ประชาไท | Prachatai3.info |
- ICJ-แอมเนสตี้ฯ แนะรัฐบาลปรับ ร่าง พ.ร.บ.ต่อต้านการทรมานฯ ชี้มีช่องโหว่หลายประการ
- 'ผสานวัฒนธรรม' ร้องประยุทธ์ ทบทวนระบบ 'ซ่อมทหาร' ร.ร.เตรียมทหาร ที่ละเมิดสิทธิฯ
- อ.ท่าศาลา ต้นแบบดูแลผู้สูงอายุ เปลี่ยนสูงวัยติดบ้านติดเตียง เป็นติดสังคม
- ศรีสุวรรณ จ่อร้อง กสม. สอบกรณีนักเรียนเตรียมทหารตาย - กรรมการสิทธิฯ ยันพร้อมสอบ
- สช.ค้านต่อใบอนุญาตใช้พาราควอต ชี้เป็นสารเคมีอันตราย ขัดมติสมัชชาสุขภาพ
- เสวนา: ไทยกับสังคมนิยม ปชต. เลือกตั้งต้องเลิก 3/2558 ปชช. คือผู้ชี้ชะตา
- รบ.แจงแก้กฎหมาย กอ.รมน.ไม่ใช่คำสั่งคุม ปชช. วางแนวสอดคล้องพัฒนาภูมิภาค
- กสทช. สั่งปิด ‘TV24’ 30 วัน อ้างเสนอข่าวไม่เป็นกลาง-ไม่รอบด้าน
- สนช.เห็นชอบร่าง ก.ม.ลูกศาล รธน. เพิ่มเกราะวิจารณ์ อาจคุก 1 เดือน ปรับ 5 หมื่น
- คำพิพากษาภายใต้เจตนารมณ์ “เพื่อคุ้มครองกระบวนการพิจารณาคดี” และข้อสังเกตคดี 7 นักศึกษา
- การวิเคราะห์เปรียบเทียบ ข้อยกเว้นลิขสิทธิ์ ,“fair use”,“合理使用”
- ปธ.แพทย์ชนบทชี้หากแยกเงินเดือนจากงบรายหัว ต้องแยกค่าจ้างลูกจ้าง-พนง.สาธารณสุขด้วย
- ไร้เสียงค้าน สนช. ผ่านร่าง ก.ม.ขึ้นอัตราเงินประจำตำแหน่งทหาร หวังเป็นขวัญกำลังใจผู้สอน
- ชี้ กม.ชันสูตรมีช่องโหว่ แนวปฏิบัติไม่ชัด ทำแพทย์ไม่ต้องแจ้งญาติหากเก็บอวัยวะไว้
- ‘ราโชมอน’ ความจริงที่ต่างกันของกองทัพ หมอ และครอบครัว กรณี นตท.เสียชีวิต
ICJ-แอมเนสตี้ฯ แนะรัฐบาลปรับ ร่าง พ.ร.บ.ต่อต้านการทรมานฯ ชี้มีช่องโหว่หลายประการ Posted: 23 Nov 2017 12:05 PM PST คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากลและแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลมีข้ 23 พ.ย.2560 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า วันนี้คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists หรือ ICJ) และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) จัดทำข้อเสนอแนะให้ กระทรวงยุติธรรมแก้ไขร่างกฎหมายใหม่ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับ พันธกรณีของไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อเสนอแนะนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ต่อกระทรวงยุติธรรม ICJ และแอมเนสตี้ฯ ยินดีที่รัฐบาลไทยรับผูกพันว่าจะบัญญัติให้การทรมานและ การกระทำให้บุคคลสูญหายเป็นความผิดทางอาญา แต่เนื่องจากร่างพระราชบัญญัตินี้ ชี้ให้เห็นช่องโหว่หลายประการในระบบกฎหมายไทย ทางองค์กรของเราจึงมีความเห็นว่ามีความจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อจัดการ กับข้อบกพร่องสำคัญของร่างพระราชบัญญัตินี้และเพื่อรับประกันว่ารัฐบาลไทยจะสามารถปฏิบัติตาม สนธิสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย รวมถึงตาม มาตรฐานสากลอื่น ๆ รายงานข่าวระบุด้วยว่า ข้อเสนอแนะที่รวบรวมโดย ICJ และแอมเนสตี้ฯ มีดังต่อไปนี้
ICJ และแอมเนสตี้ฯ ระบุว่า ขอเรียกร้องให้ประเทศไทยให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก กับการพิจารณาข้อกังวลเหล่านี้และอื่น ๆ และเมื่อมีการแก้ไขปรับปรุงแล้ว ควรดำเนินการผ่านเป็นกฎหมาย โดยเร็วที่สุด ความจำเป็นในการปรับปรุงแก้ไขและผ่านร่างพระราชบัญญัตินี้โดยเร่งด่วนนั้นถูกเน้นย้ำโดย รายงานขององค์กรพัฒนาเอกชนหลายฉบับที่ได้เก็บข้อมูลว่ามีการกระทำการทรมานและการประติบัติที่ โหดร้ายโดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัฐอยู่เสมอ และความล้มเหลวต่อเนื่องของเจ้าหน้าที่รัฐไทยในการนำตัว ผู้กระทำผิดมารับผิดต่อการกระทำการทรมาน การประติบัติที่โหดร้าย และการกระทำให้บุคคลสูญหาย ICJ และแอมเนสตี้ฯ ย้ำว่ายังคงมุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นแก่รัฐบาลไทยใน การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัตินี้ รวมถึงดำเนินการป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายใน ประเทศไทย ในจดหมายที่แนบมากับข้อเสนอแนะ ทาง ICJ และแอมเนสตี้ฯ ขอเน้นย้ำ ความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการคงไว้ซึ่งมาตราในร่างพระราชบัญญัตินี้ ที่กำหนดห้ามการทรมานและการกระทำ ให้บุคคลสูญหายในทุกสถานการณ์ รวมถึงระหว่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และการห้ามการส่งบุคคล ใดออกไปยังอาณาเขตที่มีความเสี่ยงว่าบุคคลดังกล่าวจะถูกกระทำทรมานหรือถูกกระท าให้สูญหาย (หลักการ ห้ามผลักดันกลับไปเผชิญอันตราย – Non-refoulement) จดหมายเปิดผนึกร่วมถึงรัฐบาลไทย 'ประเทศไทย: ผ่านร่างกฎหมายที่กำหนดให้การกระทำให้บุคคลสูญหาย และการทรมานเป็นความผิดอาญาโดยไม่ล่าช้า' https://www.icj.org/thailand-pass-legislationcriminalizing-enforced-disappearance-torture-without-further-delay ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'ผสานวัฒนธรรม' ร้องประยุทธ์ ทบทวนระบบ 'ซ่อมทหาร' ร.ร.เตรียมทหาร ที่ละเมิดสิทธิฯ Posted: 23 Nov 2017 11:49 AM PST แนะตั้งกลไกที่เป็นอิ 24 พ.ย.2560 จากกรณี การเสียชีวิตของ ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ เมย นักเรียนเตรียมทหาร ซึ่งข้อสงสัยจากทางญาติและก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างมากนั้น ล่าสุดวานนี้ (23 พ.ย.60) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ออกแถลงการณ์ เรียกร้องนายกรัฐมนตรีทบทวนระบบ "ซ่อมทหาร" โรงเรียนเตรียมทหาร ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยระบุว่า กรณีดังกล่าวเป็นที่คลางแคลงใจของสังคมอย่ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ยังได้เสนอ 6 ข้อ เพื่อแก้ปัญหา เช่น การจัดตั้งกลไกที่เป็นอิ รายละเอียดแถลงการณ์ : แถลงการณ์มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เรียกร้องนายกรัฐมนตรีทบทวนระบบ "ซ่อมทหาร" โรงเรียนเตรียมทหาร ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนจากกรณีที่ นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม2560 ที่โรงเรียนเตรียมทหาร โดยไม่มีคำชี้แจงที่ละเอี ต่อมาพลเอกประวิตร เรืองสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาพูดต่อสื่อมวลชนให้เหตุ มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเห็นว่า ประเด็นการเสียชีวิ 1. ขอให้มีการเปิดเผยการชันสู 2. แม้ว่าโดยระเบียบแล้วห้าม ผู้ฝึก หรือผู้ "ซ่อม" แตะเนื้อต้องตัว หรือกระทำการในลักษณะทารุณโหดร้ 3. ให้จัดตั้งกลไกที่เป็นอิ 4. ให้ตรากฎหมายหรือระเบียบปฏิบั 5. ขอให้กำชับบุคคลในรั 6. ขอให้รัฐบาลเร่งรั
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
อ.ท่าศาลา ต้นแบบดูแลผู้สูงอายุ เปลี่ยนสูงวัยติดบ้านติดเตียง เป็นติดสังคม Posted: 23 Nov 2017 11:38 AM PST ต้นแบบดูแลผู้สูงอายุ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เปลี่ยนสูงวัยติดบ้านติดเตียง เป็นติดสังคม 23 พ.ย. 2560 รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา ณ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุ พงศ์เทพ ฟุ้งตระกูล นายกเทศมนตรีตำบลท่าศาลา กล่าวว่า เทศบาลตำบลท่าศาลา เข้าร่วมตั้งกองทุนสุขภาพตำบลร่ ราตรี ฤทธิรัตน์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.ท่าศาลา กล่าวว่า ภาพรวมของการดูแลผู้สูงอายุใน อ.ท่าศาลานั้น มีการทำงานที่ดีขึ้น ที่นี่เริ่มเป็นพื้นที่นำร่องตั้ "ในส่วนของปัญหาที่พบตอนนี้คือ ความไม่เพียงพอของเครื่องมือที่ CG ต้องใช้ เช่น เครื่องเจาะน้ำตาลในเลือด เครื่องวัดความดัน ความไม่ชัดเจนของระเบียบการเบิ
เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ความสำเร็จของ อ.ท่าศาลา คือมีกองทุนสุขภาพตำบลที่เข้ "วันนี้มาดูว่า กองทุนตำบลที่ทำมา 10 ปีแล้ว มีปัญหาอะไรบ้าง อีกอันคือ LTC ที่เพิ่งเริ่ม มีปัญหาอย่างไร และจะแก้อย่างไร เพื่อให้คนของท่าศาลาได้รั ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ศรีสุวรรณ จ่อร้อง กสม. สอบกรณีนักเรียนเตรียมทหารตาย - กรรมการสิทธิฯ ยันพร้อมสอบ Posted: 23 Nov 2017 11:31 AM PST ศรีสุวรรณ จรรยา เตรียมร้อง กสม. สอมกรณีการเสียชีวิตของ เมย นักเรียนเตรียมทหาร 24 พ.ย.นี้ ขณะที่ อังคณา ยันกรรมการสิทธิฯ พร้อมสอบ ชี้จะทำให้คนรู้รักษาวินัย มีวิธีการการอื่นๆอีกมากมาย ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รั 23 พ.ย. 2560 จากกรณี การเสียชีวิตของ ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ เมย นักเรียนเตรียมทหาร ซึ่งข้อสงสัยจากทางญาติและก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างมากนั้น วันนี้ ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รั ศรีสุวรรณ ระบุว่า กรณีนี้มีลักษณะการพิสูจน์ที่ สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนู กสม.พร้อมตรวจสอบกรณี 'นตท.เนย'ขณะที่วันเดียวกัน สำนักข่าวไทย รายงานว่า อังคณา ลีนะไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงการเสียชีวิตของ ภคพงศ์ ว่า รู้สึกตกใจและแปลกใจกับการที่แพทย์ออกมาระบุ ในทำนองว่าสามารถเอาอวัยวะภายในของน้องเมยออกไปได้ตรวจได้ โดยไม่บอกญาติให้ทราบชัดเจนก่อน ซึ่งต้องทำเป็นเอกสารให้เซ็นยินยอม เพราะการเสียชีวิตผิดธรรมชาติที่จะต้องมีการชันสูตร และหากญาติยังมีความข้องใจเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิต ก็เป็นสิทธิที่จะผ่าศพพิสูจน์อีกกี่ครั้งก็ได้ เหมือนกับกรณีของ ห้างทอง ธรรมวัฒนะ ที่ก็มีการผ่าพิสูจน์หลายครั้ง และต้องสรุปชัดเจนก่อนว่าน้องเมย ตายเพราะอะไร หากเสียชีวิตเพราะถูกบังคับให้กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจนร่างกายรับไม่ไหว ก็ต้องถือว่าเสียชีวิตโดยการที่มีคน ซึ่งมีอำนาจบังคับให้ต้องทำแบบนั้น คนที่มีอำนาจคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ อย่างไรก็ตามในส่วนของญาติผู้เสียหาย หากรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนได้ กสม.พร้อมจะเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง "จะตรวจสอบได้ว่ามีการละเมิดหรือไม่ แต่ก็ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้เกิดความจริงได้ง่าย เพราะผู้ที่เห็นเหตุการณ์ คือนักเรียนนายร้อยด้วยกัน ขึ้นอยู่ที่ว่าจะพูดหรือไม่ เพราะก็อาจจะอ้างเรื่องวินัย พูดไม่ได้ เป็นความลับราชการ ก็ยากจะหาหลักฐาน นอกจากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายหรือไม่ น่าจะเกิดจากสาเหตุอะไร แต่ก็อาจจะฟันธงไม่ได้ชัด ถ้าพยานที่เห็นเหตุการณ์ไม่พูดจริงๆ เรื่องนี้ถ้าหากเจ้าหน้าที่ระดับสูงคิดว่า เป็นเรื่องที่ควรจะเยียวยาครอบครัวเขา ก็ควรบอกความจริงกับเขาดีกว่า" อังคณา กล่าว ส่วนที่ทหารอ้างว่าเรื่องธำรงวินัย เป็นเรื่องปกติที่จะฝึกวินัย ความอดทนของนักเรียนใหม่ อังคณา กล่าวว่า ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านทรมานแล้วทั้งปี 50 และปี 52 ประเทศก็มีภาระผูกพันที่ต้องทำตามอนุสัญญานี้ และอนุสัญญาต่อต้านทรมานของสหประชาติก็ระบุไว้ว่า ไม่ว่าสถานการณ์ใด รวมถึงสภาวะสงคราม การทรมานไม่สามารถเอามาใช้เป็นเหตุผลที่จะกระทำกับบุคคลอย่างไรก็ไม่ได้ อีกทั้งปัจจุบันมีร่างกฎหมายทรมานสูญหาย ที่ขณะนี้อยู่ในชั้นการแก้ไขของกระทรวงยุติธรรม หลังจากที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติให้นำกลับไปปรับปรุงเนื้อหา ซึ่งตามร่างกฎหมายนี้ การทรมานจะกระทำไม่ได้ไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ และการทรมานตามนิยามไม่ได้หมายถึงการทรมานด้านร่างกายอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการทรมานด้านจิตใจ การบังคับขู่เข็ญด้วย ฉะนั้นการธำรงวินัย เช่น การชกท้อง หรือบังคับให้ทำอะไรหนักๆ เกินกว่าร่างกายจะรับไหว มันก็เข้าข่ายเป็นการทรมานเช่นกัน อังคณา กล่าวด้วยว่า การจะทำให้คนรู้รักษาวินัย มีวิธีการการอื่นๆอีกมากมาย และประเพณีวัฒนธรรมอะไรที่ไม่ดี ไม่ถูกต้องก็ควรจะปรับปรุง รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียน หากรัฐบาลจะประกาศเอาเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ ควรจะปฏิรูประบบนี้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สช.ค้านต่อใบอนุญาตใช้พาราควอต ชี้เป็นสารเคมีอันตราย ขัดมติสมัชชาสุขภาพ Posted: 23 Nov 2017 11:09 AM PST เลขาฯ กก.สุขภาพ ไม่เห็นด้วยกับกรมวิ 23 พ.ย. 2560 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่ พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่ "ภาคีเครือข่ายสมัชชาสุขภาพแห่ รายงานข่าวระบุด้วยว่า ก่อนหน้านี้มี มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ที่เกี่ยวข้อง 3มติ ได้แก่ มติในปี 2551 เรื่อง เกษตรและอาหารในยุควิกฤต และมติในปี 2555 อีก 2 เรื่อง คือ ความปลอดภัยทางอาหาร : การแก้ไขปัญหาจากสารเคมีกำจัดศั "สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่ จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานคณะทำงานขับเคลื่อนมติสมั "การตัดสินใจต่ออายุการใช้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เสวนา: ไทยกับสังคมนิยม ปชต. เลือกตั้งต้องเลิก 3/2558 ปชช. คือผู้ชี้ชะตา Posted: 23 Nov 2017 10:07 AM PST สังคมนิยมประชาธิปไตยต้องค่อยเป็นค่อยไป ไทยเริ่มที่ติดลบ เลือกตั้งปีหน้าลูกผีลูกคน กฎตั้งอย่างไรก็ได้แต่ประชาชนเป็นคนตัดสิน เลือกตั้งหน้าต้องยกเลิก คสช. 3/2558 เพื่อปลดล็อค อนาคตความคิดต่างควรแข่งขันบนสนามที่แฟร์กับทุกฝ่าย ตัวแทนแรงงานระบุ ขบวนแรงงานยังแตกแยก หวังฟ้าใหม่ร่วมงานนักศึกษา เกษตรกร (ซ้ายไปขวา): สิริพรรณ นกสวน สวัสดี ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ บุญสม ทาวิจิตร 23 พ.ย. 2560 มูลนิธิฟรีดิช เอแบร์ จัดงานเปิดตัวหนังสือเรื่อง "ความคิดพื้นฐานว่าด้วยสังคมประชาธิปไตย" และมีงานเสวนาในประเด็นอนาคตของประเทศไทยว่าสังคมจะก้าวไปอย่างไร มี ผศ. สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ภาควิชาปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บุญสม ทาวิจิตร ประธานกลุ่มผู้ใช้แรงงาน พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ จากเวทีเอเชียว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (FORUM-ASIA) เป็นวิทยากร และศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยาเป็นผู้ดำเนินรายการ สังคมนิยมประชาธิปไตยต้องค่อยเป็นค่อยไป ไทยเริ่มที่ติดลบ เลือกตั้งปีหน้าลูกผีลูกคน กฎตั้งอย่างไรก็ได้แต่ประชาชนเป็นคนตัดสินสิริพรรณกล่าวว่า เชื่อว่าคนไทยไม่ถึงร้อยละสิบที่เข้าใจความหมายของคำว่าสังคมนิยมประชาธิปไตย สังคมนิยมประชาธิปไตยจริงๆ เป็นสิ่งที่ไปไกลกว่าประชาธิปไตย ประเด็นที่ว่าสังคมไทยจะไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่เป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะถ้ามองสังคมไทยตอนนี้ในการที่จะไปสู่การเป็นสังคมนิยมประชาธิปไตย ดิฉันมองว่าตอนนี้ไทยไม่ได้ตั้งต้นอยู่ที่ศูนย์ แต่ติดลบและไม่ใช่ลบหนึ่งด้วย ดังนั้นเราจึงต้องใช้พลังเยอะมากที่จะขับเคลื่อนสังคมไปสู่จุดนั้น สังคมนิยมประชาธิปไตย คือรูปแบบการปกครอง ทางการเมืองในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ สามารถคิดค้นด้านการมีส่วนร่วมในหลายรูปแบบ ในส่วนที่เรียนรู้ปฏิบัติตาม หรือ ลอกเรียนแบบตามกันมาคือให้มีการเลือกตั้งโดยใช้ระบบเลือกตัวแทนเข้ามาบริหารประเทศ ส่วนรายละเอียดนั้นก็จะแตกต่างกันไป ในเงื่อนไขของการพัฒนาที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศให้มากที่สุด หลายประเทศคิดถึงระบบการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นดูแลจัดการตนเอง ส่วนทางด้านเศรษฐกิจนั้น ใช้รูปแบบสังคมนิยม ระบบสังคมนิยมในจินตนาการตั้งอยู่บนความคิดที่ต้องการให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยุติธรรม ทุกคนร่วมกันทำงานเพื่อสร้างผลผลิตส่วนรวม และได้รับ สวัสดิการ พยายามกระจายรายได้โดยรัฐให้ประชาชนให้ทั่วถึงทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีรัฐสวัสดิการที่ควรมีอยู่พอสมควร ระบบสังคมนิยมไม่จำเป็นที่จะอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบเผด็จการหรือระบอบใดระบอบหนึ่งแต่สามารถอยู่ได้ทุกระบอบเพราะเป็นเพียงระบบเศรษฐกิจเท่านั้นไม่ใช่ระบอบการปกครอง อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: สังคมนิยมประชาธิปไตย ทางออก หรือ ทางเลือก แนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตยจะเกิดได้คือ หนึ่ง รัฐต้องเข้มแข็งมากพอที่จะเข้ามาก้าวก่ายระบบเศรษฐกิจเพื่อจัดการระบบเศรษฐกิจให้สร้างความเป็นธรรมในสังคม ถ้ารัฐอ่อนแอจะทำไม่ได้ แล้วทำไมต้องประชาธิปไตย เพราะการก้าวก่ายเพื่อสร้างความเป็นธรรม เสมอภาคและภราดรภาพ ต้องได้รับความชอบธรรมอย่างสูง รัฐเผด็จการ รัฐที่ไม่มีความชอบธรรมทำไม่ได้ รัฐที่ชอบธรรมจึงเป็นรัฐที่ต้องมาจากการเลือกตั้งอย่างเป็นธรรม หลักของแนวคิดนี้คือต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป หลายคนอาจจะอยากปฏิวัติ (Revolution) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นของสังคมตะวันตกในการเป็นสังคมนิยมประชาธิปไตยนั้นได้มาผ่านการวิวัฒนาการ (Evolution) ประเด็นคือเราจะไม่มีทางไปสู่ประชาธิปไตยหรือสังคมนิยมประชาธิปไตยถ้าแรงงานไม่มีอำนาจต่อรอง จริงๆแล้วประชากรกลุ่มใหญ่ที่มีพลังที่สุดคือผู้ใช้แรงงาน แต่ถูกทำให้นิ่งมานาน เพราะเวลาเราไปเลือกตั้งผู้ใช้แรงงานถูกทำให้ไปเลือกตั้งในฐานะภาคเกษตรกร คือเวลาทำงานไปทำที่อื่น แต่ไปเลือกตั้งต้องกลับภูมิลำเนา เสียงแรงงานจึงไม่เคยถูกสะท้อนผ่านพรรคใดๆ ตราบใดที่แรงงานถูกกดทับแบบนี้ ประเทศจะไม่มีทางไปสู่การเป็นสังคมนิยมประชาธิปไตย สิริพรรณเสนอว่า ควรแก้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเลือกตั้งให้แรงงานเลือกตั้งในพื้นที่ที่ทำงานได้ อย่าลืมว่ารัฐและอำนาจรัฐที่เป็นองคาพยพที่ใหญ่ เวลาเขาคิดการทั้งหมดตั้งแต่ 2549 ถึงวันนี้ เขาได้ต่อจุดเอาไว้ และจุดของเขามันเยอะมาก เขากดปุ่มหลายปุ่มพร้อมกัน แล้วฝ่ายที่ทำงานเพื่อประชาธิปไตยได้ทำอย่างนั้นไหม นอกจากไม่ได้ทำงานร่วมกันแล้วยังแซะกันไปแซะกันมา ถ้าจุดที่จะต้องทำร่วมกันคืออย่างน้อยรณรงค์ให้กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการลงทะเบียนเลือกตั้งในเขตที่ตัวเองทำงานเพื่อให้พลังแรงงานในนิคมอุตสาหกรรมมีอำนาจต่อรอง ถ้าคุณรวมกันได้สองหมื่นเสียง พรรคการเมืองจะฟังคุณไหม ที่ผ่านมามีแต่นโยบายตอบโจทย์เกษตรกร แต่ไม่มีนโยบายตอบโจทย์แรงงานเพราะเสียงเหล่านี้ไม่เคยรวมกัน ในประเด็นการเลือกตั้งครั้งหน้าของไทย อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ให้ความเห็นว่าการเลือกตั้งของไทยครั้งหน้าต้องใช้คำว่าอาจจะเกิดหรือไม่เกิด (Contingent) เพราะไม่มีทิศทางชัดเจนที่จะบอกได้ เราได้ยินพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่าจะมีการเลือกตั้งประมาณเดือน พ.ย. ปีหน้า แต่สัญญาณที่ออกมาจากทางรัฐบาลเองก็คิดว่าไม่น่ามี แต่ถ้าดูจากลางสังหรณ์คิดว่าไม่มีเลือกตั้งในปีหน้า ถ้าถามว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้เห็นอะไร ส่วนตัวคิดว่าหลายคนคิดว่าเป็นการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญที่ไม่มีประชาธิปไตยที่สุดท้ายก็จะได้นายกรัฐมนตรีที่ประชาชนอาจไม่ได้เลือก ส่วนตัวคิดว่า อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งครั้งหน้าจะน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะจะเป็นเรื่องที่ท้าทายกฎระเบียบและพลังประชาชนจำนวนมาก เพราะเรารู้ว่ากลไกการเลือกตั้งถูกออกแบบมาทำให้พฤติกรรมการเลือกตั้งเปลี่ยน จากเลือกพรรคเป็นคน ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ ทำให้พรรคลดความเป็นระบบพรรคการเมืองลง แต่ละเขตพรรคเดียวกันก็จะมีเบอร์ต่างกันไป ทั้งหมดเป็นการออกแบบกลไกกติกาเพื่อมุ่งสู่การทำลายระบบพรรคการเมือง ลดความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับพรรคการเมือง ลดทอนประสิทธิภาพประชาชนในกรณีที่ประชาชนอาจไม่ได้เป็นคนเลือกนายกฯ เอง แต่ประสบการณ์ทั่วโลกก็บอกว่าระบบเลือกตั้งไม่สามารถทำได้อย่างที่ผู้ร่างคิดเสมอไป พลังที่จะท้าทายกลไกนั้นคือพลังประชาชน ทว่า จะท้าทายและลดทอนกลไกดังกล่าวได้หรือเปล่า นอกจากนั้น ทุกการเลือกตั้งสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่ประชาชนจะได้ขับเคลื่อน มีการสนทนาและมีการแลกเปลี่ยนของกลุ่มต่างๆ ตรงนี้คือประกายสำคัญที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งโดยธรรมชาติมันทำได้อยู่แล้ว แต่ถ้าทำได้ด้วยเราก็ควรจะทำ เช่นการเชื่อมโยงจุดต่างๆ เคลื่อนไหวในมุมของตัวเอง และถ้าแต่ละคนสามารถทำงานร่วมกันได้จะเป็นอะไรที่ดีมาก การเป็นสังคมนิยมประชาธิปไตยอาจจะอยู่อีกไกล แต่เราควรมีเป้าหมาย และสังคมนิยมประชาธิปไตยควรเป็นอีกเป้าหมายที่ควรไปถึง แต่ตอนนี้เราไม่ได้แค่สู้กับระบบการเมือง แต่กำลังสู้กับระบบเศรษฐกิจด้วย ปรเด็นที่สู้คือ รัฐกับทุนกำลังร่วมมือกัน แล้วประชาชนจะอยู่ตรงไหน วันนี้เราอยากเห็นประชาชนไม่ได้มองตัวเองเป็นราษฎรอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองที่ตระหนักในความเป็นพลเมืองของเรา และได้รับการปฏิบัติต่อในฐานะพลเมือง เมื่อเป็นเช่นนั้นการขับเคลื่อนอย่างอื่นจะตามมา เลือกตั้งหน้าต้องยกเลิก คสช. 3/2558 เพื่อปลดล็อค อนาคตความคิดต่างควรแข่งขันบนสนามที่แฟร์กับทุกฝ่ายพิมพ์สิริกล่าวว่า ความน่าสนใจของแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตยในแง่ประวัติศาสตร์คือกระบวนการที่เป็นลักษณะของการปฏิรูปมากกว่าการปฏิวัติที่สะท้อนว่ามีการประนีประนอมแล้วกับระบบทุนนิยม รัฐสวัสดิการต่างๆ มีไว้เพื่อไม่ให้มีความตึงเครียดระหว่างชนชั้นต่างๆ ในสังคม กลับมาถึงคำถามสังคมนิยมปะชาธิปไตยว่าเหมาะกับสังคมไทยไหม ท้ายที่สุดคำตอบคือเราต้องการอะไร เราต้องการไปสู่สังคมในอุดมคติที่เราต้องการหรือไม่ ตอนนี้ก็เชื่อว่าหลังวาทกรรมระบบตลาดเสรีนิยมใหม่ก็ยังมีคนบางกลุ่มอยากเห็นสังคมนิยมสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าเอาฉันทามติคนในสังคมมองก็มองว่าระบบตลาดคือที่สุดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม สังคมนิยมประชาธิปไตยคือทางออกที่ทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำในสังคมไม่ห่างจนเกินไป แนวทางในอนาคตอย่างแรกต้องเริ่มจากคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2558 ถึงจะทำให้มีการพูดคุย มีบรรยากาศพูดคุยที่เปิด คิดว่าภาคประชาสังคมต้องชัดเจนด้วยว่าถ้าจะไปสู่การเลือกตั้งอย่างน้อยคำสั่งที่ 3/2558 ต้องถูกยกเลิก นี่ถือว่าเป็นอย่างน้อย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการเลือกตั้งที่คุยกันเรื่องการเมืองไม่ได้ ชุมนุม หาเสียงเปิดเผยไม่ได้ คำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 3/2558 ที่มีหน้าที่ปราบปรามคดีการเมือง ได้แก่ หนึ่ง มีอำนาจ "ออกคําสั่งเรียกให้บุคคลมารายงานตัว" ต่อเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามหรือมาให้ถ้อยคํา หรือส่งมอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดตามที่กำหนดไว้ในคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับนี้ สอง มีอำนาจ "จับกุมตัวบุคคลที่กระทําความผิดซึ่งหน้า" และควบคุมตัวผู้ถูกจับนําส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดําเนินการต่อไป สาม มีหน้าที่ "ช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมในการสอบสวน" ในความผิดตามคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับนี้ และหากเข้าร่วมการสอบสวนคดีใดก็ให้ถือว่าเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย สี่ มีอำนาจ "ตรวจค้นเคหสถาน, บุคคล หรือยานพาหนะ" เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยโดย "มีหลักฐานตามสมควร" ว่าบุคคลซึ่งกระทําความผิดตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับนี้ หลบซ่อนอยู่ หรือมีทรัพย์สินซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยการกระทําความผิด หรือได้ใช้หรือจะใช้ในการกระทําความผิด หรือซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ อย่างไรก็ดี การใช้อำนาจดังกล่าว ต้องมีเหตุอันควรเชื่อว่า หากการรอเอาหมายค้นมา บุคคลนั้นจะหลบหนีไป หรือทรัพย์สินนั้นจะถูกโยกย้าย ซุกซ่อน ทําลาย หรือทําให้เปลี่ยนสภาพไปจากเดิม ห้า มีอำนาจ "ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน" ที่ค้นพบจากการตรวจค้นตัวบุคคล เคหสถาน หรือยานพาหนะ หก กระทําการอื่นใดตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมอบหมาย เจ็ด มีอำนาจ "ควบคุมตัวไม่เกินเจ็ดวัน" ในกรณีที่เรียกตัวบุคคลนั้นมาเพื่อสอบถามข้อมูล และการสอบถามยังไม่เสร็จ โดยต้องควบคุมไว้ในสถานที่อื่นที่มิใช่สถานีตํารวจ ที่คุมขัง หรือเรือนจํา และจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นในลักษณะเป็นผู้ต้องหาไม่ได้ แปด การกำหนดเงื่อนไขในการปล่อยตัว เช่น ในกรณีที่บุคคลถูกควบคุมตัวเจ้าพนักงานจะปล่อยตัวโดยมีเงื่อนไขหรือไม่มีก็ได้ เช่น การกำหนดพื้นที่ห้ามเข้า การเรียกประกันทัณฑ์บน การห้ามประกอบอาชีพบางอย่าง การห้ามเดินทางออกนอกประเทศ หรือ การระงับธุรกรรมทางการเงิน เป็นต้น ที่มา: iLaw วิทยากรจาก FORUM-ASIA กล่าวว่า อนาคตของไทยเป็นไปได้สองทาง หนึ่ง ทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งตลอดสิบปีที่จริงๆ ตั้งใจดีกับประเทศทั้งสองฝั่ง แต่อาจจะมีประเด็นหลักไม่เหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งอาจต่อต้านคอร์รัปชั้น ธรรมาภิบาล อีกฝั่งหนึ่งเน้นการมีส่วนร่วม แต่ถ้ามีคนตรงกลางที่ผสานสองฝ่ายได้ก็อาจจะสวยงาม แต่ปัญหาคือใครจะเป็นคนนั้น สอง อุดมการณ์ไม่จำเป็นต้องบรรจบกันตรงกลาง ต่างคนก็ต่างเดิน เป็นการแข่งขันไปเลย แต่ละฝ่ายเน้นประเด็นหลักของตนเป็นประชาธิปไตยแบบแข่งขัน ทุกภาคส่วนไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน คิดว่าสะดวกใจมากกว่าที่คนจะคิดไม่เหมือนกันและแต่ละคนรณรงค์ในแนวทางของตัวเอง แต่ต้องยอมรับร่วมกันว่าจะต้องทำให้สนามแข่งขันเปิดพื้นที่ให้ทุกคนเท่าๆ กัน คุณจะไม่เอาประชาธิปไตยก็ไม่เอาก็ได้ จะตั้งพรรคการเมืองที่ชูธงเรื่องธรรมภิบาล ปกครองแบบอำนาจนิยมก็ได้ ฝ่ายที่อยากได้ประชาธิปไตย อยากได้การมีส่วนร่วมก็รวมตัวกันมา ตัวแทนแรงงานระบุ ขบวนแรงงานยังแตกแยก หวังฟ้าใหม่ร่วมงานนักศึกษา เกษตรกรบุญสม กล่าวว่า ตนเป็นหนึ่งในคนไทยที่ไม่รู้เรื่องสังคมนิยมประชาธิปไตย อาจจะด้วยข้อจำกัดของการเป็นแรงงาน ส่วนใหญ่คนงานและสหภาพแรงงานจะมุ่งหน้าสู่การทำงานเพื่อปากท้องของครอบครัว เขาจะไม่รูู้ว่าแนวคิดเหล่านี้เป็นอย่างไร คนงานไม่เคยเห็นหนังสือลักษณะนี้ ถึงเคยเห็นแต่การศึกษาก็น้อยมาก อย่างที่เข้าใจว่านายจ้าง นายทุนกับการให้การศึกษาเกี่ยวกับหลักคิดสังคมนิยมและความเท่าเทียมมันเป็นเรื่องที่อยู่บนเส้นขนานระหว่างกันอยู่แล้ว และตนคิดว่าถ้าคนงานรู้จักหนังสือประเภทนี้ พวกเขาอาจจะมีแนวคิด ทฤษฎีในการจัดตั้งกับคนงานมากขึ้นและอาจจะนำไปสู่การมีทางเลือกในการเข้าสู่สังคมประชาธิปไตยที่คนงานจะใช้สิทธิ์ทางอ้อมได้ สิบปีที่ผ่านมาแรงงานแตกเป็นเสี่ยง จากกลุ่มที่จับมือกันมาพอเจอสถานการณ์แบบนี้ทำให้แบ่งขั้วกันชัดเจน จึงไม่แน่ใจถึงความเป็นไปได้ที่จะผสาน ประนีประนอมให้เป็นหัวขบวนในการต่อสู้ทางการเมืองและสังคม ถ้ามีการเลือกตั้งอนาคตจะเป็นอย่างไรก็เป็นหน้าที่ของแรงงานที่จะต้องผสานความร่วมมือกันให้ได้ เมื่อช่วงบ่ายๆ วันนี้ก็ได้ไปคุยกันในรายการวิทยุไทยพีบีเอสว่า ตอนนี้กระบวนแรงงานถูกกระทำเยอะแยะมากมาย แล้วจะทำอย่างไรในสถานการณ์ที่รัฐบาลเผด็จการครอบงำ หลายคนก็บอกว่าให้รอไปก่อน ให้ฟ้าใหม่มาค่อยออกมา เพราะถ้าเคลื่อนไหวตอนนี้ก็ไม่รู้เลยว่าจะท้าทายอำนาจที่มีล้นฟ้าได้อย่างไร แต่ส่วนหนึ่งก็มีการพูดคุยในองค์กรว่า การรอเวลาเลือกตั้งเป็นท่าทีที่อาจจะเปลี่ยนได้ ประธานกลุ่มผู้ใช้แรงงานยังกล่าวอีกว่า ในอนาคตอยากเห็นเครือข่ายสามประสาน คือนักศึกษา กรรมกรและชาวนา แต่แรงงานเองก็คิดว่าต้องรอฟ้าใหม่ หวังอย่างยิ่งว่า เมื่อฟ้าใหม่แล้วจะได้ร่วมมือกับชาวนาและนักศึกษาก็ ก็เป็นคำถามว่าขบวนแรงงานเองจะสร้างความเข้มแข็งอย่างไรในอนาคต และต้องปรับขบวนตัวเองให้ไวที่สุด มีการต่อสู้ทางความคิดไม่เช่นนั้นก็จะเป็นผู้ถูกปกครองตลอดไป ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
รบ.แจงแก้กฎหมาย กอ.รมน.ไม่ใช่คำสั่งคุม ปชช. วางแนวสอดคล้องพัฒนาภูมิภาค Posted: 23 Nov 2017 09:27 AM PST 23 พ.ย.2560 จากกรณี วานนี้ (22 พ.ย.60)ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 51/2560 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นการแก้ไข พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 หลายมาตรา โดยเพิ่มนิยามของการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ให้รวมถึงในกรณีที่เกิดหรือคาดว่าจะเกิดสาธารณภัยตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้กับ กอ.รมน. ในส่วนงานการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และ ให้สํานักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ ให้เป็นไปตามแผนและแนวทางนั้นด้วย พร้อมทั้งเพิ่มอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นกรรมการ กอ.รมน. เป็นต้น ล่าสุดวันนี้ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 51/2560 ว่า การแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ตามคำสั่งนี้ เป็นไปเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและมีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งไม่ได้เกิดจากการกระทําของบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากภัยจากธรรมชาติที่เป็นสาธารณภัยด้วย "คำสั่งดังกล่าวจึงต้องการสร้างความชัดเจนว่า การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรก็คือ การป้องกัน แก้ไข และฟื้นฟูสถานการณ์ใดที่เป็นภัยหรืออาจเป็นภัย ซึ่งเกิดจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคล รวมถึงสาธารณภัยต่าง ๆ เช่น อุทกภัย วาตภัย ธรณีพิบัติภัย ฯลฯ ให้กลับสู่สภาวะปกติเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์ไปควบคุมหรือก่อให้เกิดผลกระทบแก่ประชาชนแต่อย่างใด" ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ผู้รับผิดชอบในการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะถูกกำหนดไว้ในกฎหมายฉบับเดิมอยู่แล้ว ทั้ง กอ.รมน.กลาง กอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัด เพียงแต่เพิ่มเติมงานด้านสาธารณภัยเข้าไป และสร้างกลไกให้การทำงานในระดับภาคและจังหวัดมีความชัดเจนมากขึ้น โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม เช่น ทหาร ตำรวจ อัยการ ผอ.ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ ผอ.สำนักงาน ปปส.ในพื้นที่ เป็นต้น "นายกฯ ระบุว่า นอกจากงานด้านความมั่นคงแล้ว รัฐบาลและ คสช. ยังให้ความสำคัญกับการนํานโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้เกิดความยั่งยืน โดยให้แต่ละภูมิภาคกําหนดมาตรการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่ และมีความเชื่อมโยงกันทั้งในระดับภาคและจังหวัด สอดคล้องกับทิศทางการบริหารงบประมาณใหม่ที่มุ่งพัฒนาภูมิภาค กลุ่มจังหวัด และจังหวัด อย่างตรงจุด" โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว ที่มา เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล และประชาชาติธิรกิจออนไลน์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กสทช. สั่งปิด ‘TV24’ 30 วัน อ้างเสนอข่าวไม่เป็นกลาง-ไม่รอบด้าน Posted: 23 Nov 2017 09:14 AM PST กสทช.คำสั่ง ให้ TV24 ยุติการออกอากาศ 30 วัน ระบุเหตุมีเนื้อหาบางรายการที่มีความไม่เป็นกลางในการนำเสนอข้อมูลต่างๆให้ครบถ้วนรอบด้าน 23 พ.ย. 2560 เฟซบุ๊กแฟนเพจ TV24 สถานีประชาชน โพสต์ข้อความวันนี้ เมื่อเวลา 20.30 น. ว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีคำสั่งให้สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม TV24 สถานีประชาชน ยุติการออกอากาศในเที่ยงคืนนี้ (เวลา 0.01 น. ของวันที่ 24 พ.ย. 2560) เป็นเวลา 30 วัน เนื่องจาก "รายการคมข่าว" และ "รายการ ไฟเขียวความคิด" ขัดต่อเงื่อนไขการอนุญาตประกอบกิจการ ข่าวสดออนไลน์ รายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่ กสทช.ได้นำคำสั่ง กสทช. ระงับการออกอากาศ ช่องรายการ TV24 เป็นเวลา 30 วัน มายื่นที่สำนักงาน TV24 ชั้น5 อาคารอิมพีเรียล ลาดพร้าว รายงานข่าวระบุด้วยว่า หนังสือระบุถึงสาเหตุที่ระงับการออกอากาศว่า มีเนื้อหาบางรายการที่มีความไม่เป็นกลางในการนำเสนอข้อมูลต่างๆให้ครบถ้วนรอบด้าน ทั้งที่เคยได้รับการกำหนดโทษทางปกครอง และใช้มาตรการทางปกครอง เช่นการเตือนหรือการสั่งระงับการออกอากาศบางรายการ และขอความร่วมมือในการนำเสนอเนื้อในรายการต่างๆ มาแล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อ 10 เม.ย. 2558 ถึง 16 เม.ย. 2558 ก็ถูกคำสั่ง กสทช. ปิดไป 7 วัน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สนช.เห็นชอบร่าง ก.ม.ลูกศาล รธน. เพิ่มเกราะวิจารณ์ อาจคุก 1 เดือน ปรับ 5 หมื่น Posted: 23 Nov 2017 08:56 AM PST สนช.เห็นชอบร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญ วาระ 3 เพิ่มอำนาจออกมาตรการชั่วคราวบังคับหน่วยงานดำเนินการได้ และไม่รีเชตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ iLaw ชี้วิจารณ์ศาลฯ อาจคุก 1 เดือน ปรับ 5 หมื่น 23 พ.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่า การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันนี้ มีพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญ วาระที่ 2 และ 3 โดยที่ประชุม สนช. มีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ด้วยคะแนน 188 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป สำหรับขั้นตอนต่อไป ประธาน สนช. จะส่งร่างกฎหมายฉบับนี้ ไปให้ กรธ. และศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่ามีประเด็นใดขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก่อนจะส่งความเห็นกลับมายัง สนช. เพื่อตั้งกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย หรือหากทั้ง 2 หน่วยงาน เห็นว่าไม่มีประเด็นใดขัดต่อเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญประธาน สนช. ก็จะส่งร่างกฎหมายไปให้นายกรัฐมนตรี เพื่อเตรียมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ประกาศใช้ต่อไป ทั้งนี้ ก่อนการลงมติ รายงานข่าวระบุว่า สมคิด เลิศไพฑูรย์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ ปรับแก้ประเด็นสำคัญ 2 ประเด็น คือ การเพิ่มอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญ สามารถออกมาตรการชั่วคราวได้ เพื่อป้องกันความเสียหายและความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น โดยคำร้องของผู้ร้อง จะต้องมีเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะวินิจฉัย เพื่อออกคำสั่งไปยังหน่วยงานรัฐ ให้ปฏิบัติตามในกรอบเวลา 60 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง ซึ่งมาตรการชั่วคราวนี้ จะต้องส่งให้สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบ และภายใน 30 วัน หาก ส.ส. มีการเสนอญัตติ และมีมติรับรองไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ให้ศาลดำเนินการตามมตินั้น และกมธ.ปรับแก้สถานะการคงอยู่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ยังไม่ครบวาระให้ดำรงตำแหน่งต่อไป แม้ว่าจะมีคุณสมบัติไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ 2560 เพราะ ตุลาการฯปัจจุบัน เข้ามาทำหน้าที่และมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ 2550 ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 5 คน ที่ครบวาระการดำรงตำแหน่งไปแล้ว แต่อยู่รักษาการตามคำสั่ง คสช. นั้น ให้อยู่รักษาการต่อไป จนกว่าจะมีการสรรหาใหม่ อุดม รัฐอมฤติ กรธ. ซึ่งกรรมาธิการฯ เสียงข้างน้อย อภิปรายไม่เห็นด้วยกับการ เพิ่มอำนาจให้ศาลฯออกมาตรการชั่วคราวได้ เพราะถือเป็นการให้อำนาจศาลเกินขอบเขต และเกรงจะเกิดวิกฤตทางการเมือง เพราะศาลรัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรตุลาการที่ดูแลอำนาจหน่วยงานที่ใช้อำนาจอธิปไตยสูงสุดของประเทศ หากให้อำนาจนี้อาจเกิดปัญหาตามมา และอาจถูกมองว่าเป็นผู้ฝักใฝ่ทางการเมือง เช่น หากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคตดำเนินการสิ่งใด แต่ศาลออกมาตรการชั่วคราวให้ระงับ จะทำให้ศาลถูกครหาได้ อีกทั้งตามหลักสากล ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวางตัวเป็นกลาง บรรเจิด สิงคเนติ กรรมาธิการฯ เสียงข้างมาก ยังคงยืนยันว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จำเป็นจะต้องมีอำนาจการออกมาตรการชั่วคราว เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของคำร้อง และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะตามร่างกฎหมายฉบับนี้ ให้สิทธิประชาชน สามารถยื่นคำร้องฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้โดยตรง แต่หากศาลไม่มีอำนาจ หรือเครื่องมือไประงับยับยั้ง หรือออกมาตรการใดๆ ก็ไม่สามารถช่วยประชาชนได้ จึงมีความจำเป็น และจะต้องมีมาตรการนี้ ขณะเดียวกัน หลังการออกมาตรการ ก็จะต้องส่งเรื่องไปให้สภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบอยู่แล้ว จึงถือเป็นมาตรการทั่วไป สำหรับทั่วโลกที่มีศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่ เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิก สนช. กังวลว่า การส่งคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญ มาให้ฝ่ายนิติบัญญัติ หรือ ส.ส. ตรวจสอบ อาจเป็นการก้าวล่วงอำนาจฝ่ายตุลาการ จึงเสนอให้ตัดขั้นตอนที่ต้องส่งมาให้ ส.ส. ตรวจสอบ เพราะในอนาคตหากรัฐบาลมีเสียง ส.ส. ข้างมากในสภา ส.ส. อาจโหวตคว่ำมาตรการชั่วคราวนั้น โดยเฉพาะกรณีที่ศาลวินิจฉัยไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และเห็นว่า การบัญญัติให้ ส.ส. ตรวจสอบการใช้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ จะขัดต่อรัฐธรรมนูญ ที่รับรองคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ถือเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันหน่วยงานรัฐ ส่วนประเด็นเรื่องการดำรงอยู่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น ธนาวัฒน์ สังข์ทอง กรธ.ในฐานะกรรมาธิการฯ เสียงข้างน้อย ไม่เห็นด้วย และยืนยันให้รีเซตตุลาการที่ขาดคุณสมบัติพ้นจากตำแหน่ง เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาด การทำหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการ จึงจะต้องมีความน่าเชื่อถือและมีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้ถูกโต้แย้งการทำหน้าที่ ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่รักษาการตามคำสั่ง คสช. ก็ควรให้ทำหน้าที่รักษาการต่อไป จนกว่าจะมีการสรรหาใหม่ ด้านสมาชิก สนช.เสนอให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบัน 4 คน และที่อยู่รักษาการอีก 5 คน อยู่ทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะครบวาระ และเข้าสู่กระบวนการสรรหาใหม่ จนกว่าจะมีคณะกรรมการสรรหาครบองค์ประกอบ เพื่อให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดใหม่ มีความสง่างาม และป้องกันประเด็นทางการเมือง จากนั้น กรรมาธิการฯ ยอมปรับแก้ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 5 คน ที่ทำหน้าที่รักษาการตามคำสั่ง คสช.นั้น จะเริ่มกระบวนการสรรหาใหม่ หลังการเลือกตั้ง ส.ส. – ส.ว. เพื่อให้มีคณะกรรมการสรรหาครบองค์ประกอบ ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่ง สนช. ก็มีมติเสียงข้างมากตามที่กรรมาธิการฯ แก้ไข โดยกระบวนการสรรหา การตรวจสอบคุณสมบัติ การลงมติของ สนช. และขั้นตอนทูลเกล้าฯ น่าจะใช้เวลาระยะเวลารวมประมาณ 200 วัน iLaw ชี้วิจารณ์ศาลฯ อาจคุก 1 เดือน ปรับ 5 หมื่นiLaw สาระสำคัญๆ ในร่างกฎหมายฉบับนี้ ได้แก่ "สิทธิประชาชนในการยื่นร้อง "สิทธิประชาชนในการยื่นร้อง ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
คำพิพากษาภายใต้เจตนารมณ์ “เพื่อคุ้มครองกระบวนการพิจารณาคดี” และข้อสังเกตคดี 7 นักศึกษา Posted: 23 Nov 2017 08:01 AM PST
เป็นคำกล่าวถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ที่ผู้พิพากษาศาลจังหวัดขอนแก่น นายบุญธรรม ตุกชูแสง ยกขึ้นมาอธิบายไว้ในคำพิพากษา ก่อนที่จะวินิจฉัยถึงพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหา ในคดีที่ 7 นักศึกษาถูกกล่าวหาว่าละเมิดอำนาจศาลว่า
ศาลจังหวัดขอนแก่นจึงพิพากษาว่า
คดีนี้สืบเนื่องจาก ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลจังหวัดขอนแก่น ผู้กล่าวหา ได้จัดทำรายงานเจ้าหน้าที่เสนอต่อศาลจังหวัดขอนแก่นว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 60 ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำศาลจังหวัดขอนแก่นว่า ในวันดังกล่าว เวลาประมาณ 10.00 น. ได้มีกลุ่มคนที่สนับสนุนนายจตุภัทร์ หรือไผ่ บุญภัทรรักษา จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 301/2560 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่น โจทก์ นายจตุภัทร์ หรือไผ่ บุญภัทรรักษา จำเลย ในความผิดเรื่อง หมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ประพฤติตนในลักษณะไม่พอใจการพิจารณาของศาลในคดีดังกล่าว โดยกล่าวปราศรัย ร้องเพลง แสดงท่าทาง และนำอุปกรณ์ต่างๆ มาใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงความไม่พอใจในการพิจารณาคดีของศาล เหตุเกิดบริเวณป้ายศาลอุทธรณ์ภาค 4, ศาลจังหวัดขอนแก่น และศาลแขวงขอนแก่น บริเวณประตูรั้วทางเข้าบริเวณศาล ผู้กล่าวหาเห็นว่า การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวอาจเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำศาลจังหวัดขอนแก่นได้บันทึกภาพเคลื่อนไหวไว้เป็นหลักฐาน ศาลได้ทำการไต่สวนข้อเท็จจริงจากผู้กล่าวหา และพยานของผู้กล่าวหา แล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล จึงได้หมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-7 มาไต่สวน ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 ยอมรับว่า เป็นบุคคลที่ได้มาทำกิจกรรมบริเวณหน้าศาลจังหวัดขอนแก่นเมื่อวันที่ 10 ก.พ. 60 จริง แต่ให้การปฏิเสธในทำนองเดียวกันว่า ไม่ได้เป็นการรบกวนกระบวนการพิจารณาคดีของศาล เป็นเพียงการใช้เสรีภาพในการแสดงออกโดยสุจริต ที่ประชาชนทั่วไปสามารถแสดงความคิดเห็นต่อกระบวนการยุติธรรมเป็นปกติ ไม่ได้ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ไม่ได้ก่อความรุนแรงหรือก่ออันตรายใด ๆ อีกทั้ง ไม่ได้กระทำในห้องพิจารณาคดีหรือในบริเวณศาล จึงไม่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยอันถึงกับเป็นการละเมิดอำนาจศาล 0000คดีนี้เป็นอีกคดีหนึ่งซึ่งประชาชน โดยเฉพาะนักศึกษา/นักกิจกรรม ถูกดำเนินคดีและพิพากษาว่า มีความผิด จากการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่พึงกระทำได้ ด้วยข้อหาที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันทั้งในแง่ของความชัดเจนว่า การกระทำใดบ้างจะเป็นความผิด ทั้งวิธีพิจารณาคดีและการลงโทษสอดคล้องหลักวิธีพิจารณาคดีอาญาสมัยใหม่ที่ต้องประกันสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมของผู้ถูกกล่าวหาหรือไม่ โดยคดีนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และจับตามองจากประชาชนทั่วไปนับตั้งแต่ศาลมีหมายเรียกนักศึกษา 7 คน ไปไต่สวนและแจ้งข้อกล่าวหา จนกระทั่งเมื่อศาลมีคำพิพากษา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจึงขอบันทึกข้อสังเกตต่างๆ ทั้งในและนอกห้องพิจารณา โดยไม่ได้ประสงค์จะให้มีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของประชาชน หรือเหนือศาล ซึ่งจะทําให้การพิจารณาคดีเสียความยุติธรรมไป
14 ข้อสังเกตคดี 7 นักศึกษาละเมิดอำนาจศาล
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน ศูนย์ข้อมูลทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
การวิเคราะห์เปรียบเทียบ ข้อยกเว้นลิขสิทธิ์ ,“fair use”,“合理使用” Posted: 23 Nov 2017 07:36 AM PST
1. บทนำ"ทรัพย์สินทางปัญญา" คืออะไร? ทรัพย์สินทางปัญญา (intellectual property) หมายถึงผลงานการสร้างสรรค์ทางปัญญาของมนุษย์ หรือการมีส่วนร่วมในผลงานสร้างสรรค์ทางปัญญา หรือในการสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรม โดยทั่วไปแล้วหลักการของทรัพย์สินทางปัญญา มักจะเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากทรัพย์สินทางปัญญาถือเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่ง ที่ประกอบด้วย ทรัพย์สินอุตสาหกรรมและลิขสิทธิ์ แม้วัตถุแห่งสิทธิ์จะไม่มีตัวตนแต่กฎหมายได้รับรองสิทธิเหนือผลงานการสร้างสรรค์ทางปัญญานั้นให้เป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่ง ประกอบด้วย สิทธิทางศีลธรรม(Moral rights) และสิทธิทางเศรษฐกิจ (Economic rights) ในยุคโลกาภิวัตน์ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นไปอย่างรวดเร็ว สาเหตุมาจากมีปัจจัยข้ามพรมแดนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดความขัดแย้งในหลายประเด็นปัญหา รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา เป็นผลให้ทุกประเทศทั่วโลกเกิดความห่วงใยในระบบทรัพย์สินทางปัญญา ในปี1886 หลายประเทศได้มีการลงนาม ในข้อตกลง"อนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม" (Berne Convention for Protection of Literary and Artistic Works) เพื่อ คุ้มครองลิขสิทธิ์ ซึ่งดำเนินการโดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก อนุสัญญานี้ถือได้ว่าเป็นอนุสัญญาลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศฉบับแรกของโลก อนุสัญญากำหนดมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับของประเทศส่วนใหญ่ให้คุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ โดยอนุสัญญา อนุญาตให้รัฐมีอำนาจในการอนุญาตให้สาธารณะชนใช้ผลงานในงานอันมีลิขสิทธิ์ ได้อย่าง"ยุติธรรมและเป็นธรรม" การใช้งานลิขสิทธิ์อย่าง "ยุติธรรมและเป็นธรรม" ใช้อย่างไร? เนื่องจากจุดประสงค์ที่สำคัญของทรัพย์สินทางปัญญาคือกลไกการกระตุ้นให้มีการแสดงออกทางปัญญาในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกของความคิด ความรู้และการสื่อสาร นอกจากนี้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญากำหนดให้ผู้สร้างสรรค์ต้องได้รับผลตอบแทนอย่างเพียงพอ โดยกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาบัญญัติให้เฉพาะผู้สร้างสรรค์หรือเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาเท่านั้นมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียว(exclusive right)ในผลงานการสร้างสรรค์นั้น และบุคคลอื่นใดที่ไม่ใช่ผู้ทรงสิทธิไม่มีสิทธิจะได้รับหรือใช้สิทธินั้น ยกเว้นโดยความยินยอมของผู้ทรงสิทธิหรือตามกฎหมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญานั้น เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะตัวหรือการผูกขาดที่ได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมาย อย่างไรก็ตามในขณะที่กฎหมายปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของผู้สร้างสรรค์ทางปัญญา อีกด้านหนึ่ง กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญายังทำหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุน การเผยแพร่ความรู้ ข้อมูลข่าวสารให้แพร่หลาย เพื่อส่งเสริมอารยะธรรมทางสังคมให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือการคุ้มครองผู้สร้างสรรค์ผลงานและคุ้มครองสาธารณะชนผู้ใช้งานไปพร้อมกัน ดังนั้นวัตถุประสงค์หลักของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาคือ เมื่อเกิดความขัดแย้ง กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาจะทำหน้าที่ในการประสานความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในผลงานการสร้างสรรค์นั้น เพื่อให้เกิดความสมดุลของผลประโยชน์โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ทุกๆด้าน และเพื่อต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น นี่คือวัตถุประสงค์หลักของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา วันนี้เราทุกคนต้องยอมรับว่าปัญหาของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญานั้นขยายตัวอย่างกว้างขวางและมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วไม่เพียงแต่เกิดความไม่สมดุลระหว่างผลประโยชน์ของเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาและสาธารณะชนเท่านั้น ความไม่สมดุลระหว่างผลประโยชน์ของประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนา ยังอยู่ในขั้นขัดขวางความก้าวหน้าของการถ่ายทอดเทคโนโลยีอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระบบทรัพย์สินทางปัญญากำลังถูกทำลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่เกิดจาก ลิขสิทธิ์ในความหลากหลายของความขัดแย้งที่โดดเด่นที่สุดคือความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างเจ้าของลิขสิทธิ์กับประชาชนผู้ใช้ผลงานลิขสิทธิ์นั้น นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งประเทศที่กำลังพัฒนาถูกเอารัดเอาเปรียบจากประเทศที่พัฒนาแล้ว สาเหตุมาจากประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้ผลงานลิขสิทธิ์ได้อย่างยุติธรรมและเป็นธรรม แม้ว่าลิขสิทธิ์ถือเป็นสิทธิเฉพาะตัวหรือสิทธิพิเศษภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์จะได้รับการคุ้มครองทันทีตราบใดที่สร้างสรรค์ผลงาน ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าของลิขสิทธิ์ถือสิทธิในผลงานนั้นแต่เพียงผู้เดียวแล้วผูกขาด ซึ่งถือว่าไม่เอื้ออำนวยต่อการส่งผ่านงานตามปกติไม่เอื้อต่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและไม่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและวัฒนธรรมอื่นๆ ที่สำคัญคือไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาต่อยอด ให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป นอกจากนี้ยังทำให้ประเทศที่พัฒนาแล้วสามารถสร้างผลประโยชน์ของตนเองได้อย่างต่อเนื่องโดยใช้วิธีการทางกฎหมายเป็นเครื่องมือลิดรอนสิทธิ์ประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งขัดแย้งกับหลักการของทรัพย์สินทางปัญญา ปีที่ผ่านมาปัญหาลิขสิทธิ์กลายเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในโลก ประเทศไทยก็เช่นกัน แม้ว่าคนไทยจะตื่นตัวเรื่องลิขสิทธิ์มากขึ้น แต่การตื่นตัวของคนไทยและชาวต่างชาตินั้นดูเหมือนจะแตกต่างกัน นักวิชาการด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทยบางคนเห็นว่า รัฐบาลไทยขาดความเข้าใจในเนื้อแท้ของทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญายังมีความไม่ยุติธรรม ทำให้การบังคับใช้และการตีความในเนื้อหาของกฎหมายลิขสิทธิ์ไทยผิดแผกแตกต่างไปจากนานาอารยะประเทศ โดยนโยบายของรัฐบาลมุ่งคุ้มครองเฉพาะเจ้าของลิขสิทธิ์เท่านั้น ซึ่งเห็นได้จากการที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาของรัฐบาลไทยไม่ได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้เกี่ยวกับการใช้ผลงานอันมีลิขสิทธิ์อย่างเป็นธรรมได้ตามกกหมาย แต่ยังปล่อยปะละเลยให้มีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ อย่างกว้างขวาง "ห้าม" ประชาชนละเมิดกฎหมายลิขสิทธิ์ ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของข้อตกลงระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังปล่อยปะละเลยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนใช้อำนาจอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ชอบธรรม คุกคาม ข่มขู่ รีดไถ ประชาชน ผู้ซึ่งขาดความรู้ความใจในสิทธิของตนเองที่สามารถใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่น โดยชอบด้วยกฎหมาย จากมุมมองของนักวิชาการด้านลิขสิทธิ์ของประเทศไทยมองว่า ประชาชนไทยถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการใช้ผลงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาโดยเฉพาะเกี่ยวกับลิขสิทธิ์เป็นอย่างมาก ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาพูดคุยเกี่ยวกับระบบความเป็นธรรมภายใต้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ของประเทศไทยโดยเปรียบเทียบกับประเทศสาธารรัฐประชาชนจีนและประเทศสหรัฐอเมริกา |
ปธ.แพทย์ชนบทชี้หากแยกเงินเดือนจากงบรายหัว ต้องแยกค่าจ้างลูกจ้าง-พนง.สาธารณสุขด้วย Posted: 23 Nov 2017 05:50 AM PST ประธานชมรมแพทย์ชนบทชี้หากจะเดินหน้าแยกเงินเดือนจากเงินเหมาจ่ายรายหัว ต้องรวมไปถึงเงินเดือนลูกจ้างชั่วคราว-พนักงานกระทรวงสาธารณสุขด้วย ไม่ใช่แยกแค่เงินเดือนข้าราชการหรือลูกจ้างประจำเท่านั้น และต้องคำนวณค่าใช้จ่ายจากรายได้ทุกประเภท ไม่ใช่เอารายจ่ายทุกอย่างมาหักผ่านเงิน UC อย่างเดียว นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท 23 พ.ย. 2560 รายงานข่าวแจ้งว่า นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ให้ความเห็นถึงผลการจำลองสถานการณ์การแยกเงินเดือนบุคลากรออกจากเงินเหมาจ่ายรายหัวและพบว่าโดยภาพรวมเงินจะไหลไปอยู่กับโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปมากขึ้นขณะที่โรงพยาบาลชุมชนได้เงินลดลงว่า การแยกเงินเดือนเป็นประเด็นที่ชมรมแพทย์ชนบทคัดค้านมาตั้งแต่ต้นเพราะเป็นการเปลี่ยนหลักการสำคัญของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UC) นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ค่าแรงเป็นต้นทุนสำคัญในระบบการให้บริการ ถ้าที่ผ่านมามีการกระจายทรัพยากรที่เหมาะสมและเป็นธรรม การจะแยกหรือไม่แยกเงินเดือนคงไม่เกิดปัญหา แต่เนื่องด้วยระบบการจ้างงานของกระทรวงสาธารณสุขมี 2 ระบบ คือกลุ่มที่รับเงินเดือนจากรัฐบาลผ่านสำนักงบประมาณ กับกลุ่มลูกจ้างชั่วคราวและพนักงานกระทรวงสาธารณสุข (พกส.) สมมุติโรงพยาบาลภาคกลางมีสัดส่วนต้นทุนข้าราชการอยู่ที่ 90% ของค่าใช้จ่าย การรวมเงินเดือนไว้กับงบเหมาจ่ายรายหัวจะทำให้ผู้บริหารโรงพยาบาลมีความใส่ใจทางการเงิน (cost conscious) โรงพยาบาลใหญ่ต้องระมัดระวังว่าบุคลากรจะเยอะเกินไปหรือไม่ ทำให้ในภาพรวมก็จะเหลือบุคลากรที่ไปทำงานในโรงพยาบาลขนาดเล็กหรือพื้นที่ชนบทมากขึ้น แต่ถ้าแยกเงินเดือนออกไป โรงพยาบาลขนาดใหญ่ก็ไม่ต้องรับผิดชอบต้นทุนส่วนนี้ ยิ่งรับคนมากเท่าไหร่ยิ่งเป็นประโยชน์ ขณะที่โรงพยาบาลขนาดเล็กหรือในชนบทก็จะถูกดูดคนไปอยู่โรงพยาบาลใหญ่หรือโรงพยาบาลในภาคกลางมากขึ้น "ปกติค่าแรงจะอยู่ที่ 55-60% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด สมมุติโรงพยาบาลขนาดใหญ่มีต้นทุนค่าแรงที่ 1,500 บาท/หัว ส่วนโรงพยาบาลเล็กมีต้นทุนที่ 700 บาท/หัว ถ้าแยกเงินเดือนแล้วได้งบรายหัวมา 2,000 บาท ก็เท่ากับโรงพยาบาลใหญ่ได้เงิน 3,500 บาท/หัว ส่วนโรงพยาบาลเล็กได้ 2,700 บาท/หัว แล้วมันจะเกิดความเป็นธรรมได้อย่างไร และถ้าแยกเงินเดือนจริงจะวุ่นวายแน่นอนเพราะที่ผ่านมาเรารวมเงินเดือนมานับ 10 ปี โรงพยาบาลต่างๆ ก็ปรับตัวให้เข้ากับระบบ โรงพยาบาลไหนที่ขาดแคลนหมอ-พยาบาล ก็จ้างเพิ่มเป็นลูกจ้างชั่วคราว แต่วันดีคืนดีไปตัดตรงนี้ออกแล้วเขาจะทำอย่างไร" นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าว ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวต่อไปว่า หากยืนยันที่จะแยกเงินเดือนออกจากเงินเหมาจ่ายรายหัว จะแยกก็ได้แต่ต้องนำค่าจ้างเงินเดือนของบุคลากรทุกประเภทมารวมกันให้หมด ไม่ใช่แยกเฉพาะเงินเดือนข้าราชการหรือลูกจ้างประจำอย่างเดียว นอกจากนี้ต้องนำรายได้ทุกประเภทมารวมกันด้วย ปกติโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป หรือโรงพยาบาลใหญ่ๆจะมีสัดส่วนรายได้จากระบบ UC ประมาณ 50% ขณะที่โรงพยาบาลชุมชนมีรายได้จาก UC ประมาณ 90% ดังนั้นการจะมาหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างผ่าน UC หมด ถามว่าเป็นธรรมหรือไม่ ภาครัฐก็จะเสียประโยชน์ เมื่อโรงพยาบาลขนาดเล็กอยู่ไม่ได้สุดท้ายรัฐก็ต้องเอาเงินมาอุดหนุนอยู่ดี
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ไร้เสียงค้าน สนช. ผ่านร่าง ก.ม.ขึ้นอัตราเงินประจำตำแหน่งทหาร หวังเป็นขวัญกำลังใจผู้สอน Posted: 23 Nov 2017 04:44 AM PST ที่ประชุม สนช. มีมติประกาศให้ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ใช้เป็นกฎหมาย เพิ่มบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งข้าราชการทหาร ประเภทวิทยฐานะ หวังสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานด้านการสอน แฟ้มภาพ 23 พ.ย.2560 เว็บไซต์วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา รายงานว่า การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ประธาน สนช. คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม มีมติประกาศให้ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ประกาศใช้เป็นกฎหมาย ด้วยคะแนนเห็นด้วย 193 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 4 เสียง และเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ รายงานข่าวระบุด้วยว่า สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ. 2521 เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งข้าราชการทหารประเภทวิชาการในสถาบันการศึกษาสังกัดกระทรวงกลาโหม โดยไม่นำชั้นยศทางทหารมาเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการดำรงตำแหน่งทางวิชาการ เพื่อส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจในการสร้างผลงานทางวิชาการของข้าราชการทหารผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว และเพิ่มบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งข้าราชการทหาร ประเภทวิทยฐานะ เพื่อให้ข้าราชการทหารผู้ปฏิบัติงานด้านการสอนมีสิทธิได้รับเงินวิทยฐานะ ซึ่งจะเป็นการสร้างขวัญกำลังใจและเป็นไปโดยสอดคล้องกับภาระหน้าที่ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.นี้ สนช. เพิ่งมีมติรับหลังการณ์ไปเมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ชี้ กม.ชันสูตรมีช่องโหว่ แนวปฏิบัติไม่ชัด ทำแพทย์ไม่ต้องแจ้งญาติหากเก็บอวัยวะไว้ Posted: 23 Nov 2017 02:14 AM PST สาวตรี สุขศรี อาจารย์นิติศาสตร์ ระบุกฎหมายไทยมีช่องโหว่เอื้อให้แพทย์เก็บอวัยวะของศพไว้ได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ญาติทราบ พร้อมตั้งข้อสังเกตกรณีน้องเมย เมื่อมีใบมรณบัตรระบุสาเหตุการตายแล้ว ทำไมจึงมีการเก็บอวัยวะไปชันสูตรอีกโดยไม่แจ้งให้ญาติทราบ ด้านผู้ทรงคุณวุฒินิติเวชฯ ระบุตามหลักปฏิบัติต้องแจ้งให้ญาติทราบก่อนหากมีการเก็บอวัยวะไปพิสูจน์
คำถามดังกล่าวสืบเนื่องจากกรณีการเสียชีวิตของ เมย ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร ชั้นปีที่ 1 ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ซึ่งภายหลังจากเสียชีวิตทางโรงเรียนเตรียมทหารได้แจ้งให้ครอบครัวทราบว่าจะมีการนำศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ เพื่อหาสาเหตุของการเสียชีวิต หลังจากนั้นทางโรงเรียนได้มอบใบมรณบัตรให้กับครอบครัวซึ่งมีการระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจาก "ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน" พร้อมกับได้รับแจ้งจากทางโรงเรียนว่าแพทย์ได้ตัดเก็บอวัยวะเล็กๆ น้อยๆ บางส่วนไปเพื่อทำการพิสูจน์เพื่อเติมซึ่งคาดว่าจะรู้ผลในระยะเวลาไม่เกิน 2 เดือน สาวตรี สุขศรี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กับประชาไทว่า โดยปกติ การชันสูตรนั้นมีสองลักษณะคือ การชันสูตรภายนอก กับการชันสูตรภายใน ซึ่งตามกฎหมายไทยกรณีของการชันสูตรภายนอก ในกรณีที่มีการเสียชีวิตผิดธรรมชาติ จะต้องมีการชันสูตรเสมอ โดยจะต้องมีแพทย์ และพนักงานสอบสวนในพื้นที่ที่พบศพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 โดยเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องแจ้งให้ญาติทราบว่ามีการชันสูตร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 150 แต่ในกรณีพิเศษเช่นกรณีที่อาจจะเกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานของรัฐ หรือเกี่ยวข้องกับเจ้าพนักงานของรัฐ โดยมีเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม จะต้องมีการชันสูตรโดยมีผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 4 ฝ่าย คือ อัยการ พนักงานฝ่ายปกครองเทียบเท่าปลัดอำเภอ พนักงานสอบสวน และแพทย์นิติเวชฯ ซึ่งเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องแจ้งให้ญาติทราบเช่นกัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 150 วรรคสาม อาจารย์คณะนิติศาสตร์ เปิดประเด็นต่อไปถึงเรื่องช่องโหว่ทางกฎหมายว่า การที่กฎหมายไม่ได้บอกอย่างละเอียดว่าแพทย์จะต้องแจ้งให้ญาติทราบว่าจะมีการเก็บอวัยวะของศพไว้ ก็ถือว่าการกระทำนี้ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ปฏิบัติกันมา แต่เมื่อเกิดกรณีของเมยเกิด สังคมไทยก็อาจจะต้องมาทบทวนกันว่า กระบวนการที่เป็นอยู่นี้ควรมีการปรับแก้ไข ทบทวนอีกครั้งหรือไม่ ว่าควรจะต้องแจ้งญาติด้วย และควรจะให้อำนาจแพทย์วินิจฉัยว่าจะต้องเก็บอวัยวะไว้ก่อนเพราะอะไร และจะให้อำนาจในการตัดสินใจว่าจะให้เก็บไว้หรือไม่เก็บไว้เป็นอำนาจตัดสินใจของใคร นพ.วิฑูรย์ กล่าวต่อไปว่า โดยปกติการจะจัดเก็บอวัยวะของศพไว้ แพทย์จะต้องบันทึกไว้ในรายงานการชันสูตรซึ่งจะระบุว่าจะเก็บส่วนไหนไว้บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีการเก็บอวัยวะทั้งชิ้น แต่จะเก็บเพียงชิ้นเล็กๆ ประมาณปลายนิ้วก้อย โดยจะเลือกเก็บเฉพาะส่วนที่มองเห็นว่ามีพยาธิสภาพเท่านั้น ส่วนกระเพาะอาหารอาจจะมีการเก็บไว้มากกว่าอวัยวะอื่นๆ เพื่อที่จะนำสารต่างๆ ในกระเพาะไปวิเคราะห์ว่ามีสารพิษหรือไม่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
‘ราโชมอน’ ความจริงที่ต่างกันของกองทัพ หมอ และครอบครัว กรณี นตท.เสียชีวิต Posted: 22 Nov 2017 09:13 PM PST รวมข้อเท็จจริง คำพูด การให้สัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆ กรณีการเสียชีวิตและอวัยวะที่หายไปของนักเรียนเตรียมทหาร พบหลายคนพูดไม่ตรงกัน ตอนแรกบอกไม่ได้เอาอวัยวะไปทั้งหมด ตอนหลังบอกเอาไปทั้งหมดแต่ติดต่อญาติไม่ได้ รองนายกฯ เชื่อเสียชีวิตเพราะป่วย เป็นฮีทสโตรก ผบ.รร.ตท.แจงเด็กไม่เป็นฮีทสโตรก ครอบครัวยันลูกสอบพละได้ 944/1,000 'เมย ภคพงศ์ ตัญกาญจน์' เด็กหนุ่มอายุ 18 ปี เป็นหนึ่งในจำนวนเด็กหนุ่มหลายหมื่นคนที่มีความฝันคือการได้เป็น 'รั้วของชาติ' เขาสมัครสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารทั้งหมด 3 ครั้ง จนประสบความสำเร็จสอบผ่านและได้เข้าเรียนในปีการศึกษา 2560 แต่หลังจากเข้าเรียนได้ไม่ถึงปี ขณะที่ความฝันกำลังก่อตัว เมย เสียชีวิตอย่างกะทันหัน 17 ตุลาคม 2560 ช่วงเวลาประมาณ 16.00 – 17.00 น ครอบครัวของเมยได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียนเตรียมทหาร ให้รีบไปพบลูกชายที่โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ แต่เมื่อไปถึง สิ่งที่ครอบครัวพบคือ ร่างที่ไร้วิญญาณของลูกชาย จากนั้นทางโรงเรียนได้บอกกับครอบครัวว่าจะนำศพของเมยไปชันสูตรที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต โดยในเวลาต่อมาแพทย์ระบุในใบมรณบัตรว่าสาเหตุของการเสียชีวิตเกิดจาก "ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน" แต่สิ่งที่ครอบครัวยังคงสงสัยคือ "ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน" เกิดขึ้นได้อย่างไร หลังจากการซันสูตรในเบื้องต้นเสร็จสิ้นครอบครัวของเมยได้นำศพกลับมาประกอบพิธีทางศาสนา โดยก่อนหน้านี้ได้รับแจ้งจากโรงเรียนฯ ว่า ทางแพทย์ขอตัดชิ้นส่วนอวัยวะภายในบางส่วน เพื่อนำไปตรวจพยาธิสภาพที่จะทำให้ทราบสาเหตุว่าเสียชีวิตจากอะไร ซึ่งอาจจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนจึงจะทราบผล 24 ตุลาคม 2560 เป็นวันฌาปนกิจศพของเมย มีนักเรียนเตรียมทหารกว่า 400 คนเดินทางมาให้ความเคารพศพ พร้อมกับผู้ใหญ่ในโรงเรียนเตรียมทหารอีกหลายราย ขณะเดียวกันโรงเรียนเตรียมทหารได้ให้การสนับสนุน และช่วยเหลือเรื่องการจัดพิธีศพมาโดยตลอด เรื่องราวดูเหมือนจะจบลงเพียงแค่นั้น ทว่าพิเชษฐ ตัญกาญจน์ พ่อของเมยกลับเลือกที่จะเก็บศพของลูกชายเอาไว้ก่อน เพื่อที่จะนำศพไปชันสูตรอีกครั้งในวันถัดไป และปล่อยให้การฌาปนกิจครั้งนั้นเป็นการเผาโลงศพเปล่า โดยที่ไม่มีใครทราบนอกจากครอบครัว ด้วยเหตุที่ว่าพวกเขายังข้องใจถึงสาเหตุของการเสียชีวิต และเห็นว่า "ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน" ไม่ใช่คำตอบ 20 พฤศจิกายน 2560 เรื่องราวของครอบครัวตัญกาญจน์ กลับมาเป็นเรื่องที่สื่อมวลชนหันมาให้ความสนใจอีกครั้ง หลังครอบครัวจัดแถลงข่าวและให้ข้อมูลว่า มีการนำศพของลูกชายไปชันสูตรอีกครั้งที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และพบว่าอวัยวะภายในคือ หัวใจ กระเพาะอาหาร และสมอง หายไปทั้งหมด หลังจากนั้น พิเชษฐได้ติดต่อไปยังโรงเรียนเตรียมทหารเพื่อสอบถามถึงเรื่องดังกล่าว รวมทั้งสาเหตุของการเสียชีวิตแต่กลับได้รับคำตอบที่ไม่ชัดเจนว่า สาเหตุของ "ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน" เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก อีกทั้งปลายสายยังพูดว่า "ใครจะไปรู้ว่าคุณจะเอาศพไปชันสูตรรอบสอง" อย่างไรก็ตาม แพทย์ที่ได้ผ่าชันสูตรศพรอบที่สองได้ประสานกับทางโรงพยาบาลพระมุงกุฎฯ ว่ามีอวัยวะหลายส่วนที่หายไป แต่ก็ยังไม่ได้การติดต่อกลับมาจนกระทั่งนำไปสู่การตัดสินใจออกมาแถลงข่าวของครอบครัว เรื่องราวดังกล่าวนำมาซึ่งความสงสัย และการตั้งคำถามที่พุ่งตรงไปยังบุคคลและหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และทั้งหมดที่จะได้อ่านต่อไปคือ การพูด "ความจริง" ในมุมมองของแต่ละหน่วยงาน และของแต่ละบุคคล ท่ามกลางช่วงเวลาที่สังคมไทยต้องการหา "ความจริง" หรือ "การออกมายอมรับความจริง" ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร21 พฤศจิกายน เวลา 13.37 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ รายงานข่าวว่า พล.ต.กนกพงษ์ จันทร์นวล ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหารเปิดเผยว่า พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ได้เรียกตนให้เข้าไปชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดที่กองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมทั้งจะชี้แจงให้สังคมทราบโดยเร็วที่สุด เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญและเป็นประเด็นที่มีข้อสงสัย ส่วนกรณีที่อวัยวะภายในของผู้เสียชีวิตหายนั้น ถือเป็นขั้นตอนทางการแพทย์ พล.ต.กนกพงศ์ กล่าวต่อว่า ในวันที่เมยเสียชีวิต ตนอยู่กับบิดามารดา และได้พูดคุยกับคุณพ่อมาโดยตลอด ซึ่งการที่คุณพ่อนำศพไปชันสูตรอีกครั้ง ก็ไม่ได้แจ้งกับตนให้รับทราบ อีกทั้งการเสียชีวิตครั้งนี้ เป็นการเสียชีวิตที่ผิดตามธรรมชาติ เราก็ได้แจ้งให้ทางตำรวจนำศพของเมยไปชันสูตร และทางคุณแม่ก็รับทราบ โดยในขณะนั้นมีแพทย์ทางโรงพยาบาล มีตนและคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วยกันในช่วงเวลาประมาณ 3-4 ทุ่ม ซึ่งคุณแม่ก็ก็เต็มใจที่จะให้มีการชันสูตร "ผมได้บอกกับทางคุณพ่อคุณแม่ว่าต้องเรียกตำรวจมาชันสูตรพลิกศพ และเมื่อได้รับความยินยอมจากครอบครัว ตำรวจจึงได้ส่งศพไปชันสูตร ซึ่งถือเป็นความเข้าใจร่วมกันอยู่แล้ว ทั้งโรงเรียน ครอบครัวของเด็ก รวมถึงตำรวจ ซึ่งตรงนี้สามารถตรวจสอบได้ ส่วนกรณีที่ทางคุณพ่อคุณแม่นำศพไปชันสูตรอีกรอบนั้นผมไม่ทราบ เพราะผมไปร่วมงานศพทุกคืนจนถึงวันเผาศพ มีทั้งเพื่อนนักเรียนและอาจารย์ไปร่วม" ผบ.รร.เตรียมทหาร กล่าว พล.ต.กนกพงศ์ กล่าวอีกว่า ตนเพิ่งมาทราบทีหลังว่าทางคุณพ่อคุณแม่ได้นำศพของน้องไปชันสูตรอีกครั้งและทางครอบครัวของน้องเมยเดินทางมาพบตน เพื่อขอให้ตรวจสอบว่าเรื่องดังกล่าวมันเป็นอย่างไร ซึ่งวันนี้หลังจากพบผู้บัญชาการทหารสูงสุดแล้วคงจะทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด อย่างไรก็ตาม กรณีที่ทางพ่อแม่น้องเมยติดใจเรื่องการทำโทษบุตรชายนั้น ขอยืนยันว่าขั้นตอนของการลงโทษเป็นไปตามขั้นตอนทางทหาร คือห้ามแตะเนื้อต้องตัวกัน เพราะผิดกฎหมาย ต่อมาในเวลา 16.30 น. ที่ กรมกิจการพลเรือน กองบัญชาการกองทัพไทย ได้เปิดแถลงข่าวกรณีดังกล่าว โดยผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า "วันก่อนเกิดเหตุวันที่ 17 ตุลาคม น้องเป็นลม และมีการพามาส่งห้องพยาบาล ส่วนวันจันทร์ (16 ตุลาคม) ก็มีการทำกิจกรรมตามปกติ มีการวิ่งก่อนรับประทานอาหาร พบว่าน้องหายใจเร็วกว่าปกติ จึงส่งไปที่กองแพทย์ โดยมีกล้องวงจรปิดว่าอยู่ที่กองแพทย์ในช่วงเช้า เที่ยงมีการโทรศัพท์คุยและอยู่กับเพื่อน ตอนบ่ายมีการเดินคุยโทรศัพท์ช่วง 15.00 น. เมื่อเวลา 16.00 น. ก็เกิดอาการขึ้น โดยพบว่าน้องโทรศัพท์คุยกับครอบครัว และระหว่างที่ครอบครัวโทรกลับมาหา เจ้าหน้าที่ได้นำโทรศัพท์ไปให้ที่ห้องพักในบริเวณกองแพทย์ น้องก็ทรุดตัวลง มีการเข้าช่วยเหลือ และนำส่งโรงพยาบาลทันที" ผู้บัญชาการทหารสูงสุด21 พฤศจิกายน เวลา 14.09 น. เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า ล่าสุด พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ไม่เป็นไปตามที่ทางญาติกล่าวอ้าง เนื่องจากเมื่อเกิดเหตุทางโรงเรียนเตรียมทหารได้ส่งศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ และมีการตัดอวัยวะบางส่วนนำไปผ่าพิสูจน์ แต่เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นทางญาติได้นำร่างกลับไปแล้วนำไปที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์อีกครั้ง พล.อ.ธารไชยยันต์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันทางโรงเรียนเตรียมทหารได้ร่วมจัดงานศพเมย กับทางญาติ และดำเนินการช่วยเหลือทุกอย่าง โดยที่ผ่านมาก็ได้ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และยืนยันไม่ได้มีการขโมยอวัยวะแต่อย่างใด ทั้งนี้กรณีที่มีผ้าพันแผลอยู่ในอวัยวะ น่าจะเกิดจากการตรวจพิสูจน์ก่อนหน้านี้ของทางโรงพยาบาล และทางโรงเรียนก็ได้ร่วมจัดงานพิธีบำเพ็ญกุศลศพ และทำการฌาปนกิจเรียบร้อย และเป็นการฌาปนกิจโลงเปล่า ไม่มีศพ ซึ่งทางโรงเรียนได้ให้การช่วยเหลือ อย่างเต็มที่ไม่ได้นิ่งนอนใจ ต่อมาวันที่ 22 พฤศจิกายน หลังจากพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เมยป่วยเป็นโรคฮีทสโตรก พล.อ.ธารไชยยันต์ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอีกครั้ง โดยระบุว่า เมยไม่ได้มีสภาวะการเป็นโรคฮีทสโตรก ทางแพทย์ที่ดูแลชี้แจงแล้ว คาดว่าน้องน่าจะมีโรคประจำตัว แต่ไม่ได้ร้ายแรง และไม่ขัดต่อการเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ทั้งนี้ตนได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีที่มีไลน์ของเด็กหลุดและระบุว่าถูกรุ่นพี่ซ่อม เพื่อหาข้อเท็จจริง "บางครั้งการซ่อมเป็นเรื่องของการธำรงวินัย ซึ่งนักเรียนเตรียมทหารเป็นเรื่องปกติ ที่ต้องมีการซ่อม เพราะเป็นการสร้างวินัยในการแปรสภาพจากพลเรือนไปสู่การเป็นทหาร แต่ไม่สามารถซ่อมเกินกรอบที่กำหนดเอาไว้ได้ หากเป็นเช่นนั้นถือว่ามีความผิด และจะต้องมีการสอบสวนและลงโทษ ซึ่งในส่วนของนักเรียนเตรียมทหารคนดังกล่าว ผู้ปกครองระบุว่ามีการโดนซ่อมด้วย ซึ่งเราก็จะสอบสวนตรงนี้ทั้งหมด ขณะนี้เราต้องทำความเข้าใจกับพ่อแม่ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะข้อข้องใจของครอบครัวเราก็จะชี้แจงทั้งหมด ซึ่งจะมีขั้นตอนทางการแพทย์ ระเบียบวินัย รวมถึงเพื่อนๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์" พล.อ.ธารไชยยันต์ กล่าว รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม22 พฤศจิกายน ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีการเสียชีวิตของเมยว่า ทางกองบัญชาการกองทัพไทยชี้แจงไปหมดแล้ว รวมถึงมีกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐาน และแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ทุกอย่างว่าไปตามระเบียบ และกฎหมาย อีกทั้งทางแพทย์ได้ประสานไปยังผู้ปกครองให้รับอวัยวะภายในคืนแล้ว ภายหลังการพิสูจน์ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ผ่านมา 1 เดือน และทางโรงเรียนเตรียมทหารได้ติดต่อพูดคุยกับครอบครัว รวมถึงการช่วยเหลือจัดงานฌาปนกิจศพ ซึ่งตนเห็นใจกับครอบครัว เพราะลูกชายเพียงคนเดียวพ่อแม่ก็ต้องเสียดาย ทั้งยังเป็นนักเรียนเตรียมทหารด้วย พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าเรื่องชิ้นส่วนอวัยวะที่ถูกตัดไปพิสูจน์นั้นไม่ได้เป็นการปกปิดข้อมูล และทางพนักงานสอบสวนก็ได้รายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว ถือเป็นขั้นตอนทางการแพทย์ และทางพ่อแม่ไม่ได้แจ้งมาเช่นกันว่ายังไม่ได้รับชิ้นส่วนดังกล่าวคืน "ผมยืนยันว่าเด็กเสียชีวิต เนื่องจากสุขภาพของเด็กเอง ไม่มีการซ่อมอะไรทั้งสิ้น เขาป่วย และเชื่อว่าทางโรงเรียนไม่ได้ปิดบังข้อมูล แม้ว่าบริเวณที่เด็กล้มลงจะไม่มีภาพวงจรปิดก็ตาม เพราะหากเสียชีวิต ใครจะมาปิดบังสาเหตุก็ไม่ได้" พล.อ.ประวิตร กล่าว เมื่อถามว่า หากเด็กสุขภาพไม่ดี ทำไมถึงเข้าเรียนเตรียมทหารได้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนอยากทราบเช่นกัน ตอนรับสมัครก็มีแพทย์ตรวจคัดกรองแล้ว แต่อาจมาเป็นช่วงตอนเข้าเรียน ซึ่งเด็กเป็นโรคฮีทสโตรก "ส่วนที่เปิดบันทึกประจำวันของเด็กที่ระบุว่าเขาโดนซ่อมนั้น ผมคิดว่าก็โดนซ่อมกันทุกคน ผมก็เคยโดนมาเหมือนกัน เช่น วิดพื้น วิ่ง สก็อตจั๊มพ์ ไม่ต้องถูกตัวกัน และการซ่อมไม่ได้มากมายอะไร ขณะเดียวกันประเด็นที่เด็กเคยโดนซ่อมจนหยุดหายใจไปครั้งหนึ่งนั้น เพราะเขาเป็นโรคฮีทสโตรก ซึ่งการเป็นโรคนี้เกิดจากการฝึก หรือแม้แต่ยืนตากแดดเฉยๆ ก็เป็นเพราะอากาศร้อน ใครจะไปรู้ว่าลูกเขามีภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน พร้อมทั้งยืนยันว่าการซ่อมไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เมื่อถามต่อว่า หากการซ่อม เกินกำลังคนจะรับได้ จะทำอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ผมก็เคยโดนซ่อมจนเกินกำลังจะรับได้ จนสลบไปเหมือนกัน แต่ผมไม่ตาย เรื่องเหล่านี้ก่อนจะรับเด็กเข้ามาต้องตรวจเช็กร่างกายเป็นอย่างดี แต่เข้ามาแล้วเป็นโรคฮีทสโตรกก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ที่ผ่านมาสัดส่วนนักเรียนเสียชีวิตจากโรคนี้จะน้อย แม้ว่าจะโดนซ่อม แต่ร่างกายแข็งแรง" ทีมแพทย์ผู้ทำการชันสูตรในครั้งแรกพ.ท.นรุฏฐ์ ทองสอน ทีมแพทย์ผู้ชันสูตรศพ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวถึงประเด็นการชันสูตรศพ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ว่า ได้รับร่างของเมย มาในคืนวันที่ 18 ตุลาคม และลงมือชันสูตรตอนเช้า ไม่พบบาดแผลตามร่างกายภายนอก จึงผ่าเปิดภายใน พบว่ากระดูกซี่โครงซี่ที่ 4 ข้างขวาหัก มีรอยช้ำชายโครงข้างขวาและซ้าย พบความผิดปกติเพียงเท่านี้ โดยกระดูกและรอยช้ำดังกล่าว ไม่สามารถเป็นสาเหตุการเสียชีวิตได้ ทั้งนี้รอยที่บริเวณชายโครง เกิดจากของแข็งไม่มีคมมากระแทก ซึ่งยังไม่สามารถตัดประเด็นเรื่องการเกิดรอยระหว่างซีพีอาร์ช่วยชีวิต หรือประเด็นของแข็งอื่นกระแทกได้ จึงต้องมีการผ่าเพื่อส่องทางกล้องจุลทรรศน์ โดยวิธีการจะต้องเก็บอวัยวะไว้ครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุจะอยู่ที่สมองและหัวใจ โดยสมองจะนิ่มมาก จึงต้องฟิกฟอร์มาลีน จึงได้เก็บสมองและหัวใจทั้งหมดไว้เพื่อทำสไลด์ ส่วนผลทางพิษวิทยา มี 3 ทาง จะต้องเก็บผลทางเลือด กระเพาะ กระเพาะปัสสาวะ ได้ผ่าเพื่อตรวจสารพิษ แต่ตอนตรวจพบว่ามีการหดเล็กมาก ไม่มีฉี่ในกระเพาะปัสสาวะ ได้เก็บคืนไป อาจจะสังเกตไม่เห็น ส่วนในกระเพาะไม่พบเศษอาหาร "สรุปในส่วนของอวัยวะที่ได้เก็บไว้ทั้งหมด คือ สมอง หัวใจ กระเพาะอาหาร และสุ่มตัวอย่างอวัยวะไว้ทำสไลด์ เพื่อตรวจทางห้องปฏิบัติงาน จึงได้ออกรายงานให้เจ้าพนักงาน เมื่อตรวจ รายงานมีแนวโน้มไปทางหัวใจ จึงลงรายงานว่าหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทั้งนี้ หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เกิดได้หลายสาเหตุ แต่มีการเก็บตัวอย่างพบว่ากายภาพของหัวใจปกติ จึงต้องตรวจระดับลึก จากการส่องกล้องจุลทรรศน์ พบเซลล์บางตัวที่ไม่ควรพบในคนอายุ 19 ปี แต่อาจพบได้เมื่อหัวใจมีพยาธิสภาพผิดปกติ ส่วนเรื่องการเต้นของหัวใจ สารไฟฟ้านำหัวใจทำให้หัวใจเต้นพริ้ว หัวใจเต้นผิดปกติ การผ่าชันสูตรไม่สามารถตอบคำถามในส่วนดังกล่าวได้ ต้องใช้วิธีการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าระหว่างการมีชีวิต อย่างไรก็ตาม เด็กที่แข็งแรง เมื่อล้มลงจำเป็นต้องหาสาเหตุให้ชัดเจนว่าเกิดจากอะไร" พ.ท.นรุฏฐ์ กล่าว ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้แจ้งให้ญาติทราบก่อนว่ามีการนำอวัยวะออกไปจากศพของเมย พ.ท.นรุฏฐ์ ระบุว่าเป็นเพราะไม่สามารถติดต่อญาติได้โดยตรง และตั้งแต่รับศพมายังไม่ได้มีโอกาสได้พบญาติเลย สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หน่วยงานที่ทำการชันสูตรครั้งที่สอง22 พฤศจิกายน เวลา 12.00 น. สมณ์ พรหมรส ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมด้วย นพ.ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ รอง ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ในฐานะโฆษก และ พญ.ปานใจ โวหารดี ผอ.กองส่งเสริมและพัฒนางานนิติวิทยาศาสตร์ ในฐานะรองโฆษก ร่วมแถลงข่าวกรณีการผ่าพิสูจน์ชันสูตรศพเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่เสียชีวิต หลังพนักงานสอบสวน สภ.องครักษ์ ได้ส่งเรื่องให้ทำการผ่าชันสูตรรอบที่ 2 สมณ์เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ได้รับเรื่องจากพนักงานสอบสวน สภ.องครักษ์ จ.นครนายก ให้ช่วยตรวจผ่าชันสูตรศพ นตท.ภคพงศ์ เป็นครั้งที่ 2 ต่อมา วันที่ 27 ต.ค. จึงรับเรื่องดังกล่าวไว้ จากนั้นวันที่ 30 ต.ค.ก็มีการตั้งคณะทีมแพทย์เชี่ยวชาญ 3 คน ดำเนินการตรวจผ่าศพ ถัดมาวันที่ 1 พ.ย. ทีมแพทย์ลงมือทำการผ่าพิสูจน์ปรากฏว่าไม่พบอวัยวะภายในร่างกายบางส่วน ประกอบด้วย สมอง หัวใจ และกระเพาะอาหาร กระทั่งวันที่ 3 พ.ย.ได้ประสานให้พนักงานสอบสวน สภ.องครักษ์ ดำเนินการติดตามหาอวัยวะเพื่อนำมาตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิต ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปผลการผ่าพิสูจน์ได้เนื่องจากอวัยวะร่างกายยังไม่ครบ เพราะสมองและหัวใจ สามารถบอกสาเหตุการเสียชีวิตได้ จึงต้องนำอวัยวะทั้งหมดมาตรวจสอบก่อน ถึงจะสรุปผลการผ่าพิสูจน์ได้ "อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 23 พ.ย.ที่จะถึงนี้ ทางสถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้าจะนำอวัยวะทั้ง 3 ชิ้นดังกล่าวที่ไม่ครบส่งกลับมาให้ตรวจผ่าพิสูจน์และคาดว่าประมาณ 1 สัปดาห์จะทราบสาเหตุการเสียชีวิตได้ รวมทั้งไม่จำเป็นต้องผ่าตรวจร่างกายของ นตท.ภคพงศ์ ซ้ำอีกครั้งเพราะได้ผ่าตรวจไปหมดแล้ว ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย พร้อมทั้งให้ญาติผู้เสียชีวิตเข้ามาดูการผ่าพิสูจน์ด้วย" นายสมณ์กล่าว นพ.ไตรยฤทธิ์กล่าวว่า สำหรับการเสียชีวิตมี 2 ลักษณะ คือ 1. การเสียชีวิตตามธรรมชาติจากสาเหตุการป่วยตาย หมอจะวินิจฉัยเพิ่มโดยผ่าชันสูตร ซึ่งต้องมีการขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางญาติ แต่การผ่าพิสูจน์อาจยังวินิจฉัยไม่ได้ทันที อาจขออวัยวะบางส่วนมาตรวจสอบให้ละเอียด ซึ่งมีกระบวนการหลายขั้นตอน และ 2.การเสียชีวิตโดยไม่ใช่แบบธรรมชาติ เช่น ถูกคนอื่นฆ่าให้ตายหรือโดยสัตว์ทำ อุบัติเหตุ หรือไม่ปรากฏเหตุ โดยแพทย์สามารถผ่านำชิ้นเนื้ออวัยวะไปตรวจสอบได้ ซึ่งหากอวัยวะใดน่าจะมีประโยชน์ต้องมีการขออนุญาตจากญาติเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน ซึ่งแนวทางปฏิบัติของแพทย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ในความจริงแล้วสามารถนำอวัยวะไปตรวจสอบได้ตามหลักการ ขณะเดียวกัน ทางสถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้าเป็นสถาบันที่มีนักเรียนแพทย์ศึกษาอยู่ด้วย เมื่อเกิดกรณีการตายผิดธรรมชาติแบบพิเศษอาจจะมีการเก็บชิ้นส่วนอวัยวะเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ทำการศึกษาต่อไป นพ.ไตรยฤทธิ์กล่าวอีกว่า ส่วนสภาพร่างกายและอวัยวะของผู้เสียชีวิตนั้นยังเป็นปกติดีในตอนผ่า เพราะมีการแช่ฟอร์มาลีน สภาพก็ยังอยู่เหมือนเดิม รวมถึงประเด็นการนำอวัยวะของผู้ตายออกไปโดยไม่แจ้งญาตินั้น ตรงนี้ทางสถาบันไม่สามารถตัดสินตอบเองได้ แต่จะมีสภาองค์กรวิชาชีพ หรือแพทยสภา สามารถบอกได้ว่าผิดจรรยาบรรณหรือไม่ นอกจากนี้ กรณีที่สื่อมวลชนถามว่ามีการปั๊มหัวใจ หรือ CPR ผู้เสียชีวิต 4 ชั่วโมงจนกระดูกซี่โครงหักไม่สามารถตอบได้ แต่ขึ้นอยู่กับเคสของผู้ป่วยที่ต้องทำจนกว่าจะฟื้นขึ้น การทำ CPR มีหลายแบบ เช่น การให้ท่ออากาศหายใจ เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องปั๊มหัวใจอย่างเดียว พญ.ปานใจกล่าวว่า สำหรับการเก็บชิ้นอวัยวะทางแพทย์สามารถเก็บได้โดยไม่ต้องแจ้งญาติ แต่จะดูความสำคัญในขณะนั้นเป็นอันดับแรกว่าแพทย์จะนำไปตรวจสอบเพิ่มเติมหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ ในประเทศไทยยังไม่มีแผนปฏิบัติว่าจะต้องแจ้งญาติทุกครั้ง แต่เพื่อให้สบายใจทุกฝ่ายก็ควรแจ้งให้ญาติทราบ |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น