โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

(คลิป) 'เดชรัต-สามชาย-สุรวิช-วาสนา' ถก 'ประชารัฐ' คืออะไร เพื่อคนไทยหรือเพื่อนายทุน?

Posted: 18 Nov 2017 09:03 AM PST

18 พ.ย. 2560 ที่ห้องประชุมประกอบ หุตะสิงห์ ชั้น 3 อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ พรรคใต้เตียง มธ. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ คณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ (คปอ.) จัด เสวนา "ประชารัฐคืออะไร เพื่อคนไทยหรือเพื่อนายทุน?" 

โดยมีลำดับการอภิปรายตามหัวข้อย่อยของวิทยากรดังนี้ 1. "คนจนในวงล้อมของประชารัด" โดย เดชรัต สุขกำเนิด ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ 2. "นโยบายประชารัฐกับต้นทุนทางสังคมที่เพิ่มขึ้น" โดย สามชาย ศรีสันต์ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ม.ธรรมศาสตร์ 3. "นโยบายประชารัฐกับผลกระทบต่อเกษตรกร" โดย รศ.ดร.สุรวิช วรรณไกรโรจน์ ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร ม.เกษตรศาสตร์ และ "ทุนแดงผงาด" โดย ผศ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินรายการโดย โชติศักดิ์ อ่อนสูง คปอ.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: กลา(โหม)แลนด์

Posted: 18 Nov 2017 07:38 AM PST

ดิ้นกันพล่าน ด่ากันขรม เมื่อนักเรียนสวนกุหลาบถือ ป้ายผ้า "ไทยแลนด์แดนกะลา" ในขบวนพาเหรดฟุตบอลประเพณีจตุรมิตร

หาว่าดูหมิ่นแผ่นดินถิ่นเกิด ไม่มีสำนึกกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน จะชอบหรือไม่ชอบนักการเมือง ทหาร หรือระบอบใด ก็ไม่ควรเนรคุณด่าแผ่นดินเกิด โรงเรียนระดับหัวกะทิของประเทศ สร้างคนที่มีสำนึกเหมือนคนที่เป็นศัตรูของประเทศได้อย่างไร บ้างก็บอกว่า "พวกชังชาติ" ปลุกระดมเยาวชนคนรุ่นใหม่ ถ้าปล่อยไป จะเกิดคนอย่างเนติวิทย์อีกมากมายมหาศาล (เย้!)

อันที่จริง เด็กหมายถึงระบอบการศึกษาไทยอยู่ในกะลา ไม่ยอมรับสิ่งใหม่ แต่คนด่าคงมองว่าเหมือนกันละน่า เนติวิทย์ก็วิพากษ์การศึกษา แถมบางคนอาจบอกว่านี่ละ ผลของการศึกษาที่ไม่ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม สมควรแล้วที่บังคับ ท่องค่านิยม 12 ประการ เอาทหารไปฝึกเด็กสาธิต

คนเหล่านี้คงอยากให้ใช้กฎหมายบังคับ ใครพูด "กะลาแลนด์" มีความผิดต่อความมั่นคง "ไม่รักชาติ" ต้องช่วยกันป่าวประกาศ ไทยแลนด์คือแผ่นดินที่น่าภาคภูมิใจ ถึงแม้ตกต่ำทางการเมือง เศรษฐกิจ ก็ยังมีสตรีตฟู้ดติดอันดับต้นๆ ของโลก ถึงแม้ไม่มีประชาธิปไตย ก็ยังฝักใฝ่คุณธรรม

หรืออย่างน้อย ใครไม่ชอบรัฐประหาร ก็โทษรัฐบาลสิ อย่าเหมารวมเพื่อนร่วมชาติที่ไปเป่าปี๊ดๆ

คำว่า "กะลาแลนด์" หรือ "แดนกะลา" ฮิตมา 2-3 ปีแล้ว ล่าสุดเพจ Doublestandard ก็เอาไปอำจนเกิดคำใหม่ "กลาโหมแลนด์" ฉะนั้น ชัดเจนนะ คำนี้ฮิตหลังรัฐประหาร แต่ทำไมไม่โทษรัฐประหาร มาโทษเพื่อนร่วมชาติ โทษแผ่นดินถิ่นเกิด

ก็เพราะรัฐประหารครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของทหาร ลุงตู่ ไม่แค่อยู่ได้ด้วยปืน แต่มีฐาน "คนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมี" ที่สืบทอดมาตั้งแต่ม็อบนกหวีด

ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ทางการเมืองรอบนี้ ซึ่งเป็นผลพวงความขัดแย้งสิบปี ยังขยายไปกว้างกว่าเอาทหาร ไม่เอาทหาร เอาทักษิณ ไม่เอาทักษิณ แต่มันกลายเป็นการต่อสู้ทางทัศนคติ ที่ขุดรากเหง้าทางความคิด วัฒนธรรม ค่านิยม "ความเป็นไทย" ขึ้นมาต่อสู้กับการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคเท่าเทียม และความยุติธรรม

ดูกันง่ายๆ จากรัฐธรรมนูญ 2560 มาถึง 4 คำถาม 6 คำถาม นี่ไม่ใช่การกวาดล้าง "นักการเมืองชั่ว" แล้วกลับไปเลือกตั้งอย่างที่เป็นมา แต่คือความพยายามสถาปนารัฐแห่งความมั่นคง ที่ชูธงอุดมการณ์ เพื่อปกป้องศีลธรรมจรรยา วัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ต้องจำกัดอำนาจประชาชนที่ใช้ผ่านการเลือกตั้ง จำกัดความคิดเห็น จำกัดการแสดงออก แล้วจะนำไทยแลนด์สู่ 4.0 ภายใต้รัฐราชการ 1.0

แค่วาทกรรม "ไทยแลนด์โอนลี่ Vs ประชาธิปไตยฝรั่ง" ก็เห็นแล้วว่า "ความเป็นไทย" กลายเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้ง จนนำมาสู่ "ไทยแลนด์แดนกะลา"

รัฐประหารครั้งนี้ท่องคาถาศีลธรรม โดยมีลุงตู่เป็นผู้นำสวดมนต์ไหว้พระ ให้โอวาท จะฟังไม่ฟังก็ตามใจ แต่นี่คือสังคมไทยที่ชอบให้มีคนสั่งสอนหน้าเสาธง โดยศีลธรรมหลักคือความซื่อสัตย์ กตัญญู เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ สำนึกในบุญคุณแผ่นดิน เมื่อสำนึกแล้วก็ต้องอยู่ในโอวาท ในคำสั่ง อย่าเอา แต่ใจตัว อย่าออกนอกกรอบ อย่าเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ อย่าทวงถามความยุติธรรม หรือกระทั่งอย่าถามหาตรรกะเหตุผล (ซึ่งเป็นของฝรั่ง)

แล้วรัฐที่ประชาชนต้องสำนึกบุญคุณนี้จะจัดการให้ทุกอย่าง ตั้งแต่บัตรคนจนไปถึงเรือดำน้ำ ชาวบ้านมีหน้าที่ร่วมแรงร่วมใจสนับสนุนรัฐ หรือช่วยกันบริจาค แล้วชาติจะเจริญ

วิกฤตสิบปีลากเอาความคิดค่านิยมที่ปลูกฝังมาหลายสิบปีขึ้นมาต่อสู้กัน ระหว่างโลกเก่า Vs โลกใหม่ ระหว่างอนุรักษ์นิยม Vs ลิเบอร่าน ซึ่งขยายไปทุกปริมณฑล เช่นเรื่องโซตัส เรื่องบังคับให้เด็กเข้าแถว เรื่องวัฒนธรรม ประเพณี ข้อห้าม คำสั่ง ไปจนศาสนา ความเชื่อ หรือว่าเหล้าเบียร์

แต่ละประเด็นมีคนเห็นด้วยเห็นต่างมากน้อยแตกต่างกันไป จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ทั้งหมดนั้นรวมศูนย์อยู่ที่ทัศนะ "คุณพ่อรู้ดี" VS สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล

นั่นแหละคือประชาธิปไตย ซึ่งไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง ซึ่ง ถ้ามองให้กว้างออกไป ระหว่างวัฒนธรรมเอเชียกับฝรั่ง ก็ยิ่งเห็นชัด อย่างจีนยุคสี่ จิ้นผิง พยายามปลูกฝังลัทธิขงจื๊อ

แต่อย่าเข้าใจผิดว่าสิทธิเสรีภาพบุคคลเป็นของฝรั่ง มันเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคน ทุกชาติศาสนา ซึ่งผู้ปกครองพยายามจะงัดเอาวัฒนธรรมประเพณี หรืออ้างเอา "อัตลักษณ์" มายับยั้ง เช่นจีนอ้างประชาธิปไตยอัตลักษณ์จีน

ถามว่าความเป็นไทยสามารถไปกันได้ไหม กับประชา ธิปไตย สิทธิเสรีภาพ เสมอภาค เท่าเทียม และยุติธรรม จริงๆ ก็ไปกันได้ เราอยู่กันมาได้ตั้งนาน มีวิวัฒนาการคลี่คลายมาเรื่อยๆ แต่พอถึงจุดหนึ่งกลับไม่ยอมไปต่อ จนเกิดวาทกรรม "ไทยแลนด์แดนกะลา" นี่เอง

 

ที่มา: www.khaosod.co.th

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทรงผมแมนจู

Posted: 18 Nov 2017 07:18 AM PST

ในอดีตพื้นที่ด้านตะวันออกของทวีปเอเชียประกอบด้วยหลายแคว้น ก่อนที่เจ้าครองแคว้นฉินจะรวบรวมแคว้นเหล่านี้เป็นหนึ่ง และสถาปนาตนเองเป็น "ฉินฉื่อหวังตี้ (秦始皇帝)" เพื่อปกครองจีนในปี พ.ศ. 323

อย่างไรก็ตามดินแดนทางตอนเหนือของจีนยังคงมีชนเผ่าเร่ร่อนหลายชนเผ่าอาศัย เช่น รู่เจิน และมั่วเหอ

ดินแดนตอนเหนือของจีนเป็นพื้นที่แห้งแล้ง-ทะเลทราย ชนเผ่าเหล่านี้จึงดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์ ต่างจากชาวจีนที่อาศัยอยู่ในตอนใต้ที่ดำรงชีพด้วยการเกษตร

ด้วยเหตุนี้ชนเผ่าเหล่านี้จึงเชี่ยวชาญการรบมากกว่าชาวจีน แต่ความเจริญด้านวัฒนธรรมของพวกเขาด้อยกว่าจีนมาก

ผู้ชายของชนเผ่าเหล่านี้มีหน้าที่ล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ผมเขาจึงนิยมโกนศีรษะด้านหน้าออก เนื่องจากเส้นผมเป็นอุปสรรคในการล่าสัตว์

นอกจากนี้ชนเผ่าเหล่านี้มักทำสงครามระหว่างกัน ทรงผมของชนเผ่าเหล่านี้จึงแตกต่างกันเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพรรคพวก

ต่อมาชนเผ่าแมนจูซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่ารู่เจินครองดินแดนด้านตะวันออกเฉียงเหนือของจีน และสถาปนาแคว้นแมนจูในคริสต์ศตวรรษที่ 16

ต่อมาแคว้นแมนจูทยอยรุกรานจีนจนสามารถยึดครองจีนทั้งหมด และสถาปนาราชวงศ์ชิงในปี พ.ศ. 2187

เนื่องจากชาวจีนมีวัฒนธรรมที่เหนือกว่าชาวแมนจูมาก สมเด็จพระจักรพรรดิซุ่นจื้อ (顺治) จึงต้องการกลืนวัฒนธรรมจีน พระองค์ออกมาตรการหลายอย่างเพื่อเปลี่ยนชาวจีนให้เป็นชาวแมนจู และ 1 ในนั้นคือ การไว้ผมทรงแมนจู

สมเด็จพระจักรพรรดิซุ่นจื้อออกคำสั่งให้ชายจีนทุกคนต้องโกนศีรษะ และถักเปียแบบชาวแมนจู แต่ชาวจีนต่อต้านอย่างรุนแรงจนต้องระงับชั่วคราว

ในปี พ.ศ. 2188 สมเด็จพระจักรพรรดิซุ่นจื้อเดินหน้านโยบายนี้อีกครั้ง โดยกำหนดโทษผู้ใดขัดขืนจะมีโทษประหารชีวิต

ในช่วงแรกชาวจีนจำนวนมากต่อต้านนโยบายนี้ สมเด็จพระจักรพรรดิซุ่นจื้อจึงสั่งให้ปราบปรามผู้ต่อต้านอย่างรุนแรง

บางเมืองที่ต่อต้านนโยบายนี้ถูกทหารแมนจูสังหารกว่า 200,000 คนภายในเวลาเพียง 3 วัน ชาวจีนยุคนั้นจึงขนานนามนโยบายนี้ว่า "ไว้ผมไม่ไว้หัว ไว้หัวไม่ไว้ผม (留头不留发,留发不留头)"

ในช่วงต้นของราชวงศ์ชิงชายจีนต้องโกนผมเกือบทั้งศีรษะ โดยเหลือเพียงด้านท้ายเท่าเหรีษญกษาปณ์ทองแดง เมื่อเวลาผ่านไปจึงมีการผ่อนปรนให้เหลือผมด้านหลังมากขึ้นจนเกือบครึ่งศีรษะ

อย่างไรก็ตามตลอดสมัยของราชวงศ์ชิง ชาวจีนที่ต่อต้านราชวงศ์นี้ก่อกบฎหลายครั้ง พวกเขานิยมไว้ทรงผมแบบเดิมจึงถูกสังหารจำนวนมาก การไว้ผมทรงนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของการภักดีต่อราชวงศ์ชิง

หลังการล่มสลายของราชวงศ์ชิง ฝ่ายปฏิวัติยึดครองจีนสำเร็จในปี พ.ศ. 2454 ฝ่ายปฏิวัติออกคำสั่งให้ชาวจีนเลิกการไว้ผมทรงแมนจู แต่ความเคยชินของชาวจีนเกือบ 300 ปีทำให้ถูกต่อต้านจากชาวจีนจำนวนมากในช่วงแรก

ประมาณกันว่าตลอดสมัยของราชวงศ์ชิง ชาวจีนกว่า 1 ล้านคนถูกสังหารจากการไม่ยอมไว้ผมทรงแมนจู แต่ไม่ชัดเจนว่า หลังการล่มสลายของราชวงศ์ชิงมีชาวจีนจำนวนเท่าไรที่เสียชีวิตจากการขัดขืนไม่ยอมเลิกการไว้ผมทรงนี้

หันมาดูคำสั่งของ คสช. ที่สั่งให้ทหาร-ตำรวจไว้ผมเกรียนทำให้ผมนึกถึงประวัติศาสตร์นี้ หรือเราจะกลายไปอยู่ในยุคแมนจู

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: เฟสบุ๊ค เอกชัย หงส์กังวาน

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดตัว 'รางวัลปีศาจ' หวังเปิดพื้นที่สร้างความเปลี่ยนแปลง

Posted: 18 Nov 2017 04:31 AM PST

แถลงข่าวเปิดตัว 'รางวัลปีศาจ' หวังให้เป็นรางวัลที่สนับสนุนผลงานที่มุ่งเน้นความเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบความคิดและวิธีการที่ถูกกำหนดโดยชนชั้นนำ ปิดรับต้นฉบับ 30 เม.ย. 2561 ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก 24 มิ.ย. 2561 และประกาศรางวัลในวันที่ 6 ต.ค. 2561 



 

 
18 พ.ย. 2560 มติชนออนไลน์ รายงานว่าที่ร้านหนังสือ Books & Belongings กรุงเทพฯ จัดงานแถลงข่าวรางวัลวรรณกรรม รางวัลปีศาจ ครั้งที่ 1 โดยนายกิตติพล สรัคคานนท์ นักเขียนและบรรณาธิการประจำสำนักพิมพ์ 1001 ราตรี หนึ่งในคณะทำงานและกรรมการการคัดเลือกผลงานกล่าวว่า ขณะนี้รางวัลปีศาจเปิดรับผลงานแล้ว และสิ้นสุดการรับผลงานวันที่ 30 เม.ย. 2561 โดยชื่อรางวัลมาจากนวนิยาย 'ปีศาจ' ของเสนีย์ เสาวพงศ์ ด้วยหวังให้เป็นรางวัลที่สนับสนุนผลงานที่มุ่งเน้นความเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบ ความคิด และวิธีการที่ถูกกำหนดโดยชนชั้นนำ
 
นายกิตติพลกล่าวว่า จุดเริ่มต้นมาจากคำถามง่าย ๆ ว่ามีรางวัลใดบ้างที่เราไม่ต้องกลัวที่จะไปรับ ซึ่งบางคนถกเถียงกันว่าซีไรต์ให้กับฝ่ายซ้ายเยอะ ให้กับประชาชนเยอะ ถามว่าให้เดินเข้าไปรับเลยได้ไหม ไม่ต้องหมอบได้ไหม ไม่ได้ แต่นี่คือรางวัลที่มีแนวคิดจากการจะทำอย่างไรให้รางวัลที่ประชาชนมอบให้ประชาชนแล้วมีศักดิ์ศรี มีฐานะเท่ากับรางวัลที่มีเกียรติยศ
 
"เราต้องเปลี่ยนกรอบความคิดบางอย่างในการพิจารณางาน ให้ความสำคัญกับงานที่ไม่ต้องตีพิมพ์เป็นหนังสือ เพราะเชื่อว่าหลายครั้งที่ต้นฉบับเหล่านี้ส่งไปสำนักพิมพ์จะถูกตัดทอนเขี่ยทิ้งลงถัง เราคิดว่าเราต้องการงานที่คุณสามารถพูดหรือเล่าเรื่องที่ไม่มีใครพิจารณาทำเป็นหนังสือให้คุณ แล้วส่งมาที่เรา เราจะทำหน้าที่พิจารณา โดยปลายทางของช็อตลิสต์ทั้ง 4 เล่ม จะได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือ และได้รับค่าตอบแทนเหมือนเป็นนักเขียนจริง ๆ" นายกิตติพลกล่าว
 
สำหรับการส่งผลงาน 'รางวัลปีศาจ' ต้องเป็นงานเขียนประเภทนวนิยาย ไม่จำกัดความยาว รูปแบบ และวิธีการนำเสนอ ต้นฉบับเป็นภาษาไทย และไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ที่ไหนมาก่อน สามารถส่งต้นฉบับแบบพิมพ์ แบบไฟล์ .pdf หรือไฟล์ .doc จำนวน 1 ชุด ไปที่ 2281 สุขุมวิท 91 ถนนสุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ 10260 หรืออีเมล์ submit@spectreprize.org โดยต้นฉบับทุกชิ้นจะถูกปิดชื่อผู้เขียนก่อนส่งให้กรรมการคัดเลือกพิจารณา
 
กรรมการคัดเลือกผลงานประกอบด้วย นายคงกฤช ไตรยวงค์ อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, นายอาทิตย์ ศรีจันทร์ อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร, นายแมท ช่างสุพรรณ นักแปล และนายกิตติพล สรัคคานนท์ บรรณาธิการ ทำหน้าที่อ่านและคัดเลือกผลงานให้เหลือ 4 เรื่อง
 
ด้านกรรมการตัดสินผลงานประกอบด้วย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นายพิพัฒน์ พสุธารชาติ นักวิชาการอิสระ, นายก้อง ฤทธิ์ดี บรรณาธิการและคอลัมนิสต์ประจำบางกอกโพสต์, นางสาววริตตา ศรีรัตนา อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายโช ฟุกุโตมิ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยคาโกชิมา ประเทศญี่ปุ่น โดยส่วนหนึ่งของคณะกรรมการทั้ง 2 ฝ่ายจะมีประชาชนทั่วไปร่วมตัดสินด้วย ผู้สนใจสามารถส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 เม.ย. 2561 โดยจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกในวันที่ 24 มิ.ย. 2561 และประกาศรางวัลในวันที่ 6 ต.ค. 2561 ผู้ชนะเลิศรางวัลปีศาจจะได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท ตลอดจนผลงานที่ผ่านการคัดเลือกทั้ง 4 ชิ้น จะได้รับการผลักดันและสนับสนุนเพื่อจัดพิมพ์เป็นหนังสือ และได้รับค่าตอบแทนตามมาตรฐานงานที่ได้รับการตีพิมพ์
 
สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เฟสบุุ๊ครางวัลปีศาจ หรือ http://spectreprize.org
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 12-18 พ.ย. 2560

Posted: 18 Nov 2017 02:02 AM PST

 

แรงงานฟุ้งปี 2560 ยอดจ้างงานขยายตัว 2.45%

นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงสถานการณ์การจ้างงานในตลาดแรงงาน เดือนตุลาคม 2560 ว่า อัตราการจ้างงานในระบบประกันสังคม มีผู้ประกันตน (มาตรา 33) จํานวนทั้งสิ้น 10,695,748 คน เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม ปี 2559 พบว่ามีอัตราการขยายตัวถึงร้อยละ 2.45 สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.3 เมื่อวิเคราะห์ประมาณการว่างงานเดือนพฤศจิกายน 2560 จะลดลงเหลือร้อยละ 0.8 ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้เปิดช่องทางให้นักศึกษาจบใหม่หรือผู้ที่กำลังหางานทำ เข้าใช้บริการหางานทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านทาง Mobile Application "Smart Job Center" ซึ่งผู้สมัครงานและนายจ้างสามารถส่งข้อความโต้ตอบหากัน เพื่อนัดสัมภาษณ์งานได้ด้วยตนเอง อันเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สมัครงานและนายจ้าง ที่ทำให้การหาคนและหางานรวดเร็วยิ่งขึ้น

ส่วนการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ (ต.ค.59 – 60) มีจำนวนทั้งสิ้น 114,984คน แบ่งเป็น กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ได้แก่ ประเทศอิสราเอล, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, คูเวต, กาตาร์ และบาห์เรน จำนวน 16,540 คน กลุ่มประเทศแอฟริกา ได้แก่ แอฟริกาใต้, แอลจีเรีย, มาดากัสการ์, ซูดาน และโมซัมบิก จำนวน 3,511 คน กลุ่มประเทศเอเชีย ได้แก่ ไต้หวัน, สาธารณรัฐเกาหลี, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย และสิงคโปร์ จำนวน 80,186 คน กลุ่มประเทศอเมริกาและอื่นๆ จำนวน 4,014 คน แรงงานมีรายได้ส่งกลับผ่านระบบธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวนทั้งสิ้น 125,731 ล้านบาท

สำหรับการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จะบูรณาการร่วมกับองค์กรเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่แต่ละจังหวัด รวมถึงการประสานความร่วมมือกับผู้นำชุมชน ในการสำรวจความต้องการด้านอาชีพ เพื่อดำเนินการฝึกทักษะอาชีพแก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ให้ตรงกับความต้องการ และมีกำหนด Kick-Off พร้อมกันทั่วประเทศ วันที่ 14 ธันวาคม 2560 เป้าหมาย 61,840 คน ครอบคลุมทั่วประเทศ อีกทั้งยังดำเนินกิจกรรมสร้าง "ช่างชุมชน" จิปาถะ ต่อยอดโครงการสานสร้างศูนย์ช่างประจำชุมชน เทิดไท้องค์ราชัน ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางให้บริการซ่อมแซมอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงเป็นศูนย์กลางถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่คนในชุมชนที่จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น

"ส่วนนโยบายด้านคุ้มครองแรงงานในปีงบประมาณ 2561กระทรวงแรงงานจะขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยในการทำงานตามนโยบาย Safety Thailand ซึ่งจะเน้นย้ำเรื่องการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด การสร้างจิตสำนึกเรื่องความปลอดภัย เพื่อให้เกิดมาตรการเชิงป้องกัน สร้างความร่วมมือกับเครือข่ายผ่านกลไกประชารัฐ รวมทั้งการขับเคลื่อนความปลอดภัยในการทำงานสู่แรงงานนอกระบบ การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เน้นการทำงานเชิงรุก เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานบังคับ รวมไปถึงการส่งเสริมการจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่น ผลักดันให้สถานประกอบกิจการจัดทำ GLP TLS การพัฒนา e - service และการบริหารจัดการด้านแรงงานสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มยิ่งขึ้น นำสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีของคนทำงาน"นางเพชรรัตน์ฯ กล่าว

ที่มา: คมชัดลึก, 18/11/2560

เตือน ! ระวังถูกหลอกทำงานก่อสร้างอ้างรายได้ดีที่พม่า

นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ ช่วยราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานได้ตรวจสอบพบว่ามีกลุ่มบุคคลในนามตัวแทนบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายหนึ่งที่จดทะเบียนพาณิชย์ในประเทศไทย มีพฤติกรรมรับสมัครงานคนหางานตามจังหวัดต่าง ๆ โดยอ้างว่าจะพาไปทำงานก่อสร้างที่เมืองทวาย ประเทศพม่า มีรายได้ดี โดยได้รับงานโดยตรงจากบริษัทที่ประเทศพม่า ดังนั้นจึงต้องการรับสมัครคนหางานไปทำงานในตำแหน่งคนขับรถสิบล้อ รถแทรคเตอร์ รถไถ รถคีบ รถแมคโคร คนเลื่อยไม้ และเก็บเศษไม้ รายได้เดือนละ 10,000 – 15,000 บาท เบี้ยเลี้ยงวันละ 500 – 800 บาท จำนวน 1,100 อัตรา โดยจะได้รับสวัสดิการบ้านพัก และอาหารฟรี หากผู้ใดสนใจให้สมัครงานผ่านหัวหน้าสายงานของตนที่ประจำอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ อาทิ จังหวัดอุทัยธานี ตราด กาญจนบุรี พิษณุโลก นครราชสีมา และอุตรดิตถ์ เป็นต้น ซึ่งอ้างว่าจะไม่มีการเก็บค่าสมัครหรือค่านายหน้าและไม่ต้องทำหนังสือเดินทาง ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าบริษัทดังกล่าวมิได้แจ้งขออนุญาตพาลูกจ้างไปทำงานในต่างประเทศแต่อย่างใด ซึ่งหากมีการส่งไปทำงานในประเทศดังกล่าวจริงจะเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายอนุรักษ์ กล่าวอีกว่า เพื่อป้องกันมิให้คนหางานถูกหลอกลวงไปทำงานในต่างประเทศจนเสียทรัพย์สินหรือต้องไปตกระกำลำบากในต่างประเทศ จึงอย่าหลงเชื่อผู้ใดที่อ้างว่าสามารถส่งไปทำงานหรือฝึกงานในต่างประเทศได้โดยไม่ผ่านกรมการจัดหางาน หรือไม่ต้องทำหนังสือเดินทาง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โทร.02 254 6763 หรือสายด่วน 1694

ที่มา: กระทรวงแรงงาน, 17/11/2560

ลูกจ้าง รพ. ร้องไม่ได้ค่าตอบแทนตามประกาศ ฉ.11 ก่อนได้เฮ สธ.ชี้เข้าเกณฑ์ให้จ่ายคืนย้อนหลัง

(15พ.ย. 2560) ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุบลราชธานี นายสมชาย จันทอก อายุ 38 ปี พนักงานช่วยเหลือคนไข้โรงพยาบาลเขมราฐ จ.อุบลราชธานี พร้อมตัวแทนพนักงานลูกจ้างโรงพยาบาลประจำอำเภอต่างๆจำนวนกว่า 25 แห่ง เข้าร้องเรียนกรณีไม่ได้รับเงินค่าสนับสนุนทางการแพทย์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข มีมติให้สั่งจ่ายเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในหน่วยบริการของกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2544 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 11 ตามโรงพยาบาลของรัฐตามอายุงานตั้งแต่ 600-1,500 บาท เพิ่มจากเงินเดือนปกติ และมีคำสั่งออกมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2559

แต่ที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่ในกลุ่มที่ 1-4 ซึ่งเป็นแพทย์ เภสัชกร พยาบาล และฝ่ายสนับสนุนอื่นๆ ที่ให้บริการกับผู้ป่วยได้รับไปหมดแล้ว เหลือเพียงเจ้าหน้าที่ในกลุ่มที่ 5 ซึ่งเป็นกลุ่มพนักงานลูกจ้างในหน่วยสนับสนุนคือ เป็นพลเปล คนขับรถพยาบาล แม่บ้าน และอื่นๆ ยังไม่ได้รับเงินเพิ่มค่าปฏิบัติงานดังกล่าว จึงได้สอบถามไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี รวม 3 ครั้ง ได้รับคำตอบอยู่ระหว่างการตีความระเบียบข้อปฏิบัติ และทำหนังสือหารือไปยังกระทรวงสาธารณสุขว่า พนักงานลูกจ้างเหล่านี้เข้าหลักเกณฑ์ได้รับเงินเพิ่มดังกล่าวด้วยหรือไม่

กระทั่งมีพนักงานลูกจ้างบางรายได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังกระทรวงสาธารณสุขว่า ยังไม่ได้รับเงินดังกล่าว ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ก.ย.2560 ปลัดกระทรวงสาธารณสุขมีหนังสือตอบกลับมายังจังหวัดและลูกจ้างที่ร้องเรียนว่า สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้คำสั่งให้ชะลอการจ่ายเงินเพิ่มดังกล่าวแก่พนักงานลูกจ้างแต่อย่างใด จึงให้ชี้แจงผู้ร้องเรียนและดำเนินการเบิกจ่ายเงินนี้แก่ลูกจ้างตามสิทธิด้วย

แต่จนถึงปัจจุบันกลุ่มลูกจ้างเหล่านี้ ที่มีอยู่จำนวนหลายพันคนกระจายอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ ก็ยังไม่ได้รับเงินเพิ่มดังกล่าว จึงรวมตัวมาร้องเรียนกับศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด เพื่อให้ช่วยแก้ปัญหาสั่งให้มีการจ่ายเงินให้กับกลุ่มพนักงานลูกจ้างเหล่านี้ด้วย

ต่อนายอดิศักดิ์ ชามาตย์ หัวหน้างานตรวจสอบภายในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี เดินทางมาพบกับกลุ่มพนักงานลูกจ้างที่ศูนย์ดำรงธรรม พร้อมชี้แจ้งว่า เบื้องต้นต้องตีความคำสั่งสามารถจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่กลุ่มใดได้บ้าง แต่หลังสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีหนังสั่งการให้สามารถเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนดังกล่าวแก่พนักงานลูกจ้างได้

จึงมีหนังสือลงวันที่ 24ต.ค.แจ้งไปยังโรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่งให้ดำเนินการจ่ายเงินค่าตอบแทนย้อนหลังให้แก่กลุ่มพนักงานลูกจ้างในกลุ่มที่ 5 ซึ่งยังไม่ได้รับเงินตั้งแต่กระทรวงสาธารณสุข มีหนังสือสั่งการเมื่อเดือนตุลาคม 2559 ให้ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างตามสิทธิแล้ว

เมื่อพนักงานลูกจ้างยังไม่ได้รับเงินค่าตอบแทนเพิ่มดังกล่าว จะได้นำข้อร้องเรียนแจ้งให้นายแพทย์จิณณพิภัทร ชูปัญญา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี มีหนังสือสั่งการย้ำไปตามโรงพยาบาลทุกแห่งให้ทำการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนดังกล่าวให้กับลูกจ้างที่ยังไม่ได้รับให้เสร็จภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ทำให้กลุ่มผู้ร้องเรียนพอใจพากันแยกย้ายกันเดินทางกลับไปทำงานตามปกติต่อไป

ที่มา: ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 16/11/2560

เร่งดึงนักเรียน นศ.เข้าเป็นสมาชิก กอช.หลังพลาดเป้ามีผู้สมัครแค่ 500,000 คน

นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงาน มหกรรมการลงทุนครบวงจร (SET in the City 2017) ครั้งที่ 13 โดยกล่าวว่ากระทรวงการคลังมีแนวคิดจะดึงตลาดทุน เช่นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเข้ามาร่วมในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ในเฟส 2 ซึ่งเป็นการบ้านที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้แล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2560 โดยต้องการให้ตลาดทุนเข้ามายกระดับผู้มีรายได้น้อยให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ควบคู่กับการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาให้ผู้มีรายได้น้อยได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนเทียบเท่ากับนักลงทุนทั่วไป และ ผู้บริหารต่าง ๆ ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์ และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน ( บลจ.) ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสมกับผู้มีรายได้น้อยด้วย ซึ่งได้ฝากการบ้านไปยังตลาดหลักทรัพย์ฯให้คิดรูปแบบ

นายสมชัย ยังกล่าวถึงการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช.ว่าขณะนี้มีผู้สมัครน้อยมากเพียง 500,000 คน จากเป้าหมาย 18 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นความล้มเหลว ดังนั้นต้องปรับแผนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ต้องเข้มข้นมากกว่านี้ และให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง รวมทั้งคลังจังหวัดลงพื้นที่ และให้บริการรับฝากเงินเข้ากองทุน อำนวยความสะดวกให้สมาชิกที่ไม่สามารถเดินทางมาฝากเงินที่ธนาคารทั้ง 4 แห่ง

นอกจากนี้จะเร่งดึงนักเรียน นักศึกษา ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของการออมให้เข้ามาเป็นสมาชิก เพราะปัจจุบันมีสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 5 จากเป้าหมายที่ต้องการให้นักเรียน นักศึกษาทุกคนเข้าร่วม แต่เนื่องจากนักเรียน นักศึกษา ไม่มีรายได้ จึงจะเสนอโครงการแปลงขยะให้เป็นเงิน , โครงการส่งเสริม การปลูกผัก และเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา ทำงาน และ มีรายได้ นำเงินเข้าสู่การออม

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าแนวโน้มองตลาดหุ้นไทยปีหน้ายังเติบโตต่อเนื่องตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมมาช่วยด้านการลงทุนที่สะดวกรวดเร็วและมีข้อมูลวิเคราะห์การลงทุนได้แม่นยำมากขึ้น ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวม หรือ มาร์เก็ตแคปของตลาดหลักทรัพย์ไทย เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 17.5 ล้านล้านบาท และ ปีหน้าคาดว่าจะมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนใหม่ หรือ ไอพีโอจำนวน 30 บริษัท มูลค่าตลาดรวม 400,000 ล้านบาท ขณะที่จำนวนผู้ลงทุนที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นผ่านระบบออนไลน์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีจำนวนสูงถึง 1.8ล้านบัญชี หรือร้อยละ 87 จากจำนวนบัญชีซื้อขายหุ้นทั้งสิ้น 2.1 ล้านบัญชี ส่วนบัญชีกองทุนรวม 5 ล้านบัญชี และ บัญชีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 3 ล้านบัญชี

ที่มา: สำนักข่าวไทย, 16/11/2560

นายจ้าง-ลูกจ้างแห่ร้อง "ประกันสังคม" กว่า 6,039 เรื่อง ร้องเรียนรพ.-คลินิกมากสุด เหตุไม่พอใจ จนท.

นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในปี 2560 สถิตินายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตน และผู้เกี่ยวข้องในระบบประกันสังคม ที่ยื่นเรื่องร้องเรียน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2559-30 ก.ย.ที่ผ่านมา เข้าสู่ระบบสำนักงานประกันสังคมจำนวน 6,533 เรื่อง เจ้าหน้าที่ สปส. สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาเสร็จภายใน 25 วันทำการ จำนวน 6,039 เรื่อง คิดเป็น 92.44%จากจำนวนเรื่องร้องเรียนทั้งหมด

ส่วนที่เหลือได้ทยอยแก้ปัญหาได้ลุล่วงไปตามลำดับ โดย สปส.ได้วางระบบปฏิบัติงานให้เจ้าหน้าที่ดำเนินเรื่องให้ผู้ร้องได้รับสิทธิอันพึงมีพึงได้อย่างด่วนภายใน 7 วัน แต่หากเป็นเรื่องที่ซับซ้อนให้ดำเนินการตอบกลับภายใน 25 วัน

นายสุรเดช กล่าวต่อว่า ประเภทเรื่องที่มีการร้องเรียน หรือแจ้งปัญหาอุปสรรคในการรับบริการสูงที่สุด 6 อันดับแรก ได้แก่ 1.ร้องเรียนสถานประกอบการ 3,212 เรื่อง คิดเป็น 49.17% 2.ร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่ และระบบของสำนักงานประกันสังคม 1,152 เรื่อง คิดเป็น 17.63% 3.ร้องเรียนสถานพยาบาลที่เป็นคู่สัญญากับสำนักงานประกันสังคม 1,070 เรื่อง คิดเป็น 16.38% 4.การขอรับประโยชน์ทดแทนจากกองทุนประกันสังคม 939 เรื่อง คิดเป็น 14.37% 5.ปัญหาอื่น ๆ เช่น มิจฉาชีพแอบอ้างใช้สิทธิแทนผู้ประกันตน การใช้สิทธิซ้ำซ้อน 30 เรื่อง หรือ 1.99% และ 6.การขอรับประโยชน์ทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน 30 เรื่อง หรือ 0.46% จากเรื่องที่รับร้องเรียนทั้งหมด

สำหรับประเด็นที่มีการร้องเรียนสถานพยาบาลส่วนใหญ่เป็นเรื่องการให้บริการของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล โดยเฉพาะการสื่อสารเรื่องข้อมูลการรับบริการ ซึ่งจากข้อมูลพบว่าผู้ประกันตนร้องเรียนเรื่องคุณภาพมาตรฐานการรักษาพยาบาลและเรื่องค่าใช้จ่ายน้อยมาก เนื่องจาก สปส.มีระบบติดตามตรวจสอบคุณภาพการรักษาพยาบาลให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลคู่สัญญาจึงตระหนัก ในเรื่องนี้ อีกทั้งระบบประกันสังคมยังดูแลค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลเจ็บป่วยตั้งแต่ต้นจนกระทั่งสิ้นสุดการรักษาไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้ประกันตน

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 15/11/2560

คลังเล็งแจกซิมเน็ตพ่วงสมาร์ทโฟน ให้ผู้ถือบัตรคนจน หวังเข้าถึงความรู้ สร้างอาชีพ

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า การแจกซิมอินเตอร์เน็ตฟรี ให้กับผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียน 11.67 ล้านคนในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน คลังมั่นใจว่าจะเป็นประโยชน์ เพราะจะทำให้ผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้าถึงข้อมูล ความรู้ การประกอบอาชีพต่างๆ ทั้งที่เป็นข้อมูลทั่วไป และข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพรัฐจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งหากผู้มีรายได้น้อยมีช่องทาง มีความรู้เพิ่มขึ้น สามารถประกอบอาชีพ พัฒนาฝีมือแรงงานได้ ในระยะยาวก็จะหลุดพ้นจากการเป็นผู้ที่มีรายได้น้อยต้องได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล

ส่วนกรณีที่หากมีการแจกซิมอินเทอร์ เน็ต ฟรีให้กับผู้มีรายได้น้อย และพบว่ามีปัญหา เพราะผู้มีรายได้น้อยบางรายไม่สามารถซื้อสมาร์ทโฟน หรือเครื่องมือที่จะใช้กับซิมได้ กระทรวงการคลัง จะต้องมีการแจกสมาร์ทโฟน พ่วงซิมอินเทอร์ เน็ตฟรี ด้วยหรือไม่ รมว.คลัง กล่าวว่า จะต้องดูอีกที แต่เบื้องต้นซิมอินเตอร์ เน็ต จะมีการจ่ายค่ารายเดือนให้ด้วย โดยจะให้ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เข้ามาร่วมโครงการ เนื่องจากคงไม่สามารถไปทำสัญญากับบริษัท เอไอเอส ดีแทค หรือ ทรูมูฟ ได้ เพราะจะถูกมองว่าเป็นการไปเอื้อให้เอกชนอีก

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่ามาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรคนจนในระยะแรก เช่น การช่วยค่าครองชีพรายละ 200-300 บาท การอุดหนุนค่าเดินทาง เป็นการบรรเทาภาระค่าครองชีพ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนมีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อปี ซึ่งแต่ละคนจะรับการช่วยเหลือไม่เหมือนกัน ค่าใช้จ่ายในบางรายการหากมีความจำเป็นต้องใช้ก็ใช้ได้ ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องใช้ รัฐบาลไม่ได้บังคับให้ใช้ทั้งหมด แต่ในระยะที่สองจะทำอย่างไรให้คนกลุ่มดังกล่าวหลุดพ้นจากเส้นความยากจน ซึ่งก็ต้องมีงาน มีการให้ความรู้ รัฐบาลจะต้องช่วยให้คนกลุ่มนี้หางานได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแจกซิมอินเทอร์เน็ตอาจจะมีการเสนอพร้อมมาตรการแพ็กเกจช่วยเหลือ ผู้มีรายได้น้อยให้ฝึกอาชีพที่จะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในเดือน ธ.ค.นี้ โดยเบื้องต้นยังไม่มีการสรุปงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินงาน เพราะยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษารายละเอียด

ที่มา: ข่าวสด, 15/11/2560

เตรียมรับมือแรงงานต่างด้าว 2 หมื่นคนเข้ามาตัดอ้อย 1 ธ.ค. 2560

เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมดอกแก้ว ศาลากลางจังหวัดสระแก้ว ได้มีการประชุมพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานตัดอ้อยฤดูกาลผลิตปี 2559 ครั้งที่ 6 /2560 เพื่อรองรับฤดูการตัดอ้อยปี 2560/61 ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป โดยมีนายพรพจน์ เพ็ญพาส ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เป็นประธาน และมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายรณรงค์ นครจินดา รองผู้ว่าราชการจังหวัด, นายสิทธิศักดิ์ ธารนัย แรงงานจังหวัด, นายวสันต์ ปาลาศ จัดหางานจังหวัด, เจ้าหน้าที่ทหารจากกองกำลังบูรพา, มณฑลทหารบกที่ 19, กอ.รมน.สระแก้ว, ตำรวจตระเวนชายแดน, หัวหน้าสถานีตำรวจและตัวแทนทั้ง 9 อำเภอ, บริษัทเอกชน, นายมนตรี คำพล นายกสมาคมเกษตรกรชายแดนบูรพา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวนกว่า 40 คน

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้แต่ละหน่วยงานนำเสนอข้อมูลการปฏิบัติงานในปี 2559 ซึ่งพบว่า ประสบปัญหาการนำเข้าแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาในทางปฏิบัติชัดเจน เนื่องจากทางราชการตั้งเป้าว่า จะต้องนำแรงงานเข้าสู่ระบบที่หน่วยงานราชการกำหนดให้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์คือ แรงงานมีบอร์ดเดอร์พาสตามกฎหมายและเข้ามาทำงานชั่วคราวได้เพียง 3 เดือน แต่สามารถนำแรงงานเข้าสู่ระบบได้เพียง 3,177 คน จากจำนวนตัวเลขที่สมาคมเกษตรกรชายแดนบูรพาแจ้งว่า มีการใช้แรงงานจริง 17,013 คน หรือคิดเป็น 18.67 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทำให้มีการถกเถียงถึงขั้นตอนและวิธีการเพื่อให้การนำเข้าแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชา มาเพื่อตัดอ้อยในฤดูกาลนี้ ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.60 นั้นไม่เกิดปัญหาอีก โดยหน่วยทหารและหน่วยความมั่นคงเป็นห่วงในขั้นตอนการอนุโลมฯ จะส่งผลให้มีแรงงานที่ยังไม่เข้าสู่ระบบเล็ดลอดเข้าสู่ตลาดแรงงานชั้นใน ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ

นายมนตรี คำพล นายกสมาคมเกษตรกรชายแดนบูรพา กล่าวว่า ขั้นตอนการปกติที่ผ่านมา ซึ่งมีการอนุโลมให้ชาวไร่อ้อยที่ต้องการใช้แรงงานกัมพูชาตัดอ้อยในแต่ละปี จะต้องไปขึ้นทะเบียนที่สมาคมฯและติดต่อนำแรงงานเข้ามาเพื่อทำเอกสารที่สมาคมฯพร้อมนำไปพักไว้พักกับนายจ้าง รอขั้นตอนการส่งเอกสารไปยังด่าน ตม.ปอยเปต ประเทศกัมพูชา และด่านผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ก่อนนำแรงงานกลับไปผ่านแดนตามขั้นตอน และเข้าสู่กระบวนการขอโควต้าจากจัดหางานจังหวัดและตรวจโรคตามกฎหมาย ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน ส่งผลให้เกิดการแออัดอย่างมาก ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองอรัญประเทศ เพราะแต่ละปีต้องใช้แรงงานมากถึง 20,000 คน ซึ่งปีที่แล้วมีตัวเลข 17,013 คน ไม่รวมผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของแรงงานอีก 5,713 คน หากสามารถเปิดด่านผ่านแดนถาวรแห่งที่ 2 บ้านเขาดินได้ทันเวลา ก็จะลดขั้นตอนและเวลาดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น

นายพรพจน์ เพ็ญพาส ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า จากข้อมูลที่เจ้าหน้าที่เกษตรจังหวัดรายงานว่า มีพื้นที่เพาะปลูกปี 60/61 เพียง 371,964 ไร่ คาดว่าจะมีผลผลิตประมาณ 2.51 ล้านตัน มีเกษตรกร 66,579 ครัวเรือน ขณะที่โรงงานมีการหีบอ้อย 3.46 ล้านตัน จากเนื้อที่ 370,000 กว่าไร่ คาดว่า ปีนี้จะมีอ้อยมากถึง 4 ล้านกว่าตัน และผลการดำเนินการเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวก็ไม่มีปัญหา มีแรงงานหลบหนีเล็กน้อย แต่มีปัญหาอยู่ที่การนำเข้าแรงงานเพื่อเข้าสู่ระบบได้ไม่ถึงร้อยละ 50 ประกอบกับปี 2651 พรก.แรงงานต่างด้าว จะมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค.60 ดังนั้น ปีนี้ที่ประชุมจึงเห็นด้วยที่จะไม่มีการอนุโลมต่อไป และสามารถปรับวิธีการปฏิบัติที่ต้องใช้เวลา 7-10 วันให้สั้นลงได้หรือไม่

ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวอีกว่า สรุปว่าทางสมาคมเกษตรกรฯ ยังไม่พร้อมที่จะดำเนินการตามกฎหมาย จึงได้เสนอแนะเพื่อขอให้มีการพูดคุยกับทางกัมพูชาเพื่อหารือในประเด็นการอนุญาตเข้ามาทำงานร่วมกันอีกครั้ง หลังจากนั้นทางหน่วยงานราชการไทยจะมาร่วมกันบูรณาการเพื่อให้กระบวนการสั้นลง หากสามารถดำเนินการได้แบบวันสต๊อปเซอวิส โดยขอความร่วมมือส่วนราชการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถดำเนินการวันเดียวได้แบบจบกระบวนการต่อไป ทั้งนี้ ได้กำชับว่า จะต้องไม่มีปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์และใช้แรงงานเด็กแฝงมากับการใช้แรงงานตัดอ้อย พร้อมทั้งเตรียมนัดพิจารณาร่วมกันกรณีนี้อีกครั้งในวันที่ 21 พ.ย.นี้ อย่างไรก็ตาม จัดหางานจังหวัดได้รายงานตัวเลขปัจจุบันว่า มีการนำแรงงานกัมพูชาเข้ามาในกิจการเกษตรทุกประเภทในปัจจุบันแล้ว จำนวน 14,000 คน

ที่มา: NationTV, 15/11/2560

จ๊อบไทยเผยความต้องการแรงงานในพื้นที่นิคมฯแถบชลบุรี มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากโครงการ EEC

น.ส.แสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการเว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอม (JobThai.com) รายงานสถานการณ์ความต้องการแรงงานในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม จังหวัดชลบุรี พบว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 3,535 อัตรา โดย 5 อันดับ นิคมอุตสาหกรรมที่มีการเปิดรับสมัครงานมากที่สุด ได้แก่ 1.นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร มีจำนวนงานที่เปิดรับ 1,974 อัตรา คิดเป็น 55.84%, นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง มีจำนวนงานที่เปิดรับ 297 อัตรา คิดเป็น 8.4%, นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (โครงการ 1) มีจำนวนงานที่เปิดรับ 249 อัตรา คิดเป็น 7.04%, นิคมอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ (ศรีราชา) มีจำนวนงานที่เปิดรับ 231 อัตรา คิดเป็น 6.53% นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (โครงการ 2) มีจำนวนงานที่เปิดรับ 194 อัตรา คิดเป็น 5.49%

อย่างไรก็ตาม พื้นที่จังหวัดชลบุรีนอกจากจะโดดเด่นเรื่องการท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นฐานที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมและฐานการผลิตที่สำคัญหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ฯลฯ ประกอบกับทำเลที่ตั้งมีความได้เปรียบเนื่องจากถูกเชื่อมโยงด้วยโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งที่สะดวก เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง แหล่งขนถ่ายสินค้าระหว่างประเทศที่สำคัญของประเทศไทย อีกทั้งจังหวัดชลบุรี รวมถึงจังหวัดฉะเชิงเทราและจังหวัดระยอง เป็นพื้นที่บนแผนการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) หรือ EEC ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจรวมถึงความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสต์, 14/11/2560

สภาอุตฯเผยแรงงานต่างด้าวตกสำรวจอีก 6-7 แสนคน ชี้ กม.ไม่เอื้อเมื่อไหร่แรงงานเถื่อนทะลักอีก

วันที่ 11 พ.ย. 2560 เวลา 13.45 น. คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) มีการเสวนาโครงการติดตามเศรษฐกิจไทยครั้งที่ 12 (Thammasat Economic Focus-TEF12) หัวข้อ "เเรงงานต่างด้าว ช่วยจริงหรือวุ่นวาย" ที่ห้อง 101 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)

นายสุชาติ จันทรานาคราช รองประธานสภาอุตสาหกรรมเเห่งประเทศไทย มองว่า สถานการณ์เเรงงานต่างด้าวในปัจจุบันสิ่งที่เป็นปัญหาไม่ใช่เรื่องของจำนวน เเต่เป็นเรื่องของภาคเเรงงาน โดยเฉพาะเเรงงานประเทศไทย ขณะนี้เรามีเเรงงานต่างด้าวในประเทศไทยกว่า 3,750,000 คน เเละยังมีเเรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้สำรวจอีกกว่า 6-7 เเสนคน โดยเเรงงานไทยในปัจจุบันไม่ทำงานประเภทเสี่ยงอันตราย สกปรก เช่น ประมง จำเป็นต้องใช้เเรงงานต่างด้าวเข้ามาทำจำนวนสูงมาก

"ในส่วนของภาคเอกชน หากถามว่าเราต้องการใช้เเรงงานต่างด้าวหรือไม่ จริงเเล้วไม่มีใครอยากใช้เเรงงานต่างด้าว เเรงงานต่างด้าวที่ทำงานเปิดเผยเข้ามาอย่างถูกกฎหมายจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียน เฉลี่ยคนละเกือบ 2 หมื่นบาท การที่มีคนบอกว่าใช้เเรงงานต่างด้าวเเล้วต้นทุนถูกลงนั้น ไม่เป็นความจริง เเต่ด้วยความจำเป็นก็ต้องใช้เพราะเเรงงานไทยไม่ทำ" นายสุชาติกล่าว

สำหรับการเปิดกว้างให้มีการใช้เเรงงานต่างด้าวมากขึ้นหรือไม่นั้น นายสุชาติ กล่าวว่า ถ้าจำเป็นจะต้องใช้เเรงงานมากก็ต้องใช้ หากกฎหมายไม่สามารถอำนวยความสะดวกในการนำเข้าเเรงงานต่างด้าวเมื่อไร ก็จะมีปัญหาการลักลอบนำเเรงงานต่างด้าวเข้ามา

ด้านผศ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้อำนวยการสถาบันเสริมศึกษาเเละทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การเปรียบเทียบปัญหาเเรงงานต่างด้าวก็เหมือนกับ "ขนมชั้น" เพราะมีประเภทของเเรงงานต่างด้าวหลายรูปแบบ หากไปถามเจ้าหน้าที่บางครั้งก็ยังตอบไม่ได้ นั่นทำให้การตรวจสอบเเละการออกมาตรการ one size fit all มีปัญหา โดยข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเเรงงานต่างด้าว (ก.ย.2560) โดยกรมการจัดหางาน พบว่า เเรงงานประเภททั่วไปมีทั้งสิ้น 103,132 คน, นำเข้าตาม MOU 500,440 คน, พิสูจน์สัญชาติ 1,062,829 คน, ตามฤดูกาล 18,646 คน, ชนกลุ่มน้อย 58,663 คน, ส่งเสริมการลงทุน 45,013 คน เเละยังมีเเบบผิดกฎหมายที่ยังไม่ทราบตัวเลขที่เเน่ชัด

จำนวนเเรงงานต่างด้าวในประเทศไทยจำเเนกตามการเข้าประเทศ (กุมภาพันธ์ 2560) พบว่ามีเเรงงานต่างด้าวทั้งหมด 2,711,439 คน โดยมีเเรงงานกึ่งฝีมือ/ฝีมือ รวม 149,721 คน เเละเเรงงานฝีมือต่ำ/ไร้ฝีมือจำนวน 2,561,718 คน ทั้งนี้เเนวโน้มสถานการณ์เเรงงานต่างด้าว (เมียนมา ลาว กัมพูชา) ตั้งเเต่ปี 2540-2560 เเม้จะมีตัวเลขที่ขึ้นๆลงๆ เพราะความไม่เเน่นอนของนโยบายไทย เเต่อัตราการจ้างเเรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้นตลอด

ผศ.ดร.ศุภชัย กล่าวต่อว่า เเรงงานต่างด้าวจะทำให้ประเทศไทยมีทางเลือกในการใช้ทรัพยากรมนุษย์ บรรเทาผลกระทบของสังคมผู้สูงอายุ เเละปัญหาการเลือกงานของคนไทย ทั้งนี้เกิดคำถามที่ว่าเเรงงานต่างด้าวเเย่งอาชีพคนไทย อาทิ งานบางอย่างอาจอันตราย สกปรก คนในอเมริกาทำเนื่องจากมีค่าตอบเเทนที่สูง เเต่ในเมืองไทยไม่ได้เกิดเเบบนั้น

"งานบางงานคนไทยไม่ทำ ถูกตีค่าว่าเป็นงานราคาถูก มีทัศนคติว่าต้องใช้ต่างด้าวทำ เเต่การทำเเบบนั้นคือการเอาต่างด้าวราคาถูกมาทำงานนั่นเอง"นักวิชาการเศรษฐศาสตร์กล่าว

เขากล่าวต่อว่า ในส่วนของต้นทุน ทั้งทางตรงเเละทางอ้อม ภาพธุรกิจอาจะใช้เเรงงานที่ถูกลงจากการมีเเรงงานต่างด้าว เราชอบพูดกันว่า เเรงงานต่างด้าวมาใช้สวัสดิการของบ้านเรา ถามว่าจริงไหม มันคือความจริง เเต่เขาต้องจ่ายภาษีเช่นเดียวกับเเรงงานไทย เเต่ไม่ได้อยู่ในรูปของภาษีเงินได้นิติบุคคล

ส่วนการเข้ามาทำงานเเบบถูกกฎหมายก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเเรงงาน นายจ้างจะต้องพาเขาไปเข้าสู่ระบบประกันสังคม เเต่จะถูกหักเงินเดือนเข้าประกันสังคม ซึ่งทำให้เเรงงานต่างด้าวได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับคนงานไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ การเสียชีวิต การรักษาพยาบาล เเต่เขาก็มีบางข้อที่ไม่ได้รับ เช่น ชราภาพ ที่ระบุว่าเมื่อทำงานจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์

กรณีพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 มีผลบังคับใช้ตั้งเเต่ 23 มิ.ย. 2560 นั้น ผศ.ดร.ศุภชัย มองว่า สาระสำคัญของพรก.นี้คือการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวเป็นไปอย่างมีระบบ เเละมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดหลักเกณฑ์การนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศเเละการทำงานของคนต่างด้าว ซึ่งผลกระทบเชิงสังคมด้านบวกคือ เเสดงให้เห็นถึงการเเก้ปัญหาการค้ามนุษย์เเละการป้องปรามการค้ามนุษ์ที่เป็นธรรมมากขึ้น การรวมกฎหมายดังกล่าวยังทำให้เกิดการบูรณาการเพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้านลบคือ ขาดการประเมินผลกระทบ รวมถึงการสื่อสารที่ไม่เป็นเอกภาพ ส่งผลต่อการตืนตระหนกของนายจ้างเเละเเรงงาน

"ผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้น หากเกิดผลกระทบขึ้นจริงๆ กิจกรรมทางเศรษฐกิจน่าจะชะงักไปประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ประเมินว่าจะไม่กระทบต่อภาคการเกษตรมากนัก เพราะเชื่อว่าเหตุการ์ดังกล่าวจะอยู่เพียงระยะสั้นเท่านั้น เมื่อเเรงงานต่างด้าวกลับไปทำเอกสารที่ประเทศตนเรียบร้อยก็น่าจะกลับมาทำงานที่ประเทศไทยอย่างปกติ"ผศ.ดร.ศุภชัยกล่าว และว่า ความล่าช้าของระบบการขออนุญาต ที่พอนายจ้างพาเเรงงานต่างด้าวไปขึ้นทะเบียนต้องใช้เวลา จึงควรลดเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนลง

ขณะที่ รศ.ดร.ยงยุทธ เเฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาเเรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์เเละการเปลี่ยนเเปลงที่สำคัญในปัจจุบันคือ โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนเเปลงไป มีผู้สูงอายุมากขึ้น วัยเเรงงานลดลง ทำให้ขาดเเคลนเเรงงานในประเทศ เเต่เศรษฐกิจยังใช้เเรงงานเป็นหลัก โดยเฉพาะเเรงงานที่ทักษะน้อย ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีการกล่าวในเรื่องเเรงงานไทยไม่ทำงาน 3D คืองานสกปรก (Dirty), งานอันตราย (Dangerous) เเละงานเเสนลำบาก (Difficult) ส่งผลให้เเรงงานต่างด้าวเข้ามาทดเเทนเเรงงานไทยเพิ่มขึ้น ทั้งที่ถูกกฎหมายเเละผิดกฎหมาย เพราะพวกเขายอมทำงานเหล่านี้

รศ.ดร.ยงยุทธ กล่าวต่อว่า ในอดีตจะเห็นปัญหาการกำกับดูเเลเเรงงานต่างด้าวไม่สามารถเเก้ปัญหาได้ดีเท่าที่ควร เนื่องจากงบประมาณที่จำกัดเเละไม่มีอำนาจในการตัดสินใจนโยบายที่เเท้จริง มีความล้มเหลวในเรื่องระบบการลงทะเบียนเมื่อปี 2554 อีกทั้งความไม่ต่อเนื่องของนโยบายการรับลงทะเบียน ความไม่เเน่นอน วิธีเเละเอกสารที่ไม่เเน่ชัด ขาดการบังคับใช้ที่จริงจัง ทำให้เกิดการทุจริตในที่สุด

รศ.ดร.ยงยุทธ กล่าวถึง พ.ร.ก.การการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ว่า พ.ร.ก. ดังกล่าวมีทั้งข้อดีเเละข้อเสีย ข้อดีคือจะมีระบบนายจ้างมีสัญญาต่อลูกจ้าง หากลูกจ้างเปลี่ยนนายจ้างต้องทำเรื่องภายใน 5 วัน ถือเป็นการหยุดการจ้างงานเเบบผิดกฎหมาย รวมถึงการค้ามนุษย์เเรงงาน ส่วนเเผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการเเรงงานต่างด้าว พ.ศ.2560-2564 นั้นจะต้องจัดหาเเรงงานต่างด้าวให้เพียงพอต่อความต้องการทางด้านเศรษฐกิจ ลดจำนวนเเรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย เพื่อลดผลกระทบทางลบต่อคนไทย พัฒนาให้เกิดการคุ้มครองเเรงงานต่างด้าวให้ได้มาตรฐานสากล จัดให้มีองค์กรหรือหน่วยงาน เพื่อการบริหารจัดการเเรงงานต่างด้าวที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงดำเนินการติดตามเเละประมวลผลการปฏิบัติงานทั้งระบบให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด นำไปสู่การรับรองอนุสัญญาองค์การเเรงงานระหว่างประเทศ

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 13/11/2560

กลุ่มผู้ใช้แรงงาน มอบหลักฐานเอาผิดบริษัทจัดหางานหลอกไปดูไบ

กลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ถูกนายจ้างในเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยกเลิกสัญญาจ้างงานและถูกส่งตัวกลับประเทศ เข้ามอบหลักฐาน และให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ สตม. เกี่ยวกับพฤติกรรมของบริษัทนายหน้าจัดหางาน ที่ข่มขู่ให้กลุ่มผู้ใช้แรงงาน ยินยอมลงลายมือชื่อยกเลิกสัญญาจ้าง แลกกับการคืนหนังสือเดินทางที่ยึดไว้เป็นประกัน ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดฐานฉ้อโกง และค้ามนุษย์ โดยหนึ่งในหลักฐานที่นำไปมอบให้เจ้าหน้าที่ เป็นคลิปวิดีโอการโฆษณาชวนเชื่อของนายหน้าบริษัทจัดหางาน ที่อ้างว่าแรงงานที่ไปทำงานจะได้ค่าจ้างอัตราสูง พร้อมที่พักและอาหาร

พลตำรวจตรีอิทธิพล อิทธิสารรณชัย รักษาราชการแทน รองผู้บัญชาการ สตม. เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่รับหลักฐานไว้ตรวจสอบ และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความผิดในฐานต่างๆ เพื่อส่งเรื่องให้ไปทำการสืบสวนสอบสวนต่อ นอกจากนี้ จะตรวจสอบประวัติการเดินทางเข้าออกประเทศของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เนื่องจากพบว่า บางรายเดินทางออกไปหลายครั้ง และอาจเป็นการยินยอมไปทำงาน ทั้งๆ ที่รู้ว่าอาจถูกหลอกลวง ซึ่งในเบื้องต้น จะดำเนินการในส่วนของผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงไปจริงๆ ก่อน ส่วนกลุ่มที่ไปโดยสมัครใจ จะดำเนินการเป็นลำดับถัดไป

ที่มา: ch7.com, 13/11/2560

สำนักงานประกันสังคม เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตรจากเดิม 400 บาท เป็น 600 บาท

สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตรให้แก่ผู้ประกันตน จากเดิม 400 บาท เป็น 600 บาทต่อบุตรหนึ่งคน ที่อายุไม่เกิน 6 ปี เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ สำนักงานประกันสังคม ประกาศใช้อัตราเงินสงเคราะห์บุตรในอัตรา 400 บาทต่อเดือน มาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นมา โดยไม่มีการปรับเงินเพิ่มมานานหลายปี ปัจจุบันมีผู้ประกันตนรับเงินสงเคราะห์บุตรเฉลี่ย 1,324,848 คนต่อเดือน (ข้อมูล ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2560) จ่ายเงินปีละ 6 พันล้านบาทเศษ ผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI พบว่า จำนวนบุตรของผู้ประกันตนมีอัตราการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านอาหารของเด็กเล็กอยู่ที่ 579 – 812 บาทต่อเดือนสูงขึ้นเล็กน้อย หากปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรขึ้นเป็น 600 บาทต่อเดือน ในปี 2561 จะเป็นเงินประมาณการ จำนวน 3,036 ล้านบาท ซึ่งไม่กระทบต่อเสถียรภาพกองทุนประกันสังคมและจะเป็นปริมาณเงินเพิ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยว่า ได้มีมติคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา (ชุดที่ 13) ครั้งที่ 18/2560 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยที่ประชุมคณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร จากเดิม 400 บาทต่อบุตรหนึ่งคน ปรับเพิ่มเป็น 600 บาท ต่อบุตรหนึ่งคน อายุไม่เกิน 6 ปี

สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการของผู้ประกันตนที่จะได้รับสิทธิกรณีสงเคราะห์บุตร ต้องเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือมาตรา 39 โดยจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน และต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้น บุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น ซึ่งบุตรมีอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนคราวละไม่เกิน 3 คน เว้นแต่ผู้ประกันตนเป็นผู้ทุพพลภาพหรือถึงแก่ความตาย ในขณะที่บุตรมีอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนต่อจนอายุ 6 ปีบริบูรณ์ 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ทั้งนี้ กฎเกณฑ์ของกฎหมายยังเป็นอุปสรรคอยู่บ้างในบางกรณี เช่น ผู้ประกันตนเมื่อออกจากงานสิทธิสงเคราะห์บุตรจะขาดไป ทั้งที่การออกจากงานเพราะถูกเลิกจ้างเป็นความเดือดร้อนและบุตรก็ยังมีค่าใช้จ่าย ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ปรับปรุง แก้ไขกฎหมาย ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งดำเนินการก่อนประกาศใช้ต่อไป

นอกจากนี้ คณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา (ชุดที่ 13) ยังได้มีมติให้สำนักงานประกันสังคม เร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้เสร็จสิ้น และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2561 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ผู้ประกันตนในปี 2561 จะเห็นได้ว่า การปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร มีความสอดคล้องกับผลการศึกษาด้านอาหารเด็กเล็กที่มีอัตราสูงขึ้นและสอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน อันจะนำไปสู่การยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมของประเทศอย่างยั่งยืน

ที่มา: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, 12/11/2560

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แจงเหตุเชิญตัวแกนนำชาวสวนยางเข้าค่ายทหาร แนะมีช่องทางยื่นข้อเรียกร้องในระดับพื้นที่

Posted: 17 Nov 2017 11:16 PM PST

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแจงเหตุเชิญตัวแกนนำชาวสวนยางเข้าค่ายทหาร ย้ำเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจ แนะมีช่องทางยื่นข้อเรียกร้องในระดับพื้นที่ พร้อมแสดงความเป็นห่วงสื่อนำเสนอข่าวลดความเชื่อมั่นประเทศ

 
สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ รายงานเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2560 ที่ผ่านมาว่า พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแถลงข่าวเรื่องแกนนำชาวสวนยางภาคใต้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารเชิญตัวไปค่ายทหาร เพื่อไม่ให้เดินทางเข้ามาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำใน กทม. ว่า "รัฐบาลไม่เคยห้ามประชาชนแสดงความคิดเห็น หรือเสนอข้อเรียกร้องแต่อย่างใด และยังได้จัดกลไกรับฟังเสียงของพี่น้องประชาชนทุกสาขาอาชีพในพื้นที่ ตั้งแต่ระดับอำเภอถึงจังหวัด ผ่านศูนย์ดำรงธรรมและหัวหน้าส่วนราชการทุกหน่วย ขณะเดียวกันก็มีช่องทางสื่อมวลชนที่แกนนำใช้สะท้อนความต้องการมายังรัฐบาลเป็นรายวันอยู่แล้ว แต่เหตุใดจึงพยายามจะเดินขบวนเข้ามาใน กทม.
 
การที่อ้างว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหาไม่ได้ อยากให้เสนอมาว่าหากเป็นท่านเองจะทำอย่างไร จะได้ร่วมกันปรึกษาหารือด้วยเหตุผล โดยไม่นำความเดือดร้อนของชาวสวนยางมาสร้างประเด็นทางการเมือง และแม้จะมีความเห็นออกมาแล้วบ้าง เช่น ควรทำให้การยางแห่งประเทศไทยเป็นเสือตัวที่ 6 ก็ต้องย้อนไปดูด้วยว่าประเทศมีงบประมาณเพียงพอหรือไม่ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่รัฐต้องดูแล หรือหากทำแล้วรัฐจะกลายเป็นคู่แข่งของเอกชน จนถูกมองว่าไปทำลายกลไกตลาดหรือไม่"
 
ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำว่ารัฐบาลและ คสช. ยินดีรับฟังข้อเสนอของทั้งพรรคการเมืองและนักกฎหมาย เพราะโลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจึงอาจทำให้ข้อมูลและวิธีคิดแตกต่างกัน โดยอยากให้นำเสนอข้อเรียกร้องด้วยวิธีที่เหมาะสม ไม่ควรเดินขบวนหรือชุมนุม แต่การแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์จะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน ส่วนการเชิญตัวแกนนำไปค่ายทหารนั้นยืนยันว่า เป็นการพูดคุยทำความเข้าใจกัน ไม่ใช่การข่มขู่หรือทำร้าย
 
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเป็นห่วงเรื่องการนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ที่ระบุว่า เสรีภาพของสื่อออนไลน์ไทยถูกลดอันดับ และเสรีภาพการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยไม่ต่างจากประเทศสังคมนิยมบางประเทศ โดยอยากให้สังคมร่วมกันคิดว่า รัฐบาลใช้อำนาจกับสื่อมากเกินไปจริงหรือไม่ เพราะหากพิจารณาตามความเป็นจริงจะพบว่า วันนี้สื่อมวลชนยังมีเสรีภาพอย่างมาก ส่วนการนำไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันคงไม่ถูกต้องนัก มิหนำซ้ำในบางประเทศมีกฎหมายควบคุมเข้มงวดมากกว่าไทย แม้จะเป็นประเทศประชาธิปไตยก็ตาม
 
ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะขยายการให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศและเชื่อมโยงเครือข่ายไปยังต่างประเทศ แต่ต้อง ยอมรับว่าการใช้สื่อออนไลน์ขณะนี้ยังมีปัญหาเรื่องการละเมิด หลอกลวง ฉ้อโกง โป๊ หมิ่นประมาท ขายสินค้าผิดกฎหมาย ฯลฯ ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ทุกประเทศจึงต้องมีกฎหมายควบคุมเรื่องเหล่านี้
 
"สื่อออนไลน์และผู้ใช้งานควรร่วมกันคิดด้วยว่า จะปฏิรูปสื่อและสร้างสรรค์สังคมอย่างไร และต้องไม่ให้ตนเองกลายเป็นผู้จุดชนวนความขัดแย้ง หรือนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือน สร้างความเสียหายทำลายความเชื่อมั่นของประเทศ"
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฝากขังผัดแรกเจ้าของโรงงานผลิตเข็มที่ระลึกงานพระราชพิธีปลอม

Posted: 17 Nov 2017 09:56 PM PST

ตำรวจควบคุมตัวเจ้าของโรงงานย่านลาดพร้าว ที่ผลิตเข็มที่ระลึกปลอมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ไปขออำนาจศาลอาญาฝากขัง ความผิดฐานปลอมขึ้นซึ่งดวงตราแผ่นดิน รอยตราแผ่นดิน หรือพระปรมาภิไธย ระวางโทษจำคุก 5-20 ปี และ ปรับ 10,000-40,000 บาท พร้อมคัดค้านการประกันตัว

 
18 พ.ย. 2560 สำนักข่าวไทย รายงานว่าวันนี้ (18 พ.ย.) เวลา 09.30 น. ตำรวจกองปราบปรามควบคุมตัวนายพลังวัชร ธนกิตติ์ชยฉัตร หรือเฮียแก้ว เจ้าของบริษัทชยธรรม จำกัด ที่ลักลอบผลิตเข็มที่ระลึกปลอมในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไปขออำนาจศาลอาญารัชดาฯ ฝากขังผัดแรกเป็นเวลา 12 วัน ในความผิดฐานผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งดวงตราแผ่นดิน รอยตราแผ่นดิน หรือพระปรมาภิไธย ระวางโทษจำคุก 5-20 ปี และ ปรับ 10,000-40,000 บาท หลังวานนี้ (17 พ.ย.) ถูกตำรวจกองปราบปรามบุกเข้าจับกุมและตรวจค้นโรงงานผลิต  เลขที่ 76  ซอยนาคนิวาส2 ย่านลาดพร้าว 71 พบของกลาง ทั้งบล็อคแม่พิมพ์, เข็มกลัด, หัวเข็มขัด เป็นจำนวนมาก โดยท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี  ด้านญาติผู้ต้องหาเตรียมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินมูลค่ากว่า 5 แสนบาท ขอยื่นประกันตัว
 
ทั้งนี้การจับกุมดังกล่าวเป็นการขยายผลจากการจับกุมร้านค้าจำหน่ายเข็มกลัดที่ระลึกปลอม ย่านท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าของร้านสารภาพ รับของมาจากโรงงานดังกล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรุงเทพโพลล์ระบุประชาชนอยากให้ปลดล็อคการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น

Posted: 17 Nov 2017 09:32 PM PST

ผลสำรวจกรุงเทพโพลล์ระบุประชาชนส่วนใหญ่ 63.3% มีความเห็นว่าหากปลดล็อคให้มีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นบรรยากาศทางการเมืองน่าจะดีขึ้น 53.9% อยากให้จัดเลือกตั้งท้องถิ่นพร้อมกันทุกระดับทั่วประเทศ 

 
 
 
18 พ.ย. 2560 จากข่าวที่จะมีการปลดล็อคเตรียมจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นแต่ยังไม่ทราบว่าจะเลือกตั้งเมื่อไหร่และจะเลือกกันในระดับและประเภทใดบ้างกรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ  จึงสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง "ประชาชนคิดเห็นอย่างไร เรื่องการปลดล็อคเตรียมจัดการเลือกตั้งท้องถิ่น" โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,184คน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 53.9 มีความเห็นว่า ควรจัดเลือกตั้งท้องถิ่นให้พร้อมกันทุกระดับทั่วประเทศ รองลงมาร้อยละ 33.2 มีความเห็นว่าควรจัดเลือกตั้งท้องถิ่นเฉพาะในส่วนที่หมดวาระ/ว่างอยู่ก่อนที่ คสช. เข้ามาบริหารประเทศ และร้อยละ 12.9 มีความเห็นว่า ควรจัดเลือกตั้งท้องถิ่นในบางระดับก่อนเฉพาะเขตปกครองพิเศษเช่นผู้ว่ากทม. และเมืองพัทยาหรือเฉพาะ อบจ.
 
สำหรับความเห็นต่อการปลดล็อคโดย รัฐบาล คสช.อาจพิจารณาให้จัดเลือกตั้งท้องถิ่นในบางระดับหรือเฉพาะพื้นที่ก่อนเลือกตั้งระดับชาติ นั้น ประชาชนร้อยละ 40.0 มีความเห็นว่าเพื่อต้องการทดสอบระบบและความพร้อมการจัดการเลือกตั้งหลังจากว่างเว้นไปนานรองลงมาร้อยละ 35.6 คิดว่าเพื่อต้องการนำร่องการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่และเพื่อทดแทนตำแหน่งผู้นำระดับท้องถิ่นเดิมที่หมดวาระไปและร้อยละ 30.0 คิดว่าต้องการดูคะแนนนิยมของพรรคการเมืองในระดับท้องถิ่นเพื่อวัดกระแสความนิยมการเมืองในระดับชาติ
 
เมื่อถามว่าการปลดล็อคทางการเมืองเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นจะส่งผลอย่างไรต่อบ้านเมือง ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 48.1 มีความเห็นว่าจะได้ผู้นำท้องถิ่นที่ดีมีคุณสมบัติตรงตามรัฐธรรมนูญ รองลงมาร้อยละ 16.6 ระบุว่าจะได้ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นมาบริหารท้องถิ่นเหมือนเดิม และร้อยละ 15.7 ระบุว่าจะกลับไปสู่การซื้อสิทธิขายเสียงเหมือนเดิม
 
ทั้งนี้หากจัดให้มีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น จะทำให้บรรยากาศทางการเมืองไปในทิศทางใดประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 63.3 ระบุว่าบรรยากาศการเมืองน่าจะดีขึ้น รองลงมาร้อยละ 32.5 ระบุว่าน่าจะเหมือนเดิม และมีเพียงร้อยละ 4.5 เท่านั้นที่ระบุว่า น่าจะแย่ลง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ท่อส่งน้ำมันคีย์สโตนในสหรัฐฯ รั่วไหล 2 แสนแกลลอน หวั่นปนเปื้อนแหล่งน้ำ

Posted: 17 Nov 2017 09:11 PM PST

ท่อส่งน้ำมันในเซาธ์ดาโกตาที่นักสิ่งแวดล้อมและชนพื้นเมืองเคยประท้วงต่อต้านเกิดการรั่วไหลของน้ำมัน 200,000 แกลลอน ทำให้นักสิ่งแวดล้อมออกมาวิจารณ์การปล่อยปละละเลยของบริษัทที่ทำโครงการและชี้ให้เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ควรเปลี่ยนจากเชื้อเพลิงพลังงานซากดึกดำบรรพ์มาเป็นพลังงานหมุนเวียน

ท่อน้ำมันคีย์สโตนของบริษัท TransCanada (ที่มา: Flickr/Shannon Ramos)

18 พ.ย. 2560 เกิดการรั่วไหลของน้ำมันมากกว่า 200,000 แกลลอนจากท่อส่งน้ำมันคีย์สโตนเอ็กซ์แอล เทศมณฑลมาร์แชลล์ เซาธ์ดาโกตา ซึ่งเป็นโครงการของบริษัท TransCanada เรื่องนี้เป็นไปตามที่นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดขึ้น

มีการตั้งข้อสังเกตว่าทางบริษัทแถลงถึงเรื่องการรั่วไหลในครั้งนี้หลังจากที่เกิดเหตุรั่วไหลมาแล้วเป็นเวลา 4 ชั่วโมงครึ่ง การรั่วไหลเกิดขึ้นตั้งแต่เวลา 6.00 น. ของวันที่ 16 พ.ย. 2560 ตามเวลาในสหรัฐฯ แต่เจ้าหน้าที่ทางการก็บอกว่าพวกเขาได้รับแจ้งเรื่องนี้ในเวลา 10.30 น. ของวันนั้น กรมสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของเซาธ์ดาโกตากล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าพวกเขาไม่ทราบว่าทำไมถึงมีการทิ้งช่วงเวลาหลายชั่วโมงก่อนมีการแจ้งต่อหน่วยงาน

นอกจากแถลงการณ์ของบริษัทแล้ว ในตอนนี้ยังไม่มีการตรวจสอบจากภายนอกที่จะประเมินได้ว่าเกิดการรั่วไหลมีปริมาณมากเท่าใดและจะส่งผลเสียหายมากขนาดไหน อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ทำให้กลุ่มคนที่เคยเคลื่อนไหวต่อต้านโครงการท่อน้ำมันนี้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์บริษัทที่ดำเนินโครงการ

เบน ชไรเบอร์ นักยุทธศาสตร์การเมืองอาวุโสขององค์กรเฟรนด์ออฟดิเอิร์ธ (Friends of the Earth) วิจารณ์ว่าบริษัท TransCanada มีประวัติความปลอดภัยที่ไม่ดีนัก การรั่วไหลของท่อส่งน้ำมันในครั้งนี้มาจากการปล่อยปละละเลยของบริษัทเอง ชไรเบอร์ยังวิจารณ์การใช้เชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์ไว้ว่ามันจะเป็นหายนะต่อสภาวะภูมิอากาศโลก จึงควรต้องมีการต่อต้านพวกจักรวรรดิเชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้

เรเชล ไรย์ บัตเลอร์ จากกลุมกรีนพีซก็ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุการณ์รั่วไหลของท่อส่งน้ำมันในครั้งนี้เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนมีการพิจารณาตัดสินใจว่าจะรับรองโครงการคีย์สโตนเอ็กซ์แอลในรัฐเนบราสกาหรือไม่ บัตเลอร์บอกว่าเหตุน้ำมันรั่วไหลในครั้งนี้น่าจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาควรต่อต้านท่อส่งน้ำมัน เพราะถ้าหากเกิดการรั่วไหลแล้วจะส่งผลกระทบต่อต่อแหล่งน้ำดื่ม ต่อคนในชุมชน และต่อสภาพภูมิอากาศโลก ซึ่งแผนการสร้างท่อส่งในเนบราสกาที่กำลังจะมีการพิจารณาในวันที่ 20 พ.ย. ก็ดำเนินการโดยบริษัท TransCanada เช่นกัน

เมย์ บูเวอร์ ผู้อำนวยการบริหารของ 350.org องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับประเด็นโลกร้อนกล่าวว่าการรั่วไหลในครั้งนี้เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ถ้าหากมีการรับรองการสร้างท่อน้ำมันคีย์สโตนเอ็กซ์แอล ไม่ว่าบริษัทจะพูดอย่างไรก็ตามเธอเชื่อว่าเชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์์ที่ปลอดภัยไม่มีอยู่จริง บูเวอร์บอกอีกว่าชนพื้นเมือง ชาวนา ชาวไร่ ในพื้นที่ตามแนวการวางท่อมีการประท้วงในเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว และพวกเขาก็พร้อมจะต่อต้านถ้าหากมีการอนุมัติอีกโครงการหนึ่งในเนบราสกาจากการตัดสินใจในวันที่ 20 พ.ย. ที่จะถึงนี้

สก็อตต์ พาร์กิน ผู้อำนวยการฝ่ายจัดตั้งของเครือข่ายปฏิบัติการเพื่อป่าฝนกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า "พอกันที" เขาบอกว่าการรั่วไหลของท่อส่งน้ำมันไม่เกี่ยวกับว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ควรจะมีการหยุดยั้งการใช้เชื้อเพลิงพลังงานจากซากดึกดำบรรพ์อย่างสุดโต่งเช่นนี้ เขายังเรียกร้องให้วงการการเงินเลิกให้ทุนสนับสนุนเชื้อเพลิงชนิดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยพิบัติทางสภาพภูมิอากาศ ภัยต่อสิ่งแวดล้อม และการละเมิดสิทธิของชนพื้นเมือง

เดวิด ฟลุต ประธานกลุ่มชนพื้นเมืองซิสเซตันวาห์เปตันโอเยทกล่าวว่าการรั่วไหลเกิดขึ้นในส่วนใกล้กับเขตอุทยานที่มีทะเลสาบที่สะอาดที่สุดในเซาธ์ดาโกตา รวมถึงชั้นหินอุ้มน้ำใต้ดิน เขากังวลว่าจะเกิดการปนเปื้อนไปสู่ระบบน้ำซึ่งจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของทุกคนได้

อย่างไรก็ตามไบรอัน วอลช์ เจ้าหน้าที่จากกรมสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของเซาธ์ดาโกตากล่าวว่าการรั่วไหลยังไม่ได้กระทบกับแหล่งน้ำบนดิน หมายความว่ายังไม่ได้ไหลไปตามแม่น้ำลำธาร วอลช์บอกอีกว่าเป็นไปได้ยากที่น้ำมันจะไหลลงไปถึงน้ำในชั้นหินที่อยู่ใต้ผืนโลกลงไป 800-900 ฟุต

โครงการท่อส่งน้ำมันดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของระบบท่อส่งน้ำมันคีย์สโตนที่มีแผนการขยายไปถึง 2,687 ไมล์ เคยมีการประท้วงและเกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับโครงการนี้จนกระทั่งรัฐบาลบารัค โอบามา ยกเลิกโครงการนี้ไปในปี 2558 ก่อนที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับมารับรองโครงการนี้ใหม่

เรียบเรียงจาก

As Predicted—Because 'Pipelines Are Bound to Spill'—Existing Keystone Gushes 200K Gallons of Oil, Common Dreams, Nov 16, 2017

More Than 200,000 Gallons Of Oil Have Spilled From The Keystone Pipeline, Buzzfeed, Nov 17, 2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภัยสงครามทำครูในเยเมนไม่ได้รับเงินเดือนมาร่วมปีแล้ว

Posted: 17 Nov 2017 08:25 PM PST

สหพันธ์แรงงานการศึกษานานาชาติเผย นอกเหนือจากที่โรงเรียนกว่า 1,700 แห่ง จะต้องเป็นตัวลงเนื่องจากได้รับความเสียหายจากภัยสงครามแล้ว ยังพบว่าครูในเยเมนกว่า 166,000 คน ไม่ได้รับเงินเดือนใสร่วมปี และเด็กอีก 2 ล้านคนไม่ได้ไปโรงเรียน

ภาพประกอบจากแฟ้มภาพของ OCHA เมื่อเดือน ธ.ค. ปี 2554

18 พ.ย. 2560 เว็บไซต์ของสหพันธ์แรงงานการศึกษานานาชาติ (Education International หรือ EI) รายงานว่านอกเหนือจากที่โรงเรียนกว่า 1,700 แห่ง จะต้องเป็นตัวลงเนื่องจากได้รับความเสียหายจากภัยสงครามแล้ว ยังพบว่าครูในเยเมนกว่า 166,000 คน ในภูมิภาคที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มกบฏฮูติ (Houthi) ไม่ได้รับเงินเดือนในการทำงานมาตั้งแต่เดือน ต.ค. 2559 แล้ว เช่นเดียวกันกับพนักงานของรัฐที่ทำงานอยู่ในภูมิภาคนี้

ในบางพื้นที่ครูกว่าร้อยละ 90 ได้หยุดการเรียนการสอนเพื่อประท้วงการไม่จ่ายค่าแรงนี้ ซึ่งก่อนหน้าที่รัฐจะหยุดจ่ายค่าแรง พวกเขาก็ได้รับเงินเดือนเพียง 160 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น (ประมาณ 5,200 บาท) ด้านสมาคมครูแห่งเยเมน ซึ่งเป็นสมาชิกของ EI ระบุว่ารัฐบาลได้ทำเรื่องนี้ให้เลวร้ายลงไปอีกเมื่อได้นำอาสาสมัครที่ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอมาทำการเรียนการสอนแทนครูที่หยุดงานประท้วง ทั้งนี้พบว่า ณ ปัจจุบันเด็กเยเมนกว่า 2 ล้านคน ไม่ได้ไปโรงเรียน

ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือน พ.ย. 2560 ที่ผ่านมา มาร์ค โลว์ค็อก รองเลขาธิการสหประชาชาติ ด้านกิจการมนุษยธรรมและผู้ประสานงานการบรรเทาทุกข์ฉุกเฉิน (OCHA) ออกมาเตือนว่าเยเมนกำลังจะเผชิญกับภาวะความอดอยากครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยมีประชาชนหลายล้านคนกำลังเสี่ยงเสียชีวิตหากไม่มีการส่งความช่วยเหลือเข้าไป

สถานการณ์ในเยเมนเลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ เมื่อซาอุดิอาระเบียประกาศปิดพรมแดน ปิดกั้นทางเข้าเยเมนทั้งทางเรือ และทางอากาศ หลังกลุ่มกบฏฮูติ ที่เคลื่อนไหวอยู่ในเยเมน ยิงขีปนาวุธนำวิถี โจมตีกรุงริยาดเมืองหลวงของซาอุดิอาระเบีย เหตุการณ์นี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเข้าสู่ภาวะตึงเครียดอีกครั้งหนึ่ง และยังถือเป็นการปิดเส้นทางความช่วยเหลือขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ  ที่จะส่งเข้าไปในเยเมนอีกด้วย

รองเลขาธิการสหประชาชาติ ด้านกิจการมนุษยธรรมและผู้ประสานงานการบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินได้ขอร้องให้รัฐบาลซาอุดิอาระเบียยุติการปิดกั้นนี้เพื่อให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนสามารถส่งสิ่งของเข้าไปช่วยเหลือเยเมนได้ อนึ่งกองกำลังของซาอุดิอาระเบียได้ปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มกบฏชาวฮูตีตั้งแต่เดือน มี.ค.2558 และประชาชนชาวเยเมนกว่า 17 ล้านคน ตกอยู่ในภาวะขาดแคลนอาหาร และอีกกว่า 7 ล้านคน เสี่ยงต่อสภาวะอดอยากอย่างรุนแรง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น