ประชาไท | Prachatai3.info |
- เพจแฟนคลับ BNK48 ชี้แจงหลังถูกถล่มเพราะโพสต์วิจารณ์คอนเสิร์ตที่ @Cat Expo 4
- สิ่งที่สังคมพึงเรียกร้องจากอาจารย์มหาวิทยาลัยในสังคมปัจจุบัน
- เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีฯ เดินเท้าวันที่ 3 คัดค้านโรงไฟฟ้าเทพา เครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นร่วมหนุน
- เปิดรายชื่อกรรมการสอบสาเหตุการเสียชีวิต 'นตท.ภคพงศ์'
- หมายเหตุประเพทไทย #185 เพจน้องงและญาณวิทยาเควียร์
- องค์กรสิทธิแรงงานแนะแนวการ 'พ่นยากำจัดศัตรูพืช' ให้แรงงานไทยในอิสราเอล
- การทดลองเรือนจำสแตนฟอร์ด Stanford Prison Experiment
- กวีประชาไท: นักลบ
- เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน เดินเท้ารับ ครม.สัญจร คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 19-25 พ.ย. 2560
- สปสช.บรรจุนวัตกรรม 'ยาดีเฟอร์ราซิร็อก' ดูแลผู้ป่วยธาลัสซีเมีย เข้าถึงยาขับเหล็กเพิ่ม
- รัตโก มลาดิช ทหารใหญ่กองกำลังชาวเซิร์บถูกตัดสินมีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
เพจแฟนคลับ BNK48 ชี้แจงหลังถูกถล่มเพราะโพสต์วิจารณ์คอนเสิร์ตที่ @Cat Expo 4 Posted: 26 Nov 2017 08:44 AM PST เพจ 'BNK48 : For Muggles' เพจแฟนคลับ BNK48 โพสต์วิจารณ์การแสดงของ BNK48 ที่งาน Cat Expo 4 รวมทั้งวิจารณ์ 'โมบาย BNK48' ว่ายังพูดไม่ดี พร้อมแนะนำให้แก้ไขเรื่องการซ้อมและการมิกซ์ซาวนด์ ทำให้เจอแฟนคลับ BNK48 กลุ่มใหญ่เข้ามาโพสต์ถล่ม-กดรีวิวดาวเดียว จนหนึ่งในแอดมินเพจเจ้าของโพสต์วิจารณ์ต้องประกาศลาออก ขณะที่เพลงคุกกี้เสี่ยงทายขึ้นชาร์ต "Cat Radio" เป็นสัปดาห์แรก โดยอยู่อันดับที่ 27 แฟ้มภาพการแสดงของวง BNK48 ที่เดอะมอลล์บางกะปิ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 (ที่มา: Iudexvivorum/Wikipedia/CC0 1.0) ในเทศกาลดนตรี Cat Expo 4 ของสถานีวิทยุ Cat Radio จัดที่สวนสนุกวันเดอร์เวิลด์ระหว่างวันที่ 25-26 พ.ย. โดยหนึ่งในวงที่มีการแสดงคือวง BNK48 ซึ่งแสดงไปเมื่อคืนวันที่ 25 พ.ย. นั้น ต่อมาเมื่อเวลา 20.54 น. วันที่ 25 พ.ย. เฟสบุ๊คเพจ "BNK48 : For Muggles" ที่นิยามเพจว่าเป็น "เพจสำหรับแฟนคลับ BNK48 ที่ขี้เกียจตบตีกับโอตะรุ่นใหญ่ (ฮา)" โดยแอดมินเพจผู้ใช้นามว่า "แอดเมต๋า" ได้วิจารณ์การแสดงคอนเสิร์ตของ BNK48 ที่ร่วมแสดงในเทศกาลดนตรี Cat Expo 4 มีรายละเอียดดังนี้ "ความเห็นส่วนตัวแอดเมต๋าต่อ BNK48@cat Expo - ไล่ทีละปัญหาเลยดีกว่า เรื่องแรกที่ต้องพูดคือน้องๆ มีปัญหาเล่นกลางแจ้งตั้งแต่งาน Eggoo คือดรอปพลังมากๆ คนที่รอดนี่คือ Rina Izuta BNK48 ที่ยังไม่หมด - ปัญหาหลักสุดคือ Backing track ปกติของ 48 เขาจะมิกซ์ใหม่เพื่อให้เหมาะกับแต่ละโชว์ แต่ของเรายังใช้ backing track ที่เป็นสตูดิโอมิกซ์ชุดเดียวตลอด - ซึ่งมิกซ์อัลบั้มแล้วมาสเตอร์มาเหี้ยมาก โดยเฉพาะ aitakatta และ oogoe diamond ที่เคยบอกไปแล้วว่าตัดเบสทำไมจากออริจินัล - จะบอกว่าเพลงเก่าแล้วไม่ต้องมิกซ์ใหม่ไม่ได้ เวลาฟัง akb ฟังโอโกเอะแต่ละรอบก็ไม่เหมือนกันนะ อย่างไรก็ตามหลังจากที่แอดเมต๋าโพสต์ไปแล้ว ทำให้ถูกแฟนคลับของวง BNK48 เข้ามาวิจารณ์อย่างหนัก มีการกดรีวิวเพจด้วยคะแนน 1 ดาว จนเมื่อวันที่ 26 พ.ย. เวลา 21.13 น. คะแนนรีวิวอยู่ที่ 1.3 ดาว ในขณะที่โมบาย สมาชิกวง BNK48 ได้โพสต์หลังจบการแสดงเมื่อวันที่ 26 พ.ย. เวลา 00.21 น. ว่า "ถึงแม้วันนี้โมบายล์จะทำไม่ดี ยังไงหนูก็ขอโทษนะคะที่หนูทำผิดพลาดไป หนูไม่ค่อยเก่งเรื่องMC เท่าไรแต่โมบายล์ก็จะทำให้ได้ หนูจะฝึกเพิ่มอีกนะคะ ยังไงก็ให้โอกาสโมบายล์แก้ตัวอีกสักครั้งนะคะถึงมันจะยากแต่หนูจะพยายามค่ะ #bnk48 #mobilebnk48" ทั้งนี้ในโซเชียลมีเดียทั้งเฟสบุ๊ค และทวิตเตอร์ มีการโพสต์พร้อมแฮชแท็ก #keepgoingmobile เพื่อให้กำลังใจโมบาย สมาชิกวง BNK48 อนึ่งแม้ว่า แอดมินเมต๋าและแอดมินคนอื่นในเพจ BNK48 : For Muggles จะโพสต์ในแง่ชื่นชมวง BNK48 เช่น ในเวลา 21.12 น. แอดสิงห์โพสต์ว่า "Live BNK48 @ Cat Expo ในมุมของแอดสิงห์ ฟังแอดเมต๋ารีวิวไปแล้ว (อาจจะดูว่าเราติแรง แต่เอาจริงๆ ถ้าไม่รักกันจริง ไม่ติหรอกฮะ) แอดสิงห์ขอรีวิวบ้าง สำหรับการดู Live Concert เรามองว่ามันคือการสนุกกับเพลงบนเวที และบรรยากาศรอบตัว สำหรับผมแล้ว BNK48 บนเวที Cat Expo อาจจะมีสิ่งที่ยังมีปัญหา (อย่างที่แอดเมต๋าเล่านั่นแหละฮะ) แต่กับบรรยากาศโดยรวม เราเห็นคนดูสนุกกัน ยิ่งเห็นน้องๆ มาเล่นในงานเทศกาลที่เราตามดูมาตั้งแต่หนุ่มๆ สำหรับผม มันคือ "ชั่วโมงต้องมนต์" จริงๆ นะ เป็นกำลังใจให้น้องๆ พัฒนาตัวเองให้มากขึ้น (สำหรับ Mobile BNK48 เรารู้ว่าน้องต้องพัฒนาตัวเองหนักๆ เราอาจจะว่าเบาบ้าง แรงบ้าง แต่เราอยากเห็นน้องก้าวไปข้างหน้าจริงๆ นะ) และหวังว่าข้อบกพร่องในงานคราวนี้ จะถูกแก้ไขให้ดีขึ้นครับ" ส่วนในเวลา 21.47 น. แอดเมต๋า ได้โพสต์ชื่นชมเพิ่มเติมว่า "ข้อดีที่แอดเมต๋าชอบสุดวันนี้คือ แฟน BNK48 ที่พบกันมีน้ำใจมากตั้งแต่ตอนเข้าแถวเข้างาน รับหนังสือแจกมีวินัยไม่แซงกัน ตอนแอดหาโต๊ะกินข้าว ก็ขอร่วมโต๊ะเขาก็พูดคุยกับเราดีเราก็ชวนเขาคุย เขาบอกเพิ่งเคยมางานแบบนี้เลยแนะหลายๆ วงให้ฟัง แถมซื้อน้ำเปล่าให้ด้วย เขาคงไปดู BNK แล้วไม่แน่ใจกลับบ้านยัง" อย่างไรก็ตามตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 25 พ.ย. จนถึงวันที่ 26 พ.ย. ก็ยังคงมีผู้ใช้เฟสบุ๊คเข้ามาเขียนข้อความวิจารณ์ในเพจ BNK48 : For Muggles อยู่เรื่อยๆ
จนในวันอาทิตย์ที่ 26 พ.ย. เวลา 12.11 น. แอดสิงห์ ได้เผยแพร่คำชี้แจงเป็นคลิปเสียงระบุว่า จากกรณีที่เกิดขึ้น ทีมงาน BNK48 : For Muggles ไม่มีคำใดที่จะกล่าวนอกจากขอโทษ ในส่วนของการใช้ภาษา การโพสต์ที่มีข้อความทำให้เกิดความไม่สบายใจ ทั้งในส่วนของแฟนๆ โดยเฉพาะแฟนของน้องโมบาย และตัวน้องโมบาย เราขอโทษในประเด็นนี้ หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แอดเมต๋าที่เป็นผู้โพสต์ข้อความ ได้พูดคุยกับทีมงาน และตัวแอดเมต๋าได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการออกจากเพจตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำหรับแนวทางในการที่จะทำเพจของ BNK48 : For Muggles จะระมัดระวังการสื่อสารกับทุกท่านให้มากขึ้นกว่านี้ ครั้งนี้เป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุด ในการที่จะทำเพจของพวกเราต่อไป ดังนั้น เราจะปรับปรุงตัว สัญญาว่าจะปรับปรุงรูปแบบการทำงานให้ดีขึ้นอย่างที่ทุกท่านต้องการ และแอดเมต๋าได้ฝากข้อโทษผู้ติดตามเพจด้วย อนึ่งในเวลา 11.53 น. แอดสิงห์ ได้โพสต์ชี้แจงเพิ่มเติม หลังมีผู้โพสต์กล่าวหาว่าทีมงานแอดมิน BNK48 : For Muggles เกือบถูกฟ้องข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยแอดสิงห์ได้ชี้แจงว่า "สำหรับเรื่องเมื่อวาน เราน้อมรับคำวิจารณ์และด่าทอของทุกท่านครับ แต่สำหรับความเห็นดังกล่าวนี้ เราขอเตือนกันดังๆ นะครับ เนื่องจาก 1. ในทีมงานของเพจนี้ ไม่มีใครที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลด้วยมาตรา 112 (หรือแม้แต่ "เกือบ" ก็ตาม) ตามที่ความเห็นดังกล่าวพูดถึง 2. มาตรา 112 เป็นมาตราที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันเบื้องสูง อันเป็นที่เคารพของคนไทย การกล่าวอ้างถึงพล่อยๆ แบบนี้ เป็นการดึงฟ้าต่ำโดยไม่สมควร เราขอเตือนกันดังๆ ในประเด็นนี้ครับ /แอดสิงห์"
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า เพลง "คุกกี้เสี่ยงทาย / Koisuru Fortune Cookie" ของ BNK48 ซึ่งเผยแพร่มิวสิควิดีโอเมื่อวันที่ 18 พ.ย. ใน YouTube ช่องของวง BNK48 นั้น ล่าสุดขึ้นมาติดอันดับที่ 27 (New Entry) ของชาร์ต Cat Radio เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2560 ด้วย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สิ่งที่สังคมพึงเรียกร้องจากอาจารย์มหาวิทยาลัยในสังคมปัจจุบัน Posted: 26 Nov 2017 07:11 AM PST
หากมีโอกาสได้ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวในแวดวงการศึกษาบ้านเราผ่านสื่อต่างๆ หลายท่านคงได้ทราบกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการศึกษาของไทยจากนักศึกษา นักวิชาการ และปัญญาชนทั้งหลายผ่านสื่อต่างๆ แทบทุกวัน เสียงสะท้อนความตกต่ำของการศึกษาบ้านเราผ่านเข้ามาสู่การรับรู้อย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับด้านลบของการศึกษาบ้านเราตามที่มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง แต่ดูจากสภาพปัญหาของสังคมโดยรวมก็พอมองเห็นว่า สภาพปัญหาในสังคมส่วนหนึ่งได้บ่งชี้ปัญหาด้านการศึกษาบ้านเราด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในส่วนของสถาบันการศึกษาระดับสูง ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลก (Academic Ranking of World Universities) โดยองค์กรจัดดับมหาวิทยาลัยโลกหลายองค์กรทั้งในยุโรป อเมริกา และเอเชียได้แสดงให้เห็นว่า มหาวิทยาลัยของไทยอยู่ในอันดับที่ห่างจากความเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกค่อนข้างมากนับหลายร้อยอันดับ หรืออย่างการจัดอันดับโดยภาพรวม (Overall Ranking) ของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชียประจำปี มหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยก็ยังอยู่สูงกว่าอันดับที่ 30 ทุกปี ซึ่งอันดับดังกล่าวนี้บอกอะไรได้หลายอย่างและไม่น่าจะใช่อันดับที่พึงพอใจ หากเราเห็นแย้งเรื่องการจัดอันดับก็สามารถตั้งข้อสงสัยในวิธีการจัดที่อาจมีเรื่องของผลประโยชน์บางอย่างเป็นตัวแปรทำให้การจัดอันดับคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง ดังจะเห็นได้จากผลการจัดอันดับของแต่ละองค์กรที่ไม่ตรงกัน นั่นอาจทำให้เราไม่สามารถเชื่อมั่นในความถูกต้องของผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกขององค์กรใดๆ ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ อันดับมหาวิทยาลัยไทยที่จัดโดยองค์กรเหล่านี้อาจเป็นเพียงภาพลวงตา แต่สิ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยก็คือ สภาพความจริงที่สัมผัสรับรู้ได้ เพราะหากเรามองดูสภาพการศึกษาของบ้านเราโดยไม่เข้าข้างตัวเอง ก็ปฏิเสธได้ยากว่าอันดับของมหาวิทยาลัยไทยที่อยู่ห่างไกลจากมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลกหลายร้อยอันดับนั้นได้สะท้อนให้เห็นว่าระบบการจัดการด้านศึกษาของประเทศเรามีปัญหาจริง ประเด็นคำถามก็คือ โลกก้าวหน้าไปทุกวัน แต่ระบบการศึกษาของไทยเรากลับย่ำอยู่กับที่ และค่อนไปทางล้าหลังเมื่อเทียบกับการศึกษาของกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน โดยไม่ต้องพูดถึงการยกระดับก้าวขึ้นไปเทียบเคียงกับการศึกษาของประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งในเอเชียด้วยกัน หรืออย่างยุโรป และอเมริกา เกิดอะไรขึ้นกับการศึกษาของสยามประเทศ เราคงทราบดีว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันนั้นให้ความสำคัญกับการศึกษาของชาติค่อนข้างมากโดยเฉพาะการปฏิรูปการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยเข้าสู่ยุค 4.0 การปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีในกระทรวงศึกษาธิการล่าสุดด้วยเหตุผลว่าผลงานด้านการปฏิรูปการศึกษายังไม่เป็นที่น่าพอใจเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ความจริงข้อนี้ได้ หน่วยงานระดับประเทศที่รับผิดชอบด้านการศึกษาของพลเมืองอย่างกระทรวงศึกษาธิการนั้นมีหน้าที่กำหนดนโยบาย ส่วนหน่วยงานระดับรองๆ ลงที่มีหน้าที่นำนโยบายไปดำเนินการปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม คือ สถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งของรัฐ และเอกชน และระดับล่างๆ ลงไปได้แก่ วิทยาลัย โรงเรียนระดับมัธยม ประถม และอนุบาลตามลำดับ ที่มีภารกิจในการขับเคลื่อนการเรียนการสอนให้เกิดคุณภาพและประสิทธิภาพ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในนโยบายของกระทรวงที่รับผิดชอบ แต่เกิดอะไรขึ้นกับระบบการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาทุกระดับ จึงทำให้การศึกษาไทยถูกตั้งคำถามถึงคุณภาพทั้งในระดับประเทศและในระดับนานาชาติ ปัญหาดังกล่าวใหญ่เกินกว่าที่คนเพียงคนเดียวจะมีสติปัญญาพอที่จะตอบได้ แต่การตั้งคำถามและแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่คิดว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาด้านการศึกษาไทยนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ และช่องทางที่เห็นว่าน่าจะช่วยให้คำตอบอะไรได้บ้างก็คือ การเปิดรั้วมหาวิทยาลัยของไทยเพื่อดูศักยภาพในทางสติปัญญา ความรู้ ความสามารถของผู้ที่เป็นอาจารย์สอนในสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นแหล่งให้การศึกษาวิชาความรู้ระดับสูงของชาติ ศักยภาพทางวิชาความรู้ของอาจารย์ที่ว่านี้เป็นคนละเรื่องกับวุฒิการศึกษา สถาบันที่เรียนจบมา หรือแม้กระทั่งตำแหน่งทางวิชาการ เพราะสิ่งเหล่านี้แค่บอกระดับวุฒิกับยี่ห้อสถาบันการศึกษา และประสบการณ์ด้านการเรียนการสอนซึ่งจะว่าไปแล้วก็สำคัญอยู่เฉพาะในแง่ที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานและหน้าตาของตัวเองเท่านั้น แต่ยังไม่ได้สะท้อนศักยภาพทางสติปัญญาอันเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชื่นชมยกย่องอย่างแท้จริง ศักยภาพด้านวิชาความรู้ของผู้เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยสามารถตรวจสอบและประเมินได้จากผลงานอันเป็นรูปธรรมของอาจารย์แต่ละท่าน นั่นคือ ผลงานทางวิชาการ เช่น ข้อเขียน หรือ บทความทางวิชาการ ตำราทางวิชาการ และงานวิจัยในสาขาวิชาที่เชี่ยวชาญ คุณภาพของผลงานเหล่านี้จะเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพ ศักยภาพด้านความรู้ และความเชี่ยวชาญของอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งหลาย ยิ่งเป็นอาจารย์ที่มีตำแหน่งทางวิชาการด้วยแล้ว ความคาดหวังในคุณภาพของผลงานดังกล่าวนี้ก็ย่อมสูงมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพของครูอาจารย์ให้สอดคล้องกับทิศทางการศึกษา 4.0 ที่มุ่งเน้นทักษะในการคิด วิเคราะห์ และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นรูปธรรมออกสู่สังคมเพื่อเป็นฐานในการพัฒนาประเทศ และการแข่งขันกับนานาประเทศ อย่างไรก็ดี ในด้านหนึ่ง เราก็ต้องยอมรับว่า มีอาจารย์มหาวิทยาลัย และอดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อยที่ผลิตและเสนอผลงานทางวิชาการที่ดีมีคุณภาพออกสู่สังคมอย่างต่อเนื่องทั้งในรูปแบบบทความทางวิชาการ ตำราที่เขียนเอง งานแปล รวมไปถึงงานวิจัยที่มีคุณค่าทางวิชาการสูงคู่ควรแก่การศึกษาและนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่สังคมประเทศชาติอย่างเป็นรูปธรรม หลายท่านมีชื่อเสียงจากการผลิตผลงานทางวิชาการคุณภาพในสาขาที่เชี่ยวชาญเป็นที่ประจักษ์ทั้งที่มีภาระงานสอนล้นมือ แต่ก็ยังอุตส่าห์เจียดเวลาค้นคว้าเขียนงานดีๆ ออกสู่สังคมอย่างสม่ำเสมอ หลายท่านเกษียณอายุราชการแล้ว แต่ยังคงทำงานด้านวิชาการเสนอข้อเขียนอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อออนไลน์ให้ผู้คนได้เสพอาหารสมองอันทรงคุณค่าอยู่เป็นระยะๆ เชื่อว่าผู้คนในสังคมก็ได้ลิ้มชิมรสอาหารสมองชั้นเลิศจากผลงานของบุคคลที่มีคุณสมบัติเป็นครูอาจารย์เหล่านี้ด้วยความชื่นชม แต่ในอีกด้านหนึ่ง เรากลับพบว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยอีกจำนวนมากไม่ปรากฏผลงานที่เป็นรูปธรรมอะไรออกสู่สังคมภายนอกรั้วมหาวิทยาลัยเลย ข้อเท็จจริงตามข้อมูลจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชนแสดงให้เห็นว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยในประเทศไทยนั้นมีจำนวนมาก ประจำอยู่ในภาควิชาต่างๆ ในหลากหลายคณะละลานตาไปหมด แต่งกายดี บุคลิกดี สังเกตจากรูปถ่าย หลายๆ ท่านบ่งบอกความเป็นผู้มีรสนิยม ภาพลักษณ์บางคนค่อนไปทางไฮโซ ซึ่งการที่อาจารย์ทั้งหลายมีภาพลักษณ์เช่นนี้นั้นก็ไม่ได้เป็นความผิดปกติแต่อย่างใด อาจารย์ทุกมหาวิทยาลัยมีรูปภาพประกอบ ไม่ว่าจะเป็นภาพการบรรยายหน้าชั้นเรียน ภาพบรรยายนอกสถานที่ หรือภาพการนำนักศึกษาทำกิจกรรมต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงถึงศักยภาพ ความรู้ และความสามารถของอาจารย์มหาวิทยาลัย ในความเป็นจริง เราจะเห็นว่า ทักษะการสอนสามารถสื่อคุณภาพของคนที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่จะทำให้คุณภาพของอาจารย์มหาวิทยาลัยปรากฏได้ชัดเจนยิ่งกว่านั้นก็คือ งานเขียน ไม่ว่าจะเป็นบทความทางวิชาการ ตำราเรียน หรือ งานวิจัยต่างๆ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะแสดงศักยภาพความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่ท่านเหล่านั้นรับผิดชอบ จำนวนของผลงานก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่ประเมินคุณภาพของเจ้าของผลงาน คุณภาพของผลงานนั้นต่างหากที่จะเป็นตัวประเมินคุณภาพของเจ้าของผลงานในตัวมันเอง แต่ที่ผ่านมาเรายังพบว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยจำนวนมากไม่ค่อยปรากฏผลงานทางวิชาการในรูปแบบของงานเขียนผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ หรือสื่อออนไลน์ ปัญหาที่อาจารย์มหาวิทยาลัยเขียนงานวิชาการกันน้อยนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นที่รับรู้และพูดถึงกันมานานแล้ว ในปัจจุบัน แม้จะมีระเบียบกำหนดให้อาจารย์มหาวิทยาลัยผลิตผลงานเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน แต่ดูเหมือนระเบียบดังกล่าวนี้ก็ไม่บรรลุผลสำเร็จเท่าที่ควรในการผลักดันให้อาจารย์มหาวิทยาลัยเร่งผลิตผลงาน การเขียนถึงปัญหาตรงนี้ก็เพื่อสะท้อนว่า สังคมนอกรั้วมหาวิทยาลัยมองเห็นความสำคัญของการผลิตผลงานทางวิชาการของอาจารย์มหาวิทยาลัยในการที่จะช่วยส่งเสริมและพัฒนาความก้าวหน้าทางวิชาการ ซึ่งเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ผลงานที่ดีและมีคุณภาพของอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งหลายนั้นเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของการจัดการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาและสื่อแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าด้านการศึกษาของชาติด้วย อย่างไรก็ดี ภาระงานด้านการบรรยายหน้าชั้นเรียนและด้านการทำกิจกรรมเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบของอาจารย์มหาวิทยาลัยโดยตรงอยู่แล้ว และสิ่งเหล่านี้ก็มีรายละเอียดที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการเตรียมตัวและเตรียมความพร้อม อาจารย์จำนวนไม่น้อยอาจมองว่า การทำหน้าที่ดังกล่าวนั้นเพียงพอที่จะบ่งชี้คุณสมบัติด้านความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญในวิชาที่สอนของอาจารย์แต่ละท่านได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ข้อเรียกร้องให้ผลิตผลงานทางวิชาการจึงดูเหมือนเป็นการโยนภาระงานให้อาจารย์มหาวิทยาลัยต้องรับผิดชอบมากขึ้น แต่หากจะว่าไปแล้ว ภาระการบรรยายให้นักศึกษาเข้าใจและการทำกิจกรรมเสริมหลักสูตรนั้นควรเป็นภาระงานพื้นฐานของผู้ที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยทุกแห่ง แต่ความรู้ความสามารถของอาจารย์มหาวิทยาลัยในสังคมสมัยใหม่ไม่ควรคับแคบอยู่แค่การบรรยายและการทำกิจกรรมภายในรั้วสถานศึกษาเท่านั้น สังคมภายนอกรั้วมหาวิทยาลัยก็ควรได้ประโยชน์จากวิชาความรู้ของคนที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยด้วย ยิ่งกว่านั้น นิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยทุกแห่งย่อมตระหนักดีถึงการทำหน้าที่ของอาจารย์ตามภาระงานสอนที่ได้รับมอบหมาย แต่คงไม่มีใครคาดหวังว่าการนั่งฟังอาจารย์บรรยายในชั้นเรียนแล้วจะได้รับความรู้เต็มที่ระดับที่เพียงพอต่อการสำเร็จปริญญาได้ ในที่สุดแล้ว การเพิ่มพูนความรู้ในสาขาวิชาจากแหล่งความรู้อื่นๆ ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการศึกษาในทุกระดับชั้น การศึกษาหาความรู้เสริมความเข้าใจจากการอ่านงานเขียนของครูอาจารย์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจละเลย การผลิตผลงานทางวิชาการในรูปแบบงานเขียน เช่น บทความวิชาการ ตำราวิชาการ และงานวิจัยในสาขาวิชาที่ตนเองเชี่ยวชาญนั้นจะเป็นผลดีโดยตรงต่อสถาบัน ต่ออาจารย์ผู้เป็นเจ้าของผลงาน และต่อการศึกษาเรียนรู้ของนิสิตนักศึกษาและสังคมนอกรั้วมหาวิทยาลัยด้วย ประเทศไทยเรานั้นอาจยังมีปัญหาในแง่ของประชาชนสนใจอ่านหนังสือในเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างต่ำ ซึ่งต้องยอมรับด้วยเช่นกันว่าปริมาณการอ่านหนังสือของพลเมืองมีส่วนต่อการประเมินทิศทางของประเทศว่ามีแนวโน้มของการพัฒนาไปสู่ความเจริญก้าวหน้า หรือลาดเอียงไปสู่ความล้าหลัง การที่ประชาชนคนไทยอ่านหนังสือกันน้อยนี้ก็เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขกันต่อไป แต่ไม่ใช่เหตุผลที่อาจารย์มหาวิทยาลัยจะนำมาใช้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ผลิตผลงานทางวิชาการ เพราะการผลิตงานเป็นผลงานที่เป็นเครื่องแสดงถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่สอน ความก้าวหน้าทางความคิด และการมีคุณสมบัติใฝ่รู้ของผู้ที่เป็นครูอาจารย์ การบรรยายหน้าชั้นเรียนอาจบ่งชี้คุณสมบัติดังกล่าวนี้ได้ไม่ชัด วิชาความรู้จากการสอนการบรรยายหน้าชั้นเรียนของอาจารย์สิ้นสุดลงเมื่อปิดคลาส จะเหลืออยู่บ้างก็เฉพาะในความจำและในสมุดเลคเชอร์ของนิสิตนักศึกษาบางคนเท่านั้น แต่งานเขียนทางวิชาการที่ดีมีคุณภาพจะคงอยู่ให้นิสิตนักศึกษา และครูอาจารย์ท่านอื่นๆ ได้ศึกษาเป็นแบบอย่างอ้างอิง และเป็นแนวทางในการผลิตงานที่ดีมีคุณภาพออกสู่สังคมต่อไป มีข้อควรเน้นย้ำตรงนี้ด้วยว่า การไม่ผลิตผลงานไม่ได้บ่งชี้ว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยในประเทศของเรานั้นไร้ความสามารถในการเขียนงานทางวิชาการ เพราะทุกท่านต่างผ่านการถูกฝึกอบรมด้านเขียนงานและการทำวิจัยมาแล้วตั้งแต่เป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เพียงแต่ท่านอาจจะมีใจรักในการบรรยายและการทำกิจกรรมมากกว่าการผลิตผลงานทางวิชาการ แต่ความถนัดในการบรรยายหน้าชั้นเรียนและการทำกิจกรรมนั้นเป็นประโยชน์แก่นิสิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยเท่านั้น สังคมนอกรั้วมหาวิทยาลัยยังมองไม่เห็นผลงานที่แสดงความรู้ความสามารถทางวิชาการที่ควรมีควรได้จากบุคคลที่ประกอบอาชีพเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยของรัฐที่รับเงินเดือนจากงบประมาณที่มาจากเงินภาษีของประชาชน สังคมจึงคาดหวังจะได้เห็นอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งหลายช่วยกันผลิตผลงานดีๆ ออกสู่สังคมตามความรู้ความสามารถ โดยที่นักศึกษา และประชาชนนอกรั้วมหาวิทยาลัยควรมีส่วนช่วยในการดึงศักยภาพด้านนี้ของอาจารย์ทั้งหลายให้ปรากฏออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ช่องทางหนึ่งที่น่าจะช่วยผลักดันให้อาจารย์มหาวิทยาลัยแสดงความรู้ความสามารถผ่านงานเขียนก็คือ นักศึกษาที่นั่งฟังอาจารย์บรรยายช่วยกันตรวจสอบความรู้ของอาจารย์ผู้สอนอยู่เสมอ ซึ่งการตรวจสอบนี้สามารถทำได้ในหลายแนวทาง นอกจากจะทำผ่านการตั้งคำถามในชั้นเรียนและการประเมินอาจารย์ผู้บรรยายวิชาต่างๆ ในทุกภาคการศึกษาแล้ว ยังสามารถทำได้ผ่านการสอดส่องดูว่า อาจารย์ที่บรรยายหน้าชั้นอย่างชำนาญนั้นได้ผลิตงานเขียนอะไรสู่สังคมบ้าง ชื่อของอาจารย์ปรากฏผ่านงานเขียน เช่น บทความทางวิชาการ ตำราเรียน และงานวิจัยอะไรบ้างหรือไม่ นิสิตนักศึกษาทั้งหลายคงไม่ปฏิเสธว่า การได้นั่งเรียนกับอาจารย์ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์เป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง และอาจารย์ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้เองสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีของนักศึกษาที่ปรารถนาจะเป็นครูอาจารย์ได้เกิดความขยันแข็งขันในการพัฒนาศักยภาพของตนเองให้ประสบความสำเร็จในทางวิชาการต่อไปด้วย ความคาดหวังของสังคมนอกรั้วมหาวิทยาลัยจึงมีอยู่ว่า ผู้ทำหน้าที่ให้ความรู้ในฐานะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยควรเป็นผู้มีความกระตือรือร้น (active) ในการแสวงหาความรู้ ติดตามความก้าวหน้าในวงวิชาการ และพัฒนาองค์ความรู้อยู่เสมอ ซึ่งจะสะท้อนสิ่งเหล่านี้ออกมาเป็นผลงานทางวิชาการที่เป็นรูปธรรมอย่างบทความทางวิชาการ ตำรา และงานวิจัยด้านต่างๆ ให้สังคมในมหาวิทยาลัยและนอกรั้วมหาวิทยาลัยได้ประจักษ์ ผลงานเหล่านี้มีสำคัญมากทั้งต่อตัวอาจารย์เจ้าของผลงานและต่อสถาบันการศึกษา เพราะสิ่งเหล่านี้จะถูกนำไปประเมินความรู้ความสามารถของอาจารย์มหาวิทยาลัย และเป็นตัวชี้วัดคุณสมบัติของการเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีด้วย ผู้เขียนทราบว่า ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของโลกนั้น มีปัจจัยหลักๆ อยู่หลายอย่าง แต่สองอย่างในนั้นที่จะถูกนำไปใช้ในการประเมินก็คือ ชื่อเสียงทางวิชาการ (Academic reputation) และจำนวนงานวิจัยที่ถูกนำไปใช้อ้างอิง (Citations per faculty) นั่นหมายความว่า ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งของการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกนั้นพิจารณาจากงานวิจัยของอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ได้รับการอ้างอิงทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ เราไม่ได้ปฏิเสธว่า หน้าที่ของอาจารย์มหาวิทยาลัยคือ การสอนในรายวิชาที่ได้รับมอบหมาย รวมไปถึงการทำกิจกรรมทางวิชาการอื่นๆ แต่เราต้องยอมรับว่า การผลิตผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพออกสู่สังคมนอกรั้วมหาวิทยาลัยเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศและระดับนานาชาติเป็นภารกิจสำคัญที่อาจารย์มหาวิทยาลัยในสังคมโลกยุคปัจจุบันไม่ควรละเลย เพราะนอกจากนิสิตนักศึกษาและสังคมนอกรั้วมหาวิทยาลัยนั้นปรารถนาที่จะได้อ่านงานเขียนดีๆ และมีคุณภาพที่รังสรรค์ขึ้นโดยอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่างๆ แล้ว ประเทศชาติยังต้องพึ่งพาชื่อเสียงทางวิชาการ งานวิจัยที่มีคุณภาพ และนวัตกรรมรูปแบบอื่นๆ ของบรรดาอาจารย์ทั้งหลายด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อพัฒนาคุณภาพของการศึกษาให้ก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ และเพื่อยกระดับคุณภาพของมหาวิทยาลัยไทยให้ก้าวไกลสู่ความเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีฯ เดินเท้าวันที่ 3 คัดค้านโรงไฟฟ้าเทพา เครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นร่วมหนุน Posted: 26 Nov 2017 03:43 AM PST เครือข่ายคนสงขลาปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน เดินเท้าเป็นวันที่ 3 ท่ามกลางสายฝน เพื่อไปแสดงพลังคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาในวันประชุม ครม.สัญจร 28 พ.ย. นี้ ด้านเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น ได้ออกแถลงการณ์ "ขอร่วมเดินไปกับพี่น้องเทพา เพื่อให้รัฐบาลหยุดโครงการพัฒนาที่ทำลายชุมชน" 26 พ.ย.2560 เพจหยุดถ่านหินสงขลา รายงานว่าเช้าวันนี้ (26 พ.ย.) เครือข่ายคนสงขลาปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ได้เดินเท้าเป็นวันที่ 3 ท่ามกลางสายฝน โดยมีเป้าหมายคือไปหาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเพื่อคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาในวันประชุม ครม.สัญจร เพื่อสื่อสารต่อสาธารณะถึงความไม่เป็นธรรมที่ชาวบ้านได้รับจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดปัตตานีในวันที่ 27 พ.ย. 2560 และประชุม คณะรัฐมนตรีสัญจรที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย อ.เมือง จ.สงขลา ในวันที่ 28 พ.ย. 2560 นี้ วันเดียวกันนี้ (26 พ.ย.) เครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น ได้ออกแถลงการณ์ "ขอร่วมเดินไปกับพี่น้องเทพา เพื่อให้รัฐบาลหยุดโครงการพัฒนาที่ทำลายชุมชน" โดยมีรายละเอียดระบุว่า ตามที่รัฐบาลกำลังดำเนินการในโครงการพัฒนาที่กำลังส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนจังหวัดสงขลาในขณะนี้อย่างน้อย 2 โครงการใหญ่คือ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา และโครงการท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 (บ้านสวนกง) ซึ่งทั้งสองโครงการนี้อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกันคือในอำเภอเทพา และอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ที่เป็นชุมชนริมชายฝั่งทะเลที่ตั้งของชุมชนประมงพื้นบ้านทำมาหากินด้วยการทำประมงพื้นบ้านขนาดเล็กอันเป็นวิถีการดำรงชีพของคนแถบนี้ หากทั้งสองโครงการนี้เกิดขึ้น เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ตลอดถึงวิถีวัฒนธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างกรณีของโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาที่จะต้องเคลื่อนย้ายประชาชน และชุมชนออกจากพื้นที่ในทันที่ที่โครงการได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งหมายถึงการล่มสลายของชุมชนในที่สุด การเดินทางมาประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรในวันที่ 28 พ.ย. นี้ ถือเป็นโอกาสที่พวกเราจะได้นำเสนอปัญหา และเรื่องราวความทุกข์ร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้พี่น้องจากอำเภอเทพากำลังเดินเท้าจากบ้านของตนเอง เพื่อไปพบนายกรัฐมนตรีและคณะ ในวันที่จะมีการประชุมดังกล่าว ถือเป็นการแสดงออกด้วยความตั้งใจ และมุ่งมั่นของพี่น้องผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาอย่างแท้จริง ที่ต้องการจะนำเรียนให้ท่านได้ทราบถึงความไม่ชอบธรรมของผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยตลอดช่วงเวลาที่มีการศึกษาฯที่ผ่านมา ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะพิจารณาอนุมัติให้มีการก่อสร้างโครงการนี้ต่อไป ในฐานะชาวบ้านสวนกง กำลังจะได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 ที่บ้านสวนกงแห่งนี้ ซึ่งตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันกับพี่น้องเทพา เราจึงขอประกาศว่า เราจะสนับสนุนการเดินของพี่น้องเทพาในครั้งนี้อย่างเต็มที่ พร้อมกันนี้พวกเราชาวสวนกงจำนวนหนึ่งจะขอร่วมเดินไปกับขบวนของพี่น้องชาวเทพาในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้เพื่อจะได้นำเรื่องราวความทุกข์ร้อนของพวกเราในบ้านสวนกงไปนำเรียนให้ท่านนายกรัฐมนตรีรับทราบด้วยเช่นกัน ในโอกาสนี้เราจึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานราชการในจังหวัดสงขลา รวมถึงฝ่ายความมั่นคงต่าง ๆ ตลอดถึงรัฐบาลได้โปรดอำนวยความสะดวกในการเดินของพวกเราทั้งหมดในครั้งนี้ด้วยความเหมาะสม และให้เป็นไปตามสิทธิขั้นพื้นฐานพวกเราที่พึงกระทำได้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เปิดรายชื่อกรรมการสอบสาเหตุการเสียชีวิต 'นตท.ภคพงศ์' Posted: 26 Nov 2017 02:59 AM PST เปิด 11 รายชื่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ ตัญกาญจน์ ด้านประธานกรรมการสอบฯ ระบุ "สถาบัน องค์กรใดที่ไม่มีนิติธรรม บุคลากรไม่มีคุณธรรม องค์กรนั้นก็อยู่ไม่ได้" 26 พ.ย. 2560 สำนักข่าวไทย รายงานว่าสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2560 พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ลงนามในคำสั่งที่ 711/60 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยระบุในคำสั่งว่าเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย กรณีนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ ตัญกาญจน์ ขั้นปีที่ 1 ตอน 13 รุ่น 60 เหล่า ทบ. เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2560 ณ โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โดยคณะกรรมการฯ มีทั้งหมด 11 คน ประกอบด้วย 1. พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร เป็นประธานกรรมการฯ 2. พล.อ.ท.วีรพงษ์ นิลจินดา เจ้ากรมกำลังพลทหาร เป็น รองประธานกรรมการ 3. พล.ท.นเรนทร์ สิริภูบาล เสนาธิการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ เป็นรองประธานกรรมการ 4. พล.ท.ณตฐพล บุญงาม เจ้ากรมข่าวทหาร เป็นกรรมการ 5. พล.ท.ศิราวุฒิ วงศ์ขันตี เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร เป็นกรรมการ 6. พล.ท.ชนินทร์ โตเลี้ยง จเรทหาร เป็นกรรมการ 7. พล.ท.พีรพงษ์ เมืองบุญชู ที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย เป็นกรรมการ 8. พล.ต.พรพิศ รัตนานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระธรรมนูญทหาร เป็นกรรมการ 9. พล.ต.ชนะ ลิมิตเลาหพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานแพทย์ทหาร กรมยุทธบริการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย 10. พ.อ.ที่รัก สร้อยนาค ผู้อำนวยการกองการปกครอง กรมกำลังพลทหาร เป็นกรรมการและเลขานุการ 11. น.อ.เลิศชัย ภัทรมุทธา รองผู้อำนวยการกองการปกครอง กรมกำลังพลทหาร เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ โดยในหนังสือคำสั่ง กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯไว้ คือ สอบสวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงถึงสาเหตุการเสียชีวิตของ นตท.ภคพงศ์ พร้อมข้อเสนอแนะแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ , มีอำนาจในการเชิญบุคคลใดๆ มาสอบปากคำหรือซักถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น, ส่วนราชการในกองบัญชาการกองทัพไทย ให้การสนับสนุนในเรื่องที่คณะกรรมการฯ ร้องขอ และ สรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริง พร้อมข้อเสนอแนะในการดำเนินการแล้วรายงานให้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดรับทราบ ประธานกรรมการสอบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของ น้องเมย ยันเป็นธรรม เที่ยงตรง สำนักข่าวไทย ยังรายงานอีกว่าพล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีการเสียชีวิตของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ให้สัมภาษณ์ ว่าการรวบรวมข้อมูลต่างๆมีความคืบหน้ามากพอสมควร หลังจากได้ลงพื้นที่สอบถามข้อเท็จจริงจากผู้เกี่ยวข้องในวันเกิดเหตุ คือ 17 ต.ค. 2560 และย้อนหลังไปถึงวันที่ 23 ส.ค. 2560 แต่ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาว่าจะต้องสรุปผลการสอบสวนให้เสร็จภายในกี่วัน เนื่องจากต้องการรวบรวมข้อมูลในทุกแง่มุม ให้ละเอียด รอบคอบ แต่ก็จะรีบดำเนินการให้เสร็จโดยเร็วเพื่อไม่ให้ประเด็นปัญหาลุกลาม สร้างความเสียหายแก่ทุกฝ่าย "หากเป็นไปได้ เราก็อยากจะเชิญพ่อแม่นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ มาสอบถามถึงการได้รับข้อมูลต่างๆว่ามีการสื่อสารผ่านใครบ้างหรือไม่ มีใครให้ข้อมูลที่บิดเบือนจนทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือไม่ ซึ่งเราจะพยายามรวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริงให้ครอบคลุม 360 องศา เราไม่มีการแบ่งว่านี่ฝ่ายครอบครัว ฝ่ายทหาร ฝ่ายโรงเรียนเตรียมทหาร เพราะทั้งหมดเป็นผู้สูญเสียเช่นกัน พ่อแม่สูญเสียลูก พี่สูญเสียน้องชาย กองทัพสูญเสียกำลังพล บุคลากรที่มีค่า รุ่นพี่ สูญเสียรุ่นน้อง" พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าว เมื่อถามว่าคณะกรรมการหนักใจหรือไม่ เพราะดูเหมือนสังคมส่วนใหญ่ตัดสินไปแล้วว่าน้องเมยเสียชีวิตจากการถูกธำรงวินัย หรือ การซ่อม รองเสธ.ทหาร กล่าวว่า ข้อเท็จจริง และหลักฐานทางการแพทย์จะเป็นสิ่งยืนยันทุกอย่าง และขอให้สังคมวางใจได้ว่า คณะกรรมการฯที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่งตั้งขึ้น แม้จะไม่มีบุคคลภายนอกร่วมด้วย ก็ยืนยันว่ามีความเป็นธรรม และเที่ยงตรง ทั้งนี้คณะกรรมการฯที่ผบ.ทสส. ตั้งขึ้นมาจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ พล.ท.ณตฐพล บุญงาม เจ้ากรมข่าวทหาร / โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย, พล.อ.ท.วีรพงษ์ นิลจินดา เจ้ากรมกำลังพลทหาร, พล.ท.ศิราวุฒิ วงศ์ขันตี เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร พล.ต.พรพิศ รัตนานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระธรรมนูญทหาร เป็นต้น "คณะกรรมการฯ คงไม่ยึดเอาผลประโยชน์ส่วนบุคคล มาเป็นที่ตั้งมากกว่าผลประโยชน์ขององค์กร หรือ สถาบัน องค์กรใดที่ไม่มีนิติธรรม บุคลากรไม่มีคุณธรรม องค์กรนั้นก็อยู่ไม่ได้" รองเสธ.ทหาร กล่าว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
หมายเหตุประเพทไทย #185 เพจน้องงและญาณวิทยาเควียร์ Posted: 26 Nov 2017 02:19 AM PST กดลงทะเบียนรับชมคลิปที่
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ชานันท์ ยอดหงษ์ พูดคุยกับ ติณณภพ สินสมบูรณ์ทอง ผู้นำเสนอบทความเกี่ยวกับเพจน้องง ผ่านมุมมองแบบญาณวิทยาเควียร์ (queer epistemology) ในการประชุมวิชาการนานาชาติไทยศึกษา ครั้งที่ 13 ซึ่งจัดที่เชียงใหม่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ติณณภพเสนอว่าภายใต้ความตลกขบขัน เรื่องไร้สาระ มีปรากฏการณ์ในเพจน้องงที่น่าสนใจศึกษาทางสังคมศาสตร์ เช่น การนำศาสนากำเนิดใหม่ช่วงทศวรรษ 2540 มาเป็นวัตถุแห่งการวิจารณ์ ควบคู่ไปกับศาสนาดั้งเดิม การผลิตตัวละครมีมต่างๆ ธรรมเนียมผัวเพจ การใช้พาสาทิพย์ซึ่งได้อิทธิพลมาจากภาษาสก๊อยยุคก่อนหน้านี้ เพื่อสื่อสารกับลูกเพจ โดยเป็นภาษาที่ไม่ลงตัว การแปลความหมายต้องอาศัยการทำความเข้าใจและการตีความของคนในสังคม ฯลฯ ติณณภพเสนอว่าถ้ามองผ่านญาณวิทยาเควียร์ เพจน้องงมีแต่ความคลุมเครือไปตลอด หัวใจของเพจน้องง ประกอบด้วย ความกำกวม (ambiguity) ความไม่ต่อเนื่อง (discontinuity) และความไม่มีเอกภาพ (disunity) โดยเป็นการท้าทายและทำลายการทำให้เป็นมาตรฐานในมิติต่างๆ ทั้งเรื่องที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม หมายเหตุ: 1. อ่านบทความเพิ่มเติมที่ Tinnaphop Sinsomboonthong. "Politics of "Page-Nongng", Politics of Nonsense: De-Formalisation, Subaltern Space, Collective Identity. https://goo.gl/7MfBMt 2. ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่ เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/maihetpraphetthai หรือลงทะเบียนรับชมที่ https://youtube.com/prachatai ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
องค์กรสิทธิแรงงานแนะแนวการ 'พ่นยากำจัดศัตรูพืช' ให้แรงงานไทยในอิสราเอล Posted: 26 Nov 2017 02:13 AM PST องค์กรปกป้องสิทธิแรงงานต่างชาติในอิสราเอลเผยแพร่เกร็ดความรู้สำหรับแรงงานไทยที่ต้องพ่นยากำจัดศัตรูพืชในการทำงาน หากมีอาการผิดปกติให้รีบแจ้งนายจ้างเพื่อให้นายจ้างพาไปพบแพทย์ เมื่อปลายเดือน พ.ย. 2560 ที่ผ่านมา องค์กรคาฟลาโอเวด (Kavlaoved Agriculture) ซึ่งเป็นองค์กรปกป้องสิทธิแรงงานต่างชาติในอิสราเอล ได้เผยแพร่เกร็ดความรู้สำหรับแรงงานไทยที่ต้องพ่นยากำจัดศัตรูพืชในการทำงาน โดยระบุว่าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชสามารถเข้าสู่สู่ร่างกายได้หนทาง เช่น 1.ทางผิวหนัง มีการศึกษาพบว่าร้อยละ 90 ของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังโดยตรง เช่นเมื่อเกษตรกรสัมผัสกับพืชผลที่เพิ่งจะฉีดพ่นสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือเมื่อสารเคมีกำจัดศัตรูพืชสัมผัสผิวหนัง หรือเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มด้วยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือเมื่อเกษตรกรผสมสารเคมีกำจัดศัตรูพืชด้วยมือเปล่า 2. ทางการหายใจ เกษตรกรที่ฉีดพ่นสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือผู้คนที่อยู่ใกล้กับผู้ฉีดพ่นสารเคมีกำจัดศัตรูพืชจะได้รับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชผ่านทางการหายใจได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่อันตรายที่สุดคือสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ไม่มีกลิ่น เพราะเกษตรกรจะไม่รู้สึกตัวเลยว่าได้สูดดมสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเข้าไป ทั้งนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสุขภาพของผู้ได้รับพิษจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมีอยู่ 2 แบบคือ 1. พิษเฉียบพลัน เกิดขึ้นเมื่อได้รับพิษของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทันทีทันใด ตัวอย่างเช่น ปวดศรีษะ มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บหน้าอก ปวดกล้ามเนื้อ เหงื่อออกมาก ท้องร่วง เป็นตะคริว หายใจติดขัด มองเห็นไม่ชัดเจน หรือตาย และ 2. พิษเรื้อรัง เกิดขึ้นเมื่อได้รับพิษของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชแล้วแสดงผลช้า ใช้เวลานาน อาการอาจใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปีภายหลังจากการได้รับสารเคมีกำจัดศัตรูพืช จึงจะแสดงออกมาให้เห็น เช่น การเป็นหมัน การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ การเป็นอัมพฤต อัมพาต และมะเร็ง เป็นต้น ดังนั้่น ในการพ่นยาต้องสวมหน้ากากและถุงมือ ใส่เสื้อผ้าที่ปิดร่างกายให้มิดชิด เมื่อพ่นสารเคมีเสร็จแล้ว ควรรีบอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ฟอกสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง เสื้อผ้าที่ใช้ในการปฏิบัติงานควรซักให้สะอาดด้วยทุกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มทำงานในการพ่นยา ตามกฏหมายนายจ้างจะต้องให้ท่านได้รับการฝึกอบรมจากผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะเริ่มทำงาน และนายจ้างจะต้องมีมีอุปกรณ์ป้องกันให้เราในการพ่นยา หากนายจ้างไม่หาให้ ท่านสามารถร้องเรียนมาที่องค์กรคาฟลาโอเวดได้ ท้ายสุดผู้ที่มีหน้าที่พ่นยาทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเองด้วยการใช้อุปกรณ์ป้องกันสารเคมีต่าง ๆ และหากมีอาการผิดปกติให้รีบแจ้งนายจ้างเพื่อให้นายจ้างพาไปพบแพทย์ ก่อนหน้านี้ใน รายงาน 'สัญญาเถื่อนการปฏิบัติมิชอบต่อแรงงานไทยในภาคเกษตรของอิสราเอล' ขององค์กรฮิวแมนไรท์วอตซ์ (Human Rights Watch) ที่เผยแพร่เมื่อปี 2558 ระบุว่าแรงงานในฟาร์มหลายแห่งระบุถึงโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดศีรษะ ปัญหาระบบทางเดินหายใจ และอาการแสบตา ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นผลมาจากการฉีดยาฆ่าแมลงโดยขาดอุปกรณ์ป้องกันอย่างเหมาะสม แรงงานบางส่วนระบุว่ามีญาติในไทยส่งยามาให้พวกเขา เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่นี่ได้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
การทดลองเรือนจำสแตนฟอร์ด Stanford Prison Experiment Posted: 26 Nov 2017 01:29 AM PST ทุกที่ผมได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการฝึกทหาร การซ่อม หรือการรับน้องที่เลยเถิด จะทำให้ผมนึกถึงการทดลองทางจิตวิทยาอันนี้ขึ้นมาทุกครั้ง ครั้งแรกที่ผมได้ยินเรื่องการทดลองนี้ มันทำให้ผมมีมุมมองที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับตัวเองโดยสิ้นเชิง และผมมีความเชื่อว่าคนเราทุกคนควรที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับผลของการทดลองนี้ โดยเฉพาะในบุคคลที่กำลังจะมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเช่นการรับน้องในมหาวิทยาลัย การทดลองเรือนจำสแตนฟอร์ด เป็นการทดลองทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด นำโดยศาสตราจารย์ทางด้านจิตวิทยา Philip Zimbardo ในปีค.ศ. 1971 เพื่อที่จะพยายามทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้คุมขังเรือนจำทั่วโลก ในการทดลอง ได้ทำการคัดเลือกผู้เข้าร่วมทดลองเพศชายทั้งหมด 24 คนจากผู้สมัคร 75 คน และแต่ละคนจะได้รับการจับฉลากเพื่อที่จะสวมบทบาทเป็นผู้คุม และนักโทษ ภายในเรือนจำใต้ดินที่จำลองขึ้นในชั้นใต้ดินตึกภาควิชาจิตวิทยาในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ผู้เข้าร่วมทดลองทุกคนไม่ได้รับคำสั่งใดๆ อีกนอกจากให้ "สวมบทบาท" ตามที่ได้รับเอาไว้ตามแต่สมควร ตลอดช่วงระยะเวลา 14 วันในการทดลอง ถึงแม้ว่าผู้เข้าร่วมทดลองทุกคนมาด้วยความสมัครใจ และทุกคนก็ทราบดีว่านี่เป็นเพียงการทดลองเพื่อสวมบทบาท พวกเขาสามารถที่จะขอถอนตัวออกจากการทดลองได้ทุกเมื่อ แต่บทบาทและสภาพแวดล้อมที่พวกเขาได้รับกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของความจริงไปภายในไม่ช้า หลังจากได้เริ่มการทดลองไปเพียง 36 ชั่วโมง ผู้เข้าร่วมการทดลองคนแรกก็ได้แสดงอาการหวาดผวา และเสียสติขึ้นมา ผู้คุมขังได้เริ่มทำการทรมานนักโทษของพวกเขาทุกวิถีทาง ตั้งแต่สั่งให้เช็คยอดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลงโทษนักโทษทุกครั้งที่มีการเช็คยอดผิด สั่งให้นักโทษอุจจาระและปัสสาวะลงในถังที่จัดไว้ให้เท่านั้น ยึดเตียงนอนออกไปจากห้องขัง บังคับให้เปลือยกาย เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานผู้คุมกว่าหนึ่งในสามแสดงแนวโน้มของอาการซาดิสม์และความรุนแรงขึ้นมา และผู้คุมเกือบทุกคนแสดงความไม่พอใจเมื่อการทดลองต้องถูกยุติลงกระทันหันหลังจากผ่านไปได้เพียง 6 วัน ในขณะเดียวกัน นักโทษทุกคนต่างก็ยอมสยบให้กับอำนาจที่กำลังกดขี่พวกเขาอย่างสมบูรณ์ นักโทษทุกคนยอมรับชะตากรรมและการทารุณ รวมถึงปัจเจกบุคคลและสิทธิเสรีภาพอันเป็นสิทธิพื้นฐานของพวกเขาที่ถูกริดรอนออกไปโดยไม่มีการโต้แย้ง นักโทษบางคนถึงกับยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้รับการอภัยโทษจากผู้คุมขัง ถึงแม้ว่าเขารับทราบว่าเขาสามารถเลือกที่จะยุติการทดลองได้ทุกเมื่อ แม้กระทั่งตัว Zimbardo เองก็ไม่พ้นเป็นเหยื่อของการทดลองนี้ เขาและผู้สังเกตการณ์การทดลองนี้อีกกว่า 50 คนไม่มีใครเลยที่คัดค้านหรือรู้สึกถึงความผิดปรกติที่เกิดขึ้นกับการทดลองนี้ และการทดลองได้ดำเนินการต่อไปโดยไม่มีการยุติ นานเกินกว่าที่ควรจะเป็น เพราะเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น? ผู้คุมเหล่านี้เป็นมนุษย์ที่ชั่วช้าเช่นนั้นหรือ? นักโทษเหล่านี้เป็นบุคคลที่ชอบถูกกดขี่เช่นนั้นหรือ? ไม่เลย ผู้ร่วมทดลองทั้งหมดเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำชื่อดังของโลก พวกเขาได้ผ่านการทดสอบทางจิตวิทยาเพื่อยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาทางจิต หรือแนวโน้มไปสู่ความรุนแรง พวกเขาเป็นเพียงบุคคลธรรมดาเช่นพวกเราทุกคน และที่สำคัญ ไม่ได้มีความแตกต่างอย่างใดระหว่างผู้คุมและนักโทษ สิ่งเดียวที่แตกต่างกันระหว่างบุคคลทั้งสองกลุ่ม ก็คือ บทบาทที่ได้รับจากการจับฉลากโดยสุ่ม "เครื่องแบบ" และ "ไม้กระบอง" เป็นตัวแทนของอำนาจที่ได้ถูกมอบเอาไว้ผ่านทางบทบาทที่ถูกสมมติขึ้น บทบาทเหล่านี้ได้เปลี่ยนคนธรรมดาสองคน ให้กลายเป็นบุคคลที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การทดลองนี้บอกอะไรเราได้บ้าง? การทดลองนี้บอกเราว่าในบางครั้ง "คนดี" ก็สามารถเปลี่ยนไปเป็นคนที่ทำสิ่งที่ "ชั่วร้าย" ได้ เพียงแค่เรามอบอำนาจให้กับเขาผ่านทางบทบาทที่ได้รับ และบทบาทเหล่านี้สามารถที่จะบดบังและทำให้เราสามารถเห็นสิ่งที่ปรกติเราอาจจะมองว่าเป็นสิ่งที่ "ผิด" เป็นเพียงเรื่องธรรมดาและจำเป็นได้ การทดลองนี้บอกอีกว่า นักโทษยอมเลือกที่จะทนอยู่กับชะตากรรม การกดขี่ เพียงเพราะมันเป็น "บทบาท" ที่พวกเขาได้รับ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถทิ้งบทบาทเหล่านี้ไปเมื่อไหร่ก็ได้ นอกไปจากนี้ การทดลองนี้ยังบอกว่า เราทุกคนต่างก็สามารถตกเป็นเหยื่อของสิ่งที่เรียกว่า "อำนาจ" และสามารถทำสิ่งที่ชั่วร้ายได้ ด้วยกันทุกคน หากเราไม่ระวัง ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้คิดว่าการฝึกทหารที่เรียกว่าการซ่อมหรือประเพณีการรับน้องจะต้องเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย หรือไม่ดีแต่อย่างใด และผมก็คิดว่าการคงรูปแบบข้างต้นไว้เพื่อการคงอยู่ของสถาบันหรือวัฒนธรรมไม่ได้เป็นเรื่องที่แย่เสมอไป แต่เราควรจะพึงระลึกถึงการทดลอง Stanford Prison Experiment ไว้เสมอ เพื่อเตือนเราเอาไว้ว่า "บทบาท" สามารถทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้เพียงใด
หมายเหตุ: ดัดแปลงจาก เฟสบุ๊ค มติพล ตั้งมติธรรม เมื่อ 4 กันยายน 2557 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 25 Nov 2017 11:54 PM PST
กองสุมทับถมเศษขยะ มีดีอะไรอีกอยากอวดโอ่ เป็นคนยังไม่เป็นจะเป็นเทพ กองสุมทับถมกันกองใหญ่ กองกำลังนักลบ - (ลบให้หมด)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน เดินเท้ารับ ครม.สัญจร คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน Posted: 25 Nov 2017 07:03 PM PST เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน เดินเท้าไปแสดงจุดยืนคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่ จ.สงขลา ในวันที่ 27-28 พ.ย. ด้านเจ้าหน้าที่ระบุเตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมรับมือกับกลุ่มมวลชน เว็บไซต์ VoiceTV รายงานเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2560 ที่ผ่านมาว่าจากการที่นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดปัตตานีในวันที่ 27 พ.ย. 2560 และประชุม คณะรัฐมนตรีสัญจรที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย อ.เมือง จ.สงขลา ในวันที่ 28 พ.ย. 2560 นี้ ชาวเทพาและเครือข่ายคนสงขลาปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน มีมติจะเดินเท้าจากพื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา โดยออกแถลงการณ์ฉบับ1 ประกาศเดินเท้าไปหานายกรัฐมนตรีเพื่อคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในวันประชุม ครม.สัญจร เพื่อสื่อสารต่อสาธารณะถึงความไม่เป็นธรรมที่ชาวบ้านได้รับจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา แถลงการณ์ระบุว่า ตลอดสามปีที่ผ่านมาชาวบ้านเทพาไปยื่นหนังสือที่กรุงเทพหลายครั้ง ได้ส่งจดหมายไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหรือแถลงการณ์มากว่า 100 ครั้ง แต่ไม่เคยได้พบนายกรัฐมนตรีหรือมีเสียงตอบรับใด ๆ ครั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาในพื้นที่ ชาวบ้านจึงเดินเท้าไปถามว่า ถ้าสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ชาวบ้านบางหลิงและใกล้เคียง 180 ครัวเรือน ร่วม 1,000 คน ต้องถูกบังคับโยกย้ายออกไป แล้วจะให้ชาวบ้านไปอยู่ที่ไหน รวมทั้งผลกระทบและความไม่เป็นธรรมมากมายจากโครงการนี้ เนื้อหาในแถลงการณ์ บางส่วนประเมินถึงสถานการณ์ที่มีโอกาสสูงที่ชาวบ้านที่เดินไปหานายกรัฐมนตรี และถูกฝ่ายความมั่นคงให้ยุติการเดินและรวบไปปรับทัศนคติ แต่ชาวบ้านก็ตัดสินใจว่า พร้อมและยืนยันจะเดิน เพราะปัจจุบัน EHIA โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาได้ผ่านการพิจารณาอย่างไม่ชอบธรรมจากคณะกรรมการชำนาญการและ สผ.แล้ว รอเข้าคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และ ใกล้จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติในไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ชาวบ้านเทพาจะเริ่มเดินออกจากชุมชนบางหลิง พื้นที่ใจกลางพื้นที่ก่อสร้าง ที่จะถูกบังคับโยกย้าย ในวันศุกร์ที่ 24 พ.ย. 2560 โดยมีเป้าหมายไปให้ถึงสถานที่ประชุม ครม.สัญจร ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย อำเภอเมืองสงขลา ในวันอังคารที่ 28 พ.ย. 2560 ระยะทาง 75 กิโลเมตร ภายใต้คำรณรงค์ที่ว่า "เดิน....เทใจให้เทพา หยุดโรงไฟฟ้าถ่านหิน เดิน....หานายก หยุดทำลายชุมชน" เจ้าหน้าที่ระบุเตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมรับมือกับกลุ่มมวลชน เว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ รายงานเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2560 ที่ผ่านมาว่าการจัดเตรียมสถานที่ ที่หอประชุม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ในขณะนี้ เตรียมพร้อมเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ในการให้การต้อนรับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมถึงคณะรัฐมนตรี ที่มีกำหนดจะเดินทางมาประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการในระหว่าง 27-28 พ.ย. ห้องประชุม รวมถึงบริเวณโดยรอบ ห้องแถลงข่าว ห้องรับประทานอาหาร โดยเฉพาะจุดรักษาความปลอดภัย ซึ่งมีกำหนดให้มีช่องทางขาเข้า เพียงทางเดียว ซึ่งจะติดตั้งเครื่องสแกนและตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยเอาไว้ สำหรับตรวจสอบบุคคลที่เดินทางผ่านเข้าสู่หอประชุม โดยในวันนี้ได้มีการตรวจสอบความพร้อม และมีการซักซ้อมขบวนของนายกรัฐมนตรี โดยชุดรักษาความปลอดภัย ทั้งในส่วนของตำรวจ ทหาร และพลเรือน จะเข้าตรึงพื้นที่ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ อย่างไรก็ตามฝนที่ตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่คืนที่ผ่านมา ทำให้บริเวณเส้นทางภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย รวมถึง ถนนด้านหน้าหอประชุม สถานที่ประชุม ครม.สัญจร มีน้ำท่วมขัง ทำให้ต้องมีการนำเครื่องสูบน้ำมาติดตั้ง เพื่อความสะดวกมากขึ้น ในส่วนของมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมรับมือกับกลุ่มมวลชน ที่มีกำหนดจะเดินทางเข้าพบและยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ทั้งเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน รวมถึงเครือข่ายชาวสวนยางภาคใต้ ในวันนี้มีรายงานว่านายดลเดช พัฒนรัฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ นายดลเดช พัฒนรัฐ ผวจ.สงขลา กล่าวว่าได้มีการจัดเตรียมความพร้อมในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานในครั้งนี้ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ โดยมอบหมายภารกิจแก่คณะกรรมการฯ ด้านต่างๆ อาทิ ฝ่ายต้อนรับและอำนวยความสะดวกแก่นายกรัฐมนตรี และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ในการต้อนรับ รวมถึงจัดเตรียมที่พัก และอำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆ คณะกรรมการฝ่ายประสานงานการประชุม ครม. ที่ประสานงานด้านต่างๆ คณะกรรมการฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี การประดับตกแต่งบริเวณมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงามในพื้นที่ทุกจุด ฝ่ายรักษาความปลอดภัยและการจราจร รถนำขบวน บัตร รปภ. คอยจัดเตรียมพื้นที่จุดขึ้น-ลง เครื่องบินเพื่อรับรองการเดินทางของนายกรัฐมนตรี และคณะ รถนำขบวนในการเดินทางตลอดภารกิจ ฝ่ายจัดเตรียมประชาชน นักศึกษา พบปะนายกรัฐมนตรีและรับเรื่องราวร้องทุกข์ เพื่อวางแผนจัดการ และจัดระเบียบการรับเรื่องราวร้องทุกข์ ฝ่ายพัฒนาเมือง กำหนดมาตรการให้มีการรักษาความสะอาด จัดเก็บขยะมูลฝอย กำจัดเศษวัชพืช รวมไปถึงปรับปรุงซ่อมแซมผิวจราจรตามเส้นทางการเดินทางของนายกรัฐมนตรี อีกทั้งงานด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีความพร้อมในการต้อนรับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. นี้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 19-25 พ.ย. 2560 Posted: 25 Nov 2017 06:45 PM PST
สำนักงานประกันสังคม เผย คนพิการได้รับสิทธิตามเกณฑ์ครบถ้วน แจ้งเปลี่ยนโรงพยาบาลได้ เริ่ม 1 ม.ค. 2561 นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการให้ความช่วยเหลือคนพิการให้ได้รับความสะดวกตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ว่า คนพิการในระบบประกันสังคมสามารถเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลที่เลือกไว้ได้ อีกทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์ในระบบประกันสังคมครบถ้วน โดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่สำนักงานประกันสังคมประกาศกำหนด นอกจากนี้ ผู้พิการสามารถยื่นเรื่องเพื่อเปลี่ยนแปลงสิทธิการรักษาพยาบาล ระหว่างสิทธิบัตรทองกับสิทธิประกันสังคม หรือเปลี่ยนแปลงสถานพยาบาลได้ ณ สำนักงานประกันสังคมทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม ของทุกปี อย่างไรก็ตามสิทธิการรักษาพยาบาลในระบบประกันสังคม เมื่อเลือกแล้ว สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เลือกไว้ได้ทันทีโดยเริ่มใช้สิทธิได้ ตั้งแต่วันที่ 1 และ 16 ของเดือน นับแต่วันที่มายื่นเรื่อง ทั้งนี้หากคนพิการที่ถูกโอนสิทธิไปหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง ไม่แจ้งเปลี่ยนแปลงสิทธิการรักษา จะถือว่าคนพิการประสงค์จะใช้สิทธิบัตรทองต่อไป และกรณีที่ใช้สิทธิบัตรทองจะต้องรับบริการในหน่วยบริการของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยกเว้น กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ทั้งนี้ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป ที่มา: สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น, 25/6/2560 ฮือประท้วงขอโบนัส! พนักงานรวมตัวจี้บริษัทดัง เผยปีที่แล้วได้ 8 เดือน+62,000บาท ช่วงปลายปีแบบนี้มนุษย์เงินเดือนต่างรอคอยและลุ้นว่า "โบนัสประจำปี" จะอยู่ที่เท่าไหร่กัน ตามปกติอัตราโบนัสจะขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจในปีนั้นๆ แน่นอนว่าถือเป็นแรงจูงใจที่สำคัญและสะท้อนสถานภาพของบริษัทด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นอัตราโบนัสค่าตอบแทนของแต่ละบริษัทในช่วงปลายปี จึงเป็นแรงดึงดูดให้แรงงานและพนักงานมีกำลังใจในการทำงานมากยิ่งๆขึ้นไปอีก ล่าสุดเพจ บ่อวินห้วยปราบสะพานสี่มาบยางพรปลวกแดง ได้เผยภาพเหตุการณ์ที่สหภาพบริษัทผลิตรถยนต์แห่งหนึ่ง ในจ.ระยอง รวมตัวประท้วงบริษัท เพื่อเรียกร้องให้จ่ายโบนัส โดยตอนนี้อยู่ในขั้นตอนเดินหน้าเจรจาเรื่องของโบนัสปี 2560 โดยพนักงานพากันเดินขบวนเรียกร้องต่อนายจ้างถึงการจ่ายโบนัสของปีนี้ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการ ส่วนโบนัสของบริษัทผลิตรถยนต์แห่งหนึ่งในปีที่แล้ว มีรายงานว่าได้รับโบนัส 8 เดือน + เงินพิเศษ 62,000 บาท ประกันสังคม เผยร่างกฎหมายเพิ่มสิทธิผู้ประกันตนตามมาตรา 40 เตรียมประกาศใช้ ปี 2561 สำนักงานประกันสังคม เผยความคืบหน้าร่างกฎหมายเพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน ตามมาตรา 40 ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนรอที่ประชุมคณะรัฐมนตรียืนยันการปรับสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 40 เตรียมเสนอให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติเพื่อทราบอีกครั้ง คาดภายในสิ้นปี 60 นี้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับผู้ประกันตน นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวถึง ความคืบหน้าการปรับปรุงพัฒนาสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 25 เมษายน 2560 ได้ให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายลำดับรองจำนวน 3 ฉบับ เพื่อปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 จำนวนกว่า 2 ล้านคน ประกอบด้วย 1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดคุณสมบัติของบุคคลซึ่งอาจสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. ... 2. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทน พ.ศ. ... 3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบที่รัฐบาลจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคมสำหรับบุคคลซึ่งสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. ... นายสุรเดช กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา สำนักงานประกันสังคมได้ทำหนังสือตอบกลับไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อยืนยันการปรับสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ตามที่เสนอไปก่อนหน้านี้ ขั้นตอนต่อไปต้องรอให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติเพื่อทราบอีกครั้ง และนำขึ้นทูลเกล้าฯ ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อใช้บังคับต่อไป คาดว่าจะทันภายในสิ้นปี 2560 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับผู้ประกันตนและพี่น้องผู้ใช้แรงงาน นอกระบบกว่า 20 ล้านคน ที่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ทางเลือกใหม่ได้ สำหรับร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวมีสาระสำคัญโดยได้กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 การเพิ่มและขยายสิทธิประโยชน์รวมถึงเพิ่มทางเลือกใหม่ (ทางเลือกที่ 3) สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ให้ใกล้เคียงกับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้แก่ เพิ่มเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย เพิ่มเป็นวันละ 300 บาท สำหรับกรณีนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเบิกได้ตั้งแต่วันแรกที่นอนโรงพยาบาล และกรณีไม่ได้นอนพักรักษาตัวแต่มีใบรับรองแพทย์ให้หยุดพักรักษาตัวตั้งแต่ 3 วันขึ้นไป ได้วันละ 200 บาท รวมกรณีนอนและไม่นอนโรงพยาบาลไม่เกิน 30 วัน/ปี กรณีไปพบแพทย์ และมีใบรับรองแพทย์ (ไปเช้ากลับเย็น) ให้ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ครั้งละ 50 บาท แต่ไม่เกินคนละ 3 ครั้งต่อปี เพิ่มเงินสงเคราะห์กรณีตาย 3,000 บาท เมื่อส่งสมทบมาแล้ว 60 เดือน นอกจากนี้ยังได้เพิ่มทางเลือกใหม่ (ทางเลือกที่ 3) หากเลือกจ่ายสมทบ 300 บาท รัฐบาลสมทบ 150 บาท โดยเพิ่มเงินทดแทนการขาดรายได้ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย เมื่อนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป ในอัตราวันละ 300 บาท และไม่ได้นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลแต่แพทย์ให้หยุดพักรักษา ตัวตั้งแต่ 3 วันขึ้นไป ในอัตราวันละ 200 บาท รวมกรณีนอนและไม่นอนโรงพยาบาล รวมกันไม่เกิน 90 วันต่อปี กรณีตายค่าทำศพ 40,000 บาท ส่วนกรณีสงเคราะห์บุตร อัตราคนละ 200 บาทต่อเดือนคราวละ 2 คน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปี กรณีชราภาพเงินบำเหน็จชราภาพ เดือนละ 150 บาทพร้อมดอกผล หากส่งเงินสมทบครบ 180 เดือน จะได้รับเงินเพิ่มจำนวน 10,000 บาท ทั้งนี้ข้อดีของการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 คือ ไม่ต้องมีการตรวจสุขภาพ และยังสามารถใช้สิทธิการรักษาบัตรทองได้ หากขาดการนำส่งเงินสมทบ ก็ยังเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ต่อได้ และรัฐบาลร่วมจ่ายเงินสมทบกับผู้ประกันตน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวด้วยว่า การสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ผู้สมัครใช้หลักฐานเพียงบัตรประชาชนใบเดียวก็สามารถดำเนินการได้ และการจ่ายเงินสมทบมีความสะดวกเพราะจ่ายได้ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป รวมทั้งที่ทำการไปรษณีย์ ตู้เติมเงิน ที่จะกระจาย ไปตามตำบล และหมู่บ้านทั่วประเทศ ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกันตนในการเข้าถึงบริการ ของสำนักงานประกันสังคมได้อย่างครอบคลุมทั่วถึง มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน เผย 1 ปี 'เด็กข้ามชาติ' ถูกทารุณ-ล่วงละเมิด 73 ราย เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน น.ส.ปฏิมา ตั้งปรัชญากูล มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (แอลพีเอ็น) กล่าวถึงสถานการณ์ทางสังคมและเด็กข้ามชาติที่เข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย ในงานเสวนาเนื่องในวันสิทธิเด็กสากล เรื่อง "ประเทศไทยกับความสำเร็จหรือล้มเหลวต่อการคุ้มครองทางสังคมเด็กข้ามชาติในอุตสาหกรรมประมง กิจการประมงต่อเนื่อง พื้นที่แคมป์ก่อสร้าง เด็กข้างถนน และเด็กผู้หญิงในภาคบริการ และข้อเสนอการจัดการปัญหา การพัฒนาความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจ" ว่า ได้รับการช่วยเหลือจากมูลนิธิแอลพีเอ็น ในปี 2558-2560 จำนวน 13,000 คน โดยในช่วง 2 ปี มี 4,446 คน ได้รับการส่งเสริมด้านการศึกษาและด้านสิทธิเด็ก แต่พบว่าในช่วง 12 ปี มีเด็ก 400 คน เป็นเหยื่อที่ได้รับการช่วยเหลือจากการถูกบังคับค้ามนุษย์ ถูกกระทำทารุณกรรมร่างกายและทางเพศ ส่วนสถิติใน 1 ปี ยังคงมีกรณีเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศจากนายจ้างและเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ 73 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กหญิง 45 คน และเด็กชาย 28 คน ด้วยเหตุที่ศูนย์พักพิงของรัฐรับเพียงกรณีที่เด็กถูกทำร้ายร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ยอมรับเด็กในกรณีอื่น ทำให้แอลพีเอ็นต้องเข้ามาช่วยฟื้นฟูจิตใจเด็กที่ถูกทำร้ายร่างกายจนกว่าจะมีสภาพจิตใจดีขึ้น "แม้จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือปัญหาเด็กข้ามชาติ แต่พบว่าเด็กอายุ 10-14 ปี ควรได้รับทักษะเพิ่มเติม โดยเฉพาะทักษะการใช้ชีวิตและภาษาไทย ซึ่งเสนอว่าควรร่วมมือกับภาคธุรกิจจัดพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กข้ามชาติ โดยเฉพาะในแคมป์ก่อสร้าง และให้สถานะเด็กต่างชาติเป็นผู้ติดตาม" น.ส.ปฎิมา กล่าว ด้าน ศ.สุภางค์ จันทวานิช ศูนย์วิจัยการย้ายถิ่นแห่งเอเชีย กล่าวว่า เห็นควรให้เพิ่มการคุ้มครองทางสังคมเด็กข้ามชาติ ด้วยกฎหมายที่เข้มงวดและมีบทลงโทษรุนแรง เพราะที่ผ่านมา พบปัญหาเรื่องสัญชาติเด็กข้ามชาติยังไม่ชัดเจน กระบวนการพิสูจน์สัญชาติทำให้เด็กบางส่วนไม่มีสัญชาติ แม้จะพากลับประเทศต้นทางแล้ว ยังประสบปัญหาหลักฐานการเกิด มีปัญหาด้านการศึกษา "ขณะนี้ขั้นตอนการพิสูจน์อัตลักษณ์เด็กยังไม่ชัดเจน ควรมีขั้นตอนการพิสูจน์กระดูกเพื่อทราบอายุที่แท้จริงหากเกิดปัญหาการพิสูจน์อายุในเด็กข้ามชาติ และจะต้องมีฐานข้อมูลที่ชัดเจนและเชื่อมโยงทั้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงแรงงาน เพื่อให้เด็กได้รับความคุ้มครองในทุกด้าน" ศ.สุภางค์ กล่าว ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 20/11/2560 เร่งผลิตช่างไฟฟ้ามี License ก่อนปฏิบัติงาน นายสุทธิ สุโกศล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า อาชีพช่างไฟฟ้า เป็นอาชีพที่น่าสนใจและมีรายได้ดีอีกอาชีพหนึ่ง และงานด้านช่างไฟฟ้าเป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญในการซ่อมแซม ปรับปรุง ติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งภายใน ภายนอกอาคาร และในที่สาธารณะด้วยความปลอดภัย ทั้งตัวช่างไฟฟ้าและประชาชน ปัจจุบัน อาชีพช่างไฟฟ้าเป็นอาชีพแรกที่ถูกกำหนดให้เป็นอาชีพที่อาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะ ต้องดำเนินการโดยผู้ได้รับหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ (License) ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2557 ปัจจุบัน มีผู้ผ่านการประเมินความรู้ความสามารถแล้วกว่า 78,000 คน (ณ วันที่ 18 พ.ย. 60) คาดว่าปีนี้จะมีผู้เข้ารับการประเมินไม่น้อยกว่า 32,000 คน กพร.ได้ร่วมกับองค์กรต่างๆ อาทิ ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง สมาคมช่างเหมาไฟฟ้า สถาบันการศึกษาอีกหลายแห่ง รวมถึงภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ให้การสนับสนุนจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมและขออนุญาตเป็นศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน ล่าสุด บริษัท ชไนเดอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้มอบกระเป๋าสาธิตระบบแสงสว่างอัจฉริยะ EZInstall3 เพื่อนำไปใช้ในการฝึกอบรม สาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร พร้อมอบรมให้ความรู้วิธีการใช้อุปกรณ์ดังกล่าวให้แก่ครูฝึกของ กพร. เพื่อขยายผลการฝึกต่อไป ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 ณ อาคารรุ่งโรจน์ธนากุล ชั้น 1 ถนนรัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ นายสุทธิ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้สนับสนุนจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมช่างไฟฟ้าและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ลำพูน และระยอง ในศูนย์ฝึกอบรมจะมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน มีชุดการสอน motor starter 5 ชุด สำหรับฝึกอบรมหลักสูตรยกระดับฝีมือ สาขาการประยุกต์ใช้มอเตอร์ในงานควบคุมอุตสาหกรรม (Applications Motor Control for industrial) พร้อมมอบอุปกรณ์อื่นที่จำเป็นใช้ประจำศูนย์ฝึกอบรม และจังหวัดอื่น ๆ อีก 54 จังหวัด ในปีนี้บริษัทจะจัดส่งอุปกรณ์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศอีก 19 จังหวัด สำหรับเดือนมีนาคม – ธันวาคม 2561 บริษัทฯ จะจัดส่งวิทยากรให้ความรู้แก่ครูฝึกของ กพร.และช่างไฟฟ้า ใน 9 จังหวัดได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย นครราชสีมา อุบลราชธานี สุพรรณบุรี ชลบุรี กระบี่ สงขลา และภูเก็ต หัวข้อที่จะอบรมนั้น อาทิ มาตรฐานและการติดตั้งเบรกเกอร์กันดูด และมาตรฐานการเลือกใช้งานเบรกเกอร์ในงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ความรู้ ความสามารถ และทักษะของช่างไฟฟ้า มีความจำเป็นอย่างมากต่อการปฏิบัติงาน ดังนั้นจึงต้องมีการควบคุมและทดสอบวัดระดับฝีมือของช่างก่อนปฏิบัติงาน เพื่อป้องกันและลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ทำให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน การติดตั้งระบบไฟฟ้าจากช่างที่ได้มาตรฐาน มีหนังสือรับรอง License แล้ว ก็สามารถให้บริการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย สร้างความมั่นใจและเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้รับบริการ ปัจจุบันมีศูนย์ทดสอบฯ รวมทุกสาขาทั้งสิ้น 444 แห่ง สำหรับผู้ที่ต้องการทดสอบมาตรฐานหรือขอรับการประเมิน สามารถติดต่อได้ที่สถาบันหรือสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานที่ใกล้บ้านท่านทั้งในกรุงเทพและอีก 76 จังหวัด สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0 -2245- 4035 นศ.วิทยาลัยอาชีวศึกษานครสวรรค์ รักษาหน้า กอศ.สถานประกอบการชูสองนิ้วชมเชยประสิทธิภาพการ ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผย ถึงความสำเร็จของ นักศึกษาสาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์ วิทยาลัยอาชีวศึกษานครสวรรค์ ในการเรียน ระบบ ทวิภาคี จำนวน 32 คน ที่เข้าฝึกประสบการณ์ วิชาชีพกับบริษัท โซนี่เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ว่า ได้รับความพึงพอใจจากแหล่งประกอบการอย่างมาก เนื่องจากมีอัตราการมาทำงานของนักศึกษา ร้อยละ 99 ซึ่งสูงจากกรอบอัตราการมาทำงานที่สถานประกอบการกำหนดไว้ที่ร้อยละ 97 เลขาธิการ กอศ. เปิดเผยถึงรายละเอียด การปฏิบัติงานของนักศึกษาในส่วนของ Logistics Manufacture ภาคอุตสาหกรรม ว่า แบ่งเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหารงานทั่วไป General Affairs (GA) เป็นส่วนสำนักงาน ดูแลสวัสดิการของพนักงาน การจัดเตรียมห้องประชุม อุปกรณ์ ต่างๆ รวมถึง Visa Work Permit ฝ่ายการผลิต Production Support คือ ส่วนการผลิตแบ่งเป็น หลายส่วนหลักๆ ได้แก่ การผลิตตัวกล้อง เลนส์ ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตเครื่องเสียง ติดรถยนต์ การตรวจสอบคุณภาพ การผลิตบรรจุภัณฑ์ ซึ่งงานในภาคอุตสาหกรรมจะเน้นกระบวนการไหลของวัตถุดิบ (Flow of inbound logistics) และฝ่ายสุดท้าย คือ ฝ่ายจัดซื้อ จะรับผิดชอบเอกสารการ วางบิล การทำ Invoice ทั้งนี้ บริษัทได้ให้การสนับสนุนเบี้ยเลี้ยง เป็นเงินประมาณ 12,000 บาท ต่อเดือน เงินพิเศษสิ้นสุดการฝึกงาน 3,000 บาท บริการรถรับ-ส่ง จากหอพัก ชุดพนักงาน ตรวจสุขภาพก่อน เริ่มการฝึกงาน ประกันชีวิตกลุ่ม ค่ารักษาพยาบาล บริการอาหารฟรี กิจกรรมสันทนาการ วันหยุด วันลา การฝึกอบรมพัฒนาทักษะวิชาชีพ รวมทั้งคณาจารย์นิเทศนักศึกษาเป็นระยะๆ ฝ่ายบุคคลจะเข้าเยี่ยมนักศึกษาฝึกงานเดือนละครั้ง เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวปิดท้ายว่า การเรียนรู้ไม่เพียงอยู่แต่ในห้องเรียนเท่านั้น การให้ความรู้ทั้งทักษะอาชีพ และทักษะทางสังคมจากประสบการณ์จริงจะทำให้ผู้เรียนมีความสมบูรณ์พร้อม มีความแข็งแกร่ง พร้อมที่จะรับมือกับโลกอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และ เชื่อว่าการจัดการศึกษาอาชีวศึกษาในรูปแบบ ทวิภาคีจะสร้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้กับผู้เรียนได้ดี กสร.แนะ "นายจ้าง" จัดสวัสดิการยืดหยุ่นลูกจ้างทุกวัย เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า สถานการณ์และวิวัฒนาการด้านแรงงานในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความแตกต่างในช่วงวัยของลูกจ้างในสถานประกอบกิจการ การจัดสวัสดิการในรูปแบบเดิมจึงไม่ตอบสนองความต้องการของลูกจ้างทั้งหมด กสร.ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการส่งเสริมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการจัดสวัสดิการ จึงได้กำหนดแนวทางในการส่งเสริมการสวัสดิการแรงงานในสถานประกอบกิจการในรูปแบบสวัสดิการยืดหยุ่น ซึ่งลูกจ้างจะมีส่วนร่วมในการออกแบบและกำหนดรูปแบบของสวัสดิการ โดยคำนึงถึงความแตกต่างทั้งในเรื่องของวัย เพศ วิถีการดำเนินชีวิต และเปิดโอกาสให้ลูกจ้างสามารถเลือกและปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ เช่น จัดสวัสดิการด้านสุขภาพ โดยกำหนดงบประมาณและเปิดโอกาสให้ลูกจ้างเลือกเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าสมาชิกสถานที่ออกกำลังกาย ค่าตรวจสุขภาพ หรือ กำหนดเป็นชุดสวัสดิการให้ลูกจ้างเลือก เป็นต้น "การจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่น เป็นรูปแบบของการจัดสวัสดิการที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเหมาะสมกับการบริหารแรงงานในยุคปัจจุบันที่มีลูกจ้างหลายวัยทำงานร่วมกัน มีความต้องการและวิถีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน การจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่นจะทำให้ลูกจ้างมีความสุขในการทำงานมากขึ้น ลดความขัดแย้งด้านแรงงาน และผลิตภาพสูงขึ้น ขณะเดียวกัน การใช้จ่ายงบประมาณด้านสวัสดิการแรงงานของนายจ้างก็จะคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สถานประกอบกิจการ" นายอนันต์ชัย กล่าว ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 19/11/2560 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สปสช.บรรจุนวัตกรรม 'ยาดีเฟอร์ราซิร็อก' ดูแลผู้ป่วยธาลัสซีเมีย เข้าถึงยาขับเหล็กเพิ่ม Posted: 25 Nov 2017 06:23 PM PST สปสช.ปี 2561 รุกดูแลผู้ป่วยธาลัสซีเมีย บรรจุนวัตกรรมยา "ดีเฟอร์ราซิร็อก" ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงยาขับเหล็กเพิ่ม ยกระดับคุณภาพชีวิต พร้อมขยายครอบคลุมดูแลผู้ป่วยเพิ่ม 1.5 หมื่นราย 26 พ.ย. 2560 นพ.ชูชัย ศรชำนิ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคเลือดธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง หรือที่เรียกว่าชนิดพึ่งพาเลือด ในประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยประมาณ 600,000 คน ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับเลือดอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็ก การให้เลือดและดูแลรักษาต่อเนื่องจะทำให้มีการเจริญเติบโตปกติ ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน แต่การให้เลือดอย่างต่อเนื่องมีผลต่อผู้ป่วย ทำให้เกิดภาวะธาตุเหล็กที่เกินความต้องการของร่างกาย ก่อให้เกิดผลร้ายแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ ได้ เช่น ตับแข็ง ภาวะเบาหวาน และหัวใจวายได้ ดังนั้นในกระบวนการรักษาต่อเนื่องอย่างมีคุณภาพและความปลอดภัยแก่ผู้ป่วยโรคเลือดธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงจึงต้องได้รับยาขับธาตุเหล็ก ในอดีตผู้ป่วยโรคเลือดธาลัสซีเมียส่วนใหญ่จะได้รับยาขับเหล็กชนิดฉีด ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังโดยใช้เครื่องช่วยฉีดยา 8–12 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้เด็กไม่ยอมรับการรักษาสม่ำเสมอเพราะต้องเจ็บปวดจากการฉีดยาและกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยในกลุ่มเด็กไม่สามารถดำรงชีวิตเหมือนเด็กคนอื่นได้ เช่น ไปโรงเรียน วิ่งเล่นกับเพื่อน เป็นต้น ด้วยพัฒนาการทางเทคโนโลยีจากการพัฒนายาดีเฟอริโพรน (Deferiprone) ซึ่งเป็นยาขับเหล็กชนิดกิน โดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ทำให้ราคายาถูกลง ดังนั้นคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) จึงกำหนดให้สิทธิประโยชน์การรักษาโรคเลือดธาลัสซีเมียครอบคลุมยาดีเฟอริโพรน ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตามผู้ป่วยโรคเลือดธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงมีส่วนหนึ่งที่มีภาวะแพ้ยาดีเฟอริโพรน มีผลข้างเคียงให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดข้อ การทำงานของตับผิดปกติ และระดับเอ็มไซม์ในตับเพิ่มขึ้น ทำให้แพทย์ต้องงดให้ยา ทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะธาตุเหล็กเกิน ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับยาดีเฟอร์ราซิร็อก (Deferasirox) ซึ่งเป็นนวัตกรรมยาที่มีราคาแพงกว่ามากแทนและต้องกินประจำทุกวัน ที่ผ่านมาจึงทำให้ผู้ป่วยธาลัสซีเมียกลุ่มนี้เข้าไม่ถึงการรักษาและทุกข์ทรมานจากภาวะความเจ็บป่วย ในปี 2561 นี้ บอร์ด สปสช.จัดสรรงบประมาณ 250 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 เพื่อบรรจุนวัตกรรมยาดีเฟอร์ราซิร็อกภายใต้สิทธิประโยชน์ดูแลผู้ป่วยธาลัซเมีย ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กเข้าถึงการรักษาที่จำเป็นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และขยายความครอบคลุมการเข้าถึงการให้เลือดสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ โดยตั้งเป้าดูแลผู้ป่วยในระบบจำนวน 15,000 คน "จากการดำเนินสิทธิประโยชน์ดูแลผู้ป่วยโรคเลือดธาลัสซีเมีย ส่งผลให้มีผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2557 มีผู้ป่วยธาลัสซีเมียในระบบจำนวน 4,532 ราย ปี 2558 เพิ่มเป็น 9,835 ราย และในปี 2560 เพิ่มเป็นจำนวน 11,439 คน และการขยายการเข้าถึงยาดีเฟอร์ราซิร็อกและการให้เลือดกับผู้ป่วย ซึ่งบอร์ด สปสช.ได้อนุมัติสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในปี 2561 นี้ จะช่วยให้ผู้ป่วยธาลัสซีเมียเข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้น" รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว นพ.ชูชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงเป็นกลุ่มที่ต้องดูแลต่อเนื่อง จึงส่งผลต่อภาระค่ารักษาพยาบาล ที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าถึงการรักษา โดยในผู้ป่วยเด็ก 1 ราย จะมีค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ย 10,500 บาทต่อเดือน หากรวมตลอดอายุของเด็กจะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาประมาณ 6,600,000 ล้านบาทต่อคน ทั้งนี้จากแนวคิดใหม่ขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal) ที่ให้ลงทุนในระบบสุขภาพเพื่อสุขภาพที่ดีและอยู่ดีมีสุข (Health and Well-being) สปสช.ได้นำมาดำเนินการในโรคเลือดธาลัสซีเมีย โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
รัตโก มลาดิช ทหารใหญ่กองกำลังชาวเซิร์บถูกตัดสินมีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Posted: 25 Nov 2017 06:17 PM PST อดีตเสนาธิการกองทัพเซิร์ 25 พ.ย. 2560 ในการพิจารณาขั้นสุดท้าย ศาลอาญาระหว่างประเทศเพื่อพิ มลาดิช ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริ ก่อนหน้านี้มลาดิช เคยถูกตัดสินให้พ้นจากความผิ ผู้พิพากษากล่าวว่ากองกำลั อาชญากรรมที่ทหารระดับสูงผู้นี้ โดยที่มลาดิชเป็นตัวการใหญ่ นอกจากนี้มลาดิชยังเคยก่อตั้ ในกรณีสังหารหมู่ปี 2538 ศาลระบุว่ามลาดิกเข้าร่ กลุ่มที่ถูกตัดสินคดีในครั้งนี้ ถึงแม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นตั้ นังตั้งแต่มีการก่อตั้ง ICTY ศาลนี้สั่งตัดสินผู้คนที่ละเมิ เรียบเรียงจาก ICTY convicts Ratko Mladić for genocide, war crimes and crimes against humanity, UN ICTY, 22-11-2017 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น