ่าตามลำพัง

อาทิวราห์ คงมาลัย หรือตูน บอดี้สแลม เริ่มออกวิ่งเพื่อระดมเงินบริจาคให้แก่โรงพยาบาลศูนย์ 11 แห่งตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นแคมเปญใหญ่อีกครั้งของร็อคสตาร์ผู้นี้ที่คาดว่าจะระดมเงินบริจาคได้มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้

การออกวิ่งครั้งนี้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และตั้งคำถามต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ มีกัดแซะตัวบุคคลบ้าง แต่นั่นมิได้มุ่งโจมตีตัวตูน บอดี้สแลม สุ้มเสียงส่วนใหญ่พุ่งไปยังการบริหารงบประมาณของรัฐบาลทหารที่ให้ความสำคัญกับอาวุธยุทโธปกรณ์มากกว่าสุขภาพของคน 48 ล้านคนในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยที่เราเองก็ตอบไม่ได้ว่าจะเอาไปรบกับใคร และการหาหนทางสร้างสวัสดิการสุขภาพที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนในประเทศ

ต่อให้เรามีตูน บอดี้สแลมมากกว่าหนึ่งคนและก้าววิ่งอีกหลายพันกิโลเมตร เงินบริจาคที่ได้จะเพียงแค่ผ่อนผันปัญหาเฉพาะหน้าออกไป ระบบสุขภาพใหญ่โตเกินกว่าใครคนหนึ่งจะแบกไว้บนบ่าตามลำพัง

'ประชาไท' พูดคุยกับสุรีรัตน์ ตรีมรรคา ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ทำความเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำไมสิ่งนี้จึงควรถูกผลักดันให้ดีขึ้น มิใช่แย่ลง

1

"การวิ่งของตูน บอดี้สแลมเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาของสังคมไทย คนไทยชอบบริจาคขอแค่มีคนมานำทางในการบริจาค มันเข้าจริตสังคมไทย แต่ถามว่าแล้วเงินที่ได้มาจะแก้ปัญหาได้ไหม มันแก้ไม่ได้อยู่แล้วเพราะระบบมันใหญ่กว่านั้น คุณได้เงินไป 60-70 ล้านให้โรงพยาบาลบางสะพานก็อาจจะซื้อยา ซื้อเครื่องมือได้ แต่ซื้อหมอ หาหมอไปอยู่ไม่ได้ บางสะพานก็มีปัญหาเหมือนเดิม ค่าเหมาจ่ายรายหัวหัวละ 3,000 ควรต้องขยับอีกเล็กน้อยเป็น 3,500 อาจต้องการเงินเพิ่มอีก 25,000 ล้าน ตูนวิ่งเท่าไหร่ก็ได้ไม่ถึง 25,000 ล้าน"

2

"มันเป็นการบ่อนทำลายในเชิงแนวคิด การจัดหลักประกันสุขภาพเป็นแนวคิดที่รัฐจัดสวัสดิการถ้วนหน้า เป็นคู่ขัดแย้งกับการจัดสวัสดิการเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย การจัดสวัสดิการถ้วนหน้าคือจัดสำหรับทุกคนไม่เลือกคนจน คนรวย เป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องของความยากไร้ แต่ต้องจัดให้ทุกคนไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นอย่างไร"

3

"ในรัฐธรรมนูญไม่ควรระบุว่าสวัสดิการเป็นของคนยากไร้เท่านั้น อันนี้เป็นชุดความคิดแรกที่ทำให้ระบบสวัสดิการถ้วนหน้าถูกบ่อนเซาะ แล้วต่อไปมันจะถูกบ่อนเซาะมากที่สุดด้วยคำว่า เราจัดสวัสดิการไม่ได้เพราะเราไม่มีเงินพอที่จะจัดสำหรับทุกคน พอพูดแบบนี้การจัดสวัสดิการถ้วนหน้าก็เป็นจริงไม่ได้ เงินที่มีอยู่จึงจัดให้เฉพาะคนจน ดังนั้น นโยบายลงทะเบียนคนจนมีขึ้นเพื่อจะรู้ว่าคนจนอยู่ที่ไหน จะได้หากลุ่มเป้าหมายให้เจอ นี่คือการที่บ่อนทำลายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า"

4

"เงินเหมาจ่ายรายหัวของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ายังไม่พอ มันควรเพิ่มไปอีกเล็กน้อย จะทำให้มันหลวมๆ ไม่มีภาระเรื่องของการขาดสภาพคล่อง ถ้ามันเพิ่มไปอีกสัก 100-200 บาทต่อหัวจะมีสภาพคล่องมากขึ้น เพราะเราต้องโตให้ทันเทคโนโลยี โตให้ทันยา ทันภาวะค่าเงิน ที่ผ่านมาการเพิ่มขึ้นไม่สอดคล้องกับภาวะของค่าเงิน การเพิ่มในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเพิ่มแบบไม่มีเหตุผล แต่เพิ่มตามสัดส่วนงบประมาณแผ่นดินที่เพิ่มขึ้นด้วย แต่ปัญหาใหญ่ของหลักประกันสุขภาพคือการจัดการระบบมันมีปัญหา"

5

"รัฐใช้เงินจัดสวัสดิการสุขภาพไม่เสมอภาคกัน ถ้าเอาเงินมารวมกัน (หมายถึงสวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม และหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) จะยิ่งสามารถจัดสวัสดิการได้ดีกว่านี้ บริหารได้ดีกว่านี้ ตอนนี้เอาภาระของคนแรกเกิดกับคนอายุ 60 ปีมาไว้ที่ระบบบัตรทอง แต่ประกันสังคมเอาวัยทำงานอายุ 25-55 ปีที่ร่างกายยังแข็งแรงไป แล้วข้าราชการก็ใช้แบบไม่บันยะบันยัง มันเป็นการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐที่ไม่สามารถบริหารให้เป็นระบบเดียวกันได้ แต่วิธีสื่อสารบอกแต่ว่าโรงพยาบาลขาดทุนเพราะระบบบัตรทองอย่างเดียว แต่ไม่ได้บอกว่าขาดทุนจากการบริหารทั้งระบบ"

6

"การยุบรวมสามกองทุนเป็นเรื่องยากมาก เราไม่มีพลังมวลชนพอ ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน ข้าราชการเขาไม่ได้สนใจอยู่แล้ว อย่ายุ่งกับเขาพอ เขามีบัตรของเขา เขาสบายใจ ประกันสังคมแทบไม่มีมวลชนเลย กลุ่มบัตรทองตอนนี้แค่ปกป้องระบบตัวเองก็จะไม่รอดแล้ว เรื่องหลอมรวมพูดกันมาสิบกว่าปี คนไม่รู้สึกตื่นเต้นกับตัวเลขที่เราพูดว่าหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเหมาจ่ายรายหัว 3,000 บาทต่อหัว ประกันสังคม 2,700 บาทต่อหัว แต่ข้าราชการหมื่นกว่าบาท ก็เฉยๆ กัน เหมือนยอมรับสภาพว่าเราเป็นคนจน น่าจะได้เท่านี้"

7

"ไม่ใช่ว่าเงินไม่พอ ถ้าเอาเงินทั้งหมดมาบริหารจริงจัง มันพอ มันไม่ใช่การรักษาพยาบาล ไม่ใช่เรื่องคนมีเงินควรจะจ่าย คนไม่มีควรได้รับการสงเคราะห์ แล้วคนมีเงินจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะถ้าคุณต้องจ่ายเองทั้งหมด คุณล้มละลายได้ทันที คุณจะผลักภาระการล้มละลายให้กับคนใกล้จน คนที่มีรายได้ปานกลาง คุณจะรับผิดชอบแค่คนจน แต่คนรวยก็ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะเขามีเงิน วิธีคิดแบบนี้ในสังคมไทยฟังขึ้นเพราะเราเชื่อว่าขอทานก็ให้ทานไป แต่คนที่ทำงานได้ก็ให้ทำงานไป การบอกว่าประเทศไทยมีเงินไม่พอ เราไม่เชื่อ มันไม่จริง เงินมี แต่มันกระจุกตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ที่รัฐไม่สามารถเอามากระจาย พอคุณทำไม่ได้ คุณก็เอาภาระนั้นมากดทับคนที่ยากลำบากที่สุดให้รับภาระ ให้กลายเป็นคนจนผ่านการลงทะเบียนคนจน ทั้งที่ประเทศไทยมีความมั่งคั่งทั้งเรื่องเงินและทรัพยากรที่สามารถบริหารจัดการประเทศให้มีคุณภาพและผู้คนมีศักดิ์ศรีได้มากกว่านี้"

8

"ไม่อยากเปรียบเทียบว่าเอาเงินไปซื้ออาวุธ แล้วทำให้หลักประกันสุขภาพไม่มีเงิน เพราะเขาไม่เคยเชื่อว่าหลักประกันสุขภาพดีกับประชาชน ไม่ได้เชื่อว่าสวัสดิการต้องจัดให้ทุกคน ดังนั้น ว่าไปก็ไม่รู้สึก เขาไม่รู้ว่าเป็นความผิดของเขาที่ไม่มีวิธีคิด ไม่มีวิธีบริหารจัดการการเงินการคลังเพื่อมนุษย์ เพื่อสังคม แต่ฉันจัดการตามที่ราชการส่งเรื่องมา"

9

"การแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นเรื่องการฉวยโอกาสที่พอดิบพอดี เมื่อ สตง. (สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน) บอกว่าไม่ถูกต้อง ถ้าจะทำให้ถูก ต้องแก้กฎหมาย มันมีความพยายามจะแก้กฎหมายนี้มานานก่อนการรัฐประหาร พอมีรัฐประหารครั้งใดก็จะมีคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริต เขาก็ไม่รู้จะหยิบเรื่องมาจากไหน ก็ต้องไปหยิบเรื่องจาก สตง. แล้วเวลาหยิบเรื่องเหล่านี้มาก็ต้องปรึกษากับหน่วยงานราชการ ก็คือกระทรวงสาธารณสุข มันก็เป็นจังหวะที่ดีที่กระทรวงสาธารณสุขภายใต้รัฐบาลทหารที่ไม่มีใครคานอำนาจจะชงเรื่องการแก้กฎหมาย ซึ่งเพียงแต่ทำให้อำนาจของกระทรวงสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น ต่อไปอำนาจของ สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) จะลดน้อยถอยลง ถ้ากฎหมายฉบับนี้ออก สปสช. ก็ทำงานตัวเองต่อไป เงินยังอยู่ที่ สปสช. แต่ยกเว้นการซื้อยาที่มีกระทรวงสาธารณสุขมาแบ่งอำนาจ"

10

"คนที่ไม่ชอบหลักประกันสุขภาพคงมีไม่กี่คน ระบบข้าราชการก็ไม่ชอบ เพราะมันทำลายศักดิ์ศรีของผู้ให้บริการ บริษัทยาก็คงไม่ชอบเพราะมีการต่อรองราคายา หมอทั้งหมดแทบไม่มีอำนาจตัดสินใจในวิธีรักษาของเขา เขาอยากใช้ยาแบบนี้ อยากใช้นู่นนี่นั่น เป็นผู้ประกอบโรคศิลป์ แต่ถูกบังคับด้วยหลักประกัน แต่เขาควรมองว่าถ้าประชาชนใช้หลักประกันสุขภาพเอกชน บริษัทประกันสุขภาพเอกชนก็บังคับเขาทุกอย่างเหมือนกัน บริษัทประกันสุขภาพเอกชนจะขายความสบาย ขายค่าห้อง คุณจ่ายเงินปีละหมื่นห้าจะได้ค่าห้องวันละห้าพัน วันละหมื่น แต่ค่ารักษามันยุบยิบ เอาเข้าจริงอันนี้อาจจะได้ อันนี้อาจจะไม่ได้ เราไม่รู้อะไรเลย"

11

"การที่เงินเดือนรวมอยู่ในค่าเหมาจ่ายรายหัว เพื่อให้โรงพยาบาลที่มีประชากรเยอะก็จะได้เงินเยอะ ถ้าเป็นโรงพยาบาลขนาดกลาง ประชากรเยอะมาก แต่หมอน้อย เงินก็ควรจะไปเยอะๆ ตรงนั้น แล้วเอาเงินที่เหลืออยู่จ้างหมอเพิ่มได้ วิธีคิดเป็นแบบนี้ แล้วที่มีหมอเยอะๆ ประชากรน้อย เงินก็ได้น้อย (เพื่อให้แพทย์กระจายไปยังพื้นที่ที่ต้องการแพทย์มากกว่า) แต่ถ้าแยกเงินเดือนเมื่อไหร่มีปัญหาทันที หมายถึงว่ายิ่งไม่ต้องทำอะไร หมอก็อยู่กับที่ คงไม่มีคนขยับตัวไปไหน โรงพยาบาลที่มีประชากรเยอะ มีเงินเยอะ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะหมอไม่ไหลไปหาเขา หรือการที่จ้างหมอเพิ่มไม่ได้เป็นเพราะระบบ เนื่องจากทุกคนเป็นข้าราชการ ข้าราชการก็ไปตามตำแหน่ง มีอัตรา ไม่ต้องขึ้นอยู่กับผู้อำนวยการโรงพยาบาล แต่ขึ้นอยู่กับปลัดกระทรวงสาธารณสุขว่าจะย้ายใคร"

12

"ในเจตนารมย์กฎหมายหลักประกันสุขภาพ การบริหารระบบไม่จำเป็นต้องให้ สปสช. เป็นผู้ทำคนเดียว องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นไหนที่พร้อมบริหารระบบได้ มีศักยภาพ ก็ต้องให้เขาทำ ให้เงินเขาบริหารเอง ถ้าประชากรเขาป่วยที่อื่นจะดูแลส่งต่ออย่างไรก็เรื่องของเขา มันก็จะมีความหลากหลาย และมีความเป็นเจ้าของของระบบ แต่ตอนนี้เขาจะปิดทา'ไม่ให้องค์กรภาคเอกชนรับเงินเลย ห้ามมารับเงินจากกองทุน โดยอ้างว่าเงินกองทุนใช้เพื่อรักษาพยาบาลเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ระบบจากเดิมที่โปร่งใส มีภาคประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าไป อาจจะลดน้อยถอยลงในการเข้าไปมีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมวิพากษ์วิจารณ์ ร่วมประเมินติดตาม"

13

"เราเสนอให้โรงพยาบาลเป็นของชุมชน ไม่ต้องเป็นโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ให้ประชาชนในพื้นที่วิ่งกันเองสิ ไม่ต้องให้ตูนวิ่ง ให้พวกเราดูแลโรงพยาบาลของเราเอง เราจะทำกฐิน ผ้าป่าของเราเอง ถ้ามันเป็นของเรา เราจะหาอุปกรณ์ หาหมอมาใส่โรงพยาบาลของเราเอง เงินก็บริหารโดยคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนของประชาสังคม หมอ คนที่เกี่ยวข้องในอำเภอเป็นผู้บริหารโรงพยาบาล ไม่จำเป็นต้องสังกัดรัฐ ควรเป็นองค์การมหาชน แล้วทุกคนจ่ายสิบบาท ถ้าอยากจ่าย อยากบริจาค ถ้าคนบริจาคคนละสิบบาทก็ดูแลโรงพยาบาลของตัวเองได้ ไม่ต้องให้ตูนวิ่ง พวกเราจะวิ่งกันเอง ทำให้เขาอยู่ได้ยาว ได้ทั้งของ ทั้งคน ทั้งการดูแลอุปกรณ์ในระยะยาว เงินที่ได้ไม่ใช่ได้ปีเดียวจบ เพราะมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา

14

"ถ้ามองไปข้างหน้า กรรมการหลักประกันสุขภาพต้องมีความเข้มแข็งมากขึ้น หมายถึงคนที่เป็นกลาง เช่น ภาคประชาชน ผู้ทรงคุณวุฒิ ควรเป็นพลังเพื่อดูแลระบบให้ดี แต่เราคงจะได้องค์ประกอบที่บิดเบี้ยวเข้ามา เราคงได้ผู้ทรงคุณวุฒิที่อาจเชื่อว่าไม่ต้องจัดสวัสดิการถ้วนหน้า ไม่ต้องทำให้หลักประกันสุขภาพเป็นระบบถ้วนหน้าก็ได้ อนาคตอาจจะยากลำบาก แต่ไม่ใช่ทางตันเสียทีเดียว"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'สหภาพแรงงานพิพัฒน์-นายจ้าง' เซ็นข้อตกลงปรับสภาพการจ้างแล้ว หลังเจรจากว่า 2 เดือน

Posted: 07 Nov 2017 04:44 AM PST

สหภาพแรงงานพิพัฒน์ฯ-นายจ้าง ร่วมลงนามในข้อตกลงการปรับสภาพการจ้างแล้ว บริษัทยอมขึ้นเงินประจำปี เงินค่ารองเท้า ฯลฯ แต่ไม่ยอม ตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทั้งที่ยื่นมาหลายปี นักสหภาพเผยยุครัฐบาลทหารเคลื่อนไหวยาก

7 พ.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า วันนี้ (7 พ.ย.60) เมื่อเวลา 11.50 น.ที่สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.สมุทรปราการ ตัวแทนสหภาพแรงงานกิจการปั่น-ทอแห่งประเทศไทย(พิพัฒนสัมพันธ์) กับนายจ้าง ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงการปรับสภาพการจ้างงาน หลังสหภาพแรงงานฯ ยื่นข้อเรียกร้องปรับสภาพการจ้างงานและพิพาทแรงงานกว่า 2 เดือน

เซีย จำปาทอง อายุ 46 ปี ประธานสหภาพแรงงานฯ กล่าวว่า ข้อเรียกร้องที่ยื่นมีจำนวน 13 ข้อ โดยบริษัทยอมตกลง ประกอบด้วย เงินขึ้นประจำปี เงินค่ารองเท้า ที่เรียกร้องให้จ่ายเป็นเงินแทนการจ่ายเป็นรองเท้า เรื่องค่าพาหนะกรณีพนักงานลาออกงานและเกษียณอายุ เงินของขวัญปีใหม่และเงินค่ากะที่ได้เพิ่มมา

สำหรับข้อเรียกร้องที่ยื่นแล้วไม่ได้รับการปรับปรุงนั้น เซีย กล่าวว่าคือ การตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่ถือเป็นหัวใจของการยื่นข้อเรียกร้องเพื่อปรับปรุงสหภาพการจ้างงานในครั้งนี้ และยื่นมาหลายครั้งแล้ว นอกจากนี้ข้อที่ไม่ได้รับการปรับปรุงคือ การเพิ่มโบนัส และการรับคนงานเหมาค่าแรงเป็นคนงานประจำ

การยื่นข้อเรียกร้องเพื่อปรับสภาพการจ้างงานของสหภาพแรงงานกิจการปั่น-ทอแห่งประเทศไทย(พิพัฒนสัมพันธ์)นั้น ประธานสหภาพแรงงานฯ กล่าวว่าจะยื่น 2 ปีต่อครั้ง แต่ครั้งหลังสุดนั้นตกลงกันตั้งแต่ปี 57 โดยที่ปี 59 ซึ่งครบอายุข้อตกลง แต่มติที่ประชุมสหภาพแรงงานตกลงกันว่าจะไม่ยื่นข้อเรียกร้องในปีนั้น เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไม่ดี นายจ้างมีการปิดเครื่องจักรบางส่วน แต่เมื่อขึ้นปีนี้ (60) ที่ประชุมใหญ่ของสหภาพมีมติให้ยื่นข้อเรียกร้อง เพราะสถานการณ์โดยรวมของบริษัทดีขึ้น มีการเปิดเครื่องจักร มีโอที จึงให้คณะกรรมการสหภาพยื่นข้อเรียกร้อง

สำหรับการยื่นข้อเรียกร้องและเจรจาครั้งนี้ ประธานสหภาพแรงงานฯ กล่าวว่า ใช้เวลานานมากเมื่อเทียบกับหลายปีก่อน ยื่นข้อเรียกร้องตั้งแต่ 23 ส.ค.60 เจรจาทวิภาคี 8 ครั้ง และเมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ก็แจ้งพิพาทแรงงาน จึงเจรจาที่ สนง.สวัสดิการฯ อีก 6 ครั้ง

สำหรับยุครัฐบาลทหารนี้ เชีย กล่าวว่า การชุมนุมเป็นเรื่องที่ลำบาก แต่ที่สหภาพฯ เรานั้นจะถือว่าเป็นการชุมนุมก็ได้หรือเป็นการมารอฟังคำชี้แจงก็ได้ เนื่องจากพวกตนไม่ได้ชุมนุมอย่างเป็นทางการมาก เมื่อสมาชิกมารอหลายคนก็ใช้โทรโข่งและเครื่องเสียงเล็กแจ้งสมาชิก โดยใช้พื้นที่ของสโมสรในโรงงานชี้แจง

เซีย ซึ่งทำงานสหภาพแรงงานมากว่า 20 ปี และยังเป็นกรรมการสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ ตัดเย็บเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์หนังแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความสำคัญของการมีสหภาพแรงงานว่า สหภาพจะทำหน้าที่แทนคนงานในการแสวงหาผลประโยชน์และคุ้มครองผลประโยชน์ของคนงาน โดยนายจ้างส่วนมากจะไม่ได้จัดให้กับคนงาน ดังนั้นเมื่อมีการจัดตั้งสหภาพแรงงานแล้ว สหภาพก็จะทำหน้าที่ยื่นข้อเรียกร้องเพื่อให้คนงานมีค่าจ้างและสวัสดิการที่ดีขึ้น โดยทั่วไปแล้วโรงงานที่มีสหภาพแรงงานจะมีสวัสดิการที่ดีกว่าโรงงานที่ไม่มีสหภาพแรงงาน

อย่างไรก็ตามการจัดตั้งสหภาพแรงงานนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เซีย เล่าถึงประสบการณ์ที่ตนเองและกลุ่มพยายามเข้าไปจัดตั้งสหภาพแรงงานในโรงงานอื่นๆ ว่า เมื่อไหร่ที่นายจ้างทราบว่ามีการเตรียมการจัดตั้งสหภาพแรงงาน นายจ้างก็จะเลิกจ้างคนที่เป็นแกนนำที่จัดตั้งสหภาพ

ประธานสหภาพฯ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ สหภาพแรงงานกิจการปั่น-ทอแห่งประเทศไทย(พิพัฒนสัมพันธ์) ด้วยว่า ตั้งอยู่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ได้รับการจดทะเบียนตั้งแต่ 2518 คือตั้งแต่มี พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ใหม่ๆ ปัจจุบันมีสมาชิก 307 คน เป็นลูกจ้างบริษัทพิพัฒนกิจเท็กซ์ไทล์ จํากัด นอกจากคนงานประจำแล้ว ในโรงงานยังมีบริษัทเหมาค่าแรง 2 บริษัท โดยที่ 1 บริษัทเป็นแรงงานข้ามชาติ ดังนั้นคนงานรวมประมาณ 500 คน สำหรับข้อตกลงสภาพการจ้างนั้นบางข้อครอบคลุมคนงานเหมาค่าแรงส่วนหนึ่งด้วย 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โต้ข่าว กสม. ยันเสนอชื่อผู้แทนเป็นกรรมการสรรหา กกต. ครั้งที่ 2 แล้ว

Posted: 07 Nov 2017 02:03 AM PST

ประธาน กสม. โต้ข่าว กรรมการสิทธิฯ ส่งชื่อผู้แทนเป็นกรรมการสรรหา กกต. ล่าช้า  ยันครั้งที่สองตามหนังสือของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาแล้ว ชี้ข่าวดังกล่าวอาจสร้างความเข้าใจผิดและความเสียหายแก่องค์กร

7 พ.ย.2560 รายงานข่างจาก สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สนง.กสม.) แจ้งว่า วันนี้ (7 พ.ย.60) เมื่อ เวลา 10.30 น. วัส ติงสมิตร ประธาน กสม. ได้เปิดเผยภายหลังการประชุม กสม. ด้านบริหาร ประจำสัปดาห์ว่า ตามที่มีข้อมูลเผยแพร่ต่อสาธารณะในทำนองว่า กสม. ส่งชื่อบุคคลเป็นกรรมการสรรหาบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ล่าช้า หรือพ้นกำหนด ทำให้ไม่มีผู้แทนของ กสม. ทำหน้าที่เป็นกรรมการสรรหา กกต. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง (4) นั้น ที่ประชุม กสม. เห็นว่า ข้อมูลที่เผยแพร่ข้างต้นผิดพลาดคลาดเคลื่อนอย่างมีนัยสำคัญ อันอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญโดยสุจริตของ กสม. รวมทั้งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์กรแห่งนี้ตามมาได้

วัส กล่าวว่า สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ในฐานะหน่วยธุรการของคณะกรรมการสรรหา กกต. ได้ส่งหนังสือสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ด่วนที่สุด ที่ สว 0008(ส)/4976 ลงวันที่ 14 ก.ย. 2560 ถึงเลขาธิการ กสม. เพื่อแจ้งให้ กสม. พิจารณาดำเนินการเสนอชื่อบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการสรรหา กกต. ซึ่งในคราวประชุม กสม. ด้านบริหาร ครั้งที่ 25/2560 เมื่อวันที่ 26 ก.ย.2560 ได้มีมติแต่งตั้ง ธีรภัทร สันติเมทนีดล ซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนตาม พ.ร.ป. กกต. มาตรา 8 มาตรา 9 และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 10 เป็นกรรมการสรรหา กกต. พร้อมทั้งส่งชื่อไปยังสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

วัส กล่าวอีกว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2560 สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ได้ส่งหนังสือสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ด่วนที่สุด ที่ สว 0008(ส)/5466 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2560 ถึงเลขาธิการ กสม. มีเนื้อหาสรุปว่า คณะกรรมการสรรหา กกต. ในคราวประชุมเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 ต.ค.2560 ได้พิจารณาเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลซึ่งศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระอื่นซึ่งมิใช่ กกต. เสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการสรรหา กกต. และมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ธีรภัทร ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 8 (1) (ก) คือ กรณีการ "รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี"  จึงเป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการสรรหา กกต.

ประธาน กสม. กล่าวต่อว่า หนังสือดังกล่าวซึ่งลงนามโดย นัฑ ผาสุข เลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการสรรหา กกต. ยังได้ขอให้ กสม. พิจารณาดำเนินการเสนอชื่อบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการสรรหา กกต. อีกครั้ง พร้อมทั้งให้ กสม. แจ้งให้บุคคลดังกล่าวทราบด้วยว่าคณะกรรมการสรรหา กกต. จะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 18 ต.ค. 2560 ดังนั้นในคราวประชุม กสม.ด้านบริหาร ครั้ง 27/2560 เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2560 จึงได้มีมติแต่งตั้ง ปรีชา บุตรศรี ซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนตาม พ.ร.ป. กกต. เช่นกัน เป็นกรรมการสรรหา กกต. และส่งชื่อไปยังสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเป็นครั้งที่สองเพื่อดำเนินการต่อไป

วัส กล่าวว่า แต่ภายหลังการประชุมคณะกรรมการสรรหา กกต. เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2560 มีข้อมูลเผยแพร่ทางสื่อมวลชนว่า กสม. ส่งชื่อบุคคลเป็นกรรมการสรรหา กกต. พ้นจากห้วงเวลาในบทเฉพาะกาลมาตรา 71 ของ พ.ร.ป. กกต. ที่บัญญัติว่า "ภายในยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่มิใช่คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งและส่งชื่อผู้แทนให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเพื่อประกอบเป็นคณะกรรมการสรรหาตามมาตรา 11"

"ในทางปฏิบัติ กสม. และฝ่ายกฎหมายได้พิจารณาบทเฉพาะกาลมาตรา 71 ของ พ.ร.ป.กกต. มาก่อนหน้า และเห็นว่าการเสนอชื่อกรรมการสรรหา กกต. จะครบกำหนดเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2560 เนื่องจาก พ.ร.ป. กกต. เริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย.2560 แต่การที่เลขาธิการวุฒิสภามีหนังสือมาถึงเลขาธิการ กสม. เมื่อวันที่ 6 ต.ค.2560 อันเป็นเวลาที่พ้น 20 วันไปแล้ว แจ้งว่า ธีรภัทร พ้นจากตำแหน่งกรรมการสรรหา กกต. พร้อมทั้งให้ กสม. เสนอชื่อกรรมการสรรหา กกต. ใหม่ กรณีนี้ย่อมถือได้ว่า ธีรภัทร ต้องดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการสรรหา กกต. แล้วตั้งแต่วันที่ กสม. ส่งชื่อไปในครั้งแรก มิฉะนั้นจะมีกรณีที่ต้องพ้นจากตำแหน่งไปได้อย่างไร และการที่ให้เสนอชื่อใหม่จึงนับเป็นการแต่งตั้งแทน ซึ่งไม่ใช่กรณีที่ต้องนำเรื่องระยะเวลา 20 วันตามมาตรา 71 มาใช้บังคับ" ประธาน กสม. ระบุ

วัส กล่าวในตอนท้ายว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภามีหนังสือแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการสรรหา กกต. นัดแรก (วันที่ 6 ตุลาคม 2560) มายังเลขาธิการ กสม. ในวันเดียวกันกับที่มีการประชุมคณะกรรมการสรรหา กกต. แต่หนังสือแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการสรรหา กกต. นัดที่สอง (วันที่ 18 ตุลาคม 2560) ปรากฏว่าต้องรอจนถึงวันที่  25 ตุลาคม 2560 เลขาธิการวุฒิสภาจึงได้ลงนามส่งหนังสือมาถึงเลขาธิการ กสม. โดยระบุว่า กสม. ไม่สามารถที่จะเสนอชื่อและแต่งตั้งนายปรีชาเป็นกรรมการสรรหา กกต. ได้ โดยอ้างว่าเป็นการเสนอชื่อผู้แทนและแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการสรรหา กกต.เกินกำหนดระยะเวลาที่ พ.ร.ป. กกต. บัญญัติไว้ดังกล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ ย้ำเกษตรกรจำเป็นเปลี่ยน อัดพวกวิจารณ์ ไม่เคยมีแนวทางแก้ปัญหา

Posted: 07 Nov 2017 01:24 AM PST

พล.อ.ประยุทธ์ ระบุเกษตรกรจำนวนมากยังไม่ได้เข้าระบบที่ส่งเสริมและพัฒนาตามแนวทางของรัฐบาล ย้ำจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่สูงขึ้นอย่างยั่งยืน ขณะที่ตัวแทนชาวสวนยางร้องแก้ปัญหาวิกฤติราคายางตกต่ำ

ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ ขณะ เยี่ยมชมการจัดแสดงนิทรรศการผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ และประชาสัมพันธ์การจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม (ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบฯ)

7 พ.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (7 พ.ย.60) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เยี่ยมชมการจัดแสดงนิทรรศการผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ และประชาสัมพันธ์การจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล ภายใต้แนวคิด "ตลาดเกษตร เกรดพรีเมี่ยม" 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ปัญหาการพัฒนาภาคการเกษตรขณะนี้ ต้องยอมรับว่า มีเกษตรกรจำนวนมาก ที่ยังไม่ได้เข้าระบบที่ส่งเสริมและพัฒนาตามแนวทางของรัฐบาล ซึ่งทำให้เกิดปัญหาของความพร้อมในการที่จะเปลี่ยนแปลงการทำเกษตร เช่น การรวมตัวเป็นเกษตรแปลงใหญ่ ที่จะครอบคลุมทั้งการเพาะปลูกข้าว ยาง มันสำปะหลังและอื่นๆ 

"วันนี้ทุกคนต้องเข้าใจว่า จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่สูงขึ้นอย่างยั่งยืน ขออย่าหยิบเรื่องการแก้ปัญหาด้านการเกษตร มาเป็นประเด็นว่า รัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาให้กับเกษตรกร เพราะผมก็ไม่เคยเห็นว่า ผู้ที่ออกมาพูด จะมีแนวทางแก้ปัญหาอย่างไร แต่ต่างกับรัฐบาลนี้ ที่มีการชี้แจง และให้รายละเอียดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาทุกอย่างอย่างชัดเจน จึงอยากให้สื่อมวลชนและสังคมเข้าใจรัฐบาล ที่กำลังเดินหน้าแก้ปัญหาต่างๆ ที่สำคัญ วันนี้และวันนหน้า ซึ่งทั้งหมดคือการปฏิรูปการเกษตร และการปฏิรูปอื่นๆ ทุกภาค" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พร้อมกล่าวถึง การแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ด้วยว่า หากมีใครระบุว่า รัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหา ก็ขอให้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาเข้ามา ว่าจะทำอย่างไรให้ยางพาราและข้าวสูงขึ้น  โดยเฉพาะคนที่ต้องการเข้ามาเป็นรัฐบาล หรือ นักการเมือง เพราะหากพูดแบบเดิมๆ ก็จะมีเพียงประเด็น และมีความขัดแย้ง  ทำให้สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำเดินหน้าไม่ได้

ขณที่ศูนย์บริการประชาชนทำเนียบรัฐบาล ณัฎฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ แกนนำกลุ่ม Young blood FC และตัวแทนเกษตรกรชาวสวนยาง 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา (จะนะ เทพา นาทวี สะบ้าย้อย) เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี โดยขอให้แก้ไขปัญหาวิกฤติราคายางพาราตกต่ำ พร้อมยื่นข้อเสนอ ได้แก่ การปฏิรูปสินค้าเกษตรโดยให้มีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปสินค้าเกษตรหลัก เพื่อเป็นพื้นฐานในการเข้าสู่ยุค 4.0 อาทิ ยาง ข้าว ปาล์ม และมันสำปะหลัง เป็นต้น เนื่องจากเป็นพืชหลักของประเทศให้เกิดความยั่งยืน และขอให้เปลี่ยนแปลงผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เพราะเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการยางพาราตาม พ.ร.บ.การยางฯ ซึ่งผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยคนปัจจุบันดำรงตำแหน่งมาแล้วกว่า 1 ปี แต่ไม่สามารถบริหารจัดการและควบคุมยางพาราให้เกิดประสิทธิภาพได้ ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน โดยราคาน้ำยางสดอยู่ที่ประมาณ 39 บาท และเศษยาง อยู่ที่ราคา 16 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งที่ราคาต้นทุนอยู่ที่ 65 บาทต่อกิโลกรัม จึงอยากให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ว่าการการยางฯ เพื่อให้ได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาและทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ

ที่มา : เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล และสำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทำไมเราจึงกังวลกับอำนาจและความรุนแรงในนามศาสนา

Posted: 06 Nov 2017 11:51 PM PST

 

มีเพื่อนชาวมุสลิมบางคนเข้ามาแสดงความเห็นทางเฟซบุ๊กของของผมว่า

"อำนาจเผด็จการ(ในนามศาสนา)ลงโทษ ทำร้ายคนที่เปลี่ยนศาสนาด้วยการปาหิน การแขวนคอ ตัดมือ ประหารชีวิตคนรักร่วมเพศ ทำสงครามกับต่างศาสนา และระหว่างนิกายศาสนา ก่อการร้ายฆ่าผู้บริสุทธิ์เพื่อพระเจ้า......สิ่งที่กล่าวมานั้นมิได้หมายความว่ามาจากศาสนาเท่านั้นดอกครับ.....ลองอ่านรัฐธรรมนูญบ้างหรือยังครับ....ในนั้นมีแต่บทลงโทษมากมายสำหรับผู้กระทำผิด...เพื่อเป็นกรอบในการบริหารบ้านเมือง...เพื่ออะไรละครับ? หากไม่ใช่เพื่อการค้ำจุน.... การฆ่าเพื่อศาสนาคงมิต่างอะไรกับการเกณฑ์ทหารไปตายเพื่อชาติครับ"

ข้อโต้แย้งนี้น่าสนใจ ผมจึงอยากนำมาอภิปรายต่อ ขอเริ่มจากคำถามที่ว่า "ทำไมเราจึงกังวลใจเมื่อศาสนาใช้ความรุนแรงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์?" ในหนังสือ "ศาสนา: ประวัติศาสตร์ศรัทธาแห่งมวลมนุษย์" ของริชาร์ด ฮัลโลเวย์ โดยฮัลโลเวย์เริ่มอธิบายคล้ายกับข้อโต้แย้งข้างบนว่า ปกติมนุษย์ก็ใช้ความรุนแรงในมิติอื่นๆ อยู่แล้ว เช่นกฎหมายสหรัฐอนุญาตให้บุคคลมีอาวุธไว้ป้องกันตัวได้ รัฐบาลสหรัฐใช้ความรุนแรงเข้าแทรกแซงทางการเมืองของประเทศอื่นๆ และกฎหมายของหลายประเทศมีก็โทษประหารชีวิต เป็นต้น แล้วทำไมเราจึงมีปัญหามากเป็นพิเศษกับความรุนแรงในนามศาสนา ฮัลโลเวย์ตอบคำถามนี้ด้วยการอ้างเหตุผล 2 ประการ (โดยสรุป) คือ

เหตุผลประการแรก เมื่อศาสนาเข้าร่วมในความขัดแย้ง มันจะกลายเป็น "การเมืองเรื่องอัตลักษณ์" ที่ยากจะหาทางประนีประนอม มักจะกลายเป็นความขัดแย้งยาวนานหลายศตวรรษ และมีการเติมพิษแห่งความรุนแรงลงไปชนิดที่ไม่พบในความขัดแย้งแบบอื่นๆ เพราะ "ถ้าพวกเขาปักใจว่าทำเพื่อสนองพระประสงค์ของพระเจ้า โอกาสที่พวกเขาจะปราณีและออมมือเมื่อมีข้อขัดแย้งย่อมมลายหายไป" ฮัลโลเวย์ยกตัวอย่างสงครามศาสนาในสก๊อตแลนด์ช่วงศตวรรษที่ 17 ที่เรียกกันว่า "ยุคห้ำหั่น" (Killing Times) ซึ่งกึกก้องด้วยเสียงร้องปลุกใจในสนามรบว่า "เพื่อพระเจ้า เราไม่ไว้ชีวิต" ขณะที่ในสงครามความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาวมุสลิมในตะวันออกกกลาง ย่อมมีเสียงสรรเสริญอัลลอฮ์ขณะยิงจรวดใส่กัน

ฉะนั้น ที่เราขยาดความรุนแรงในนามศาสนา เป็นเพราะมันนำความตึงเครียดไร้เหตุผลเข้ามาสู่ข้อขัดแย้งของมนุษย์ "เพื่อพระเจ้า เราไม่ไว้ชีวิต" แปลว่า ไม่ปราณีและไม่ประนีประนอม

เหตุผลประการที่สอง คือ "ความย้อนแย้ง" (paradox) ในแก่นความเชื่อพื้นฐานของศาสนาเอง เพราะในเมื่อศาสนายืนยันความเชื่อพื้นฐานว่า "มนุษย์ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า" ดังพันธสัญญาใหม่กล่าวว่า "เรามีชีวิตและไหวตัว และเป็นอยู่ในพระเจ้า" แต่เหตุใดพระเจ้าจึงบัญชาให้บุตรของพระองค์ฝ่ายหนึ่งขัดแย้งและฆ่าบุตรของพระองค์อีกฝ่าย? เหตุใดพระองค์ทรงรักบุตรชาวยิวโดยการทำร้ายบุตรชาวปาเลสไตน์ของพระองค์เอง? เหตุใดพระองค์จึงสั่งให้บุตรชาวมุสลิมผู้บูชาพระองค์ในฐานะพระเจ้าเพียงองค์เดียวคุกคามบุตรนอกรีตผู้บูชาเทพเจ้าหลายองค์? เหตุใดจึงมีการกดขี่และความรุนแรงมากมายในประวัติศาสตร์ศาสนาจากน้ำมือของผู้ที่อ้างว่าพระเจ้าอยู่ข้างพวกเขา?

ฮัลโลเวย์ฝากคำถามให้คิดว่า ถ้าเราไม่พร้อมที่จะเชื่อว่า พระเจ้าทรงลำเอียง หรือเป็นทรราชผู้วิกลจริต เราจะมีทางออก หรือมีคำอธิบายต่อข้อเท็จจริงของปัญหาดังกล่าวอย่างไร

จะอย่างไรก็ตาม ฮัลโลเวย์มองว่า ความรุนแรงบางอย่างในนามศาสนาก็อธิบายได้ว่า "มีความชอบธรรม" ตัวอย่างเช่น โมเสสพาชาวยิวหนีจากความเป็นทาสแรงงานของฟาโรห์แห่งอียิปต์อพยพสู่ทะเลทราย ย่อมจำเป็นต้องใช้ความรุนแรงช่วย แต่การใช้ความรุนแรงเพื่อปลดปล่อยทาสผู้ถูกปฏิบัติเสมือนไม่ใช่มนุษย์และพร้อมจะถูกเขี่ยทิ้งเหมือนเศษสวะได้ตลอดเวลา เราย่อมเข้าใจได้ว่ามีความชอบธรรม

เมื่อศาสนาในความหมายที่เป็น "พลังแห่งการปลดปล่อยจากการถูกกดขี่" แบบโมเสสและเยซูถูกนายทาสที่เป็นคนผิวขาวนำมาสอนทาสชาวแอฟริกัน บรรดาทาสเหล่านั้นย่อมซึมซับความหมายของศาสนาคริสต์ราวกับเป็น "เรื่องราวของพวกเขาเอง" ขณะที่นายทาสกลับมีวิถีชีวิตของผู้กดขี่ซึ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับความหมายของศาสนาที่พวกตนสอน

ศาสนาของนายทาสถูกใช้เป็น "ยาฝิ่น" บรรเทาความเจ็บปวดของบรรดาทาสชาวแอฟริกันจากการถูกเฆี่ยน ถูกกดขี่บังคับให้ทำงานหนักอย่างทารุณอยู่นาน ต่อมาศาสนาได้ถูกแปรเป็นพลังในการต่อสู้ปลดปล่อยทาสในอเมริกัน และส่งต่อพลังดังดังกล่าวมาสู่การต่อสู้เพื่อสิทธิเท่าเทียมของคนผิวดำ โดยนักเทศน์ผู้มีวาทะปลุกเร้าความเท่าเทียมอย่างทรงพลัง นามมาร์ติน ลูเทอร์ คิง

ประวัติศาสตร์จึงแสดงให้เราได้เห็นว่า เมื่อศาสนาอยู่ข้างผู้ถูกกดขี่ ศาสนาย่อมงดงามและเปี่ยมพลังแห่งการปลดปล่อย ไม่ว่ากรณีของมาร์ติน ลูเทอร์ คิง, มหาตมะ คานธี หรือพุทธศาสนาในศรีลังกา, พม่า, ที่เคยเป็นพลังในการต่อสู้กับการกดขี่ของประเทศเจ้าอาณานิคม เราย่อมเห็นได้ถึงด้านที่งดงามและคุณค่าทางการเมืองของพลังทางศาสนา

ทว่าเมื่อศาสนามีอำนาจทางการเมือง ย่อมมีความหมายที่ต่างออกไป จริงอยู่ แม้จะฟังดูมีเหตุผลดังที่นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนไว้ในตอนท้ายบทความ "ความแปลกหน้าของมุสลิม" (https://www.matichonweekly.com/featured/article_58920 ) ว่า

" ผมควรกล่าวด้วยว่า หากศาสนามีความสำคัญแก่ผู้คนในสังคมมากอย่างเช่นสังคมอิสลาม จึงไม่แปลกอะไรที่ผู้นำทุกฝ่ายย่อมอ้างศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมืองทั้งนั้น ทั้งฝ่ายที่ครองอำนาจและฝ่ายที่อยากจะแย่งอำนาจ อันที่จริงศาสนิกอื่นก็ทำอย่างเดียวกัน เพียงแต่สิ่งที่อ้างไม่เกี่ยวกับ 'ศาสนา' เท่านั้น เช่น อ้างคอมมิวนิสต์, อ้างชาตินิยม, อ้างเสรีภาพและประชาธิปไตย, อ้างทุนนิยม, อ้างความเป็นไทยหรือความเป็นอเมริกัน, อ้างเสาหลัก ฯลฯ แล้วก็จับอาวุธฆ่ากันอยู่เสมอ "

แต่ความจริงที่ต้องพูดต่อจากนิธิคือ เมื่อศาสนามีอำนาจทางการเมืองเสียเอง ย่อมกลายเป็นปัญหาที่ยากยิ่ง เพราะเมื่อเราเผชิญกับอำนาจทางการเมืองในนามศาสนา เราไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับอำนาจของมนุษย์ด้วยกัน หากแต่เรากำลังเผชิญหน้ากับ "อำนาจของพระเจ้า" หรือ "อำนาจของธรรม" ในองค์สมมติเทพที่แตะไม่ได้

อันที่จริง เราควรจะย้อนไปพิจารณาเหตุผลของฮัลโลเวย์ว่า ทำไมเราจึงขยาดความรุนแรงในนามศาสนา แม้ว่าเราจะยอมรับความจริงว่ามันมีความรุนแรงเกิดขึ้นในมิติอื่นๆ ดังที่กล่าวข้างต้นและดังที่นิธิชี้ให้เห็น และเราควรจะพูดให้ชัดลงไปว่า การอ้างศาสนาเข้าสู่อำนาจทางการเมืองแบบที่นิธิกล่าวถึงนั้น มันคือการอ้างภายใต้ระบบการเมืองการปกครองที่สถาปนาขึ้นโดยศาสนา ซึ่งเราก็ได้บทเรียนมาแล้วว่า อำนาจทางการเมืองที่ศาสนาสถาปนาขึ้นในยุคกลางในยุโรป หรือรัฐนาฏกรรมในเอเชีย รวมทั้ง "รัฐศาสนา" ในปัจจุบันนั้น อย่าว่าแต่จะมีสิทธิ เสรีภาพทางการเมืองและทางอื่นๆ เลย แม่แต่ "เสรีภาพทางศาสนา" แบบสังคมโลกวิสัยก็ไม่สามารถจะมีได้

ดังนั้น การอ้างเสรีภาพและประชาธิปไตยในการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง จึงมีความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการอ้างศาสนาเข้าสู่อำนาจทางการเมือง และการลงโทษผู้กระทำความผิดบนหลักสิทธิมนุษยชนก็ย่อมต่างอย่างสิ้นเชิงกับการลงโทษตามหลักศาสนา ด้วยการปาหิน ตัดมือ ประหารชีวิตคนรักร่วมเพศ ฯลฯ ตามที่ผมยกข้อโต้แย้งมาให้เห็นข้างต้น จริงอยู่ การตัดมือและประหารชีวิตก็ผ่านกระบวนการพิจารณาของศาล แต่ศาลตามกฎหมายศาสนาก็ต่างอย่างสิ้นเชิงกับศาลที่ใช้กฎหมายบนหลักสิทธิมนุษยชน นี่เป็นความต่างทาง "หลักการพื้นฐาน" ที่ชัดแจ้ง

การเปลี่ยนระบบการเมืองการปกครองและเรื่องสาธารณะอื่นๆ จากอำนาจศาสนา จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องของการต่อสู้ที่ยาวนาน ผ่านการสูญเสียมหาศาล และมีบทเรียนชัดเจนแล้วว่า เมื่อศาสนามีอำนาจทางการเมืองแบบยุคกลาง มักจะนำมาซึ่งการกดขี่และความรุนแรง แม้แต่พุทธศาสนาที่ไม่ได้มีอำนาจทางการเมืองเต็มที่แบบคริสต์และอิสลาม แต่เมื่อเป็นศาสนาของคนส่วนใหญ่และมีบทบาทชี้นำทางการเมืองสูงแบบพุทธศรีลังกา,พม่า, ไทย ก็มักจะนำไปสู่ความรุนแรงได้เช่นกัน

หรือแม้แต่พุทธแบบธิเบตที่นำโดยทะไลลามะองค์ปัจจุบัน ถ้าเราลอง "สมมติ" ให้ทะไลลามะเป็นองค์จักรพรรดิจีน (โดย "สมมติ" ต่ออีกว่าจีนยังเป็นระบบกษัตริย์) เราย่อมจะจินตนาการเห็นบทบาทศาสนาของทะไลลามะต่างออกไปจากบทบาทอันสวยงามด้วยสำนึกการปลดปล่อยอย่างที่เห็นได้ในปัจจุบัน

ดังนั้น หลักการของแนวคิดโลกวิสัย (Secularism) ที่ยืนยันการเปลี่ยนแปลงการปกครองภายใต้หลักความเชื่อทางศาสนามาเป็นการปกครองด้วยหลักการทางโลก จึงถูกต้องดังที่ฮัลโลเวย์กล่าวว่าเป็น "การถอดเขี้ยวเล็บ" ของศาสนา เพราะถ้าให้ศาสนายังมีเขี้ยวเล็บคือมีอำนาจทางการเมืองแบบที่เคยมีมา เสรีภาพ ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนย่อมเกิดไม่ได้

ผมไม่ได้มองว่าสิทธิมนุษยชนคือ "ศาสนา" เพื่อนต่างศาสนาของผมมักจะบอกว่า "สิทธิมนุษยชนเป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้น ไม่อาจเทียบได้กับบทบัญญัติของพระเจ้า" แต่ผมมองตามข้อเท็จจริงว่า หลักสิทธิมนุษยชนไม่ได้ขัดแย้งกับคำสอนสำคัญของศาสนา ในส่วนที่ถือว่าทุกคนคือบุตรของพระเจ้าเท่าเทียมกัน พระเจ้าให้เจตจำนงเสรีแก่มนุษย์ พระองค์รักมนุษย์ และมนุษย์รักพระองค์ ผู้ยืนยันหลักสิทธิมนุษยชนไม่ได้มีปัญหาใดๆ กับคำสอนศาสนาเกี่ยวกับเรื่องความรัก ความเมตตากรุณา การให้อภัย ความอดกลั้นต่อความเชื่อที่แตกต่าง หรือประเพณีพิธีกรรมทางศาสนาที่ไม่ละเมิดสิทธิของบุคคล

แต่หลักสิทธิมนุษยชนจะขัดแย้งโดยเฉพาะกับคำสอนศาสนาใดๆ ที่ไม่เคารพสิทธิและความเท่าเทียมทางเพศ การยอมรับระบบทาส การใช้อำนาจเผด็จการและความรุนแรงในนามพระเจ้า,ธรรมะ หรือความเชื่อใดๆ ที่ละเมิดสิทธิของปัจเจกบุคคล เสรีภาพทางศาสนา สิทธิ และเสรีภาพทางการเมือง

แน่นอน ผู้ยืนยันหลักหลักสิทธิมนุษยชน ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ กับการอ้างศาสนาเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ถ้าหากพระเจ้าหรือธรรมะของศาสนาใดๆ สามารถให้หลักประกันได้ว่า ผู้ใช้อำนาจทางการเมืองในนามศาสนา จะไม่มีทางละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ประวัติศาสตร์และความเป็นจริงในปัจจุบันยืนยันชัดแจ้งว่า พระเจ้าและธรรมะไม่เคยสามารถให้หลักประกันดังกล่าวได้จริง

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ก.แรงงานย้ำสมาคมประมง ปรับสภาพการจ้าง 1.2 หมื่น จูงใจให้แรงงานไทยมาทำงาน

Posted: 06 Nov 2017 11:19 PM PST

กระทรวงแรงงานย้ำสมาคมประมงและผู้ประกอบการประมงพร้อมปรับสภาพการจ้างแรงงานประมง ยื่นค่าจ้างเป็นรายเดือน ขั้นต่ำ 12,000 บาท จ่ายผ่านธนาคาร มีประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ สัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร สร้างหลักประกันในการทำงาน เพื่อจูงใจให้แรงงานไทยมาทำงานในภาคประมง

แฟ้มภาพ/ประชาไท

7 พ.ย.2560 รายงานข่าวจากกรมการจัดหางานแจ้งว่า อนุรักษ์ ทศรัตน์ ช่วยราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมาในกิจการประมงทะเลและแปรรูปสัตว์น้ำได้หมดอายุในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 แล้ว ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องจัดหาแรงงานมาทดแทน โดยกระทรวงแรงงานได้มีการหารือกับสมาคมประมงแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการประมงและผู้ที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงสภาพการจ้างและการทำงานพร้อมจัดสวัสดิการทุกรูปแบบให้กับแรงงานในภาคประมงเพื่อจูงใจให้แรงงานไทยหันมาทำงานในกิจการประมงทะเล ซึ่งตกลงจะจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างเป็นรายเดือนขั้นต่ำเดือนละ 12,000 บาท จ่ายผ่านธนาคาร พร้อมกับจัดสวัสดิการด้านที่พัก อาหาร การรักษาพยาบาล ประกันสุขภาพ ประกันสังคม รวมทั้งประกันชีวิตและประกันอุบัติเหตุให้กับแรงงานภาคประมง สำหรับคนงานที่มีประสบการณ์ก็จะได้ค่าจ้างมากขึ้นตามข้อตกลงในแต่ละราย โดยจะต้องมีการทำสัญญาจ้างที่กำหนดอัตราค่าจ้างและสวัสดิการต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับแรงงาน 

อนุรักษ์ กล่าวอีกว่า ในเดือนพฤศจิกายนนี้ทางการไทย จะไปเจรจาการนำเข้าแรงงานภาคประมงกับทางการเมียนมา แบบรัฐต่อรัฐ (GtoG) ซึ่งแรงงานต่างด้าวก็จะได้รับค่าจ้างและสวัสดิการเช่นเดียวกันกับแรงงานไทยด้วย และขอเชิญชวนแรงงานไทยมาทำประมง เพราะได้มีการปรับสภาพการจ้างงานที่เป็นธรรม รวมทั้งสวัสดิการต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้แรงงานไทยมีรายได้ที่ดีขึ้น มีความมั่นคงในชีวิตการทำงาน และไม่ต้องใช้ชีวิตบนท้องทะเลในต่างแดน หากท่านใดสนใจสามารถติดต่อรายละเอียดหรือสอบถามได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พาราไดซ์ เปเปอร์ส: เปิดโปงคนดังระดับโลกกับธุรกรรมหลบภาษีข้ามประเทศ

Posted: 06 Nov 2017 05:46 PM PST

จากการเปิดโปงข้อมูลธุรกรรมครั้งใหญ่ล่าสุด "พาราไดซ์ เปเปอร์ส" (Paradise Papers) พบว่าลูกเขยของโดนัลด์ ทรัมป์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับดีลรัสเซียลงทุนสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์กในสหรัฐแบบอ้อมๆ - บริษัทอย่างไนกี้หลบเลี่ยงภาษีหลายรูปแบบ - ที่ปรึกษาของจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดามีเอี่ยวในบริษัทสินเชื่อหนีภาษีที่เกาะเคย์แมน

หน้ารายงานข่าวพาราไดซ์ เปเปอร์สของ ICIJ (ที่มา: ICIJ)

มีการแฉรอบล่าสุดในชื่อชุดเอกสารว่า "พาราไดซ์ เปเปอร์ส" (Paradise Papers) ที่เปิดโปงเรื่องอิทธิพลของบรรษัทยักษ์ใหญ่และเศรษฐีที่ร่ำรวยในแวดวงเอกชนที่มีผลต่อการเมืองในระดับโลก รวมถึงกรณีที่บรรษัทระดับโลกหาวิธีหลีกเลี่ยงภาษีด้วยวิธีการตกแต่งบัญชีในวิธีที่ต่างไปจากเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ

เอกสาร "พาราไดซ์ เปเปอร์ส" จำนวนราว 13.4 ล้านชิ้นยังเปิดโปงการเมืองของประเทศมหาอำนาจ เช่น ความเกี่ยวข้องกันระหว่างรัสเซีย กับรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องที่ญาติของทรัมป์เองก็มีส่วนเอี่ยวกับการทำธุรกรรมลงทุนโซเชียลเน็ตเวิร์กสหรัฐฯ จากรัสเซียแบบอ้อมๆ ความเกี่ยวข้องระหว่างหัวหน้าฝ่ายระดมทุนให้นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด กับบริษัทสินเชื่อหนีภาษี และผลประโยชน์นอกอาณาเขตของพระราชินีแห่งอังกฤษ รวมถึงการแฉนักการเมืองต่างๆ มากกว่า 120 คน ทั่วโลก

สมาคมผู้สื่อข่าวสืบสวนสอบสวนนานาชาติ (The International Consortium of Investigative Journalists หรือ ICIJ) ระบุว่า สื่อเยอรมัน "ซุดดอยต์เซอ ไซตุง" ได้รับเอกสารรั่วไหลดังกล่าวมาจากบริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับธุรกรรมนอกประเทศ 2 แห่ง รวมถึงจากการจดทะเบียนของบรษัท 19 แห่ง ที่อยู่ภายใต้การพิจารณาของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องทำให้เป็นเส้นทางไปสู่การทำธุรกรรมมืด เอกสารเหล่านี้มีการแชร์ต่อให้กับนักข่าว 380 ราย ใน 67 ประเทศ รวมถึง ICJI เองและมีการนำเสนอในสื่อเช่นเดอะการ์เดียน

หนึ่งในประเด็นที่เอกสารเหล่านี้ระบุถึงคือการที่วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ผู้เป็นเศรษฐีหุ้นนอกตลาด มีหุ้นอยู่ในบริษัทนำเข้า-ส่งออก เขาได้รับรายได้มากกว่า 68 ล้านดอลลาร์ในปี 2557 จากบริษัทพลังงานที่มีเจ้าของร่วมเป็นน้องเขยของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย นอกจากนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทรัมป์มากกว่าสิบคนต่างก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทนอกประเทศไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาในรัฐบาล คณะรัฐมนตรี หรือผู้บริจาครายใหญ่ให้ทรัมป์

การมีธุรกรรมลับในต่างประเทศถือเป็นอุปสรรคต่อเรื่องความโปร่งใสทั้งในแง่ของการหลบเลี่ยงภาษีที่ยากจะสืบค้นร่องรอยเจ้าของที่แม้จริง อีกทั้งยังเอื้อต่อการดึงดูดการฟอกเงิน การขนส่งยาเสพติด การเล่นพรรคเล่นพวก

บรูค แฮร์ริงตัน ศาตราจารย์ด้านการจัดการความมั่งคั่งจากวิทยาลัยธุรกิจโคเปนเฮเกนกล่าวว่าบริษัทการค้านอกประเทศเช่นนี้ยังเป็นการทำให้คนจนจนลงกว่าเดิม ถือเป็นการทำให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมด้านความมั่งคั่งเลวร้ายลง เปิดโอกาสให้เศรษฐีใหญ่จำนวนไม่กี่คนทำอะไรนอกกฎหมายได้ขณะที่สร้างผลประโยชน์ให้ตัวเองโดยไม่ถูกจำกัด

การเปิดโปงครั้งล่าสุดนี้ยังเป็นการขยายผลจากกรณีการเปิดโปงเอกสารลับ "ปานามา เปเปอร์ส" ในปี 2559 จากการสืบสวนสอบสวนของ ICIJ และสื่ออื่นๆ ที่เข้าร่วม โดยมีกรณีที่ลงรายละเอียดมากที่สุดคือบันทึกของบรรษัทกฎหมายอย่าง Appleby และบริษัทช่วยเหลือด้นธุรกรรมของยรรษัทข้ามชาติอย่าง Estera

ในกรณีของ Appleby นั้นมีบันทึกต่างๆ ตั้งแต่ปี 2493 ถึงปี 2559 ระบุถึงบรรษัทและบุคคลอย่างน้อย 31,000 รายจากประเทศต่างๆ เช่น สหราชอาณาจักร, จีน, สหรัฐฯ และแคนาดา มีการเชื่อมโยงไปยังประเทศต่างๆ 180 ประเทศ โดยมีสำนักงานในสถานที่อย่างเบอร์มิวดา, ฮ่องกง, เซี่ยงไฮ้, หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน และที่อื่นๆ

ถึงแม้ Appleby จะแถลงต่อการสืบสวนของ ICIJ ในครั้งนี้ว่าไม่มีหลักฐานว่าพวกเขาทำอะไรผิดและพวกเขามีการตรวจสอบอย่างมีมาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ แต่จากเอกสารก็ระบุถึงกรณีที่พวกเขาทำธุรกรรมให้กับลูกค้ากลุ่มเสี่ยงๆ จากอิหร่าน, รัสเซีย และลิเบีย มีเรื่องการตรวจสอบบัญชีของรัฐบาลที่ล้มเหลวจนเกิดช่องโหว่ในกระบวนการต้านการฟอกเงิน และเคยถูกฟ้องร้องอย่างลับๆ จากผู้ตรวจสอบการเงินของเบอร์มิวดา

มีอีกหลายเรื่องที่เอกสารเหล่านี้เปิดโปงออกมา เช่น เรื่องของพระราชินีอลิซาเบธของอังกฤษที่มีการใช้เงินจากสำนักงานทรัพย์สินลงทุนในกองทุนเคย์แมนไอส์แลนด์หลายล้านปอนด์ และเงินบางส่วนก็ถูกใช้ไปกับธุรกิจห้างร้านที่ถูกวิจารณ์เรื่องการเอารัดเอาเปรียบครอบครัวคนจนและคนที่ขาดโอกาส

ยังมีกรณีที่ สตีเฟน บรอนฟ์แมน หัวหน้าฝ่ายระดมทุนและที่ปรึกษาของจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา เป็นผู้จัดการบริษัทสินเชื่อหนีภาษีในเคย์แมนไอส์แลนด์ แม้กระทั่งบริษัทเครื่องกีฬาชื่อดังอย่างไนกี้พาราไดซ์เปเปอร์สก็ให้ข้อมูลว่าไนกี้มีการหาวิธีเลี่ยงภาษีด้วยการโยกย้ายเงินข้ามประเทศหลายรูปแบบ

ในกรณีของ โดนัลด์ ทรัมป์ เอกสารของ Appleby ก็เผยให้เห็นว่าวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์ของรัฐบาลทรัมป์อาศัยชื่อบริษัทในเคย์แมนไอส์แลนด์หลายแห่งในการจัดการด้านการเงินกับบริษัทนาวิเกเตอร์โฮลด์ดิงส์ซึ่งเป็นบริษัทนำเข้า-ส่งออก มีลูกค้ารายใหญ่เป็นบริษัทพลังงานซิเบอร์ที่มีเจ้าของคือคิริลล์ ชามาลอฟ ลูกเขยของปูติน และเกนนาดี ทิมเชงโก เศรษฐีสหรัฐฯ ที่รัฐบาลสหรัฐฯ เคยประกาศคว่ำบาตรในปี 2557 เนื่องจากเห็นว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับปูติน

แดเนียล ฟรายด์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องรัสเซียที่เคยทำงานให้กับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ทั้งในยุคสมัยรัฐบาลรีพับลิกันและเดโมแครตกล่าวว่าซิเบอร์เป็นบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบพวกพ้องเส้นสาย ในขณะที่โฆษกของรอสส์กล่าวว่ารอสส์ไม่เคยพบชามาลอฟเป็นการส่วนตัวและไม่ได้ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดในช่วงที่นาวิเกเตอร์เริ่มทำธุรกิจกับซิเบอร์

นอกจากนี้ยังมีกรณีที่พบว่าสื่อโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ต่างก็ได้รับเงินลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ที่มีส่วนเกี่ยวโยงย้อนไปถึงบริษัทการเงินที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลรัสเซีย 2 แห่ง โดยผ่านทาง ยูริ มิลเนอร์ นักลงทุนเทคโนโลยีผู้ที่ถือหุ้นบริษัทเดียวกับ จาเรด คุชเนอร์ ลูกเขยของทรัมป์และและที่ปรึกษาระดับสูงของทำเนียบขาว

เอกสารลับเหล่านี้ยังเปิดเผยถึงเรื่องน่าสนใจอื่นๆ เช่น กรณีที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ซื้อเครื่องบินสอดแนมโดยอาศัยการทำธุรกรรมกับบริษัทนอกประเทศ บริษัทที่มีเจ้าของเป็นวิศวกรชาวแคนาดาพยายามสร้างปืน "ซูเปอร์กัน" ให้กับซัดดัม ฮุสเซน เผด็จการอิรัก และบริษัทในเบอร์มิวดาของนักบวชเม็กซิกันที่ก่อตั้งนิกายย่อยของศาสนาคริสต์คาทอลิค "ลีเจียนแนร์ออฟไครสต์" ที่ต่อมามีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก

 

เรียบเรียงจาก

Offshore Trove Exposes Trump-Russia Links And Piggy Banks Of The Wealthiest 1 Percent, ICIJ, 05-11-2017

What are the Paradise Papers and what do they tell us?, The Guardian, 05-11-2017

Russia funded Facebook and Twitter investments through Kushner associate, The Guardian, 05-11-2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น