ประชาไท | Prachatai3.info |
- นักโทษตูนีเซียผู้ต้องสงสัยบุกสถานทูตสหรัฐฯ เสียชีวิต จากการอดอาหารประท้วง
- เครือข่ายญาติ ,นักสิทธิ ยื่นหนังสือถึงโอบามาวอนผลักดันไทยให้ปล่อยนักโทษการเมือง
- เรื่องจริงไม่อิงนิยายของราชสำนักกัมพูชา (3): บัลลังก์นี้ไม่มีรัชทายาท
- ทหารพม่ายิงปืนใหญ่ถล่มใส่หมู่บ้านในรัฐฉาน - ชาวบ้านเจ็บ 1 ราย
- ส. ศิวรักษ์: สถาบันสงฆ์
- ระบบอุปถัมภ์ : ความสัมพันธ์ในสายงานราชการการเมืองของคณะรัฐศาสตร์
- The Taste of Money: กังนัมกลลวง รสรักเงินร้อนรุมเร้า แรงงานแรงเงา แผดเผาชนชั้นสังคม
- ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ชี้ โอบามาควรใช้โอกาสเยือนไทยปรับเปลี่ยนนโยบายสหรัฐต่อไทย
นักโทษตูนีเซียผู้ต้องสงสัยบุกสถานทูตสหรัฐฯ เสียชีวิต จากการอดอาหารประท้วง Posted: 17 Nov 2012 11:40 AM PST คนสำคัญของกลุ่มนิกายซาลาฟีในตูนีเซียเสียชีวิตจากการอดอาหารประท้วงมาเป็นเวลา 2 เดือน เพื่อประท้วงสภาพเรือนจำ หลังถูกจับในเหตุการณ์บุกสถานทูตสหรัฐฯ
บาคติ เสียชีวิตที่โรงพยาบาลเมื่อวันเสาร์ (17) ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้สองวันผู้ต้องสงสัยอีกรายหนึ่งคือนักศึกษา เบชีร์ โกลลี อายุ 26 ปี ก็เสียชีวิตจากการอดอาหารเช่นกัน กลุ่มซาลาฟิสต์ซึ่งเป็นมุสลิมเคร่งครัดหลายสิบคนอดอาหารเพื่อประท้วงสภาพในเรือนจำ บาคติ และ โกลลี เริ่มอดอาหารประท้วงในช่วงปลายเดือน ก.ย. หลายวันหลังจากถูกจับกุมเหตุบุกสถานทูตสหรัฐฯ ในวันที่ 14 ก.ย. พวกเขายืนยันว่าตนบริสุทธิ์และประท้วงสภาพเรือนจำ และขบวนการซาลาฟีสต์ก็บอกว่าพวกเขาถูกทางการทำให้กลายเป็นเหยื่อ อัลจาซีร่ารายงานว่าบาคติเป็นคนสำคัญที่มีความใกล้ชิดกับอาบู อิยาด ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนวางแผนจู่โจมสถานทูตสหรัฐฯ ที่กำลังอยู่ระหว่างหลบหนี เขาเคยถูกจำคุก 12 ปี ช่วงสมัยรัฐบาลซีเน เอล อัลบีดีน เบน อาลี ในปี 2007 จากเหตุการณ์ปะทะนองเลือดระหว่างทหารกับกลุ่มเคร่งศาสนาในเมืองโซไลมาน ใกล้กับกรุงตูนิส แต่ได้รับการปล่อยตัวหลังจากการปฏิวัติในปี 2011 กรณีบุกจู่โจมสถานทูตสหรัฐฯ ในตูนีเซีย เมื่อสองเดือนที่ผ่านมา มาจากการที่ผู้ประท้วงหลายร้อยคนไม่พอใจภาพยนตร์ล้อเลียนศาสนาอิสลามที่สร้างขึ้นในสหรัฐฯ หลังเหตุการณ์มีผู้ถูกจับกุมมากกว่า 100 ราย อิเมน ทรีกี ประธานกลุ่มสิทธิมนุษยชนฟรีดอมแอนด์แฟร์เนส กล่าวว่า การที่ชาวตูนีเซียเสียชีวิตจากการประท้วงอดอาหารเป็นเรื่องไม่อาจยอมรับได้ รัฐบาลควรทำตามข้อเรียกร้องของผู้อดอาการประท้วงที่เหลือ ขณะที่รมต.กระทรวงยุติธรรมของตูนีเซีย นูเรดีน เบฮีรี กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า พวกเขาเสียใจกับการเสียชีวิตของชาวตูนีเซีย ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยพยายามโน้มน้าวให้โกลลีและบาคตีเลิกการประท้วงด้วยการอดอาหาร และให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์แก่พวกเขา ทนายของบาคตีบอกว่า เป็นเรื่องน่าอัปยศที่มีชาวตูนีเซียตายในคุกหลังจากประเทศปฏิวัติแล้ว ก่อนหน้านี้ทนายของบาคตีเคยเตือนว่าบาคตีมีอาการเส้นเลือดในสมองแตกอยู่ในสภาพอันตรายมาหลายวันแล้ว อัลจาซีร่ารายงานว่ารัฐบาลอิสลามของตูนีเซียกำลังตกอยู่ภายใต้การกดดันของทั้งกลุ่มซาลาฟิสต์ที่เรียกร้องให้ใช้กฏหมายตามหลักศาสนาอิสลาม และจากพรรคการเมืองฝ่ายฝ่ายค้านที่เป็นฆราวาสนิยมที่พยายามห้ามไม่ให้มีการใช้กฏหมายอิสลาม
เรียบเรียงจาก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เครือข่ายญาติ ,นักสิทธิ ยื่นหนังสือถึงโอบามาวอนผลักดันไทยให้ปล่อยนักโทษการเมือง Posted: 17 Nov 2012 09:29 AM PST
เครือข่ายญาติและผู้ประสบภัยจากมาตรา112 อนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กสม. และ กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล ร่วมกันทำจดหมายยื่นผ่าน สถานทูตสหรัฐอเมริกา ถึง นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีเนื่องในโอกาสเยือนประเทศไทย โดยในจดหมายได้เรียกร้องให้ นายบารัค โอบามา สนับสนุนให้รัฐบาลไทยปล่อยตัวนักโทษการเมืองและนักโทษจาก กม.อาญา ม.112 เนื่องจากขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน โดยระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นการกระทำที่ขัดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน นางสุกัญญาได้กล่าวต่อว่า ทางกลุ่มยังไม่หมดความพยายามที่จะนำเสนอปัญหาที่เกิดขึ้น โดยวันจันทร์ที่จะถึงทางกลุ่มจะทำการติดตามความคืบหน้าจากสถานทูตและขอเข้าพบเอกอัคราชทูตเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง
*********************************
5.Therefore, I would like to pass our following recommendations to you to raise to Thai government : 5.1 Release all political prisoners that were charged under the article 112, computer crime act and all charges related to the emergency decree as well as public gathering to express political opinions.
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เรื่องจริงไม่อิงนิยายของราชสำนักกัมพูชา (3): บัลลังก์นี้ไม่มีรัชทายาท Posted: 17 Nov 2012 08:53 AM PST พระบาทสมเด็จนโรดม สีหนุ ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์เดียวในโลกที่สละราชสมบัติถึง 2 ครั้ง และในฐานะประมุขแห่งรัฐ พระองค์ยังปล่อยให้บัลลังก์กัมพูชาไร้พระนามรัชทายาทนานถึง 33 ปี
เจ้าชายรณฤทธิ์ photo Courtesy Frank Tatu
กษัตริย์สีหนุ และพระราชินีโมนิก
ครอบครัวกษัตริย์: พระบาทสมเด็จนโรดม สีหนุ พระชายาโมนิก และพระโอรส เจ้าชายรณฤทธิ์ ซึ่งเป็นโอรสองค์โตของกษัตริย์สีหนุ เล่าว่าพระบิดาของท่านไม่เคยสนใจที่จะแต่งตั้งหรือแม้กระทั่งไล่เรียงจัดลำดับโอรสที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท กษัตริย์สีหนุประกาศสละราชสมบัติให้พระบาทสมเด็จนโรดม สุรมฤตในปี พ.ศ.2498 โดยที่พระองค์เปลี่ยนสถานะไปเป็นนักการเมือง ทรงตั้งพรรคการเมืองและได้รับการเลือกตั้งให้ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ เมื่อกษัตริย์สุรมฤตสิ้นพระชนม์ในปี 2503 นั้น เจ้าชายรณฤทธิ์มีอายุ 16 ชันษากำลังศึกษาอยู่ที่ฝรั่งเศส แต่เจ้าชายสีหนุในฐานะประมุขแห่งรัฐก็ไม่ยอมแต่งตั้งรัชทายาท แม้เจ้าชายรณฤทธิ์จะบอกว่าตนไม่ได้อยากเป็นรัชทายาท แต่มีสิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจถึงเหตุผลที่พระบิดาไม่ยอมแต่งตั้งรัชทายาท เพราะเจ้าชายสีหนุทรงเคยบ่นดังๆกับคนรอบข้างว่าเจ้าชายรณฤทธิ์นั้นสนใจแต่เรื่องขับรถแข่ง และยังชอบโวยวายใส่ตำรวจอีกด้วย "ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งที่พ่อกล่าวหานั้นไม่ยุติธรรมสำหรับข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าเลิกโวยวายใส่ตำรวจแล้ว คำกล่าวหาของพ่อทำให้ข้าพเจ้าปวดใจมาก ทำไมน่ะหรือ? ก็ดูสิ พ่อเองก็มีผู้หญิงตั้งเยอะแยะ ทั้งยังมีรถแข่งสวยๆตั้งหลายคัน มีหลายอย่างที่ข้าพเจ้าเรียนรู้มาจากพ่อ"
ความขมขื่นของเจ้าชายรณฤทธิ์ปรากฏชัดทุกครั้งที่เล่าย้อนอดีตนี้ "พ่อบอกว่าไม่แต่งตั้งข้าพเจ้าเป็นรัชทายาทเพราะข้าพเจ้าเป็นเพล์บอย แต่พ่อไม่เคยพูดเลยว่าในบรรดาลูกๆทั้งหมดของพ่อ ข้าพเจ้าเป็นลูกคนเดียวของพ่อที่เรียนจบปริญญาเอก" เจ้าชายรณฤทธิ์ได้รับปริญญาเอก (เกียรตินิยม) ด้านกฎหมายมหาชนจาก University of Law, Political Science and Economics of Aix-Marseille, France ด้วยความประสงค์ของเจ้าย่า คือ พระราชินีกุสุมะนารีรัตน์ เจ้าชายรณฤทธิ์ถูกส่งไปศึกษาต่อที่ฝรั่งเศสตั้งแต่อายุ 14 ชันษา พร้อมกับเจ้าชายจักรพงษ์ ผู้เป็นน้องชายต่างมารดา เจ้าชายจักรพงษ์มีอายุน้อยกว่าเจ้าชายรณฤทธิ์สองปี เป็นโอรสกษัตริย์สีหนุที่เกิดกับเจ้าหญิงพงสานมุนี เมื่อพระบาทสมเด็จนโรดม สุรมฤต สิ้นพระชนม์ เจ้าชายทั้งสองถูกเรียกตัวกลับมาจากฝรั่งเศสเพื่อเป็นผู้เดินนำขบวนแห่พระศพ แต่หากไม่มีเหตุการณ์สำคัญใดเกิดขึ้น เจ้าชายทั้งสองจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านช่วงปิดภาคเรียนปีละครั้งเท่านั้น โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีผลการเรียนที่ดี โชคดีที่ท่านสองทำคะแนนได้ดีตามเกณฑ์ เจ้าชายรณฤทธิ์เล่าว่าท่านไม่ได้มีรถยนต์ของตัวเอง ทุกครั้งที่กลับจากฝรั่งเศสในช่วงปิดเทอมนั้น ท่านใช้รถของพี่สาว คือ เจ้าหญิงบุปผาเทวี และรถของเจ้าหญิงรัศมีโสภาที่เลี้ยงดูท่านมา ข้อกล่าวหาของพระบิดาจึงไม่เป็นธรรมกับท่านมาก เรื่องความสัมพันธ์อันห่างเหินระหว่างเจ้าชายรณฤทธิ์กับพระบิดา รวมทั้งการที่เจ้าชายสีหนุในฐานะประมุขแห่งรัฐไม่ยอมประกาศชื่อรัชทายาทนั้น เป็นเรื่องซุบซิบนินทาเล็ดรอดออกมาจากราชสำนักกัมพูชาว่าเป็นการเมืองเรื่องครอบครัวด้วย ถึงแม้เจ้าชายสีหนุจะอยากใกล้ชิดโอรสองค์โตมากกว่านี้ก็คงไม่อาจทำได้ เพราะพระองค์ทรงอยู่ภายใต้อิทธิพลของพระราชินีโมนิก บรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งสายราชสกุลนโรดม และราชสกุลสีสุวัตถิ์ มีความเชื่อไปในทางเดียวกันว่าพระราชินีโมนิกทำทุกวิธีทางเพื่อให้โอรสทั้งสองของพระนางคือ เจ้าชายสีหมุนี และเจ้าชายนรินทรพงษ์อยู่ใกล้ชิดกับพระบิดามากกว่าลูกคนอื่นๆ แต่เจ้าชายรณฤทธิกลับเปิดใจกว้างในเรื่องนี้ "เป็นเรื่องธรรมดามากที่พระราชินีโมนิกจะพยายามสนับสนุนส่งเสริมลูกๆ ของพระนางมากกว่าลูกของคนอื่น ข้าพเจ้ามองไม่เห็นว่าจะมีความตั้งใจที่จะแยกพ่อออกไป" เรื่องกระซิบกันให้แซ่ดจากราชสำนักกัมพูชาอีกเรื่องหนึ่งถึงสาเหตุที่ทำให้กษัตริย์สีหนุทรงห่างเหินกับบรรดาโอรสและธิดา คือพฤติกรรม "เพลย์บอย" ของพระองค์ ก่อนหน้าที่จะพบและเสกสมรสกับพระราชินีโมนิก กษัตริย์สีหนุมักจะทรงใช้เวลากับสาวๆไปพร้อมกับการบริหารราชการแผ่นดินจนไม่มีเวลาเหลือให้ลูกๆ "นั่นเป็นวิถีชีวิตของพ่อในฐานะที่เป็นกษัตริย์" เจ้าชายรณฤทธิ์ยังเล่าถึงชายาคนสุดท้ายของพ่อว่า ท่านเคารพพระราชินีโมนิกทั้งในฐานะมารดาเลี้ยงและฐานะที่เป็นพระราชินีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา แม้ว่าจะได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบเกี่ยวกับพระราชินีอยู่เสมอ "แต่พระราชินีโมนิกอยู่เคียงข้างพ่อตลอดเวลา ช่วยเหลือพ่อ ยอมให้พ่อต่อสู้เพื่อประเทศชาติ" เจ้าชายรณฤทธิ์อายุเพียงแปดขวบตอนที่กษัตริย์สีหนุพบและตัดสินใจอยู่ร่วมกับพระนางโมนิก กษัตริย์สีหนุเสกสมรสอย่างเป็นทางการกับพระราชินีโมนิกในปี 2498 ซึ่งเป็นปีที่กษัตริย์สีหนุทรงสละราชบัลลังก์ให้กับพระเจ้าสุรมฤต ผู้เป็นพระบิดา พระบาทสมเด็จสุรมฤตสิ้นพระชนม์ปี 2503 ตอนนั้นเจ้าชายรณฤทธิ์อายุ 16 ปี เจ้าชายสีหมุนี 7 ชันษา และเจ้าชายนรินทรพงษ์ 6 ชันษา ราชบัลลังก์กัมพูชาไร้กษัตริย์และรัชทายาทนับแต่นั้นมา อดีตกษัตริย์สีหนุเลือกที่จะต่อสู้ทางการเมืองแบบไร้บัลลังก์ยาวนานมาถึง 33 ปีโดยไม่ยอมแต่งตั้งรัชทายาท พระองค์ทรงตัดสินใจคืนสู่ตำแหน่งกษัตริย์อีกครั้งในปี พ.ศ. 2536 และท้ายสุด เลือกที่จะสละตำแหน่งกษัตริย์เป็นครั้งที่ 2 ในปี 2547 ให้กับเจ้าชายนโรดม สีหมุนี โอรสที่ประสูติกับพระราชินีโมนิก ซึ่งไม่ได้ผิดไปจากความคาดหมายและเสียงซุบซิบนินทาที่แพร่สะพัดทั่วราชอาณาจักรกัมพูชาก่อนหน้านี้ เรื่องการสืบสันติวงศ์ของราชบัลลังก์กัมพูชานั้นซับซ้อนยิ่งนัก เพราะนอกจากการต่อสู้แย่งชิงกันของสองราชสกุล คือ ราชสกุลนโรดม และราชสกุลสีสุวัตถิ์แล้ว ยังมีอำนาจคุกคามแบบซ่อนเร้นจากภายนอกทั้งจากซีกโลกตะวันตกคือ ฝรั่งเศส และราชสำนักสยาม และเวียดนาม ฝรั่งเศสสามารถจัดการให้กัมพูชาเป็นรัฐในอารักขาได้โดยราบรื่น ในปี พ.ศ. 2406 จากการเชื้อเชิญอย่างลับๆของกษัตริย์นักองค์ด้วง (King Ang Duong) และเจ้านโรดม พระโอรสองค์โตของนักองค์ด้วง ทั้งสองพระองค์ได้ขอให้ฝรั่งเศสช่วยกัมพูชาให้เป็นอิสระจากอำนาจของสยามและเวียดนาม ก่อนหน้านี้ องค์ด้วงถูกเชิญตัวมาประทับอยู่ที่ราชสำนักสยามนานถึง 27 ปีตั้งแต่พระองค์อายุ 16 ชันษาและถูกส่งกลับไปปกครองกัมพูชาในนามของสยาม กษัตริย์นักองค์ด้วงทรงส่งราชโอรสสองพระองค์ คือ เจ้าชายนโรดม และเจ้าชายสีสุวัตถิ์ มารับการศึกษาที่สยาม และทรงแต่งตั้งเจ้าชายนโรดมเป็นรัชทายาท เจ้าชายนโรดมเป็นโอรสที่เกิดจากชายาชาวสยามที่กษัตริย์องค์ด้วงพากลับไปที่ราชสำนักกัมพูชาด้วย กษัตริย์องค์ด้วงสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2403 แต่เจ้าชายรัชทายาทต้องรอไปอีกเกือบสี่ปีกว่าที่จะสามารถประกอบพิธีราชาภิเษกได้ เพราะทางสยามยึดเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไว้ ทั้งนี้ หนังสือ "A History of Cambodia" ที่เขียนโดย David Chandler ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพิธีราชาภิเษกของเจ้าชายนโรดมไว้ว่า "...มีข้อมูลของฝรั่งเศสหลายชิ้นที่บันทึกถึงสิ่งที่น่าหัวร่อที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันระหว่างการประกอบพระราชพิธี นั่นคือฝ่ายสยามและฝ่ายฝรั่งเศสทะเลาะกับเกี่ยวกับลำดับ พิธีการ และเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ในขณะที่เจ้านโรดมก็ทรงเพ้อฝันอย่างไม่เดียงสาด้วยการประกาศยอมสวามิภักดิ์ต่อทั้งกษัตริย์สยามและฝรั่งเศส เป็นครั้งสุดท้ายที่กรุงเทพฯเป็นผู้คัดเลือกและประกาศพระนามของพระมหากษัตริย์กัมพูชา" ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ทหารพม่ายิงปืนใหญ่ถล่มใส่หมู่บ้านในรัฐฉาน - ชาวบ้านเจ็บ 1 ราย Posted: 17 Nov 2012 05:38 AM PST ทหารพม่ายิงปืนใหญ่ถล่มใส่หมู่ มีรายงานว่า เมื่อช่วงดึกคืนวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา เกิดเหตุทหารพม่าฐานประจำการเมื แหล่งข่าวชาวบ้านในพื้นที่เปิ มีรายงานอีกว่า เมื่อวันที่ 8 และ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุทหารพม่ายิงกระสุนปื เกี่ยวกับเรื่องนี้ พ.ท.จายทู รองเลขาธิการกองกำลังไทใหญ่ SSA "เหนือ" กล่าวว่า ในพื้นที่กิ่งอ.เมืองง้อ มีทหารกองกำลังไทใหญ่ SSA "เหนือ" เคลื่อนไหวอยู่ แต่ไม่มีเหตุผลที่ทาง SSA "เหนือ" จะยิงปืนใส่หมู่บ้านของประชาชน เพราะประชาชนไม่ได้เป็นศัตรูกับ SSA "เหนือ" ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นเป็ ทั้งนี้ ในพื้นที่กิ่งอำเภอเมืองง้อ และเมืองจ๊อกแม รัฐฉานภาคเหนือ มีทหารกองกำลังไทใหญ่ SSA "เหนือ" และ "ใต้" รวมถึงกองกำลังปะหล่อง TNLAเคลื่อนไหวอยู่ ที่ผ่านมาได้เกิดการปะทะกั อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ จายตานหม่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพื้นที่ จากพรรคไทใหญ่ SNDP (พรรคเสือเผือก) ได้ลงไปสำรวจเก็บข้อมูลความเสี ปัจจุบันในพื้นที่เมืองง้อ , ต้อส่าง , เมืองจ๊อกแม และ เมืองมีด มีกำลังทหารพม่าเคลื่อนไหวอยู่
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ "คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 17 Nov 2012 04:54 AM PST อ่านประกายสำนึก ของ พ.กิ่งโพธิ์ เรื่อง "เงินกับสมณศักดิ์" ความว่า เจ้าอาวาสวัดพระยาญาติฯ อัมพวา ท่านเล่าว่าพระครูชั้นโทสัญญาบัตร ต้องห้าแสนถึงหนึ่งล้านยากทานทัด เป็นเจ้าคุณต้องจ่ายอัฐสิบล้านขึ้นไป มีท่านเจ้าคุณชั้นเทพเมืองแม่กลอง อยากเลื่อนขั้นไว้ฉลองแบบต้องได้ ยี่สิบล้านบาทจ่ายวิ่งเต้นเล่นกับไฟ เป็นแมลงเม่าเผาไหม้ไกลชั้นธรรม จากไทยโพสต์ ฉบับวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
ทั้งๆ ที่ ก่อนหน้านี้ พ.กิ่งโพธิ์ ก็เขียนลง ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๑ ความว่า ถามมหาจุฬาฯ เป็นข้าราชการนานแล้วนะ เหลือความเป็นพระแค่ไหน อธิการบดีมหาจุฬาฯ ว่ายังไง นุชนาถ (อ้อ) คือใครบอกที! เงินบริจาควัดไร่ขิงใครขน วัดชัยมงคลอ่างทองท่านรู้นี่ ขอเถอะตรวจทานอธิการบดี เสริมสร้างศักดิ์ศรีมหาจุฬาฯ ข้าพเจ้าได้ทำหนังสือถึงเจ้าคณะกรุงเทพฯ ซึ่งก็คือ นายกสภามหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และเจ้าคณะภาค ๑ ตลอดจนเจ้าคณะหนกลาง ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของอธิการบดีมหาจุฬาฯ ว่าถ้าผู้ที่ถูกกล่าวหา เป็นผู้บริสุทธิ์ ก็ควรฟ้องหนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ และผู้เขียน ถ้าเป็นอลัชชีตามข้อกล่าวหา ก็ควรให้ลาสมณเพศไป แต่ไม่ได้รับคำตอบเอาเลย จึงเขียนถึงผู้ตรวจการแผ่นดินและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งตอบมาว่า ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับอธิกรณ์ของสงฆ์ แล้วถ้อยคำของ พ.กิ่งโพธิ์ล่าสุดนี้เล่า ก็เอ่ยชื่อเจ้าอาวาสวัดพระยาญาติ อัมพวา อย่างโจ่งแจ้ง ว่าต้องจ่ายเงินกันเท่าไรต่อเท่าไร จึงจะได้เลื่อนสมณศักดิ์ แต่แล้วกรรมการมหาเถรสมาคมก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกระนั้นหรือ ยิ่งเมื่อปีกลาย หัวหน้าใหญ่แห่งวัดพระธรรมกายก็ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ทั้งๆ ที่สมเด็จพระญาณสังวร องค์มหาสังฆปรินายกมีลายพระหัตถ์ออกมาชัดเจนว่าเขาคนนี้ต้องอทินนาทานปราชิก หมดความเป็นพระแล้ว และถูกฟ้องร้องจนถึงอัยการเตรียมส่งสำนวนขึ้นศาลแล้ว หากทักษิณ ชินวัตร สั่งให้ยุติคดีนี้เสีย อย่างถูกหรือผิดกฎหมาย ถ้าคณะสงฆ์อยู่ใต้อาณัติเงินและอำนาจถึงเพียงนี้ แล้วสถาบันหลักของบ้านเมืองจะดำรงอยู่ได้ละหรือ อนึ่งการสอบนักธรรม สอบเปรียญ ก็ลอกคำตอบกันซึ่งๆ หน้า แถมมีการส่งตัวแทนไปสอบแทนจนจับได้ แต่ก็ปิดความไว้ ไม่ให้อลัชชีปรากฎเป็นข่าว มิใยต้องเอ่ยถึงสามเณรแต๋วที่ขายตัวตามสถานที่ต่างๆ เมื่อวานข้าพเจ้ากลับจากต่างประเทศ นั่งรถแทกซี่กลับบ้านจากท่าอากาศยาน คนขับบอกว่าเขาไม่อาจนับถือพระได้อีกแล้ว ทางปทุมธานีที่เขาอาศัยอยู่ สมภารวัดข้างๆ บ้าน เป็นเจ้าคณะตำบล แทงหวยทีละสามหมื่นถึงสามแสน พระลูกวัดตกปลากินกันและกินเบียร์กินเหล้ายามวิกาลอย่างเอิกเกริก เจ้าคณะตำบลก็ขนเงินไปแทงหวยกับเจ้าคณะอำเภอ ซึ่งค้ายาบ้าด้วยกัน นี่วัดวาอารามมิกลายเป็นซ่องโจรกันไปกลายๆ แล้วหรือ แน่นอนวัดที่ดีก็มี พระที่ดีก็มี แต่ถ้าปล่อยให้อลัชชีมีอิทธิพลกว้างขวางถึงขนาดนี้แล้ว แต่มหาเถรสมาคมกลับไม่สนใจใยดีเอาเลย หากอุดหนุนพวกตัวให้ได้สมณศักดิ์สูงๆ ขึ้นไป โดยเงินที่รีดไถกันมาเป็นช่วงๆ นั้น ถึงกรรมการมหาเถรสมาคมรูปไหนบ้างไหม ขอพูดถึงอธิการบดีมหาจุฬาฯ ที่เป็นเจ้าอาวาสวัดประยูรวงศ์อีกนิด เพราะนายเตช บุนนาค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถวายเรือนไทยอันงดงามมากของบิดามารดาให้วัดประยูร เพราะตระกูลนี้เกี่ยวข้องกับวัดนั้นมาโดยตรง แต่แล้วเจ้าอาวาสกลับบอกว่าจะขอรับเอาไปปลูกที่ของมหาจุฬาฯ ทางวังน้อย โดยจ้างผู้รับเหมาที่ปราศจากความรับผิดชอบ มาขนเอาไม้ไปไว้ที่นั่น ไม้แต่ละชิ้นสลักลวดลายอย่างงดงาม ฝีมือคุณตุล บุนนาค และคุณมิตรอรุณ เมื่อทางวังน้อยถูกอุทกภัย ไม้เหล่านั้นลอยน้ำหายไปมิใช่น้อย โดยมีใครรับผิดชอบบ้างไหม ผู้ไม่รับผิดชอบเช่นนี้ใช่ไหม ที่ควรแก่การเลื่อนสมณศักดิ์ และเหมาะสมกับการเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ในขณะที่เจ้าอาวาสวัดประยูรวงศ์ ในสมัยราชาธิปไตย ซึ่งทรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมไตรโลกาจารย์ ถูกอธิกรณ์เรื่องปฐมปราชิก สมเด็จพระสังฆราชเจ้าวัด ราชบพิตร ตรัสสั่งให้สึกไปทันทีทันใด ที่เอ่ยถึงเรื่องเรือนไทยที่นายเตช ถวายเพื่อนำไปปลูกที่มหาจุฬาฯ วังน้อยนั้น โทษกันว่าผู้รับเหมาบกพร่อง แต่อ่านงานของ พ.กิ่งโพธิ์ ฉบับต่อจากเมื่อวาน ได้ความว่า กระเบื้องเฟื่องฟูลอย มีข้อมูลพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ฉันหัวคิวคำใหญ่นักสนุกสนาน ขอรถเบนซ์-เงินสด หลายล้าน สั่งเพิ่มงานไม่เพิ่มเงินมีงอกเงย ผู้รับเหมายับย่อยนับร้อยล้าน เลิกกิจการแล้วหนาเจ้าข้าเอ๋ย มหาจุฬาฯ วังน้อย-ถดถอยเลย ข่าวผู้นำมักคุ้นเคยเสวยหัวคิว ให้ประเด็นที่ชัดเจนมากขึ้น แต่คณะสงฆ์ก็ไม่ใยไพในความทุจริตเช่นนี้ ทำให้นึกถึงสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ เพียงบัตรสนเท่ห์กล่าวหาพระรูปใดรูปหนึ่งไปในทางอัปมงคล ก็ทรงเรียกมาสอบสวน ให้ความจริงกระจ่างออกมาทันที หากบัดนี้ใช้วิธีอึมครึมกันเช่นนี้แล้ว ความโปร่งใสจะเกิดขึ้นได้อย่างไร นี่แสดงว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปมากแล้วใช่ไหม
ส.ศ.ษ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ระบบอุปถัมภ์ : ความสัมพันธ์ในสายงานราชการการเมืองของคณะรัฐศาสตร์ Posted: 17 Nov 2012 03:33 AM PST
"การเมืองไทยจะยังคงจมปลักต่ำตมไปเรื่อยๆ หากคณะรัฐศาสตร์ตามที่ต่างๆยังคงคำจำพวก สามัคคีประเพณีพี่น้อง จากสถานะเฟซบุ๊ก Aum Neko ที่เป็นชนวนประเด็น
"ความคิดเห็นส่วนตัวผม ผมมองว่าเกือบทุกคน ย้ำว่าเกือบทุกคน ต้องการอภิสิทธิ์กันทั้งนั้น (ไม่ใช่เวชชาชีวะ) "อย่าโลกสวยมากเกินไปนักเลย ที่ว่าโลกนี้มีความยุติธรรม ไม่มีระบบอุปถัมป์พวกพ้อง ไม่มีสองมาตรฐาน จากสถานะบนเฟซบุ๊กของ ปานบุญ พลบุตร
ภาพประกอบจาก : Voice of Siam ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
The Taste of Money: กังนัมกลลวง รสรักเงินร้อนรุมเร้า แรงงานแรงเงา แผดเผาชนชั้นสังคม Posted: 16 Nov 2012 08:54 PM PST
"ขอดูบัตรประชาชนด้วยค่ะ" คือคำขอของพนักงานขายตั๋วหนัง เมื่อผู้เขียนแจ้งความจำนงจะเข้าไปชิม The Taste of Money (ติดเรท +20) หนังเรื่องที่เจ็ดของผู้กำกับ อิม ซัง ซู เจ้าของผลงานหนังวิจารณ์สังคมและการเมืองอันเผ็ดร้อน อย่างเรื่อง The President's Last Bang ที่ฉายเมื่อหกเจ็ดปีที่แล้ว อันเป็นเรื่องนายพล ปาร์ก จุง ฮี ประธานาธิบดีคนที่สามของเกาหลีใต้ผู้ปกครองประเทศมายาวนานถึง 18 ปี ถูกลอบสังหารโดย นาย คิม แจ ยู ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2522 ผู้เขียนรู้สึกทึ่งที่ได้รู้โดยบังเอิญว่า ปาร์ก จุง ฮีและประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ของฟิลิปปินส์ นั้นเกิดปีเดียวกัน เดือนเดียวกัน คือกันยายน ปี พ.ศ. 2460 อายุห่างกันแค่ไม่กี่วัน เพราะทั้งคู่เหมือนกันตรงที่ด้านหนึ่งนั้นเป็นที่เคารพบูชาเรื่องการพัฒนาประเทศในด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในประมาณช่วงต้นทศวรรษที่ 60 ถึงราวต้นทศวรรษที่ 80 แต่อีกด้านหนึ่งนั้น เป็นจอมเผด็จการที่ละโมบและบ้าอำนาจ และเหมือนกันที่ลูกหลานทายาททางชีวภาพและการเมืองก็ยังคงมีบทบาทหรือพยายามมีบทบาทในแวดวงมายาการเมืองกันโกลาหลจนถึงทุกวันนี้
ส่งบัตรประชาชนให้ดู ส่งเงินจากกระเป๋าตังค์แฟบๆ เพื่อแลกเปลี่ยนรสชาติของ "เงิน" ที่กำลังจะได้ลิ้มลองในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า สายตาเหลือบไปเห็นโปรโมชั่นสุดพิเศษ ใช้บัตรเครดิตใบนั้นใบนี้ได้ลดค่าหนัง อีกใบได้สะสมแต้ม เดินไปรอหน้าโรงหนัง เห็นแถวมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ท่านๆ ที่พกบัตรหลายใบ ทั้งบัตรแทนเงิน เติมเงิน ลดเงิน คู่รักชายหญิงหลายคู่เดินคล้องแขนเตรียมเข้าโรงหนังแต่เป็นโรงข้างเคียงทั้งสิ้น ผีแวมไพร์ทไวไลท์และประเด็นเรื่องคบชู้ของดารานำ ดูจะเรียกแต้มบัตรและดูดสูดเอาเงินของผู้ชมได้มากกว่าเรื่องที่มีชื่อเรื่องและเนื้อหาเกี่ยวกับเงินโดยตรง เพราะพอเดินเข้าไปในโรงหนังหมายเลขที่พิมพ์กำกับบนตั๋ว ก็เห็นว่ามีคนในโรงประมาณห้าคน รวมตัวผู้เขียนแล้วด้วย เป็นการตอกย้ำความจริงของชีวิตอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนได้เรียนรู้ในช่วงระยะยี่สิบเก้าปีที่ได้เกิดมาใช้ชีวิตบนโลกนี้ สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราคิด มักจะไม่ค่อยตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือจะเกิดขึ้นจริงๆ สักเท่าไหร่นัก และข้อความจริงที่ว่าเปลือกนอกมักไม่แมทช์เปลือกใน ก็เป็นธีมของหนังเรื่อง The Taste of Money เปิดเรื่องมา ตัวเอกของเรา คือ ยองจัก กำลังหอบเงินใส่กระเป๋าเดินทางตามคำสั่งของเจ้านายคือ ท่านประธานยูน ซึ่งเมื่อหลายปีมาแล้วได้แต่งงานกับภรรยาที่รวยมากเพียงเพื่อเงินและเพื่ออัพสถานภาพตัวเอง เงินในกระเป๋าเดินทางที่ว่านั้นได้เดินทางไปกับทั้งสองไปยังจุดหมายคืออัยการคนหนึ่ง เหตุผลต้นตอของการขนเงินก็คือเพื่ออุดอัยการ ให้ลูกชายของท่านประธานพ้นผิดเรื่องหลบ หลีก เลี่ยงภาษี อัยการบ่นอุบว่าเงินจะทำให้เขาตกอยู่ในที่นั่งลำบากแต่ก็รับไปอยู่ดี ผล: เอวาจู่ๆ ก็จมน้ำในสระว่ายน้ำตาย เหมือนในเมืองไทยที่จู่ๆ มีคนถูกยิงตายในผับที่เผอิญมีลูกนักการเมืองนั่งกินกับแกล้มอยู่ ภรรยาว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ผิดอะไรทั้งสิ้น แต่ยองจักและลูกสาวแน่ใจทีเดียวล่ะว่าภรรยานี่แหละตัวดี กำจัดคนเป็นว่าเล่นเหมือนกำจัดแมลงวัน ท่านประธานเสียใจ เสียสติ ฆ่าตัวตายในที่สุด ยองจักเริ่มจิตหลุด เริ่มเอาปึกเงินในห้องเซฟของครอบครัวเจ้านายสอดใส่ให้ครบตามรูกระเป๋าตามตัว รสของเงินนั้นร้อนรุ่มสุมไฟเผา เขารู้สึกผิดบาปที่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวต้นเหตุการตายของคนบริสุทธิ์ ก็เลยเอาปึกเงินทั้งหมดสอดใส่เข้าไปในหีบศพของเอวา และเดินทางพร้อมหีบศพไปยังฟิลิปปินส์ ลูกสาวของท่านประธานเมื่อเสียพ่อแล้ว ก็ยังต้องมาเสียใจอีกรอบเมื่อยองจักสารภาพว่าได้นอนกับแม่ของเธอมาแล้ว แต่เพราะความรักที่ร้อนรุ่มสุมไฟเผา เธอได้ตามยองจักมาฟิลิปปินส์ด้วย
"แรงเงา" แรงงานต่างด้าว มุตา มุนิน มุสา ถอยไปค่ะ เพราะเรื่องนี้แรงกว่าแรงเงาตรงที่ "เมีย ผ.อ." เวอร์ชั่นเกาหลีเนี่ย เล่นรักกับวีกิจเพื่อแก้แค้นสามี แถมยังสั่งฆ่ามุตา/มุนิน/มุสา ได้สำเร็จ ยังไม่พอค่ะ ยังส่งแรงเงาพยาบาททำให้สามีฆ่าตัวตายได้อีก ขอถอนคำพูดค่ะที่ว่าเรื่องนี้ไม่เป็นเฟมินิสต์ แต่คำว่า "เฟมินิสต์" สมัยนี้ใช้จนเกร่อและเกลื่อนเหลือที่จะทน "วูแมนทัช" ถูกแปลและแปลงความหมายจนไม่รู้แล้วว่ามันแปลว่าอะไรกันแน่ เอาเป็นว่ามุตา มุนิน มุสา กลับถูกแปรสภาพมาเป็นเอวา แม่บ้านชาวฟิลิปปินส์ที่จมน้ำตายอย่างลึกลับ ตายไปนานแล้ว ถูกชิปกลับบ้านมั้งโลงก็ยังมีฉากลืมตามองเงินรอบตัวที่ยองจักสอดเข้าไปให้เพื่อเป็นการไถ่บาปพร้อมกรีดร้อง แน่นอน ผู้กำกับของเรากำลังจะเล่าเรื่องผีเช่นกัน เล่าเรื่องผีผ้าห่มไม่พอ เขายังเล่าเรื่องผีแรงงานต่างด้าว ผีหัวหน้าใหญ่แห่งทุนนิยมและชนชั้นสังคมชนิดที่ว่าไม่คิดจะเผาผีเลยทีเดียว
หากเราคิดเล่นๆ ท่านประธานก็คือชนชั้นกลางที่ตะเกียกตะกายขึ้นมาเป็นไฮโซโดยการแต่งงานจับคนที่รวยกว่า ภรรยาคือชนชั้นสูงมีเงินใช้เงินอย่างบ้าคลั่งโดยที่ไม่รู้สึกรู้สมอะไร ยองจักซึ่งเป็นคนมีการศึกษาคือตัวแทนชนชั้นกลาง ตัวแทนมนุษย์เงินเดือนที่หลับหูหลับตาทำงานให้คนชนชั้นท่านประธานและภรรยาโดยไม่ตั้งคำถามเท่าไหร่นัก ชนชั้นกลางนี้แหละตัวดี ถูกล้างสมองได้ง่ายมาก ดังที่ Pierre Bourdieu นักคิดชาวฝรั่งเศส ได้กล่าวไว้ว่าเรามักจะตกเป็นเหยื่อของวาทกรรมอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราผ่าน "Rites of Institution" หรือ "Rites of Passage" ซึ่งก็คือพิธีกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อจรรโลงและคงอำนาจของสถาบันต่างๆ อนึ่ง เมื่อเห็นคำว่า "พิธีกรรม" แล้วก็อย่าไพล่ไปนึกถึงการเต้นรำรอบกองไฟเสียเพียงอย่างเดียว เพราะมันมีความหมายที่กว้างกว่านั้น การผ่านพิธีกรรมอันเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันนั้นหมายถึงการผ่านการกระทำอะไรบางอย่างที่จัดวางระเบียบความคิดของเราให้เป็นไปในทางที่คงอำนาจและจรรโลงอำนาจของชนชั้นนำในสังคม ที่ทำให้เราคิดเห็นว่าการไม่เสมอภาคเท่าเทียมกันทางสังคมนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ เหมือนเรื่องสิว ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวคือเรื่องคำนำหน้าจากการศึกษา การเขียนวิทยานิพนธ์เพื่อจบปริญญาเอกอัพสถานะเป็น ดอกเตอร์ นั้นเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่เมื่อผ่านแล้ว ก็จะได้คำนำหน้าที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต เหมือนสิวหัวช้างที่ไม่เป็นธรรมชาติ เพราะสิวที่เป็นธรรมชาติ เฉกเช่นสรรพสิ่งทั้งหลาย มีเกิดก็ต้องมีดับ แม้มือตก งานวิชาการของ"ดอกเตอร์เซมเบ้" กลับกลายเป็นห่วยแตกเพียงใด การลดระดับความสามารถนั้นจะไม่กระทบคำนำหน้าและสถานะของ "ดอกเตอร์เซมเบ้" แม้เพียงสักนิดเพราะสังคมนี้เป็นสังคมที่ตัดสินกันด้วยคำขึ้นต้น รูปลักษณ์ และทรัพย์สิน ส่วนคำว่า "สถาบัน" หมายรวมถึงบริษัทธุรกิจและครอบครัวต่างๆ ด้วย (กรุณาอย่าใช้คำนี้ในเชิงของการเมืองร่วมสมัยแต่เพียงนัยยะเดียว) ไม่ว่าจะเป็นสถาบันของตระกูลท่านประธานในหนังเรื่อง The Taste of Money สถาบันการทหาร หรือ สถาบันการศึกษา หากจะยกตัวอย่างสิ่งแทน ก็ขอให้นึกถึงกำใลหยกสีเชียว (ดูแล้วแสบตา) ที่สมาชิกครอบครัวและพนักงานของตระกูลเจ้าในละครเรื่อง "กี่เพ้า" ต้องใส่กันทุกคน และต่างมองว่าเรื่องการได้รับเข้ามาอาศัยอยู่หรือทำงานในบ้านตระกูลเจ้านั้นเป็นตัวบ่งชี้อัตลักษณ์และความหมายของชีวิตทั้งชีวิต เรียกได้ว่าร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายอเมื่อถูกริบกำไลหยก เช่นเดียวกับที่ทหารถูกถอดยศ หรือ นักเรียนนักศึกษาถูกสั่งเพิกถอนสถานภาพนักเรียนนักศึกษา ที่สามารถทำให้คนเหล่านี้คิดปลิดชีพตัวเองเพราะคิดว่าเมื่อไม่ได้อยู่ในสถาบันแล้วชีวิตไร้ความหมาย เป็นต้น เอวาคือชนชั้นแรงงานที่ปากกัดตีนถีบ เป็นผลของเศรษฐกิจและการเมืองภายในที่ล้มเหลว ต้องจากบ้านไปเป็นแรงงานต่างด้าวส่งเงินมาเลี้ยงดูลูกและคนในประเทศบ้านเกิด เป็นพวก Subaltern หรือ กลุ่มคนที่ถูกกดขี่ ไม่มีปากมีเสียงในโครงสร้างสังคม และครั้นจะมีปากมีเสียงขึ้นมา ก็เป็นประเด็นชวนคิดอีกว่าจะเปล่งเสียงเรียกร้องสิทธิอะไรจริงๆ ได้มั้ย ฤาเป็นได้แค่กระบอกเสียงของผู้ทรงอำนาจที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง คำถามที่ว่า Subaltern พูดได้มั้ย Gayatri Chakravorty Spivak นักคิดชาวอินเดีย (ที่โด่งดังในหมู่นักเรียนไทยและนักเรียนเทศในสังกัดของผู้เขียน ในฐานะที่เป็นนักคิดที่เขียนหนังสืออ่านยากมาก และในฐานะคนที่แปล Derrida… ไม่ธรรมดา อ๊ะอ้า ไม่ธรรมดา) ว่าไว้ว่า "ไม่ได้นะคะ" เพราะระบบภาษาและระบบความคิดที่จะใช้เป็นฐานในการเปล่งเสียงร้องนั้น เป็นส่วนหนึ่งของวาทกรรมอำนาจชนชั้นนำมานานแสนนาน เอวาต้องเล่นไปตามกระแสทุนนิยม แม้จะไม่ได้รักท่านประธานสุดหัวจิตหัวใจ หรือ แม้เกลียดภรรยาท่านประธานเข้ากระดูกดำ เธอก็ทำอะไรไม่ได้ พูดอะไรไม่ได้ เพราะระบบสังคมคือระบบที่ตั้งบนฐานของเงิน บนฐานของความไม่เสมอภาคทั้งทางเพศและทางอำนาจ เธอจึงจำต้องก้มหน้าทำงานเพื่อส่งเงินเลี้ยงดูลูกต่อไปจนตายไปข้างหนึ่ง ในหนังเราจะเห็นว่ายองจักนั้นลุกขึ้นมามีปากมีเสียงกับครอบครัว ท้าทายระบบอำนาจชนชั้น จากภายในของระบบนั้นๆ เช่นเดียวกับที่ประวัติศาสตร์การปฏิวัติทางการเมืองนั้นมักก่อกำเนิดหรือดำเนินการโดยมีชนชั้นกลางผู้มีการศึกษา หรือแม้กระทั่งชนชั้นนำที่คุ้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของระบบโครงสร้างอำนาจ เป็นแกนนำทั้งสิ้น
คือคำถามที่ผู้เขียนได้ยินเมื่อก้าวเดินออกจากโรงหนัง เสียงนั้นเป็นเสียงผู้หญิง ดังมากจากร่างที่เดินคล้องแขนแฟนหนุ่มซึ่งตอบกลับมาว่า
ซึ่งทำให้ผู้เขียนอยากจะถามพวกเขาจริงๆ ว่า ตกลงนี่เราเพิ่งดูผีดูดเลือดทไวไลท์ หรืออะไรกันแน่คะ นึกถึงเอวาที่ตายไปแล้วก็กลายเป็นผีที่ลืมตาหันมาหลอกคนดูที่ใช้บัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรสะสมส่วนลดแลกกับตั๋วหนังในวันนี้ ดูสิดู หรือเอวากำลังถลึงตา ตามหลอกหลอนชนชั้นกลาง—ยอดมนุษย์เงินเดือนที่ยังไม่ "เก๊ท" หรือไม่อยาก "เก๊ท" กังนัมกลลวงของสังคมชนชั้น ทั้งหลาย???
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ชี้ โอบามาควรใช้โอกาสเยือนไทยปรับเปลี่ยนนโยบายสหรัฐต่อไทย Posted: 16 Nov 2012 03:32 PM PST ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ระบุ อเมริกาควรใช้โอกาสเยือนไทยทำความรู้จักกลุ่มอำนาจใหม่ๆ ในการเมืองไทย และการเปลี่ยนจุดยืนต่อการเมืองไทยเสียใหม่ผ่านบทความ Obama's Chance to Shift the Thai Stance ในบทความดังกล่าว ปวิน ระบุว่า การที่บารัค โอบามา ประเดิมการทำหน้าที่ในตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองด้วยการเยือน กัมพูชา พม่าและไทย ในระหว่างวันที่ 17-20 พ.ย. นี้ ความสนใจของสหรัฐนั้นมุ่งไปที่การแสดงบทบาทในการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออกที่จัดขึ้นในพนมเปญ และเยือนพม่าเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐที่เยือนพม่าด้วย ขณะที่การเยือนกรุงเทพฯ นั้นได้รับความสนใจจากทั้งทางวอชิงตันและสื่อระดับโลกน้อย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะไทยและอเมริกามีความสัมพันธ์แนบแน่นมาเป็นเวลานาน ประเทศไทยเป็นประเทศพันธมิตรอันยาวนานที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของสหรัฐอเมริกา และได้รับสถานะเป็น "ชาติพันธมิตรหลักนอกกลุ่มนาโต้" (major non-NATO ally) เมื่อพ.ศ. 2547 ทั้งสองชาติมีการซ้อมรบร่วมกันในภารกิจ "คอบร้า โกลด์" มาอย่างยาวนาน ความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งอย่างยิ่งของทั้งสองชาติอาจจะทำให้ไทยกลายเป็นของตายสำหรับสหรัฐ ในขณะเดียวกัน สหรัฐก็เลือกที่จะเงียบเมื่อสถานการณ์ภายในประเทศไทยเข้าสู่ภาวะที่เกิดความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา "เหตุผลที่สหรัฐล้มเหลวในการส่งเสริมประชาธิปไตยในไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพราะความรับรู้เกี่ยวกับการต่อสู้ทางอำนาจในไทยนั้นยังคงติดอยู่ในโครงสร้างที่เก่า ล้าสมัย ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหรัฐนั้นถูกกำหนดและครอบงำโดยความร่วมมืออันทรงประสิทธิภาพระหว่างกองทัพและสถาบันกษัตริย และผลประโยชน์ของอเมริกาซึ่งดำรงอยู่โดยอาศัยความร่วมมือนี้ และผลก็คือ สหรัฐดูเหมือนจะแสดงออกในลักษณะสนับสนุนกลุ่มอำนาจเก่าในการใช้กำลังจัดการกับการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยของขบวนการเสื้อแดงซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการว่า แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)" ปวินระบุในบทความพร้อมชี้ต่อไปว่า เฉพาะแค่ประเด็นผลประโยชน์ของสหรัฐนั้นก็คงไม่เพียงพอที่จะอธิบายการสนับสนุนกลุ่มอำนาจเก่าของไทย แต่จากที่ได้สัมภาษณ์นักการทูตทั้งไทยและสหรัฐจำนวนมาก เขาสรุปได้ว่า "ทัศนคติของสหรัฐนั้นมีพื้นฐานมาจากการที่แผนกการเมืองของสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยขาดความเข้าใจและขาดความสนใจต่อพัฒนาการทางการเมืองไทย" "การสิ้นสุดสงครามเย็นและการค่อยๆ คลายบทบาทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทยในช่วงทศวรรษ 2530 และในช่วงรัฐบาลทักษิณระหว่างปี 2544-2549 ได้สร้างสุญญากาศด้านข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมืองในประเทศไทย สุญญากาศนี้เป็นตัวขัดขวางสหรัฐอเมริกาในการปรับเปลี่ยนนโยบายต่อประเทศไทย แม้ว่าบริบทการเมืองของไทยในประเทศและระหว่างประเทศจะได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยยะสำคัญ" ปวินกล่าวว่า ทางการสหรัฐยังคงดำเนินความสัมพันธ์กับไทยบนพื้นฐานความรับรู้เดิมๆเกี่ยวกับประเทศไทย แม้ว่าในทางหนึ่งก็ไม่เคยหยุดที่จะสนับสนุนการพัฒนาประชาธิปไตยไทยแบบดีแต่พูด (Lip Service) นโยบายของอเมริกาในการปกป้องสถานภาพและเป็นประโยชน์กับกลุ่มเศรษฐีและชนชั้นนำที่มีอิทธิพลทางการเมืองทำให้มุมมองและโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเลือกในการดำเนินนโยบายของของสหรัฐคับแคบมาก และภาพลักษณ์ที่อเมริกามองผู้นำทางการเมืองของไทยทั้ง 2 ขั้วก็แตกต่างกัน คือสหรัฐมองว่ากลุ่มอำนาจเก่าเป็น "มิตรที่เชื่อถือได้" ขณะที่มองกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งเชื่อมโยงกับทักษิณ ชินวัตรว่าเป็น "ภัยคุกคาม" ของประชาธิปไตยตามจารีตเดิมของไทย "ตลอดเทอมแรกของรัฐบาลโอบามานั้นล้มเหลวหลายครั้งในความพยายามที่จะบาลานซ์ระหว่างการสนับสนุนกลุ่มชนชั้นนำเก่าและการพยายามแสดงความเห็นอกเห็นใจคนเสื้อแดง" ปวินระบุว่า การพยายามเข้ามาแทรกแซงแต่ล้มเหลวของนายเคิร์ท แคมป์เบลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่พยายามจะเข้ามาพูดคุยกับผู้นำทั้งในฝั่งเสื้อแดงและตัวแทนของกลุ่มผู้นำไทยในช่วงต้นปี 2553 นั้นกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมระหว่างสองประเทศ นอกจากความพยายามของนายแคมป์เบลล์ที่ล้มเหลวแล้วนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้รับการหนุนหลังจากกลุ่มผู้นำเก่า ให้ส่งนายเกียรติ สิทธีอมร ไปยังวอชิงตันเพื่อต่อว่าการที่อเมริกาพยายามเข้ามาแทรกแซงในสถานการณ์ความขัดแย้ง ทังนี้ความพยายามที่จะเข้าถึงคนเสื้อแดงก็ดูเหมือนจะทำให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้บรรลุเป้าหมายส่วนตัวมากกว่าการบรรลุเป้าหมายในระดับนโยบายของประเทศ ปวินระบุว่าในความเป็นจริงแล้วแท็กติกในการป้ายสีและสร้างภาพให้กับคนเสื้อแดงที่ท้าทายกลุ่มอำนาจเก่านั้นดำเนินอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของกลุ่มอำนาจเก่าและในส่วนของสหรัฐ และก็ยิ่งแย่หนักลงไปอีกเมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์กล่าวหาว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้ายและเผาห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ ในแง่นี้ การต่อสู้ระหว่างกลุ่มอำนาจเก่ากับเครือข่ายทักษิณไม่ได้จำกัดอยู่ในพรมแดนของประเทศไทย สหรัฐได้เข้ามาข้องเกี่ยวโดยตรงในเกมอำนาจ โชคร้ายที่ทักษิณไม่ใช่อองซาน ซูจีผู้ที่สามารถกำหนดนโยบายและมีอิทธิพลต่อสภาคองเกรสได้ด้วยการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ทักษิณมีปัญหามากเกินไป และเป็นภัยคุกคามต่อโครงสร้างอำนาจเก่า ในบทความดังกล่าว ปวินเสนอว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์มีภารกิจใหญ่คือไม่เพียงแต่เปลี่ยนทัศนคติของสหรัฐที่มีต่อผู้นำเก่าตามจารีตของไทย แต่ต้องปรับเปลี่ยนทักษิณให้เป็นที่ยอมรับแก่รัฐบาลสหรัฐด้วย สำหรับขบวนการคนเสื้อแดงนั้น การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอาจจะยังได้รับความสนใจจากอเมริกันไม่มากเมื่อเทียบกับประเด็นระหว่างประเทศอื่นๆ หรือประเด็นในประเทศที่ท้าทายรัฐบาลโอบามาอยู่ นอกจากนี้ พฤติการณ์ที่อาจถูกกล่าวหาได้ว่าเป็นการก่อการร้ายโดยคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งและข่าวลือเกี่ยวกับเครือข่าย "ใต้ดิน" และแผนล้มเจ้านั้นเป็นสิ่งที่สหรัฐคลางแคลงใจและทำให้สหรัฐยังคงพึงพอใจต่อกลุ่มอำนาจเก่ามากกว่า และในที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายกว่าสำหรับผู้กำหนดนโยบายในวอชิงตันที่จะทำความเข้าใจสถานการณ์ในไทยผ่านทัศนะอันคร่ำครึของตนเองและไม่ต้องไปสนใจกับปัจจัยใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ปวินทิ้งท้ายในบทความของเขาว่า ในระหว่างการเยือนกรุงเทพฯ ประธานาธิบดีโอบามาควรจะใช้โอกาสนี้ในการทำความรู้จักกับกลุ่มพลังทางการเมืองที่เป็นทางเลือกใหม่ๆ ในไทย และยังไม่สายเกินไปสำหรับสหรัฐในการยอมรับข้อเท็จจริงใหม่ๆ ของไทย ข้อเท็จจริงที่จะทำให้สหรัฐต้องการปรับเปลี่ยนสถานะของตัวเองมาเผชิญหน้าเพื่อนเก่าแก่ในกลุ่มอำนาจเก่าของไทย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น