โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ฝ่ายต้านรัฐบาลในซีเรียรวมตัวเป็นกลุ่มแนวร่วม พร้อมตั้งผู้นำคนใหม่

Posted: 12 Nov 2012 09:59 AM PST

หลังจากที่มีความขัดแย้งทางความคิดภายใน ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลหลายกลุ่มในซีเรียก็ประชุมหารือที่กาตาร์ และรวมตัวเป็นกลุ่มแนวร่วมที่หมายรวมความแตกต่างทางเชื้อชาติและศาสนา ท่ามกลางความเห็นชอบจากบางประเทศในอาหรับและตะวันตก

12 พ.ค. 2012 - ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มแนวร่วม และแต่งตั้งผู้นำคนใหม่ หลังเปิดให้มีการหารือในกาตาร์ภายใต้การจับตาของประเทศตะวันตก ประเทศอาหรับ และเจ้าหน้าที่รายอื่นๆ

เมื่อวันอาทิตย์ (11) ที่ผ่านมา ตัวแทนจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาลหลายกลุ่ม เช่นกลุ่มกบฏนักรบ, กลุ่มทหารที่ย้ายข้างไปอยู่ฝ่ายต้านรัฐบาล รวมถึงชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และศาสนาได้ยอมตกลงในที่ประชุมหารือว่าจะมีการรวมกลุ่มเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น

นอกจากนี้กลุ่มแนวร่วมต่อต้านรัฐบาลซีเรียยังได้เลือก มูอาซ อัล-คาทิบ ประธานกลุ่มแนวร่วมฯ คนใหม่ด้วยมติเอกฉันท์
มูอาซ อัล-คาทิบ อายุ 50 ปี เป็นนักปฏิรูปและเป็นอิหม่ามของมัสยิดอูเมยยาดในกรุงดามาสกัส เขาเคยถูกจับเข้าคุกหลายครั้งเพราะวิจารณ์ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรีย จนกระทั่งเขาหลบหนีออกนอกประเทศในปีนี้

หลังจากได้รับตำแหน่งประธานกลุ่มแนวร่วมฯ คาทิบ ก็เรียกร้องให้ทหารในกองทัพซีเรียออกจากกองทัพและให้ทุกนิกายสามัคคีกัน

"พวกเราต้องการเสรีภาพให้กับทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็น ซุนนี, อาลาวี, อิชมาอิลี (ชีอะฮ์), คริสเตียน, ดรูซ, อัสซีเรียน ... และสิทธิสำหรับทุกภาคส่วนของประชาชนชาวซีเรียผู้สามัคคีปรองดองกัน" มูอาซ อัล-คาทิบ กล่าว


ฝ่ายต่อต้านหมายตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลของตนเอง

ฝ่ายประเทศที่สนับสนุนกลุ่มกบฏมองว่ากลุ่มแนวร่วมต่อต้านรัฐบาลของซีเรียเป็นการทำตามแบบสภาถ่ายโอนอำนาจแห่งชาติของลิเบีย (Transitional National Council) โดยนายกรัฐมนตรีประเทศกาตาร์กล่าวให้การสนับสนุนการรวมตัวของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศของตุรกีก็กล่าวว่าไม่มีเหตุผลใดๆ ที่รัฐบาลต่างประเทศจะไม่สนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย

ขณะที่สหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสก็สนับสนุนการรวมกลุ่มในครั้งนี้อย่างแข็งขัน ซึ่งอัลจาซีร่าระบุว่าการรวมกลุ่มในครั้งนี้มีความต้องการแรงสนับสนุนทางการทูตจากประเทศพันธมิตรที่กำลังกลัวอิทธิพลจากกลุ่มนักรบต่อต้านประเทศตะวันตก ซึ่งส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มอัล-เคด้า

ความขัดแย้งในซีเรียดำเนินมาเป็นเวลา 20 เดือนแล้ว นับตั้งแต่การชุมนุมของประชาชนบนท้องถนนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากปรากฏการณ์ 'อาหรับสปริง' จนถูกกองกำลังรัฐบาลอัสซาดปราบปราม และความขัดแย้งก็ยกระดับขึ้นจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองระหว่างกลุ่มกบฏติดอาวุธและกองกำลังรัฐบาลในเวลาต่อมา

ก่อนหน้านี้เคยมีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลโดยหลักคือกลุ่มสภาแห่งชาติซีเรีย (SNC) ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าได้รับอิทธิพลจากนิกายซุนนีของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมมามากเกินไปโดยไม่เปิดโอกาสให้กับชนกลุ่มน้อยรวมถึงนิกายอาลาวี ซึ่งเป็นประชากรร้อยละ 10 ของซีเรีย ผู้ที่กลัวได้รับผลกระทบหากอัสซาดถูกโค่นล้ม เนื่องจากสงครามกลางเมืองเริ่มมีลักษณะของการแบ่งแยกนิกายมากขึ้น และปธน. อัสซาด เป็นผู้ที่นับถือนิกายอาลาวี ขณะที่คนส่วนใหญ่ในซีเรียนับถือนิกายซุนนี

การรวมกลุ่มครั้งใหม่ในคราวนี้เป็นการรวมเอากลุ่มชนกลุ่มน้อยที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนาเข้าไปด้วย ผู้สื่อข่าวอัลจาซีร่ารายงานว่า กลุ่มใหม่นี้มีชื่อแบบยาวว่า "กลุ่มแนวร่วมกองกำลังปฏิวัติและต่อต้านรัฐบาลแห่งชาติซีเรีย" (The National Coalition of the Syrian Revolutionary Forces and the Opposition)

ผู้สื่อข่าวอัลจาซีร่ารายงานจากที่ประชุมอีกว่า กลุ่มแนวร่วมฯ จะประกาศจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลของตนขึ้นมาหากพวกเขาได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก พวกเขามีอุดมคติต้องการให้ประชาคมโลกหาแนวทางช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ประกาศเขตห้ามเครื่องบินผ่าน (no-fly zone) ในทางตอนเหนือของประเทศซีเรียโดยเฉพาะในเขตอิดลิบและอเล็ปโป กลุ่มแนวร่วมฯ บอกอีกว่าพวกเขาต้องใช้เวลา 1-2 เดือนเพื่อย้ายเข้าไปจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลในพื้นที่

เรียบเรียงจาก

Syria opposition coalition picks new leader, Aljazeera, 12-11-2012

 

รายงาน: ITU จะกำกับดูแลอินเทอร์เน็ต ไทยควรมีท่าทีอย่างไร

Posted: 12 Nov 2012 09:36 AM PST

สรุปประเด็นเวที NBTC Public Forum ครั้งที่ 9 หัวข้อ ITU จะกำกับดูแลอินเทอร์เน็ต : ไทยควรมีท่าทีอย่างไร เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2555 ณ อาคารหอประชุม กสทช.

สุภิญญา กลางณรงค์ กสทช. กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงานว่า หัวข้องานเสวนาในครั้งนี้เป็นเรื่องการกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตซึ่งน่าจะมีการจัดประชุมเป็นครั้งแรก โดยหน้าที่การกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตจะมีความคาบเกี่ยวระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กับ กสทช. โดย กสทช. มีหน้าที่กำกับดูแลผู้ได้รับใบอนุญาตบริการอินเทอร์เน็ตและโทรคมนาคม ส่วนกระทรวง ICT จะผลักดันการพัฒนา ICT และดูแลนโยบายระดับชาติ รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวในเวทีระดับโลกที่จะกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) จึงเป็นโอกาสดีที่ภาคประชาสังคมและผู้บริโภค จะได้ติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดทั้งในระดับสากลและระดับชาติ และมีข้อเสนอในการกำหนดท่าทีของรัฐบาลไทยและองค์กรอิสระอย่าง กสทช.

พลอากาศเอก ธเรศ ปุณศรี ประธาน กสทช. กล่าวว่า งานนี้จัดขึ้นเนื่องจากตามที่สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) จะมีการพิจารณาหาข้อสรุปเกี่ยวกับการกำกับดูแลบริการอินเทอร์เน็ต โดยจะมีการพิจารณา และตัดสินใจขยายขอบเขตของข้อบังคับโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITRs) ตามเอกสาร Draft of the future ITRs ให้รวมถึงบริการอินเทอร์เน็ต ในการประชุมว่าด้วยการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (World Conference on International Telecommunications : WCIT)  ณ ประเทศดูไบ ที่จะจัดขึ้นในสัปดาห์ที่หนึ่ง-สอง ของเดือนธันวาคม ในระหว่างวันที่  3 - 14 ธันวาคม 2555 ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลให้ประเทศไทยต้องผูกพันตามร่างหลักเกณฑ์ที่จะมีการพิจารณาในการประชุมข้างต้น และโดยที่เรื่องดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับอำนาจหน้าที่ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ICT ในฐานะเป็น ITU Administrator และ กสทช. ในฐานะขององค์กรกำกับดูแลต่อไป

ดังนั้น ข้อคิดเห็น และข้อพิจารณาที่ได้จากงานเสวนาในวันนี้ น่าจะเป็นประโยชน์ในการที่จะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตในการใช้ประกอบการกำหนดท่าที และใช้พิจารณาการจัดทำร่างหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมที่จะเกิดประโยชน์ที่ดีที่สุดต่อประเทศไทย ซึ่ง กสทช. และกระทรวง ICT จะได้ดำเนินการนำเสนอในที่ประชุมดังกล่าวในเดือนธันวาคมต่อไป
 

6 ข้อกังวลแก้หลักเกณฑ์ "ควบคุม" การใช้เน็ต
ดวงทิพย์ โฉมปรางค์ ผู้บริหารอินเทอร์เน็ตโซไซตี้ (ISOC) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ทุกวันนี้ที่เราใช้อินเทอร์เน็ตฟรีเพราะเกิดจากการพัฒนาเครือข่ายระบบโดยปราศจากการลงทุนของภาครัฐ โดย ISOC มีวิสัยทัศน์ว่า "Internet is for Everyone" ซึ่งมีหลายองค์กรอิสระที่มีบทบาทหน้าที่เฉพาะ เช่น IETF, W3C, ICANN ที่ควบคุมมาตรฐานในบางด้าน แต่องค์กรเหล่านี้เป็นองค์กรวิชาชีพ ไม่ใช่หน่วยงานภาครัฐ ซึ่งสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) เป็นองค์กรนานาชาติด้านโทรคมนาคม ที่พยายามเข้ามากำกับดูแลอินเทอร์เน็ตอยู่เรื่อยๆ

ข้อบังคับของ ITU ที่สำคัญที่เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ คือ International Telecommunication Regulations (ITRs) ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานที่สำคัญในการดำเนินกิจการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ โดยมีการแก้ไขครั้งสุดท้ายในปี 1988 (ก่อนอินเทอร์เน็ตถือกำเนิดขึ้นในปี 1992) ซึ่งถือว่าข้อบังคับนี้ใช้มายาวนานกว่า 25 ปีโดยไม่ได้มีการแก้ไข  ในการประชุม WCIT-12 นี้ จะมีการทบทวนแก้ไข ITRs โดยประเทศไทยต้องเสนอจุดยืนผ่าน APT (Asia Pacific Telecommunity) ก่อน ซึ่งเป็นการประชุมของกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกที่มีสมาชิก 38 ประเทศ จะมีการจัดประชุมครั้งที่ 5 ที่ประเทศไทยในวันที่ 30 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2555 เป็นครั้งสุดท้ายก่อนการประชุม WCIT-12

กลุ่มประเทศ APT ได้เสนอประเด็นแก้ไขไว้ 15 ประเด็น โดยมี 6 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ต ดังนี้

1. กำหนดให้ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตต้องจ่ายตามการใช้งานแบบ Pay per usage (หรือ pay-per-click) ซึ่งปัจจุบันผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตจ่ายเป็นแพ็คเกจ การใช้บริการอื่นบนอินเทอร์เน็ต เช่น VOIP ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม

2. กำหนดให้ผู้ให้บริการสารสนเทศ (Information service provider) จะต้องจ่ายเงินให้เจ้าของเครือข่าย หรือ Network operator (Sender Pay Model)

3. กำหนดให้มีการเปิดเผยประวัติการใช้งานของผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะรวมถึงผู้ใช้ทั่วไปและกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจธนาคาร โรงพยาบาล สถาบันการศึกษา เป็นต้น เพื่อต้องการควบคุมเนื้อหา (content) ที่อาจเป็นภัยต่อประเทศต่างๆ  ถ้าเงื่อนไขข้อนี้ผ่าน อาจมีปัญหาในอนาคตว่ากฎหมายจากประเทศอื่นๆ อาจมีสิทธิเหนือประเทศไทยที่สามารถนำข้อมูลของผู้ใช้งานในไทยไปได้ หรืออาจส่งผลให้เกิด 2 network แบบควบคุม (ใหม่) และแบบไม่ควบคุม (ปัจจุบัน) โดยแนวคิดของอินเทอร์เน็ตแบบควบคุมได้ คือมีองค์กรที่เข้าถึงทราฟฟิกของทุกคน รู้ว่าใครส่งอะไรไปหาใคร ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าใครจะลงทุนสร้างระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อควบคุมในส่วนนี้

4. กำหนดให้มีนิยาม Spam และขยายขอบเขตของ Cyber-security ให้ครอบคลุมถึงเนื้อหา (content), crime, security ด้วย ซึ่งการประชุมในปี 2010 ทุกประเทศเคยตกลงกันไว้ว่าจะไม่มี 3 ประเด็นนี้ คือ content, crime, security อยู่ในกรอบ ITRs แต่ก็ยังมีบางประเทศเสนอประเด็นดังกล่าวเข้ามา

5. กำหนดให้อินเทอร์เน็ตอยู่ภายใต้สนธิสัญญาใหม่ เช่น การกำหนดนิยาม ICT, Quality of Service ซึ่งสนธิสัญญาปัจจุบันมีไว้เพื่อควบคุมธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับอินเทอร์เน็ต

6. กำหนดให้สนธิสัญญาใหม่เป็นเชิงบังคับ (mandatory) ซึ่งต้องทำตามทุกอย่าง โดยเทียบกับสนธิสัญญาในปัจจุบันที่เป็นลักษณะสมัครใจ (voluntary) โดยสามารถกำหนดข้อยกเว้นได้

อนึ่ง บริการอินเทอร์เน็ตกับระบบโทรคมนาคมพื้นฐานมีความแตกต่างกันหลายประการ ดังนี้
1. การลงทุน (Investment)  ระบบโทรศัพท์ใช้เงินลงทุนมาก การกำหนดค่าบริการจำเป็นต้องคำนึงถึงเงินลงทุนและปัจจัยตลาด (capital recovery, high cost) ส่วนการลงทุนสร้างระบบอินเทอร์เน็ตไม่ได้ใช้เงินลงทุนมหาศาล เพราะทุกๆ เครือข่ายที่อยู่ในระบบจะลงทุนในส่วนที่ให้บริการ แต่อาศัยการเชื่อมโยงกับเครือข่ายอื่นๆ ในการให้บริการแทน ดังนั้นค่าบริการอินเทอร์เน็ตไม่ได้อยู่ที่ต้นทุนแต่อยู่ที่ความพอใจของผู้ใช้ ซึ่งปัจจุบันต้นทุนและค่าบริการอินเทอร์เน็ตถือว่าสอดคล้องกันและยิ่งมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้นจะยิ่งทำให้ค่าบริการน้อยลง หรือผู้ใช้สามารถเลือกใช้ตามกำลังซื้อหรือรายได้ (use more, pay less)

2. การให้บริการ(Service Delivery) ระบบโทรศัพท์อาศัยการเชื่อมโยงกับสายปลายทาง โดยจะต้องกำหนดราคาล่วงหน้ากับระบบโทรศัพท์เครือข่ายอื่น แต่ระบบอินเทอร์เน็ตไม่จำเป็นต้องจองหรือเช่าคู่สายหรือวงจร การส่งข้อมูลหรือสารสนเทศในอินเทอร์เน็ตสามารถทำได้หลายทาง โดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้า ซึ่งทำให้การทำงานของอินเทอร์เน็ตเร็วและมีต้นทุนต่ำ อีกทั้งระบบโทรคมนาคมปัจจุบันอาศัยการควบคุมเป็นหลัก (centralised) โดยจะกำหนดตามการใช้งาน ปริมาณงาน(traffic) และประเภทบริการซึ่งอยู่ในดุลยพินิจของเจ้าของเครือข่าย ตรงกันข้ามกับระบบอินเทอร์เน็ตที่ปราศจากการควบคุมจากฝ่ายใดๆ ทั้งสิ้น (self regulating) เพราะระบบอินเทอร์เน็ตได้ใช้หลักเสรี ซึ่งแปลว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีฐานะเท่าเทียม(net neutrality=connection-less)

3. ความยืดหยุ่นในการใช้งาน (Scalable and flexible) ระบบโทรคมนาคมปัจจุบันอาศัยเทคโนโลยีที่พึ่งอุปกรณ์ที่แพงและใช้เวลาในการติดตั้งใช้นานเพราะจำเป็นที่จะต้องครอบคลุมพื้นที่ที่จะให้บริการในระยะยาว ส่วนระบบอินเทอร์เน็ตอาศัยเทคโนโลยีที่หลากหลายโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายโทรศัพท์เท่านั้นเพราะสามารใช้เทคโนโลยีอื่น เช่น ดาวเทียม ระบบไร้สาย คลื่นความถี่ คลื่นโทรทัศน์ คลื่นไมโครเวฟ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้การขยายเครือข่ายบริการอินเทอร์เน็ตรวดเร็วขึ้น และตุ้นทุนไม่สูง เมื่อเทียบกับเครือข่ายโทรศัพท์

4. นวัตกรรม (Innovation) ในเรื่องนวัตกรรมใหม่ๆ ระบบอินเทอร์เน็ตได้ผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ ซึ่งเป็นผลมาจากเทคโนโลยีที่ให้ผู้ใช้เป็นผู้กำหนด และไม่ต้องขออนุญาต หรือสมัครใช้ หรือจ่ายค่าใช้บริการใดๆ (open standard/software) ส่วนระบบโทรคมนาคมปัจจุบัน นวัตกรรมใหม่ๆเกิดขึ้นยากเพราะเป็นเทคโนโลยีที่อาศัยอุปกรณ์เป็นหลัก ซึ่งจะกำหนดมาตรฐานจากโรงงาน

5. ความมั่นคงของเครือข่าย (Network Security) ระบบโทรคมนาคมปัจจุบันอาศัยการส่งสารสนเทศผ่านสายโทรศัพท์ ซึ่งสามารถดักฟังได้ ยกเว้นเป็นสายโทรศัพท์ส่วนตัว ส่วนระบบอินเทอร์เน็ต เป็นการส่งข้อมูลหรือสารสนเทศในลักษณะกลุ่มข้อมูลที่ซอยลงมาก่อน (package) ส่งไปสู่ปลายทาง และระบบจะประกอบข้อมูลที่ซอยลงมานั้นเมื่อถึงปลายทางเท่านั้น ดังนั้นระบบอินเทอร์เน็ตจะทำงานในลักษณะ Best Effort (Embedded security) ตรงกันข้ามกับระบบโทรศัพท์ที่จะวัดประสิทธิภาพด้วยอัตราความสำเร็จในการโทรออกหรือรับสายปลายทางเท่านั้น

ถ้าสังคมต้องการให้อินเทอร์เน็ตปัจจุบันที่ใช้คงอยู่กับเราต่อไปได้เหมือนเดิม เราก็จะต้องถามตัวเองว่า ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงกติกาใหม่ซึ่งจะให้อินเทอร์เน็ตไปอยู่ภายใต้สนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ทำหน้าที่ควบคุมบริการโทรคมนาคม จะส่งผลที่เป็นบวกหรือเป็นลบสำหรับบริการอินเทอร์เน็ตของเรา


หวั่นอินเทอร์เน็ตถูกควบคุม ไม่เกิด "นวัตกรรม"
กาญจนา กาญจนสุต ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) กล่าวว่า อินเทอร์เน็ตในยุคบุกเบิกไม่มีการควบคุมโดยรัฐ (Governance without Governments) โดย 20 ปีแรก อินเทอร์เน็ตเติบโตขึ้นโดยไม่มีรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งการไม่ยุ่งกับรัฐบาลเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะรู้ว่าทำงานกับรัฐบาลต้องใช้เวลา และเป็นปัญหาต่อการสร้างนวัตกรรม โดยขณะนั้นมีองค์กรกำกับดูแล 2 องค์กร ได้แก่ Internet Engineering Task Force (IETF) ดูแลมาตรฐานของเทคโนโลยี และ Internet Assigned Numbers Authority (IANA) ดูแลทรัพยากรหลัก (core resources) เช่น Name & Address ของอินเทอร์เน็ต

ในยุคต่อมาเริ่มมีองค์กรอื่นๆ เกิดขึ้น เช่น Internet Society (ISOC) ตั้งขึ้นในปี 1992 โดยกลุ่ม activist ในฐานะเป็น non-profit educational organization เพื่อผลักดันอินเทอร์เน็ตให้พัฒนาขึ้นในวงกว้าง และ W3C ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับเว็บ โดยดูแลพัฒนาการทางเทคนิคด้านเว็บ และกำหนดมาตรฐาน เช่น Web Design and Applications ซึ่งโครงสร้างการกำกับดูแลในยุคนี้ จะมี IETF และ W3C ดูแลด้านเทคโนโลยี และ IANA และ ICANN ดูแลด้าน domain name, address, protocol

ทั้งนี้ โครงสร้างของอินเทอร์เน็ตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ใช้วิธีคิดค่าเชื่อมโยงการเข้าถึง (access) อินเทอร์เน็ตเท่านั้น ส่วนการเชื่อมต่อภายในอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้งานไม่ต้องจ่ายเงินใดๆ โมเดลนี้ทำให้ผู้สร้างแอปพลิเคชันหรือเนื้อหาสามารถเติบโตได้ เช่น Skype, Facebook, Youtube เพราะต้นทุนต่ำ เพราะจ่ายเฉพาะค่าเชื่อมโยงปลายทางเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากบริการโทรคมนาคมที่ ITU ควบคุม เพราะต้องจ่ายตามปริมาณข้อมูลที่ใช้บริการ

ITU เป็นหน่วยงานด้านโทรคมนาคมระดับนานาชาติ ถือกำเนิดมานานเป็นร้อยปี เดิมที ITU กำกับดูแลกิจการไปรษณีย์ และภายหลังก็ขยับขยายมาดูเรื่องรัฐวิสาหกิจหรือบริการโทรคมนาคมของรัฐ การออกข้อตกลง ITRs เมื่อปี 1988 ก็ถือเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งของ ITU ในการเปิดเสรีภาคโทรคมนาคมในหลายๆ ประเทศทั่วโลก
ในอดีต ITU ออกมาตรฐานที่แข่งขันกับ "อินเทอร์เน็ต" หลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ เช่น มาตรฐาน ITU-T X.25 เกิดขึ้นมาในยุค 70s แต่แพ้ให้กับ TCP/IP หรือ ITU-T ที่พยายามเสนอระบบ ATM ในยุค 80s ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีก เพราะกระบวนการออกแบบช้า และเทคโนโลยีราคาแพง เป็นต้น แต่ในปี 2012 ITU ต้องการขยายขอบเขต ITRs ให้รวมอินเทอร์เน็ตด้วย โดยเตรียมการมาตั้งแต่ปี 2004 แต่เพิ่งผลักดันได้ ซึ่งแนวคิดหลายอย่างได้สร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศสมาชิก

ในส่วนของ ITRs ที่ ITU กำลังจะแก้ไข ด้วยจำนวนสมาชิกร้อยกว่าประเทศ การดำเนินการแก้ไขจึงทำได้ช้า ซึ่งมีแนวคิดเรื่องการควบคุมอินเทอร์เน็ต ทำให้ทุกคนตื่นตัวกันมากและออกมาต่อต้านกันมาก ซึ่งจริงๆ แล้วบริการอินเทอร์เน็ตกับบริการโทรคมนาคมที่ ITU ดูแลอยู่นั้นมีความแตกต่างกันมาก กล่าวคือ ระบบอินเทอร์เน็ต ไม่สนใจว่าข้อมูลที่ส่งคืออะไร เมื่อมีคำสั่งให้ส่งข้อมูลก็ส่ง และผู้ใช้จ่ายเงินปลายทางเพื่อเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีค่าบริการไม่สูง ไม่คิดค่าเชื่อมต่อ และสนับสนุนผู้มีความคิดสร้างสรรค์  ส่วนระบบโทรคมนาคมนั้น ส่งข้อมูลตามที่ต้องการ โดยเก็บเงินตามทราฟฟิค มีต้นทุน ทำให้ค่าบริการสูง

จีรนุช เปรมชัยพร ผู้ดำเนินรายการระบุว่า โครงสร้าง ITU คือ รัฐจะเข้ามากำกับดูแลโดยใช้กฎกติการะหว่างประเทศ ซึ่งมีผลผูกพัน ส่วนอินเทอร์เน็ต แม้รัฐจะมีส่วนร่วมแต่ก็ให้อิสระในการกำกับดูแลกันเอง


ICT แจงกระบวนการแก้ระเบียบ ITRs
อาจิน จิรชีพพัฒนา ผู้อำนวยการสำนักกิจการระหว่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวว่า ITU มีสมาชิกทั้งหมด 193 ประเทศ ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2426 และเป็นที่ตั้งสำนักงานส่วนภูมิภาคของ Asia Pacific ด้วย ในการประชุม World Conference on International Telecommunications 2012 (WCIT-12) เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบข้อบังคับโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 3-14 ธันวาคม 2555 ที่ดูไบ

ความเป็นมาของ WCIT คือในปี ค.ศ. 1988 ได้มีการจัดประชุม WATCC-88 ที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย เพื่อจัดทำกรอบความตกลงเกี่ยวกับข้อบังคับโทรคมนาคมระหว่างประเทศ เนื่องจากมีการให้บริการโทรคมนาคมใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่งที่ประชุมใหญ่ได้มีพิจารณาทบทวนแก้ไขกฎระเบียบโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (หรือ ITRs) ซึ่งประกอบด้วยข้อบังคับในเรื่อง International Network, International Telecommunications Services, Safety of Life and Priority of Telecommunications, Charging and Accounting, Suspension of Services, Dissemination of Information และ Special Arrangements  ต่อมาในปี ค.ศ. 1992 ITU ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่และเปลี่ยนชื่อจาก WATCC เป็น WCIT และการประชุมใหญ่ปี ค.ศ. 2006 ได้เห็นชอบให้จัดประชุม WCIT ในปี 2012 เพื่อพิจารณาทบทวน ITRs ของปี 1988 ให้สอดคล้องกับกิจการโทรคมนาคมในปัจจุบัน ทั้งนี้ ITU ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มประเทศสมาชิก และได้จัดทำเป็นเอกสาร "Draft of the Future ITRS" ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนสามารถเสนอความเห็นต่อเอกสารดังกล่าวผ่าน website ของ ITU

ในการเตรียมความพร้อมในการประชุม WCIT-12 ของประเทศไทย กระทรวง ICT ได้ตั้งคณะทำงาน โดยมีปลัดกระทรวงเป็นประธานคณะทำงาน และมีผู้แทนจากส่วนงานที่เกี่ยวข้องร่วมด้วย และมีการแต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจดูแลเรื่องการแก้ไขข้อบังคับ โดยมี กสทช. พิทยาพลฯ เป็นประธาน

ตามปกติการเสนอข้อเสนอจะเสนอในนามของประเทศสมาชิก และเพื่อให้ข้อเสนอของประเทศตนมีเสียงสนับสนุนเพียงพอ แต่ละประเทศจะเสนอผ่านเวทีระดับภูมิภาคเพื่อเป็นข้อเสนอในนามประเทศต่างๆ ในระดับภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยจะเสนอผ่านองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (Asia Pacific Telecommunity หรือ APT) ซึ่งมีสมาชิก 38 ประเทศ จะเป็นเวทีกลางในส่วนของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เพื่อพิจารณาข้อเสนอของประเทศสมาชิก APT และพิจารณากำหนดท่าทีของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งตั้งแต่ปี 2011-2012 ได้มีการประชุมไปแล้ว 4 ครั้ง และจะมีการประชุมครั้งที่ 5 ในวันที่ 30 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2555 ที่กรุงเทพ

ขั้นตอนการเสนอข้อเสนอของ APT คือ ประเทศสมาชิกจะพิจารณาร่างข้อเสนอร่วม (Preliminary APT Common Proposal: PACP) ซึ่งเสนอโดยประเทศสมาชิกหรือกลุ่มประเทศสมาชิก หากร่างข้อเสนอใดได้รับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งในสี่ของจำนวนประเทศสมาชิก APT ทั้งหมด ร่างข้อเสนอนั้นก็จะเป็นข้อเสนอร่วม (APT Common Proposal: ACP) ก่อนนำเสนอในที่ประชุม WCIT-12 ในนามข้อเสนอของประเทศสมาชิกเอเชียและแปซิฟิกที่ได้ให้การรับรอง

สำหรับท่าทีของภูมิภาคอื่น (อเมริกา ยุโรปตะวันตก ยุโรปตะวันออก อาหรับ และแอฟริกา) ก็มีการพิจารณากำหนดท่าทีของแต่ละภูมิภาค ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับ จะพบว่า สำหรับประเด็นเรื่อง Internet มีกลุ่มประเทศบางกลุ่ม (ซึ่งมีเป็นส่วนน้อย) ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้อินเทอร์เน็ต ต้องการกำหนดให้เรื่องนี้อยู่ใน ITRs ดังนั้นท่านไม่ต้องกังวลว่าจะมีผลกระทบกับเรา เพราะเป็นเสียงส่วนน้อย

ที่ประชุม WCIT-12 จะพิจารณาข้อเสนอของภูมิภาคและประเทศต่างๆ ซึ่งอาจมีการรวมข้อเสนอระหว่างภูมิภาค หรือหากข้อเสนอใดไม่มีเสียงสนับสนุนเพียงพอก็จะตกไป ทั้งนี้ เนื่องจาก ITRs เป็น International Treaty จึงต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมอย่างเป็นเอกฉันท์ และเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกตั้งข้อสงวน (reservation) ได้

การประชุม WCIT-12 จะเป็นการประชุมที่ประเทศสมาชิก ITU (ปัจจุบันมี 193 ประเทศ) ที่ประสงค์จะส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมจะต้องมีหนังสือตราสารแต่งตั้งผู้แทน (Credentials) เพื่อมอบอำนาจให้ผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ ให้ความเห็น ลงคะแนนเสียง และลงนามในกรรมสารสุดท้าย (Final Acts) ซึ่งจะเป็นผลของการประชุม WCIT-12

ตามอนุสัญญาสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศกำหนดให้ผู้ที่มีอำนาจลงนามในตราสารแต่งตั้งผู้แทนที่จะเข้าร่วมการประชุม WCIT ได้แก่ ผู้นำประเทศ ผู้นำรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่รับผิดชอบการประชุม WCIT ซึ่งในกรณีของประเทศไทยคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

ตามขั้นตอนของการมีผลบังคับใช้ ประเทศสมาชิกใดต้องการเข้าเป็นภาคี ITRs ฉบับแก้ไขใหม่ (ซึ่งต้องรอผลการพิจารณาจากที่ประชุม WCIT-12 เห็นชอบ) จะต้องให้สัตยาบัน (ratify) ในภายหลัง โดยจะต้องมีจำนวนประเทศสมาชิกให้สัตยาบันไม่น้อยกว่าที่ ITU กำหนด จึงจะมีผลบังคับใช้ ทั้งนี้ ก่อนการให้สัตยาบัน แต่ละประเทศก็จะมีขั้นตอนการดำเนินการ โดยในส่วนของประเทศไทย ก็จะต้องนำผลการประชุม WCIT-12 มาพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดำเนินการเพื่อไม่ให้ขัดกับกฎหมายภายใน ก่อนเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
 

ไม่แน่ใจมีประเด็น pay per click
กัลยา ชินาธิวร ผู้อำนวยการกลุ่มงานองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวว่า ประเด็นในการพิจารณาข้อเสนอจะมีเรื่องการแก้ไขคำจำกัดความ กับประเด็นข้อเสนอใหม่ (Emerging Issue) ในประเด็นคำจำกัดความ ท่าทีของประเทศไทย รวมถึง APT จะไม่มีการกำหนดคำนิยามใหม่ และต้องไม่มีคำนิยามที่ขัดแย้งกับที่กำหนดไว้ในธรรมนูญและอนุสัญญาสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศเดิม เช่น คำว่า Telecommunications ก็มีคำจำกัดความอยู่แล้ว แต่มีบางกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการใช้อินเทอร์เน็ต อยากจะให้เพิ่มคำว่า ICT ขึ้นมา เพราะเห็นว่าควรมีการพัฒนาขึ้นจากเดิม แต่ในการประชุม ITU หลายครั้งที่ผ่านมา ก็มีการโต้เถียงเรื่องนี้เยอะ แต่ส่วนใหญ่เห็นว่าคำจำกัดความของ Telecommunications ก็ครอบคลุมอยู่แล้ว ดังนั้นท่าทีประเทศไทย และกลุ่มประเทศ APT จะไม่เพิ่มนิยามคำว่า ICT เข้าไปใน ITRs

ทั้งนี้ ข้อเสนอส่วนใหญ่เป็นการแก้ไขถ้อยคำให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น การให้สิทธิพิเศษในการประกอบกิจการโทรคมนาคม ซึ่งปัจจุบันไม่มีแล้ว ITU จึงจะยกเลิกข้อบังคับนี้ หรือ หน่วยงานกำกับดูแลในสมัยก่อนอยู่ภายใต้กระทรวง แต่ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป ก็จะมีการปรับแก้ถ้อยคำให้ถูกต้อง แต่สำหรับข้อเสนอในเรื่อง pay per click ที่คุณดวงทิพย์นำเสนอนั้น ดิฉันยังไม่แน่ใจว่าอยู่ในส่วนของข้อเสนอ APT ส่วนใด หรือตีความมาจากข้อเสนอใด

ทั้งนี้ APT เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่จัดขึ้นสำหรับกลุ่มประเทศสมาชิก และกลุ่ม affiliate member ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน โดยสามารถเข้าร่วมประชุมได้โดยเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วม ส่วนการกำหนดท่าทีนั้น ITU เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นต่อ Draft of the Future ITRs ได้


ด้านดวงทิพย์ โฉมปรางค์ ผู้บริหารอินเทอร์เน็ตโซไซตี้ (ISOC) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ในฐานะที่ ISOC เป็น affiliate member ของ APT จะสามารถดู proposal ภาพรวมของภูมิภาคได้ แต่ไม่สามารถดู proposal แยกตามประเทศ ส่วนบริษัทอื่นที่เข้าไปฟังที่จ่ายเงิน ไม่มีสิทธิเข้าไปดูข้อมูลพวกนั้นเลย ซึ่งข้อมูลไม่ค่อยเปิดให้สาธารณะสักเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม ITU เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนโดยตรงได้โดยไม่ต้องผ่าน APT ก็ได้ หรือผ่านกระบวนการภายในประเทศไทยก็ได้ ภายในวันที่ 3 พ.ย. จึงยังมีเวลาที่จะเสนอข้อเสนอเข้าไปแม้จะน้อย

WCIT เป็นการประชุมที่เกี่ยวกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศ แต่เป็นการประชุมที่ใช้กระบวนการต่อรอง คำถามคือมีร้อยกว่าประเทศมาคุยกัน แยกเป็นภูมิภาค แต่กระบวนการยังไม่ชัดเจนว่า ทุกประเทศสามารถลงคะแนนเสียงได้ 1 เสียง แต่เมื่อมีข้อเสนอแต่ละภูมิภาคด้วย จะลงคะแนนเสียงอย่างไร


กังวลภาคธุรกิจเสียหายแน่ หากมีการเก็บเงินผู้ใช้
ยงยศ พรตปกรณ์ รองประธานคณะกรรมการธุรกิจบริการ หอการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน IT สำคัญมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ หากมีการเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ดังที่นำเสนอมา เด็ก ป.1 ที่ได้รับ Tablet ไปจะมีภาระต้นทุน หรือหากเรียกเก็บจากผู้ให้บริการ โรงแรมขนาดเล็กที่ต้องจ่ายค่าหัวคิวให้ Agoda จะต้องจ่ายตามกฎ ITU อีก ธุรกิจ SME จะอยู่ได้อย่างไร แต่ผมยังไม่ได้รับคำตอบว่าเป็นเรื่องจริงเท็จอย่างไร เพราะมีการกล่าวว่าไม่ได้มีการเขียนไว้ แต่ฟังจากที่ประชุมแล้วเห็นว่า เป็นประเด็นที่น่ากังวล อีกทั้งอยากรู้ว่าตอนนี้มีประเทศสมาชิกกี่ประเทศที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล เครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวว่า ขอเสริมเรื่องการให้ความคิดเห็นต่อ ITU ภายในวันที่ 3 พ.ย. โดยเอกสารต่างๆ จะถูกรวบรวมเพื่อส่งให้รัฐสมาชิกอ่านเพื่อเป็นข้อมูลประกอบพื้นฐานเท่านั้น โดยรัฐสมาชิกต้องสนับสนุนความเห็นต่างๆ เหล่านั้นภายในวันที่ 6 พ.ย. ดังนั้นกระบวนการก็ไม่เปิดเสียทีเดียวแม้จะเปิดช่องให้แสดงความเห็นได้
 

เชื่อภาระ "จ่าย" ไม่ถึงผู้บริโภค
ปรเมศวร์ มินศิริ ผู้บริหารเว็บไซต์ Kapook.com มองว่า ภารกิจแรกที่ควรทำคือ 1. ชี้แจงข้อเท็จจริงที่ชัดเจนก่อนว่าเป็นอย่างไร เพราะมีคนกล่าวถึงมากโดยเฉพาะเรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตแล้วต้องเสียเงิน 2. ท่าทีของภาครัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างไร

ในช่วงแรกของอินเทอร์เน็ต ไม่ค่อยมี content มากนัก ตอนแรกต้องเสียเงินเข้าไปดู content ของ America Online เพราะดีมาก แต่ตอนหลังมีผู้ให้บริการ content และ application ฟรีมากมายเกิดขึ้น ซึ่งทำให้รูปแบบการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป โดยตอนแรก ISP ได้เงินจากคนทำ content แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ISP กลับมีภาระที่ต้องจ่ายค่าอุปกรณ์เพื่อรองรับผู้สร้าง content ที่ใช้ bandwidth สูงในการให้บริการนี้ เช่น Facebook, Google ที่สามารถหารายได้จำนวนมหาศาล เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการ content เหล่านั้นได้เร็ว ซึ่งคิดว่า ITU อาจมองประเด็นนี้ว่าผู้สร้าง content เหล่านี้ควรจะเป็นผู้แบกรับภาระต้นทุนดังกล่าว ซึ่งมีข่าวว่า Google จะเปิด ISP และวาง Fiber Optic เองที่เร็วกว่ารายอื่น หรือแม้แต่กรณี  Youtube หากจะเปิดเองแล้วบอกว่าสามารถโหลดได้เร็วกว่าผู้ให้บริการรายอื่น ก็จะมีผู้ใช้สนใจที่จะใช้บริการ เพราะผู้ให้บริการ content ที่มีลูกค้าติด content นั้นแล้ว จึงเริ่มมีอำนาจเหนือตลาดแล้ว ส่วนแนวคิดที่ว่าจะผลักภาระไปยังผู้ใช้บริการขั้นสุดท้ายที่ต้องจ่าย pay per click คงไม่มีสิทธิ เพราะมีการแข่งขันกันสูงระหว่าง ISP จึงน่าจะผลักภาระไปที่ ISP ต่อไป แต่ก็ต้องคำนึงถึงคุณภาพบริการด้วย

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องความเท่าเทียมกันของบริการ (Net Neutrality) ผมอยากให้มีการจัดลำดับความสำคัญของการโหลดข้อมูลมากกว่าที่จะให้บริการทุกอย่างโดยเท่าเทียมกัน เช่น ผมอยากได้รับบริการ VOIP หรือ email ที่ดีมากกว่าเรื่องการโหลด Bit Torrent หรือกรณีมีเหตุฉุกเฉินภัยพิบัติ ควรตัด Bit Torrent ออก เพื่อให้สื่อสารข้อมูลพื้นฐานให้ได้ก่อน ซึ่งคิดว่าควรนำไปเป็นข้อเสนอของเราว่าต้องมีกลไกรองรับในส่วนนี้

สำหรับการเรียกเก็บเงินจาก Content Provider มองว่า มีความเป็นไปได้ แต่สหรัฐอเมริกาแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย เพราะสหรัฐฯ ได้เปรียบทุกทาง แต่ยุโรปเสียเปรียบ เพราะยุโรปเชื่อมไปสหรัฐฯ แล้วต้องจ่ายเงินข้อมูลเข้าออก ยุโรปจึงอยากปรับตรงนี้ใหม่ แต่คิดว่าเขาคงบีบคอพวก content provider ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ให้จ่าย คงไม่ให้ผู้บริโภคจ่าย

จีรนุช เปรมชัยพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากข้อเสนอของ European Telecommunication Association เป็นกลุ่มบริษัทโทรคมนาคมของยุโรป ที่เสนอเก็บค่าใช้จ่ายในการส่งข้อมูลจากผู้ส่ง (sender pay) ซึ่งอาจตีความหมายไปเป็น pay per click ได้ แต่สิ่งที่กังวลคือ กรณีไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนในประเทศที่มีตลาดขนาดเล็ก ธุรกิจใหญ่ก็อาจเลือกไม่ลงทุนในตลาดเหล่านี้ จะเกิดการจำกัด content และจำกัดการเข้าถึงโดยปริยาย


เกรงกำหนดนิยาม "สแปม" เปิดรัฐยุ่งเนื้อหา
ภูมิจิต ศิระวงศ์ประเสริฐ ประธานชมรมผู้ประกอบการธุรกิจโฮสติ้ง  กล่าวว่า ในฐานะคนทำโฮสติ้ง เป็นสมาชิก ICANN ที่เปิดช่องให้คนทั่วไปเข้าร่วมได้ และเป็นผู้ใช้บริการ เมื่อดูเอกสาร Draft of the Future ITRS ซึ่งอาจใช้แนวทางในการอ่านเดียวกันกับ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2555 คือจะมีส่วนเกี่ยวกับคำนิยาม ผู้มีอำนาจ ผู้ใช้บริการ ฐานความผิด เนื้อหา และเงิน ซึ่งร่างแก้ไขนี้จะแสดงความเห็นของประเทศสมาชิกไว้ในแต่ละหัวข้อ โดยสรุปประเด็นได้ ดังนี้

1. มีการกำหนดนิยามเรื่อง ICT เข้ามาด้วย ซึ่งอาจมีปัญหา เพราะแต่ละประเทศมีนิยามที่แตกต่างกัน หากเรากำหนดนิยามได้ไม่ดี จะผูกพันยาว เพราะกว่าจะแก้ไขแต่ละครั้งก็ต้องใช้เวลาตั้ง 25 ปี

2. เรื่อง Authority ซึ่งปกติเป็นเรื่องของตัวแทนภาครัฐ (member state) แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าหมายถึงใครในภาครัฐ เพราะได้ตัดคำว่า administration ทิ้ง โดยเพิ่มคำว่า operating agency ซึ่งต้องมาคิดว่าหมายถึงใคร หรือระบุผู้มีอำนาจคือ Commanders-in-Chief of military forces, land, sea or air land air ซึ่งต้องยอมรับว่าไทยมีรัฐประหารสูง ก็แสดงว่าให้อำนาจกับรัฐบาลทหารด้วย

3. เรื่องเนื้อหาที่เกี่ยวข้องที่อาจจะมีปัญหาคือ Cybercrime ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการส่ง spam แต่นิยาม spam ของทั่วโลกมีความแตกต่างกัน เช่น spam เพื่อเชิงพาณิชย์หรือไม่ใช่เพื่อเชิงพาณิชย์ การกรอง spam ก็ทำได้ยาก เพราะจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อความนี้เรียกว่า spam ถ้าไม่ได้อ่านเนื้อหาข้างในก่อน ดังนั้นถ้าทุกรัฐบาลเห็นด้วยกับเรื่องนี้ รัฐบาลทุกรัฐบาลมีสิทธิบอกได้ว่า content ไหนคือ spam ซึ่งแต่ละคนมีความสนใจในเนื้อหาที่ต่างกัน เช่น ประเทศมุสลิมก็อาจสนใจอีกแบบ ไทยก็สนใจอีกแบบ เราจะหาความหมายที่ตรงกันได้อย่างไร ซึ่งมีข้อบังคับหนึ่งที่กำหนดให้ต้องร่วมมือกันกำกับดูแล spam

4. ส่วนในด้านผู้ใช้ตาม Article 5A กำหนดว่าประเทศสมาชิกต้องรู้ว่าผู้ใช้เป็นใคร เพื่อบอก Identity หรือ ID ได้ จะได้รู้ว่าจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเส้นทางใด ซึ่งทำให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกรู้ว่าเราเป็นใคร โดยแต่ประเทศสมาชิกมีข้อเสนอที่ต้องการรู้รายละเอียดที่แตกต่างกัน ซึ่งโดยส่วนตัวอาจไม่ต้องการแบบนั้น เพราะบางทีเราคลิกเว็บผิดกฎหมายโดยไม่ตั้งใจ จะถือว่าผิดกฎหมายและถูกจับหรือไม่

5. ในเรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมใน Article 6 กำหนดให้ประเทศสมาชิกคิดค่าธรรมเนียม และวิธีการเก็บมา แต่การเชื่อมต่อเป็นทอดๆ จะคิดเงินได้อย่างไร คิดว่าการทำ ID ก็เพื่อทำให้เก็บเงินได้ถูกต้อง

6. ส่วนการหยุดบริการชั่วคราว Article 7 ถ้าประเทศสมาชิกสามารถหยุดบริการชั่วคราวได้ โดยการแจ้งให้ทราบ อาจเกิดเหตุการณ์ว่าแต่ละประเทศสมาชิกก็จะหยุดให้บริการชั่วคราวระหว่างกันไปมา อาจจะวุ่นวายทั่วโลกเพราะไม่มีความแน่นอน หากประเทศใดไม่ชอบประเทศใด ก็จะจำกัดบริการกันเอง

7. ข้อดีในร่างข้อบังคับนี้ คือ การร่วมมือกันด้านภัยพิบัติเพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้หากเกิดเหตุ โดยรัฐบาลสามารถควบคุม (take over) สื่อเพื่อการสื่อสารของประเทศตัวเองหรือระหว่างประเทศได้ โดยขอให้มีเบอร์ฉุกเฉินเบอร์เดียว (single emergency number)


หวั่นกระทบเสรีภาพแสดงความเห็น-ความเป็นส่วนตัว
สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการและนักเขียนอิสระ กล่าวว่า มี 3 ประเด็นที่จะกล่าวถึง คือ 1. ประเด็นที่มีการถกเถียงกัน 2. ความเห็นส่วนตัวและผลกระทบต่อผู้ใช้ และ 3.ข้อเสนอต่อกระทรวง ICT ในฐานะหน่วยงานที่ต้องไปเจรจา
ประเด็นที่ 1 ที่ถกเถียงกันสรุปได้ 4 เรื่อง คือ
1. เหตุผลที่ ITU ต้องการขยายขอบเขตการดูแลไปถึงอินเทอร์เน็ต เนื่องจากเห็นว่าเป็นบริการข้ามพรมแดนและมีความจำเป็นที่ต้องดูแล แต่ยังไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก แต่จะมีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะ ITU ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ เพราะที่ผ่านมากำกับดูแลด้านโทรคมนาคม ซึ่งเป็นการดูแลระหว่างรัฐสมาชิก หากใช้รูปแบบเดียวกันในการกำกับอินเทอร์เน็ต อาจไม่เปิดโอกาสให้คนภายนอกมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลแบบล่างขึ้นบน อีกทั้งก็มีหน่วยงานเช่น UN convention ดูแลเรื่อง cybercrime อยู่แล้ว 

2. ข้อเสนอเรื่องความมั่นคง หรือ cybercrime ซึ่งประเทศที่เสนอเรื่องนี้ คือ รัสเซีย กับจีน โดยกำหนดให้ต้องระบุตัวตนของผู้ใช้บริการได้ตั้งแต่ต้น 

3. การใช้มาตรฐานอินเทอร์เน็ตเดียวกันทั่วโลก อาจมีผลกระทบต่อการใช้อินเทอร์เน็ต เพราะที่ผ่านมาอินเทอร์เน็ตเป็นแบบ open standard ใครจะพัฒนาอะไรก็ทำได้ ถ้าได้รับการยอมรับก็จะแพร่หลายออกไป

4. ประเด็นทางธุรกิจ ที่บริษัทโทรคมนาคมต้องการเก็บค่าบริการจากผู้ให้บริการ content เช่น Google, Youtube, Netflix เพราะใช้ bandwidth สูงและมีกำไรจากการประกอบการสูง แต่ ISP เป็นผู้รับภาระต้นทุนนี้ จึงควรเก็บค่าบริการแบบ sender pay คือผู้ส่งเป็นคนจ่าย ส่วนในเรื่องคุณภาพบริการ มีการกล่าวถึงในร่าง ITRs ไว้ด้วย ซึ่งหากพูดถึง Net Neutrality จะเป็นหลักการพื้นฐาน เรารู้ว่าถ้าเราเสียค่าบริการอินเทอร์เน็ตรายเดือน 500 บาทจะได้บริการความเร็วที่เท่าไหร่ โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะดู content ในรูปแบบใด จะเป็น email หรือวิดีโอ จึงเป็นกลาง ไม่ได้แยกประเภทบริการ หากมีการแยกคุณภาพบริการ (Quality of Service) เหมือนร่าง ITRs ที่เห็นว่า BitTorrent กินพื้นที่ในการโหลดมาก จึงใช้การบีบอัดข้อมูลเพื่อทำให้คุณภาพลดลง หรือกำหนดให้บริการช้าลง ก็ถือว่าไม่เป็น Net Neutrality ดังนั้นปัญหาที่อาจตามมาคือ ผู้ให้บริการ ISP แล้วทำธุรกิจทีวีด้วย อาจบอกว่าถ้าลูกค้าดูรายการช่องทีวีของเรา จะสามารถดูได้เร็วกว่าช่องอื่น จึงอาจเป็นการเลือกปฏิบัติ แต่ประเด็นนี้ก็มีการถกเถียงกันอยู่ ว่าทำไม ISP ต้องแบกรับภาระสำหรับคนที่โหลดอินเทอร์เน็ตสูงๆ ทำให้ผู้ใช้รายอื่นเดือดร้อน

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องการตัดสินเรื่อง Net Neutrality ว่าแต่ละฝ่ายคิดว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น กรณีฟ้องร้องระหว่าง Comcast กับ FCC ของสหรัฐฯ โดย Comcast บีบอัดข้อมูลของ BitTorrent เพราะเห็นว่าเป็นภาระในการโหลด ทำให้อินเทอร์เน็ตช้า แต่ FCC เห็นว่าก่อให้เกิดความไม่เป็นกลางในการใช้อินเทอร์เน็ต หรือไม่มี Net Neutrality โดยศาลชั้นต้นให้ FCC ชนะ แต่พอถึงศาลอุทธรณ์ กลับให้ Comcast ชนะ โดยให้เหตุผลว่า FCC ไม่มีอำนาจออกกฎบังคับเรื่อง Net Neutrality

ประเด็นที่ 2 ผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ คือ กรณีที่ต้องการระบุ ID ว่าเป็นใคร จะต้องใช้อุปกรณ์ขนาดไหน แต่หากเราเห็นว่าอินเทอร์เน็ตมีประโยชน์ที่ช่วยส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ต้องบอกว่าตัวเองเป็นใคร ข้อเสนอนี้ก็จะขัดแย้งกับแนวคิดนี้   ส่วนกรณีข้อเสนอเรื่องการเก็บค่าเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต อาจทำให้เกิดผลเรื่องที่ผู้ให้บริการ content เช่น Facebook ไม่อยากให้บริการในประเทศเล็กๆ เพราะเขาต้องเป็นคนจ่ายค่าเชื่อมต่อ ส่งผลให้ประเทศเหล่านั้นถูกจำกัดการเข้าถึงนวัตกรรมใหม่ๆ และผลทางอ้อมก็คือ ผู้ให้บริการ content รายใหญ่มีกำลังพอที่จะจ่ายเงิน แต่รายเล็ก อาจเป็นข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาด กฎ sender pay จึงเป็นการกีดกันการเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และทำให้ผู้ใช้มีทางเลือกน้อยลง

และสุดท้ายในเรื่องการดูแลเรื่องคุณภาพบริการ หรือ การกำหนดให้ไม่มี Net Neutrality โดยให้เลือกปฏิบัติได้ตามประเภทเนื้อหา สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราต้องติดป้ายว่าเนื้อหาใดจะส่งเร็วหรือส่งช้า ซึ่งปัจจุบันการส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตไม่ได้สนใจว่าเนื้อหาว่าเป็นอย่างไร หากจะเลือกปฏิบัติโดยต้องติดป้ายที่เนื้อหาไว้ จะเป็นช่องทางให้คนรู้ว่าเราส่งเนื้อหาอะไรมากน้อย อาจทำให้ความเป็นส่วนตัวของเราลดน้อยลง

ประเด็นที่ 3 ข้อเสนอสำหรับกระทรวง ICT คือ ต้องเผยแพร่ข้อมูลให้รู้ในวงกว้าง เพราะมีผลกระทบทุกภาคส่วน เพื่อขจัดความสับสนในเนื้อหาที่จะแก้ไข เช่นเรื่อง pay per click ก็พยายามหาอยู่แต่ไม่เห็น แต่เรื่องที่มีแน่ๆ ก็คือ เรื่อง Sender pay และการระบุ ID โดยอยากให้กระทรวงเปิดรับฟังความคิดเห็น รวมถึงคิดถึงในอนาคตว่าควรมีกระบวนการอย่างไรเพื่อให้เราทุกคนได้ร่วมกันรับรู้เรื่องราวไปพร้อมๆ กัน


มองต่างมุม "ภาคโทรคมนาคม" กำกับดูแล "อินเทอร์เน็ต" ได้หรือไม่
อาจิน จิรชีพพัฒนา ผู้อำนวยการสำนักกิจการระหว่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวว่า คิดว่า ITU สามารถกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตได้ด้วย เพราะใช้โครงข่ายโทรคมนาคมในการให้บริการ ส่วนเรื่องความปลอดภัยนั้น มีเทคโนโลยีที่สามารถทำได้ เช่นมีใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ สามารถติดไปกับ transaction ที่วิ่งไปด้วย ก็จะรู้ว่าเป็นใคร เพียงแต่มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ส่วนการส่งข้อมูลแล้วต้องจ่ายเงินนั้น สามารถทำได้ให้คิดเหมือนการส่งไปรษณีย์ไปในแต่ละประเทศก็จะมีค่าใช้จ่ายแตกต่างกัน

ขณะที่กาญจนา กาญจนสุต ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมและเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) กล่าวว่า มีความเห็นแย้งในเรื่องอินเทอร์เน็ตว่าใช้โครงข่ายโทรคมนาคม เพราะปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีเครือข่ายของตัวเอง ดังเช่น Google ลากสายเคเบิ้ลของตัวเองแล้ว ไม่ต้องวิ่งบนเครือข่ายโทรคมนาคมแล้ว ส่วนเรื่องที่กังวลในคุณภาพบริการนั้น ปัจจุบัน Router อินเทอร์เน็ตมีอุดมการณ์ว่าไม่มีหน้าที่แกะดูว่า content ข้างในที่ส่งคืออะไร จะดูแต่เฉพาะ IP Address เท่านั้น แต่เมื่อมีการกำกับเรื่องคุณภาพบริการ จะเปิดช่องทางให้ดูข้อมูลข้างในได้

กัลยา ชินาธิวร ผู้อำนวยการกลุ่มงานองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมคณะทำงานในเรื่องนี้ ซึ่งจะมีปลัดกระทรวง ICT เป็นประธาน จะขอรวบรวมความเห็นและข้อกังวลที่ได้จากการประชุมในครั้งนี้เสนอต่อคณะทำงาน ทั้งในเรื่องคำจำกัดความ, User charging, Quality of Service, Identity สำหรับขั้นตอนการจัดทำ Draft ITRs นั้น เป็นข้อเสนอของแต่ละประเทศสมาชิก ซึ่งเวทีการเจรจาจริงจำเป็นต้องมีเสียงสนับสนุนมากพอที่จะทำให้ข้อเสนอไหนผ่านการรับรอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยในภูมิภาคเอเชีย ก็ต้องผ่าน APT ซึ่งมีการตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่แก้ไขคำจำกัดความ รวมถึงไม่เพิ่มคำจำกัดความเรื่อง spam โดยไทยมีท่าทีไม่เห็นด้วยที่จะเพิ่มคำจำกัดความเช่นกัน ทางกระทรวงกับ กสทช. จะพิจารณาร่วมกัน เพื่อกำหนดท่าทีไม่ให้ประเทศไทยเสียผลประโยชน์

อุดม ศรีมหารัชตะ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมโรงแรมไทย และคณะอนุกรรมการของสภาหอการค้าภาคบริการ เสนอว่า อยากให้กระทรวง ICT พิจารณาข้อเสนอต่างๆ ของแต่ละประเทศ โดยควรจัดประชุมเพื่อให้ผู้ประกอบการร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อพิจารณาในประเด็นต่างๆ เพราะกรณีธุรกิจโรงแรม ลูกค้าต้องมีภาระแน่นอน เพราะปัจจุบันเว็บไทยจ่ายให้ Agoda อย่างน้อย 25% หาก Agoda ต้องเสียค่าบริการ ก็ต้องมาคิดกับเรา ซึ่งเราก็ต้องไปคิดจากผู้บริโภคต่อแน่นอน

ยงยศ พรตปกรณ์ รองประธานคณะกรรมการธุรกิจบริการ หอการค้าไทย กล่าวว่า อยากให้เปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการแก้ไขข้อบังคับนี้ โดยควรมีเวทีรับฟัง และใครจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น แต่เท่าที่ฟังมาท่าทีของเราคงไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนกฎครั้งนี้


ชวนตั้งคณะทำงานทำข้อเสนอต่อรัฐบาล
มรกต กุลธรรมโยธิน บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หัวข้อเรื่องในการประชุมครั้งนี้มีความสำคัญมาก แต่น่าแปลกใจว่าเราเพิ่งจะมาจัดประชุมทั้งๆ ที่ควรจัดก่อนหน้านี้  และยังมีความสับสนในข้อมูลว่าสาระสำคัญที่กำลังจะแก้ไขคือส่วนไหนบ้าง จากมุมมองส่วนตัวเห็นว่า รูปแบบการบริการโทรคมนาคมกับผู้ให้บริการ content  20 ปีก่อนกับปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก จึงต้องพิจารณาว่าแนวทางที่ทั้งสองฝั่งได้ประโยชน์ทั้งคู่คืออะไร (win-win solution) โดยให้กิจการโทรคมนาคมอยู่ได้ ผู้ให้บริการ content อาจต้องยอมจ่ายบ้าง และผู้ใช้อยู่ได้อย่างไร ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่มีผลอย่างมากคือ การแข่งขันเสรี ทำให้แม้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมอยากจะขึ้นราคา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะผู้ใช้สามารถเปลี่ยนไปใช้รายอื่นได้

จึงอยากเสนอให้เชิญผู้เกี่ยวข้องที่อยากอาสามาช่วยกันระดมความเห็นและจัดทำเอกสารร่วมกัน เพื่อให้ผู้มีอำนาจในการเจรจาได้มีแนวทางเพื่อไปนำเจรจาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ซึ่งโดยส่วนตัวยินดีช่วยเต็มที่ นอกจากนี้ อยากให้ผู้มีหน้าที่ร้บผิดชอบในเรื่องนี้แปลร่าง ITRs เผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รับทราบด้วย เพื่อให้คนแสดงความคิดเห็นได้ง่ายขึ้น

เกรียงไกร ภูวณิชย์ สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI)  กล่าวว่า ในการให้บริการของธุรกิจรายย่อย สิ่งที่พูดมาจะเป็นต้นทุน จะตัดต้นทุนตรงนี้ได้อย่างไร อีกทั้งกรณีที่ไทยจะทำ Business process outsourcing ซึ่งต้องมีต้นทุนต่ำจริง การส่งบริการผ่านอินเทอร์เน็ตแต่หากมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็จะเป็นอุปสรรคสำคัญ ส่วนกระบวนการรับฟังความเห็นวันนี้ ผมเห็นว่ามันช้าเกินไป ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ ควรลองทำประชาพิจารณ์ในเรื่องที่จะไปเจรจาในครั้งนี้ เพื่อหาแนวทางส่วนรวมร่วมกัน

อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล เครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวว่า ก่อนเดือนธันวาคม จะมีเวทีนานาชาติ Internet Governance Forum (IGF) ที่บากู อาเซอร์ไบจาน ในวันที่ 6-9 พ.ย. นี้ ซึ่งรัฐบาลไทยสามารถมีบทบาทได้ แม้จะไม่ใช่เวทีที่ผูกพัน แต่ก็มีความสำคัญ ซึ่งขณะนี้ผู้ลงชื่อเข้าร่วมจะมีคุณดวงทิพย์ และผม แต่ไม่มีตัวแทนจากรัฐบาลไทย หรือ กสทช. ส่วนชาติอาเซียนที่เข้าร่วมมีเวียดนาม อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งมีประเด็นสำคัญที่คุยกันเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน, Net Neutrality และ บริการโอนข้อมูลข้ามพรมแดน (cross border data transfer) ซึ่งตัวแทนบริษัท Fujitsu ได้ให้ความเห็นว่าการให้บริการ Business process outsourcing จะทำไม่ได้เลย หากประเทศปลายทางไม่มีเรื่อง data protection ซึ่งสิงคโปร์ได้ให้ความสำคัญและผ่านกฎหมายเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

ดวงทิพย์ โฉมปรางค์ ผู้บริหารอินเทอร์เน็ตโซไซตี้ (ISOC) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า แม้ว่าการประชุม IGF จะไม่ผูกพัน แต่เป็นแหล่งข้อมูลของประเทศที่ต้องการวางท่าทีของอินเทอร์เน็ตในอนาคตและบอกแนวโน้มในอนาคต ซึ่งบางประเทศที่ไม่เน้นการส่งเสริมการเปิดเสรีจะเข้าร่วมเพื่อไปดูทีท่าและเป็นข้อมูลในการประชุม WCIT ที่ดูไบ  ทั้งนี้ ยินดีช่วยเหลือและแบ่งปันข้อมูลในการเจรจาครั้งนี้ เพราะกฎการกำกับอินเทอร์เน็ตนี้มีผลกระทบต่อไทยแน่ เนื่องจากปัจจุบันคนกรุงเทพใช้ Facebook เป็นอันดับหนึ่งของโลก เป็นฐานลูกค้าที่สำคัญ

ปรเมศวร์ มินศิริ ผู้บริหารเว็บไซต์ Kapook.com ระบุว่า แม้การประชุม WCIT จะเป็นเรื่องของ ITU ซึ่งดูแลด้านโทรคมนาคม แต่มีประเด็นเรื่องอินเทอร์เน็ตด้วย จึงควรส่งผู้เจรจาด้านอินเทอร์เน็ตไปร่วมประชุมด้วย เพื่อให้คนมีความรู้ด้านนี้เข้าร่วมรับฟังและเสนอความเห็นได้

ในอดีตอินเทอร์เน็ตไปผูกติดกับบริการโทรคมนาคม แต่อนาคตอินเทอร์เน็ตอาจมีบทบาทมากกว่าบริการโทรคมนาคมได้ ซึ่ง ITU คงมองเห็นประเด็นนี้ จึงอยากควบคุมอินเทอร์เน็ต แต่อินเทอร์เน็ตมันควบคุมไม่ได้เพราะทุกคนร่วมกันสร้างให้เกิด

สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการและนักเขียนอิสระ ย้ำว่า อยากให้ กสทช. ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวง ICT และไทยควรมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้วย เพราะปัจจุบันยังไม่มี

ภูมิจิต ศิระวงศ์ประเสริฐ ประธานชมรมผู้ประกอบการธุรกิจโฮสติ้ง กล่าวว่า เห็นด้วยกับการตั้งคณะทำงานและมีอาสาสมัครจากคนนอกเข้าร่วมด้วย ส่วนในเรื่องผลกระทบต่อธุรกิจ hosting นั้น อาจเดือนร้อนถ้า ISP ผลักภาระมาที่ hosting ก็มีภาระเพิ่ม แต่ก็อาจผลักภาระต่อไปที่ลูกค้าต่อ สุดท้ายอยากฝากผู้เจรจาไทยต้องคำนึงถึงความเป็นส่วนตัว (privacy) และความปลอดภัย (security) ในการใช้อินเทอร์เน็ต รัฐบาลไทยซึ่งเป็นตัวแทนของคนไทย แต่กำลังถูกประเทศอื่นแทรกแซง เราจะทำอย่างไรในประเด็นที่น่าเป็นห่วงนี้

อาจิน จิรชีพพัฒนา ผู้อำนวยการสำนักกิจการระหว่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวว่า กระทรวง ICT ได้ดำเนินการโดยการประชุม APT ที่ผ่านมา จะมีตัวแทนจากทีโอที กสท. Intel และคุณดวงทิพย์เข้าร่วมด้วย เราถามผู้ประกอบการทั้งหมด และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยงข้อง โดยไม่ได้ตัดสินเพียงลำพัง หากตอนนี้ท่านมีความคิดเห็นใดก็แจ้งมาที่กระทรวงได้ เพราะเราต้องกำหนดนโยบายตามประชาชน หากประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ควรรับข้อเสนอที่ร่างใหม่ กระทรวงก็คงไม่รับ

ดวงทิพย์ โฉมปรางค์ ผู้บริหารอินเทอร์เน็ตโซไซตี้ (ISOC) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า แม้ไทยจะมีทีท่าเป็นกลาง แต่อาจมีบางประเด็นที่ไม่ได้ถกในระดับภูมิภาคเอเชีย แต่อาจคุยในภูมิภาคอื่นที่เป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งสุดท้ายไทยจำเป็นต้องออกเสียง ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะออกเสียงรูปแบบไหน ดังนั้นไทยจำเป็นต้องมีทีท่าที่ชัดเจนว่าประเด็นใดรับได้หรือรับไม่ได้

สุภิญญา กลางณรงค์ กสทช. กล่าวในช่วงท้ายว่า เรื่องนี้ผู้รับผิดชอบโดยตรงคือ กระทรวง ICT ที่ต้องไปเจรจา แต่ กสทช. เป็นหน่วยงานกำกับดูแลที่ต้องนำไปปฏิบัติ ซึ่งมีคณะทำงานอยู่แล้ว จากการรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ ดิฉันจะส่งความเห็นต่อให้ กทค. หรือผู้เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันต่อไป ส่วนการตั้งคณะทำงานในส่วนของ กสทช. นั้น วันนี้มีส่วนสำนักงาน กสทช. เข้าร่วมด้วย ก็ขอฝากให้ดำเนินการต่อด้วย อย่างไรก็ตาม ประเด็นในการประชุมครั้งนี้ ก็อาจเกี่ยวกับกิจการกระจายเสียงที่ให้บริการทีวีผ่านอินเทอร์เน็ต จึงขอรับความเห็นดังกล่าวไปพิจารณาเพื่อวางนโยบายด้วยเช่นกัน แต่ขอฝากให้กระทรวง ICT จัดรับฟังความเห็นอีกสักเวที เพื่อเชิญภาคอุตสาหกรรม, ISP และผู้ใช้บริการได้ร่วมแสดงความเห็นก่อนที่จะไปประชุมที่ดูไบ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสวนา: เปิดเหตุผล ทีดีอาร์ไอ-ปรีดิยาธร-สมาคมส่งออก จวกเละ จี้หยุดจำนำข้าว

Posted: 12 Nov 2012 08:09 AM PST

 

12 พ.ย.55  เว็บไซต์ไทยพับลิกา  (thaipublica.org) จัดเสวนาครั้งที่ 4 หัวข้อ "ข้าว ชาวนา นักการเมือง และประเทศชาติ ใครได้ใครเสีย?" มีผู้ร่วมอภิปรายได้แก่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ, ชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมาศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย โดยในงานนี้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนจำนวนมาก

ปรีดิยาธร เทวกุล แสดงความเป็นห่วงการพุ่งขึ้นของหนี้สาธารณะว่า ข้อมูลจากคณะกรรมการติดตามผลกระทบจากโครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลตั้งขึ้นมานั้น พบว่าเพียง 3 เดือนแรกของโครงการก็ขาดทุนแล้ว 3.2 หมื่นล้านบาท  หากคาดการณ์การขาดทุนจากที่ทำโครงการช่วงนาปรังปีที่แล้วและ 3 เดือนแรกของโครงการปีนี้จะอยู่ที่ราว 1.4 แสนล้านบาทจากจำนวนข้าว 21.69 ล้านตัน โดยขาดทุนจากทั้งส่วนต่างของราคาจำนำกับราคาตลาดและต้นทุนที่ต้องสูญเสียไปในระบบ ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ย ค่าเก็บข้าว น้ำหนักข้าวที่สูญเสียระหว่างเก็บ และหากเป็นไปตามที่รัฐบาลประกาศว่าจะเดินหน้ารับจำนำข้าวที่มีทั้งหมด 33 ล้านตัน คำนวณแล้วจะขาดทุนรวม 2.1 แสนล้านบาท โครงการนี้จึงเป็นโครงการที่หนี้สาธารณะสูงมากจนน่าเป็นห่วง

อดีตผู้ว่า ธปท. กล่าวถึงการประมาณการณ์ตัวเลขหนี้สาธารณะด้วยว่า หากดูจนถึงสิ้นเดือน ก.ค.55  ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะ 44.2% ของจีดีพี คาดว่าพอถึงสิ้นปี 55 รวมแล้วจะกลายเป็น 47.8% ของจีดีพี ทั้งนี้ไม่รวมหนี้ค้างจ่ายองค์กรอื่นๆ เช่น กบข. ธกส.และโครงการต่างๆ ถ้านับรวมสิ่งเหล่านี้ด้วย ถึงสิ้นปี 55 หนี้สาธารณะไทยจะกลายเป็น 49.9 % ของจีดีพี เมื่อดูทิศทางข้างหน้าซึ่งรัฐบาลระบุว่านโยบายอีก 5 ปีจะทำงบประมาณเท่าดุลตลอด แต่ตอนนี้ขอออกพันธบัตรกู้หนี้นอกงบประมาณก่อน เช่น กองทุนประกันภัย, โครงการบริหารจัดการน้ำ, โครงสร้างพื้นฐานเมกกะโปรเจ็กต์ ซึ่งหากนำ 3 ตัวนี้มารวมด้วยก็จะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นอีก เมื่อถึงปี 2562 หนี้สาธารณะจะพุ่งเป็น 53.7% และเมื่อรวมกับการขาดทุน โครงการรับจำนำข้าว ปีละ 2.1 แสนล้านซึ่งมีแนวโน้มว่าต้องทำไปเรื่อยๆ ก็คำนวณได้ว่าหนี้สาธารณะไทยจะขึ้นถึง 61% ของจีดีพี ใกล้เคียงกับหลายประเทศในยุโรป ในขณะที่โลกเริ่ม sensitive เรื่องตัวเลขหนี้สาธารณะขึ้นมากเพราะเริ่มก่อปัญหา ทั้งนี้ตัวเลขหนี้สาธารณะ 61% ยังตั้งอยู่บนข้อสมมติฐานแบบที่รัฐบาลประกาศว่างบประมาณจะไม่ขาดดุลเลย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วไม่เชื่อว่าเป็นไปได้

"เรื่องนี้กระทบฐานเศรษฐกิจของประเทศไทยซึ่งเดิมเขาถือว่ามั่นคง เพราะหนี้ต่อจีดีพีมันต่ำ หลังจากนี้ไปจะขึ้นพรวด ประเทศไทยจะขึ้นพรวดอย่างเห็นได้ชัด และคาดการณ์ได้ว่าจะขึ้นอีก ความเชื่อมั่นของต่างประเทศจะลดลง และอาจกระทบต่อค่าเงินบาทด้วย โรคหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นไม่หยุดจะสร้างปัญหามากและเป็นปัญหาที่แก้ยากที่สุด"

"โครงการนี้ถ้าไม่คิดถึงผลเสียเลย ประเทศชาติจะได้รับผลกระทบรุนแรง คอรัปชั่นไม่ดีแน่ แต่อวิชชาร้ายกว่าคอรัปชั่น เพราะส่งผลเสียรุนแรง และยิ่งอวิชชาบวกคอรัปชั่นแล้วยิ่งไปกันใหญ่" ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว  

นิพนธ์ พัวพงศธร กล่าวว่า  โครงการจำนำข้าวนั้นทำให้กระทรวงการคลังต้องค้ำประกันเงินกู้ถึง 66% ของเพดานทั้งหมด 4.8 แสนล้านบาท ทำให้เหลือเม็ดเงินเพียง 3.4 หมื่นล้านบาท กระทบต่อโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่รัฐวางงบไว้ 2.7 ล้านล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลต่อประชาชนทั้งประเทศและตนเห็นว่าเป็นโครงการที่ดี แต่กลับถูกโครงการแจกเงินอย่างโครงการจำนำข้าวเบียดบังทรัพยากรไป อีกทั้งโครงการรับจำนำยังเข้าถึงชาวนาเพียง 8 แสนกว่าราย ไม่ใช่ 1.2 ล้านรายอย่างที่มีการให้ข่าว

นิพนธ์กล่าวด้วยว่า  ตัวเลขที่นายกฯแถลงว่าขายข้าวและตัวเลขที่รัฐบาลแจ้งว่าได้โอนเงินให้ ธกส.แล้วนั้นเป็นตัวเลขที่ตรงกัน ซึ่งเมื่อคำนวณตัวเลขข้าวที่รัฐบาลเก็บไว้และข้าวในท้องตลาดทั้งหมดแล้วพบว่ายังขาดข้าวสำหรับบริโภคในประเทศอีก 2 หมื่นกว่าตัน ดังนั้นราคาขายภายในประเทศต้องสูงขึ้นด้วย แต่ก็น่าแปลกใจว่าทำไมราคาในประเทศไม่สูงขึ้นเลย จึงขอเรียกร้องให้มีการชี้แจงเรื่องนี้ว่าบริหารอย่างไร หรือมีการแอบขายข้าวในคลังรัฐบาลสู่ตลาดภายในประเทศ

ในส่วนของการประมาณการการขาดทุนจากโครงการจำนำข้าว นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอกล่าวว่า คำนวณจาการที่กระทรวงพาณิชย์เคยแถลงว่าไตรมาส 4 ของปีนี้ และอีก 4 ไตรมาสของปีหน้าจะขายเข้าได้เท่าไร สมมติว่าขายได้หมดตามนั้น แล้วเอาราคาที่ประมูลข้าวกับราคาส่งออกของเวียดนามโดยแถมให้ประเทศไทยอีก 30 เหรียญ คำนวณแล้วก็ยังพบว่ารัฐบาลจะขาดทุนไม่ต่ำกว่า 1.72 แสนล้านบาท  ซึ่งส่วนที่ขาดทุนนี้ล้วนเป็นภาษีของประชาชน สำหรับเงินในโครงการก็พบว่าจะตกถึงเกษตรกรเพียง 65-70% ของงบทั้งหมด หรือ 8-9 หมื่นล้านเท่านั้น ที่เหลือเป็นเงินดอกเบี้ย 1 หมื่นกว่าล้าน ค่าข้าวเสื่อมสภาพเฉียด 1 หมื่นล้าน ค่าสีข้าวของโรงสีเกือบ 3 หมื่นล้าน ที่สำคัญ เกษตรกรที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดเป็นชาวนาระดับปานกลางและชาวนาที่ร่ำรวยทำนารายใหญ่

ชูเกียรติ โอภาสวงศ์ จากสมาคมผู้ส่งออกข้าวให้ความเห็นว่า ราคาข้าวไทยเพิ่มขึ้นสูงจากโครงการรับจำนำข้าว จนลูกค้าส่วนใหญ่รับไม่ได้ ทำให้ตัวเลขส่งออกลดลงมากถึง 44%  แม้กระทรวงพาณิชย์จะออกมาแถลงว่ายังเป็นแชมป์ในเรื่องมูลค่า ก็นับเป็นข้ออ้างที่ตลกมาก เพราะแชมป์เรื่องนี้เราเป็นมานานมากแล้ว และปัญหาปริมาณการส่งออกลดลงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง หากเปรียบกับปีที่แล้ว ช่วง 9 เดือนแรก ไทยส่งออกข้าว 5,200 ล้านเหรียญ เวียดนามส่งออกข้าว 2,800 ล้านเหรียญ แต่มาปีนี้ช่วง 9 เดือนแรก ไทยส่งออกลดเหลือ 3,400 ล้านเหรียญ ขณะที่เวียดนามส่งออก 2,600 ล้าน ความแตกต่างน้อยมาก น่าห่วงว่าอีก 1-2 ปีเขาคงแซงเราในเรื่องตัวมูลค่าด้วย

ชูเกียรติกล่าวด้วยว่า สาเหตุที่ปริมาณการส่งออกลดลงส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกเป็นเพราะวงการข้าวมีการแข่งขันสูงมากและ margin ของสินค้าเกษตรมีนิดเดียว ราคาข้าวที่ซื้อจากโรงสีก็นับเป็น 92% ของราคาขายแล้ว คนข้างนอกมักคิดว่าพ่อค้าร่ำรวย แต่ความเป็นจริงคือเราอยู่ได้ด้วย volume ของการส่งออก แต่ตอนนี้หลังโครงการรับจำนำที่บิดเบือนราคาตลาดมากถึง 50% ทำให้ขายไม่ได้ เมื่อก่อนมาเลเซียเป็นลูกค้าอันดับหนึ่ง ทั้งข้าวขาวและข้าวหอม ปัจจุบันไม่ซื้อข้าวขาวประเทศไทยสักเม็ดจากที่เมื่อก่อนซื้อ 2- 3 แสนตัน ข้าวหอมเกรดต่ำหน่อย ซื้อปีละประมาณ 5-6 หมื่นตัน ตอนนี้เหลือ 5-6 พันตัน แล้วหันไปซื้อกับเวียดนาม ดังนั้น บริษัทส่งออกอยู่ในภาวะอันตราย  บริษัทส่งออกขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนมากอาจถึงขั้นปิดกิจการ ส่วนบริษัทใหญ่ก็ย้ายฐานหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เพราะดูแนวโน้มแล้วข้าวในไทยมีแต่แพงขึ้น ต่อให้ไม่มีโครงการนี้ก็ต้นทุนก็แพงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

ชูเกียรติกล่าวด้วยว่า สิ่งที่เลวร้ายอีกอย่างคือการระบายข้าว ซึ่งทางสมาคมส่งเสียงมาตลอดว่า การระบายแบบลับๆ เป็นเรื่องรับไม่ได้ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยปลายรัฐบาลที่แล้ว ฝ่ายค้านถึงไม่ค่อยกล้าโจมตีเท่าไร การดำเนินการไม่โปร่งใสส่งผลให้เราเห็นได้ว่าบางบริษัทยอดขายพุ่งกระฉูดอย่างไร้เหตุผล อาจมีช่องทางไปซื้อข้าวได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาตลาด ขณะที่เพื่อนๆ ล้มระเนระนาดกันหมด

"นี่เป็นการซ้ำเติมวงการข้าว กลายเป็นว่าคุณ create unfair competition ใครมีเครือข่ายกับฝ่ายการเมืองก็ได้เปรียบ ซื้อข้าวได้ถูก ถูกจริงๆ จนเรานึกไม่ออก เช่น ข้าวหอมกิโล 30 กว่าบาท เขาซื้อได้ 8 บาท มันอธิบายไม่ได้ ลักษณะนี้มันตรวจสอบลำบาก เพราะก็จะอ้างว่าเป็นข้าวเก่า" ชูเกียติกล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม แนวโน้มปีหน้าก็ไม่มีความหวังว่าราคาข้าวจะปรับตัวสูงขึ้น เพราะไม่ว่าจะอย่างไรรัฐบาลก็ต้องระบายข้าวออก  อุปทานในตลาดก็จะเพิ่มขึ้นอยู่ดี

ปรีดิยาธร เสริมว่า สื่อมวลชนควรช่วยกันจับตาดูความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น คือ การเกิดบริษัทส่งออกใหม่ๆ ขึ้นมาหลายบริษัทและชนะการประมูลเสมอ ส่วนนิพนธ์ เสริมว่า ได้ยินข่าวจากโรงสีข้าวในภาคใต้ที่ระบุว่ามีนายหน้าที่สามารถซื้อข้าวจากคลังของรัฐบาลได้ในราคาต่ำมากประมาณ 16 บาทเศษต่อกิโลกรัม

นิพนธ์กล่าวถึงทางออกว่า ในระยะสั้นไม่ว่าจะขายข้าวอย่างไรรัฐก็ขาดทุนสูง จึงควรยุติโครงการ ส่วนในระยะยาวที่ต้องต้องไปสู่ข้าวคุณภาพ ก็ต้องยุติโครงการอยู่ดี เพราะหากมีโครงการชาวนาก็จะสนใจปลูกแต่พันธ์ข้าวอายุสั้น ไม่มีคุณภาพ นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีเกษตรกรมากเกินไป เกษตรกรจะต้องย้ายออกจากภาคเกษตรแล้วไปสู่ภาคอุตสาหกรรมและบริการ จนกระทั่งรายได้ต่อหัวในภาคเกษตรใกล้เคียงกับนอกภาคเกษตรจึงจะแก้ปัญหาความยากจนได้

นิพนธ์กล่าวด้วยว่า การอุดหนนุภาคเกษตร ส่วนใหญ่เป็นปัญหาเรื่องความเป็นธรรม แต่เวลานี้เกษตรกรเราไม่ได้ยากจน อย่าไปมองภาคเกษตรว่าจนทุกคน ต้องเริ่มแยกแยะนโยบายในเรื่องการอุดหนุนภาคการเกษตร แต่ต้องปฏิรูปที่ดิน แก้กฎหมายการเช่าที่ดิน เพราะเกษตรกรที่ยากจนจะเช่าที่ดินทำกินจนไต่เต้าได้ รบ.ผ่านกม.ธนาครที่ดินแล้ว ทำไมไม่ใช้กลไกนี้ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ไม่มีที่ดิน นี่คือการอุดหนุนที่จะช่วยให้เกษตรกรจำนวนหนึ่งลืมตาอ้าปากได้ แทนที่จะอุดหนุนเรื่องการไม่เก็บภาษีสารเคมี

นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีบทความของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่สนับสนุนนโยบายจำนำข้าวด้วยว่า การประมาณการของทีดีอาร์ไอใช้ข้อมูลและตัวเลขจริง การวิจารณ์ของนิธิในบางเรื่องเช่นเรื่องโรงสีนั้นนิธิก็ไม่ได้มีข้อเท็จจริงรองรับ ส่วนเรื่องประเทศพัฒนาแล้ว รัฐบาลช่วยเหลือเกษตรกรจริง แต่มีข้อเท็จจริงว่า ประเทศพวกนี้มีเกษตรกรน้อยและเวลารัฐบาลช่วยก็จะจำกัดความช่วยเหลือตลอดเวลา เช่น ให้เงินอุดหนุนแล้วบอกว่าคุณต้องลดการเพาะปลูก   ประเทศอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ การช่วยเกษตรกรทำได้ง่าย เพราะประเทศเหล่านี้เป็นประเทศผู้นำเข้า ไม่ใช่ผู้ส่งออก แค่ใช้วิธีจำกัดการนำเข้า ราคาในประเทศสูงขึ้น แต่ไทยเป็นประเทศส่งออก ราคาในประเทศต่ำกว่าราคาตลาดโลก จะให้ราคาสูงต้องใช้เงินอย่างเดียวและเราดันไม่จำกัดปริมาณการใช้เงิน นโยบายแบบนี้ทำลายกลุ่มเกษตรกรปลูกข้าวอินทรีย์และโรงสีเล็กทั้งหลาย

"การให้เงินแบบนี้ทำเกษตรกรเข้มแข็งได้ไหม กองทุนหมู่บ้านทำได้เพราะไม่ได้ให้เงินอย่างเดียว มีการสร้างองค์กรขึ้นมา แต่โครงการนี้เป็นการหยิบเม็ดเงินจ่ายไปเฉยๆ แล้วไม่ทำอย่างอื่นเลย"นิพนธ์กล่าว  

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'แจ๋ว' เฮ! กฎกระทรวงแรงงานเพิ่มสิทธิมีผลบังคับใช้

Posted: 12 Nov 2012 06:59 AM PST

ผู้ใช้แรงงานรับใช้ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ชาวไทยหรือข้ามชาติ จะได้รับสิทธิคุ้มครองเพิ่มเติม 7 ข้อ

12 พ.ย. 55 นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน ฉบับที่ 14 (2555) ซึ่งออกตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 55 แล้ว มีผลให้เป็นการคุ้มครองผู้ใช้แรงงานรับใช้ในบ้าน โดยไม่เลือกว่าจะเป็นแรงงานที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ครอบคลุมทั้งแรงงานชาวไทยและแรงงานข้ามชาติ ทั้งนี้แรงงานรับใช้ในบ้านจะได้รับสิทธิคุ้มครองเพิ่มเติม 7 ข้อด้วยกันคือ 

1.ลูกจ้างต้องมีวันหยุดประจำสัปดาห์ ไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 วัน 2.นายจ้างต้องกำหนดวันหยุดตามประเพณี ปีละไม่น้อยกว่า 13 วัน ซึ่งรวมวันแรงงานแห่งชาติด้วย และหากวันหยุดตามประเพณีตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ ให้ลูกจ้างหยุดเป็นวันหยุดชดเชยเพิ่มอีก 1 วัน 3.ลูกจ้างที่ทำงานครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี ปีละไม่เกิน 6 วันทำงาน 4.ลูกจ้างมีสิทธิ์ลาป่วยตามที่ป่วยจริงได้ และหากลา 3 วันขึ้นไป นายจ้างสามารถขอใบรับรองแพทย์ยืนยันจ้างลูกจ้างได้ 5.กรณีลูกจ้างเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้กับเด็กโดยตรง 6.ลูกจ้างที่ทำงานในวันหยุด ต้องได้รับเงินค่าจ้างด้วย และ 7.ลูกจ้างต้องได้ค่าจ้างในวันที่ลาป่วย โดยไม่เกิน 30 วันทำงาน 

อย่างไรก็ตาม ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ยังชี้ด้วยว่า แม้ผู้ใช้แรงงานในบ้านจะได้รับสิทธิเพิ่มเติม 7 ข้อ แต่ใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ยังมีอยู่หลายข้อที่จำกัดสิทธิผู้ใช้แรงงานในบ้านไว้อยู่ เช่น เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ การคุ้มครองการทำงานไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง การลากิจ เป็นต้น นายสุรพงษ์กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กฎหมายคุ้มครองลูกจ้างที่ทำงานบ้านมีผลบังคับใช้แล้ว

Posted: 12 Nov 2012 06:47 AM PST

กระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงเพื่อคุ้มครองลูกจ้างที่ทำงานบ้าน ส่งผลให้นายจ้างต้องดูแลลูกจ้างที่ทำงานบ้าน ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างชาวไทยหรือแรงงานข้ามชาติที่มีการทำงานจริง

ลูกจ้างที่ทำงานบ้าน ซึ่งกฏกระทรวงเดิมที่ออกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ยกเว้นไว้ ไม่ได้รับการคุ้มครอง มาบัดนี้ได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น หลังจากราชกิจจานุเบกษาลงประกาศกฏกระทรวงแรงงาน ฉบับที่ 14 (พ.ศ.2555) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2555

เนื้อหาสำคัญที่กฎกระทรวงให้สิทธิแก่แรงงานลูกจ้างที่ทำงานบ้านตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 และกำหนดหน้าที่ของนายจ้างต้องปฏิบัติ คือ

1. ให้ลูกจ้างมีวันหยุดประจำสัปดาห์ สัปดาห์หนึ่งไม่น้อยกว่า 1 วัน โดยมีระยะเวลาห่างกันไม่เกิน 6 วัน

2. นายจ้างต้องประกาศวันหยุดตามประเพณีใหลูกจ้างทราบล่วงหน้า โดยมีวันหยุดไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี รวมทั้งวันแรงงานแห่งชาติ  กรณีวันหยุดตามประเพณีตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์  ให้ลูกจ้างหยุดชดเชยวันหยุดตามประเพณีในวันทำงานถัดไป

3. ลูกจ้างที่ทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ไม่เกินปีละ 6 วันทำงาน

4. ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง  กรณีการลาป่วยตั้งแต่ 3 วันทำงานขึ้นไป  นายจ้างอาจให้ลูกจ้างแสดงใบรับรองแพทย์ก็ได้

5. กรณีลูกจ้างเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างโดยตรง ห้ามจ่ายให้แก่ผู้อื่น

6. ลูกจ้างต้องได้ค่าจ้างในการทำงานวันหยุด  ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์  วันหยุดตามประเพณี หรือวันหยุดพักผ่อนประจำปี

7. ลูกจ้างได้รับค่าจ้างในวันลาป่วยเท่ากับค่าจ้างในวันทำงาน แต่ปีละไม่เกิน 30 วันทำงาน

แม้กฎกระทรวงจะออกมาคุ้มครองการทำงานของลูกจ้างที่ทำงานบ้าน แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่กฎกระทรวงจำกัดสิทธิลูกจ้างทำให้ไม่ได้รับการคุ้มครอง  ทำให้ลูกจ้างที่ทำงานบ้านไม่ได้รับสิทธิในการคุ้มครองแรงงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 อาทิ

การคุ้มครองให้ได้รับค่าแรงตามค่าแรงขั้นต่ำ  การคุ้มครองให้ทำงานไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง สิทธิในการลากิจ และการลาเพื่อฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถ  การคุ้มครองการใช้แรงงานเด็ก  การคุ้มครองการใช้แรงงานหญิง เช่น สิทธิการลาคลอดของลูกจ้างหญิงมีครรภ์  สิทธิที่จะไม่ถูกเลิกจ้างด้วยเหตุมีครรภ์

อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานยังไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้นายจ้างรับทราบหน้าที่ และลูกจ้างทราบสิทธิตามกฎหมายนี้แต่อย่างใด 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

FTA ว็อทช์ชี้หุ้นส่วน TPP อเมริกัน อันตราย!

Posted: 12 Nov 2012 06:14 AM PST

จี้นายกฯแถลงจุดยืนจะเอาอย่างไรกับผลกระทบจาก TPP อย่าแค่อยากไปแถลงข่าวร่วมกับ ปธน.สหรัฐฯ

12 พ.ย.55 ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วมว่าด้วยการประกาศการเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) และการรื้อฟื้นการประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบความตกลงการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐ (TIFA JC) โดยนายกรัฐมนตรีไทยและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะมีถ้อยแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ในวันอาทิตย์นี้นั้น

นายจักรชัย โฉมทองดี ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน หรือ เอฟทีเอ ว็อทช์ กล่าวว่า ทางนักวิชาการและภาคประชาสังคมที่ติดตามเรื่องการเจรจาการค้าระหว่างประเทศมาโดยตลอด ค่อนข้างห่วงใยกับการที่นายกัฐมนตรีจะไปแถลงข่าวร่วมเพื่อเข้าเจรจาTPP เช่นนี้ เพราะจากการศึกษาเบื้องต้นของบริษัทไบรอัน เครฟ ที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เคยจัดจ้างทำ ยังระบุว่า การเข้าร่วม TPP มีผลกระทบอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องการเข้าถึงยาและผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ

"แม้แต่งานศึกษาที่กรมเจรจาฯจัดจ้างบริษัทเอกชนทำ ยังชี้ว่า ในการเจรจา TPP ที่ 8 ประเทศกำลังเจรจาฯกันอยู่ สหรัฐฯมีข้อเรียกร้องสูงมาก ทั้งการบังคับให้จดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ การขยายอายุสิทธิบัตร จาก 20 ปีออกไปอีกไม่เกิน 5 ปีเพื่อชดเชยความล่าช้าของกระบวนการขึ้นทะเบียนสิทธิบัตร และให้ขยายอายุสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับการผลิตหรือการใช้ยาแบบใหม่เพียงเล็กน้อย การผูกขาดข้อมูลยา 5 ปี สำหรับยาใหม่ และ3 ปี สำหรับยาที่ได้รับสิทธิบัตรมาแล้ว ในเรื่องนี้ท่าทีสมาชิก TPP อื่นๆยังมองว่า จะทำให้ผูกขาดยาต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึงยาได้ จำกัดการบังคับใช้สิทธิ (ซีแอล) ไม่อนุญาตให้หน่วยงานจัดซื้อยาของรัฐต่อรองราคายา และบังคับเปิดตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ยิ่งไปกว่านั้น ด้านการค้าบริการและการลงทุน สหรัฐฯเรียกร้องให้ใช้แนวทาง Nagative List (อะไรที่เปิดเสรีไม่ได้ให้แจ้ง อะไรที่ไม่แจ้งต้องเปิดเสรีทั้งหมด) เปิดให้ชาวต่างชาติถือหุ้นได้ 100% การโอนเงินทำได้โดยเสรีและไม่มีอุปสรรค ต้องการให้มีบทบัญญัติเรื่องอนุญาโตตุลาการที่จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องร้องยกเลิกนโยบายสาธารณะหรือเรียกค่าชดเชยจากรัฐในนโยบายต่างๆ ได้ ซึ่งขณะนี้ทั้งมาเลเซีย เวียดนาม และบรูไน ยังไม่ยอมรับ ส่วนออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ประกาศไม่ต้องการให้มีบทบัญญัติเรื่องอนุญาโตตุลาการ"

ผู้ประสานงานเอฟทีเอ ว็อทช์ ระบุเพิ่มว่า สิ่งที่กรมเจรจาฯไม่เคยชี้แจงต่อสาธารณะอย่างครบถ้วนและไม่ทราบว่าคณะรัฐมนตรีมีความเข้าใจประเด็นนี้มากน้อยเพียงใด คือการที่ประเทศใดเข้าไปเจรจาทีหลังจะถูกบังคับให้ยอมรับความตกลงที่มากกว่าประเทศสมาชิกเดิม 8 ประเทศ ซึ่งขณะนี้ ญี่ปุ่นกำลังเผชิญภาวะความกระอักกระอ่วนนี้อยู่ นอกจากนี้ยังถูกตั้งข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองระหว่างประเทศว่า สหรัฐฯพยายามผลักดันอย่างมาก เพราะต้องการขยายอิทธิพลด้านการค้าและการเมืองผ่าน TPP และชิงความได้เปรียบเหนือจีน มากกว่าที่จะเป็นเรื่องวัตถุประสงค์ทางการค้าเท่านั้น และในช่วงดีเบตเพื่อเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบาม่า ก็ยอมรับว่า จะใช้ TPP เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกดดันจีนให้โอนอ่อนตามสหรัฐฯ (creating trade bloc with other Asian countries to put pressure on China to play by our rules) ประเทศไทยอาจจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในประเด็นนี้

"แม้ถ้อยแถลงร่วมจะมีผลผูกพันต่อประเทศตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็ตาม แต่การไม่จัดรับฟังความคิดเห็นประชาชนในเรื่องสำคัญดังกล่าว และการไม่คำนึงถึงข้อห่วงใยในผลกระทบต่างๆ ย่อมเป็นการไม่ให้เกียรติประชาชนไทยและประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงอยากให้รัฐบาลทบทวน และดำเนินการเรื่องนี้อย่างเปิดเผยโปร่งใส จัดรับฟังความคิดเห็นอย่างครบถ้วนไม่ใช่แค่ฟังนักธุรกิจเท่านั้น  พร้อมทั้งอธิบายจุดยืนและท่าทีของรัฐบาลอย่างชัดเจน"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สภาที่ปรึกษาแนะทำ FTA อียู ยึด ม.190 เคร่งครัด ย้ำต้องไม่รับทริปส์พลัส

Posted: 12 Nov 2012 06:00 AM PST

ที่ประชุมใหญ่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เห็นชอบร่างความเห็นและข้อเสนอแนะ เรื่อง "การจัดทำความตกลงทางการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปที่จะมีผลกระทบต่อการเข้าถึงยา" เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีแล้ว

รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ สมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ และประธานคณะทำงานเกี่ยวเนื่องด้านสาธารณสุขและการคุ้มครองผู้บริโภคเปิดเผยว่า ทางสภาที่ปรึกษาเข้าใจดีว่า รัฐบาลต้องการที่จะเปิดเจรจาการค้าเสรีหรือเอฟทีเอกับสหภาพยุโรปให้ได้ต้นปีหน้า  แต่เนื่องจากการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปเป็นการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน และงบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ทางสภาจึงได้ทำความเห็นและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล

"รัฐบาลต้องมีการจัดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อ (ร่าง) กรอบเจรจาฯ อย่างทั่วถึงก่อนเสนอให้รัฐสภาพิจารณา เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 อย่างเคร่งครัด ดังนั้น ขอให้กระทรวงพาณิชย์นำผลการรับฟังความคิดเห็นที่คณะกรรมการเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อการเจรจาเอฟทีเอ ไทย-สหภาพยุโรป ซึ่งแต่งตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553 เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพื่อนำไปสู่การร่างกรอบเจรจาฯที่สะท้อนความเห็นที่ผ่านการรับฟังอย่างกว้างขวางมาแล้ว

ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศกำหนดให้ (ร่าง) กรอบการเจรจาฯ ระบุอย่างชัดเจนให้ระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาต้องไม่เกินไปกว่าความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการค้าขององค์การการค้าโลก กฎหมายไทย หรือความตกลงใดๆ ที่ไทยเป็นภาคีอยู่ ทั้งนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์แห่งชาติด้านยา พ.ศ. 2555-2559 และความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชุดที่ 2 เรื่อง "การเจรจาจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา" เพราะข้อเรียกร้องต่างๆ ใกล้เคียงกับของสหภาพยุโรป             

ให้รอผลการประเมินผลกระทบทางสุขภาพกรณีศึกษาผลกระทบจากข้อตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรปต่อการเข้าถึงยาที่อยู่ระหว่างการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดแนวทางในการเจรจาที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ

และต้องจัดให้มีการศึกษาเปรียบเทียบผลดีผลเสียในภาพรวมทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน ซึ่งสะท้อนสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปที่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้การคาดการณ์ผลได้กับสหภาพยุโรปซึ่งไม่ได้เป็นไปตามที่เคยศึกษาไว้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการเจรจา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสวัสดิการของเกษตรกร แรงงาน และผู้มีรายได้น้อย"

ทางด้านนายอนันต์ เมืองมูลไชย สมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่า การทำเอฟทีเอกับสหภาพยุโรปจะส่งผลทางบวกต่อจีดีพีของไทยตามรายงานการวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) อีกทั้งกรมเจรจาฯ ให้เหตุผลที่ต้องเร่งเปิดเจรจาเอฟทีเอกับอียูเพื่อรักษาสิทธิพิเศษทางการค้า (Generalized System of Preferences: GSP) ที่ผู้ส่งออกไทยเคยได้รับอยู่และมีโอกาสจะถูกตัดสิทธินี้ในปลายปีหน้าเพราะเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง 3 ปีติดต่อกัน คิดเป็น 2,562 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 79,422ล้านบาท) อีกทั้งเพื่อนบ้านของไทย     ในอาเซียน อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย เจรจาใกล้ได้ข้อยุติแล้ว แต่งานวิจัยดังกล่าว ทำก่อนที่อียูจะประสบวิกฤตเศรษฐกิจที่ยังหาทางออกไม่ได้ อาจต้องมีการทบทวน

"หากดูวิกฤตเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปในขณะนี้ ที่อำนาจทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อลดลงอย่างมาก และยังไม่ถึงจุดต่ำสุดของวิกฤตเศรษฐกิจ รายงานของทีดีอาร์ไอในเชิงตัวเลขผลได้อาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงไม่ควรใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้างอย่างรอบคอบและแม่นยำ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการผูกขาดข้อมูลทางยา (Data Exclusivity) ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้อง    ที่มากเกินกว่าความตกลงทริปส์ที่สหภาพยุโรปต้องการมากที่สุด เพียงข้อเรียกร้องเดียวก็จะทำให้ ค่าใช้จ่ายด้านยาของไทยจะสูงขึ้นถึง 81,356 ล้านบาท/ปี รัฐบาลของท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ที่ให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำจึงต้องระมัดระวังในการเจรจาอย่างยิ่ง"

สมาชิกสภาที่ปรึกษายังแสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า ทราบมาว่า อีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า นายบารัค โอบาม่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะมาแวะเยือนประเทศไทย เชื่อว่าจะต้องมาเสนอให้ไทยเข้าร่วมเจรจาความตกลงกรค้าข้ามแปซิฟิค หรือ TPPA ซึ่งรัฐบาลต้องพึงตระหนักอย่างมากเช่นกัน

"ในเชิงเนื้อหาของ TPPA อุตสาหกรรมยาข้ามชาติไปสอดไส้ไม่ให้มีการควบคุมราคายา ไม่ให้ต่อรองราคายา ในเชิงกระบวนที่การเจรจาคืบหน้าไปมาก ประเทศไทยที่ไปร่วมกลุ่มทีหลังจะถูกบังคับให้เสียเปรียบอย่างมาก เช่นที่เม็กซิโก และญี่ปุ่นเผชิญอยู่ แต่ยิ่งไปกว่านั้น ข้อตกลงนี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศเพื่อปิดล้อมจีน รัฐบาลจะต้องชั่งน้ำหนักให้ดี"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รับขวัญนักโทษ ม.112 ศาลยกฟ้องหลังถูกขัง 14 เดือน

Posted: 12 Nov 2012 02:03 AM PST

กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล จัดกิจกรรม "รับขวัญเพื่อนนักโทษ ม.112 กลับสู่เสรี" สุรภักดิ์โปรแกรมเมอร์อดีตจำเลยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ศาลพึ่งตัดสินยกฟ้อง หลังถูกขังระหว่างดำเนินคดีมาถึง 14 เดือน

สุรภักดิ์ ภูไชยแสงและแม่

11 พ.ย.55 เวลา 13.30 น. ที่บริเวณบาทวิถีหน้าศาลอาญา รัชดา กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล ประมาณ 150 คน ได้จัดกิจกรรม "รับขวัญเพื่อนนักโทษ ม.112 กลับสู่เสรี" ให้กับนายสุรภักดิ์ ภูไชยแสง วัย 40 ปี โปรแกรมเมอร์ซึ่งเคยตกเป็นจำเลยในความผิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550มาตรา 3, 14, 17 โดยศาลพิพากษายกฟ้องไปเมื่อวันที่ 31 ต.ค.55 เนื่องจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังมีความสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งนี้ในระหว่างการดำเนินคดีนายสุรภักดิ์ ถูกควบคุมตัวในเรือนจำโดยไม่ได้รับการประกันตัวเป็นเวลาถึง14 เดือน

สุรภักดิ์ ภูไชยแสง

สุรภักดิ์ ได้กล่าวกับผู้ร่วมกิจกรรมด้วยว่า ถึงแม้ความยุติธรรมนี้จะมาช้าไป แต่ก็ถือว่าได้รับความเป็นธรรมในท้ายที่สุด พร้อมกับยืนยันด้วยว่าคดีนี้ตนเองบริสุทธิ์ตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว แต่กลับถูกเอาไปกักกันไว้โดยไม่ให้สิทธิในการประกันตัว และการถูกนำตัวไปขังในเรือนจำ สิทธิความเป็นพลเมืองก็หายไปด้วย

โปรแกรมเมอร์อดีตจำเลยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กล่าวด้วยว่าคดีของตนเองเป็นคดีทางเทคนิค ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนที่ใช้อีเมลอันหนึ่งและใช้อีเมลนั้นไปสร้างเฟซบุ๊กชื่อหนึ่งและนำเข้าข้อมูลที่ผิดกฎหมาย ถูกฟ้องถึง 5 กรรม

สุรภักดิ์ เล่าถึงวันที่ถูกจับกุมด้วยว่าเจ้าหน้าที่เข้ามาชาร์จตนเองที่ห้อง โดยที่ขณะนั้นไม่ทราบว่าใครเป็นใคร และเข้ามาตรวจค้น โดยนำคอมพิวเตอร์ของตนเองไปเครื่องหนึ่งพร้อมกับนำตัวตนเองไปแม้ไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า เจ้าหน้าที่มีเพียงหมายค้น แต่มีการควบคุมตัวไปด้วยและขอหมายจับตามมาอีก ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐาน

เขากล่าวอีกว่า ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้นหลักฐานชิ้นสำคัญคือข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ เจ้าหน้าที่ต้องได้ตรงนี้มาก่อน ไม่ใช่ไปจับใครมาแล้วมาหาหลักฐานภายหลัง เขาเล่าอีกว่าหลังจากส่งเข้าเรือนจำศาลก็นัดพร้อม โดยที่ตนมั่นใจว่าศาลจะปล่อย เพราะตนไม่ใช่ผู้กระทำความผิด สิ่งที่เห็นคือหลักฐานที่ฟ้องกับหลักฐานที่นัดพร้อมหลักฐานไม่ใช่ชุดเดียวกัน

 

เล่ากระบวนการเตรียมข้อมูลขณะถูกพันธนาการ

สุรภักดิ์ เล่าต่อว่าหลักฐานที่เจ้าหน้าที่เอามานำสืบครั้งแรกในช่วงตรวสอบหลักฐานนั้นเป็นคุกกี้ (Cookies) โดยเขาอธิบายเสริมว่าประวัติการใช้งานคอมพิวเตอร์มันมีอยู่ 2 ประเภท คือ ประเภทแรกที่เป็นหน้าเว็บเพจ เรียกว่า อินเทอร์เน็ต แคช (Internet Cache) อีกตัวหนึ่งที่เป็น text file เรียกว่า คุกกี้โดยยืนยันว่าดูจากหลักฐานแล้วจะเห็นว่ามีการปลอมคุกกี้ ที่สำคัญ ในตอนแรก อินเทอร์เน็ต แคช ยังไม่ได้ถูกใช้เป็นหลักฐาน ผู้พิพากษาได้สอบถามอัยการถึงหลักฐานที่จะระบุว่าจำเลยกระทำความผิด ซึ่งคดีนี้ไม่มีหลักฐานตั้งแต่เริ่มต้น อัยการเพียงอธิบายว่า ถึงวันนำสืบจะนำสืบเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อจะขมวดปมว่าจำเลยกระทำความผิดอย่างไรแต่ตนก็ต้องมานอนรออยู่ในเรือนจำกว่าจะได้ขึ้นศาลก็ 1 ปีพอดี

หลังจากได้ดูเอกสารเกี่ยวกับการฟ้องในส่วนของอินเทอร์เน็ต คุกกี้ ก็ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น อินเทอร์เน็ต แคช สำหรับกระบวนการเตรียมหลักฐานขณะอยู่ในเรือนจำนั้น สุรภักดิ์ เล่าว่า ได้ให้น้องๆนักศึกษาที่ไปเยี่ยมทดสอบช่วย เช่น ลองเล่นเฟซบุ๊กแล้วดูว่าจะปรากฏหลักฐานแบบที่เจ้าหน้าที่ใช้ฟ้องตนเองในเครื่องที่เล่นได้หรือไม่ การทดสอบเหล่านี้ใช้คนประมาณ 10 คน โดยให้แม่เป็นศูนย์กลางในการประสาน ซึ่งได้ข้อสรุปว่า การเล่นเฟซบุ๊กและใช้ฮอตเมล์ไม่มีการสร้างอินเทอร์เน็ต แคช ในเครื่อง

"ไม่ใช่หลักฐานเท็จ แต่เป็นหลักฐานที่ไม่มีอยู่ในโลก"

โปรแกรมเมอร์อดีตจำเลย อธิบายถึงการเกิดแคชว่าเว็บไซต์ทั่วไป เช่น sanook.com kapook.com pantip.com ฯลฯ จะเป็นเว็บที่มีแคช โดยระบบแคชถูกคิดค้นในบริบทที่อินเตอร์เน็ตยังมีความเร็วต่ำ เป็นทำสำเนา(copy)หน้าเพจใดๆ ที่เราเปิดทำงานเอาไว้ในเครื่องเรา เพื่อให้ครั้งต่อไปเราสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น โดยจะอ่านที่เครื่องเราก่อนแล้วค่อยอัพเดทไปที่เว็บไซต์จริงๆ ภายหลังอินเทอร์เน็ตมีความเร็วสูงขึ้นแล้วนักพัฒนาโปรแกรมส่วนใหญ่ก็ไม่ใช้ระบบแคชอีกต่อไป โดยเฉพาะโปรแกรมระดับสูงอย่างHotmail , Facebook , Twitter เพราะการใช้แคชจะทำให้การเข้าถึงเว็บช้าลงกว่าเดิมเพราะต้องอ่านกลับไปกลับมา แต่เจ้าหน้าที่กลับบอกว่าไฟล์ที่เครื่องของตนทั้งสองไฟล์ เป็นแคช ไฟล์ ที่เป็นประวัติการใช้ Hotmail และ facebook

"หลักฐานที่คุณกระทำมันไม่ใช่หลักฐานเท็จ แต่มันเป็นหลักฐานที่ไม่มีอยู่ในโลก" เขาเล่าถึงคำเบิกความของตนเองในการสืบพยาน พร้อมอธิบายว่าเหตุที่กล่าวเช่นนั้นเพราะหลักฐานเท็จนั้นยังต้องมีหลักฐานจริงเป็นพื้นฐาน แต่ facebookหรือ hotmailนั้นไม่มีกระทั่งร่องรอยการใช้งาน

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอีกว่าหลังจากเขาถูกจับกุม มีรายงานการใช้งานของคอมพิวเตอร์ของเขาที่ถูกเจ้าหน้าที่ยึดไปแล้วถึง2 ครั้ง ซึ่งเป็นการเปิดใช้งานก่อนที่จะมีการตรวจพิสูจน์หลักฐาน

ยกนโยบาย'privacy' ของ facebookสู้คดี

เขาระบุข้อต่อสู้ที่สำคัญอีกว่า ในวันสืบพยาน ทนายได้คุยกับผู้เชียวชาญและถ่ายเอกสารคำแนะนำการใช้งาน facebookของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)เจ้าของ facebookว่า facebook มีนโยบายหลักที่จะไม่ยอมให้เกิดแคช เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล

เขาเห็นว่า นี่เป็นประเด็นทางเทคนิคที่เป็นเรื่องใหญ่ แต่ศาลไม่ได้ระบุในคำพิพากษา

สุดท้าย สุรภักดิ์ กล่าวขอบคุณผู้ที่มาร่วมกิจกรรมและร่วมรณรงค์เคลื่อนไหวเกี่ยวกับนักโทษ ม.112 และกล่าวด้วยว่า คดีนี้ถ้าไม่มีน้องๆนักศึกษาและมวลชนให้ความช่วยเหลือตรวจสอบข้อมูลหลักฐานในการสู้คดีโดยมีแม่เป็นศูนย์กลางการประสานงาน แต่มีแม่เพียงคนเดียวแม่ก็ทำงานไม่ได้ ที่สำคัญ แม่ก็มีกำลังใจอยู่ได้เพราะมีมวลชนคอยดูแล

จรัล ดิษฐาอภิชัยย้ำอย่าลืมและอย่าให้อภัย

นอกจากนี้ จรัล ดิษฐาอภิชัย ที่ปรึกษานายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุลรองนายกรัฐมนตรี และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้มาร่วมกิจกรรมพร้อมกับกล่าวถึงกิจกรรมนี้ว่าเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากเป็นพิธีที่ประชาชนจัดขึ้นเพื่อเรียกขวัญให้กำลังใจให้กับสุรภักดิ์ นอกจากนี้ยังกล่าวฝากกับสุรภักดิ์ด้วยว่า 14 เดือนที่ถูกจองจำนั้น อย่าลืมและอย่าให้อภัย และขอให้ยืนหยัดร่วมกับผู้ที่รักความยุติธรรมและประชาธิปไตยต่อไป

จิตรา คชเดช เล่าถึงแม่ของสุรภักดิ์

จิตรา คชเดช นักสหภาพแรงงาน ผู้เคยร่วมกิจกรรมรณรงค์สิทธิการประกันตัวของนักโทษ ม.112 กล่าวถึงแม่ของสุรภักดิ์ว่า เป็นแม่ที่ประเสริฐมาก เราจะเห็นแม่แอบยืนร้องไห้อยู่หน้าศาล และไปทุกที่เพื่อเรียกร้องสิทธิของลูกและนักโทษคนอื่นๆด้วย อย่างไม่ท้อถอย อายุมากก็ยังมาอดอาหารเรียกร้องสิทธิการประกันตัวเพื่อลูก สิ่งที่ประทับใจมากๆ ก็คือแม่ของสุรภักดิ์เคยพูดว่า "ต่อให้ฉันไปกินขี้เขาฉันก็จะกิน ขอให้ปล่อยลูกฉันเถอะ"

นอกจากน้าภายในงานกลุ่มเสื้อแดง 15 เขตธนบุรี ยังได้นำสินค้าราคาถูกมาจำหน่าย พร้อมทั้งมีโครงการทำบริเวณนี้เป็นถนนคนเดินเพื่อจำหน่ายสินค้าราคาถูก รวมทั้งการร่วมเล่าประสบการณ์ ความคืบหน้ากรณีการเข้าไปขุดศพไร้ญาติในสุสาน จ.ระยองที่สงสัยว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงในปี 52 และ 53 อีกด้วย โดยมีกลุ่มเสื้อแดงจากจังหวัดชลบุรีติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด

 

ภาพบรรยากาศกิจกรรม

สุชาติ นาคบางไทรอดีตนักโทษ ม.112 กล่าวรับขวัญ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครม.นัดพิเศษ กิตติรัตน์ลักไก่เสนอร่างกรอบ FTA ไทย-EU วาระจร

Posted: 11 Nov 2012 11:05 PM PST

12 พ.ย. 55 - ในการประชุมครม.นัดพิเศษ ก่อนที่นายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเดินทางไปอังกฤษ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ เสนอวาระด่วน คือ ให้อนุมัติร่างกรอบเจรจาเอฟทีเอ ไทย-สหภาพยุโรป เพื่อเร่งนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา

นายจักรชัย โฉมทองดี ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) ตั้งข้อสังเกตว่า เอฟทีเอระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปเป็นการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน และงบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ เหตุใดรัฐบาลจึงทำอย่างลุกรี้ลุกรน ทำไมจึงเสนอเป็นวาระจร โดยที่ไม่มีการขอความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบวาระ

"จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลโดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ยังมิได้ดำเนินการถูกต้อง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญมิใช่เป็นอุปสรรคหรือเป็นเรื่องยากอย่างไรทั้งสิ้น แต่เป็นการรับรองให้การเจรจาการค้าเป็นประโยชน์กับประเทศและสังคมในวงกว้างอย่างแท้จริง โดยไม่ปล่อยให้ผลได้กระจุกอยู่ในวงจำกัด แต่ผลเสียกระจายอย่างที่เคยเป็นมา

ในความเป็นจริง กิจกรรมที่กรมเจรจาฯได้จัดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2553 แม้เป็นการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน แต่ไม่ได้มีการให้ข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น การออกความคิดเห็นของประชาชนจึงไม่สามารถสะท้อนท่าทีของรัฐบาลหรือเนื้อหาในกรอบการเจรจาได้ นอกจากนี้การจัดประชุมกลุ่มย่อย หรือ โฟกัส กรุ๊ป โดยกรมเจรจาฯ เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา แม้มีการนำร่างท่าทีของทางกรมฯ มาหารือ แต่ก็ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการรับฟังความเห็นประชาชน เนื่องจากเป็นการจัดลักษณะวงย่อยเฉพาะกลุ่ม แจ้งล่วงหน้าอย่างกระชั้นชิด ที่สำคัญคือกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญ เช่น ในประเด็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่ ยังไม่ได้มีการหารือแต่อย่างใด

ดังนั้น หากรัฐบาลพิจารณาร่างกรอบการเจรจาฯ และเสนอให้รัฐสภาพิจารณาโดยไม่นำร่างดังกล่าว มารับฟังความคิดเห็นประชาชน ก็สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเข้าข่ายการดำเนินการขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะนำมาซึ่งความเสียหายต่อรัฐบาลเอง และประเทศชาติในที่สุด ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วนที่สุดคือการนำร่างกรอบการเจราฯ มาจัดรับฟังความคิดเห็นประชาชน ก่อนเสนอต่อรัฐสภา ซึ่งจะไม่ทำให้เสียเวลาแต่ประการใด" ผู้ประสานงานกลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์กล่าว

ทางด้านนางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล นักวิจัยจากแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.) กล่าวว่า เท่าที่ทราบมา ร่างกรอบเจรจาฯที่ครม.จะอนุมัติวันนี้ เป็นเพียงกรอบกว้างๆ ซึ่งไม่สามารถป้องกันข้อห่วงใยเรื่องผลกระทบจากการเข้าถึงยาได้เลย

"ในร่างกรอบเจรจาฯ ใช้คำว่า 'ให้ระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาสอดคล้องกับระดับการคุ้มครองตามความตกลงขององค์การการค้าโลก และ/หรือความตกลงใด ๆ ที่ไทยเป็นภาคี' โดยกรมเจรจาฯให้เหตุผลว่า เป็นไปตามกรอบการเจรจาอาเซียน-สหภาพยุโรปที่เคยผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา แต่ในการขยายความระหว่างการประชุม อธิบดีกรมเจรจาการค้าฯขณะนั้น ยอมรับว่า ที่ระบุเช่นนี้แปลว่า อนุญาตให้เจรจาความตกลงที่เกินไปกว่าความตกลงทริปส์ได้ เพราะในความตกลงทริปส์ขององค์การการค้าโลกเป็นมาตรการขั้นต่ำ จึงนับเป็นความสอดคล้อง ซึ่งมีเพียงตัวแทนสภาหอการค้าฯที่มาจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ และพรีม่า ซึ่งเป็นสมาคมบริษัทยาข้ามชาติที่สนับสนุนอย่างแข็งขัน ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กรมทรัพย์สินทางปัญญา นักวิชาการ และภาคประชาสังคมต่างๆไม่เห็นด้วย

"กรมเจรจาฯในฐานะเลขาฯฝ่ายเตรียมการเจรจา ไม่อ้างอิงความรู้และผลงานวิชาการใดๆ ในการจัดทำท่าที และยังพยายามกีดกัน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความรู้โดยตรงเข้าร่วมจัดทำท่าที แม้แต่ขณะที่เอาวาระเข้าครม. ยังไม่ยอมถามความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะการศึกษาของสถาบันวิชาการหลายแห่งที่ให้ข้อมูลตรงกันว่า ข้อผูกพันดังกล่าวเป็นการผูกขาดตลาดและส่งผลให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติ จากการศึกษานี้ชี้ชัดว่าค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศจะเพิ่มขึ้นทุกปีจากปกติที่เคยเป็น โดยในปีที่ 5 จะมีผลกระทบมากกว่า80,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสุดท้ายแล้ว จะส่งผลให้ประเทศต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น และประชาชนจำนวนมากอาจไม่สามารถเข้าถึงยาจำเป็นได้ เพราะรัฐบาลอาจไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะสนับสนุน และส่งผลถึงระบบสาธารณสุขของประเทศโดยรวมในที่สุด"

 
.

บ้ากันใหญ่แล้ว เราคนดีรับมะด๊าย!!

Posted: 11 Nov 2012 08:40 PM PST

ทั้งอังกฤษ อเมริกา บ้าไปแล้ว!!!
รอต่อแถว คอยท่า มาชมชื่น
นายกฯหญิง หน้าหวาน เด็กวานซืน
เพียงข้ามคืน ชื่อเสียง ก็เกรียงไกร

ทั้งอินโด เกาหลี นี่ก็บ้า!!!
ให้ราคา นายกฯ กันยกใหญ่
เวียตนามลาว อิหร่าน บานตะไท
หัวกระได ไม่แห้ง เธอแรงจริง

ทั้งยุโรป ทั้งพม่า บ้ากันหมด!!!
ที่ยอมลด ตัวเข้าหา นายกฯหญิง
ทั้งบรูไน ทั้งเขมร เป็นระวิง
มาดนิ่งนิ่ง เธอคนนี้ มีอะไร

ทั้งรัสเซีย ไชน่า บ้าที่สุด!!!
เห็นแล้วหงุด หงิดจัง ยังสงสัย
ทั้งญี่ปุ่น อินเดีย เชียร์สุดใจ
ล้วนแต่ให้ เกียรติเธอ เสมอมา

พวกคนดี ของไทย ไม่ให้ผ่าน
ตามวิจารณ์ เครื่องแต่งกาย และใบหน้า
เป็นกะหรี่ โง่เขลา เบาปัญญา
ไร้ศีลธรรม จรรยา ชั่วกว่าใคร

นานาชาติ เขารู้ดี มีสติ
ต่างดำริ เห็นคุณค่า นายกฯใหม่
มาตามกฏ กติกา ประชาธิปไตย
เขาจึงพร้อม อวยชัย ให้เกียรติเธอ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 12 รายจากเหตุแผ่นดินไหวในพม่า

Posted: 11 Nov 2012 02:00 PM PST

สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษระบุว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 12 ราย และบาดเจ็บหลายสิบ จากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อเช้าวันอาทิตย์ใกล้เมืองชเวโบ ทางตอนเหนือของพม่า ซึ่งสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ในประเทศไทยเช่นเดียวกับเหตุแผ่นดินไหวเมื่อเดือนมีนาคมปี 54

บีบีซีของอังกฤษระบุว่าคาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 12 ราย และบาดเจ็บหลายสิบ จากเหตุแผ่นดินไหวที่ชเวโบ ใกล้กับเมืองมัณฑะเลย์ เมืองใหญ่อันดับสองของพม่าเมื่อวานนี้ (11 พ.ย. 55) ในเวลา 7.42 น.  หรือ 8.12 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) ระบุว่าแผ่นดินไหวดังกล่าวมีขนาด 6.8 ริกเตอร์ ลึกจากผิวโลก 10 กม. ศูนย์กลางอยู่ห่างจากชเวโบไปทางทิศเหนือ 52 กม. และห่างจากมัณฑะเลย์ 120 กม.

ทั้งนี้ Eleven Media Group ของพม่าเผยแพร่ภาพสะพานที่กำลังก่อสร้างที่ชเวโบ ใกล้ศูนย์กลางแผ่นดินไหวได้พังลง รวมถึงยอดพระธาตุหลายแห่งในพม่าที่ได้รับความเสียหายจากแรงแผ่นดินไหว โดยบีบีซีระบุว่าผลจากแผ่นดินไหวได้ทำให้คนงานก่อสร้างสะพานตกลงไปในแม่น้ำ นอกจากนี้จากข้อมูลของ USGS ก็ระบุด้วยว่า ยังเกิดแผ่นดินไหวระลอกสองตามมาอีกขนาด 5.6 ริกเตอร์ อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลล่าสุดว่าอาฟเตอร์ช็อกรอบหลังทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม หรือก่อให้เกิดความสูญเสียใหญ่อีกหรือไม่

บีบีซี รายงานด้วยว่า ผู้อาศัยที่เมืองมัณฑะเลย์ต่างหวาดผวาและหนีออกจากบ้านเรือนเพื่อความปลอดภัย และต่างกลัวว่าจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีก

สำหรับแผ่นดินไหวที่พม่าเมื่อวานนี้นั้นสามารถรับรู้ความรู้สึกได้ในพื้นที่ภาคเหนือของไทย รวมถึงอาคารสูงในพื้นที่ภาคกลางและ กทม. (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) ขณะที่ ก่อนหน้านี้เมื่อ 24 มีนาคมปีที่แล้ว มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 75 รายจากเหตุแผ่นดินไหวในรัฐฉานของพม่า ใกล้กับชายแดนลาวและไทย โดยสามารถรับรู้แรงสั่นไหวได้ถึงพื้นที่ในประเทศไทยเช่นเดียวกับเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวานนี้ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น