โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ประชาชน 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ล่องเรือร้อง ‘อาเซม’ หยุด ‘เขื่อนไซยะบุรี’

Posted: 05 Nov 2012 11:52 AM PST

เครือข่ายประชาชน 8 จังหวัดลุ่มแม่น้ำโขง พร้อมเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนตำบลลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน ล่องเรือบนน้ำโขงฝั่งหนองคายตรงข้ามที่ประชุมอาเซม รณรงค์ค้านเขื่อนไชยะบุรี ด้าน สปป.ลาวสัมภาษณ์สื่อเผยวางศิลาฤกษ์โครงการฯ 7 พ.ย.นี้

 
 
วันที่ 5 พ.ย.55 ในลำแม่น้ำโขงด้านหน้าวัดชุมพล ต.พานพร้าว อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านหาดดอนจัน นครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวง สปป.ลาว สถานที่จัดประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย-ยุโรป (อาเซม) เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง และเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนตำบลลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน (คสข.) รวมทั้งประชาชนใน จ.หนองคาย ประมาณ 200 คน ร่วมกันจัดกิจกรรมคัดค้านการสร้างเขื่อนไชยะบุรีของ สปป.ลาว
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มชาวบ้านได้นำเรือราว 50 ลำล่องในลำแม่น้ำโขง โดยเรือแต่ละลำได้ติดป้ายรณรงค์คัดค้านการก่อสร้างเขื่อนไชยะบุรี อย่างไรก็ตามขบวนเรือล่องประชิดชายฝั่งไทย เนื่องจากมีเรือลาดตระเวนของ สปป.ลาวจำนวน 3 ลำ ประกบเพื่อไม่ให้ขบวนเรือรุกล้ำเข้าไปใกล้ฝั่ง สปป.ลาว นอกจากนี้ยังมีเฮลิคอปเตอร์ของทางการบินวนเวียนสังเกตการณ์ ทำให้ชาวบ้านต้องเร่งมือกันทำกิจกรรมให้ลุล่วง
 
นายอิทธิพล คำสุข ตัวแทนเครือข่ายสภาองค์กรชุมตำบลลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน (จังหวัดหนองคาย) กล่าวว่า ในวาระการประชุมผู้นำประเทศเอเชีย-ยุโรป หรืออาเซม ในวันนี้ ณ นครหลวงเวียงจันทร์ สปป.ลาว พวกเราเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง และ เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนตำบลลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน (คสช.) ขอเรียกร้องให้ผู้นำประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมประชุมได้รับรู้ว่าแม่น้ำโขงกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติเนื่องจากโครงการก่อสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงทางตอนล่างที่กำลังคืบหน้าอย่างรวดเร็ว
 
โดยเฉพาะโครงการเขื่อนไซยะบุรี ตั้งอยู่ใน สปป.ลาว ซึ่งเป็นการลงทุนโดยบริษัทเอกชนไทย สัญญาซื้อขายไฟฟ้าลงนามโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเดินหน้าการก่อสร้างอย่างรวดเร็ว ทั้งที่มีการคัดค้านจากรัฐบาลกัมพูชาและเวียดนาม ตลอดจนประชาชนในภูมิภาค
 
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า เขื่อนไซยะบุรีเป็น 1 ใน 12 โครงการไฟฟ้าพลังน้ำที่จะกั้นแม่น้ำโขงทางตอนล่าง ชาวบ้านที่อาศัยริมแม่น้ำโขงมีความกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าจะสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศน์แม่น้ำโขง พันธุ์ปลา การประมงการเกษตร การคมนาคม และปากท้องวิถีชีวิตของประชาชนกว่า 60 ล้านคนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง
 
สำหรับประเทศทั้งในเอเชียและยุโรปที่เป็นผู้บริจาคแก่คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) หลายปีที่ผ่านมาเราพบว่ากลไกของ MRC ไม่มีประสิทธิภาพไม่สามารถไกล่เกลี่ยปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ แม้จะมีข้อตกลงแม่น้ำโขง พ.ศ.2538 แต่ข้อตกลงนี้ก็แทบไม่มีความหมายเพราะการตัดสินใจไม่ได้อยู่บนฐานของข้อเท็จจริง ความรู้ และการมีส่วนร่วมแต่กลับเป็นเรื่องของผลประโยชน์เฉพาะหน้า
 
แม้ที่ผ่านมาจะมีความพยายามนำเสนอผ่านสื่อมวลชนของทางการลาวว่าเขื่อนแห่งนี้เป็นเขื่อน "โปร่งใส" ไม่มีการกักเก็บน้ำ ไม่กักเก็บตะกอน และไม่มีผลกระทบต่อพันธุ์ปลา แต่กลับไม่มีการเปิดเผยข้อมูลโครงการแก่สาธารณะและผู้ได้รับผลกระทบอย่างรอบด้านที่เพียงพอที่จะใช้ประเมินความเสียหายโดยเฉพาะผลกระทบข้ามพรมแดนต่อชุมชนท้ายน้ำ-เหนือน้ำ ในประเทศเพื่อนบ้านนับตั้งแต่ประเทศไทยเรื่อยไปจนถึงกัมพูชาและเวียดนาม
 
ด้านนายเสถียร มีบุญ สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองคาย กล่าวเสริมว่า จวบจนขณะนี้ชาวบ้านริมน้ำโขงซึ่งจะต้องเป็นผู้เดือดร้อนยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากเขื่อน ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมาถามเราว่า ชุมชนริมแม่น้ำโขงพึ่งพาแม่น้ำโขงเพียงใด ใครกันที่จะรับรองได้ว่าจะไม่เกิดผลกระทบต่อชุมชน
 
ในวาระที่จะมีการประชุมเอเชีย-ยุโรป และจะมีการพูดคุยในที่ประชุมเกี่ยวกับเรื่องพลังงาน ชาวชุมชนริมแม่น้ำโขงขอเรียนว่าแม่น้ำโขงเป็นเส้นเลือด เป็นชีวิต เป็นจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของประชาชนอย่างน้อย 60 ล้านคน แม่น้ำโขงมีค่ามากเกินกว่าจะเป็นเพียงแหล่งผลิตพลังงานหรือเพื่อสร้างความร่ำรวยแก่บุคคลกลุ่มเล็กๆ เพียงกลุ่มเดียว ประชาชนในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงแห่งนี้ต้องการการวางแผนพลังงานที่รอบด้านยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีส่วนร่วมตลอดสายน้ำ
           
"หยุดโครงการเขื่อนไซยะบุรี ศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน และมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อแม่น้ำโขงที่ไหลอย่างอิสระ" นายเสถียรกล่าวย้ำถึงข้อเรียกร้อง
 
ในวันเดียวกัน (5 พ.ย.55) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานสัมภาษณ์นายวีระพน วีระวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ สปป.ลาวว่า จะมีพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการเขื่อนไซยะบุรี ในวันพุธที่ 7 พ.ย.นี้ ที่หัวงานเขื่อน แม้จะมีการคัดค้านจากประเทศท้ายน้ำ และนักอนุรักษ์ทั่วโลกก็ตาม โดยพลังงานไฟฟ้าเป็นผลประโยชน์ใหญ่หลวงของลาว ถ้าไม่สร้างเขื่อนไซยะบุรี ลาวจะมีทางเลือกอื่นอย่างไร

"เราศึกษาประเมินแล้ว ตลอดเวลา 2 ปี เราศึกษาเรื่องที่มีข้อห่วงใยแล้วเกือบทุกประเด็น" นายวี ระพน กล่าว และว่า กัมพูชาที่เคยคัดค้านโครงการนี้มีความสุขมาก
 
 

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ถอดความคิดขบวนการเอกราชปาตานี (1): 'สายธารประวัติศาสตร์'

Posted: 05 Nov 2012 09:50 AM PST

 

ท่ามกลางเสียงระเบิดและควันปืนที่ไม่เคยหยุดในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกือบเก้าปีแล้ว ยังคงมีความไม่ตกผลึกในทางความคิดว่าสิ่งที่รัฐไทยกำลังต่อสู้อยู่นั้นคืออะไร  โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (Deep South Journalism School – DSJ) พยายามที่จะถอดความคิดของคนที่จับอาวุธลุกขึ้นสู้กับรัฐผ่านปากคำของพวกเขาเอง  

เราหวังว่าการสะท้อนเสียงเหล่านี้จะทำให้สังคมเข้าใจถึงวิธีคิดของพวกเขาและนำไปใช้ในการแก้ปัญหาความรุนแรงด้วยปัญญาอย่างมีทิศทางมากขึ้น  เชื่อว่าทุกฝ่ายที่เฝ้าติดตามและทำงานในภาคใต้ต่างต้องการที่จะเห็นสันติภาพเกิดขึ้นในเร็ววัน  แม้ในขณะนี้อาจจะยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ตามที

รายงานพิเศษนี้มีทั้งสิ้น 7 ตอน  โดยจะมีการนำเสนอในหน้าเว็บไซต์ของ DSJ เป็นระยะ ๆ

 

 
 
สายธารแห่งประวัติศาสตร์
 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าดินแดนที่รู้จักกันว่าเป็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยในปัจจุบันนั้นเดิมมีฐานทางวัฒนธรรมจากอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพุทธ  ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามาในช่วงศตวรรษที่ 9    ในขณะที่อิทธิพลของทั้งสองศาสนาแผ่ขยายอย่างกว้างขวางในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ข้ามกลุ่มและชาติพันธุ์   การเข้ามาของศาสนาอิสลามกลับจำกัดอยู่เฉพาะคนชาติพันธุ์มลายู  ในช่วงหลายศตวรรษ อาณาจักรสยามกับอาณาจักรปาตานีมีความสัมพันธ์กันอย่างหลวมๆ   เจ้าเมืองของปาตานีส่งเครื่องราชบรรณาการให้กับสยามเพื่อแสดงความจงรักภักดีแต่สยามก็ให้อิสระเจ้าเมืองเหล่านั้นในการปกครอง 
 
ตราบจนกระทั่งในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ที่สยามเผชิญกับภัยคุกคามจากเจ้าอาณานิคมตะวันตก ในกระบวนการสร้างชาติไทยและทำประเทศให้ทันสมัย   รัชกาลที่ 5 ได้ทรงปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินซึ่งส่งผลให้อาณาจักรปาตานีกลายเป็นจังหวัดที่ขึ้นกับการปกครองของกรุงเทพฯ โดยตรงนับตั้งแต่พ.ศ. 2445  ต่อมาสยามได้ลงนามใน The  Anglo-Siamese Treaty ในพ.ศ. 2452  กับอังกฤษซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมของดินแดนในคาบสมุทรมาลายาในขณะนั้น  สนธิสัญญาฉบับนั้นส่งผลให้พื้นที่ในรัฐเคดาห์ กลันตัน ตรังกานูและเปลิสตกเป็นของอังกฤษ   ส่วนดินแดนในอาณาจักรปาตานี รวมถึงสตูลตกอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม  
 
คนมลายูมุสลิมในดินแดนแถบนั้นไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจชะตากรรมของตนเองว่าต้องการจะเป็นสมาชิกของชาติสยามหรือไม่ การต่อต้านการถูกผนวกรวมและการถูกทำให้กลายเป็นไทยได้ปะทุขึ้นและดำเนินต่อมาตลอดช่วงเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ  แม้ว่าอาจจะเบาบางไปบ้างในบางยุคสมัย  แต่ความคิดต่อต้านยังไม่เคยยุติลง  การต่อสู้ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในหมู่ชนชั้นนำมลายูมุสลิมได้ขยายตัวไปสู่ระดับสามัญชนมากขึ้นเรื่อยๆ
 
หมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์อันหนึ่ง คือ การเรียกร้องของหะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ในพ.ศ. 2490 ซึ่งขณะนั้นเขาเป็นประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี  หะยีสุหลงได้ยื่นข้อเสนอ  7 ข้อให้กับตัวแทนของรัฐบาลไทย  ข้อเสนอนั้นประกอบด้วย  1) ให้มีผู้ปกครองใน 4 จังหวัด ปัตตานี สตูล ยะลาและนราธิวาสเป็นคนมุสลิมในพื้นที่และได้รับเลือกจากคนในพื้นที่  โดยให้มีอำนาจในการศาสนาอิสลามและแต่งตั้งข้าราชการ  2) ให้ข้าราชการในสี่จังหวัดเป็นคนมลายูในพื้นที่ร้อยละ 80  3)  ให้ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาราชการควบคู่ไปกับภาษาไทย  4) ให้มีการใช้ภาษามลายูเป็นสื่อในการเรียนการสอนระดับประถม  5) ให้มีศาลพิจารณาคดีตามกฎหมายอิสลามที่แยกขาดจากศาลยุติธรรมของทางราชการ  โดยให้ดาโต๊ะยุติธรรมมีเสรีในการพิพากษาชี้ขาดความ 6)  ภาษีและรายได้ที่จัดเก็บให้ใช้ในพื้นที่ 4 จังหวัดเท่านั้น  7) ให้คณะกรรมอิสลามประจำจังหวัดมีอำนาจในการออกกฎระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติทางศาสนาโดยได้รับความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจตามข้อ 1 
 

          

                                               หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์

 
หลังจากได้มีการยื่นข้อเรียกร้องไม่นาน หะยีสุหลงและผู้นำศาสนาอีกหลายคนก็ถูกจับกุมข้อหากบฏและถูกคุมขังเป็นเวลา 4 ปี 8 เดือน  ต่อมาเขาได้รับการปล่อยตัวก่อนครบกำหนด  แต่สองปีต่อมาเขากลับหายตัวไปอย่างลึกลับพร้อมกับลูกชายคนโต   หลังถูกตำรวจสันติบาลที่สงขลาเรียกไปรายงานตัว ซึ่งคาดกันว่าพวกเขาถูกตำรวจจับถ่วงน้ำจนเสียชีวิต  เรื่องราวของหะยีสุหลงยังคงเป็นหนึ่งใน "ประวัติศาสตร์บาดแผล" ที่ยังคงถูกเล่าต่อๆ กันในหมู่ชาวมลายูมุสลิม  แม้เวลาผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษ  และน่าประหลาดใจว่าข้อเสนอหลายๆ ข้อที่มีการพูดกันในปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกับข้อเรียกร้องของหะยีสุหลงยิ่งนัก 
 
ในช่วงหลังพ.ศ. 2500  เป็นยุคเริ่มต้นของการต่อสู้ด้วยอาวุธ  โดยกลุ่มเคลื่อนไหวที่สำคัญ ได้แก่ 1) BNPP (Barisan National Pembebasan Patani - Patani National Liberation Front) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในพ.ศ. 2502 โดยมีกลุ่มชนชั้นนำของปาตานีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ  BNPP นับเป็นกลุ่มขบวนการติดอาวุธที่ต่อสู้เพื่อเอกราชกลุ่มแรก ต่อมาในพ.ศ. 2529 ได้เปลี่ยนชื่อกลุ่มเป็น  BIPP (Barisan Islam Pembebasan Patani – Patani Islamic Liberation Front)  ปัจจุบันเชื่อว่ากลุ่มนี้ไม่มีบทบาทในการเคลื่อนไหวแล้ว 
 
2) PULO (Patani United Liberation Organisation)  ก่อตั้งในพ.ศ. 2511 ที่ประเทศซาอุดิอาราเบีย  โดยนายตนกูบีรอ กอตอนีลอ  เขาเสียชีวิตในพ.ศ. 2548 ที่ประเทศซีเรีย  ในพ.ศ. 2550 นายนอร์ อับดุลเราะห์มานได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานแทน  ต่อมาได้เกิดความขัดแย้งภายใน  นายคัสตูรี มะกอตา ซึ่งเป็นรองประธานและหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศได้แยกตัวออกมา  ทั้งสองกลุ่มต่างอ้างว่าตนเป็นประธานของกลุ่มพูโล  ปัจจุบันพูโลยังคงเคลื่อนไหวอยู่นอกประเทศและทำงานการเมืองในเวทีระหว่างประเทศเป็นหลัก  
 
3) BRN (Barisan Revolusi Nasional – National Liberation Front)   กลุ่ม BRN จัดตั้งขึ้นในพ.ศ. 2503  โดยมีสมาชิกรุ่นก่อตั้ง คือ นายอับดุลการิม ฮัสซัน  ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนนะห์ฎอตุลสูบาน ในอ.รือเสาะ จ.นราธิวาส รวมถึงโต๊ะครูปอเนาะที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายการปฏิรูปการศึกษาของรัฐ  ข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงและนักวิเคราะห์อิสระบางท่านระบุว่านายอามีน โต๊ะมีนา ลูกชายของหะยีสุหลงและนายฮารูน สุหลง ประธานของโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิเป็นสมาชิกรุ่นแรกๆ ด้วย  ในช่วงต้น การต่อสู้ของ BRN ใช้แนวทางแบบชาตินิยม-สังคมนิยม-อิสลามในการเคลื่อนไหว โดยเน้นการสร้างฐานจากโรงเรียนปอเนาะ   ต่อมาในช่วงทศวรรษ  2520 มีความขัดแย้งกันในเรื่องแนวทางของการต่อสู้   โดยมีการถกเถียงกันว่าการต่อสู้โดยใช้ประเด็นเรื่องชาตินิยม-สังคมนิยมนั้นไม่ถูกต้องและเป็นอุปสรรคต่อการสร้างแนวร่วมในประเทศมุสลิมอื่นๆ  และได้มีการเสนอให้นำเอาประเด็นศาสนามาใช้ในการต่อสู้แทน    
 
ความเห็นที่ขัดแย้งกันทำให้ BRN แยกกันเป็น 3 กลุ่ม  คือ BRN- Coordinate, BRN-Ulama และ BRN-Congress  อับดุลการิมแยกตัวไปเป็นกลุ่ม BRN-Ulama ซึ่งไม่ได้มีความเคลื่อนไหวมากนักหลังจากนั้น  เขาใช้ชีวิตอยู่ในมาเลเซียและหันไปสนใจนิกายชีอะห์ในช่วงบั้นปลายของชีวิต  เขาเสียชีวิตในพ.ศ. 2539 BRN-Congress เป็นกลุ่มปฏิบัติการทางทหารเดิมของ BRN ซึ่งนำโดย นายรอสะ บูราซอ หรือ เจ๊ะกูเป็ง  การเคลื่อนไหวจะเน้นด้านการทหาร  ปัจจุบัน เจ๊ะกูเป็งเสียชีวิตไปแล้ว BRN – Coordinate เป็นกลุ่มที่หน่วยงานความมั่นคงและหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นกลุ่มที่มีบทบาทมากที่สุดในการเคลื่อนไหวในปัจจุบัน ข้อมูลบางแหล่งระบุว่านายอามีน โต๊ะมีนา บุตรชายของหะยีสุหลงเป็นแกนนำของกลุ่ม BRN – Coordinate นายอามีนเสียชีวิตในพ.ศ. 2544   การเคลื่อนไหวของ BRN – Coordinate มีลักษณะปิดลับ  ไม่ปรากฎชัดเจนว่าใครเป็นผู้ถือธงนำในการต่อสู้  แม้ว่าทางฝ่ายความมั่นคงจะได้ระบุชื่อบุคคลจำนวนหนึ่งว่าเป็นแกนนำสำคัญ เช่น นายสะแปอิง บาซอ อดีตครูใหญ่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิซึ่งหลบหนีออกนอกประเทศไปเมื่อพ.ศ. 2547
 
4) GMIP (Gerakan Mujahidin Islam Patani – Patani Islamic Holy Warriors Movement)  ตั้งขึ้นโดยนายนาซอรี  แซะเซ็ง ในพ.ศ. 2538  กลุ่มนี้พัฒนามาจากกลุ่ม GMP (Gerakan Mujhidin Patani) ซึ่งตั้งขึ้นในพ.ศ. 2529 และยุติบทบาทในพ.ศ. 2536   นาซอรีเคยไปฝึกการทหารที่ลิเบียและไปร่วมรบอัฟกานิสถาน  เชื่อว่ากลุ่มนี้มีความใกล้ชิดในเชิงอุดมการณ์กับกลุ่มญิฮาดสากลมากกว่ากลุ่มอื่น ในปัจจุบันไม่ปรากฏการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน    
 
5) กลุ่ม Bersatu ซึ่งเป็นองค์กรร่ม (umbrella organization) ของ PULO, BIPP และ BRN ซึ่งจัดตั้งขึ้นใน พ.ศ.  2532  โดยมีดร. วันกาเดร์ เจ๊ะมานเป็นประธาน  ปัจจุบันไม่มีการเคลื่อนไหวในฐานะของกลุ่มนี้แล้ว 
 
การก่อตัวของคลื่นกระแสการต่อสู้ยุคปัจจุบัน
 
ในขณะที่รัฐไทยตายใจและคิดว่า "ขบวนการแบ่งแยกดินแดน" ในภาคใต้กำลังจะสลายตัวไปแล้ว  ปรากฏการณ์การปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็งในอ. เจาะไอร้อง จ.นราธิวาสในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2547 เป็นสิ่งที่ช็อครัฐบาลทักษิณ ชินวัตรในขณะนั้น   ฝ่ายรัฐใช้เวลาอยู่นานในการจัดทัพเพื่อรับมือกับการต่อสู้ด้วยอาวุธที่ปะทุขึ้นอย่างฉับพลันจนรัฐตั้งตัวไม่ทัน  รัฐยังคิดว่าพวกเขาเป็น "โจรกระจอก"  บ้างว่าเป็นพวกเด็กติดยาเสพติด  ไม่มีใครที่ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการก่อเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น จนมีคำพูดที่ว่ารัฐไทยกำลังรบอยู่กับ "ผี" ที่มองไม่เห็น
 
เนื่องจากว่าการเคลื่อนไหวในช่วงเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมาเป็นการเคลื่อนไหวใต้ดินปิดลับ  ข้อมูลว่าใครเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวใต้ดินที่ปรากฏรูปอยู่ในทุกวันนี้ยังเป็นปริศนาที่หลายคนกำลังพยายามไข   ข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคงและปากคำของคนที่เคยอยู่ในขบวนการระบุตรงกันว่ากลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวในพื้นที่อยู่ในปัจจุบัน คือ กลุ่ม BRN – Coordinate 
 
 สมาชิกระดับกลางที่เข้าสู่ขบวนการในช่วงทศวรรษ 2530 คนหนึ่งเล่าย้อนถึงสถานการณ์ในช่วงต้นทศวรรษ 2520 ว่า BRN – Coordinate  ได้เปลี่ยนแนวทางการเคลื่อนไหวโดยการลงมาจากป่าเขาและเข้าไปหามวลชนในหมู่บ้าน  ซึ่งต่างจากแนวทางของ BRN - Congress ที่เน้นการทำงานกองกำลังอย่างเดียว ไม่เน้นงานด้านมวลชน  ในช่วงนั้นนายอับดุลการิมซึ่งลี้ภัยไปอยู่ในประเทศมาเลเซียแทบจะไม่ได้มีบทบาทใดๆ ในการเคลื่อนไหวแล้ว
 
 "ฐานแห่งการปฏิวัติ คือ ศาสนา แนวทางการต่อสู้ คือ จับอาวุธ และเป้าหมายของการปฏิบัติการ คือ merdeka [เอกราช]", สมาชิกฝ่ายการเมืองระดับกลางผู้นี้กล่าวอย่างชัดเจน 
 
 เขาอธิบายว่าการทำงานของ BRN – Coordinate นั้นจะไม่เน้นการพึ่งตัวบุคคลแต่ว่าจะบริหารงานแบบคณะกรรมการร่วม   ในช่วงสิบปีแรกระหว่างพ.ศ. 2527 -  2537 เป็นช่วงของการทำงานความคิดและจัดตั้งมวลชนให้มีสำนึกความเป็นมลายู โดยเฉพาะในมัสยิด ตาดีกาและปอเนาะ  เหตุการณ์การเผาโรงเรียน 36 แห่งในปัตตานี ยะลา นราธิวาสและสงขลาในคืนวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2536 ดูเหมือนจะเป็นหมุดทางประวัติศาสตร์สำคัญในการประกาศลุกขึ้นสู้ด้วยการเผาสถานที่ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นแหล่งทำลายอัตลักษณ์ความเป็นมลายูและกลืนลูกหลานของพวกเขาให้กลายเป็นไทย
 
สมาชิกขบวนการผู้นี้ซึ่งปัจจุบันได้ยุติการเคลื่อนไหวแล้วระบุว่าในช่วงพ.ศ. 2537 – 2542 เป็นการวางโครงสร้างการทำงานขององค์กร โดยแบ่งหลักๆ เป็น 2 ปีก คือ ปีกการเมืองที่เรียกว่า MASA และปีกการทหารที่เรียกว่า MAY  (คาดว่าเป็นการกร่อนเสียงคำว่า militer ในภาษามาเลย์ซึ่งแปลว่า กองทัพ) ตั้งแต่ช่วงพ.ศ. 2538 เป็นต้นมาเริ่มมีการฝึกกองกำลังทางทหาร ในช่วงนั้นใช้เวลา 2 ปีในการฝึกแต่ละรุ่น  พอถึงพ.ศ. 2546 ขบวนการสร้างกองกำลังได้ตามเป้าหมายประมาณ 3,000 คน ช่วงพ.ศ. 2545 – 2546 เป็นช่วงอุ่นเครื่องก่อนการเปิดฉากการต่อสู้อย่างเต็มรูปแบบ 
 
ในหนังสือ "สงครามประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้" ที่เขียนโดยนายทหารในภาคใต้ที่ศึกษาเกี่ยวกับขบวนการมากว่า 8 ปี ระบุว่า BRN – Coordinate เปิดฉากด้วยการปล้นปืนที่ป้อมตำรวจที่บ้านรานอ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2545 หลังจากนั้นมีการโจมตีฐานการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่หลายแห่งและขบวนการได้ปืนไปเกือบ 100 กระบอก 
 
นอกจากนี้ หนังสือเล่มนี้ยังได้ระบุว่าขบวนการได้ตระเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน ทั้งฝ่าย MASA  MAY ฐานทางเศรษฐกิจที่จะทำให้ขบวนการพึ่งพาตนเองได้  ด้วยการเก็บเงินจากสมาชิกวันละ 1 บาท การเตรียมข้าวปลาเสบียงอาหารและเงินบริจาคจากแหล่งอื่น    รวมทั้งฝ่ายพยาบาลที่ต้องพร้อมรักษาคนเจ็บจากการสู้รบ
 
ทหารได้ยึดเอกสารฉบับหนึ่งจากโต๊ะทำงานของนายมะแซ อุเซ็ง ในพ.ศ. 2546  นายมะแซเป็นอุสตาซโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ใน อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ผู้ซึ่งฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่าเป็นสมาชิกระดับนำคนหนึ่งของ BRN - Cooridanate  ในเอกสารฉบับนี้ได้พูดถึง "แผนบันได 7 ขั้น"  ซึ่งได้ถูกนำมาอ้างอิงอยู่บ่อยครั้งว่าเป็นแผนการการปฏิวัติของ BRN - Coordinate
 

 เอกสารที่กองทัพเรียกว่า "บันไดเจ็ดขั้น"  ที่ยึดได้จากโต๊ะทำงานของนายมะแซ อุเซ็งในพ.ศ. 2546

 
 

                                คำแปลเอกสาร "บันได 7 ขั้น" (เอกสารของกอ.รมน.)

 
ในหนังสือ "องค์กรปฏิวัติปัตตานี" ที่เขียนโดยอดีตสมาชิกที่คุมงานมวลชนของขบวนการและจัดพิมพ์โดยนายทหารที่ทำงานในภาคใต้ได้อ้างถึงแผนบันได 7 ขั้นนี้   โดยอธิบายเพิ่มเติมว่าในช่วงพ.ศ. 2527 – 2537 เป็นสิบปีแรกที่ขบวนการทำงานในขั้นที่ 1 และ 2 คือสร้างสำนึกมวลชนและจัดตั้งมวลชน   ในช่วงพ.ศ. 2538 – 2546 เป็นช่วงของการดำเนินงานในขั้นที่ 3 – 6  โดยพัฒนาการที่สำคัญคือ การวางโครงสร้างการปฏิบัติงานในปีกมวลชนและการทหาร  เมื่อถึงพ.ศ. 2547 ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการ "จุดดอกไม้ไฟแห่งการปฏิวัติ" หรือเป็นขั้นที่ 7 โดยมีการปล้นปืนในวันที่ 4 มกราคม  พ.ศ. 2547 เป็นหมุดหมายสำคัญของการเริ่มต้นการปฏิวัติ
 
ความพยายามต่อจิ๊กซอว์เพื่อเข้าใจพัฒนาการของขบวนการใต้ดินนี้อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด  เพราะความจริงที่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้นเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ยากในสถานการณ์เช่นนี้  บางทัศนะไม่เชื่อว่าแผนบันได 7 ขั้นที่ทหารอ้างอิงอยู่บ่อยครั้งนี้จะเป็นแผนการปฏิวัติของฝ่ายขบวนการจริง   แต่นี่ก็เป็นข้อมูลชุดหนึ่งสำหรับการพิจารณาเพื่อเข้าใจปรากฏการณ์การต่อสู้ด้วยอาวุธที่ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา  
 
 
หมายเหตุ     รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช  เป็นอดีตนักวิเคราะห์ของ International Crisis Group    ปัจจุบัน เธอกำลังศึกษาในระดับปริญญาโทด้านทฤษฎีการจัดการความขัดแย้งที่ King's College London และเป็นที่ปรึกษาของโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้  การจัดทำรายงานพิเศษเรื่อง "ถอดความคิดขบวนการเอกราชปาตานี" ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ติดตามอ่าน ตอนที่ 2 "กระบวนการเข้าสู่การต่อสู้เพื่อ merdeka" ได้ในวันจันทร์ที่  12 พฤศจิกายน 2555

 

 

ที่มา: http://www.deepsouthwatch.org/dsj/3676

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คนสะเอียบประกาศ! ไม่รับผ้าห่มแลกลายเซ็น เสนอ ‘หนึ่งตำบลหนึ่งแหล่งกักเก็บน้ำ’ ต้านเขื่อน

Posted: 05 Nov 2012 09:43 AM PST

ชาวบ้าน ต.สะเอียบ ประกาศไม่รับผ้าห่มกันหนาว แลกลายเซ็นและเลขประจำตัว 13 หลัก หวั่นนำไปอ้างหนุนสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น พร้อมเสนอทางออกการแก้ไขน้ำท่วมน้ำแล้ง ลุ่มน้ำยม 12 ข้อ

 
 
เมื่อวันที่ 3 พ.ย.55 ชาวบ้านบ้านดอนชัย หมู่ 1, ชาวบ้านบ้านดอนชัยสักทอง หมู่ 9, ชาวบ้านบ้านแม่เต้น หมู่ 5, ชาวบ้านบ้านดอนแก้ว หมู่ 6 จัดประชุมปรึกษาหารือถึงเรื่องการแจกผ้าห่มกันหนาวประจำปี โดยในขณะนี้อากาศที่ ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ ได้เริ่มหนาว และมีหมอกลงจัดในตอนเช้า แต่ชาวบ้านได้แสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางและมีมติปีนี้ไม่รับผ้าห่มกันหนาวที่หน่วยงานราชการนำมาแจกเป็นประจำทุกปี เนื่องจากเกรงว่าหน่วยงานที่มาแจกผ้าห่มกันหนาว อาจนำรายชื่อและลายเซ็นของตนไปอ้างเพื่อสนับสนุนเขื่อนแก่งเสือเต้นที่ชาวบ้านคัดค้านมาอย่างต่อเนื่อง
 
"ชาวบ้านเกรงว่าหน่วยงานที่มาแจกผ้าห่มกันหนาว จะมาหลอกเอารายชื่อและลายเซ็นของชาวบ้านไปอ้างว่าชาวบ้านสนับสนุนการสร้างเขื่อน จึงมีมติไม่รับผ้าห่มกันหนาวในปีนี้"  นายสอนชัย อยู่สุข ชาวบ้านบ้านดอนชัยสักทอง อายุ 62 ปี กล่าว
 
นายสอนชัย ยังกล่าวอีกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาอย่างเขื่อนปากมูลหน่วยงานราชการก็ไปหลอกเอารายชื่อ ลายเซ็นชาวบ้านไปอ้างสนับสนุนเขื่อน หรือกรณีของยายไฮ เขื่อนห้วยละห้า ก็ยังมีลายเซ็นยายไฮยกที่ให้สร้างเขื่อน ทั้งที่ยายไฮเขียนหนังสือไม่เป็น หน่วยงานราชการยังปลอมแปลงไปให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจผิดๆ ได้ ชาวบ้านมีบทเรียนมาแล้วไม่อยากให้เกิดขึ้นกับบ้านเรา จึงตัดไฟเสียแต่ต้นลม ประกาศไม่รับผ้าห่มกันหนาวในปีนี้ จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยแบบหลอกลวงชาวบ้านเกิดขึ้นอีก
 
นายสอนชัย กล่าวด้วยว่า ในช่วงนี้มีหน่วยงานต่างๆ เข้ามาในชุมชน ชาวบ้านจึงต้องช่วยกันตรวจสอบ เพราะได้ประกาศไปแล้วว่า ห้ามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเขื่อนเข้าพื้นที่
 
 
ทางด้านผู้ใหญ่สุดารัตน์ ชัยมงคล ผู้ใหญ่บ้านบ้านดอนชัย หมู่ 1 กล่าวว่า ชาวบ้านต่อสู้คัดค้านเขื่อนแก่งเสือเต้น ปกป้องป่าสักทองมายาวนาน ถึงแม้จะแบ่งเขื่อนแก่งเสือเต้นออกเป็น 2 เขื่อน คือเขื่อนยมบน และเขื่อนยมล่าง น้ำก็จะท่วมป่าสักทอง ท่วมที่ทำกินของชาวบ้านเกือบทั้งหมด แล้วชาวบ้านจะทำมาหากินอะไร ก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีที่ทำกิน ไม่มีป่า ชาวบ้านก็อยู่ไม่ได้ จึงต้องต่อสู้คัดค้านต่อไปจนถึงที่สุด
 
กำนันเส็ง ขวัญยืน กำนันตำบลสะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ กล่าวว่า เมื่อมติของชาวบ้านไม่รับผ้าห่มกันหนาวประจำปีนี้ ตนเองก็จะได้แจ้งไปทาง อำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะทุกปีจะมีหน่วยงานราชการและเอกชนมาแจกผ้าห่มกันหนาวทุกปี ทั้งนี้การรับผ้าห่มกันหนาวจะต้องเซ็นชื่อรับและลงเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักเป็นหลักฐาน ซึ่งชาวบ้านเกรงว่าหน่วยงานอาจเอารายชื่อ ลายเซ็น ทั้งเลขประจำตัว 13 หลัก ไปใช้เป็นหลักฐานในการสนับสนุนเขื่อน ชาวบ้านจึงมีมติไม่รับผ้าห่มกันหนาวในปีนี้ และจะได้นำไปแจกให้กับชาวบ้านหมู่อื่นๆ ต่อไป
 
"เราไม่ควรเอางบประมาณแผ่นดิน 12,000 - 14,000 ล้านบาทไปผลาญกับการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่ปล่อยน้ำท่วมกรุงเทพฯ อีกต่อไป อีกทั้งจุดที่สร้างเขื่อนตั้งอยู่บนรอยเลื่อนแม่ยม รอยเลื่อนแผ่นดินไหว 1 ใน 13 รอยเลื่อนที่มีอยู่ในประเทศไทย เขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมล่าง ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนแม่ยม เขื่อนแก่งเสือเต้น สูง 72 เมตร จากท้องน้ำแม่ยม หากเขื่อนแตก คงไม่ตายเฉพาะคนเมืองสอง แต่คงตายทั้งเมืองแพร่ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร" กำนันเส็ง แสดงความเห็นต่อการสร้างเขื่อนในพื้นที่
 
 
ทั้งนี้ จากการหารือกัน ชาวสะเอียบได้เสนอให้รัฐยุติการผลักดันการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ ทั้งเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง แนะให้ใช้แนวทางการจัดการน้ำชุมชน พร้อมเสนอทางออกการแก้ไขน้ำท่วมน้ำแล้ง ลุ่มน้ำยม 12 ข้อ ดังนี้
 
1.ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ รักษาป่าที่เหลืออยู่ ป้องกันการบุกรุกป่า ให้ป่าซับน้ำไว้เป็นเขื่อนถาวรและยั้งยืน และทำหน้าที่เก็บคาร์บอนช่วยลดโลกร้อน รวมทั้งฟอกอากาศให้ออกซิเจนแก่มวลมนุษยชาติ
 
2.รักษาและพัฒนาป่าชุมชน ทุกชุมชนควรมีป่าชุมชน ไว้ใช้สอย เก็บเห็ด ผัก หน่อไม้ สมุนไพร เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตของชุมชน รักษาป่าอนุรักษ์ โดยเฉพาะป่าอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ต้องรักษาไว้อย่างเข้มงวด ห้ามมิให้พัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่กระทบต่อป่าและสัตว์ป่า เช่น โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง ที่ผ่าใจกลางอุทยานแห่งชาติแม่ยม รวมทั้งเขื่อนแม่วงก์ ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ เป็นต้น
 
3.ปลูกต้นไม้เพิ่ม โดยเฉพาะในเมือง สร้างพื้นที่สีเขียวให้กับครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ภาค และ ประเทศชาติ ทุกคน ทุกชุมชน ช่วยกันทำได้ ช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย ยุติการตัดถางป่าเพื่อปลูกต้นไม้สร้างภาพไปวันๆ ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ ควรปล่อยให้ป่าได้ฟื้นสภาพเอง ซึ่งจะมีความหลากหลายทางพันธุกรรมมากกว่า
 
4.พัฒนาระบบภาษีเพื่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนไหนรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อตัวเองและเพื่อชุมชนอื่น ควรได้รับการสนับสนุน ชุมชนใดไม่มีศักยภาพในการรักษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ควรให้การสนับสนุน เป็นชุมชนพี่น้องหนุนช่วยกัน
 
5.ฟื้นฟูระบบเหมืองฝาย พัฒนาฝายดักตะกอน ฝายชะลอน้ำ ฝายกักเก็บน้ำ ให้ทั่วทุกพื้นที่ที่มีศักยภาพ
 
6.เพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำตามลำน้ำสาขา พัฒนาอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ขนาดเล็ก ทั้ง 77 ลำน้ำสาขา ของแม่น้ำยม ซึ่งจะกักเก็บน้ำได้มากกว่าเขื่อนแก่งเสือเต้นถึง 3 เท่า
 
7.ทำแก้มลิงไว้ทุกชุมชน โดยกรมทรัพยากรน้ำได้สำรวจไว้แล้ว 395 แหล่ง เก็บน้ำได้มากกว่า 1,500 ล้าน ลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่าเขื่อนแก่งเสือเต้น ซึ่งเก็บน้ำได้เพียง 1,175 ล้าน ลูกบาศก์เมตร แต่ใช้งบเพียง 4,000 กว่าล้านบาท น้อยกว่าเขื่อนแก่งเสือเต้นถึง 3 เท่า
 
8.พัฒนาหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งแหล่งน้ำ หนึ่งตำบลหนึ่งแหล่งน้ำ
 
9.สนับสนุนการจัดการน้ำระดับครัวเรือน และระดับชุมชนโดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ได้แก่ ฝายต้นน้ำ ฝายทดน้ำ ฝายกักเก็บน้ำ ขุดบ่อ หรือ สระน้ำในไร่นา รวมทั้งอนุรักษ์ และฟื้นฟูระบบเหมืองฝายที่เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่น จะสร้างประโยชน์ให้กับชาวบ้าน และชุมชน อย่างเป็นจริง และใช้งบประมาณน้อยกว่าการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่
 
10.กระจายอำนาจและงบประมาณให้กับชุมชนท้องถิ่น ในการวางแผนระบบการจัดการน้ำโดยชุมชน รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณในการฟื้นฟูป่าต้นน้ำและระบบการจัดการน้ำของชุมชนท้องถิ่น และให้สิทธิและอำนาจการจัดการน้ำแก่ชุมชนท้องถิ่น โดยมีกฎหมายรองรับ
 
11.ทบทวนนโยบายการส่งเสริมปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในฤดูแล้ง เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำ และส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชอายุสั้น และเลือกปลูกพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เพื่อลดการบุกรุกพื้นที่ป่า และลดปริมาณการใช้น้ำในการทำเกษตรกรรมนอกฤดู
 
12.ส่งเสริมระบบการใช้ที่ดินให้สอดคล้องกับภูมิสังคม สนับสนุนโฉนดชุมชน สร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับชุมชน ยุติการขับไล่ชุมชนออกจากป่า สนับสนุนชุมชนที่อยู่กับป่า ให้รักษาป่า รักษาต้นน้ำ รวมทั้งจัดการผังเมืองให้สอดคล้องกับธรรมชาติและภูมิสังคม

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โค้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

Posted: 05 Nov 2012 08:47 AM PST

โพลหลายสำนักระบุโอบามานำรอมนีย์แบบสูสี ด้านรอมนีย์ปราศรัยอัดโอบาม่าว่าไม่สามารถทำตามที่สัญญาว่าจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ ขณะที่โอบาม่ามั่นใจในนโยบายที่ทำลงไป ยืนยัน "4 ปีของการเป็นประธานาธิบดี คุณก็รู้จักผมแล้วตอนนี้" นอกจากนี้ทั้งสองพรรคต่างร้องเรียนในเรื่องบัตรเลือกตั้ง และการเลือกตั้งล่วงหน้า

เว็บไซต์ข่าวต่างประเทศหลายแห่งให้ความสนใจกาารหาเสียงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ โดยผลสำรวจโพลล์ของ NBC News/Wall Street Journal ช่วงก่อนการเลือกตั้งเปิดเผยว่า ทั้งรอมนีย์และโอบาม่าต่างคู่คี่สูสีโดยโอบาม่ามีคะแนนนิยมอยู่ที่ร้อยละ 48 และรอมนีย์มีอยู่ร้อยละ 47%

ทางด้าน เดอะ การ์เดียน ของอังกฤษรายงานว่าศูนย์วิจัย Pew เปิดเผยว่าคะแนนนิยมของโอบาม่านำรอมนีย์อยู่ที่ร้อยละ 48-45 

Pew ประเมินว่าคะแนนป็อบปุลาร์โหวตของโอบาม่าจะอยู่ที่ร้อยละ 50 ต่อของรอมนีย์ร้อยละ 47 ต่างจากก่อนหน้าเกิดพายุแซนดี้ที่โอบาม่ามีคะแนนนิยมร้อยละ 47 เท่ากับรอมนีย์ ในหมู่ผู้น่าจะมีสิทธิในการเลือกตั้ง มีร้อยละ 69 ที่ให้การยอมรับโอบาม่าในแง่การรับมือกับพายุแซนดี้

 

บรรยากาศการหาเสียง

เมื่อวันอาทิตย์ (4) ที่ผ่านมา โอบาม่าก็ได้ออกตระเวณหาเสียงในรัฐ นิว แฮมเชียร์, ฟลอริดา, โอไฮโอ และ โคโลราโด ขณะที่รอมนีย์ตระเวณหาเสียงในรัฐ ไอโอวา, โอไฮโอ, เพนซิลวาเนีย ขณะเดียวกันฝ่ายวางกลยุทธ์การหาเสียงของทั้งสองฝั่งก็ปรากฏตัวในรายการทอล์กโชว์วันอาทิตย์เป็นครั้งสุดท้าย

ในการหาเสียงทั้งโอบาม่าและรอมนีย์ต่างก็แสดงตัวว่าตัวเองเป็นตัวแทนของความเปลี่ยนแปลงขณะเดียวกันก็ป้ายสีฝ่ายตรงข้ามให้เป็นอุปสรรค

"ข้อสรุปคำถามของการเลือกตั้งครั้งนี้มาจบอยู่ที่..." รอมนีย์กล่าวต่อมวลชนราว 4,500 คน ใน เดส มอยเนส "...คุณต้องการ 4 ปีเหมือนที่ผ่านมา หรือคุณต้องการความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ประธานาธิบดีโอบาม่าสัญญาถึงความเปลี่ยนแปลง แต่เขาก็ไม่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้"

ทางด้านโอบาม่าได้กล่าวหาเสียงต่อมวลชน 23,000 คน ที่สนามฟุตบอลโรงเรียนในฮอลลิวูด รัฐฟลอริดา เยาะเย้ยเรื่องที่รอมนีย์อ้างตนว่าเป็นตัวแทนของความเปลี่ยนแปลง โดยบอกว่าเขาเป็นแค่ผู้ที่เอานโยบายที่เคยล้มเหลวในสมัยรัฐบาลพรรคริพับริกันกลับมาบรรจุในหีบห่อใหม่

"เมื่อคุณต้องเลือก ส่วนหนึ่งของคุณคือการเลือกคนที่คุณเชื่อใจ" โอบาม่ากล่าว "หลังจาก 4 ปีของการเป็นประธานาธิบดีคุณก็รู้จักผมแล้วตอนนี้ คุณรู้ว่าผมจริงจังกับคำพูดตัวเอง และพูดในสิ่งที่ผมคิดว่าผมจริงจัง"

ในนิวแฮมเชียร์ โอบาม่ากล่าวหาเสียงท่ามกลางมวลชน 14,000 คนโดยบอกว่าเขาอาจจะดูแก่ขึ้น แต่ก็ยังมีแรงฮึดสู้เหลืออยู่ในตัว

ในรัฐเสียงแกว่งอย่างโอไฮโอ จอน ฮัสเต็ด เลขาธิการรัฐจากพรรคริพับริกันใช้วิธีการกล่าวกำชับเรื่องวิธีลงคะแนนอย่างถูกต้องแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อป้องกันไม่ให้มีบัตรที่เป็นปัญหาหรือที่เรียกว่าบัตรลงคะแนนเฉพาะกาล (provisional ballot) ซึ่งผู้สื่อข่าว อะรี เบอร์แมน ของ thenation.com บอกว่าดูเหมือนเป็นการหลักภาระให้ผู้ใช้สิทธิจากแต่เดิมเจ้าหน้าที่ควรเป็นผู้ตรวจสอบ ขณะเดียวกันก็มีความเป็นไปได้ที่แผนการตัดปัญหาบัตรลงคะแนนเฉพาะกาลจะช่วยให้ผลลัพธ์พลิกกลับได้ เพราะบัตรลงคะแนนเฉพาะกาลโดยปกติแล้วจะไม่ถูกนำมานับรวมเป็นคะแนนเสียงที่ตัดสินผล

อะรี เปิดเผยอีกว่าบัตรลงคะแนนเฉพาะกาลอาจมีเพิ่มมากขึ้นในปี 2012 นี้เนื่องจากกฏการลงคะแนนใหม่ซึ่งมีผลบังคับใช้ทั้งกับโอไฮโอและรัฐอื่นๆ จอน ฮัสเต็ดประเมินว่าจะมีบัตรลงคะแนนเฉพาะกาลมากถึงราว 200,000 เสียง

 

การงัดข้อทางกฏหมายของทั้งสองฝ่าย

ทางด้านนิวยอร์กไทม์รายงานว่า ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันด้วยการหาเสียงในรัฐต่างๆ ในอีกมุมหนึ่งก็มีการงัดข้อกันด้วยกฏหมาย เกี่ยวกับเรื่องการนับบัตรเลือกตั้งและเรื่องอื่นๆ ด้วยเหตุผลว่า

พรรคเดโมแครตในฟลอริดา ได้ฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐพรรคริพับริกันให้มีการขยายเวลาเลือกตั้งในเซาท์ฟลอริดา พลังจากที่มีการร้องทุกข์ว่าปล่อยให้มีการต่อแถวเข้าคิวเลือกตั้งล่วงหน้ายาวมากเกินไปในวันเสาร์ (3) ซึ่งทางเจ้าหน้าที่พรรคริพับริกันได้ลดวันเลือกตั้งล่วงหน้าจาก 14 วัน เหลือ 8 วัน

ขณะที่บ็อบ บาวเออร์ หัวหน้าที่ปรึกษาด้านกฏหมายพรรคเดโมแครตบอกว่า แผนการของรอมนีย์ที่มีการส่งคนตรวจสอบความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้งนั้นเป็นเรื่อง "น่าขัน"

ทางด้าน The Independent ของอังกฤษแสดงความกังวลว่าการต่อสู้ด้วยกฏหมายจากทั้งสองฝ่ายอาจทำให้เกิด 'ฝันร้าย' แบบการเลือกตั้งปี 2000 ระหว่างอัล กอร์ และจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ที่กลายเป็นผู้ชนะหลังให้ศาลฎีกาตัดสิน 

The Independent รายงานว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็วางผู้ให้คำปรึกษาด้านกฏหมายตามหน่วยเลือกตั้งต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเน้นที่รัฐที่มีการแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างโอไฮโอ (ได้ยินว่าเดโมแครตวางตัวผู้เชี่ยวชาญกฎหมายไว้ 2,000 คน), ฟลอริดา, วิสคอนซิน และเวอร์จิเนีย ซึ่งผลโหวตของกลุ่มนี้จะเป็นตัวตัดสินผล

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การวางตัวนักกฏหมายดังกล่าวจะส่งจริงๆ ก็ต่อเมื่อมีบัตรเลือกตั้งชั่วคราวหรือบัตรเลือกตั้งของผู้ไม่สามารถไป ณ ที่เลือกตั้ง มากพอสำหรับสัดส่วนความต่างระหว่างผู้ลงสมัครทั้งสองฝ่าย

ขณะเดียวกันก็มีการร้องเรียนจากสตรีคนหนึ่งในรัฐโอไฮโอ บอกว่าระบบการลงคะแนนอิเล็กโทรนิคอาจเกิดความขัดข้อง หลังจากที่เธอใช้ระบบทัชสกรีนของเครื่องดังกล่าวแล้วตัวเครื่องเปลี่ยนการโหวตให้รอมนีย์ กลายเป็นโหวตให้โอบาม่า

นักกฏหมายของทางฝ่ายเดโมแครตมีเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เพื่อติดตามเหตุการณ์ที่หน่วยเลือกตั้ง ขณะที่พรรคริพับริกันให้นักกิจกรรมแต่ละคนมีสมาร์ทโฟนติดตัว

นักกฏหมายฝ่ายริพับริกันพยายามป้องกันสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็นการโกงการเลือกตั้ง ขณะที่นักกฏหมายของพรรคเดโมแครตก็พยายามป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็นการปิดกั้นสิทธิการเลือกตั้ง จากการที่ ส.ส.ของพรรคริพักริกันพยายามผลักดันกฏหมายการแสดงตัวตนของผู้มาลงคะแนนแบบใหม่ ซึ่งฝ่ายเดโมแครตโต้ว่าเป็นความพยายามของพรรคริพับริกันที่จะปิดกั้นการลงคะแนนเสียงของกลุ่มคนชายขอบ

ขณะที่ในไอโอวา คืนวันอาทิตย์ พรรคริพับริกันกล่าวหาว่าฝ่ายปฏิบัติงานของพรรคเดโมแครตพยายามสนับสนุนให้ผู้สูงอายุที่มีสิทธิเลือกตั้ง

 

ที่มา เรียบเรียงจาก

Obama ahead in new poll as president's camp accuses Romney of desperation, 04-11-2012 http://www.guardian.co.uk/world/2012/nov/04/obama-romney-campaign-desperation

Obama, Romney in Final Push for White House, CommonDream, 04-11-2012 http://www.commondreams.org/headline/2012/11/04-0

Legal arms race begins as both sides prepare to do battle in court, The Indepedent, 04-11-201 http://www.independent.co.uk/news/world/americas/us-elections/legal-arms-race-begins-as-both-sides-prepare-to-do-battle-in-court-8281279.html

As Candidates Make Final Pleas, Legal Battles Begin, The New York Times, 04-11-201 http://www.nytimes.com/2012/11/05/us/politics/candidates-make-final-dash-as-race-winds-down.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โฆษกประธานสภาฯ ชี้แก้ ม. 112 ขัดรัฐธรรมนูญ วอนหยุดแสดงความเห็นหวั่นประชาชนเข้าใจผิด

Posted: 05 Nov 2012 06:48 AM PST

วัฒนา เซ่งไพเราะ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุ การขอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากขัดรัฐธรรมนูญ พร้อมวอนให้บุคคลที่ออกมาแสดงความคิดเห็นหยุดการแสดงความคิดเห็นในลักษณะผิดๆ เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด


5 พ.ย. 55 - นายวัฒนา เซ่งไพเราะ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนที่ระบุว่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ตีตกกฎหมายมาตรา 112 ที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อกว่า 40,000 คนเพื่อขอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า หลังข่าวเกิดขึ้นมีอาจารย์และนักวิชาการจำนวนหนึ่งออกมาให้ข้อมูลในลักษณะคลาดเคลื่อนทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดในระบบและกระบวนการของรัฐสภา ซึ่งในกรณีนี้ตนยืนยันได้ว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎรตัดสินใจในเรื่องนี้เพียงตัวคนเดียวไม่ได้ ข้อสรุปที่เกิดขึ้นผ่านการพิจารณาจากฝ่ายข้าราชการประจำอีกทั้งนายนิคม ไวรัชพาณิช ในฐานะรองประธานรัฐสภา ได้เขียนความเห็นว่ากรณีดังกล่าวไม่เข้าข่ายหมวด 3 และ หมวด 5 ในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดสิทธิให้ประชาชนสามารถกระทำได้ ดังนั้นการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากมาตรา 112 เป็นมาตราที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์อยู่ในรัฐธรรมนูญในหมวดที่ 2 นายวัฒนากล่าวยืนยันอีกว่า หากในกรณีนี้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ในฐานะประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรรับเรื่องไว้ก็จะถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ตนจึงอยากเรียกร้องให้บุคคลที่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะชนหยุดการแสดงความคิดเห็นในลักษณะผิดๆ เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดและขาดความศรัทธาในระบบรัฐสภาของไทย

ที่มา: วิทยุรัฐสภา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรมคุมประพฤติเล็งใช้กำไลอิเล็กทรอนิกส์คุมเด็กแว้นแทนกักขัง

Posted: 05 Nov 2012 06:42 AM PST

กรมคุมประพฤติเตรียมใช้กำไลอิเล็กทรอนิกส์คุมเด็กแว้น และผู้ต้องหาเมาแล้วขับ ควบคุมพื้นที่แทนกักขังในสถานพินิจฯ



กรมคุมประพฤติ 5 พ.ย. 55 - น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมคุมประพฤติ แถลงภายหลังประชุม "การใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring) หรือ EM"  ควบคุมตัวผู้ต้องขังแทนการลงโทษจำคุกมาใช้ในประเทศไทยครั้งแรก โดยมีตัวแทนของกรมคุมประพฤติ ศาลเยาวชนและครอบครัว อัยการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และองค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรสิทธิมนุษยชน เข้าร่วม โดยเมื่อปี 2549 คณะกรรมการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ เคยนำเรื่องดังกล่าวมาพิจารณาเพื่อขอให้แก้ไขกฎหมาย ป.วิอาญามาตรา 89 (2) ให้มีการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ควบคุมตัวนักโทษเรือนจำ เพื่อลดปัญหาความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำและเป็นการควบคุมตัวเพื่อแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด หรือฟื้นฟูพฤติกรรม แต่ต้องสร้างความปลอดภัยให้สังคมและเหยื่อ โดยจุดประสงค์ของการนำเครื่องมือดังกล่าวมาใช้เพื่อควบคุม จำกัดและเฝ้าระวัง ซึ่งกรมคุมประพฤติจะเสนอศาลเยาวชนกลางใช้เครื่องอีเอ็มนำร่องกับคดีที่เยาวชนและสตรีกระทำผิดในเขตกรุงเทพฯก่อน เช่น คดีเด็กที่กระทำผิดจราจร หรือเด็กแว้น และคดีการทำผิดตาม พ.ร.บ.จราจรอื่น ๆ หรือเมาแล้วขับ

น.ส.รื่นวดี กล่าวอีกว่า การคุมประพฤติสำหรับผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย ศาลจะเป็นผู้สั่งคดีว่าจะให้เยาวชนเข้าสู่ศูนย์ฝึกอบรมในความดูแลของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน แต่หากมีการนำเครื่องมือควบคุมตัวอิเล็ทรอนิกส์มาใช้จะเป็นทางเลือกให้ศาลอนุญาตให้ผู้กระทำผิดได้อิสรภาพกลับไปอยู่ที่บ้านได้ แต่มีการติดเครื่องมือดังกล่าวที่มีลักษณะคล้ายกับนาฬิกาข้อมือ หรือกำไล เพื่อไม่ให้เด็กรู้สึกแปลกแยก โดยมีศูนย์ติดตามตัวเด็กที่กรมคุมประพฤติและประสานเชื่อมต่อไปยังตำรวจเพื่อติดตามตัวเด็กได้ทันทีที่ออกนอกเขตคุมประพฤติหรือเข้าไปอยู่ในพื้นที่ต้องห้าม หรือเข้าใกล้เหยื่อหรือผู้ถูกกระทำ

อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวด้วยว่า การนำแนวคิดนี้กลับมาเดินหน้าต่อเพราะปัจจุบันเทคโนโลยีราคาถูกลง คาดว่าอยู่ที่เครื่องละ 20,000 บาท นำร่อง 1,000 เครื่อง เชื่อว่าจะได้ข้อสรุปร่วมกับศาลเยาวชนฯ ภายในเดือนธันวาคมนี้ และหากไม่ติดขัดอุปสรรคเรื่องงบประมาณ คาดจะนำร่องได้ในเดือนมกราคม 2556.

ที่มา: สำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 28 ต.ค. - 3 พ.ย. 2555

Posted: 05 Nov 2012 05:29 AM PST

'แรงงาน' ยันเดินหน้าค่าจ้าง 300

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 55  นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ใน 70 จังหวัดที่เหลือ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 56 นี้ว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวได้เสนอเข้าสู่การพิจารณาของครม.แล้ว ซึ่งคาดว่าน่าจะพิจารณาได้ หลังครม.ชุดใหม่ถวายสัตย์ปฏิญาณเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ตนยืนยันให้เดินหน้าปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาท ใน 70 จังหวัดที่เหลือ ตามมติบอร์ดค่าจ้าง

รมว.แรงงาน กล่าวถึงการออกมาคัดค้านของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้ชะลอปรับค่าจ้าง 300 บาทออกไปนั้น ว่า ปัญหาการคัดค้านมันเป็นกระแสมาอย่างต่อเนื่อง ทางกระทรวงเรารับรู้มาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยที่จะมานั่งคุยหารือกันอย่างจริงจัง ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไร

เพราะหลายๆ มาตรการที่ทางเราออกไปแล้วก่อนหน้านี้ ทั้งของกระทรวงแรงงานเอง หรือแม้แต่มาตรการของกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งร่วมมือกัน ขณะนี้ก็ยังไม่มีผลตอบกลับกลับมาเลยว่าตรงใจผู้ประกอบการหรือไม่อย่างไร จึงเป็นการออกมาตาการฝ่ายเดียวจากภาครัฐ ในฐานะหน่วยงานรัฐก็อยากรู้เหมือนกันว่าเอกชนคิดอย่างไร ตลอดจนต้องการรู้ว่ามาตรการที่ออกไปนั้นมีจุดอ่อนตรงไหน สามารถแก้ปัญหาให้เอสเอ็มอีได้จริงหรือไม่

"จริงๆ เรื่องค่าจ้าง 300 บาททั่วประเทศ เราได้ทำการบ้านมาก่อนแล้ว โดยเฉพาะการตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนผลกระทบในทุกจังหวัด นอกจากนี้ยังมีคณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดร่วมหารือกับภาคธุรกิจในพื้นที่ อยู่แล้ว แต่เราก็อยากให้ภาคเอชนที่มีปัญหาจริงเข้ามาให้ข้อมูลเพื่อจะได้แก้ให้ตรง จุด"

(คมชัดลึก, 29-10-2555)

 

พนักงาน รง.ผลิตชิ้นส่วนร้องเท้าในระยอง ร้องบริษัทฯ ปิดกิจการไม่แจ้งล่วงหน้า

เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (29 ต.ค.) กลุ่มพนักงานชาย-หญิงของบริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ รับเบอร์ จำกัด กว่า 300 คน ได้รวมตัวกันประท้วงที่ด้านหน้าบริษัทฯ ตั้งอยู่เลขที่ 94 หมู่ 5 ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และยังขอยื่นหนังสือประท้วงต่อนายธวัชชัย จิตต์ธรรมวานิช กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ กรณีประกาศปิดกิจการโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า และประกาศจ่ายเงินค่าชดเชยการเลิกจ้างเพียง 30% และขอให้บริษัทฯ ออกใบรับรองการผ่านงานให้แก่พนักงานทุกคน แต่นายธวัชชัย กลับไม่ออกมารับหนังสือเรียกร้องดังกล่าว นอกจากนั้น ยังขอให้หน่วยงานภาครัฐช่วยดำเนินการกับนายจ้าง เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน มาตรา 118
      
นายพรเทพ สุภาภรณ์ พนักงานฝ่ายผลิต 1 ในผู้ชุมนุมกล่าวว่า โรงงานดังกล่าวเป็นบริษัทฯ ในเครือสหพัฒนพิบูล จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนรองเท้า และมีพนักงานชาย-หญิง รวมทั้งพนักงานที่สูงอายุ และคนพิการ รวมทั้งสิ้น 423 คน
      
โดยเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ขณะที่พนักงานกำลังปฏิบัติงานได้มีผู้บริหาร ออกมาประกาศปิดกิจการ โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าพร้อมกำหนดจ่ายเงินค่าชดเชยการเลิกจ้างเพียง 30% โดยขอให้พนักงานย้ายไปทำงานยังโรงงานที่อยู่ในเครือที่จังหวัดปราจีนบุรี แต่เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่มีครอบครัวอยู่ในจังหวัดระยอง จึงไม่พร้อมที่จะย้ายที่ทำงาน
      
"ขณะนี้พนักงานทั้ง 423 คน ได้ลงชื่อเพื่อร้องเรียน และส่งตัวแทนเดินทางไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อสำนักงานสวัสดิการและ คุ้มครองแรงงานจังหวัดระยอง รวมทั้ง นายทิวา พรหมอินทร์ นายอำเภอบ้านค่าย และนายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองแล้ว" นายพรเทพกล่าว

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 29-10-2555)

 

ประธานอุตฯ 70 จังหวัดทั่วประเทศ นัดบุกทำเนียบวันนี้ ค้านขึ้นค่าแรง

ประธานอุตสาหกรรม 70 จังหวัด ทั่วประเทศนัดบุกทำเนียบ วันนี้ หวั่นรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" เดินหน้าขึ้นค่าแรง 300 บาทต้นปีหน้า พร้อมโวย "พยุงศักดิ์" ไม่ฟังเสียงภาคเอกชน นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการสายงานอุตสาหกรรมจังหวัด ว่า ในวันที่ 30 ตุลาคม 2555ประธานอุตสาหกรรมจังวัดทั้ง 70 จังหวัด ได้นัดรวมตัวเพื่อเตรีมยื่นหนังสือและขอเข้าพบนางสาวยิ่งลักษ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เกี่ยวกับนโยบายการรับขึ้นค่าแรงขั้นตำ 300 บาทในวันที่ 1 มกรคม 2555 เพื่อยืนยันว่าผู้ประกอบการได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากนโยบายดังกล่าว และไม่ได้เห็นด้วยกับนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)

 ระบุว่าเอกชนไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรง และได้ขอถอนเรื่องดังกล่าว โดยอ้างว่าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ให้นำวาระดังกล่าวออกไปหารือนอกรอบ ทำให้วาระไม่เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.)ที่ผ่านมาซึ่งจัดขึ้นที่เกาะสมุย จ.สุราษฏ์ธานี "คาดว่ากระทรวงแรงงานจะเสนอวาระการพิจารณาการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวัที่ 30 ตุลาคม เพื่อเห็นชอบ ดังนั้นภาคเอกชนต้องขอชี้แจงกับนายกรัฐมนตรีเพื่อทบทวนเรื่องนี้ ทั้งนี้หากนายพยุงศักดิ์ไม่เห็นด้วยอีกต้องถามนายพยุงศักดิ์ว่า จะยังป็นผู้นำของภาคเอกชนต่อไปได้หรือไม่" นายทวีกิจกล่าว นายทวีกิจกล่าวว่า ทั้งนี้ประธานอุตสาหกรรมจังหวัดทั้ง 70 จังหวัดต้องการให้นายกรัฐมนตรีรับทราบความเดือดร้อนด้วยตนเอง

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 30-10-2555)

 

กระทรวงแรงงาน ยันเดินหน้าเสนอครม.ขึ้นค่าจ้าง 300 บาททั่วประเทศ

กระทรวงแรงงานมั่นใจว่านโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ จะเข้าสู่การพิจารณาที่ประชุม ครม.ครั้งต่อไป และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.ปีหน้า ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม ยังเดินหน้าเรียกร้องให้รัฐบาลชะลอนโยบายดังกล่าวออกไปก่อน

ขณะนี้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กำลังหารือเกี่ยวกับกำหนดการยื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อชี้แจงผลกระทบจากนโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาททั่วประเทศ จากเดิมที่จะขอพบเมื่อวานนี้ (30 ต.ค.) แต่ไม่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี

โดยผู้ประกอบการเรียกร้องให้เลื่อนนโยบายนี้ออกไปก่อนและไม่ต้องการให้ ฝ่ายการเมืองนำตัวเลขค่าแรงมาใช้หาเสียงอีก แต่หากต้องขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ให้กำหนดเงื่อนไขเพิ่ม เช่น ลูกจ้างต้องมีวุฒิ ป.4 ที่กระทรวงศึกษาธิการรับรอง เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีต่างจังหวัดที่ใช้แรงงานข้ามชาติ

ด้านนายวิชัย อัสรัสกร กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้ขอให้กระทรวงแรงงานช่วยเหลือฝึกอบรมแรงงาน 10 กลุ่ม ใน 39 หลักสูตร เพื่อเพิ่มผลิตภาพและบรรเทาปัญหาการขึ้นค่าแรง แต่ไม่ได้รับการตอบรับ และขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว สำหรับเสนอที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนสามสถาบันในสัปดาห์หน้า เพื่อผลักดันเสนอต่อรัฐบาลเช่นกัน

แม้จะมีผู้คัดค้านนโยบายนี้แต่กระทรวงแรงงาน ยืนยันว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท 70 จังหวัด จะมีผลบังคับใช้ต้นปีหน้า (56) อย่างแน่นอน

กระทรวงแรงงานระบุถึงมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการและลูกจ้าง 27 มาตรการ แต่มีผู้ขอรับการช่วยเหลือไม่มาก เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 10,000 ล้านบาท มีผู้ขอกู้เพียง 400 ล้านบาท การปรับค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าว ก็จะคงอัตรานี้ไปจนถึงปี 58 ส่วนจังหวัดที่แม้จะปรับค่าแรงขึ้นไปร้อยละ 40 แต่ยังไม่ถึง 300 บาท ก็จะไปพิจารณาอีกครั้งในปี 56

(ข่าวสด, 2-11-2555)

 

ถกอิสราเอลลดค่าหัวแรงงานไทย

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน นายสง่า ธนสงวนวงศ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวถึงการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานภาค การเกษตรที่ประเทศอิสราเอลว่า อิสราเอลได้ให้โควตาประเทศไทยจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานปีละ 5,000 คน ขณะนี้สามารถจัดส่งได้เพียงประมาณ 1,000 คน เนื่องจากขั้นตอนการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของแรงงานไทยมีความล่าช้า

"ขณะนี้ใกล้จะครบกำหนดการทำบันทึกข้อตกลงในการจัดส่งแรงงานไทยไป อิสราเอลแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ในเดือนธันวาคม ดังนั้น ก่อนครบกำหนด กระทรวงแรงงานจะเจรจากับอิสราเอลเรื่องการเซ็นสัญญาทำเอ็มโอยูจัดส่งแรงงาน ไทยไปทำงานที่อิสราเอลใหม่ รวมทั้งเรื่องการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานที่อิสราเอลจาก70,000 บาท ให้เหลือ 50,000 บาท อยากให้มีการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ค่าตั๋วเครื่องบินขากลับ" นายสง่ากล่าว

นายสง่ากล่าวอีกว่า ส่วนความคืบหน้ากรณีแรงงานไทย จำนวน 3 ราย ที่บาดเจ็บจากการถูกจรวดของปาเลสไตน์โจมตีขณะทำงานอยู่ในโมชาร์ป หรือหมู่บ้านเกษตรกรรม บริเวณใกล้กับเขตฉนวนกาซาในอิสราเอลนั้น ขณะนี้สามารถกลับบ้านได้แล้ว 2 ราย เหลือเพียง 1 ราย ที่ยังเข้ารับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

(มติชน, 3-11-2555)

 

ปลัดแรงงานส่ง อสส.และกรมบัญชีกลางเคลียร์ปม สปส.ลงทุน ตปท.

นายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) กล่าวถึง แผนการนำเงินประกันสังคมไปลงทุนในต่างประเทศ ว่า หลังจากที่บอร์ดประกันสังคมเห็นชอบ

ตามที่คณะอนุกรรมการด้านการลงทุนเสนอ ขออนุมัติวงเงิน 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 18,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนในต่างประเทศให้เกิดความมั่นคงกับกองทุนประกันสังคม เบื้องต้นที่ประชุมบอร์ด สปส.เห็นชอบให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เป็นบริษัทที่เข้าไปบริหารจัดการลงทุนในต่างประเทศร่วมกับบริษัทพันธมิตรชาว ต่างชาติอีก 3 แห่งในวงเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังติดปัญหาข้อกฎหมาย เนื่องจากตามระเบียบสัญญาจ้างของไทยระบุว่า การลงทุนในต่างประเทศจะต้องผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังและวางเงินค้ำ ประกัน ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าว โดยปกติการลงทุนที่มอบหมายให้บริษัทเอกชนไปดำเนินการจะไม่ใช้เงินค้ำประกัน ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ สปส.ได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปให้อัยการสูงสุด(อสส.)และกรมบัญชีกลางช่วยหา ทางออกในเรื่องนี้แล้ว

(ฐานเศรษฐกิจ, 4-11-2555)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การพัฒนาและติดตั้งไฟส่องสว่างสาธารณะ: ความท้าทายและมาตรการควบคุมมลภาวะทางแสง

Posted: 05 Nov 2012 04:07 AM PST

ชื่อบทความเดิม: การพัฒนาและติดตั้งไฟส่องสว่างสาธารณะของท้องถิ่น: ประเด็นความท้าทายเกี่ยวกับการพัฒนามาตรการควบคุมมลภาวะทางแสงของท้องถิ่นในอนาคต

 

[1] บทนำ

การขยายตัวของชุมชนเมืองสมัยใหม่และการเติบโตของจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองและพื้นที่ปริมลฑลย่อมก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์และการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติและปัจจัยด้านอื่นๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตเป็นจำนวนมาก ซึ่งประชากรในท้องถิ่นหรือชุมชนเมืองสมัยใหม่ย่อมต้องการความสะดวกสบายในการประกอบกิจกรรมต่างๆ ทั้งในเวลากลางวันตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตกและเวลากลางคืนตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ตกจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น อนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืน แต่ประชากรในท้องถิ่นหรือชุมชนเมืองย่อมต้องอาศัยสิ่งอำนวยความสะดวกหรือสาธารณูปโภคด้านอื่นๆ เพื่อให้ตนเองสามารถทำกิจกรรมทั้งภายในและภายนอกอาคารบ้านเรือนได้เสมือนหนึ่งเป็นเวลากลางวัน นอกจากนี้ ภาครัฐและท้องถิ่นยังต้องดำเนินบริการสาธารณะด้านต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชากรในท้องถิ่นและชุมชนเมือง ตัวอย่างเช่น การจัดบริการสาธารณะด้านขนส่งมวลชนในเวลากลางคืน การออกตรวจตราของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนในยามค่ำคืน และการจัดพื้นที่ประกอบกิจกรรมนันทนาการและการกีฬาให้กับประชาชนในยามค่ำคืน เป็นต้น

ดังนั้น รัฐและท้องถิ่นสมัยใหม่จึงได้พยายามแสวงหาแนวทางในการให้ประชาชนประกอบกิจกรรมต่างๆ ในเวลากลางคืนได้โดยสะดวกและแนวทางให้รัฐหรือท้องถิ่นประกอบกิจกรรมบริการสาธารณะด้านต่างๆ ในเวลากลางคืนเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชากรในชุมชนเมืองหรือท้องถิ่นนั้นๆ ด้วยเหตุนี้ ท้องถิ่นสมัยใหม่จึงได้พยายามพัฒนาและติดตั้งไฟส่องสว่างสาธารณะประเภทต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้กับประชาชนในท้องถิ่นในยามค่ำคืน รวมไปถึงอำนวยความสะดวกในการจัดทำบริการสาธารณะในด้านอื่นๆของท้องถิ่นเอง ตัวอย่างเช่น ไฟถนน (Street lights) ไฟรักษาความปลอดภัย (Security lights) และไฟสนามกีฬาและพื้นที่ประกอบกิจกรรมนันทนาการ (Floodlights at sports and recreational areas) เป็นต้น

ในปัจจุบันท้องถิ่นของไทยไม่ว่าจะเป็นท้องถิ่นในรูปแบบทั่วไป ได้แก่ เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หรือท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษได้พยายามพัฒนาและติดตั้งไฟส่องสว่างสาธารณะผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการเมืองปลอดภัย อุ่นใจทุกครอบครัว ของกรุงเทพมหานครที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษและโครงการติดตั้งไฟส่องสว่างของเทศบาลที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบทั่วไป เป็นต้น อย่างไรก็ดี การพัฒนาและติดตั้งไฟส่องสว่างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจก่อให้เกิดปัญหาและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนได้เนื่องจากปัญหาการใช้งานแสงสว่างภายนอกอาคาร (Outdoor artificial light) จากการติดตั้งไฟส่องสว่างสาธารณะที่มีลักษณะการติดตั้งหลอดไฟฟ้าหรือโคมไฟที่ไม่เหมาะสม (inappropriate) และไม่เป็นมิตรต่อระบบนิเวศ (eco-unfriendly) อันนำไปสู่ปัญหามลภาวะทางแสงในชุมชนเมืองของท้องถิ่นนั้นๆ

 

รูปที่ 1 การพัฒนาและติดตั้งไฟส่องสว่างสาธารณะของท้องถิ่นระดับต่างๆ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดมลภาวะทางแสงที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชนเมือง ที่มา BBC News. (2012). Light pollution: Is there a solution?. Retrieved November 1, 2012, from http://www.bbc.co.uk/news/magazine-16470744

 

รูปที่ 2 มลภาวะทางแสงอาจมีสาเหตุมาจากการติดตั้งหรือการออกแบบหลอดไฟฟ้าหรือโคมไฟส่องสว่างสาธารณะที่มีลักษณะที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จนทำให้เกิดแสงรุกล้ำ (light trespass) ในบริเวณทรัพยสินและบ้านเรือนของประชาชน อันอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและพลามัยของประชาชนในระยะยาว ที่มา PTL SOLAR FZ LLC. (2012). Useful Light and Light Pollution. Retrieved November 1, 2012, from http://www.grenlite.com/research-info.html

 

 

[2] มลภาวะทางแสงคืออะไร?

การใช้งานไฟส่องสว่างสาธารณะประเภทต่างๆ แม้ว่าจะให้คุณอนันต์ต่อการดำเนินชีวิตของประชากรและการจัดทำบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในยามค่ำคืน แต่หากการใช้งานแสงสว่างที่กำเนิดมาจากไฟส่องสว่างสาธารณะที่มีค่าความสว่าง (Luminance) ที่เกินไปกว่าความจำเป็นในการใช้งานในแต่ละพื้นที่ (Excessive) หรือมีทิศทางการส่องสว่างของแสงจากไฟส่องสว่างสาธารณะที่ไม่เหมาะสมอันทำให้แสงนั้นรุกล้ำไปยังพื้นที่ของผู้อื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น (Intrusive) รวมไปถึงการใช้งานแสงสว่างในเวลาและพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ย่อมก่อให้เกิดปัญหามลภาวะทางแสง (Light pollution)

อนึ่ง การพัฒนาพื้นที่ชุมชนเมืองและการวางผังเมืองเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตของเมืองจำเป็นอย่างยิ่งที่จำต้องคำนึงถึงปัญหาและผลกระทบจากไฟส่องสว่างสาธารณะด้วย เพราะไฟส่องสว่างสาธารณะอาจก่อให้เกิดปัญหามลภาวะทางแสง ที่อาจกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้ ด้วยเหตุนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภูมิภาคของหลายประเทศจึงได้พยายามแสวงหาแนวทางและวิธีการเพื่อจัดการกับปัญหามลภาวะทางแสงในอนาคต

 

[3] มลภาวะทางแสงจากไฟส่องสว่างสาธารณะของท้องถิ่นกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพมนุษยอย่างไร?

แม้แสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าหรือโคมไฟประเภทต่างๆ ที่นำมาใช้จัดทำไฟส่องสว่างสาธารณะจะมีประโยชน์กับประชาชนพื้นที่ชุมชนเมืองของแต่ละท้องถิ่นมากสักเพียงใดก็ตาม แต่อย่างไรก็ดี มลภาวะทางแสงอาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ได้เช่นกัน โดยผลกระทบของการใช้ไฟส่องสว่างสาธารณะที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ อนามัยและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ประการแรก มลภาวะทางแสงที่ส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์ (Human health) มลภาวะทางแสงที่เกิดจากการติดตั้งหลอดไฟฟ้าหรือโคมไฟส่องสว่างสาธารณะภายนอกอาคารประเภทต่างๆ ที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จากการออกแบบและติดตั้งไฟส่องสว่างสาธารณะที่ไม่เหมาะสมต่อลักษณะของการใช้งานในแต่ละพื้นที่ที่มนุษย์อาศัยหรือประกอบกิจกรรมในเวลากลางคืน ย่อมนำมาซึ่งผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น วงจรชีวิตมนุษย์ (Human Circadian Rhythms) โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic Lack of Sleep) โรคเครียด (Psychological Stresses) โรคมะเร็งในเต้านม (Breast Cancer) และการพัฒนาการของทารกที่คลอดก่อนกำหนด (Development of Premature Babies) เป็นต้น

สาเหตุที่มลภาวะทางแสงจากการใช้งานแสงสว่างจากไฟฟ้าส่องสว่างสาธารณะอาจกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ได้เช่นนี้ ก็เพราะ ความมืดในเวลากลางคืน (Dark Nights) กับการหลั่งสารเมลาโทนินตามปกติ (Normal Melatonin Production) มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งสารเมลาโทนินถือเป็นฮอร์โมนประเภทหนึ่งที่หลั่งออกมาจากต่อมไพเนียล (Pineal Gland) ซึ่งอยู่ในสมองส่วนไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) สารเมลาโทนินจะหลั่งได้ดีในที่มืดขณะเวลาที่มนุษย์นอนหลับตอนกลางคืนช่วง 2 นาฬิกาจนถึง 4 นาฬิกา โดยสารชนิดนี้มีส่วนช่วยในการควบคุมวงจรชีวิตมนุษย์หรือวงจรการทำงานของร่างกายมนุษย์ตามปกติ เช่น การพัฒนาระบบอวัยวะสืบพันธุ์ การนอนหลับของมนุษย์ อารมณ์ของมนุษย์และการต่อต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น แต่หากมลภาวะทางแสงจากการใช้แสงสว่างที่มาจากไฟส่องสว่างสาธารณะเกินสมควรหรือรุกล้ำของแสงไปในสถานที่อันเป็นที่พักอาศัยของมนุษย์ในเวลากลางคืน รวมไปถึงการใช้แสงสว่างในเวลาและพื้นที่ที่ไม่จำเป็น ย่อมส่งผลกระทบต่อความสามารถของร่างกายในการผลิตสารเมลาโทนินได้ดีในเวลากลางคืน ซึ่งเมื่อร่างกายผลิตสารเมลาโทนินได้น้อยลง ย่อมส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตมนุษย์โดยทั่วไปด้วย ตนอาจทำให้เกิดโรคร้ายแรงหรืออันตรายต่อกายในอนาคต ทั้งนี้ สมาคมการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา (American Medical Association) ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างมลภาวะทางแสงและสุขภาพมนุษย์ ได้แก่ "การรุกล้ำของแสงส่งผลกระทบต่อจังหวะวงจรชีวิตมนุษย์และสัตว์และอาจเป็นสาเหตุของการลดปริมาณการหลั่งของสารเมลาโทนินที่เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย อันทำให้มนุษย์เผชิญกับภาวะความเสี่ยงที่อาจเกิดโรคมะเร็งในอนาคต" ดังนั้น การรุกล้ำ (Light trespass) ของแสงสว่างจากการใช้งานไฟส่องสว่างสาธารณะของท้องถิ่นจากการใช้งาน ออกแบบและติดตั้งหลอดไฟฟ้าหรือโคมไฟจากไฟส่องสว่างสาธารณะที่ไม่เหมาะสมกับการใช้งานหรือไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมย่อมทำให้มนุษย์เผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ ต่อสุขภาพด้วย

 

รูปที่ 3 แสงสว่างมีความสัมพันธ์กับการหลั่งสารเมลาโทนินจากต่อมไพเนียลในสมองมนุษย์ ที่มา Cancertruth. (2012). Magnificent Melatonin, Retrieved November 1, 2012, from http://www.cancertruth.net/magnificientmelatonin/

ประการที่สอง มลภาวะทางแสงจากไฟส่องสว่างสาธารณะอาจกระทบต่อระบบนิเวศ (Ecological light pollution) กล่าวคือ การติดตั้งไฟส่องสว่างที่มีลักษณะไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศบริเวณรอบๆ พื้นที่ที่มีการติดตั้งไฟส่องสว่าง อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศที่ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ต้นไม้ประเภทต่างๆ รวมไปถึงระบบนิเวศตามธรรมชาติในเวลากลางคืน (Nocturnal ecological system) ตัวอย่างเช่น ไฟส่องสว่างสาธารณะอาจก่อให้เกิดมลภาวะทางแสงที่รุกล้ำไปยังที่อยู่อาศัยของค้างคาวตามธรรมชาติ ซึ่งตามธรรมชาติแล้วค้างคาวจะชอบอยู่อาศัยในพื้นที่มืดและอากาศถ่ายเทสะดวก นอกจากนี้ ไฟส่องสว่างสาธารณะประเภทไฟถนนบริเวณชายหาด (Coastal roadway lighting) อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเคลื่อนที่ของแม่เต่าทะเลภายหลังจากฟักไข่ได้ ซึ่งแทนที่แม่เต่าทะเลจะอาศัยแสงธรรมชาติ ได้แก่ แสงจันนทร์และแสงจากดวงดาวในการนำทางเคลื่อนที่กลับเข้าสู่ท้องทะเล แต่แสงไฟถนนบริเวณชายหาดกลับทำลายบรรยากาศความมืดตามธรรมชาติในเวลากลางคืน ทำให้แทนที่แม่เต่าทะเลจะเคลื่อนที่ลงสู่ท้องทะเลไปตามธรรมชาติ แต่แม่เต่าทะเลกลับเคลื่อนที่ลึกเข้ามายังพื้นที่ชายฝั่ง โดยอาจทำให้เกิดอันตรายต่อแม่เต่าทะเล ได้แก่ ภาวะเหนื่อย (exhausting) ภาวะขาดน้ำ (dehydration) รวมไปถึงการตายจากยวดยานพาหนะที่สัญจรบนถนนชายหาด

 

รูปที่ 4 มลภาวะทางแสงจากไฟส่องสว่างสาธารณะบริเวณพื้นที่ชายหาดที่อาจกระทบต่อสวัสดิภาพของเต่าทะเล ที่มา Collier County Florida. (2012). Lighting Compliance. Retrieved November 1, 2012, from http://www.colliergov.net/Index.aspx?page=446

 

[4] ไฟส่องสว่างสาธารณะสามารถยับยั้งการเกิดอาชญากรรมได้หรือไม่?

แม้ว่ารัฐบาลท้องถิ่นหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของหลายประเทศมีความเชื่อว่าการติดตั้งหลอดไฟฟ้าหรือโคมไปเป็นจำนวนมากจะสามารถลดปัญหาและระดับของการก่ออาชญากรรมลงได้ แต่อย่างไรก็ดี ความเชื่อดังกล่าวยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าค่าความสว่างในพื้นที่ระดับสูงจะสัมพันธ์กับการหยุดยั้งการกระทำความผิดหรือลดจำนวนอาชญากรรมแต่อย่างใด ซึ่งแท้จริงแล้วแสงสว่างจากไฟส่องสว่างกลับเอื้อประโยชน์ต่อการก่ออาชญากรรมบางประเภท เช่น การทำลายทรัพย์สินของรัฐหรือของเอกชนในเวลากลางคืน (Vandalism) และการวาดภาพหรือเขียนบนกำแพงในพื้นที่สาธารณะหรือทรัพย์สินของผู้อื่น (Graffiti) เป็นต้น

นอกจากนี้ แสงสว่างอาจช่วยเอื้อต่อการมองเห็นของผู้กระทำความผิดในกรณีอื่นๆอีกด้วย ซึ่งจากการศึกษาเอกสาร 'Preventing Crime: What Works, What Doesn't, What's Promising' จัดทำโดย Lawrence W. Sherman และคณะ (1998) เพื่อเสนอต่อ รัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา ที่พบว่าแสงสว่างอาจช่วยสนับสนุนผู้กระทำความผิดในการประกอบอาชญากรรมในบางกรณี โดยยกตัวอย่างกรณีผู้กระทำความผิดต้องแสงสว่างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการก่ออาชญากรรมในกรณีที่ต้องการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ในเวลากลางคืน เช่น ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ เป็นต้น

 

[5] ความท้าทายเกี่ยวกับการพัฒนามาตรการควบคุมมลภาวะทางแสงจากไฟส่องสว่างสาธารณะของท้องถิ่นในอนาคต

จากที่ได้กล่าวมาในข้างต้นอาจเห็นได้ว่าไฟส่องสว่างสาธารณะอาจช่วยอำนวยความสะดวกต่อประชากรในการใช้ชีวิตในยามค่ำคืนและการจัดทำบริการสาธารณะของท้องถิ่นเพื่ออำนวยความสะดวกต่อประชาชนในยามค่ำคืน แต่ไปส่องสว่างสาธารณะที่มีการติดตั้งที่ไม่เหมาะสมหรือการออกแบบที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมย่อมอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ได้ นอกจากนี้ ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่บ่งชี้ว่าการติดไฟส่องสว่างสาธารณะเป็นจำนวนมากจะทำให้ลดปริมาณการก่ออาชญากรรมในท้องถิ่นลงได้ ด้วยเหตุนี้ ท้องถิ่นในหลายประเทศจึงได้พยายามแสวงหามาตรการทางกฎหมายท้องถิ่นเพื่อรับมือกับปัญหามลภาวะทางแสงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานไฟส่องสว่างสาธารณะหรือการใช้งานหลอดไฟฟ้าหรือโคมไฟภายนอกอาคารประเภทอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น เมืองทูซอน มลรัฐเอริโซน่าได้ตรา ประมวลข้อบังคับท้องถิ่น City of Tucson/Pima County Outdoor Lighting Code 2012 โดยออกตามความในกฤษฎีกาเมืองว่าด้วยการผังเมือง City of Tucson Ordinance 2012 ที่กำหนดให้ท้องถิ่นของเมืองทูซอนต้องมีหน้าที่ในการรักษามาตรฐานการติดตั้งหลอดไฟฟ้าหรือโคมไฟจากไฟส่องสว่างสาธารณะของท้องถิ่นให้ได้มาตรฐานเพื่อลดผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและสุขภาพมนุษย์ของประชาชนและระบบนิเวศ

สำหรับสาระสำคัญของประมวลข้อบังคับท้องถิ่น City of Tucson/Pima County Outdoor Lighting Code 2012 ได้กำหนดให้ไฟส่องสว่างสาธารณะในบริเวณถนนสาธารณะ (Lighting of public right-of-ways) ต้องมีการติดตั้งโล่ไฟ (Light shield) เพื่อควบคุมทิศทางของแสงไม่ให้แสงส่องรุกล้ำไปยังบริเวณที่ไม่จำเป็นต่อการใช้งานหรือส่องสว่างไปทำลายระบบนิเวศโดยรอบ นอกจากนี้ ประมวลการใช้งานไฟส่องสว่างสาธารณะดังกล่าวยังได้กำหนดค่าความส่องสว่างโดยเฉลี่ยขั้นสูง (maximum average illumination level) ในบริเวณพื้นที่ทางสาธารณะที่ติดตั้งไฟส่องสว่างสาธารณะเพื่อให้ท้องถิ่นสามารถวัดระดับความส่องสว่าง (Footcandle ( fc ) 1 lumen / sq.ft) ในแต่ละพื้นที่ได้เพื่อให้ความส่องสว่างเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยในแต่ละพื้นที่ รวมไปถึงกำหนดมาตรฐานของพิกัดประสิทธิภาพต่ำสุดของหลอดไฟหรือโคมไฟที่ติดตั้งสำหรับไฟส่องสว่างสาธารณะในแต่ละประเภท (Rated minimum efficacy values) อีกด้วย

 

[6] สรุปและข้อเสนอแนะสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทย

ในปัจจุบันหลายท้องถิ่นของประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษหรือท้องถิ่นทั่วไปได้พยายามพัฒนาและติดตั้งไฟส่องสว่างสาธารณะผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการ "เมืองปลอดภัย อุ่นใจทุกครอบครัว ของกรุงเทพมหานคร" ที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษและโครงการติดตั้งไฟส่องสว่างของเทศบาลอื่นๆ ที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบทั่วไป เป็นต้น ซึ่งแม้ว่าโครงการต่างๆ จะมีวัตถุประสงค์ดีคือเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นหรือมีความรู้สึกปลอดภัยจากอาชญากรรมประเภทต่างๆ แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับต่างๆของไทยต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าการติดตั้งหลอดไฟฟ้าหรือโคมไฟเป็นจำนวนมาก อาจช่วยเพียงแค่ให้แสงสว่างในการประกอบกิจกรรมต่างๆ ในบริเวณพื้นที่ชุมชนเมืองให้สะดวกมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าการติดตั้งไฟส่องสว่างสาธารณะเป็นจำนวนมากจะช่วยลดอัตราการเกิดอาชญากรรมได้จริง นอกจากนี้ การติดตั้งไฟส่องสว่างสาธารณะที่ไม่เป็นไปตามหลักวิศวกรรมส่องสว่าง กล่าวคือ หลอดไฟฟ้าหรือโคมไฟจากไฟส่องสว่างสาธารณะอาจมีการติดตั้งที่ไม่เหมาะสมกับการใช้งานจริงในแต่ละพื้นที่หรืออาจมีลักษณะที่ไม่เป็นมิตรต่อระบบนิเวศโดยรอบพื้นที่ชุมชนเมืองที่มีการติดตั้งไฟส่องสว่างสาธารณะ ซึ่งผลที่ตามมาอาจก่อให้เกิดปัญหามลภาวะทางแสง ที่อาจกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของมนุษย์ได้

ด้วยเหตุนี้ ท้องถิ่นประเภทต่างๆ ของไทย จึงควรตระหนักถึงผลร้ายหรือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการโครงการพัฒนาไฟส่องสว่างสาธารณะประเภทต่างๆ ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายท้องถิ่นที่กำหนดถึงมาตรฐานการติดตั้งหรือใช้งานหลอดไฟฟ้าหรือโคมไฟจากไฟส่องสว่างสาธารณะ เช่น ข้อบัญญัติท้องถิ่น ข้อบังคับท้องถิ่น เทศบัญญัติท้องถิ่น ข้อบัญญัติเมือง เป็นต้น ดังนั้น ในอนาคตก่อนที่จะมีการดำเนินโครงการพัฒนาหรือติดตั้งไฟส่องสว่างสาธารณะ ท้องถิ่นควรออกนโยบายหรือมาตรการทางกฎหมายท้องถิ่นเฉพาะเพื่อกำหนดมาตรฐานการใช้งานและการติดตั้งไฟส่องสว่างสาธารณะในอนาคต

 

เอกสารอ้างอิง

Ackermann, K. & Stehle, H. J. (2006). Melatonin Synthesis in the Human Pineal Gland: Advantages, Implications, and Difficulties. Chronobiology International, 23:1-2, 369-379.

Ancoli-Israel, S. et al. (2003). The Role of Actigraphy in the Study of Sleep and Circadian Rhythms. SLEEP, 26 (3), 342-92.

BBC News. (2000). Night shifts 'increase breast cancer risk, Retrieved November 1, 2012, from http://news.bbc.co.uk/1/hi/health/1092390.stm

BBC News. (2003). Artificial light linked to breast cancer, Retrieved November 1, 2012, from http://news.bbc.co.uk/1/hi/in_depth/sci_tech/2003/denver_2003/2766161.stm

BBC News. (2006). Light 'risk' to premature babies, Retrieved November 1, 2012, from http://news.bbc.co.uk/1/hi/health/4799445.stm

Cajochen C. (2005). High Sensitivity of Human Melatonin, Alertness, Thermoregulation, and Heart Rate to Short Wavelength Light. Journal of Clinical Endocrinology and Metabolism, 90 (3), 1311-1316.

Davis, S., Mirick, D.K. & Stevens, R.G. (2001). Night shift work, light at night, and risk of breast cancer,  Journal of the National Cancer Institute, 93, 1557-1562.

Engineering Society of North America & International Dark Sky Association. (2010). JOINT IDA-IES MODEL LIGHTING ORDINANCE (MLO) with USERS GUIDE, (Arizona: International Dark Sky Association).

Gallagher, M.R. (2010). The influence of urban noise and light pollution on women's and girls' sleep patterns, weight and cardiovascular health, Penn-International Conference On Women's Health Initiative 18th Congress. Philadelphia: University of Pennsylvania. .

Guardian. (2007). Lights out on Britain's bats, Retrieved November 1, 2012, from http://www.guardian.co.uk/environment/2007/jul/15/conservation.endangeredspecies

Hansen, J. (2001). Light at Night, Shiftwork, and Breast Cancer Risk. Journal of the National Cancer Institute, 93(20), 1513-1515.

Johnson C.H. (2010). Circadian clocks and cell division. Cell Cycle, 9(19), 3864–3873      .

Kerenyi, N.A., Pandula E. & Feuer G. (1990). Why the incidence of cancer is increasing: the role of `light pollution'. Med Hypotheses. 33(2), 75-78.

Kloog, I. et al. (2011). Does the Modern Urbanized Sleeping Habitat Pose a Breast Cancer Risk?. Chronobiology International, 28 (1), 76-80.

Longcore, T. & Rich, C. (2004). Ecological light pollution. Front Ecol Environ, 2(4): 191–198.

Pima County. (2012). 2012 City of Tucson/Pima County Outdoor Lighting Code Adopted by City of Tucson ordinance #10963 on February 7, 2012, Retrieved November 1, 2012, from http://cms3.tucsonaz.gov/sites/default/files/dsd/Codes-Ordinances/2012_outdoor_lighting_code_.pdf

Sherman, W. L. (1998). Preventing crime: what works, what doesn't, what's promising, (New York: U.S. Dept. of Justice, Office of Justice Programs, National Institute of Justice)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นิธิ เอียวศรีวงศ์ : เปลี่ยนประเทศไทย ด้วยการรับจำนำข้าว

Posted: 04 Nov 2012 11:47 PM PST

ผมไม่มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวด้วยราคาสูงของรัฐบาลมานาน เพราะยอมรับว่ายังไม่สู้เข้าใจผลกระทบถ่องแท้นัก จึงได้สดับตรับฟังและตามอ่านความเห็นของคนอื่นตลอดมา

บัดนี้ ผมคิดว่าผมพอจะบรรลุความเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว

ผู้ที่คัดค้านเห็นว่าโครงการนี้มีปัญหามาก และปัญหาเหล่านั้นก็เริ่มปรากฏให้เห็นบ้างแล้ว ผมขอแบ่งปัญหาที่กล่าวถึงออกเป็นสองอย่าง คือปัญหาเชิงหลักการกับปัญหาเชิงปฏิบัติ

ในด้านหลักการ ราคาที่รับจำนำนั้นเห็นว่าสูงเกินความเป็นจริง หรือเกินขีดความสามารถของรัฐบาลไทย (ทุกชุด) จะจัดการได้ เริ่มตั้งแต่ไม่มีทางระบายข้าวออกไปได้ เพราะราคาที่รับซื้อสูงเกินราคาตลาดโลกมาก นอกจากยอมระบายออกในราคาที่ขาดทุน เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ ยิ่งกว่านี้บางคนยังบอกว่า มีส่วนดึงราคาข้าวภายในประเทศให้สูงขึ้นด้วย ซึ่งจะทำความเดือดร้อนแก่คนชั้นกลางระดับล่างในเขตเมือง แต่จนถึงทุกวันนี้ ผลกระทบด้านนี้ยังไม่ปรากฏให้เห็น ค่าครองชีพที่สูงขึ้นนั้นมีส่วนจากราคาข้าวน้อยมาก

ผลกระทบต่อไปก็คือ ชาวนาย่อมจะลงทุนปลูกข้าวมากขึ้น ซึ่งจะทำให้จำนวนข้าวที่ไหลเข้าสู่โครงการเพิ่มขึ้นด้วย การขยายการปลูกข้าวเพราะแรงกระตุ้นของโครงการ จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เช่น ราคาปุ๋ยและยาฆ่าแมลง ตลอดจนราคาเช่าที่ดิน ค่าขนส่ง, แรงงาน ฯลฯ บางส่วนของต้นทุนการผลิตก็มีราคาสูงขึ้นจริงในฤดูการผลิตใหม่นี้ เช่น ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง และค่าเช่าที่ดิน เป็นต้น แต่ก็น่าจะเป็นการขึ้นราคาชั่วคราว ในช่วงที่อุปสงค์และอุปทานไม่สมดุลกันเท่านั้น

ดังนั้น ผู้คัดค้านโครงการจึงเสนอว่า สิ่งที่รัฐบาลน่าจะทำในการช่วยชาวนามากกว่า คือการพัฒนาการเกษตรในเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่รับจำนำผลผลิตด้วยราคาสูง เช่น ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ฯลฯ เป็นต้น

ปัญหาในด้านเชิงปฏิบัติ ผู้คัดค้านเห็นว่าโครงการนี้ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือชาวนากลางขึ้นไป กับโรงสี ส่วนชาวนาเล็กที่ "ยากจน" (คำนี้มีปัญหาในตัวของมันเองมากนะครับ) เงินไม่ตกถึงมือ เท่าที่ผมทราบ ความเห็นนี้ไม่ได้มาจากการวิจัย แต่เป็นการประมาณเท่านั้น เพราะในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับในตัวเลขว่าทั้งมอเตอร์ไซค์, รถปิกอัพ และวัสดุก่อสร้างขายดีขึ้นในเขตชนบท ซึ่งตลาดของชาวนากลางอย่างเดียวไม่เพียงพอจะอธิบายได้ อีกทั้งความกระตือรือร้นของชาวนาที่จะขยายการเพาะปลูก ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า ชาวนาจำนวนมาก (ทั้งกลางและเล็ก) ตอบสนองต่อโครงการด้วยความยินดี

ในส่วนโรงสีได้กำไรนั้น ผมยังมองไม่เห็นว่าจะได้อย่างไร นอกจากยอมรับซื้อข้าวในราคาสูงขึ้น ทั้งนี้ไม่พูดถึงการทุจริตเช่นสวมสิทธิจำนำข้าวและอื่นๆ นะครับ ที่พอจะมองเห็นกำไรแน่ๆ ก็คือรับสีข้าวที่รัฐบาลรับจำนำไว้ตันละ 500 บาท ซึ่งก็ไม่ใช่ราคาที่สูงกว่าปกติ แต่มีข้อได้เปรียบคือมีข้าวป้อนให้สีได้มั่นคงขึ้น โดยตัวเองไม่ต้องเสี่ยงทางธุรกิจคือรับซื้อเท่านั้น

อีกข้อหนึ่งที่พูดกันมากคือการทุจริตทั้งของชาวนาเอง (ขายส่วนต่างของสิทธิการจำนำข้าว), นายทุนผู้รับซื้อส่วนต่างนี้, ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ทั้งขององค์กรของรัฐและบริษัทเซอร์เวย์เยอร์ เรื่องนี้จริงแน่นอนโดยไม่ต้องทำวิจัยเลยก็ได้ โครงการใช้เงินเป็นแสนล้านโดยไม่มีการโกงเลย จะเกิดขึ้นได้ที่ไหนในโลกล่ะครับ แต่ที่น่าสนใจกว่าก็คือ โกงมากกว่าโครงการจำนำข้าวที่ผ่านมาหรือโครงการประกันราคามากน้อยแค่ไหน และโกงได้อย่างไรหรือมีช่องโหว่ตรงไหนบ้าง และควรอุดอย่างไร น่าเสียดายที่ไม่มีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในการคัดค้าน

ยังมีเสียงคัดค้านเชิงอุดมการณ์จากจุดยืนจารีตนิยม ที่รังเกียจรัฐสวัสดิการทุกรูปแบบ เพราะเชื่อว่าจะทำให้คนขี้เกียจไม่รับผิดชอบและไม่ทำหน้าที่ของตนเอง คอยแต่จะแบมือรับความช่วยเหลือจากรัฐตลอดไป ข้อนี้ผมจะไม่พูดถึงล่ะครับ เพราะน่าสงสารเกินไป

แม้เสียงคัดค้านเหล่านี้มีส่วนจริงหรือมีส่วนเป็นไปได้บางเรื่อง แต่เป็นการมองโครงการในแง่ความเป็นไปได้ทางการตลาดเท่านั้น ผมคิดว่ารัฐบาลต้องชัด (กว่านี้) ว่าโครงการรับจำนำข้าวด้วยราคาสูงคือการปฏิรูปสังคม ไม่ใช่โครงการรับจำนำข้าวอย่างที่ผ่านมา ซึ่งมีเป้าหมายเพียงช่วยพยุงราคาข้าวของชาวนาให้ใกล้เคียงกับราคาตลาดโลกมากขึ้น และต้องไม่ขาดทุน

ตรงกันข้ามเลยครับ รัฐบาลตั้งใจจะขาดทุนมาแต่ต้น และด้วยเหตุดังนั้น จึงต้องวางแผนการระบายข้าวให้ดีโดยไม่ต้องนั่งรอราคาสูงสุดอย่างเดียว แต่จะระบายไปตามจังหวะเพื่อรักษาตลาดข้าวของไทยด้วยและเพื่อให้การระบายข้าวทั้งหมดที่รับจำนำมานั้นขาดทุนน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันก็ลงทุนเพิ่มมูลค่า เช่น การแพคเกจจิ้ง ไปจนถึงผ่านกระบวนการรักษาคุณภาพให้คงทน เป็นต้น เท่ากับโครงการรับจำนำช่วยเปิดตลาดข้าวระดับสูงไปพร้อมกัน (แน่นอนโดยร่วมมือกับผู้ส่งออกเอกชน)

จะขาดทุนบักโกรกแค่ไหน ผมไม่ทราบ แต่มีนักเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งประมาณว่าไม่น่าจะเกิน 50,000 ล้านบาท ซึ่งยังน้อยกว่าเงินที่รัฐบาลต้องจ่ายออกไปในการประกันราคา (ซึ่งรั่วไหลมากกว่าเสียอีก)... แต่ตัวเลขนี้จะเชื่อได้แค่ไหนผมไม่ทราบ

สมมุติว่านักเศรษฐศาสตร์ประเมินต่ำไป 100% ก็ขาดทุนแค่ 100,000 ล้านบาท เงิน 100,000 ล้านจากงบประมาณแผ่นดินหลายล้านล้านบาท เพื่อช่วยชาวนาซึ่งมีจำนวนประมาณ 40% ของประเทศ จะเป็นไรไปเล่าครับ ปัญหามาอยู่ที่ว่าช่วยแล้วได้ผลอะไรและอย่างไรต่างหาก เช่น หากชาวนามั่นใจว่ารายได้ของตนจะสูงขึ้น เขาเอาไปลงทุนในอะไรอีกบ้างที่จะให้ผลดีแก่เขาในระยะยาว

ส่วนการที่จำนวนหนึ่งนำไปซื้อมอเตอร์ไซค์และปิกอัพหรือต่อเติมบ้านเรือนนั้น อย่าได้คิดว่าเขาเอาเงินที่ได้มาไปใช้ในทางฟุ่มเฟือยเป็นอันขาด เพราะทั้งสามอย่างนี้เป็นการลงทุนทางธุรกิจไปพร้อมกับการเลื่อนสถานภาพทางสังคม 

เรื่องนี้ต้องเข้าใจชีวิตของชาวนาไทยให้ดี

"ชาวนา" ที่ทำนาขนาดเล็กด้วยกำลังครอบ ครัวของตนเพื่อยังชีพนั้น ปัจจุบันแทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว ส่วนใหญ่ของรายได้ของครอบครัวชาวนามาจากงานนอกภาคการเกษตร และเป็นเช่นนี้มาหลายสิบปีแล้วด้วย ฉะนั้นรายได้ของครอบครัวชาวนาจึงสูงขึ้น แต่ไม่ใช่จากการทำนาหากมาจากการรับจ้างหลากหลายประเภท แม้กระนั้นการทำนาก็ยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญแก่คนอีกมาก ในขณะที่หลุดออกไปจากภาคเกษตรโดยสิ้นเชิงก็มีจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน ฉะนั้นถ้าถือเส้นความยากจนตามที่สำนักงานสถิติใช้ในการหาข้อมูล ชาวนาส่วนใหญ่ไม่ใช่คนจน

การที่ชาวนาหลุดออกไปเป็นแรงงานประเภทต่างๆ นั้น เป็นปรากฏการณ์ปกติที่เกิดขึ้นในการพัฒนาของทุกประเทศ แต่ไทยมีปัญหาเฉพาะก็คือ อัตราการเปลี่ยนอาชีพของชาวนาไทยเกิดขึ้นช้ามาก จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีคนที่ทำนา (หรือเกษตรอย่างอื่น) ตกค้างอยู่ถึงเกือบ 40% ของประชากร แม้ว่ารายได้ส่วนใหญ่ของเขาไม่ได้มาจากภาคเกษตรก็ตาม

รถปิกอัพ, บ้านเรือน และมอเตอร์ไซค์ มีส่วนในการทำให้รายได้นอกภาคเกษตรของเขาเพิ่มขึ้น (เช่น มีมอเตอร์ไซค์ก็ทำให้หางานจ้างได้กว้างขึ้นกว่าจักรยานหรือเดินเท้า) การไปซื้อสินค้าเหล่านี้เมื่อมั่นใจว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต จึงเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง

เป็นไปได้หรือไม่ว่า หากเขามีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาวแล้ว ชาวนาจะหันไปทำอาชีพอื่นๆ มากกว่าทำนา เพราะราคาจำนำ 15,000 บาทต่อข้าวหนึ่งตันนั้น ใช่ว่าจะทำให้รายได้เพิ่มสูงขึ้นมากนัก หากเปรียบกับการมีงานจ้างประจำทั้งปี หรือมีโอกาสค้าขายอย่างเป็นกอบเป็นกำมากขึ้น โครงการรับจำนำข้าวจึงอาจเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่จะทำให้ชาวนาจำนวนหนึ่งหันไปสู่อาชีพอื่น ในขณะที่ผู้ยังอยู่ในอาชีพทำนา ก็จะมีโอกาสพัฒนาผลิตภาพของตนเพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น

ในกระบวนการนี้ เขาจะลงทุนกับการศึกษาของลูกหลานเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ หลังจากจบ ม.3 ซึ่งทำให้หางานโรงงานทำได้นั้น เขาจะส่งลูกหลานเรียนต่อไปหรือไม่ อันนี้ผมเดาไม่ถูก แต่ก็เชื่อว่าอย่างน้อยจำนวนหนึ่งก็น่าจะลงทุนด้านการศึกษาต่อไป เพราะไม่มีแรงบีบให้ต้องเอาลูกออกไปทำงานโรงงาน และถ้าเป็นอย่างนั้นในจำนวนคนส่วนใหญ่ที่เป็นชาวนาในเวลานี้ ย่อมหมายความว่า โครงการรับจำนำนี้ช่วยเปิดช่องทางที่ชาวนาจะได้รับผลพวงของการพัฒนาเต็มเม็ดเต็มหน่วยขึ้น

อันที่จริง การที่รัฐบาลประเทศพัฒนาแล้ว ทุ่มงบประมาณลงไปสนับสนุน หรือออกกฎหมายปกป้องคนในอาชีพเกษตรนั้นเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ในสหรัฐ, ยุโรป, เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น แต่ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งไม่ใช่ชาวนาไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร กลับสนับสนุนนโยบายเช่นนี้ด้วยซ้ำ เหตุใดนโยบายทำนองเดียวกันจึงถูกคนชั้นกลางและชนชั้นนำไทยคัดค้านอย่างหนัก

ส่วนหนึ่งของคำตอบก็คือ ในประเทศพัฒนาแล้ว ชาวนาหรือเกษตรกรมีจำนวนน้อยมาก เฉลี่ยประมาณ 4-8% ของประชากร คนทั่วไปจึงไม่รู้สึกถึงผลกระทบของนโยบาย แต่คนถึง 40% ที่คอยความช่วยเหลือในเมืองไทย มีจำนวนมากกว่ากันมาก ความช่วยเหลือใดๆ ที่จะบังเกิดผลแก่เขาจริง ต้องมีสัดส่วนพอสมควรในทรัพย์สาธารณะเป็นธรรมดา คนไทยชั้นกลางขึ้นไปจึงอ่อนไหวต่อการช่วยชาวนามากเป็นพิเศษ มองนโยบายเหล่านี้ด้วยความระแวง

แต่เหตุผลที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการเมือง

ส่วนหนึ่งของชนชั้นนำไทยต้องการเก็บชาวนาไว้ภายใต้อุปถัมภ์ของตนตลอดไป แยกชาวนาออกเป็นปัจเจกบุคคลตัวเล็กๆ ภายใต้การนำของ "ปราชญ์ชาวบ้าน" ที่สยบยอมต่อระบบ ส่วนที่เหลือมองไม่เห็นประโยชน์ของชาวนามากกว่าแรงงานราคาถูก เพราะถึงอย่างไรสินค้าที่พวกเขาผลิตก็มุ่งไปที่ตลาดต่างประเทศอยู่แล้ว

ในทางตรงกันข้าม ชาวนาไทยไม่มีประสบการณ์ในการรวมกลุ่มเพื่อต่อรองทางการเมืองมากนัก (เมื่อเปรียบเทียบกับเกษตรกรในประเทศพัฒนาแล้วทั่วไป) อันที่จริงชาวนาไทยถูก "ปราบปราม" อย่างเหี้ยมโหดและเด็ดขาดเสียยิ่งกว่าความเคลื่อนไหวของกรรมกรเสียอีก หากเขาพยายามรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ของเขาในนโยบายสาธารณะ

จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม โครงการรับจำนำข้าวในราคาสูงของรัฐบาล ย่อมมีส่วนช่วยสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองให้แก่ชาวนาด้วย หากทำต่อเนื่องไปอีกสักสองสามปี จะไม่มีรัฐบาลใดกล้าเลิกโครงการนี้เป็นอันขาด

แม้ว่ารัฐบาลเดินมาถูกทางแล้ว (ตามทรรศนะของผม) แต่รัฐบาลต้องยินดีและน้อมรับฟังคำวิจารณ์ของทุกฝ่าย ส่วนหนึ่งของคำวิจารณ์นั้นอาจมาจากแรงจูงใจที่ไม่ดีทางการเมือง แต่รัฐบาลอย่าไปสนใจแรงจูงใจดีกว่า หากควรฟังและทบทวนโครงการอยู่ตลอดเวลา แก้ไขปรับเปลี่ยนอย่าให้เกิดรูรั่ว แต่ก็ต้องชัดเจนในด้านเป้าหมายของโครงการ ทั้งแก่ตนเองและประชาชน

เพราะรัฐบาลกำลังทำอะไรที่มีความสำคัญสุดยอดในการเปลี่ยนประเทศไทย หนทางย่อมไม่ราบรื่นเป็นธรรมดา

 

 

ที่มา: มติชนออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภาคภูมิ แสงกนกกุล: การรักษาเป็นสินค้าและความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับคนไข้ในฐานะผู้บริโภค

Posted: 04 Nov 2012 10:41 PM PST

ภายในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาระบบสาธารณสุขไทยเป็นระยะเปลี่ยนผ่าน การเปลี่ยนแปลงต่างๆเพื่อให้เข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนสถานภาพของแพทย์ในประเทศไทยที่มีสถานะเป็นที่ยอมรับในสังคมในฐานะผู้เสียสละเพื่อรักษาชีวิตของสังคมเป็นผู้ให้บริการ นอกจากนี้การเติบโตของธุรกิจการแพทย์ทำให้ภาพของแพทย์บางส่วนที่ผู้ป่วยมองว่าเป็นผู้มีพระคุณกลายเป็นพ่อค้า และเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และคนไข้จากเดิมที่ดีกลายเป็นภาพขัดแย้งไม่เข้าใจมากขึ้น และมีการฟ้องร้องมากขึ้น [1] ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญจนฝ่ายนโยบายสาธารณสุขเช่นสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ หามาตรการเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างแพทย์คนไข้  [2]

ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และคนไข้ 4 แบบ 

ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และคนไข้ในปัจจุบันสามารถแบ่งได้เป็น 4 แบบคือ [3]
• ความสัมพันธ์แบบพ่อปกครองลูก (parternalistic model) เป็นความสัมพันธ์ที่แพทย์มีลักษณะเหมือนผู้ปกครองผูกขาดการตัดสินเพียงผู้เดียวในการเลือกการรักษาให้กับคนไข้ เพราะผู้ป่วยเป็นผู้ที่ไม่รู้อะไรเลยในการรักษา แพทย์เป็นผู้รู้ดีและเต็มไปด้วยปราถนาที่ต้องการให้ผู้ป่วยหายจากการป่วยและจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้คนไข้ ผู้ป่วยต้องทำตามที่แพทย์สั่งโดยห้ามขัดขืน

• ความสัมพันธ์แบบกึ่งเสรี (deliberative model) เป็นความสัมพันธ์ที่แพทย์เสมือนครูหรือเพื่อนที่หวังดีกับคนไข้แพทย์มีหน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสารและชักชวนให้ผู้ป่วยเลือกการรักษาที่แพทย์คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของคนไข้ สิ่งที่แตกต่างจากแบบแรกคือ ผู้ป่วยมีการตัดสินใจเองว่าจะทำหรือไม่ทำตามที่แพทย์พูด

• ความสัมพันธ์แบบการแปล (interpretative) เป็นความสัมพันธ์ที่แพทย์เปรียบเสมือนเป็นที่ปรึกษาของคนไข้ โดยคนไข้เป็นผู้มีความรู้และสามารถเรียนรู้วิทยาศาสตร์การแพทย์และข้อมูลที่ซับซ้อนได้ เพียงแต่ต้องอาศัยการอธิบายจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อแปลสารที่เข้าใจยากให้เข้าใจง่ายให้แก่ผู้ป่วย

• ความสัมพันธ์แบบให้ข้อมูลข่าวสาร (informative model) เป็นความสัมพันธ์ที่แพทย์มีลักษณะเป็นช่างเทคนิคที่เชี่ยวชาญการรักษาและมีหน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสารทุกอย่างทั้งข้อดีข้อเสียของการรักษาทุกชนิดและสร้างตัวเลือกต่างๆให้กับผู้ป่วยซึ่งอยู่ในสถานะผู้บริโภค มื่อได้รับข้อมูลแล้วก็สามารถไตร่ตรองได้เองว่าจะเลือกการรักษาในฐานะเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายตัวเองดีที่สุด

ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และคนไข้ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จวบจนศตวรรษที่แล้วเป็นความสัมพันธ์ลักษณะพ่อปกครองลูก ที่แพทย์ผูกขาดการตัดสินใจจากคนไข้หมด การรักษาที่ดีจึงขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแพทย์และคนไข้ คือถ้ามีความสัมพันธ์ดีก็มีโอกาสที่แพทย์จะทุ่มเทการรักษาอย่างเต็มที่ และต้องอาศัยจริยธรรมส่วนตัวของแพทย์ สาเหตุที่ความสัมพันธ์เป็นแบบพ่อปกครองลูกเพราะ ความไม่สมมาตรด้านข้อมูลระหว่างแพทย์และคนไข้ การเข้าถึงข้อมูลอย่างยากลำบากของคนไข้ ความซับซ้อนของความรู้ด้านการแพทย์ ความสัมพันธ์ของคนไข้และแพทย์แบบเก่าจึงวางอยู่บนความไม่เสมอภาค โดยที่คนไข้ได้สูญเสียอธิปไตยในการตัดสินใจไปให้กับแพทย์และอยู่ในรูปแบบของการมอบอำนาจให้แพทย์ตัดสินใจ « Tutelle médicale »  [5]

อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรวดเร็วและการเติบโตของธุรกิจการแพทย์ เปิดโอกาสให้แพทย์สามารถหากำไรได้จากความไม่เท่าเทียมกันของข้อมูลและอำนาจตัดสินใจผูกขาดที่อาจเลือกการรักษาที่ไม่จำเป็นให้คนไข้เพื่อเพิ่มรายได้กับตนเองและอาจสร้างความไม่ไว้วางใจระหว่างแพทย์คนไข้ สภาพการณ์ปัจจุบันจริยธรรมของแพทย์เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอและต้องอาศัยการเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับคนไข้ ด้วยผลดีของเทคโนโลยีปัจจุบันส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงข้อมูลมากขึ้นผู้ป่วยสามารถหาข้อมูลที่มีความสลับซับซ้อนได้มากขึ้นและทั่วถึงกับประชาชน ทำให้ผู้ป่วยมีอำนาจทางข้อมูลมากขึ้นและสามารถมีอำนาจต่อรองกับแพทย์และดึงอำนาจตัดสินใจจากแพทย์มาสู่ตนเองอีกครั้ง

ผู้ป่วยจากเดิมที่มีลักษณะตั้งรับ (passive) กลายมาเป็นผู้ป่วยที่มีความอิสระ (autonomy) พวกเขาไม่ใช่ผู้ป่วยที่เชื่อง ต้องเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างจากแพทย์โดยไม่รู้ว่าแพทย์ทำสิ่งที่ดีหรือแย่กับตน แต่ผู้ป่วยเป็นผู้ป่วยที่รับรู้ เรียนรู้ได้ ว่าการรักษาใดที่ดีสำหรับตน ตัดสินใจได้ด้วยตัวเองและมีแขนขาสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้ถึงแม้ตนเองจะป่วยอยู่ก็ตาม

แนวโน้มของความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และคนไข้ทั่วโลกค่อนข้างจะเปลี่ยนจากระบบพ่อปกครองลูกเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะผู้ป่วยเป็นผู้บริโภค อย่างไรก็ตามก็มีการโต้แย้งกับแนวความคิดดังกล่าว [6]  โดยเห็นว่าการรักษาไม่ควรเป็นสินค้าแต่ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนมีสิทธิเข้าถึง และอาจมองว่าโมเดลผู้ป่วยเป็นผู้บริโภคจะเป็นการบั่นทอนความสัมพันธ์อันดีระหว่างแพทย์และคนไข้ 

ข้อโต้แย้งดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่าคิด แต่ควรแยกออกจากกันก่อนว่า การแพทย์เชิงพาณิชย์ที่ลดทอนสิทธิการเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยและโมเดลผู้ป่วยเป็นผู้บริโภคเป็นคนละเรื่องกัน ในประเทศฝรั่งเศสที่จัดหาการบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึงให้กับประชาชนทุกคนหรือแม้แต่ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ถึงแม้บางรายไม่ได้เป็นผู้เสียภาษีเลยก็ตาม ต่างก็เปลี่ยนเป็นโมเดลผู้บริโภค โดยมองว่าเป็นการเพิ่มอำนาจและสิทธิของผู้ป่วยและเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการประชาธิปไตยในระบบสาธารณสุข สมาคมคุ้มครองผู้บริโภคมีความแข็งแกร่งและสามารถเป็นปากเป็นเสียงให้กับคนไข้ที่เดือดร้อนจากการรักษาที่ผิดพลาดของแพทย์ได้

 

เชิงอรรถ

[1] http://www.doctor.or.th/clinic/detail/7043

[2] มติและข้อเสนอจากสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๑

[3] http://www.med.yale.edu/intmed/resources/docs/Emanuel.pdf

[4] http://www.who.int/genomics/public/patientrights/en/

[5] Claude Le Pen, « Patient » ou « personne malade » ? Les nouvelles figures du consommateur de soins, Revue économique-vol.60, N°2 mars 2009, p.258.

[6] http://www.mat.or.th/file_attach/22Mar201205-AttachFile1332376445.pdf

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ASEAN Weekly: สันติภาพที่มินดาเนา

Posted: 04 Nov 2012 05:25 PM PST

ASEAN Weekly ดำเนินรายการโดยสุลักษณ์ หลำอุบล และดุลยภาค ปรีชารัชช สัปดาห์นี้ติดตามการบรรลุผลการเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์ และแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (Moro Islamic Liberation Front - MILF) ซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ที่เกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์มา 40 กว่าปี กรอบข้อตกลงที่มีการลงนามเมื่อ 15 ต.ค. ดังกล่าว กำหนดให้มีเขตปกครองตนเองใหม่ที่ชื่อว่า "บังซาโมโร" ที่เกาะมินดาเนา ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ภายในปี 2559 โดยฝ่าย MILF ได้สิทธิปกครองตนเองในพื้นที่บางส่วนของเกาะมินดาเนา ครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด 4 เมือง 113 เขตเทศบาล มีประชากร 4.7 ล้านคน

คลิกที่นี่เพื่อคลิปแบบ HD

รัฐบาลฟิลิปปินส์และแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (MILF) ลงนามในข้อตกลงสันติภาพเมื่อ 15 ต.ค. 55 ที่ทำเนียบประธานาธิบดี กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดยมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจีป ราซักเป็นสักขีพยาน (ที่มา: http://www.gov.ph/official-visit-of-malaysian-prime-minister/)

แผนที่แสดงพื้นที่ซึ่งคาดหมายว่าจะเป็นเขตปกครองตนเอง Bangsa Moro ตามข้อตกลงสันติภาพ โดยกำหนดกรอบระยะเวลาไว้ภายในปี 2559 (ที่มา:  http://www.gov.ph/the-2012-framework-agreement-on-the-bangsamoro)

 

ทั้งนี้ดุลยภาคประเมินผลสำเร็จและผลกระทบจากกรอบข้อตกลงสันติภาพว่า ประการแรก การเจรจาสันติภาพกับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นยุทธศาสตร์การเมืองที่สำคัญของประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ใครที่ทำให้ประสบความสำเร็จหรือมีรูปธรรมพอสมควรจะมีผลต่อฐานคะแนนและภาพลักษณ์ในอนาคต ซึ่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ก่อนหน้านี้ก็ดำเนินการเจรจา ทั้งฟิเดล มากอส และกรอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ขณะที่ในปี 2559 ซึ่งเป็นกรอบเวลาที่แผนสันติภาพจะถูกนำไปปฏิบัติก็เป็นปีที่ประธานาธิบดี เบนิญโน่ อาคีโน่ ดำรงตำแหน่งครบวาระพอดี นอกจากนี้ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์มักจะใช้ "การทูตการพัฒนา" เป็นจักรกลสำคัญเชื่อมเครือข่ายระหว่างประเทศ การลงทุนระหว่างประเทศไปพัฒนาในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง ซึ่งที่ผ่านมาดินแดนตอนใต้ของฟิลิปปินส์มีความขัดแย้งสูงเป็นระยะ ทำให้การพัฒนาไม่เต็มรูปเท่าที่ควร แต่การดันนโยบายการทูตการพัฒนาประสบความสำเร็จอยู่เป็นช่วงดีกว่าไม่มีกระบวนการผลักดันอะไรเลย

ประการที่สอง มีการเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศในอาเซียน สืบเนื่องจากว่าภาคใต้ของฟิลิปปินส์เป็นส่วนหนึ่งของเขตเศรษฐกิจอาเซียนตะวันออก ซึ่งครอบคลุมทั้งฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน โดยเฉพาะอินโดนีเซียและมาเลเซียแข็งขันกับกรณีเป็นพิเศษ เพราะถ้าไม่ทำให้ดินแดนนี้มีสันติภาพเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การค้า การลงทุนในอาเซียน การรวมกลุ่มเหลี่ยมเศรษฐกิจซึ่งมีความสำคัญกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทะเลก็จะไม่สำเร็จ จะเห็นบทบาทของรัฐบาลมาเลเซียเข้ามาร่วมในกระบวนการเจรจานี้ด้วย เพราะทางมาเลเซียเองมีพื้นที่ติดต่อกันบริเวณเกาะบอร์เนียวตอนเหนือก็ได้รับผลกระทบกับความขัดแย้งที่ผ่านมา ซึ่งทำให้การค้าขายไม่สะดวก

ประการที่สาม ระยะเวลา 40 ปีของความขัดแย้ง ทั้งฝ่ายรัฐบาลฟิลิปปินส์และฝ่าย MILF ต่างฝ่ายต่างเหนื่อยล้า สุดท้ายไม่มีอะไรจะจบได้ดีกว่าที่โต๊ะเจรจา ซึ่งมีสิ่งสำคัญคือการไว้เนื้อเชื่อใจกัน ซึ่งก็ยากอยู่ แต่ดีกว่าไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมเกิดขึ้น ฝ่ายแบ่งแยกแดกดินแดนก็พบกันครึ่งทางด้วยการขอเขตปกครองพิเศษน่าจะพอพูดคุยกันได้ ฝ่ายรัฐบาลฟิลิปปินส์สอดคล้อง เพราะพอรับกับเขตปกครองพิเศษได้

ในช่วงท้ายรายการ ยังมีการอภิปรายบทเรียนจากมินดาเนากับกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเปรียบเทียบกับการเจรจาสันติภาพและพื้นที่เขตปกครองตนเองในของชนกลุ่มน้อยในพม่าด้วย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น