ประชาไท | Prachatai3.info |
- 'ทราย' แจ้งความแล้ว ด้าน 'สปริงนิวส์' ออกแถลงการณ์ชี้แจงและแสดงความเสียใจ
- เสวนา TDRI: อนาคตรัฐวิสาหกิจไทย กับ ร่างกฎหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจ
- ผอ.สคร.แจง 6 ประเด็นร่างกฎหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจ
- หมายเหตุประเพทไทย #184 ชายได้ชายเพื่อขับเน้นความเป็นชาย
- ทหารเชิญตัวแกนนำยางเข้าค่ายกลางดึก ก่อนบุก ก.เกษตรฯ 13 พ.ย. นี้
- หญิงข้ามเพศ 'แดนิกา โรม' ชนะเลือกตั้งคู่แข่งผู้เกลียด LGBTQ ในศึกชิงผู้แทนสภาแห่งรัฐเวอร์จิเนีย
- เผยศาลปกครองสูงสุดรับฟ้องคดีเขื่อนปากแบงแม่น้ำโขงแล้ว
- สปสช.หนุนดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย จัดสิทธิประโยชน์ ดูแลผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพ
- กยท. ชี้แจงกรณีข้อเรียกร้องชาวสวนยางก่อนบุก ก.เกษตร 13 พ.ย. นี้
- 'ทุกข์คนขับรถบัสลอนดอน' ถูกคุกคามทั้งวาจาและร่างกาย องค์กรแรงงานรณรงค์ยุติความรุนแรง
- กรุงเทพโพลล์ระบุประชาชนห่วงปรับ ครม. ไม่สามารถตรวจสอบได้-เป็น ครม. พวกพ้อง เครือญาติ
- 'Big Data' หลอมรวมกับ 'Big Brother': ระบบให้คะแนนประชาชนโดยรัฐบาลจีน
'ทราย' แจ้งความแล้ว ด้าน 'สปริงนิวส์' ออกแถลงการณ์ชี้แจงและแสดงความเสียใจ Posted: 12 Nov 2017 07:19 AM PST 'ทราย เจริญปุระ' รุดแจ้งความเอาผิดสื่อ-นักเลงคีย์บอร์ด ชี้ละเมิดรุนแรง ด้าน 'สปริงนิวส์' ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่าการโปรยพาดหัวข่าวเป็นลักษณะของการตั้งคำถามถึงสิ่งที่เคยถูกกล่าวหาเพื่อเปรียบเทียบกับการปฏิบัติจริงแต่มีบุคคลเอาไปขยายความแบบผิด ๆ จนเกิดความเข้าใจผิด พร้อมประสานทำความเข้าใจและนำเสนอข่าวขออภัยเพื่อยืนยันว่าทีมข่าวเสียใจอย่างที่สุด 12 พ.ย. 2560 มติชนออนไลน์ รายงานว่าเมื่อเวลา 14.00 น. ที่ สภ.รันตนาธิเบศร์ อ.เมือง จ.นนทบุรี ได้มี น.ส.อินทิรา หรือทราย เจริญปุระ ดารานักแสดงร้อยล้านชื่อดัง พร้อม ทนายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ ได้หอบเอกสารการบันทึกข้อความของผู้โพสต์และบรรดานักเลงคีย์บอร์ดคึกคะนองจำนวนหลายรายเดินทางเข้าแจ้งความกับร.ต.ท.กัมปนาท โอษฐงาม รองสว.สอบสวน สภ.รัตนาธิเบศร์ เพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีความทั้งอาญาและคดีแพ่ง กับทางสำนักข่าวสื่อสปริงนิวส์ และบรรดากลุ่มนักเลงคีย์บอร์ด ที่ได้เข้ามาคอมเมนต์คึกคะนองทั้งหลายที่ได้โพสต์ด่าเอาไว้ ซึ่งก่อนหน้านี้ วันศุกร์ที่ 10 พ.ย.2560ที่ผ่านมา ทางสำนักข่าวดังกล่าวได้มีการโพสต์เฟซบุ๊กลงข่าวไป โดยใช้ถ่อยคำเปิดหัวพาดข่าวสื่อความหมายออกไปว่า "ลูกทรพี" ซึ่งในข้อความดังกล่าวปรากฎภาพของดารานักแสดงหญิง ทรายเจริญปุระ ยืนอยู่คู่กับมารดาด้วย ในกรณีน้องทรายมาส่งมารดาเข้ารับการรักษาอาการป่วยโรคซึมเศร้าและอัลไซเมอร์ ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา จ.นนทบุรี ขณะที่ทราย ยังระบุต่อด้วยว่า หลังมีการโพสต์ข่าวลงไปแล้ว ได้มีคนที่อ้างว่าตนเองเป็นคนเขียนข่าวโทร.เข้ามาหาตน พร้อมกล่าวขอโทษและบอกว่าได้เดินเข้าไปขอโทษกับทางหัวหน้าแล้ว และต่อมาได้ทำการลบข่าวดังกล่าวออกไปจากหน้าเพจข่าวแล้วนั้น หลังเกิดมีความสำนึกผิด ขออภัย แต่ตนได้บอกไปแล้วว่าอย่างน้อยก็ควรลงข่าวขอโทษเป็นทางการทางสื่อออน์ไลน์เพิ่มเติมด้วย ขณะที่ตนได้ติดต่อทนายความไว้เเล้ว เพราะชื่อเสียงและความเสียหายของตนมันได้เกิดขึ้นบนโลกออน์ไลน์กระจายข่าวไปทั่วแล้ว สังคมเข้าใจผิดไปแล้วตามที่สื่อสปริงนิวส์ ได้ลงข่าวไปแล้วนั้น ล่าสุดทราย เปิดเผยว่าสาเหตุที่ได้เข้าแจ้งความในครั้งนี้เพราะไม่ไหวจริง ๆ เกินรับได้ เพราะใช้ถ่อยคำที่พาดหัวว่า "ลูกทรพี" มันรุนแรงเกินไป ความหมายมันคือทำร้ายพ่อ-แม่ ซึ่งมันไม่ใช้มันแรงไปปกติตนเองเป็นคนใจอ่อนนะ และถูกกระทำมาโดยตลอด แต่เคสนี้ไม่ขอผ่านมันล้ำเส้นกันเกินไป ต้องทำให้เป็นคดีตัวอย่างกันบ้างทั้งทางสำนักข่าวและกลุ่มคนที่เข้ามาโพสต์คอมเม้นท์หลายราย ซึ่งกรณีสำนักข่าวนั้นมองว่าต้องมีการกั้นกรองกันหลายขั้นตอน ก่อนลงข่าวไป มันไม่ใช้การสะกดคำชื่อผิดนะ หรือแมวพิมพ์มือลั่นลงเว็ปข่าว ซึ่งตนได้เห็นข่าวแว๊บแรกนี้อึ้งไปเลยมันไม่โอเคร ไม่ใช่จะมาพาดหัวข่าวยังไงก็ได้ แม่ทรายก็ดีขึ้นกลับมาอยู่บ้านแล้ว ไม่อยากให้ข่าวต่างๆเข้ามากระทบจิตใจแม่อีก ทุกอย่างกำลังดีขึ้นเลยแท้ๆ ไม่กล้าบอกแม่ว่ามีคนเขียนข่าวถึงเราแบบนี้ กลัวแม่จะเครียดขึ้นไปอีก มันไม่ไหวนะกลัวแม่ถูกทำร้ายจิตใจแย่ลงไปอีกกับข่าวที่มันบ้าบอมาก ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งสำนักข่าวและกลุ่มคนที่เข้ามาคอมเม้นท์กันสนุกมือ ด้านทนายเกิดผล เปิดเผยว่าวันนี้ได้พาน้องทรายเดินทางเข้าแจ้งความเพราะเนื้อหาคำว่า ลูกทรพีมันรุนแรงความหมายคือลูกทำร้ายพ่อ-แม่ เนรคุณ หรือฆ่าพ่อ-แม่ ซึ่งมันไม่เป็นความจริง ถ้าคนที่ยังไม่ได้เข้าไปอ่านเนื้อข่าวด้านในแค่เห็นการโพสต์หัวข่าวอย่างนี้ก็เข้าใจผิดไปก่อนแล้ว ปักใจเชื่อไปแล้ว อันนี้เข้าข่ายหมิ่นประมาท จึงมาแจ้งความเอาไว้ ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาชวนเชื่อทั้งแอดมินข่าวและผู้เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของสำนักข่าวและกลุ่มคนผู้ที่เข้ามาคอมเม้นท์ด้วยความคึกคะนองที่ทำให้เสียหายประมาณ 3-4 คน ซึ่งในวันอังคารนี้จะเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม ทั้งในส่วนที่อาจเข้าข่าย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็ต้องดำเนินการไปตามนั้น ให้เป็นตัวอย่างกันบ้าง มีบางส่วนได้ติดต่อกันเข้ามาบ้างแล้วแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับคุณทรายว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะตอนลงโพสต์ทำในที่สาธารณะแต่กลับมาขอโทษกันส่วนตัวแบบนี้ทำไม่ถูกต้อง ประจานกันสู่สาธารณะชื่อเสียงเสียหายกันไปแล้ว 'สปริงนิวส์' ออกแถลงการณ์ชี้แจงพร้อมประสานทำความเข้าใจและนำเสนอข่าวขออภัยเพื่อยืนยันว่าทีมข่าวเสียใจอย่างที่สุด ด้าน เว็บไซต์ springnews.co ได้เผยแพร่ แถลงการณ์..ทีมข่าวโซเชียลมีเดีย สปริงนิวส์ ชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงความเสียใจ ต่อประเด็นข่าวของคุณทราย โดยระบุว่า แถลงการณ์ทีมข่าวโซเชียลมีเดียสปริงนิวส์ ชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงความเสียใจ กรณีความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อประเด็นข่าวของคุณทราย เจริญปุระ ดังปรากฎโดยการแชร์ต่อ ๆ ไปในสาธารณะ ว่าจะมีการฟ้องร้องเอาผิดทางอาญาและแพ่งทางเพจเฟซบุ๊กแห่งหนึ่ง ตามที่ทีมข่าวโซเชียลมีเดียสปริงนิวส์ได้นำเสนอข่าวของคุณทราย เจริญปุระ ในประเด็นการดูแลรักษา คุณแม่ที่กำลังป่วยอยู่ ภายใต้หัวข้อข่าว "ความในใจจากลูก...? " ทีมข่าวขอชี้แจงทำความเข้าใจในแต่ละประเด็นดังกล่าวดังนี้ 1. ทีมข่าวโซเชียลสปริงนิวส์ขอยืนยันว่ามิได้มีเรื่องโกรธเคืองหรือบาดหมางกับคุณทราย เจริญปุระ เป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด ในทางตรงข้ามแสดงความชื่นชมการปฏิบัติตัว ทั้งในด้านการเป็นดารานักแสดง และการใช้ชัวิตส่วนตัวต่อผู้มีพระคุณ ดั้งนั้นการนำเสนอข่าวดังกล่าวจึงเป็นไปด้วยความสุจริตและปราศจากอคติใดๆทั้งสิ้น 2. ประเด็นสำคัญก่อนหน้านี้คุณทรายเคยถูกกล่าวหาในเชิงลบ สร้างความเสื่อมเสียโดยปราศจากข้อมูลอย่างรอบด้าน ทีมข่าวจึงแสวงหาข้อเท็จจริงในแง่มุมแตกต่าง โดยการตั้งคำถามต่อประเด็นที่คุณทรายถูกกล่าวหามาเป็นโจทย์ แต่คงเจตนาหลักในการนำเสนอรายละเอียดข่าวดังกล่าวด้วยการทำให้สังคมเห็นว่าคุณทรายไม่ได้เป็นไปตามคำกล่าวหา และทำให้สังคมเห็นว่าคุณทรายได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นตัวอย่างให้กับบุคคลอื่นๆในฐานะลูก 3. การโปรยพาดหัวข่าวก็เป็น ลักษณะของการตั้งคำถามถึงสิ่งที่ เคยถูกกล่าวหา เพื่อ เปรียบเทียบ กับการปฏิบัติจริง เพื่อประเด็นข่าวมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่มี บุคคล เอาไปขยายความแบบผิดๆ จนเกิดความเข้าใจผิดขึ้นต่อตัวคุณทราย ซึ่งเรื่องนี้ทีมข่าวได้ตัดสินใจลบข่าวชิ้นดังกล่าวทันที พร้อมประสานทำความเข้าใจและนำเสนอข่าวขออภัย เพื่อยืนยันว่าทีมข่าวเสียใจอย่างที่สุดและขออภัยต่อคุณทรายมา ณ ที่นี้อีกครั้ง และยินดีจะอธิบายข้อเท็จจริงดังกล่าวอย่างละเอียด และ 4.อย่างไรก็ตามในส่วนของบุคคลที่สามที่นำเอาประเด็นดังกล่าวไปขยายความกล่าวหาว่าทีมข่าวโซเชียล สปริงนิวส์กระทำการผิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายอย่างหนึ่งอย่างใด อันก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อคุณทรายและทีมข่าวอย่างมีนัยสำคัญเพื่อจุดประสงค์ใดๆ ทีมข่าวจะดำเนินการกับบุคคลและหรือคณะบุคคลนั้นอย่างถึงที่สุดต่อไปตามที่เห็นสมควรและภายใต้กรอบกฎหมายเช่นกัน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เสวนา TDRI: อนาคตรัฐวิสาหกิจไทย กับ ร่างกฎหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจ Posted: 12 Nov 2017 05:59 AM PST เสวนา "อนาคตรัฐวิสาหกิจไทย กับ ร่างกฎหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจ" จัดโดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2560 ที่สวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด ดำเนินรายการโดย จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ อภิปรายโดย 1) ณัฐวุฒิ ไพศาลวัฒนา รองโฆษกสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) 2) บรรยง พงษ์พานิช อดีตกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ 3) สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 4) นวลน้อย ตรีรัตน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ 5) เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ผอ.สคร.แจง 6 ประเด็นร่างกฎหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจ Posted: 12 Nov 2017 05:15 AM PST ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ชี้ 6 ประเด็นสำคัญของ ร่างกฎหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจ ย้ำไม่มีเขียนสักคำว่าเพื่อให้มุ่งหวังกำไรสูงสุด ระบุมี ยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ เป็นครั้งแรก เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เมื่อวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ ห้อง Le lotus 1 โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด (รัชดาฯ) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) จัดเสวนาสาธารณะ หัวข้อ "อนาคตรัฐวิสาหกิจไทย กับ ร่างกฎหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจ" โดยในช่วงแรกเปิดด้วยการบรรยายหัวข้อ แนวทางการพัฒนารัฐวิสาหกิจ และ ร่าง พ.ร.บ. การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ (ร่างกฎหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจ) โดย ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เพื่ออภิปรายถึง ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รับหลักการร่างกฎหมายนี้เมื่อต้ วิดีโอฉบับเต็ม บรรยายหัวข้อ แนวทางการพัฒนารัฐวิสาหกิจ และ ร่าง พ.ร.บ. การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ (ร่างกฎหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจ) โดย ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ผอ.สคร. ชี้ให้เห็น 6 ประเด็นสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ว่าประกอบด้วย 1. เรื่องการจัดตั้งกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ 2. ให้มียุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ ซึ่งไม่เคยมีที่รัฐวิสาหกิจจะมียุทธศาสตร์ในภาพรวม เป็นครั้งแรก 3. มีกลไกความโปร่งใส และความรับผิดชอบ 4. มีกระบวนการคัดเลือกกรรมการ 5. พัฒนาระบบประเมินผล ซึ่งทุกวันนี้มีการประเมินผล เป็นระเบียบสำนักนายก แต่การประเมินไม่มีการเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ และ 6. จัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ เอกนิติ กล่าวเสริมประเด็นนี้ว่า อาจเป็นเรื่องอ่อนไหว รัฐวิสาหกิจ มีหลายประเภท มีทั้งที่มี พ.ร.บ.เฉพาะกับรัฐวิสาหดกิจที่เป็นบริษัท อย่างไรเขาก็ต้องแข่งขันอยู่แล้ว เช่น การบินไทย ก็ต้องแข่งขัน เพราะฉะนั้นรูปแบบในการบริหารจัดการควรไปอยู่กับรัฐวิสาหกิจประเภทหนึ่ง และในเชิงกฎหมยแต่ละอันก็มีคลุมแต่ละรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นในรูปแบบบรรษัทวิสาหกิจ ในเรื่องการบริหารจัดการ ไปในทิศทางเดียวกัน ใช้ความชำนวญของบบษัทที่มีความคล่องตัว เพื่อที่จะแข่งขันได้ "ในกฎหมายนี้ไม่มีเขียนสักคำว่าเพื่อให้มุ่งหวังกำไรสูงสุด ไม่มีเลย เพียงแต่บอกว่าให้เพิ่มประสิทธิภาพ และการประเมินผลให้ประเมินผลบรรษัทตามยุทธศาสตร์" ผอ.สคร. กล่าวย้ำ อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในกิจกรรมเสวนาดังกล่าว มีตัวแทนสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) นอกจากแจกแถลงการณ์ 10 เหตุผล เพื่อขอรัฐบาลถอน ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวออกจาก สนช. แล้ว ยังมีการร่วมอภิปรายในเวทีด้วย โดยให้เหตุผลประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ขัดต่อเจตนารมณ์ และหลักการของร่างกฎหมายโดยสิ้นเชิง โครงสร้างของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ล้วนมาจากนักการเมือง ข้าราชการประจำและอดีต รวมถึงนายทุนนักธุรกิจ สรส. ระบุด้วยว่า การตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเพื่อทำหน้าที่ในการถือหุ้นแทนกระทรวงการคลังเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานเต็มศักยภาพมีความพร้อมในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ เป้าประสงค์ของรัฐวิสาหกิจที่เปลี่ยนจากบริการประชาชนไปเป็นเพื่อการพาณิชย์ การค้าขาย การลงทุน โครงสร้างและอำนาจคณะกรรมการชุดต่าง ๆ แล้ว ก็ปราศจากการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนอื่นของสังคมหรือแม้กระทั่งบุคคลในองค์กรนั้น ๆ ขัดกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน มาตรา 23 (4) ที่บัญญัติว่าทุกคนมีสิทธิจัดตั้งสหภาพแรงงานและมีสิทธิเข้าร่วมกับสหภาพแรงงาน และตามหลักการพื้นฐานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ รวมทั้งประเด็นที่อ้างว่า กระทรวงการคลัง ยังคงถือหุ้นในบรรษัทอยู่ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หลายมาตราที่กล่าวมา ที่จะกำหนดสัดส่วนการถือหุ้น จำหน่ายหุ้น กำหนดให้บรรษัทลดสัดส่วนการถือหุ้นจนพ้นสภาพจากการเป็นรัฐวิสาหกิจได้ เป็นต้น ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
หมายเหตุประเพทไทย #184 ชายได้ชายเพื่อขับเน้นความเป็นชาย Posted: 12 Nov 2017 01:52 AM PST หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ คำ ผกา และชานันท์ ยอดหงษ์ นำเสนองานวิจัยของโทนี ซิลวา แห่งภาควิชาสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ผู้ศึกษากลุ่มผู้ชายในแถบชนบทภูมิภาคมิดเวสต์ของสหรัฐอเมริกาที่พวกเขายืนยันความเป็นชายของตน ด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนคู่หูที่เป็นชาย พร้อมขีดเส้นนิยามตัวเองว่าไม่ใช่เกย์ โดยให้เหตุผลว่าพวกเขาต่างก็มีภรรยา และการมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนผู้ชายก็เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทำร่วมกันในหมู่เพื่อน ไม่ต่างจากการชวนกันไปดื่มเบียร์ กินกาแฟ ดูหนัง ล่าสัตว์ ฯลฯ ทั้งนี้แม้ชุมชน LGBT สหรัฐอเมริกาจะมีประวัติการต่อสู้เพื่อสิทธิทางเพศมาอย่างยาวนาน แต่เพราะความอนุรักษ์นิยมของภูมิภาคมิดเวสต์ การข่มเหง ละเมิด หรือเลือกปฏิบัติต่อชุมชน LGBT ก็อาจทำให้กลุ่มผู้ชายในงานวิจัยนี้ ไม่อาจออกจากบรรทัดฐานแบบรักต่างเพศแบบที่สังคมคาดหวัง จำต้องประกาศว่าตัวเองเป็นผู้ชายทั้งที่ขัดกับความชอบหรือรสนิยมทางเพศของตัวเอง ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ทหารเชิญตัวแกนนำยางเข้าค่ายกลางดึก ก่อนบุก ก.เกษตรฯ 13 พ.ย. นี้ Posted: 11 Nov 2017 10:02 PM PST กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตรัง เชิญแกนนำเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ ทำความเข้าใจ สกัดการเดินทางบุกกระทรวงเกษตรฯ 13 พ.ย. 12 พ.ย. 2560 เว็บไซต์คมชัดลึก รายงานว่าเมื่อเวลา เวลาประมาณ 23.00 น. วานนี้ (11 พ.ย.2560) เจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงในจังหวัดตรัง นำโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตรัง ได้รับคำสั่งจากแม่ทัพภาคที่ 4 ให้เรียกตัวนายถนอมเกียรติ ยิ่งฉ้วน ที่ปรึกษาประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับประเทศ ให้ไปรายงานตัว ณ ที่ทำการหน่วยสันติบาลจังหวัดตรัง จากนั้นได้นำตัวนายถนอมเกียรติเข้าไปภายในค่ายกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 15 ค่ายพระยารัษฎานุประดิษฐ์จังหวัดตรัง และต่อมาได้โทรศัพท์เชิญตัวนายประทบ สุขสนาน ซึ่งเป็นประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางจังหวัดตรัง / ประธานเครือข่ายสถาบันฯระดับภาคใต้ตอนกลาง และรองประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับประเทศให้เข้าไปภายในค่ายทหารเช่นเดียวกัน โดยมีนายศิริพัฒ พัฒกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เดินทางเข้าไปร่วมประชุมพูดคุยทำความเข้าใจ หลังได้รับแจ้งจากรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตรัง (ฝ่ายทหาร) ว่าในเช้าวันที่ 12 พ.ย.แกนนำเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับภาคใต้จากทุกจังหวัด จะออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปพบกับเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางจากภาคอื่นๆ ที่บริเวณหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในช่วงสายของวันที่ 13 พ.ย. 2560 เพื่อเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แสดงความรับผิดชอบต่อกรณีความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ซึ่งถูกเครือข่ายฯและเกษตรกรมองว่า ปัญหาวิกฤติราคายางตกต่ำในครั้งนี้ เกิดจากการดำเนินนโยบายผิดพลาดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ให้มีการจัดตั้งบริษัท ร่วมทุนยางพาราไทย จำกัด โดย กยท.จับมือกับบริษัท 5 เสือการยางลงหุ้นกันทุนละ 200 ล้านบาท รวม 1,200 ล้านบาท เพื่อเข้าไปดำเนินการรักษาเสถียรภาพราคายางตกต่ำ ด้วยการเข้าประมูลยางในตลาดกลางยางพาราทั้ง 6 แห่ง ในประเทศ แต่การบริการผิดพลาดล้มเหลว สร้างความเสียหายต่อระบบกลไกตลาดกลางยางพาราไทยทั้งระบบ ทำให้ราคายางพาราตกต่ำ เกษตรกรชาวสวนยางเดือดร้อนจึงมีการประชุมเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับภาค /ระดับประเทศ และมีการกำหนดแนวทางความเคลื่อนไหวดังกล่าวออกมา ในวันที่ 13 พ.ย. ร่วมกันทั้งในระดับประเทศ นายประทบ สุขสนาน รองประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับประเทศ กล่าวอย่างเคร่งเครียด ระหว่างกำลังเดินทางจะเข้าไปในค่ายทหารว่า ตนเองเข้าใจว่าหน่วยงานความมั่นคงเชิญตัว หรืออุ้มตัวตัวแทนเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางไปพบ เพื่อต้องการสกัดไม่ให้ตัวแทนเครือข่ายชาวสวนยางภาคใต้ออกเดินในวันที่ 12 พ.ย.เพื่อเข้ากรุงเทพฯไปสมทบกับตัวแทนเครือข่ายสถาบันเกษตรกรจากทั่วประเทศที่หน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในวันที่ 13 พ.ย.ทั้งนี้ ทางหน่วยงานความมั่นคงได้เข้าไปเชิญตัว หรืออุ้มตัวแกนนำในเกือบทุกจังหวัด ส่วนที่ได้ถูกเชิญคาดว่าตามหาตัวไม่พบ ส่วนที่หาตัวพบก็พาไปในค่ายเลย เช่น ตัวแทนเครือข่ายจังหวัดพัทลุง และยังมีตัวแทนหลายจังหวัด จึงมองว่าเป็นการกระทำของหน่วยงานความมั่นคงในเกือบทุกจังหวัดเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะมีทั้งการเชิญและการอุ้มตัวแกนนำเข้าไปในค่าย จึงอยากจะเรียกร้องให้หน่วยงานความมั่นคงทุกหน่วยเข้าใจว่า เครือข่ายเป็นตัวแทนชาวสวนยางทั้งประเทศ ขณะนี้กำลังได้รับความเดือดร้อนจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงต้องการไปเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบ และเร่งแก้ปัญหาวิกฤติราคายางตกต่ำที่ชาวสวนกำลังประสบและได้รับความเดือดร้อนอยู่เท่านั้น ไม่ได้มีการเมืองหรืออะไรมาแอบแฝงเลย ทั้งนี้ ใช้เวลาในการพูดคุยทำความเข้าใจประมาณ 30 นาที นายศิริพัฒ พัฒกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ก็กล่าวหลังได้พูดคุยกับแกนนำยางของจังหวัดตรัง ทั้ง 2 คนแล้ว โดยปฏิเสธว่าแม่ทัพภาคที่ 4 ไม่ได้สั่งการให้เรียกแกนนำยางจังหวัดตรังทั้ง 2 คน มาพูดคุยและไม่ได้รับคำสั่งจากมหาดไทยหรือใครทั้งสิ้น แต่ตนเองได้รับการแจ้งจากรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงในจังหวัดตรัง (ฝ่ายทหาร)ว่า ตัวแทนเครือข่ายยางจะออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯไปหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในวันที่ 13 พ.ย.นี้ จึงได้เชิญตัวแทนทั้ง 2 คน มาพูดคุยว่า พวกเขามีปัญหาและต้องการอะไร ซึ่งตนก็มองว่า เมื่อเป็นปัญหาและความต้องการของชาวสวนยางจังหวัดตรังในฐานะที่เรากำเนิดยางพาราต้นแรก ก็ยินดีจะประสานให้ขอให้ทำหนังสือเสนอเข้ามา จะรายงานไปลำดับชั้นไปยังกระทรวงที่เกี่ยวข้องทุกกระทรวง รวมทั้งนายกรัฐมนตรีด้วย พร้อมกับจะลงความเห็นของทางจังหวัดไปด้วยเรื่องนั้นทางจังหวัดมีความเห็นว่าอย่างไร เพื่อจะได้ร่วมกันแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ เรื่องของยางมีหลายเรื่องที่สามารถจะแก้ไขในระดับจังหวัดได้ ก็พร้อมจะทำให้ เพราะที่ผ่านมาทางจังหวัดก็ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาธุรกิจมาตลอด แต่หากเรื่องใดที่ต้องแก้ในระดับกระทรวงหรือรัฐบาล ก็พร้อมจะเสนอให้ เช่นเดียวกัน ด้านนายประทบ สุขสนาน และนายถนอมเกียรติ ยิ่งฉ้วน ตัวแทนเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง กล่าวว่า หลังได้พบปะและพูดคุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดตรังแล้ว ตนเองก็มั่นใจว่าทางผู้ว่าฯซึ่งรับปากว่าจะช่วยแก้ปัญหาให้ ก็เชื่อมั่นว่าทางผู้ว่าจะสามารถทำได้ โดยทางแกนนำตรังจะทำหนังสือเสนอข้อเรียกร้องไปยังกระทรวงเกษตรฯผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดตรังต่อไป ซึ่งจะไม่เกี่ยวกับจังหวัดอื่นๆ และจะไม่แสดงความเห็นให้จังหวัดอื่นๆทำแบบไหนอย่างไร เพราะก่อนหน้านี้ทุกอย่างกำลังจะเดินหน้าตามมติการประชุมของเครือข่ายระดับประเทศ ทั้งนี้ จังหวัดใดจะยังเดินทางไปหรือไม่ ก็ถือเป็นเอกเทศในการตัดสินใจของแต่ละจังหวัด ส่วนจังหวัดตรังเชื่อมั่นว่าข้อเรียกร้องที่จะต้องแก้ในระดับกระทรวง ทางผู้ว่าฯก็จะต้องดูแลเสนอไปตามลำดับชั้น และติดตามให้อย่างแน่นอน เชื่อว่าปัญหาราคายางที่กำลังตกต่ำจะต้องได้รับการแก้ไขอย่างแน่นอน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
หญิงข้ามเพศ 'แดนิกา โรม' ชนะเลือกตั้งคู่แข่งผู้เกลียด LGBTQ ในศึกชิงผู้แทนสภาแห่งรัฐเวอร์จิเนีย Posted: 11 Nov 2017 09:50 PM PST ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามคือ บ็อบ มาร์แชลล์ ผู้แสดงความเกลียดชัง LGBTQ อย่างเปิดเผยและมุ่งเหยียดเพศ แดนิกา โรม ผู้เป็นคู่แข่ง แต่เธอก็ยังเอาชนะการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่เอียงขวาในรัฐเวอร์จิเนียมาได้ นอกจากโรมแล้วยังมีคนข้ามเพศคนอื่น ๆ ที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นของสหรัฐฯ เมื่อไม่นานมานี้ 12 พ.ย. 2560 ในการเลือกตั้งสภาผู้แทนประจำรัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐฯ แดนิกา โรม หญิงข้ามเพศหนึ่งในผู้แทนจากพรรคเดโมแครตสามารถเอาชนะคู่แข่งของเขา บ็อบ มาร์แชลล์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่ต่อต้านผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) หนักที่สุดในสหรัฐฯ ถ้าหากโรมได้เข้าพิธีรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้วเธอจะกลายเป็นหญิงข้ามเพศอย่างเปิดเผยคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาแห่งรัฐ มาร์แชลล์ คู่แข่งของโรมเป็นนักการเมืองที่มักจะเสนอกฎหมายออกมากีดกันชาว LGBTQ อยู่เสมอ หลังจากที่สภาคองเกรสปัดตกการสั่งห้ามคนรักเพศเดียวกันในกองทัพสหรัฐฯ มาร์แชลล์ก็เสนอมาตรการใหม่คือการห้ามไม่ให้ชาวเกย์ทำงานเป็นกองกำลังป้องกันมาตุภูมิของรัฐเวอร์จิเนีย เขายังเคยสับเปลี่ยนการแต่งตั้งผู้พิพากษาเพียงเพราะว่าผู้พิพากษารายหนึ่งเป็นเกย์และเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญไม่ให้รองรับการแต่งงานของคนรักเพศเดียวกันด้วย เมื่อไม่นานมานี้ในปี 2558 มาร์แชลล์ยังเคยเสนอกฎหมายที่จะทำให้สถานทำการต่างๆ อย่างโรงแรม ร้านอาหาร หรือโรงพยาบาล สามารถแบ่งแยกผู้มีความหลากหลายทางเพศออกไปสู่อีกที่หนึ่งได้ ในปี 2559 ก็ออกมาตรการเลวร้ายต่อคนข้ามเพศอย่างการห้ามไม่ให้นักเรียนที่เป็นคนข้ามเพศใช้ห้องน้ำที่ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศของพวกเขาและสั่งให้ครูใหญ่ต้องเปิดเผยอัตลักษณ์ของนักเรียนที่ไม่แสดงออกตามแบบแผนเพศกำเนิดของตัวเอง (gender-nonconforming) ให้ผู้ปกครองได้รับรู้ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นความเกลียดชังต่อ LGBTQ ในตัวมาร์แชลล์ผู้ที่ทำให้โรม นักข่าวจากนอร์ทเทิร์นเวอร์จิเนียทนไม่ไหวออกมาลงสมัครเลือกตั้งผู้แทนรัฐแข่งกับเขา ในช่วงที่มีการรณรงค์หาเสียงมาร์แชลล์เรียกเพศของโรมผิดอยู่ตอดลและโจมตีอัตลักษณ์ทางเพศของเธออย่างโหดร้าย กล่าวหาว่าเธอเป็น "นักล่าในห้องน้ำ" แต่โรมก็โต้ตอบด้วยการรณรงค์หาเสียงด้วยการแสดงออกทางเพศสภาพของเธอในเชิงสร้างแรงบันดาลใจ "มีคนข้ามเพศนับล้านในประเทศนี้ (สหรัฐฯ) และทุกคนก็สมควรจะมีตัวแทนในรัฐบาล" โรมกล่าวในวิดีโอของเธอ โรมสามารถเอาชนะมาร์แชลล์ได้ในที่สุดแม้ว่าเธอจะลงสนามในเขตเลือกตั้งที่มีฝ่ายเอียงขวาอยู่มากพอตัวและได้รับคะแนส่วนหนึ่งจากฝ่ายที่สนับสนุนรีพับลิกันด้วย องค์กรฮิวแมนไรท์แคมเปญรายงานว่าไม่เพียงแค่โรมเท่านั้นที่ชนะการเลือกตั้งผู้แทน ในการเลือกตั้งผู้แทนสายอื่นๆ นอกเหนือจากสมาชิกสภาแห่งรัฐมีคนข้ามเพศรายอื่นๆ อีกที่สามารถชนะการเลือกตั้งได้ เช่น แอนเดรีย เจงกินส์ เป็นหญิงข้ามเพศคนผิวสีคนแรกที่ชนะการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเมืองมินนีแอโพลิส กับฟิลลิเป คันนิงแฮม ก็เป้นชายข้ามเพศคนแรกที่ชนะการเลือกตั้งสมาชิกสภาเมืองมินนีแอโพลิสเช่นกัน สภาเมืองปาล์มสปริงส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ก็กำลังจะกลายเป็นสภาเมืองที่มีผู้แทนเป็นชาว LGBTQ ทั้งหมด หลังจากที่สมาชิกสภาเมืองล่าสุดอีกสองคนที่ชนะการเลือกตั้งมีคนหนึ่งเป็นหญิงข้ามเพศชื่อลิซา มิดเดิลตัน และอีกคนหนึ่งเป็นหญิงยุคมิลเลนเนียลผู้ที่เปิดเผยว่าตัวเองเป็นไบเซ็กชวล พวกเขาจะเข้าร่วมงานกับสมาชิกสภาเมืองที่เปิดเผยตัวเองว่าเป็นเกย์อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เคยมีสมาชิกสภาแห่งรัฐที่เป็นหญิงข้ามเพศมาก่อนหน้าโรมแล้วคือ อัลเธียร์ แกร์ริสัน ชนะการเลือกตั้งเป้นสมาชิกสภาแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ในปี 2535 แต่เธอไม่ได้เปิดเผยว่าเธอเป็นหญิงขามเพศมาก่อนแบบเดียวกับโรม อีกคนหนึ่งที่เคยชนะการเลือกตั้งคือสตาซี ลาฟตัน ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเมืองในปี 2551 แต่อัยการของรัฐก็ไม่ให้เธอเข้ารับตำแหน่งโดยอ้างว่าเธอไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ เรียบเรียงจาก Transgender Democrat Danica Roem Makes History, Defeats Notorious Anti-LGBTQ Incumbent, Slate, 07-11-2017 Danica Roem: 'Inspire' | Campaign 2017, Washington Post, 26-09-2017 This City Will Soon Be Represented By A 100% LGBTQ Council, Refinery 29, 10-11-2017 Meet the Transgender Americans Who Won on Election Day, Human Rights Campaign, 08-11-2017 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เผยศาลปกครองสูงสุดรับฟ้องคดีเขื่อนปากแบงแม่น้ำโขงแล้ว Posted: 11 Nov 2017 09:35 PM PST เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขงเผย ได้รับการแจ้งว่าการยื่นอุทธรณ์ในคดีโครงการเขื่อนปากแบง ได้เข้าสู่การพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดแล้ว (แฟ้มภาพ) 12 พ.ย. นางสาวเฉลิมศรี ประเสริฐศรี นักกฎหมายจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน เปิดเผยว่าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ได้รับการแจ้งว่าการยื่นอุทธรณ์ในคดีโครงการเขื่อนปากแบง ได้เข้าสู่การพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดแล้ว โดยมีผู้ฟ้องคดี คือ กลุ่มรักษ์เชียงของ นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว นายจีรศักดิ์ อินทะยศ และนายพิศณุกรณ์ ดีแก้ว รวม 4 ราย และผู้ถูกฟ้องคดี คือ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำ และคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้อง อย่างไรก็ตามได้มีการยื่นอุทธรณ์และศาลปกครองสูงสุดได้รับเข้าสู่การพิจารณา นางสาวเฉลิมศรีกล่าวว่า เหตุผลในการใช้อุทธรณ์ครั้งนี้เนื่องจากผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 คนเป็นประชาชนที่มีภูมิลำเนาและประกอบอาชีพอยู่ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นอำเภอที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงและคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากแบงมากที่สุด เนื่องจากอยู่ห่างจากโครงการเพียงประมาณ 97 กิโลเมตร และยังมีจังหวัดที่ติดริมน้ำโขงที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าวอีก 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี โดยที่แม่น้ำโขงมีระบบนิเวศน์ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่สมบูรณ์ และเป็นสินทรัพย์ธรรมชาติที่มูลค่ามหาศาลต่อประเทศที่ติดลำน้ำโขงทุกประเทศ การมีอยู่ของแม่น้ำโขงก่อให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดีทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และมาตรฐานการครองชีพของประชาชน หากมีการก่อสร้างโครงการเขื่อนปากแบงขึ้นบนแม่น้ำโขงย่อมทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 ได้รับความเดือดร้อนหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ไม่ได้ดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยเฉพาะในส่วนที่ได้มีการจัดการรับฟังความคิดเห็นที่ไม่ครอบคลุม ครบถ้วน และไม่ได้สัดส่วน ดังนั้น การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดี จึงเป็นการกระทำที่ถือได้ว่า ก่อให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อสิทธิของประชาชนชาวไทยที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขงทั้ง 8 จังหวัด รวมถึงผู้ฟ้องคดีทั้ง4ด้วย นางสาวเฉลิมศรี ประเสริฐศรี กล่าวว่า ตามอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 ตามกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วย "ข้อตกลงการใช้น้ำแม่น้ำโขง พ.ศ. 2538" ได้กำหนดหน้าที่ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขโดยมีหน้าที่ในการที่จะให้ความเห็นต่อคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และรัฐบาลไทยในการที่จะแจ้งให้ทราบถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการก่อสร้างโครงการ ความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบทั้งต่อรัฐและต่อประชาชนในประเทศไทย แต่ไม่ปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีจะดำเนินการดังกล่าวแต่อย่างใดทั้งสิ้น โดยการดำเนินการจะต้องดำเนินการผ่านกระบวนการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างรอบด้านครอบคลุม ดำเนินการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อนำไปประกอบให้ความเห็นคัดค้านและเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา อันเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีตามกฎหมาย เกี่ยวกับการปกป้องคุ้มครองทรัพยากรน้ำและทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ซึ่งอำนาจหน้าที่ให้ความเห็นเป็นหน้าที่สำคัญต่อทั้งความมั่นคงของรัฐและความอยู่ดีมีสุขของประชาชนชาวไทย แต่ไม่ปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการดังกล่าวแต่อย่างใด โดยที่อำนาจหน้าที่ดังกล่าวเป็นการกระทำทางปกครองที่ส่งผลกระทบหรืออาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงเป็นสิทธิของผู้ฟ้องที่จะนำคดีมาฟ้องต่อศาล และไม่ใช่อำนาจบริหารหรือกิจการภายในที่ไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลปกครอง นางสาวเฉลิมศรีกล่าวอีกว่า สำหรับการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนปากแบง หรือสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในลักษณะอื่นนั้น แม้ว่าการเจรจาตกลงกันจะอยู่ในลักษณะเชิงธุรกิจพาณิชย์ก็ตาม แต่วัตถุประสงค์ของสัญญาดังกล่าว เป็นการทำสัญญาขึ้นเพื่อจัดการบริการสาธารณะ และจะต้องมีการดำเนินการขออนุญาตจากหน่วยงานที่ควบคุมเกี่ยวกับกิจการพลังงาน อีกทั้ง การดำเนินการจัดซื้อไฟฟ้าเป็นอำนาจหน้าที่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจึงถือว่าเป็นสัญญาทางปกครองชนิดหนึ่งที่เป็นการใช้อำนาจทางปกครอง ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเชื่อว่าผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 จึงมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล เพื่อเรียกร้องให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย "เราเชื่อว่าการอุทธรณ์นี้จะได้รับการพิจารณาในแนวทางเดียวกับคดีเขื่อนไซยะบุรีที่รับฟ้อง เพราะเป็นแนวทางเดียวที่ประชาชนจะได้รับความคุ้มครองจากการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมสำหรับกรณีผลกระทบข้ามพรมแดน ที่รัฐมีหน้าที่ต้องตรวจสอบและปกป้องคุ้มครองประชาชน" ทนายความกล่าว อนึ่งโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง (Pak Bang Dam) เป็นโครงการเขื่อนพลังน้ำไหลผ่าน (Run Off River) ซึ่งจะก่อสร้างอยู่บนแม่น้ำโขงสายประธาน เมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ทางภาคเหนือของ สปป.ลาว ห่างไปทางตอนบนของเมืองปากแบง ประมาณ 14 กิโลเมตร ในแม่น้ำโขง ลักษณะของเขื่อนปากแบง ประกอบด้วย เขื่อนคอนกรีต โรงไฟฟ้า ประตู ระบายน้ำ ประตูเรือสัญจร และทางปลา วัตถุประสงค์ คือ ใช้เพื่อผลิตไฟฟ้า และปรับปรุงการเดือนเรือบริเวณทางตอนบนของเขื่อน และสนับสนุนการท่องเที่ยวในพื้นที่เขื่อน โดยระดับน้ำบริเวณเขื่อนจะมีความหลากหลายตั้งแต่ 16-27 เมตร ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงการไหลของน้ำในช่วงแต่ฤดู ซึ่งโรงไฟฟ้าจะมีกำลังผลิต 912 เมกกะวัตต์ การส่งออกไฟฟ้าขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงในแต่ฤดูกาล โดยโครงการเป็นของกลุ่มบริษัท ต้าถังโอเวอร์ซีส์ อินเวสต์เม้นต์ (Datang Overseas Investment) ซึ่งจะดำเนินการก่อสร้าง ในปี 2560 การก่อสร้างจะแล้วเสร็จและจ่ายกระแสไฟฟ้าในปี 2566 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สปสช.หนุนดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย จัดสิทธิประโยชน์ ดูแลผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพ Posted: 11 Nov 2017 09:24 PM PST สปสช.หนุน "การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง" จัดชุดสิทธิประโยชน์ ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายต่อเนื่องจากโรงพยาบาลสู่บ้าน ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและครอบครัวญาติผู้ดูแล ปี 2559 ให้บริการครบถ้วน 399 แห่ง มีผู้ป่วยได้รับการดูแลกว่า 8 พันคน 12 พ.ย. 2560 นพ.ชูชัย ศรชำนิ รองเลชาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (Palliative care) เป็นรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ สําหรับผู้ที่ป่วยด้วยโรคคุกคามต่อชีวิต ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับความเจ็บป่วย ผ่านกระบวนการป้องกันและบรรเทาความทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด รวมทั้งให้คําแนะนําต่อญาติหรือผู้ดูแลผู้ป่วยเพื่อเตรียมรับมือกับสภาพความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดตามบริบทของปัจเจกบุคคลเท่าที่จะทําได้ในเวลาที่เหลืออยู่ ทั้งนี้ สปสช.ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง ในปี 2553 จึงได้เริ่มสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าประสงค์ให้เกิดการดูแลที่บ้านสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการเงินของครอบครัวที่ต้องมาดูแลผู้ป่วยที่โรงพยาบาล และเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและญาติผู้ดูแล นพ.ชูชัย กล่าวว่า ปัจจุบันมีหน่วยบริการประจำที่ให้บริการการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองจำนวน 399 แห่ง โดยจัดบริการร่วมกันกับหน่วยบริการปฐมภูมิเป็นเครือข่ายคลัสเตอร์บริการปฐมภูมิ (PCC) รวมแล้วกว่า 4,000 แห่ง ซึ่งจากข้อมูลในปี 2557-2559 พบว่าแต่ละปีมีผู้ป่วยที่รับบริการการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ป่วยอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยปี 2559 มีผู้ป่วยได้รับบริการรวม 8,209 คน หรือ 32,810 ครั้ง จากปี 2557 มีผู้ป่วยรับบริการ 5,820 คน หรือ 22,077 ครั้ง ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมามีการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อดูแลเพิ่มขึ้น จากปี 2557 จำนวน 30.64 ล้านบาท ในปี 2559 เพิ่มเป็น 60.39 ล้านบาท และจากข้อมูลรายละเอียดพบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่รับการดูแลระยะสุดท้ายแบบประคับประคองอันดับต้นๆ ได้แก่ ผู้ป่วยมะเร็งปอด, มะเร็งท่อน้ำดี, ปอดอุดกั้นเรื้อรัง, มะเร็งตับ, มะเร็งเต้านม, ไตวายเรื้อรัง, มะเร็งลำไส้ใหญ่ และหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ทั้งนี้ รพ.ที่มีจำนวนผู้ป่วยระยะสุดท้ายรับการดูแลแบบประคับประคอง 5 อันดับแรก ได้แก่ รพ.เขื่องใน, รพ.ลี้, รพ.เสลภูมิ, รพ.ยางตลาด และ รพ.สันป่าตอง สำหรับสิทธิประโยชน์เพื่อดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง สปสช.ได้กำหนด 3 ชุดสิทธิประโยชน์หลัก เพื่อเบิกจ่ายที่ครอบคลุมผู้ป่วยทุกกลุ่มโรคที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายตามหลักเกณฑ์ที่กรมการแพทย์กำหนด คือ 1.ยามอร์ฟีนเพื่อบรรเทาอาการปวด 2.ชุดทำความสะอาด และ 3.ออกซิเจนพร้อมอุปกรณ์ร่วมกับการติดตามอาการตามความเหมาะสม ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดีอย่างเหมาะสม นพ.ชูชัย กล่าวต่อว่า ในการประเมินสิทธิประโยชน์เพื่อดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง จากผลการศึกษาและข้อเสนอเชิงนโยบายแก่ สปสช.ต่อบริการดูแลแบบประคับประคอง โดย ดร.สุพล ลิมวัฒนานนท์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระบุว่านอกจาก รพ.หลายแห่งได้มีการพัฒนาระบบเยี่ยมบ้าน พร้อมจัดอุปกรณ์ราคาแพงให้ผู้ป่วยยืม เช่น เครื่องผลิตออกซิเจน เครื่องให้ยา เตียงผู้ป่วย และเครื่องดูดเสมหะ เป็นต้นแล้ว จากข้อมูลปี 2557-2558 พบว่า จำนวนครั้งการเข้านอน รพ.ลดลงจาก 9 ครั้ง ก่อนการเยี่ยมบ้าน เป็น 6-8 ครั้งเท่านั้น ขณะที่ค่าเบิกจ่ายการนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยลดลง (Adjusted RW) จาก 1.5 เป็น 1.2 -1.3 ซึ่งน่าจะส่งผลในการลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและและการเดินทางไปโรงพยาบาลของครัวเรือนได้ ชี้ให้เห็นถึงผลบวกและทิศทางการผลักดันนโยบายนี้ในอนาคต อย่างไรก็ตามการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เช่น กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น อบต. เทศบาล กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพฯ ระดับจังหวัด ที่จัดหากเครื่องผลิตออกซิเจน หรือเครื่องให้ยา หรือเตียงผู้ป่วย และชุมชนที่จะร่วมกันดูแลให้ผู้ป่วยไปสู่สุคติภพภายใต้อ้อมกอดแห่งความรัก เกื้อกุล พร้อมการผลักดันจากนโยบายที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายคลินิกหมอครอบครัว แผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) กองทุนระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Long Term Care: LTC) และการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นการพัฒนาระบบบริการที่เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์กรสหประชาชาติ เป้าหมาย 3 ถ้วนหน้าสำหรับทุกคนจากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กยท. ชี้แจงกรณีข้อเรียกร้องชาวสวนยางก่อนบุก ก.เกษตร 13 พ.ย. นี้ Posted: 11 Nov 2017 06:15 PM PST ผู้ว่าฯ กยท. ชี้แจงกรณีข้อเรียกร้องของเครือข่ายสถาบันเกษตรชาวสวนยางระดับประเทศที่จะเดินทางมายังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในวันที่ 13 พ.ย.นี้ ระบุ 'บริษัท ร่วมทุนยางพาราไทย จำกัด' ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาราคายางที่กำลังเผชิญอยู่
จากข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อดังกล่าว กยท. ขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้ สถานการณ์ยางพารา ในช่วงเดือน ก.ค. – ต.ค. ของทุกปีเป็นช่วงที่ปริมาณยางออกสู่ตลาดสูงทำให้ราคายางในสภาพปกติมีแนวโน้มปรับตัวลดลง สำหรับปี 2560 นี้ ภาพรวมราคายางเป็นไปตามกลไกตลาด โดยราคาทั้งในและต่างประเทศ ปรับตัวในทิศทางเดียวกัน แต่ปัญหาราคายางขณะนี้ สาเหตุที่แท้จริงมาจาก (1) ปริมาณผลผลิตและความต้องการใช้ยางไม่สมดุลกัน ส่งผลต่อราคาขาย โดยประเทศผู้ผลิตหลักทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ราคาปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน แต่ราคายางในประเทศไทยยังคงสูงกว่าประเทศอื่น นอกจากนี้ ยังมีประเทศผู้ผลิตยางรายใหม่ มีผลผลิตเพิ่มมากขึ้นจากปี 2559 สูงมาก เช่น กัมพูชา เพิ่มขึ้น 33.1% อินเดีย เพิ่มขึ้น 21.0% และ เวียดนาม เพิ่มขึ้น 11.3 % ทำให้ผลผลิตทั่วโลกเพิ่มขึ้น (2) ปัจจัยด้านเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะประเทศผู้ใช้ยางรายใหญ่ของโลก ทั้งจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ทำให้เกิดการชะลอซื้อของประเทศผู้ใช้ยางเหล่านี้ รวมถึง ความตึงเครียดทางการเมืองหลายประเทศ ทำให้นักลงทุนชะลอการซื้อและราคาในตลาดล่วงหน้ามีความผันผวนอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อราคายางในตลาดซื้อขายจริงในประเทศที่ปรับตัวลดลงตามไปด้วย และ (3) การเก็งกำไรของนักลงทุนทั้งตลาดซื้อขายจริงในประเทศและตลาดล่วงหน้า กระทบต่อการซื้อขายทำให้ราคาในตลาดนั้นๆ ผันผวนลดลงเช่นกัน ซึ่งการดำเนินงานนโยบายของบริษัทร่วมทุน ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาราคายางที่กำลังเผชิญอยู่ ที่ประชุมร่วมกัน ระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อกำหนดมาตรการขับเคลื่อนการสร้างเสถียรภาพราคายาง เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2560 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมี กยท.กับ บริษัทยางพารารายใหญ่ 5 บริษัท เข้าร่วม ได้มีข้อตกลงร่วมกันระหว่างภาครัฐ ผู้ผลิต และผู้ส่งออก ให้จัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคายาง เพื่อกระตุ้นแรงซื้อตลาดภายในประเทศ และชี้นำราคา ด้วยการซื้อขายยางผ่านตลาดซื้อขายจริง (ตลาดกลางยางพารา กยท.) และการซื้อขายสัญญาผ่านตลาดล่วงหน้า หรือ ตลาดทีเฟลก โดยไม่เน้นการแสวงหากำไร เพื่อให้ประโยชน์ของกองทุนฯ ตกอยู่ที่เกษตรกร และสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง สามารถขายผลผลิตได้ในราคาที่สูงขึ้น ที่ผ่านมา ผลดำเนินงานบริษัทร่วมทุนฯ ทำให้ราคายางปรับตัวขึ้นในระดับหนึ่งท่ามกลางราคายางที่มีทิศทางจะปรับลดลง บริษัทร่วมทุนฯ จะเข้าไปประมูลยางในราคาที่ชี้นำ ซึ่งเกษตรกรสามารถนำราคาไปอ้างอิงในการต่อรองซื้อขายกับผู้ซื้อในแหล่งอื่นๆ ได้ เช่น ผลของการประมูลในวันที่ 9 – 10 พ.ย. 2560 ราคายางมีทิศทางจะปรับลดลง บริษัทร่วมทุนฯ ได้เข้าประมูลในราคา 47.10 บาท ซึ่งหากบริษัทร่วมทุนฯ ไม่เข้าประมูล ราคายางที่พ่อค้าเสนอจะอยู่ที่ 46.39 – 46.49 บาทเท่านั้น และในช่วงวันที่ 30 ต.ค. – 1 พ.ย. บริษัทร่วมทุนฯ ชะลอการประมูลยางในตลาดตามที่แกนนำบางกลุ่มเรียกร้อง ส่งผลให้ราคายางปรับลง 5.61 บาท ดังนั้น ที่ผ่านมา บริษัทร่วมทุนฯ ได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนฯ มาโดยตลอด นอกจากนี้ ข้อเสนอเรื่องการจัดตั้งบริษัทโดยถือหุ้นร่วมกับภาคสถาบันเกษตรกร ในส่วน กยท. จะต้องดำเนินการตามกระบวนการที่กระทรวงการคลังกำหนด และสำหรับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางสามารถเข้ามาร่วมหุ้นได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อบังคับของแต่ละสถาบันเกษตรกร สำหรับ กยท.ได้ปรับระเบียบตลาดกลางยางพารา กยท. พร้อมทั้งประกาศให้ผู้ซื้อและผู้ขายเข้าใจ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด รวมถึง กรณีบริษัท ร่วมทุนฯ ได้มีการรับทราบระเบียบ พร้อมทั้งดำเนินการแถลงข่าวและแก้ปัญหาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดเช่นกัน นอกจากนี้ โครงการส่งเสริมใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ กยท. ได้ประสานกับทุกหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 เป็นปีแรกที่มีการดำเนินโครงการตามนโยบาย มีหน่วยงานรัฐนำยางไปใช้ในรูปแบบน้ำยางข้น จำนวน 10,213.49 ตัน และยางแห้ง จำนวน 1,453.48 ตัน งบประมาณทั้งสิ้น 15,074,604,881.57 บาท ปี 2561 แต่ละหน่วยงานอยู่ระหว่างดำเนินการตามแผนงานและระเบียบการจัดหาของตนเอง ซึ่งภาครัฐจะใช้น้ำยางข้น จำนวน 9,916.832 ตัน ยางแห้ง จำนวน 1,132.3895 ตัน งบประมาณรวม 11,583,115,494.570 บาท ทั้งนี้ ภาครัฐจะเป็นหน่วยงานนำร่องใช้ยางในประเทศ ควบคู่กับการวิจัยและพัฒนา เพื่อให้การนำยางไปใช้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะการลดต้นทุนการผลิตในความคุ้มค่าต่อปริมาณยางและงบประมาณที่ใช้ อย่างไรก็ตาม ทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นเอกชน สถาบันเกษตรกร รวมถึงภาคประชาชน ต้องร่วมมือผลักดันและใช้ยางในประเทศร่วมกัน ทั้งนี้ บางโครงการรัฐได้ให้การสนับสนุนร่วมด้วย เช่น โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยางผลิตภัณฑ์ยาง วงเงิน 15,000 ล้านบาท ทำให้มีปริมาณการใช้ยางในประเทศเพิ่มขึ้น 60,000 ตัน/ปี สร้างมูลค่าจากการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง กว่า 7,600 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างรอเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ที่จะจัดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'ทุกข์คนขับรถบัสลอนดอน' ถูกคุกคามทั้งวาจาและร่างกาย องค์กรแรงงานรณรงค์ยุติความรุนแรง Posted: 11 Nov 2017 05:30 PM PST สหภาพแรงงาน Unite สำรวจสภาพการทำงานคนขับรถบัสในลอนดอน พบถูกข่มเหงทั้งทางวาจาและถูกทำร้ายร่างกาย เรียกร้องให้ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเคารพ เพราะคนขับรถบัสมีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการขนส่งลอนดอน
12 พ.ย. 2560 สหภาพแรงงาน Unite ซึ่งเป็นสหภาพแรงงานที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์มีสมาชิกกว่า 1.4 ล้านคน จากเกือบทุกภาคอุตสาหกรรม ได้เปิดเผยแบบสำรวจสภาพการทำงานของคนขับรถบัสในกรุงลอนดอน 6,000 คน (จากทั้งหมดที่มีประมาณ 25,000 คน) พบว่าร้อยละ 12 ระบุว่าเคยถูกคุกคามในรอบปีที่ผ่านมา ร้อยละ 86 ระบุว่าถูกผู้โดยสารข่มเหงทั้งทางวาจา และร้อยละ 2 ระบุว่าเคยถูกทำร้ายร่างกายมาแล้ว และยังพบว่าอย่างน้อยร้อยละ 50 ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคนขับรถบัสไม่ได้รายงานต่อนายจ้างเพราะกลัวว่าจะถูกตำหนิ รวมทั้งรู้สึกว่าไม่มีความเชื่อมั่นว่านายจ้างหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจจะแก้ไขปัญหาให้พวกเขาได้ การรณรงค์ของ Unite มีเป้าหมายเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ หยุดการใช้ความรุนแรงต่อพนักงานขับรถบัสทั้งทางวาจาและการทำร้ายร่างกาย มีการเรียกร้องให้มีการติดตั้งอุปกรณ์ยืนยันตัวบุคคลเพื่อไว้เก็บหลักฐานยืนยันตัวบุคคลที่ทำร้ายร่างกายคนขับรถบัสได้ จอห์น เมอร์ฟี เจ้าหน้าที่ของ Unite กล่าวว่าการสำรวจครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงระดับที่น่าตกใจของการกระทำรุนแรงต่อพนักงานขับรถประจำทางในลอนดอน "ไม่มีใครควรจะทนทุกข์ทรมานกับการทะเลาะวิวาทกันการทำร้ายร่างกายด้วยวาจาหรือถูกทำร้ายร่างกาย งานของคนขับรถประจำทางที่ลอนดอนเครียดมากพอแล้ว" นอกจากนี้เมอร์ฟีเรียกร้องให้ผู้ประกอบรถบัสการสนับสนุนพนักงานของพวกเขาเมื่อถูกทำร้ายร่างกายเพื่อหาตัวคนผิดมาลงโทษ "คนขับรถประจำทางของลอนดอนมักถูกมองข้ามบ่อยเกินไป ทั้งที่พวกเขามีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการขนส่งลอนดอน ถึงเวลาแล้วที่พนักงานขับรถของเมืองหลวงแห่งนี้จะต้องได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพ" เมอร์ฟี กล่าว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กรุงเทพโพลล์ระบุประชาชนห่วงปรับ ครม. ไม่สามารถตรวจสอบได้-เป็น ครม. พวกพ้อง เครือญาติ Posted: 11 Nov 2017 04:33 PM PST กรุงเทพโพลล์ เผยผลสำรวจระบุประชาชน 52.5% หวังปรับ ครม.แล้วเปลี่ยนไปในทางที่ดี 61.6% หวังเศรษฐกิจดีขึ้น 57.5% ห่วง ครม.ไม่สามารถตรวจสอบได้ และ 55.1% ห่วงเป็น ครม. พวกพ้อง เครือญาติ เพื่อนพ้องน้องพี่ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2560 ที่ผ่านมากรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง ประชาชนคิดอย่างไรกับการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประยุทธ์ 5 โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคจำนวน 1,166 คน พบว่า ร้อยละ 52.5 ปรับแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นทั้งด้าน สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ร้อยละ 37.2 ได้คนมีความรู้ความสามารถมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ร้อยละ 31.1 ทำให้การเลือกตั้งจะล่าช้าออกไป ร้อยละ 11.4 ทำให้ประเทศขาดเสถียรภาพทางการเมือง และ ร้อยละ 11.3 ทำให้ขาดความต่อเนื่องในการบริหารประเทศ เมื่อถามว่า หากมีการปรับ ครม. ตามกระแสข่าว อยากให้ปรับรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงที่เกี่ยวข้องกับด้านใด ร้อยละ 76.9 ด้านเศรษฐกิจ ร้อยละ 46.7 ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ร้อยละ 24.5 ด้านการบริหารจัดการและการบังคับใช้กฎหมาย ร้อยละ 18.3 ด้านความมั่นคงของประเทศ และ ร้อยละ9.6 ด้านการต่างประเทศ เมื่อถามถึงสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด หากมีการปรับ ครม. ร้อยละ 57.5 เป็น ครม. ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ ร้อยละ 55.1 เป็น ครม. พวกพ้อง เครือญาติ เพื่อนพ้องน้องพี่ ร้อยละ 51.3 เป็น ครม. ที่เอาคนมีคุณสมบัติไม่สอดคล้องกับเจ้ากระทรวง มาดำรงตำแหน่ง และ ร้อยละ 34.5 เป็น ครม. สายทหารแบบเดิม เมื่อถามถึงสิ่งที่คาดหวังการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น หากมีการปรับ ครม. ร้อยละ 61.6 ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ความเป็นอยู่ของคนดีขึ้น ร้อยละ 48.6 มีหลักธรรมาภิบาลครบถ้วน ร้อยละ 47.9 ทุกภาคส่วนทำงานอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ร้อยละ 40.1 มีโร้ดแมป การเลือกตั้งที่ชัดเจนและ ร้อยละ 33.6 สามารถปฏิรูปประเทศได้สำเร็จตามที่พูดไว้ และเมื่อถามถึงความเชื่อมั่นว่าการปรับ ครม. แล้วจะนำพาประเทศไปสู่การเลือกตั้งตามโร้ดแมป ร้อยละ 51.4 ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ร้อยละ 47.6 ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด และ ร้อยละ 1 ไม่แน่ใจ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'Big Data' หลอมรวมกับ 'Big Brother': ระบบให้คะแนนประชาชนโดยรัฐบาลจีน Posted: 11 Nov 2017 04:22 PM PST จากข่าวเรื่องที่ทางการจีนกำลังวางแผนระบบ "ให้คะแนน" ประชาชนของตัวเองฟังดูเหมือนฝันร้ายจากนิยายวิทยาศาสตร์ดิสโทเปีย แต่ในยุคสมัยที่ข้อมูลของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตถูกเก็บข้อมูลอย่างกว้างขวางบวกกับรัฐบาลอำนาจนิยมที่มองประชาชนเป็น "เด็ก ๆ" แบบจีนแล้ว ก็น่าประเมินว่าแผนการนี้จะสร้างหายนะต่อสิทธิความเป็นส่วนตัวหรือแม้กระทั่งหายนะต่อการใช้ชีวิตประจำวันทั่วๆ ไปหรือไม่ 11 พ.ย. 2560 ทางการจีนมีแผนการออกระบบที่เรียกว่า "ระบบเครดิตทางสังคม" ภายในปี 2563 ซึ่งเป็นระบบการให้คะแนนประชาชนกว่า 1,300 ล้านคนในประเทศพวกเขา คะแนนดังกล่าวคือคะแนนที่จะระบุว่ารัฐบาลเชื่อถือประชาชนคนนั้นมากขนาดไหน มีการวัดคะแนนพวกนี้ผ่านการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ของแต่ละบุคคล นั่นหมายความว่าถ้าหากคุณซื้อของบางอย่างที่รัฐบาลไม่ชอบ หรือเล่นเกมมากเกินไปหน่อย รัฐบาลก็อาจจะหาเรื่องลดคะแนนคุณได้ ระบบการตรวจสอบเรื่องพวกนี้ง่ายขึ้นในยุคสมัย 'บิกเดตา' ที่บรรษัทไอทีใหญ่ๆ มักจะเก็บข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ของผู้คนบนโลกอินเทอร์เน็ตเพื่อหาเหตุทางการค้า แต่ในคราวนี้รัฐบาลจีนกำลังจะนำมาใช้กับการให้คะแนนตัวบุคคลซึ่งอาจจะส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขา อย่างการพิจารณาเข้าเรียนที่ใด หรือการจะได้ทำงานที่ใดด้วย หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างจะมีคนยอมเป็นแฟนด้วยหรือไม่ถ้าหากพวกเขามีคะแนนเท่านี้ แผนการนี้มีระบุอยู่ในเอกสารของคณะรัฐมนตรีเผยแพร่ออกมาในปี 2557 ทางการจีนอ้างว่าพวกเขาต้องการสร้างวัฒนธรรมแห่ง "ความจริงใจ" แต่หลายคนไม่มองเช่นนั้น โจฮัน เลเกอควิสต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอินเทอร์เน็ตจีนจากสถาบันกินการนานาชาติสวีเดนกล่าวว่าโครงการที่ทะเยอทะยานเช่นนี้มีลักษณะแบบเผด็จการจอมสอดส่องแบบในนิยายของจอร์จ ออร์เวลล์ อีกคนหนึ่งที่วิจารณ์ในเรื่องนี้คือโรเกียร์ ครีมเมอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจีนจากสถาบันโวลเลนโฮเวนของมหาวิทยาลัยไลเดน เขาศึกษาแผนการของรัฐบาลจีนในเรื่องนี้จากภาษาจีนแล้วแปลออกมาโดยเปรียบเทียบว่ามันเหมือนกับการเป็นผู้รีวิวให้คะแนนอะไรสักอย่างเช่นร้านอาหาร แต่ในคราวนี้มันเป็น "รัฐพี่เลี้ยง" ที่จะมารีวิวประชาชนตัวเองคอยเฝ้าดูประชาชนตัวเอง แผนการสอดส่องและให้คะแนนที่จะมีขึ้นในปี 2563 เช่นนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนไม่ได้เลือกว่าอยากจะให้มีหรือไม่ ทางการจีนออกใบอนุญาตให้กับบริษัทเอกชน 8 แห่ง ในการออกแบบระบบและอัลกอริทึมเพื่อสร้างระบบการให้คะแนน แน่นอนว่ามีบริษัทเอกชนไอทียักษ์ใหญ่ของจีนอย่างเทนเซนต์และอาลีบาบารวมอยู่ด้วย บริษัทเหล่านี้เป้นเจ้าของระบบเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์กในอินเทอร์เน็ตจีนรวมถึงบิการซื้อขายออนไลน์อย่างอาลีเพย์ที่ไม่เพียงแค่ใช้ซื้อขายสินค้าเท่านั้นยังนำมาใช้ซื้อบริการ จ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษา ซื้อตั๋วภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่งการถ่ายโอนเงินสดด้วย บรรษัทเซซามีเครดิตเจ้าของโปรแกรมเรียกใช้บริการโดยสารอย่าง Didi Chuxing และเว็บไซต์หาคู่ Baihe ที่ใหญ่ที่สุดในจีนก็เข้าร่วมด้วย เสมือนว่าเป็นแหล่งรวมการเก็บข้อมูลออนไลน์ของผู้คนจำนวนมากในระดับที่เรียกว่า 'บิกเดตา' เตรียมพร้อมไว้แล้วสำหรับระบบให้คะแนน ผู้อำนวยการเทคโนโลยีของเซซามีเครดิตยอมรับว่าจะมีการให้หรือลดคะแนนประชาชนแม้กระทั่งกับพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เช่นจำนวนชั่วโมงของการเล่นเกม ตัดสินคนจากของที่ซื้อ เช่นซื้อผ้าอ้อมน่าจะเป็นคนเป็นพ่อแม่และอาจจะได้คะแนนความดูดีมีความรับผิดชอบ หรือแม้กระทั่งประเภทของเพื่อนที่คบในโลกออนไลน์ ลักษณะการปฏิสัมพันธ์ รวมถึงการโพสต์ถึงรัฐบาลในแง่บวกหรือไม่ มีการพูดเรื่องที่รัฐบาลไม่ชอบอย่างกรณีสังหารประชาชนที่จัตุรัสเทียนอันเหมินหรือไม่ อย่างไรก็ตามอาลีบาบาพยายามแก้ข่าวตรงจุดนี้ว่าคนที่พูดอะไรในแง่ลบก็จะไม่กระทบกับคะแนนของพวกเขา (แต่ก็เป็นข้ออ้างที่พิสูจน์ไม่ได้เพราะอัลกอริทึมที่พวกเขาใช้คำนวนเป็นความลับ) สิ่งที่น่าแปลกใจคือเหตุใดในช่วงที่มีการทดสอบระบบถึงมีคนจำนวนมากยอมอาสาเข้าไปทดสอบระบบการให้คะแนนนี้ สื่อ Wired ตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะเป็นเพราะ "เอกสิทธิ์พิเศษ" ที่นำมาล่อ เช่นถ้าทำคะแนนได้มากพอจะได้รับเงินช็อปปิงออนไลน์ได้ในจำนวนที่กำหนด คะแนนสูงกว่านั้นจะสามารถเช่ารถยนต์ได้โดยไม่ต้องมัดจำ หรือแม้กระทั่งสามารถนำไปใช้กับวีไอพีเช็คอินที่สนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่งได้ นอกจากนี้คนที่ได้คะแนนสูงมากๆ ยังกลายเป็นประดับสถานะทางสังคมได้ด้วย เช่นมีคนจำนวนเกือบ 100,000 คน อวดคะแนนตัวเองในโซเชียลมีเดีย Weibo อีกทั้งยังส่งผลต่อการเดทด้วยในแง่ที่ว่าถ้าใคมีคะแนนสูงกว่าโปรไฟล์ของพวกเขาจะกลายเป็นที่รับรู้มากกว่าในเว็บไซต์เดทอย่าง Baihe ระบบแบบนี้บวกกับการสอดแนมจากรัฐบาลจีนมีโอกาสที่จะทำให้ประชาชนพยายามเซนเซอร์กันเองหรือไม่ก็ขายเพื่อน ขายพ่อแม่พี่น้องของตัวเองให้รัฐบาล และ Wired ยังประเมินว่ามันเอื้อให้มี "การซื้อขายคะแนนกันในตลาดมืด" ได้ด้วย แบบเดียวกับที่มีการซื้อไลก์หรือผู้ติดตามในโซเชียลมีเดีย และถ้าหากระบบความปลอดภัยไม่ดีพอก็เสี่ยงต่อแฮกเกอร์ (แม้กระทั่งแฮกเกอร์จจากรัฐบาลเอง) จะเข้าไปขโมยหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ Wired ระบุอีกว่าะบบใหม่นี้แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในแบบที่เจ้าเล่ห์ของจีน "...แทนการพยายามบังคับให้เกิดเสถียรภาพหรือการยอมตามด้วยวิธีใช้ไม้เรียวและขู่ให้กลัว รัฐบาลกำลังพยายามเปลี่ยนความเชื่อฟังให้กลายเป็นเกมการแข่งขัน" ถึงแม้ทางเซซามีเครดิตจะบอกว่าในตอนนี้ยังไม่มีการลงโทษใดๆ กับผู้คะแนนน้อยระบบแบบดังกล่าวก็เอื้อต่อการสร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้นโดยมาจากการกีดกันคนที่คะแนนน้อยและให้อภิสิทธิ์ต่างๆ แก่คนที่คะแนนมาก เพราะคนคะแนนน้อยอาจจะถูกกีดกันจากการเข้าถึงการงาน การเช่าซื้อสินค้า การกู้ยืม หรือแม้กระทั่งถูกกีดกันจากเรื่องในชีวิตประจำวันอย่างการเข้าถึงร้านอาหารหรือการได้รับความเร็วอินเทอร์เน็ตช้าลง สิ่งที่เป็นฝันร้ายของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจีนไม่เพียงแค่เรื่องที่ว่าพวกเขาจะถูกลดคะแนนด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการพูดถึงสุขภาพของตัวเองเท่านั้น แต่ยังมาจากระบบอัลกอริทึมที่ใช้มีความแข็งกระด้างแบบไม่สนใจบริบทใดๆ ได้ด้วย เช่นถ้าหากว่าใครคนหนึ่งเจ็บป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลทำให้ชำระค่าน้ำค่าไฟช้า พวกเขาก็จะถูกลดคะแนนโดยที่ไม่ได้มองบิบทเลยว่าเหตุใดพวกเขาถึงมีข้อจำกัดทำให้จ่ายค่าน้ำค่าไฟช้า นั่นทำให้ระบบอัลกอริทึมนี้ขัดแย้งและไม่ได้สะท้อนกาใช้ชีวิตจริงของผู้คน แต่มันกลับถูกนำมากำหนดชีวิตของผู้คน Wired ระบุว่าระบบนี้อาจจะคล้ายรัฐเผด็จการสอดส่องประชาชนแบบนิยาย 1984 ผสมกับการทดลองทางจิตใจแบบวางเงื่อนไขของพาฟลอฟ แต่พวกเขาก็ระบุว่าระบบเครดิตแบบนี้เองก็ถูกนำมาใช้กับการเงินในโลกตะวันตกมานานแล้ว ต่างกันตรงที่ทางการจีนนำมาใช้กับพฤติกรรมประชาชนทั่วไปทุกคนและยึดกุมการตีความในเรื่อง "ความเชื่อมั่น" ไว้กับรัฐบาลกลางเอง มีข้ออ้างอีกอย่างหนึ่ในระบบนี้คือการอ้างว่าจะสามารถดึงคนที่เคยถูกทิ้งจากระบบเครดิตแบบดั้งเดิมให้เข้ามาอยู่ในระบบเครดิตของรัฐบาลได้ แต่ทว่าการกำหนดคุณค่าว่าสิ่งใดดีหรือสิ่งใดไม่ดีก็กลายเป็นคำถามในทางปรัชญาอีก และจะไว้ใจให้รัฐบาลจีนมากำหนดคุณค่าเอาเองได้จริงหรือ หวังชูชิน จากสำนักงานปรัชญาและสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยแคปปิตอลนอร์มัลในจีนได้รับเลือกจากรัฐบาลในการพัฒนาระบบที่เรียกว่า "ระบบความเชื่อมั่นศรัทธาทางสังคมของจีน" โดยระบุว่าคนที่มีความเชื่อมั่นในแนวคิดแบบสังคมนิยมจะปฏิบัติตาม "มาตรฐานศีลธรรม" ของพวกเขาได้ดีกว่า กระนั้นมันก็ชวนให้ตั้งคำถามว่าจะเกิดการลำเอียงเล่นพรรคเล่นพวกขึ้นเช่นกลุ่มข้าราชการจะได้รับคะแนนมากกว่าจากระบบแบบนี้หรือไม่ และประชาชนจะคิดอย่างไรถ้ามีพฤติกรรมแย่ๆ บองคนบางกลุ่มที่มีอภิสิทธิ์มากกว่าไม่ลดคะแนนของพวกเขา ในส่วนของคำถามเรื่องการเก็บข้อมูลผู้คนแบบเหวี่ยงปแห มีผู้มองว่าหรือจริงๆ แล้วอนาคตทางอินเทอร์เน็ตของผู้คนทั้งในโลกตะวันออกและโลกตะวันตกต่างก็หลีกเลี่ยงจากการถูกดักเก็บข้อมูลหรือถูกสอดแนมไม่ได้เลย เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีการเปิดโปงครั้งใหญ่เกี่ยวกับโครงการสอดแนมของหน่วยงานความมั่นคงรัฐบาลสหรัฐฯ และอังกฤษ เควิน เคลลี ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อธิบายว่าความสำคัญอยู่ตรงที่การสอดแนมเหล่านี้ควรจะถูกนำออกมาให้ประชาชนรับรู้ว่าระบบของพวกมันเป็นอย่างไร และสุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องของความโปร่งใสที่ฝ่ายประชาชนเองควรจะจับตามองฝ่ายรัฐได้ด้วย จนถึงบัดนี้ยังไม่มีใครทราบว่าระบบให้คะแนนของจีนจะเปลี่ยนวัฒนธรรมของพวกเขาไปอย่างไร เปลี่ยนชีวิตชีวิตทางสังคมและการเงินของพวกเขาไปแค่ไหน ความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกทำลายไปมากเพียงใด (จากที่แย่พออยู่แล้วในจีน) ประชาชนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจึงต้องมีการเฝ้าระวังในเรื่องนี้ เรียบเรียงจาก Big data meets Big Brother as China moves to rate its citizens, Wired, 21-10-2017 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น