ประชาไท | Prachatai3.info |
- หมายเหตุประเพทไทย 182 คำถามใหม่ของการจัดการภัยพิบัติ
- จับ นศ.สาขาปฐพีวิทยา ลอบขายเมล็ดพันธุ์กัญชาทางเฟสบุ๊ค
- บริษัทในญี่ปุ่นเพิ่มวันหยุดพิเศษ 6 วัน ให้พนักงานที่ไม่สูบบุหรี่
- รพ.มหา'ลัยชี้แยกเงินเดือนจากงบรายหัว ส่งผลลบทางการเงินแก่โรงพยาบาล
- คน กทม. เกินครึ่งอยากให้ภาครัฐส่งเสริมแอปพลิเคชั่นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
- ยก “อุทัยธานี” ต้นแบบดูแลผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงในชุมชน ดึง อปท.ตั้งกองทุนเกือบครบทั้งจังหวัด
- เศรษฐีอเมริกัน 'โจ ริคเกตต์ส' สั่งปิดสื่อตัวเอง หลังพนักงานมีมติเข้าร่วมสหภาพ
- กวีประชาไท: แดนเดียวดาย
- คนไทย หัวใจ-คอร์รัปชั่น
หมายเหตุประเพทไทย 182 คำถามใหม่ของการจัดการภัยพิบัติ Posted: 05 Nov 2017 05:55 AM PST ในห้วงปี 2560 ที่เกิดอุทกภัยขึ้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ เจนวิทย์ เชื้อสาวะถี สนทนากับ คำ ผกา แนะนำบทความของสายพิณ ศุพุทธมงคล. "คนกับภัยพิบัติ: งานวิจัยทางสังคมศาสตร์" ที่ตีพิมพ์ในวารสารธรรมศาสตร์ปี 2554 (อ่านบทความ) ที่นำเสนอคำถามใหม่ๆ ทางสังคมศาสตร์เกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ โดยในรายการจะชวนคิดต่อว่าคำถามเหล่านี้จะช่วยก่อรูปวิธีการใหม่ๆ เพื่อจัดการภัยพิบัติ นอกเหนือไปจากการคำนวณมวลน้ำ และการบรรเทาทุกข์เชิงสังคมสงเคราะห์ได้อย่างไร ติดตามได้ในรายการ ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
จับ นศ.สาขาปฐพีวิทยา ลอบขายเมล็ดพันธุ์กัญชาทางเฟสบุ๊ค Posted: 05 Nov 2017 03:00 AM PST ตำรวจสืบสวนสอบสวนนครบาล 1 จับนักศึกษา สาขาปฐพีวิทยา ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ลักลอบขายเมล็ดพันธุ์กัญชาสายพันธุ์ต่างประเทศพร้อมอุปกรณ์และคู่มือทางเฟสบุ๊ค ระบุอาศัยความรู้เกี่ยวกับปฐพีวิทยาที่เรียนมาให้คำแนะนำการปลูกกับลูกค้า ตำรวจเตรียมขยายผลกลุ่มลูกค้าต่อ 5 พ.ย. 2560 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.ต.ต.ฤชากร จรเจวุฒิ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมตำรวจสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 แถลงจับกุมนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง สาขาปฐพีวิทยา พร้อมของกลางเมล็ดพันธุ์กัญชา สายพันธุ์ต่างประเทศ จำนวน 235 เม็ด, อุปกรณ์เพาะปลูก พร้อมจัดส่ง 5 กล่อง เมล็ดกัญชาบรรจุซองกระดาษสีน้ำตาล พร้อมส่ง 22 ซอง หลังพบมีการลักลอบขายเมล็ดพันธุ์กัญชาเกรดพรีเมียมจากต่างประเทศ ผ่านทางเฟสบุ๊คโดยสามารถจับกุมได้ที่สะพานลอย ใกล้ซอยเพชรเกษม 62/1 ซึ่งเจ้าหน้าที่พบข้อมูลว่า มีการลักลอบขายเมล็ดกัญชา ผ่านช่องทางเฟสบุ๊ค พร้อมทั้งอุปกรณ์การปลูก รวมทั้งระบุขั้นตอน แนะนำและวิธีการในการเพาะปลูก ดูแลรักษา ตั้งแต่เพาะเมล็ด อัตราการผสมดินและปุ๋ย การควบคุมแสงสว่าง ระยะเวลาในการปลูกพร้อมเก็บเกี่ยวผลผลิต ระยะเวลางดปุ๋ย ขั้นตอนการจัดเก็บตากแห้งดอกกัญชา และให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าที่ซื้อเมล็ดกัญชาไปเพาะปลูกเป็นการเฉพาะ และจากการตรวจสอบพบว่ามีผู้ใช้เฟสบุ๊คติดตามเพจดังกล่าวมากถึง 15,000 คน และเมล็ดพันธุ์กัญชาจะถูกส่งให้กับผู้ซื้อผ่านทางช่องทางไปรษณีย์ เจ้าหน้าที่จึงล่อซื้อเมล็ดกัญชา จากผู้ต้องหาผ่านทางเพจดังกล่าว และนำเมล็ดกัญชาที่ได้สั่งซื้อ มาส่งตรวจสอบที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน และ ป.ป.ส. และผลการตรวจสอบยืนยันว่าเมล็ดดังกล่าวเป็นเมล็ดกัญชาจริง จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เป็นเจ้าของเพจดังกล่าวจริง โดยจะสั่งซื้อเมล็ดกัญชาสายพันธ์ต่าง ๆมากกว่า 800 สายพันธ์ ซึ่งแต่ละสายพันธ์จะให้ความรู้สึกหลังจากการเสพที่แตกต่างกันไป โดยสั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์ขายเมล็ดกัญชาจากต่างประเทศ (ลักษณะคล้ายซื้อขายของออนไลน์โดยทั่วไป) จากนั้นโอนเงินและแจ้งที่อยู่จัดส่งสินค้า แก่เว็บไซต์ดังกล่าวประมาณ 20 วัน จะมีพัสดุส่งมาจากต่างประเทศ ก่อนจะนำมาขายในเพจที่เปิดรอไว้ พร้อมทั้งมีการแนะนำวิธีเพาะปลูกและดูแลเมล็ดกัญชาให้กับลูกค้า เพื่อให้เกิดผลที่สมบูรณ์ โดยเริ่มต้นขายเมล็ดกัญชามาได้ 3 ปี มีลูกค้าประมาณ 2,000 ราย สามารถทำรายได้ประมาณเดือนละ 4-5 หมื่นบาท โดยอาศัยความรู้เกี่ยวกับปฐพีวิทยา ที่เรียนมาให้คำแนะนำการปลูกกับลูกค้าที่ซื้อไป เบื้องต้นถูกตั้งข้อหา มีกัญชาโดยผิดกฎหมายไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และตำรวจจะขยายผลไปยังกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเมล็ดกัญชาจากผู้ต้องหาไป ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
บริษัทในญี่ปุ่นเพิ่มวันหยุดพิเศษ 6 วัน ให้พนักงานที่ไม่สูบบุหรี่ Posted: 05 Nov 2017 02:07 AM PST บริษัทแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นมีสวัสดิการแหวกแนวให้กับพนักงานที่ 'ไม่สูบบุหรี่' โดยเพิ่มวันหยุดพิเศษให้ 6 วัน ชี้พนักงานเหล่านี้ทำงานต่อเนื่องมากกว่าพนักงานที่ออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกวันละหลายครั้ง 5 พ.ย. 2560 เรื่องที่ไม่อาจมองข้าม เมื่อ 'เวลางาน' หายไปกับการออกไป 'สูบบุหรี่' ของพนักงาน บริษัทแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเริ่มเล็งเห็นปัญหานี้ และได้ออกมาตรการเชิงบวกให้กับพนักงานที่ไม่สูบบุหรี่แทนการกดดันพนักงานที่สูบบุหรี่โดยตรง เว็บไซต์ cnbc.com รายงานเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2560 ที่ผ่านมาว่า บริษัท Piala Inc. ได้เพิ่มวันหยุดพิเศษให้กับพนักงานที่ไม่สูบบุหรี่ปีละ 6 วัน โดยระบุว่าพนักงานที่ไม่สูบบุหรี่ทำงานต่อเนื่องมากกว่าพนักงานที่ออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกวันละหลายครั้งในแต่ละวัน โดย Piala Inc. สำนักงานตั้งอยู่บนชั้น 29 ของอาคาร พนักงานที่สูบบุหรี่จะต้องลงมายังพื้นที่สูบบุหรี่ชั้นล่างซึ่งทำให้เสียเวลาทำงานไปถึง 15 นาที ในแต่ละครั้ง โฆษกของ Piala Inc. ระบุว่าได้รับการแนะนำจากพนักงานที่ไม่สูบบุหรี่ว่าการสูบบุหรี่ได้สร้างปัญหาให้กับการทำงาน โดยคำแนะนำนี้ถูกใส่ไว้ในกล่องรับคำแนะนำของบริษัทเมื่อช่วงต้นปี เป็นเหตุให้บริษัทฯ ต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้พนักงานเลิกสูบบุหรี่ โดยผ่านสิ่งจูงใจมากกว่าการบีบบังคับ สัดส่วนของผู้ใหญ่ญี่ปุ่นสูบบุหรี่มากกว่าชาวอเมริกัน แม้ในปีที่ผ่านมาสัดส่วนของผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่ญี่ปุ่นจะลดลงต่ำกว่าร้อยละ 20 เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯแล้ว พบว่าร้อยละ 15 ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกันสูบบุหรี่ลดลงจากร้อยละ 20 ในปี 2548 ทั้งนี้การสูบบุหรี่ในอเมริกาลดลงเนื่องจากการการณรงค์และกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ นอกจากนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิต 130,000 คน ทุกปีในญี่ปุ่นจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่และอีก 15,000 รายเสียชีวิตจาก 'ควันบุหรี่มือสอง' และผู้ชายญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะสูบบุหรี่มากกว่าผู้หญิงถึงสามเท่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาผู้ว่าการกรุงโตเกียวเปิดเผยว่ามีแผนที่จะออกฎห้ามสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะทั่วเมืองก่อนโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 (พ.ศ.2563) แต่อาจจะเป็นเรื่องยากเช่นเดียวกับสหรัฐฯ สำหรับการต่อกรกับอุตสาหกรรมบุหรี่ เพราะก่อนหน้านี้กระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นพยายามออกกฎห้ามสูบบุหรี่ภายในอาคารและในร้านอาหาร แต่กฎนี้ถูกทำให้ผ่อนคลายลงหลังจากที่ถูกนักการเมืองกดดัน อย่างไรก็ตามมาตรการที่ดำเนินการโดย Piala Inc. นี้น่าจะเป็นผลดี เพราะทำให้พนักงาน 4 คน ของบริษัทฯ เลิกสูบบุหรี่ได้แล้ว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
รพ.มหา'ลัยชี้แยกเงินเดือนจากงบรายหัว ส่งผลลบทางการเงินแก่โรงพยาบาล Posted: 04 Nov 2017 10:54 PM PDT UHOSNET ชี้แยกเงินเดือนบุคลากรจากงบเหมาจ่ายรายหัวไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการเงินของโรงพยาบาล แถมส่งผลด้านลบทางการเงินแก่โรงพยาบาลสังกัด สธ.437 แห่ง และนอกสังกัด สธ.อีก 239 แห่ง แนะหามาตรการลดผลกระทบก่อนบังคับใช้กฎหมาย หนังสือเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทยถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 5 พ.ย.2560 รายงานจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการ รพ.รามาธิบดี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (UHOSNET) ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้ความเห็นต่อการแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในประเด็นการแยกเงินเดือนบุคลากรออกจากเงินเหมาจ่ายรายหัว ทั้งนี้ เนื้อหาของหนังสือดังกล่าวระบุว่า จากการจำลองสถานการณ์แยกเงินเดือนออกจากเงินเหมาจ่ายรายหัวพบว่าจะส่งผลด้านลบทางการเงินต่อโรงพยาบาลสังกัด สธ. 437 แห่ง ซึ่งรองรับประชากร 24 ล้านคน และโรงพยาบาลรัฐนอกสังกัด สธ.จำนวน 239 แห่ง รองรับประชากร 2.5 ล้านคน ตลอดจนจะซ้ำเติมด้านการเงินแก่โรงพยาบาลสังกัดโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยซึ่งปัจจุบันมีปัญหาการเรียกเก็บค่าชดเชยจากกองทุนได้เพียง 40-60% และอาจมีผลกระทบต่อระบบการส่งต่อผู้ป่วย ดังนั้นจึงขอเสนอความคิดเห็นดังนี้ 1.การแยกเงินเดือนออกจากเงินเหมาจ่ายรายหัวมีข้อดีทำให้แสดงงบประมาณด้านบริการสุขภาพชัดเจนขึ้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาด้านการเงินของโรงพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การแก้ปัญหาที่แท้จริงควรเพิ่มงบประมาณแก่โรงพยาบาลโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง 2. ในกรณีที่ไม่สามารถหางบประมาณมาเพิ่มเติมได้ ขอเสนอให้ 2.1 มีงบประมาณเพื่อลดผลกระทบแก่โรงพยาบาลสังกัด สธ. 437 แห่ง และโรงพยาบาลนอกสังกัด สธ. 239 แห่ง ซึ่งรับผิดชอบผู้ป่วยรวมกว่า 26.5 ล้านคน ให้สามารถดำเนินการให้บริการผู้ป่วยได้ 2.2 มีมาตรการกำหนดอัตราฐานในการชดเชยค่าบริการผู้ป่วยใน (Base Rate) กรณีการรักษาผู้ป่วยที่รับส่งต่อจากสถานพยาบาลอื่น ให้ชดเชยแบบรวมเงินเดือนของสถานพยาบาลต้นสังกัดมาด้วย และ 2.3 มีบทเฉพาะกาลใน พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กำหนดให้มีผลบังคับเกี่ยวกับการแยกเงินเดือนออกจากเงินเหมาจ่ายรายหัวต่อเมื่อมีมาตรการป้องกันความเสียหายแก่หน่วยบริการแล้วเสร็จ 3.หากมีการเพิ่มภาระงานในระบบหลักประกันสุขภาพ เช่น การให้บริการตาม พ.ร.บ.การแพทย์ปฐมภูมิและบริการสาธารณสุข หรือการดูแลโรคเรื้อรัง ขอให้พิจารณาชดเชยงบประมาณแก่หน่วยบริการ เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ นพ.สมชาย ศรีสมบัณฑิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลตากใบ จ.นราธิวาส หากมีการแยกเงินเดือนออกจากงบรายหัวจริง ผู้ที่ได้เปรียบก็คือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ได้แก่ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป ส่วนโรงพยาบาลขนาดเล็ก โดยเฉพาะโรงพยาบาลตามชนบทนั้นจะเสียเปรียบ เนื่องจากมีจำนวนประชากรเยอะ แต่มีข้าราชการน้อย นพ.สมชาย กล่าวต่อว่า หลักการเดิมก็คือต้องการปฏิรูประบบสาธารณสุขในเรื่องของบุคลากร เพราะที่ผ่านมาเข้าข่ายมือใครยาวสาวได้สาวเอา ฉะนั้นก็ปฏิรูปก็คือพื้นที่ที่ต้องดูแลประชากรมากๆ ก็จำเป็นต้องให้เงินมากๆ เพื่อไปจ้างบุคลากรเพิ่มขึ้นให้เพียงพอต่อการดูแลประชาชน นพ.สมชาย กล่าวว่า เรื่องการแก้กฎหมายครั้งนี้ พูดง่ายๆ ก็คือที่โรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไปสนับสนุนก็เพราะเขาได้ประโยชน์ คนที่ต่อต้านก็คือโรงพยาบาลตามชนบท ก็มักจะถูกกล่าวหาว่าคุยแต่เรื่องผลประโยชน์ จริงๆ เรื่องนี้ต้องคุยกันในเรื่องของหลักการ คือต้องมองว่าผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ได้อะไร คือเมื่อคุณแยกเงินเดือนออกไปแล้วประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร จะได้ไม่ต้องมานั่งเถียงกัน "คุณต้องยึดประชาชนเป็นหลักก่อนแล้วค่อยมาดูเรื่องนี้ คือเมื่อคุณแยกเงินเดือนไปแล้วปรากฏว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่อยู่รอบนอกนี้เสียประโยชน์ โรงพยาบาลที่อยู่นอกๆ ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เพราะได้รับงบประมาณหลักมาจากค่าเหมาจ่ายรายหัวทางเดียวมีปัญหา คนที่อยู่ชนบทก็ยิ่งแย่ หมอก็ยิ่งไม่อยากมาอยู่ชนบท เงินก็ไม่มี ค่าตอบแทนลำบาก ทุกอย่างก็ไหลเข้าไปในเมือง ก็กลายเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกันมาก" นพ.สมชาย กล่าว สำหรับความคืบหน้าการแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ส่งหนังสือขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ...... เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
คน กทม. เกินครึ่งอยากให้ภาครัฐส่งเสริมแอปพลิเคชั่นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง Posted: 04 Nov 2017 10:45 PM PDT บ้านสมเด็จโพลล์ระบุคน กทม. เกินครึ่งอยากให้ภาครัฐส่งเสริมแอปพลิเคชั่นมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพราะทำให้ทราบราคาค่าโดยสารที่แน่นอน-รู้สึกมั่นใจและปลอดภัย เรียกร้องให้รัฐจัดการเรื่องค่าโดยสารเกินอัตรา 5 พ.ย. 22560 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในเขตกรุงเทพมหานคร เก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 2,053 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 12 - 14 ก.ย. 2560 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่า ประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 99% และความผิดพลาดไม่เกิน 4% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,406 กลุ่ม ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่าผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อการให้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในเขตกรุงเทพมหานคร เนื่องจากกรมการขนส่งทางบก ร่วมกับ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองบัญชาการตำรวจนครบาล และสำนักเทศกิจ กรุงเทพมหานคร เปิดรับลงทะเบียนรถจักรยานยนต์สาธารณะ เป็นการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้าง โดยรถจักรยานยนต์ที่นำมาใช้จะต้องจดทะเบียนถูกต้อง (ป้ายเหลือง) ผู้ขับรถ เสื้อวิน บัตรประจำตัว และรถจะต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องและตรงกัน เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์หรือการปล่อยให้เช่าเสื้อวิน ทั้งนี้ หากพบการนำรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล (ป้ายดำ) มาใช้รับ-ส่งผู้โดยสาร ปรับไม่เกิน 2,000 บาท แต่งกายไม่ถูกต้องตามประกาศของกรมการขนส่งทางบก ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ไม่แสดงใบอนุญาตขับรถ ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ซึ่งได้ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ระยะเวลา 3 ปี จุดที่น่าสนใจคือการที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่สามารถจอดรับผู้โดยสารได้เนื่องจากอยู่นอกพื้นที่ของตนเองทำให้เกิดปัญหาการปฏิเสธผู้โดยสารของมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ในการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้างประชาชนในกรุงเทพมหานครนั้นมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร ซึ่งผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อการให้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในเขตกรุงเทพมหานคร มีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ทราบว่ามีการจัดระเบียบมอเตอร์ไซค์รับจ้างโดยภาครัฐ โดยมอเตอร์ไซค์รับจ้างต้องเป็นป้ายทะเบียนสีเหลือง เสื้อวิน และมีบัตรประจำตัวตรงกับผู้ขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ร้อยละ 58.0 แต่มีการใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่มีป้ายทะเบียนสีดำร้อยละ 35.0 และไม่แน่ใจร้อยละ 36.9 สะท้อนว่าผู้ใช้บริการรับรู้เกี่ยวกับการจัดระเบียบของภาครัฐแต่ยังใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างป้ายทะเบียนสีดำ และอยากให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างมีการปรับปรุงในเรื่องการเรียกเก็บค่าโดยสารเกินอัตราเป็นอันดับแรก ร้อยละ 35.2 อันดับที่สอง คือการขับรถเร็ว/ผิดกฎจราจร ร้อยละ 32.1 อันดับที่สามคือไม่จอดรับ/ปฏิเสธผู้โดยสาร ร้อยละ 28.9 อันดับที่สี่คือ สภาพรถจักรยานยนต์/หมวกกันน็อก ร้อยละ 25.1 และอันดับที่ห้าคือ มารยาทของคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ร้อยละ 23.8 กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 44.8 เคยเรียกใช้บริการรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชั่น (Application) โดยอันดับหนึ่งคือ แกร็บไบค์ (GrabBike) ร้อยละ 60.7 อันดับสอง คือ โกไบค์ (Go Bike) ร้อยละ 20 อันดับที่สาม คือ บานาน่าไบค์ (Banana Bike) ร้อยละ 17.1 และอันดับที่สี่ คือ อูเบอร์โมโต (Ubermoto) ร้อยละ 13.6 ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 57.2 ต้องการให้ภาครัฐส่งเสริมแอพพลิเคชั่นในการเรียกรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง โดยร้อยละ 52.7 คิดว่าการใช้บริการผ่านแอปพลิเคชั่น ทำให้ทราบราคาค่าโดยสารที่แน่นอน ทำให้รู้สึกมั่นใจและปลอดภัย ร้อยละ 52.4 และ เพื่อความสะดวกสบาย ไม่ต้องเดินไปขึ้นที่วิน ไม่ต้องรอ/หามอเตอร์ไซค์รับจ้าง ร้อยละ 49.7 กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 56.2 ต้องการให้มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ลงทะเบียนกับแอปพลิเคชั่น ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ยก “อุทัยธานี” ต้นแบบดูแลผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงในชุมชน ดึง อปท.ตั้งกองทุนเกือบครบทั้งจังหวัด Posted: 04 Nov 2017 10:09 PM PDT "จังหวัดอุทัยธานี" ต้นแบบงาน "กองทุนดูแลสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาวหรือ LTC" 2 ปี ดึงท้องถิ่นร่วมจัดระบบดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงเกือบครอบคลุมทั้งจังหวัด เผยปีงบประมาณ 61 มี อบต.ร่วมจัดตั้งกองทุน LTC แล้ว 60 แห่ง จาก 62 แห่ง อีก 2 แห่งเตรียมร่วมจัดตั้งกองทุนเพิ่มเติม ชี้ปัจจัยสำเร็จเกิดจากความร่วมมือร่วมใจทุกภาคส่วน ใช้กลไก "คณะทำงานขับเคลื่อนด้วยใจถึงใจ" เป็นพี่เลี้ยงหนุนท้องถิ่นเดินหน้า 5 พ.ย. 2560 นายวันชัย แข็งการเขตร สาธารณสุขอำเภอเมืองอุทัยธานี ที่ปรึกษาคณะทำงานพี่เลี้ยงกองทุน จ.อุทัยธานี กล่าวว่า จากจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ จำเป็นต้องมีการจัดระบบการดูแลอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรองรับ โดยเฉพาะผู้ สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในจังหวัดอุทัยธานี ตระหนักถึงความสำคัญ จึงได้เข้าร่วมดำเนินงานบริหารจัดการการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Long Term Care: LTC) กับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบันมี อปท.สมัครเข้าร่วม 60 แห่ง จากจำนวน อปท.ในอุทัยธานี ทั้งสิ้น 62 แห่ง สำหรับ อปท.ที่เหลืออีก 2 แห่ง เตรียมที่จะเข้าร่วมเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้อุทัยธานีเป็นจังหวัดแรกของประเทศที่ อปท.เข้าร่วมดำเนินงานดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงครบทุกแห่ง นายวันชัย กล่าวต่อว่า ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นมาจาก อปท.ในอุทัยธานีมีนโยบายให้ความสำคัญต่อการดูแลผู้สูงอายุ ก่อให้เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ นอกจากการสนับสนุนโดย สปสช.ที่ได้จัดสรรงบภายใต้กองทุน LTC จำนวน 5,000 บาท/ราย/ปี ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัดแล้ว อปท.ในอุทัยธานียังได้ร่วมกันจัดตั้งคณะทำงานพี่เลี้ยงกองทุน จ.อุทัยธานีเพื่อเป็นพี่เลี้ยงในการขับเคลื่อนกองทุน LTC ขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีตัวแทน อปท.และหน่วยงานสาธารณสุขทั้งระดับอำเภอและจังหวัด เป็นทีมสนับสนุนการดำเนินงานดูแลระยะยาวสำหรับผู้ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงให้กับ อปท.ในพื้นที่ การวางกลไกติดตาม กระตุ้น และให้คำปรึกษาแนะนำ ส่งผลให้เกิดเครือข่ายและขยายการบริการดูแลผู้สูงอายุที่พึ่งพิงอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปี นางสาวทยากร ทองคำดี ปลัด อบต.ดงขวาง เลขานุการคณะทำงานฯ กล่าวว่า ในยุคเริ่มต้นของการทำงาน LTC จ.อุทัยธานี มีรูปแบบการดำเนินงาน LTC ให้ศึกษาน้อยมาก เนื่องจากมี อปท.ที่ทำในเรื่องนี้ไม่มาก ทำให้ อปท.และผู้จัดการการดูแลผู้สูงอายุ (Care manager: CM) ในอุทัยธานีต่างมีความกังวลและไม่กล้าขับเคลื่อนงาน LTC ทำให้ผู้สูงอายุที่พึ่งพิงต้องเสียโอกาสที่จะได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบที่ดี คณะทำงานฯ จึงได้ร่วมปรึกษาหารือและร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรค อาทิ การจัดทำแบบฟอร์มธุรการเพื่อเป็นแนวทางในการทำงาน นอกจากนี้ยังพลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วย การจัด "เวทีเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้สนใจและดำเนินงานกองทุน LTC" โดยแต่ละ อปท.ต่างหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพเพื่อมุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจ สิ่งใดที่เป็นข้อสงสัยก็ซักถามกันในเวทีโดยมี สปสช.เป็นที่ปรึกษาสนับสนุนความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นทาง Online จนเกิดการขับเคลื่อนการดำเนินงานกองทุน LTC อย่างจริงจัง นางสาวทยากร กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นยังได้มีการจัดอบรมอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ (Care Giver: CG) จากความร่วมมือร่วมใจนี้ยังได้เกิด "กองทุนบุญ CG และ CM" เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินงานดูแลผู้สูงอายุในส่วนที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ รวมทั้งเป็นขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน ด้าน นพ.จักรกริช โง้วศิริ ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า การดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่ สปสช.ได้รับมอบจากรัฐบาลเพื่อดำเนินการเชิงรุกจัดระบบดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่บ้านและชุมชน ร่วมกับ อปท. ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มอย่างต่อเนื่องจากปี 2559 จำนวน 600 ล้านบาท เป็น 900 ล้านบาทในปี 2560 และปี 2561 เพิ่มเป็น 1,200 ล้านบาท โดย สปสช.เน้นทำงานร่วมกับ อปท.และหน่วยงานด้านสาธารณสุขในพื้นที่ ซึ่งจังหวัดอุทัยธานีถือเป็นต้นแบบหนึ่งในการขับเคลื่อนกองทุน LTC ที่ประสบความสำเร็จ มีการดำเนินงานผ่านกลไกคณะทำงานเพื่อเป็นพี่เลี้ยงในการขับเคลื่อนและสนับสนุนการจัดตั้งและดำเนินงานกองทุน LTC ได้อย่างมีประสิทธิผล จึงนับเป็นแบบอย่างการดำเนินงานเพื่อขยายไปจังหวัดอื่นต่อไป ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เศรษฐีอเมริกัน 'โจ ริคเกตต์ส' สั่งปิดสื่อตัวเอง หลังพนักงานมีมติเข้าร่วมสหภาพ Posted: 04 Nov 2017 09:48 PM PDT เศรษฐียักษ์ใหญ่อเมริกันสั่งปิ 5 พ.ย. 2560 โจ ริคเกตต์ส เศรษฐีพันล้านเจ้ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้กลุ่มผู้ ถ้อยแถลงของโจ ริคเกตต์ส อ้างว่าการสั่งปิดสื่อตั กระนั้นโฆษกของ DNAinfo ก็เปิดเผยว่า "การตัดสินใจที่จะเข้าร่ "...รู้สึกใจสลาย" เสียงจากคนข่าวและพนักงานสื่อ กองบรรณาธิการของ Gothamist เคยลงมติร่วมกันว่าจะมีการเข้ ริคเกตต์สยังเคยเขียนเว็บล็ คนทำงานให้สื่อเหล่านี้ "ภายในชั่วพริบตา ส่วนหนึ่งของชีวิตผมที่ยิ่งใหญ่ นักกิจกรรมที่ชื่อชอน คิง ทวิตว่าเขารู้สึกโกรธในสิ่งที่ โนแลนระบุถึงกรณี Gothamist-DNAinfo สหภาพสื่อทำอะไรให้ชาวอเมริกั แฮมิลตัน โนแลน นักเขียนอาวุโสของ Splinter ระบุว่านักข่าวมักจะได้เห็นปั โนแลนระบุถึงความไม่จริงใจในถ้ "ความคิดที่ว่าพนักงานอย่างใน DNAinfo-Gothamist มีแรงจูงใจจะทำให้นายจ้างตั โนแลนมองว่าสหภาพแรงงานทำอะไรๆ ให้ชาวอเมริกันมากกว่ มีการพยายามกีดกันการร่ เรียบเรียงจาก Billionaire shuts down US and Chinese news sites after staff join union, The Guardian, 03-11-2017 News workers unionized. Days later, they were jobless. Was it payback?, The Guardian, 04-11-2017 ถ้อยแถลงการปิดตัว DNAinfo และ Gothamist, 02-11-2017 A Billionaire Destroyed His Newsrooms Out of Spite, The New York Times, 03-11-2017 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 04 Nov 2017 08:36 PM PDT น้ำหลากท่วมอ่วมอกนายกพูด
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 04 Nov 2017 07:46 PM PDT
"คอร์รัปชั่น" เป็นคำแสลงหูสำหรับปัญญาชนคนรุ่นใหม่ และเป็นปัญหาที่สะสมเรื้อรังมานานจนส่งผลกระทบต่อภาพรวมของระบบเศรษฐกิจและสังคม แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความใกล้ชิดและเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตคนไทยมาเนิ่นนานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไปแล้ว ทำให้คนไทยบางส่วนมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ยอมรับได้ คำนี้มีความหมายที่เข้าใจตรงกันว่า เป็นการทุจริตคดโกง , การไม่ซื่อสัตย์ , การฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นต้น เหตุใดและทำไม การคอร์รัปชั่นจึงเป็นสิ่งที่คนไทยรู้จักมักคุ้นกันมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ สิ่งใดคือรากเหง้าที่แท้จริงที่ทำให้การคอร์รัปชั่นดำรงอยู่ได้ โดยที่สังคมส่วนใหญ่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เสแสร้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่สนใจใยดีและไม่ได้จริงจังในการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด และสิ่งนั้นก็คือ ระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นระบบที่ก่อตัวมาจากระบบความสัมพันธ์ทางเครือญาติในระดับย่อยของสังคม จนพัฒนามาเป็นระบบพวกพ้องน้องพี่ที่ใหญ่ขึ้นในระดับประเทศ สิ่งนี้จึงเป็นหนึ่งในต้นตอของปัญหาทั้งมวล การทำงานอย่างมีปฏิสัมพันธ์และมีประสิทธิภาพระหว่างคนในแต่ละชนชั้นเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อกันเป็นเครื่องตอกย้ำว่า ทำไมการทุจริตคอร์รัปชั่นจึงยืนยงอยู่ได้ในสังคมไทย 1. ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นล่าง - ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง ในปัจจุบันรวมความถึงประชาชนรากหญ้าที่เป็นเกษตรกรรายย่อย , ลูกจ้างทั่วไป , คนงานในโรงงานอุตสาหกรรม , คนจนในเมือง , ผู้มีรายได้น้อยหรือคนหาเช้ากินค่ำ , ผู้ด้อยโอกาสในสังคม เป็นต้น กลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการแบ่งปันอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ มักโดนรังแกและเรียกรับผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่รัฐในระบบราชการอยู่เสมอ เช่น เข้มงวดกวดขันการบังคับใช้กฎหมายจราจร (ตรวจจับเฉพาะคนขับขี่รถจักรยานยนต์ , รถปิกอัพ , รถสิบล้อเท่านั้น) , จ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อหน่วยงานราชการ เป็นต้น ถือเป็นเรื่องทุจริตเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ในขณะที่ชนชั้นกลางซึ่งตีความได้ว่า เป็นข้าราชการพลเรือนและทหาร , นักธุรกิจ เจ้าของกิจการ , นักวิชาการ , สื่อมวลชน , พนักงานบริษัทเอกชน , ดารา นักร้อง นักแสดง , ผู้มีรายได้ปานกลางจนถึงชนชั้นกลางระดับบน เป็นต้น กลุ่มคนเหล่านี้มีทั้งกำลังเงินและกำลังความสามารถ ที่พรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องมือในการโน้มน้าวจิตใจ สร้างประเด็น และชี้นำสังคมได้อย่างมีนัยสำคัญ การพึ่งพิงและพึ่งพานั้นก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน อย่างแรกที่ผู้ใต้อุปถัมภ์ต้องทำ คือ ฝากตัวรับใช้นายหรือยอมรับอำนาจเหนือกว่าของผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนเสียก่อน หลังจากนั้นผู้อุปถัมภ์จึงจะให้รางวัลหรือผลประโยชน์เป็นการตอบแทน เช่น ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ , การสนับสนุนทางการเมือง เป็นต้น ซึ่งความสัมพันธ์ลักษณะนี้อธิบายได้คร่าวๆ ดังนี้ สิ่งแลกเปลี่ยนให้ชนชั้นกลาง คือ แรงงาน , เงิน (ส่วย) , ความอ่อนน้อม , การเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ , ความภักดีต่อเจ้านาย ชนชั้นล่างต้องออกแรงกายทำงานรับใช้หรือปรนนิบัติเพื่อหวังพึ่งใบบุญบารมีจากชนชั้นกลาง โดยส่งเงินหรือติดสินบนเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายบางประการ ขณะที่ชนชั้นล่างก็ต้องเสาะแสวงหาเจ้านายที่มีเส้นสายใหญ่เพียงพอที่จะอำนวยประโยชน์ต่อตนเองให้มากที่สุด เฉกเช่นดียวกับในอดีตที่ไพร่ต้องสังกัดมูลนายตามกฎหมายกำหนด และต้องทำงานรับใช้มูลนายโดยที่ไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งแลกเปลี่ยนให้ชนชั้นล่าง คือ การปกป้องคุ้มครอง , การช่วยเหลือเกื้อกูล , การชี้นำสังคม , การควบคุมสั่งการ ชนชั้นกลางจะตอบแทนชนชั้นล่างด้วยการให้คุ้มครองความปลอดภัยในทรัพย์สินหรือสวัสดิภาพจากชนชั้นกลางกลุ่มอื่นที่จะมาเอาเปรียบหรือหาประโยชน์จากชนชั้นล่าง , ช่วยฝากลูกเข้าทำงานในระบบราชการหรือฝากเข้าโรงเรียนรัฐบาล เป็นต้น ถือเป็นการขยายอิทธิพลและสร้างบารมี โดยสะสมทั้งกำลังเงินและกำลังคนเพื่อตั้งตัวเองขึ้นเป็นมาเฟียในชุมชน , ผู้กว้างขวางในท้องถิ่น หรือเป็นชนชั้นสูงในอนาคต 2. ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นกลาง - ชนชั้นสูง สิ่งแลกเปลี่ยนให้ชนชั้นสูง คือ ความรักความศรัทธา , การสรรเสริญเยินยอ , ความนอบน้อมและเคารพเชื่อฟัง (หมอบกราบ คลานเข่า) , ความภักดีต่อผู้เป็นเจ้านาย , ความสามารถเฉพาะทาง (แรงสมอง) , เงิน (ส่วย) , แรงงาน ชนชั้นกลางนอกจากจะออกเงินและแรงกายเพื่อทำงานรับใช้ หรือให้ความเคารพนอบน้อมและเชื่อฟังคำแนะนำจากผู้ใหญ่แล้ว สิ่งหนึ่งที่แตกต่างก็คือ การออกแรงสมอง , ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้ชนชั้นสูง ซึ่งชนชั้นกลางแต่ละกลุ่มก็จะอิจฉาริษยากันเอง แย่งกันประจบสบพลอ เอาอกเอาใจเจ้านายเพื่อให้กลุ่มของตนเองเด่นกว่าหรือได้ประโยชน์มากกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งการสรรเสริญเยินยอนี้จะเป็นการสร้างบารมีให้ชนชั้นสูงมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วชนชั้นกลางก็จะอ้างสิทธิ์อันชอบธรรมที่ได้รับการรับรองจากชนชั้นสูงเพื่อมาปกครองชนชั้นล่างต่อไป สิ่งแลกเปลี่ยนให้ชนชั้นกลาง คือ อำนาจบารมีแผ่ไพศาล , การปกป้องคุ้มครองหรือช่วยให้พ้นผิดจากคดีความ , การสนับสนุนทางการเมืองอย่างลับๆ , ผู้กำหนดมาตรฐานจริยธรรม , ผู้แต่งตั้งรัฐบาล ชนชั้นสูง เช่น ข้าราชการระดับสูงทั้งทหารและพลเรือน , กลุ่มทุนผูกขาดขนาดใหญ่ เป็นต้น จะตอบแทนความซื่อสัตย์ภักดีของชนชั้นกลางด้วยตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ , สัญญาจัดซื้อจัดจ้างโครงการภาครัฐ หรือช่วยให้พ้นผิดด้วยอภินิหารทางกฎหมายในคดีการเมือง เป็นต้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ การถือสิทธิ์กำหนดมาตรฐานคุณธรรมภายใต้หลักศาสนา หรือสร้างบรรทัดฐานจริยธรรมตามจารีตประเพณีอันดีงาม เพื่อใช้กำกับสังคมทั้งในแง่การปกครองและทางจิตวิญญาณอีกชั้นหนึ่ง รวมถึงรับรองความชอบธรรมให้คนบางกลุ่มกลายเป็นอภิสิทธิ์ชนเพื่อให้มีบทบาทควบคุมชนชั้นล่างลงไปเป็นทอดๆ อย่างไรก็ตาม ชนชั้นกลางบางส่วนและชนชั้นสูงมักดูถูกชนชั้นล่างเสมอว่า ชอบทำผิดหรือหลีกเลี่ยงกฎหมาย ซึ่งที่จริงแล้วก็เลียนแบบและเอาอย่างมาจากผู้ดีจอมปลอมพวกนี้นั่นเองที่มักทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย มีสองมาตรฐานและมีข้อยกเว้นสำหรับพวกตนเสมอ รวมถึงสร้างวัฒนธรรมที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความผิดที่เกิดขึ้น เช่น ลูกของกลุ่มทุนใหญ่ขับรถชนตำรวจจนเสียชีวิต แต่กระบวนการยุติธรรมก็ไม่สามารถนำตัวมาลงโทษได้ ทำให้บางคดีหมดอายุความด้วยเทคนิคทางกฎหมาย โดยที่ผู้เกี่ยวข้องไม่ถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงถือเป็นความบกพร่องโดยสุจริต แต่ถ้าเป็นคดีความของชาวบ้านทั่วไปจะมีลักษณะตรงกันข้าม โครงสร้างระบบอุปถัมภ์นี้ ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจทั้งในแง่การกระจายรายได้และความไม่เป็นธรรมในสังคม จนเกิดสภาพการรวยกระจุกในหมู่ชนชั้นสูงและชนชั้นกลางบางส่วน และสภาพความจนที่กระจายอยู่ในชนชั้นล่างและชนชั้นกลางที่เป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงสร้างความยากลำบาก ความแร้นแค้น ขาดแคลน และขัดสนในปัจจัยการผลิต ส่งผลให้ชนชั้นล่างเกิดความเดือดร้อน มีการคร่ำครวญโหยหา จนต้องบนบานศาลกล่าว ขอร้องเทวดาฟ้าดิน หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยดลบันดาลทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับชนชั้นสูงที่จะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเหลือแบบโปรยทานเป็นครั้งคราวไป และกลายเป็นบุญคุณอันล้นพ้นที่ชนชั้นล่างต้องตอบแทนอยู่เรื่อยไป อีกนัยหนึ่งของความเหลื่อมล้ำก็คือ การใช้โฆษณาชวนเชื่อเพื่อสร้างวาทกรรมตอบแทนบุญคุณแผ่นดินเพื่อกล่อมเกลาให้ผู้ใต้อุปถัมภ์ทำงานรับใช้ผู้อุปถัมภ์ด้วยความเต็มใจโดยปราศจากค่าตอบแทนใดๆ ส่วนดอกผลหรือประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะเป็นสิทธิ์ขาดของผู้อุปถัมภ์ จากอดีตที่ผ่านมา ประเทศไทยถูกชนชั้นสูงหรือผู้กุมอำนาจรัฐพยายามสร้างวาทกรรมปลุกปั่นและครอบงำความคิดประชาชนว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น เกิดจากนักการเมืองในระบบเลือกตั้งเท่านั้น ดังนั้นการจะแก้ปัญหาที่เรื้อรังมานานจึงต้องให้คนดีเข้ามามีอำนาจ มีตำแหน่งเป็นรัฐบาลเพื่อปกครองคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ สังคมจึงได้ยินเสียงพร่ำบอกอย่างสม่ำเสมอว่า ถึงระบบการปกครองจะไม่ดี แต่ถ้าได้คนดี (ไม่ว่าจะมาด้วยวิธีการใดก็ตาม) ก็ไม่เป็นไร ยอมรับได้ ดังนั้นสังคมไทยจะปกครองด้วยระบอบอะไรก็ได้ที่ทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี , เชื่อฟังและอยู่ในโอวาทผู้ใหญ่ ตั้งอยู่ในความสงบเรียบร้อยก็เพียงพอแล้ว รวมถึงชนชั้นสูงจะเป็นผู้คัดเลือกคนดีมีคุณธรรมมาเป็นรัฐบาล พร้อมทั้งรับรองความถูกต้องชอบธรรมและการันตีความซื่อสัตย์สุจริตอีกด้วย นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ศาสตราจารย์โรเบิร์ต คลิตการ์ด (Robert Klitgaard) ได้นำเสนอกรอบแนวคิดเพื่ออธิบายพฤติกรรมคอร์รัปชั่นไว้ว่า จากสมการข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นจะเพิ่มขึ้นหากระบบเศรษฐกิจมีการผูกขาด ไม่เกิดการแข่งขัน มีการรวบอำนาจไว้กับคนๆ เดียว และเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้ดุลยพินิจให้คุณให้โทษได้ แต่ในทางตรงกันข้าม การทุจริตคอร์รัปชั่นจะลดลงหากสังคมมีกลไกความรับผิดชอบที่เข้มแข็งมากขึ้น จริงๆ แล้วสมการนี้ไม่สามารถอธิบายสถานการณ์ในประเทศไทยได้ถูกต้องแม่นยำนัก เนื่องจากสังคมไทยมีความสลับซับซ้อนของระบบอุปถัมภ์ที่ซ่อนอยู่อีกหนึ่งชั้นหลังฉาก มีมือที่มองไม่เห็นคอยกำกับบงการเจ้าหน้าที่รัฐในทางพฤตินัย และเจ้าหน้าที่รัฐเองก็ยินยอมพร้อมใจเป็นมือเป็นไม้ให้ด้วย ทั้งนี้เพื่อ 1) ทดแทนบุญคุณที่เคยช่วยเหลือกันมาในอดีต 2) สร้างบุญคุณไว้เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ หากต้องการก้าวหน้าในอนาคต 3) ขอฝากตัวเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอุปถัมภ์ ถึงแม้ทุกคนจะรับรู้ถึงปัญหาเหล่านี้ดีแต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไร จึงเกิดปรากฎการณ์กินตามน้ำกันไปเพื่อความอยู่รอด โดยยึดหลักที่ว่า "รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง" ในกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน เช่น การตัดสินใจของภาครัฐที่ทำตามกรอบระเบียบกฎหมายแต่มีผลลัพธ์เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นกรณีพิเศษแล้ว สังคมก็ไม่สามารถตรวจสอบได้เลย แต่เมื่อหน่วยงานปราบทุจริตมาตรวจสอบและรับรองความถูกต้องตามระเบียบราชการแล้ว สังคมก็จะหยุดตรวจสอบทันทีทั้งๆ ที่รู้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น หรือบางครั้งสื่อมวลชนก็จงใจละเลยการขุดคุ้ยหาข้อมูลหรือพร้อมใจกันเซ็นเซอร์ตัวเองเพื่อความอยู่รอดปลอดภัย ยกตัวอย่าง ส.ต.ง. ไม่พบสิ่งผิดปกติในโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน , การใช้มาตรา 44 ยกเว้นการบังคับใช้ผังเมืองในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก , การเลื่อนสืบพยานโจทก์คดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมปิดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อปี 2551 เป็นต้น แต่ถ้าเป็นคดีความของฝ่ายตรงข้ามมักจะเกิดการเลือกปฏิบัติ โดยตัดสินอย่างเคร่งครัดตามตัวบทกฎหมาย เช่น คดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว มีการตีความว่า เป็นพฤติการณ์ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และส่อแสดงเจตนาแสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริตจากโครงการ รวมถึงเร่งรัดการสืบพยานและพิจารณาคดีอย่างรวดเร็วดโดยเปรียบเทียบ เป็นต้น ปัจจุบันมีองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นจำนวนมาก ได้แก่ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผู้ตรวจการฯ) , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) , สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (ส.ต.ง.) , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในส่วนกระบวนการยุติธรรม ก็มีการจัดตั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย แต่ก็เกิดคำถามตามมาจากสังคมว่า 1) องค์กรเหล่านี้ทำงานอย่างสุจริตเที่ยงตรงและเป็นธรรม รวมทั้งปฏิบัติต่อทุกคดีอย่างมีมาตรฐานเดียวกันใช่หรือไม่ 2) เป็นกลไกทางการเมืองเพื่อกำจัดพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามใช่หรือไม่ 3) ทำไมอัตราการคอร์รัปชั่นจึงยังไม่มีแนวโน้มลดลง ทั้งๆ ที่มีองค์กรอิสระจำนวนมาก ซึ่งข้อมูลขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) เปิดเผยว่า คะแนนและอันดับความโปร่งใสของประเทศไทยลดลงมาเรื่อยๆ หลังจากรัฐประหาร ปี 2557 ความแตกต่างของชุดคุณธรรมที่มีการสอนกันระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศไทยสังคมที่พัฒนาแล้วจะสอนให้ประชาชนมองออกไปข้างนอก คิดถึงผู้อื่นเป็นลำดับแรก โดยเน้นย้ำให้ความสำคัญเรื่องสิทธิและหน้าที่เป็นสำคัญ ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างซึ่งเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย สังคมไทยสอนให้ประชาชนมองเข้าข้างในหรือเน้นความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น เชิดชูตัวบุคคลเป็นหลัก , ยึดกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย , แยกไม่ออกระหว่างส่วนรวมกับส่วนตัว , ขาดจิตสาธารณะ , มองคนไม่เท่าเทียมกัน , มีลำดับชั้นความสัมพันธ์ , ยึดมั่นระบบอาวุโส , ไม่กล้าคิดแตกต่าง จึงเป็นสาเหตุให้ระบบอุปถัมภ์อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ถ้ามองผิวเผินแบบฉาบฉวยแล้ว การตราหน้าว่านักการเมืองเป็นต้นเหตุสำคัญของการทุจริตคอร์รัปชั่นแต่เพียงฝ่ายเดียว ก็ดูเหมือนเป็นการป้ายสีและจงใจทำให้สังคมเข้าใจผิดและหลงประเด็น จนไม่ต้องสืบหาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งระบบ ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว คนทุกคนในสังคมล้วนมีส่วนร่วมไม่มากก็น้อยในการส่งเสริมการทุจริตคอร์รัปชั่นให้ดำรงอยู่ได้โดยปราศจากการตรวจสอบและตั้งคำถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นสูงหรือผู้มีอำนาจรัฐที่เป็นต้นตอของปัญหาที่อยู่บนสุดในโครงสร้างระบบอุปถัมภ์ ซึ่งไม่มีใครกล้ากล่าวถึง ถึงแม้สังคมจะมองเห็นปัญหาแต่ก็ทำเมินเฉยมาตลอด ชนชั้นสูงเป็นกลุ่มคนที่อนุรักษ์นิยมไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบอุปถัมภ์แต่อย่างใด เพราะความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นนี้ เปรียบเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงให้ชนชั้นสูงมีสถานะที่แตะต้องไม่ได้ ดำรงความศักดิ์สิทธิ์ และมีสิทธิพิเศษหรืออภิสิทธิ์อยู่เหนือกฎกติกาบ้านเมือง ทางออกที่ดีที่สุดในการลดระดับการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น อย่างแรกที่ต้องดำเนินการให้เป็นรูปธรรมก็คือ การสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่ส่งผลในทางปฏิบัติ ต้องสร้างให้คนรู้จักสิทธิและหน้าที่ของตนเอง รวมทั้งไม่ไปละเมิดสิทธิและหน้าที่ของคนอื่นด้วย ทั้งนี้ต้องเปิดกว้างให้คนทุกชนชั้นได้เข้ามาแบ่งปันอำนาจการบริหารและจัดการทรัพยากรร่วมกัน พร้อมทั้งสร้างระบบตรวจสอบถ่วงดุลโดยให้ภาคธุรกิจ ภาคสังคม และสื่อมวลชนเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อสร้างพื้นฐานการเมืองแบบเปิดให้มีความเป็นธรรมและมีมาตรฐานเดียวกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ เพียงเท่านี้ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการสร้างสังคมที่สงบสุข มีความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล เพื่อขจัดระบบอุปถัมภ์แบบศักดินาสวามิภักดิ์ให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว โดยมีเป้าหมายสุดท้ายก็คือ การสร้างสังคมให้มีสันติสุขต่อคนทุกชนชั้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น