โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

สนธิ ลิ้มทองกุลกล่าวว่าสหรัฐอเมริกาให้วีซ่า "ทักษิณ" เพราะต้องการใช้ไปเจรจากับพม่า

Posted: 09 Nov 2012 01:02 PM PST

ระบุ "โอบามา" จะมาเยือนกัมพูชา-พม่า ก็เพราะต้องการสร้างอิทธิพลในภูมิภาค และสหรัฐอเมริกายังพร้อมจะเผชิญหน้ากับจีน ส่วนกรณีพิพาทเกาะเตียวอวี๋ระหว่างญี่ปุ่น-จีน เบื้องหลังก็คือสหรัฐอเมริกา พร้อมเตือนว่าหากเกิดสงครามในตะวันออกกลางราคาน้ำมันจะพุ่งไปถึง 200-250 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และจะเป็นความโชคร้ายของผู้ร่วมโครงการรถคันแรก

ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวีเมื่อคืนวานนี้ (9 พ.ย.) นั้น ช่วงหนึ่ง นายสนธิ ลิ้มทองกุลกล่าวว่าที่รัฐบาลไทยเตรียมบริจาคเงินเพื่อช่วยสร้างท่าเรือน้ำลึกทวายที่พม่า ก็เพราะว่าตอนนี้พม่ามีแหล่งพลังงานที่อุดมสมบูรณ์ พอเปิดประเทศทุกคนก็มุ่งมาที่นี่ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นายกฯ แต่ให้น้องสาวเป็น ในทางยุทธศาสตร์การค้าเท่ากับเป็นการดี เพราะสามารถบินไปคุยกับนายเต็ง เส่ง นายกรัฐมนตรีพม่าได้ แล้วเขาก็บอกว่าเดี๋ยวจะสั่งน้องสาวบริจาคเงิน เอาเงินมาลงทุนท่าเรือทวายเป็นแสนล้าน เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ด้านพลังงาน ในแง่ของการลงทุนนี่คือภาษีอากรของคนไทย ฉะนั้นแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ กินสองสามเด้ง ได้ธุรกิจที่เขาต้องการโดยเอาเงินทองคนไทยไปแจก แล้วโอกาสที่จะได้สัมปทานจากพม่าจะง่ายกว่าฝรั่งที่ไปประมูลด้วย เพราะเอางบประมาณแผ่นดินไปสร้างให้พม่า

และโยงกลับมาที่ทำไมนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องมาเมืองไทย เพราะว่าตอนนี้ธุรกิจพลังงานหลายแห่งกำลังมุ่งมาที่ภูมิภาคนี้ เพราะฉะนั้นโอบามามาเมืองไทย เพราะจะไปเขมรและพม่าด้วย เพื่อตอกย้ำว่าเป็นขาใหญ่ จะให้สัมปทานใครให้คิดถึงอเมริกาก่อน

นอกจากนี้ ปีหน้าเป็นต้นไป อเมริกาจะเริ่มเดินลงนรกไปทีละนิด เหตุผลนึงที่โอบามาชนะการเลือกตั้ง เพราะว่ายุติสงครามในอิรัก คำถามที่มีต่อก็คือว่าถ้าอิรักร้อนขึ้นอีกที โอบามาจะทำอย่างไร และอีกคำถามมีอยู่ว่า โอบามาจะสั่งเข้าไปรบในอิหร่านหรือไม่ ถ้าไม่รบ อิหร่านผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ หรือจะสั่งให้อิสราเอลรบกับอิหร่าน สงครามในตะวันออกกลางก็จะเกิดขึ้น ซีเรียซึ่งในขณะนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับอเมริกาก็จะถือโอกาสจับมือกับอิหร่าน เมื่อเกิดสงครามในตะวันออกกลาง จะทำให้น้ำมันกระโดดขึ้นไปเป็นบาร์เรลละอย่างน้อย 200 เหรียญ หรือ 250 เหรียญ ตรงนี้จะเป็นความโชคร้ายของคนที่ร่วมโครงการรถคันแรก ค่าใช้จ่ายรถคันนึง ถ้าเป็นอีโคคาร์ตกที่ประมาณ 16,000 บาทต่อเดือน

นายสนธิ กล่าวอีกว่า อเมริกาต้องการมีอิทธิพลในพม่าและเขมร จีนก็เช่นกัน นี่เป็นที่มาว่าทำไม โอบามา จึงมาที่นี่ ก็เพื่อที่จะ 1.สร้างอิทธิพลทางการค้า 2.สร้างอิทธิพลทางความมั่นคง โอบามาพูดว่าเขาอาจจะตัดงบประมาณที่เกี่ยวกับอเมริกาให้น้อยลงแต่งบประมาณด้านทหารในทางเอเชียแปซิฟิกจะไม่มีวันตัดแล้วจะให้มันสูงขึ้นตลอดเวลา เพราะที่นี่คือแหล่งเจริญเติบโตในศตวรรษหน้า เขาพร้อมจะเผชิญหน้ากับจีน แม้ไม่ได้พูดออกมา แต่การแสดงออกมันเป็นเช่นนั้น

และความขัดแย้งในเอเชียแปซิฟิกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเกาะเตี้ยวอี๋ว์ซึ่งทะเลาะกันระหว่างจีนกับญี่ปุ่น คนที่อยู่เบื้องหลังก็คืออเมริกา หรือสมัยก่อนนายเฉิน สุ่ย เปียน ประธานาธิบดีไต้หวัน ทะเลาะกับจีนตลอดเวลา คนที่อยู่เบื้องหลังก์คืออเมริกา แต่เผอิญเฉิน สุ่ย เปียน สอบตก นายหม่า อิง จิ่ว เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ แล้วเป็นก๊กมินตั๋งซึ่งสนิทกับจีน ก็เลยไม่ยอมเล่นตามเกมอเมริกา ถ้าภูมิภาคนี้มีแต่ความสงบ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ถ้าเป็นแท็กเดียวกันเฉพาะเงินตราต่างประเทศ ที่ฝากเอาไว้ในอเมริกาในรูปแบบของพันธบัตร เข้าใจว่าน่าจะถึง 2 ล้านล้านกว่าเหรียญสหรัฐฯ จีนตอนนี้มีอยู่ล้านล้านเหรียญ เท่ากับว่าจีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ แล้วถ้าญี่ปุ่นจับมือกับจีนได้ อเมริกาจะไม่มีบทบาทอะไรเลยในภูมิภาคนี้ เพราะฉะนั้นบารัก โอบามา ถึงต้องมาภูมิภาคนี้ ไม่มาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสนามบินอู่ตะเภา บ่อน้ำมันที่ใช้เชฟรอนเป็นหัวหอกในการบุกเข้าไป หรือการเปิดประเทศของพม่า และที่สำคัญที่สุดนี่คือเหตุผลทำไมอเมริกาถึงให้วีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณทำตัวเป็นหัวหน้าคนใช้ ไปเจรจากับพม่าแทนอเมริกา

ส่วนกรณีถอดยศนายอภิสิทธิ์ นายสนธิ กล่าวว่า เห็นนายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ว่าต้องถอดยศทักษิณด้วย ถึงจะไม่ใช่ 2 มาตรฐาน ตรงนี้ถ้านายอภิสิทธิ์ทำงานเป็น แล้วยึดถือความยุติธรรม คุณงามความดีเป็นหลัก ต้องถอดยศทักษิณไปแล้วตั้งแต่สมัยนั้น เพราะของทักษิณชัดเจนยิ่งกว่า เป็นถึงนักโทษที่ศาลพิพากษาไปแล้ว และก็ไม่ได้ต่างไปจากตำรวจคนอื่นๆที่ถูกถอดยศเพราะถูกศาลพิพากษา มีคนเป็นร้อยเลยที่มียศฐาบรรดาศักดิ์แล้วถูกถอดยศไป

คนที่รักนายอภิสิทธิ์ ก็จะแก้ตัวให้ว่าเพราะตำรวจมันไม่ทำเรื่อง แต่ตนซึ่งผมเข้าใจดีถึงคุณภาพของความเป็นผู้นำ ถือว่านายอภิสิทธิ์สอบตก นายกรัฐมนตรีโดยตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการที่พิจารณาเขาทำเรื่องเสร็จหมดแล้ว รอเข้าคณะอนุกรรมการ กตร. เวลาโยกย้ายแต่งตั้งตำรวจ เรื่องที่คณะกรรมการชุดล่างที่เขาทำมาแล้วทำไมนายสุเทพไม่หยิบเรื่องนี้เข้าไปในคณะอนุกรรมการ กตร.และถอดยศไปเลย ก็พยายามจะซื้อเรื่องว่า กฤษฎีกาตีความ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลชุดไหนพูดว่าต้องส่งให้กฤษฎีกาตีความ นั่นคือการซื้อเวลา

ที่ไม่ทำเพราะว่าต้องการจะเล่นการเมือง ต้องการจะให้ทักษิณ เห็นว่าผมไม่ได้เล่นคุณนะ เผื่อเยื่อใยกันเอาไว้ในการเล่นการเมือง เช่นเดียวกับกรณีไปประกันตัวเสื้อแดง เพราะหวังว่าพวกเสื้อแดงจะเห็นใจยอมปรองดอง ส่วนพวกที่ไม่ประนีประนอมและถีบออกมาคือพวกเสื้อเหลือง โดยมองว่าถ้าจับมือกับเสื้อแดงได้การเมืองไทยจะอยู่ในมือ ได้เป็นนายกฯ ต่อ เรื่องสองมาตรฐาน นายอภิสิทธิ์ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว แล้วปัญหาที่เกิด เกิดขึ้นเพราะตัวคุณเอง

แล้วคุณคอยดูถ้าปีหน้าศาลโลกพิพากษาออกมาว่าประเทศไทยเสียดินแดน ประชาธิปัตย์อย่าไปตำหนิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะไปยอมรับอำนาจศาลโลก นรกของคุณยังจะมาอีกปีหน้า

นอกจากนี้ในช่วงหนึ่งของรายการ นายสนธิ ได้โฆษณาขาย "เครื่องกรองน้ำด่าง" ราคาเครื่องละ 35,000 บาทด้วย โดยนายสนธิกล่าวว่า "หลายคนเข้าใจว่าเครื่องทำน้ำด่างที่เราเอาเข้ามาให้ท่านผู้ชมใช้ เป็นของใหม่เป็นเรื่องใหม่ จริงๆแล้วเรื่องนี้เกิดขึ้นมาเมื่อ 44 ปีที่แล้ว จากนายแพทย์คนนึงที่ญี่ปุ่น" และ "ตอนนี้คนญี่ปุ่นที่ทานน้ำด่างมีประมาณ 30 - 40 ล้านคน คุณหมอคนนี้เค้าทำอย่างไร ปี 2511 เป็นหมอชาวญี่ปุ่น เขาทำเครื่องทำน้ำด่างจากเครื่องไฟฟ้า แล้วเค้ารักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งในลำไส้ เอเขาตรวจสอบแล้วโดยใช้กล้องส่องลำไส้ เขาพบว่าสามารถจะรักษาโรคมะเร็งได้ ซึ่งตอนนั้นเครื่องแพงมาก เพราะว่ามันไม่ได้เป็นเครื่องแบบนี้ มันเป็นเครื่องที่ทำอยู่ในโรงพยาบาล เมื่อ ดร.ฮิโรมิ ชินย่า ได้ใช้กล้องส่องลำไส้ถึงกว่า 30,000 คนไข้ ตลอดระยะเวลา 44 ปีที่ผ่านมา เขาพบเรื่องที่น่าสนใจมาก สรุปว่า เรากินอะไรเราก็ได้อย่างนั้นไป ลักษณะภายในลำไส้ มีส่วนสัมพันธ์กับโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับเรา"

ทั้งนี้นายสนธิได้แสดงภาพลำไส้ประกอบคำอธิบาย มีเนื้อหาโดยสรุปว่า การรับประทานเนื้อสัตว์เป็นการรับประทานอาหารที่เป็นกรด ซึ่งเนื้อสัตว์จะเน่าเหม็นเร็วกว่าการรับประทานพืช ทำให้ลำไส้มีสภาพเป็นกรด ส่วนการทานพืชผักผลไม้จะทำให้ได้รับประทานอาหารที่เป็นด่าง โดยนายสนธิยังกล่าวว่าเครื่องกรองน้ำด่างดังกล่าว "มีไส้กรองถึง 2 ชั้น และสามารถแยกน้ำออกมาให้เป็นกรด และด่างออกมาได้ โดยเหนี่ยวนำจากแผ่นไทเทเนียม ซึ่งเคลือบแพลตตินัมตั้ง 8 ชั้น สามารถทำให้น้ำออกมามีค่าตัวโออาร์พี หรือ ค่าความเป็นด่าง ศักย์ไฟฟ้าเป็นลบ ทำให้สามารถจะต้านอนุมูลอิสระ ราคาแบบนี้เครื่องที่ขายอยู่ของเกาหลีประมาณ 6-7 หมื่นบาท ของเรา 35,000 บาท"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวกัมพูชาฉลอง 59 ปีได้รับเอกราช

Posted: 09 Nov 2012 12:25 PM PST

"เฮง สัมริน" เป็นประธานงานพิธีฉลองการได้รับเอกราชครบ 59 ปีของกัมพูชาซึ่งอยู่ในบรรยากาศแห่งความโศกเศร้าเนื่องมาจากผู้เรียกร้องเอกราชอย่างสันติให้กับกัมพูชาคือสมเด็จพระนโรดม สีหนุเพิ่งสวรรคตเมื่อเดือนก่อน

สถานีวิทยุ VOA ภาคภาษากัมพูชา ของสหรัฐอเมริกา รายงานว่า ประชาชนหลายร้อยคนรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์เอกราชในกรุงพนมเปญ เมื่อวันศุกร์นี้ (9 พ.ย.) เพื่อเฉลิมฉลอง 59 ปี การได้รับเอกราชของกัมพูชาจากฝรั่งเศส

ทั้งนี้สมเด็จพระนโรดม สีหมุนี ไม่ได้เข้าร่วมในงานพิธี ขณะที่พระองค์ยังคงอยู่ในระหว่างการไว้ทุกข์ให้กับสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์ซึ่งสวรรคตขณะประทับที่ปักกิ่งเมื่อ 15 ต.ค. โดยปัจจุบันมีการตั้งพระบรมศพสมเด็จสีหนุอยู่ที่พระราชวังเขมรินทร์ โดยสมเด็จพระนโรดม สีหนุมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางในการนำพาเอกราชมาสู่กัมพูชาโดยปราศจากความรุนแรง

โดยการสวรรคตของอดีตกษัตริย์ ซึ่งได้การนับถืออย่างกว้างขวางในประเทศ ทำให้บรรยากาศฉลองวันได้รับเอกราชของกัมพูชาเป็นไปอย่างโศกเศร้า

สำหรับงานพิธีได้จัดขึ้นที่อนุสาวรีย์เอกราชในกรุงพนมเปญ โดยงานดังกล่าวมีการจุด "เปลวไฟแห่งชัยชนะ" ที่ฐานของอนุสาวรีย์ด้วย โดยจะมีการก่อเปลวไฟไว้ 3 วัน สำหรับประธานในงานพิธีคือนายเฮง สัมริน ประธานสมัชชาแห่งชาติ ส่วนนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ไม่ได้เข้าร่วมพิธีดังกล่าว

มัน ดอลลา นักศึกษาด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์วัย 22 ปีกล่าวว่า งานพิธีดังกล่าวเป็นวันแห่งความโศกเศร้าของเขา เพราะว่าสมเด็จสีหนุเพิ่งสวรรคต

"ฉันบอกลูกๆ ให้จดจำพระราชบิดาและจดจำสิ่งที่พระองค์ได้ทำให้กับประเทศชาติ" เขต พะนา ข้าราชการกัมพูชา จากกระทรวงการพัฒนาชนบท วัย 54 ปีกล่าว โดยเขาได้เข้าร่วมพิธีในวันนี้ด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

2ครูยะรังฮึดสู้ ชนรถคนร้ายตกข้างทาง

Posted: 09 Nov 2012 05:59 AM PST

คนร้ายประกบยิง เร่งเครื่องรถยนต์เบียดรถจักรยานยนต์คนร้ายตกข้างทาง บาดเจ็บทั้งคู่ คนร้ายหนีไปได้

เมื่อเวลา 08.50 น. วันที่ 9 พ.ย. 2555 ได้รับแจ้งเหตุจากข่ายวิทยุตำรวจ สถานีตำรวจภูธรยะรังว่าเกิดเหตุคนร้าย 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ ทะเบียน กบ. 77 ปน (ทะเบียนปลอม) เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพก ประกบยิงครูโรงเรียนตลาดนัดบ้านต้นมะขาม ม.4 ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ทำให้ ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย

เหตุเกิดขณะครูโรงเรียนตลาดนัดบ้านต้นมะขามเดินทางด้วยรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส สีดำ มาตามถนนสาย 410 เพื่อไปโรงเรียนตลาดนัดบ้านต้นมะขาม เมื่อเลี้ยวรถเข้าไปบ้านต้นมะขาม หมู่ที่ 4 ต.เมาะมาวีฯ สังเกตเห็นคนร้าย 2 คน สวมหมวกกันน๊อคแบบเต็มใบ 2 คน จอดรถจักรยานยนต์อยู่บริเวณแยกทางเข้า จึงได้ระวังตัว

เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุคนร้ายได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบและใช้อาวุธปืนยิงใส่ ครูได้ก้มหลบกระสุน และเหยียบคันเร่งเบียดรถจักรยานยนต์ของคนร้ายทำให้รถของคนร้ายเสียหลักลงข้างทาง คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่อีกจำนวนหลายนัด กระสุนถูกกระจกหน้ารถแตกเสียหาย จากนั้นคนร้ายได้ทิ้งรถจักรยานยนต์ไว้ในที่เกิดเหตุ แล้ววิ่งหลบหนีเข้าป่าข้างทาง ส่วนครูที่ได้รับบาดเจ็บได้ขับรถเข้าไปในโรงเรียนขอความช่วยเหลือจากเพื่อนครูได้นำส่ง รพ.ศูนย์ยะลา

พ.ท.นิสิต สมานมิตร ผบ.ฉก.ปัตตานี 21 กล่าวว่าในช่วงเวลาดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่ได้ปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ใกล้เคียงคือ ม.ที่ 3 ต.เมาะมาวี และสามารถยึดอาวุธปืนทั้งปืนพกและปืนยาวได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวคาดว่าค้นร้ายต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้เจ้าหน้าที่ได้สนธิกาลังเข้าทำการปิดล้อมติดตามจับกุมคนร้ายต่อไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปกิณกะเลือกตั้ง อเมริกา 2012

Posted: 09 Nov 2012 05:42 AM PST

พิภพ อุดมอิทธิพงศ์ จับประเด็นข่าวเลือกตั้งอเมริกา ชี้พัฒนาการด้านเพศสภาวะที่มีความหลากหลายและมีความสมดุลย์มากขึ้น

เลือกตั้ง 2012 ยังทำให้สหรัฐฯ มีจำนวน สส.+สว.หญิงมากสุดเท่าที่เคยมีมาด้วย เพราะมีการเลือก สส.หญิงอย่างน้อย 4 คนเข้าสภาฯ ขอแสดงความยินดีครับ แต่ถ้าเทียบสัดส่วนกับ สส.ชาย ก็เรียกว่าไม่ถือว่าดีกว่าบ้านเราเท่าไร สัดส่วนสส.กับสว.หญิงของสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 17% กับ 20% ตามลำดับ (สส.หญิงของไทยประมาณ 15.6%) 

ส่วนรัฐนิวแฮมเชอร์ (New Hampshire) จะเป็นรัฐแรกที่มีผู้หญิงดำรงตำแหน่งระดับสูงสุดและมาจากการเลือกตั้งครบทุกตำแหน่งเลย ไล่ตั้งแต่ผู้ว่าการรัฐ (Governor) คนปัจจุบัน สว. 2 คน และ สส.อีก 2 คน

น่าสนใจว่าสัดส่วน สส.+ สว.หญิงที่เป็นของพรรคเดโมแครตยังมากกว่า สส.+สว.หญิงของรีพับลิกันประมาณ 2 เท่า พูดง่ายนักการเมืองหญิงที่มาจากการเลือกตั้ง (ไม่ใช่รัฐประหารแล้วแต่งตั้งเหมือนประเทศสารขัณฑ์) ส่วนใหญ่มาจากพรรคของ โอบามาทั้งนั้น

ที่มา: http://parenting.blogs.nytimes.com/2012/11/08/new-hampshires-all-mother-congressional-delegation-and-governor/

 

Tammy Baldwin 50 ปีของ พรรคเดโมแครต สร้างสถิติหลายอย่าง เคยเป็น สส.เกย์คนแรกที่ประกาศตัวอย่างเปิดเผยของสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งล่าสุด คุณแทมมียังได้เป็น สว.เกย์คนแรกที่ประกาศตัวอย่างเปิดเผย และเป็น สว.หญิงคนแรกของรัฐวิสคอนซินด้วย ในบรรดา สว.ชุดปัจจุบัน (100 คน) คาดว่าน่าจะเป็นเกย์ 3-4 คน ซึ่งเป็นของพรรคเดโมแครตทั้งสิ้น รีพับลิกันไม่เคยมีผู้สมัคร สส.หรือ สว.ที่ประกาศตัวว่าเป็นเกย์อย่างเปิดเผยและได้รับเลือกตั้งเลย

ที่มา: http://edition.cnn.com/2012/11/07/politics/wisconsin-tammy-baldwin-senate/index.html

 
โอบามายังคง "ดวงนารีอุปถัมภ์" เหมือนเมื่อ 4 ปีก่อน คะแนนเสียงที่อิสตรีเทให้เขามากถึง 55% (รอมนีย์ 43%) ยิ่งถ้าเป็นสาวโสด คะแนนของโอบามา (ได้เกือบ 70%) ทิ้งห่างรอมนีย์ถึง 30% ทีเดียว อันหลังน่าจะสะท้อนว่าโลกยุคใหม่เขาไม่เอาแล้วนโยบายที่ "อนุรักษ์นิยม" ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านการทำแท้ง ต่อต้านการแต่งงานของเพศเดียวกัน การดูถูกสตรีเพศ การตัดงบประมาณด้านคุมกำเนิดและอนามัยเจริญพันธุ์ ฯลฯ

ก่อนหน้านี้ผู้สมัคร สว.ของรีพับลิกันคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ว่า ถ้าเป็นการข่มขืนกระทำชำเราอย่างแท้จริง ไม่หลอกกัน ผู้หญิงจะไม่ตั้งครรภ์เด็ดขาด เพราะร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันอสุจิขึ้นมาเอง ไม่ต้องไปทำแท้งหรอก

ที่มา:  http://www.guardian.co.uk/world/2012/nov/07/womens-vote-obama-victory-election


ส่วนคนนี้สร้างสถิติ  2 อย่างเช่นกัน Mark Takano (51 ปี) เป็นทั้งสส.ผิวสี (เชื้อชาติญี่ปุ่น) และเป็นสส.ที่ประกาศว่าตัวเองเป็นเกย์อย่างเปิดเผยด้วย เดโมแครตเช่นกัน เขามีพื้นเพเป็นครูสอนหนังสือ ทำงานด้านการศึกษาและเด็กที่แคลิฟอร์เนียครับ

ที่มา:  http://www.lgbtqnation.com/2012/11/openly-gay-asian-american-leading-in-california-u-s-house-race/


ในวันเลือกตั้ง นอกจากคนอเมริกันจะได้เลือก สส.และประธานาธิบดีแล้ว ในรัฐบางแห่งยังให้เลือกว่าเอาหรือไม่เอา "พนักงานจับสุนัข" (หรือที่เรียกว่าเพราะพริ้งว่า "animal control officer") ด้วย นอกจากนั้นในบัตรเลือกตั้ง ยังมีการให้ลงคะแนนเสียงเกี่ยวกับมาตรการด้านกฎหมายของรัฐ อย่างเช่น เห็นชอบกับการผลิตและซื้อขายกัญชาอย่างถูกกฎหมายหรือไม่ (เที่ยวนี้ คนในรัฐโคโรลาโดเห็นชอบให้ปลูกและมีกัญชาในครอบครองได้ รวมทั้งวอชิงตัน) เห็นชอบกับการแต่งงานของเพศเดียวกันหรือไม่ ฯลฯ

ไปหย่อนบัตรครั้งเดียว ได้ตั้งหลายอย่าง คุ้มทีเดียว!

ที่มา:  http://www.guardian.co.uk/world/2012/nov/06/us-state-ballot-initiatives-marriage-marijuana


เราจะเห็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ ในอีก 4 ปี ข้างหน้าไหม?  ความสำเร็จด้านนโยบายต่างประเทศที่น่าภาคภูมิใจทำให้ Hillary Clinton มีคะแนนนิยมสูงสุดในรอบ 20 ปีของชีวิตการเมือง แต่ตอนนี้ เธอขอเวลาพักผ่อน เขียนหนังสือ ทำกิจกรรมนอกการเมืองก่อน

ฝรั่งเขามักเรียกว่าช่วง "retreat" ซึ่งความจริงแปลว่า "ถอย" (to draw back) แต่เป็นช่วงสำคัญสุด นอกจากช่วงการต่อสู้ 

วงจรชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างนี้ เหมือนวงจรผลิตภัณฑ์ ที่ต้องหาทางลง เพื่อสร้างเส้นกราฟใหม่  ไม่ใช่พูดหรือทำงานเดิมซ้ำ ๆ รอให้เส้นกราฟมันตกแล้วค่อยหาทาง rebranding ซึ่งไม่ช่วยอะไร ผมสงสารบรรดาเซเล็บ นักการเมือง นักวิชาการของไทยที่มักให้สัมภาษณ์ด้วยข้อมูลเดิม ๆ แต่ไม่เคยคิดจะ "หาทางลง" ไม่หาอะไรใหม่ ๆ มาเติมสติปัญญาตัวเองและสังคม

ที่มา: http://www.guardian.co.uk/world/2012/nov/07/hillary-clinton-2016-election

 

จอร์จ ดับเบิลยู บุช อดีตประธานาธิบดีพรรครีพับลิกัน กดปุ่มลงคะแนนเสียงผิด กลายเป็นเทคะแนนให้กับโอบามา เถียงกับเจ้าหน้าที่ที่หน่วยเลือกตั้งอยู่ตั้งนาน แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้กดปุ่มลงคะแนนใหม่เพราะกฎหมายห้ามไว้ สื่อถามเขาภายหลังว่าคิดยังไงที่ลงคะแนนเสียงผิด เขาไม่โทษตัวเอง แต่บอกว่าปัญหาอยู่ที่คนออกแบบเครื่องลงคะแนนเสียง Déja Vu มั้ยท่าน 55++

ที่มา: http://dailycurrant.com/2012/11/06/george-bush-accidently-votes-obama/

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โจ กอร์ดอน (ฉบับทิ้งทวน): คนนอก กลาง ‘ความเป็นไทย’

Posted: 09 Nov 2012 01:54 AM PST

 

เขาเป็นผู้ต้องโทษในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เชื้อสายไทย-อเมริกัน เกิดในเมืองไทย แต่ไปใช้ชีวิตส่วนใหญ่ราว 30 ปีที่สหรัฐอเมริกา

หลังถูกคุมขังนานเกือบปี เขาตัดสินใจรับสารภาพในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น 'นายสิน แซ่จิ้ว' ผู้แปลบางบทของหนังสือ The King Never Smiles ลงในบล็อกส่วนตัว

บล็อกดังกล่าว เขียนหัวบล็อกไว้ว่า "(For Educational Purposes Only/No Plagiarism Please!)
บทแปลจากหนังสือเพื่อการศึกษา ไม่มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นฯผู้ใด"

หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล ในปี 2549 เขียนโดย Paul M. Handley  เป็นหนังสือต้องห้ามในประเทศไทยตามคำให้สัมภาษณ์ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น

ศาลพิพากษาลงโทษเขาเพียง 2 ปีครึ่ง เนื่องจากรับสารภาพ  หลังจากนั้นจึงขอพระราชทานอภัยโทษ และได้ออกจากเรือนจำในวันที่ 10 ก.ค.55 เขาเก็บตัวเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนเดินทางออกจากประเทศไทยไม่เมื่อไม่กี่วันก่อน

                             

1

วิเคราะห์ 'คนใน' จากสายตา 'คนนอก'

 

 

หลังจากออกจากเรือนจำมา มองสถานการณ์ประเทศไทยอย่างไร

คิดว่าประเทศไทยมีความขัดแย้งสูง ไม่มีใครยอมใคร ลักษณะประเทศไทยค่อนข้างอนุรักษ์นิยม conservative สูง ซึ่งมันต้านกับกระแส globalization เอามากๆ ด้านหนึ่งยอมรับความเป็นสากล อีกด้านหนึ่งจะถ่วงเอาไว้ ก็เลยเกิดความขัดแย้งขึ้นมา

ปัญหาของประเทศมันอยู่ที่คนในกลุ่มผู้นำประเทศไม่มีสำนึกทางด้านการทำงานเพื่อส่วนรวม กลายเป็นกลุ่มหลายกลุ่ม กลุ่มธุรกิจ กลุ่มทหาร กลุ่มนักการเมือง กลุ่มราชการ ทุกคนมีอิทธิพลกันหมด กลายเป็นอำนาจที่ abusive เกินไป จะบอกว่ามีการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมในสังคมก็ได้ การใช้อำนาจในทางที่ผิด แต่กลุ่มคล้ายเป็นมาเฟีย นี่เป็น characteristic ของประเทศด้อยพัฒนา หลีกเลี่ยงไม่ได้ สังคมก็เลยเลอะเทอะ ไม่มีความเป็นระเบียบ


นับตัวเองเป็นคนในหรือคนนอก

เป็นคนนอก เราเพียงแต่เกิดที่นี่ แต่ไม่ได้มาตรฐานชีวิตในลักษณะที่เขาเป็นอยู่กัน เรามองประเทศไทยว่ามาตรฐานยังไม่ได้ในระดับสากล สิ่งที่มันเป็นสากลไม่ใช่ของคนไทยทั้งนั้น ห้างสรรพสินค้า บรรษัทใหญ่ทั้งหลายมีระบบการบริหารที่เป็นสากลทั้งนั้น แต่สิ่งที่ 'เป็นไทย' ดูเหมือนไม่ได้พัฒนาอะไร ลองดูหน่วยงานของไทย ระบบของไทยที่ทำกันมันไม่มีระบบ

 

ถ้าจะให้นิยาม "ความเป็นไทย" ในความรู้สึกหรือเท่าที่เห็น คืออะไร

เขายอมรับความจริงกันไม่ได้ เป็นสังคมที่เสแสร้ง เพราะถ้ายอมรับความจริงแล้วมัน hurt feeling ที่สำคัญที่สุดคือวัฒนธรรมที่ว่าเสียหน้าไม่ได้ เพราะความหน้าบาง ฝรั่งบอกว่าคุณต้องมีหนังหนาถึงจะทำงานใหญ่สำเร็จ you have to have a thick skin ของไทยพูดวิพากษ์วิจารณ์กันหน่อยก็ทนไม่ได้แล้ว เพราะความบางของหนังรับแรงต้านทานไม่ได้ พอรับไม่ได้ก็เดือดร้อน ต้องการเอาคืน

 

นี่คือสิ่งที่สัมผัสได้หลังเผชิญชะตากรรมในเรือนจำ หรือเป็นสังคมไทยที่เคยรู้จักอยู่แล้ว

เคยรู้จักแบบนี้อยู่แล้ว และคิดว่าผ่านไป 30 กว่าปีที่จากไป มันพัฒนา เราเห็นวัตถุ การพัฒนาประเทศ เรานึกว่าเป็นตะวันตกมากขึ้น แต่มันตรงกันข้าม สมัยตอนเด็กๆ อายุ 16 ปี ความรู้สึกที่สังคมไทยเคยผ่าน 14 ตุลา 6 ตุลา อะไรมา กับตอนนี้มันไม่ต่างกันเลย ไม่ได้พัฒนาไปไกลเลย ในเรื่องความคิดของคน 

 

ไม่มีความเปลี่ยนแปลงที่เป็นสัญญาณที่ดีขึ้นเลยหรือ

ไม่มี เห็นความเปลี่ยนแปลงแต่ในทางวัตถุ แต่ความคิดคนยังเหมือนเดิม ที่สำคัญคือวัฒนธรรม รากของวัฒนธรรมประเพณีมันยังเหมือนเดิม และดูเหมือนจะหนักกว่าเดิม สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็คือความใจแคบ ความเป็นอนุรักษ์นิยม

 

ในประเทศอื่นๆ ก็มีแนวคิดหรือกลุ่มอนุรักษ์นิยม ชาตินิยม เหมือนกัน

ในอเมริกาก็มี แต่เขาไม่สนับสนุน David Duke หัวหน้า KKK (Ku Klux Klan) ในปี 1986 เคยคิดจะลงสมัครชิงประธานาธิบดีด้วยนะ conservative มาก แต่ก็ไปไม่รอด ไม่มีใครสนับสนุน เขาถือหลักการว่าต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง do the right things คำพูดง่ายๆ และเป็นสามัญสำนึก

 

ถ้าพูดคำนี้ในบริบทไทยน่าจะมีปัญหา เพราะทุกคนต่างก็อ้างความถูกต้อง

ความถูกต้องของเขา สามัญสำนึกมันมีไหมกับส่วนรวม มันเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวมากกว่า การที่ไม่ยอมก้าวไปข้างหน้า ความถูกต้องของเขาคือต้องย้อนยุคไปอยู่ศตวรรษที่ 18 ถ้าก้าวไปข้างหน้ากลัวจะตกเหว ยึดอยู่กับสิ่งเก่าๆ เดินวนเป็นวงกลม เหมือนที่ต่อสู้มา 14 ตุลา สุดท้ายก็เดินหลงทาง เดินวนเหมือนเดิม เข้าป่งเข้าป่ากันสมัยโน้น ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมอะไรต่างๆ เดี๋ยวนี้กลายเป็นพวกนิยมศักดินาไป แล้วก็คุยกับเราไม่ได้

 

ที่บอกว่า 30 ปีผ่านไป ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรในทางดีขึ้น ไม่รู้สึกว่าประชาชนทั่วไป หรือคนชั้นล่างตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้นหรือ

ก็ตื่นตัวขึ้น แต่ก็ยังถูกกดไว้เหมือนเดิม รู้ข่าวสาร ตื่นตัว แต่ไม่กล้าแสดงออก การแสดงออกแบบ ณัฐวุฒิ (ใสยเกื้อ) หรือจตุพร (พรหมพันธุ์) เรียกมาชุมนุม มันเป็นลักษณะแบบพวกมากลากไป เพราะผู้นำเองก็ไม่มียุทธวิธีที่ชัดเจน และไม่คิดว่ามีผลได้ผลเสีย เสียถึงชีวิต การจะเป็นผู้นำมวลชนได้ต้องมีสามัญสำนึกว่าจะไม่พาคนไปสูญเสียฟรีๆ ง่ายๆ และจุดประสงค์ที่เอาคนมาจะบรรลุเป้าหมายได้กี่เปอร์เซ็นต์ ดูแล้วอันนี้ไม่ได้อะไรเลย แล้วมีใครออกมารับผิดไหม มีใครขอโทษประชาชนไหม ไม่มี สรุปแล้วประชาชนตื่นตัวแต่เขาก็ยังไม่กล้าพูดอะไร

 

สังคมไทยควรจัดการกับกฎหมายอาญามาตรา 112 ยังไง

ผมเห็นด้วยกับนิติราษฎร์นะ เห็นด้วยกับข้อเสนอของเขา แต่อยากให้มากกว่านั้นคือยกเลิกไปเลย แต่ถ้าจะมีในปัจจุบัน ไม่ใช่ใครก็ฟ้องได้ ต้องให้สำนักพระราชวังเป็นคนรับผิดชอบ ไม่ใช่ไม่ชอบใครก็ฟ้องได้มั่วไปหมด ทำให้มันแฟร์หน่อย ไม่ควรกล่าวหากันง่ายๆ แล้วก็อยากให้ปล่อยนักโทษทางความคิดด้วย

 

คิดว่าประเทศไทยจะไปสู่ภาวะ "พัฒนาแล้ว" อย่างที่คุณจำกัดความได้ไหม และต้องอาศัยเงื่อนไขอะไร

เราไม่ใช่นักวิชาการ ไม่ใช่นักการเมืองนะ พูดในสายตาของชาวบ้านที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ผมว่าโครงสร้างของประเทศไทยต้องเปลี่ยน การที่จะเปลี่ยนได้ก็ต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากที่ดึงประเทศไว้ แล้วคนชั้นนำก็ใช้เป็นยุทธวิธีในการปกครองคนด้วย

 

คาดการณ์เรื่องเสรีภาพในประเทศไทยในอนาคตอย่างไร

ยังยาก เพราะคนไทยยังไม่เข้าใจความหมายของเสรีภาพในการแสดงออกอย่างแท้จริง ไม่ได้ปลูกฝังมา ในอเมริกาพูดกันว่าความหลากหลายเป็นสิ่งที่ดี แต่คนไทยไม่คิดอย่างนั้น คนมักจะตามกันไปมากกว่าจะเป็นตัวของตัวเองหรือกล้าแตกต่าง กล้าแหกคอก เสรีภาพในการแสดงออกก็ยังมีขีดจำกัด และยอมรับความแตกต่างไม่ได้ ถ้าผมพูดไม่ถูกหูคุณขึ้นมา มันก็ไม่ใช่เพียงว่าเป็นความคิดเห็นของผม คุณคิดไม่เหมือนฉัน ฉันเริ่มมีอคติแล้ว และบางทีอาจเลยไปถึงการหาทางกลั่นแกล้งกัน ผ่านพระพุทธรูปไม่ยกมือไหว้ อ้าว มึงดูถูกกู คิดไปเอง เป็นอคติไป คนไทยยังไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ความอดกลั้นก็ไม่มีเลย หนังไม่หนาพอ

ทิศทางจะดีขึ้นไหม มันก็อยู่กับว่าจะยอมรับ globalization หรือวัฒนธรรมใหม่ไหม มาตรฐานเรื่องต่างๆ ที่เป็นสากล รากฐานวัฒนธรรมประเพณีแบบอนุรักษ์นิยมเป็นตัวฉุดรั้ง ไม่กล้าเปลี่ยน เพราะกลัวสูญเสียบุคลิกภาพ เขาเรียกว่าอะไรนะ insecure ไม่มั่นใจในตัวเอง

2

คดีความ – การจองจำ

 

 

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่ได้สนใจการเมืองไทย แล้วทำไมมีชีวิตถึงได้เกี่ยวกับเรื่องทางการเมือง

ก็เขาดึงเราเข้ามา  เรามาเที่ยวเมืองไทยในฐานะนักท่องเที่ยว พาสปอร์ตก็ใช้ของอเมริกันตอนเข้าประเทศไทย ไม่ได้ใช้สิทธิของคนไทยในการเข้าประเทศ แล้วก็ต่อวีซ่า รายงานตัวที่ ตม.ทุกครั้ง ตอนเขาไปจับเรา เราก็บอกว่าผมใช้พาสปอร์ตอเมริกัน เป็นอเมริกัน เขาก็ไม่ยอมฟัง เขาถือว่าเราเกิดในประเทศไทย ช่วยไม่ได้ ผมเลือกที่เกิดไม่ได้ แล้วเราก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จนเราโดน เหมือนเข้าโรงเรียนพิเศษเรียนลัดทางด้านการเมือง ถึงเห็นว่าอะไรเป็นอะไรขึ้นมา

 

ก่อนมาเมืองไทยรู้ไหมว่ามีกฎหมายนี้

ไม่รู้ นึกว่าพัฒนาแล้ว มองเมืองไทยภาพดี เพราะเชื่อ Amazing Thailand (หัวเราะ) ภาพดีมาก เหมือนแคริบเบียนเลย ยังคิดว่าจะไปอยู่ไหนดี เม็กซิโกไม่อยากไปเพราะมันเถื่อน มานิวซีแลนด์ดีไหม มาเที่ยวเมืองไทยสักพักดีกว่าแต่ไม่ได้คิดจะกลับมาอยู่ กลับมาก็พยายามปรับตัว สามอาทิตย์แรกไม่ได้ออกไปเจอใคร เพราะลิ้นมันยังไม่ได้ เราไม่อยากคุยกับคนแล้วให้เขาคิดว่าดัดจริตพูดไม่ชัด จนกระทั่งภาษาเราเริ่มเข้าที่เลยออกมาเจอผู้คน เราก็เหมือนฝรั่งที่รีไทร์แล้วอยากมาใช้ชีวิตง่ายๆ ซักพัก แต่มันผิดคาด

 

แสดงว่าตอนที่อยู่อเมริกาไม่ได้ตามข่าวสารเมืองไทย

เราไม่ได้คบกับคนไทยหรือเกี่ยวพันกับสังคมไทยเลย

 

เคยอ่าน The King Never Smiles ไหม

เคย

 

หนังสือเล่มนี้ที่ดังไหมในอเมริกา

ไม่ดังนะ คงดังในวงการวิชาการ ในทางชาวบ้านไม่มีใครสนใจ แต่ก็หาซื้อได้ทั่วไป

 

TKNS ในสายตาคนนอกนั้น คิดว่าควรเป็นหนังสือที่ผิดกฎหมายไหม

มันก็หนังสือวิชาการทั่วไปนะ แต่เขาไม่ได้ใช้ภาษายกย่อง ซึ่งมันเป็นธรรมดาของคนอเมริกันที่จะเรียกชื่อกันเฉยๆ

 

เรื่องราวมันมาถึงตัวได้ยังไง

บอกตรงๆ ว่าไม่รู้ แต่มันก็มีหลายทาง จากคนใกล้ตัวทั้งนั้น เป็นไปได้หลายประเด็น กับพี่น้องตอนเรากลับมาจากอเมริกาเขาก็กลัวเรามาแย่งสมบัติ มันมีหลายประเด็น แต่เราไม่อยากพูดถึง แล้วหลักฐานที่เขาฟ้องเราก็ไม่มีในเว็บไซต์แล้ว แต่ไปปรินท์มา ไอ้บทความจากเว็บที่เขียนสโลแกน กูไม่ใช่ฝุ่นใต้.... ข้างบนเขาเขียนว่า website can not be found มันไม่ได้อยู่ในระบบแล้ว อันนี้คือที่เห็นในสำนวน แต่บทแปล TKNS ยังอยู่ ตำรวจพิมพ์ออกมา

 

อะไรทำให้ตัดสินใจทำให้รับสารภาพ

คุยกับอาจารย์สุรชัย (ด่านวัฒนานุสรณ์) หาข้อมูลคดีนี้ แล้วก็ดูจากคดีอากง คุยกับหนุ่ม (ธันย์ฐวุฒิ) คุยกับนักโทษ 112 ทุกคน และดูจากการที่ศาลไม่ให้เราประกันตัว แล้วเราจะต่อสู้คดีได้ยังไง ไม่มีทางเลย แล้วทนายเราเองก็ยังไม่ได้มีโอกาสปรึกษากันยาวๆ แม้เราอยากจะสู้ อยากพิสูจน์ แต่ถ้าเราสู้ ก็คงติดยาวไปอีก แต่ถ้าให้จบเร็วที่สุด ก็ยอมรับซะ แล้วให้สถานทูตผลักดันให้เราออกไป เพราะถ้าคดีไม่จบสถานทูตก็ไม่สามารถมาก้าวก่ายกับกระบวนการยุติธรรมของไทยได้ เขาว่าอย่างนั้น

 

ทำใจยากไหมในช่วงจะต้องรับสารภาพ

ก็ยากเหมือนกัน เราอยากสู้ แต่ดูกระบวนการแล้ว ผมไม่เชื่อถือหลังจากเห็นสภาพคนอื่นๆ แล้ว การถูกกล่าวหาโดยใครก็ได้ แล้วจับคนมาใส่ห้องขัง ล่ามโซ่ แล้วไม่ยอมให้ประกันตัว มันเป็นการมัดมือชก แล้วใครเขาจะไปสู้คดีได้ ก็ต้องหาทางออกที่เร็วที่สุด มันก็เจ็บปวดพอสมควร แต่มันไม่มีทางเลือก เขาบังคับให้เรายอม และเราอยู่ข้างในเราไม่รู้ข่าวสารข้างนอกเลย จนกระทั่งเราออกมาถึงรู้ว่ามันเป็นข่าวใหญ่มากทั่วโลก

คิดว่าหลังอากงเสียชีวิตส่งผลสำคัญ ที่ทำเรื่องขออภัยโทษไปตอนแรกเขาให้แค่สองคน สุชาติ (นาคบางไทร) เสถียร (ผู้ต้องขัง 112 อีกคน) ขออภัยโทษมาก่อนก็ไม่ได้ ที่เราได้ก็เพราะแรงผลักดันจากสถานทูตและต่างชาติด้วย สถานทูตอาจไม่สนใจด้วยซ้ำถ้าไม่มีแรงกดดันของสากลด้วย สุดท้ายหลังจากตัดสิน มันเริ่มดีขึ้นเพราะ Elizabeth Pratt เข้ามา เจ้าหน้าที่สถานทูตก็เริ่มกระเตื้องขึ้น ก่อนหน้าเฉื่อยๆ เหมือราชการไทยแหละ 

 

คิดว่าสถานทูตกดดันรัฐบาลไทยขนาดไหน

คงตอบแทนสถานทูตไม่ได้ แต่คิดว่าอเมริกาพยายามกดดันประเทศไทยเหมือนกัน เช่น กรณี black list นลินี ทวีสิน ประเด็นดิสเครดิตไทยกับเรื่องกฎหมายฟอกเงิน ตามมาด้วยเรื่องออกแจ้งเตือนชาวอเมริกันให้ระวังการก่อการร้ายในประเทศไทยใน ช่วงนั้นทำให้อีกหลายชาติต่างพากันออกแถลงการณ์ร่วมด้วย ก่อนหน้าที่มีการปล่อยตัว ทางรัฐมนตรีต่างประเทศไทยเข้าพบฮิลราลี่ คลินตัน และพูดเรื่องประเด็นเราด้วย ข่าววงในของสถานทูตว่ามา

สำหรับตัวเราเองก่อนมีการปล่อยตัว ก็บอกเจ้าหน้าที่สถานทูตว่า ถ้าเขาไม่สามารถทำเรื่องเราให้สำเร็จได้ก็ไม่ต้องมาเยี่ยมอีก แต่ขอให้สถานทูตสวีเดนมาแทน เพราะเราต้องการลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่สวีเดน และต่อมาผมก็ได้รับข่าวการปล่อยตัว

 

 

ขอถามถึงรายละเอียดในทางคดี เห็นสำนวนทั้งหมดเมื่อไร และมีหลักฐานทางคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงมาถึงคุณได้ไหม

ก็เห็นในวันที่อัยการฟ้องคดี วันที่ฟ้องนั้นเป็นนาทีสุดท้าย ผมไปถึงศาล เขายังบอกให้รอคำฟ้องที่เพิ่งพิมพ์เลย แล้วก็ทำให้หนาน่ากลัวเพราะไปเอาก็อปปี้บทแปลของ TKNS เข้ามาใส่ ส่วนหลักฐานคอมพิวเตอร์ก็ไม่มีเลย มีแต่การกล่าวหา รายละเอียดต้องถามทนายอีกทีนะ ผมก็โมโหมากว่ามาหาว่าผมเป็นคนทำบล็อกได้ยังไง คอมพิวเตอร์ที่ยึดไปก็เพิ่งซื้อมาก่อนเข้าประเทศไทยได้ 3 เดือน 300 GB ใช้ไปประมาณ 50 GB โหลด OS ที่เหลือเป็นรูปที่ถ่ายในเมืองไทย กล้องที่ยึดไปก็ไม่มีอะไรเลย จบคดีคอมไม่ได้คืน ส่วนกล้องได้คืนก็ต้องโยนทิ้ง เพราะเขาเอาแบตเตอรี่ไป SD card ก็เอาไป และเลนส์ก็เสีย ขอก็อปปี้ hard drive ก็ไม่ยอม อ้างว่าศาลสั่งยึด ในนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวกับคดีเลย ในอเมริกาผมก็ไม่ได้ลงทะเบียนใช้อินเทอร์เน็ตอะไรเลย เราใช้แค่นิดหน่อยตามห้องสมุด

 

ตอนอยู่อเมริกาทำอาชีพอะไร

เป็นเซลส์ขายรถ แต่พื้นฐานผมเรียนทางด้านคอมพิวเตอร์ เคยทำงานให้ไอบีเอ็มเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้วก็เลิกไปนาน ไม่อยากยุ่งกับคอมพิวเตอร์

 

ไม่มีหลักฐาน log file หรือจดหมายจาก ISP หรืออะไรทำนองนี้หรือ

ไม่มี ไม่มีเลย

 

กระบวนการสอบสวนเป็นยังไง

ที่ดีเอสไอ กระบวนการสอบสวนทางการก็ไม่มีอะไร แต่ลับหลังตอนเราอยู่ในห้องขังดีเอสไอ คนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่สอบสวนเขาเข้ามา แล้วก็ เขาเรียกอะไร harassment ข่มขู่และสอบถามอะไรเรามาก ซึ่งเราไม่ควรจะตอบเขาเพราะเขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจสอบสวน แต่การที่ดีเอสไอไปที่บ้านกัน 20 คน รถไม่รู้กี่คัน ปิดปากซอย ท้ายซอย ปิดทางเข้าบ้าน มันทุเรศ อย่างกับอาชญากรข้ามชาติ การเข้าไปในบ้านแล้วคิดว่าเรามีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มากมาย ไปค้นก็สายอินเทอร์เน็ตธรรมดา ผมเพิ่งได้อินเทอร์เน็ตมาสองเดือนก่อนเขามาจับ เอาไว้เข้าเว็บข่าวต่างประเทศ ไม่เคยเข้าเว็บไทย

 

มีหมายค้นไหม

เราอ่านตอนนั้นไม่รู้เรื่องแล้ว ฟังอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นไม่ให้เราจับเราทำอะไรเลย เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำใส่ผ้าเช็ดตัว บอกขอไปใส่กางเกงก่อนมันก็ตะคอกไม่ให้เราไปเปลี่ยนกางเกง ไม่ให้จับอะไรทั้งสิ้น แล้วเดินเข้ามาในบ้าน ก็ชี้ไปที่ภาพ Declaration of Independence บอกชอบมากนักเหรอ จะเปลี่ยนแปลงการปกครองใช่มั้ย ทำไมไม่ติดรูปภาษาไทย ผมก็บอกเดินออกไปก็เจอแล้วประเทศไทย จะติดทำไม คิดดูเขาพูดมาได้ยังไง ก็ผมมีแค่นั้น ป้าเขาไปเที่ยวมิวเซียมมาไม่รู้จะเอาไปทำอะไรก็เอามาให้เรา เราก็เอามาติด ไม่ได้คิดอะไร นี่คือความใจแคบของคน ปรักปรำเราทันที

 

ได้สิทธิพบทนายไหม

ไม่ได้พบอะไรเลย แล้วเราก็งงมาก ไม่รู้เรื่อง จริงๆ ยังกลัวนึกว่าจะมาอุ้ม เพราะเขาไม่ได้แต่งเครื่องแบบ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ forensics มาใส่แจ๊คเก็ตว่า DSI มีการเช็คดีเอ็นเออะไรพวกนี้ด้วยนะ ไม่รู้เอาไปทำอะไร แสดงมาดแบบ CSI เขาคิดว่าผมนำเข้าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มาใหญ่โต แต่ค้นดูก็ไม่มีอะไรซักอย่าง แค่คนธรรมดา ทุกอย่างล้มเหลวหมด น่าขายหน้ามาก คิดได้ยังไง จากนั้นก็พากลับไปดีเอสไอ มีขบวนรถตำรวจทางหลวงนำหน้าด้วย ขอเข้าห้องน้ำก็ไม่ให้เข้า

 

กว่าจะได้ติดต่อทนายเมื่อไร

ก็เข้าไปอยู่ข้างในแล้ว เจ้าหน้าที่พยายามให้เซ็นยอมรับ ทนายบอกไม่ต้องไปเซ็น หลักฐานที่เอามาไม่ได้อยู่ในอินเทอร์เน็ต ใครๆ ก็ทำได้ สร้างเว็บปลอมขึ้นมา ไม่ต้องต่ออินเทอร์เน็ต แล้วปรินท์ออกมามันก็ได้แล้ว จะเป็นหลักฐานที่จะมาฟ้องได้ยังไง แล้วจะมาบังคับให้เราเซ็นรับ

 

จากสิ่งที่เผชิญทำให้อะไรเปลี่ยนไปไหม

มันทำให้เรามองเห็นสังคมไทยชัดเจนขึ้น หลังจากที่เราจากไปนานแล้วเราก็ลืมความเจ็บปวดสมัยเด็กๆ สาเหตุที่เราไม่ได้กลับมานานเพราะคิดว่าเมืองไทยก็เหมือนกับอเมริกา อาจจะไม่ได้มาตรฐานเท่ากันแต่ก็คงใกล้เคียง แต่พอมาเจอจริงๆ แล้วก็เห็นอะไรชัดเจนขึ้น มาตรฐานต่างๆ ที่คาดหวังไว้ก็ดูผิดไปหมด ยิ่งไปอยู่ต่างจังหวัด เราไม่กล้าขับรถเลย ไม่มีระเบียบเลย ทิ้งขยะกันทั่ว แต่เราก็พยายามปรับตัว ขณะที่คนไทยก็มีความเชื่อมั่นสูงว่าประเทศฉันดีที่สุดแล้ว

พอเจอคดีแบบนี้ก็เจ็บปวดมาก มันขมขื่น ผมถูกเอาเข้าไปในคุก ผมไม่อยากคุยกับใครเลย สมยศ (พฤกษาเกษมสุข) มาคุยกับผม ผมยังไม่คุยด้วยเลย แอนตี้คนไทยมาก ทำไมทำกันแบบนี้ นี่มันอะไรกัน เอาคนมาขังเพราะความคิดที่แตกต่าง มันมีที่ไหน ส่วนมากผมคุยกับคนต่างชาติ ไม่ใช่เราเห็นว่าเราวิเศษกว่าคนอื่น แต่มันคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ท้ายที่สุดเราก็เริ่มปรับตัว

 

สภาพของเรือนจำเป็นยังไง

สองอาทิตย์แรกเดินไม่ได้ กระเผลกออกมา เพราะเราไม่ดื่มน้ำเลย มีเครื่องกรองแต่ไม่เคยล้างเลย สกปรกมาก ที่ผมป่วยก็เพราะไม่ได้ดื่มน้ำ ไม่ได้เข้าห้องน้ำเป็นอาทิตย์ เพราะส้วมในเรือนจำเป็นกลางแจ้ง เห็นหัวกันตอนนั่ง เราไม่เคย และสกปรกมาก เขาอยู่กันได้ยังไง แล้วก็เอานักโทษไปอยู่รวมกันกับพวกติดเชื้อ เป็นโรค นอนเบียดๆ กัน ไม่มีการแยกคดี รวมกันหมด

 

ใช้เวลาปรับตัวนานไหม

นานเหมือนกัน เป็นเดือน แล้วก็ค่อยๆ ฟื้นสภาพขึ้นมา เราป่วยจนกระทั่งนึกว่าจะตายเอา แต่ก็ฟื้นมาได้ แล้วก็พยายามหาแนวทาง ทำยังไงเราจะรอดออกไปเร็วที่สุด เรื่องความผิดถูกไม่สำคัญแล้วตอนนั้น เรายอม เพราะมันไม่มีศักดิ์ศรีเราจะไปพิสูจน์อะไร ไม่มีศักดิ์ศรีอะไรเหลือแล้ว แล้วก็ไม่มีความเชื่อถือในกระบวนการแล้วด้วย เราไม่แคร์เรื่องศักดิ์ศรี เรายอม

 

ตอนนั้นมีความหวังแค่ไหนว่าจะได้ออก

มีเลือนราง มันทรมานมาก ขนาดคดีจบมาแล้วยังไม่ยอมออกใบเด็ดขาดมาให้ ดึงไปอีก 3 เดือนเพื่อให้เราติดอยู่ในนั้นนานๆ เราอยากถามว่าทำกันไปแบบนั้นมันได้อะไรขึ้นมา ประเทศชาติเสียหายถูกวิจารณ์มากเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก หากจะได้ก็แค่ความสะใจของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง สุดท้าย สถานทูตต้องไปเอาใบเด็ดขาดแล้วรีบทำเรื่องต่อ จนกระทั่งอากงตาย เราถึงคิดว่านโยบายมันเปลี่ยน ที่ผ่านมาอาจไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย จนกระทั่งมีกรณีอากง

 

เชื่อว่ามีการยกฟ้อง เพราะนโยบายเปลี่ยนหรือ

หลังจากอากงตาย แล้วก็มีผมที่เป็นข่าวระดับประเทศ ซึ่งคงโดนกดดันพอสมควร น่าขายหน้า เลยเริ่มมีความเปลี่ยนแปลง และคงเช็คแล้วว่าที่จับมาสูญเปล่า เขาคงคิดว่าเราเป็นหัวโจก แต่ว่างเปล่า ไม่มีผลอะไรเลย กลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่พยายามสร้างผลงานให้ตัวเอง แต่มันไม่คุ้มกับสิ่งที่สูญเสียไป

 

อย่างน้อยตอนอยู่ในคุกก็มีเพื่อนคดีแบบนี้ มันช่วยให้รู้สึกดีขึ้นไหม

ส่วนมากเราอยู่กับนักโทษต่างชาติ เราไม่ได้คุยเรื่องการเมืองกับนักโทษ112 เท่าไร ความเป็นอยู่ก็พอเอาตัวรอดไป ช่วงที่เลวร้ายที่สุดคือช่วงน้ำท่วม ไม่มีอาหารจะกิน มีแต่พวกปลาเค็ม ซึ่งเราก็ไม่ได้กิน พอดีเรามีน้ำ บะหมี่ซื้อตุนไว้ ก็พอประทังไป น้ำท่วมถึงเอว สกปรกมากด้วย ผู้คุมให้ข่าวว่ามีทหารเอาอาหารมาส่งซึ่งไม่จริง

 

มีข้อเสนอแนะต่อการปรับปรุงระบบในเรือนจำไหม

มันต้องแก้ไขทั้งระบบ ระบบราชทัณฑ์กับรถไฟนี่พอๆ กัน ล้าหลังที่สุด ถามว่ามีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถไหม ก็พอมีนะ บางคนก็ไปจบปริญญาโท แต่ไม่สามารถเอานักโทษที่เข้าไปอยู่ให้ออกมาเป็นผู้เป็นคนกลับเข้าสู่ระบบสังคมได้เลย กระบวนการตรงนี้ไม่มีเลย ที่เคยได้ยินกันว่ามีฝึกอาชีพ ให้การศึกษาก็เพียงลูบหน้าปะจมูก

 

เรื่องละเมิดสิทธินักโทษมีไหม

ยังมีให้เห็นนะ แต่เขาก็ดูคนเหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นพวกไม่มีฐานะ ไม่มีความรู้อะไร เวลาตีก็ใช้ไม้มัดยางหรือพลาสติกตีแล้วไม่มีรอยแต่ช้ำใน

 

3

ชีวิต ความทรงจำ และอนาคต

 


ภาพจากเฟซบุ๊คโจ กอร์ดอน

 

ตอนที่ออกจากคุกมาวันแรกเป็นยังไงบ้าง

มันมึน มันงง ไม่แน่ใจว่าเราได้อิสรภาพแล้วเหรอ เรารู้สึกแปลกๆ นั่งรถมาก็ยังมึนงงอยู่ ไม่ใช่วันนั้นวันเดียว มันเป็นหลายอาทิตย์ มีความระแวงสูง จะมีคนมาแกล้งเราอีกไหม จะมีคนมาตามเราไหม เห็นคนถ่ายรูปใกล้ๆ ก็ไม่ได้แล้ว พยายามปรับตัวมาก เพราะเราห่างจากสังคมปกติธรรมดาไปเยอะ เหมือนเอานกไปขังไว้ในกรงนานๆ ปล่อยออกมาก็บินไม่ค่อยแข็ง อาการซึมเศร้าก็มี ผมว่าทุกคนน่ะเป็น มันเหมือนเราไม่ไว้ใจประเทศไทย เรารู้สึกตัวว่าไม่ใช่คนของประเทศนี้ เลยไม่อยากเจอผู้คน

 

คิดว่าจะกลับมาเมืองไทยอีกไหม

ก็อยากจะกลับ เพราะมีหลายอย่างที่ท้าทายเรา แม้เราไม่มีความผูกพันกับประเทศไทย เราเจ็บปวดมาแต่เด็ก

 

แล้วท้าทายยังไง

ที่จริงผมตัดขาดกับประเทศไทยไปแล้ว กลับมาในฐานะนักท่องเที่ยวและกำลังจะไปอยู่แล้วด้วย แต่เมื่อคุณจับผมในฐานะคนไทย ยัดเยียดความเป็นไทยให้กับผม ในเมื่อยัดเยียดให้ผม ผมก็จะเอาสิทธิความเป็นไทยของผมคืนมาให้หมดเหมือนกัน

ผมเคยเป็นทหารให้กับประเทศไทยด้วย ตอนอายุ 19-20 ได้เวลาราชการ 6 ปี ไปอยู่ชายแดน ผมเป็นทหารหลังจากทำหนังเรื่องทองปานเสร็จ พี่หงาชวนเข้าป่าแต่ผมไม่เข้า ผมอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเอง

 

 

ทำไมถึงมีเพื่อนเป็นศิลปินใหญ่ หนังทองปานไปทำได้ยังไง

ตอนผมวัยรุ่น ผมเป็นคนเรียนดีแต่ครอบครัวไม่อุปถัมภ์ จะสอบเข้าที่ไหนก็ได้ แต่ไม่มีทุนเรียน ก็เลยไปสอบเข้าเทคโนฯ ที่โคราช เจอพี่หว่อง ทีนี้เราไม่มีที่อยู่ เราก็ไปอยู่ตึกเรียนศิลปะกับเขา เราสอบเข้าสถาปัตย์ได้ แต่เรามาเรียนศิลปะเพราะเราไม่มีเงินเรียน ตอนนั้นยังมี air based ของอเมริกันอยู่ ประมาณปี 2515-16 โตมาช่วงนั้น แล้วก็ได้รู้จักกับพวกรุ่นใหญ่ เราเป็นเด็กมาก แต่เราทำอะไรได้หลายอย่าง ใช้ภาษาได้ ทำงานศิลปะได้ เขียนหนังสือได้บ้าง ก็เลยรู้จักกัน แล้วพี่หงาตอนนั้นเป็นนักเขียนเรื่องสั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาชวนไปทำหนังเรื่องทองปาน จริงๆ แค่จะไปดูๆ แต่พอดีคุยกับแฟรงค์ กรีน ตากล้องรู้เรื่อง ก็เลยให้โจทำเรื่องบันทึกเสียง แต่พอจบเราก็แยกทางกัน

 

ได้ไปเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยไหมในช่วงนั้น

ก็แค่ 14 ตุลา มีประท้วงสนามบินบ้าง ก็ไปกับพวกเขา เราไม่ใช่คนใหญ่โตอะไร มีการขึ้นเวทีแต่งเพลง ร้องเพลงบ้างนิดหน่อย เพื่อนรุ่นพี่ก็ขโมยเพลงเราไปบ้าง ก่อนเรามาเพิ่งได้รู้ว่า เขาเอาเพลงเราไปเล่นในเวทีชุมนุมเสื้อเหลืองด้วย

 

ไม่ได้เป็นคอการเมือง

ไม่ใช่เลย

 

หลังจากนั้นเป็นทหาร แทนที่จะเข้าป่าเหมือนคนอื่น  ทำไม

เพราะเราไม่เชื่อถือ การเปลี่ยนประเทศ คอมมิวนิสต์ทำไม่ได้

 

แล้วอะไรที่จะทำได้

เราคิดว่าไม่มีอะไรทำได้ซักอย่าง ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน

 

แล้วทำไมถึงไปเป็นทหาร

เหมือนบูธแคมป์ ดัดนิสัยตัวเอง ไม่งั้นเราจะเพี้ยนมาก เป็นศิลปินมากเกินไปแล้วไม่มีตัว control ฝึกวินัยทางความคิดว่าเราจะมีความอดทนได้แค่ไหน ไม่ได้หมายความว่าเราชอบทหาร เราก็เข้ากับระบบไม่ค่อยได้ แต่ก็แค่ลองดู ไปอยู่ฝ่ายยุทธการที่สนามบินเชียงใหม่ น่าน ไม่กี่ปี

 

ขณะที่เพื่อนๆ เข้าป่ากันหมด

ก็มีค่าเท่ากัน ก็ไปสู้ในป่าอดๆ อยากๆ แล้วก็ไม่ชนะ เมืองไทยยังไงก็เปลี่ยนรากความคิดคนไม่ได้

 

ทำไมตัดสินใจไปเมืองนอก

เราไม่อยากอยู่ประเทศไทย มันผิดหวังมาหมดทุกอย่าง ตั้งแต่เด็กแล้ว ผิดหวังจากทุกอย่าง ครอบครัว การศึกษา โรงเรียน

 

เป็นพวกนักวิพากษ์ตั้งแต่เด็กหรือ แต่ดูบุคลิกแล้วน่าจะเป็นคนเรียบร้อย

ไม่ใช่เลย แต่เราถูกไล่ออกจากโรงเรียน คือ สมัยเด็กๆ ครูสอนวิชาศีลธรรม ซึ่งเราก็แค่สงสัยว่ามันไม่น่ามาสอนในโรงเรียน น่าจะอยู่ในวัด แล้วมันก็สอนซ้ำๆ เหมือนเดิมทุกปี วันหนึ่งเขาพานักเรียนไปวัด นักเรียนก็นั่งหลับกันหมดตอนพระเทศน์ พอจบพระก็ถามว่าใครมีอะไรสงสัยก็ลุกขึ้นมาถามนะ ไม่มีใครถาม ครูก็บ่นว่าทำไมไม่มีใครถามเลย ขายหน้าโรงเรียน พระก็บอกลุกขึ้นมาๆๆๆ เราก็เลยลุกขึ้นถามว่า ถามจริงๆ เถอะ ทำไมถึงมาบวชเป็นพระ ได้อะไรขึ้นมาบ้าง (หัวเราะ) มันไล่เราออกจากโรงเรียนเลย สมัยนู่นตอนเราอายุ 15 เราก็ยังงงว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น

 

เป็นคนที่เข้ากับระบบไม่ได้มาตั้งแต่เด็ก

พอเราไปอยู่อเมริกา เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องนะ คนเราต้องกล้าคิด กล้าพูด ลูกของญาติที่เป็นเด็กไทยไปเรียนที่อเมริกา ครูเรียกผู้ปกครองพบถามว่าเด็กมีปัญหา เป็นออธิสติกหรือเปล่า เพราะมันไม่พูด เขาเข้าใจว่าอยู่กับผู้ใหญ่ต้องเรียบร้อย สงบเสงี่ยม ไม่พูด ไม่เถียง ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ถามอะไรก็ก้มหน้าหนี 

 

ตอนนี้กับเพื่อนศิลปินยังติดต่อกันไหม

ไม่ได้ติดต่อ

 

คุยเรื่องการเมืองกันได้ไหม

คิดว่าไม่ได้ สมัยหนึ่งเคยใช้ชีวิตร่วมกันมา พอมีชื่อเสียงเขาก็วางตัวอีกแบบ เป็นอีกระดับ แล้วเขาก็มองโลกคนละอย่างกับเรา

 

ในฐานะที่ใช้ชีวิตในบริบทนั้นด้วย ช่วยอธิบายหน่อยว่าทำไม 'เพื่อชีวิต' สมัยนั้น ปัจจุบันดูจะเป็นสายอนุรักษ์นิยม

คนเราพอมีอายุมากขึ้นก็ต้องการความมั่นคงให้กับชีวิตและชื่อเสียง บางคนไปคบกับพวกศิลปินแห่งชาติ ซึ่งเป็นสายอนุรักษ์นิยม เพื่อไต่ขึ้นไป มันเป็นแบบนั้นมาอยู่แล้ว เพียงแต่เราเพิ่งรู้ตัวเพราะมันหนักขึ้นในช่วงหลังที่การเมืองแตกแยกหนักๆ

การเป็นศิลปินมันต้องมีลักษณะของตัวเอง ไม่มุ่งหวังหาชื่อเสียง เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่สร้างขึ้นมา คนจะยอมรับไม่ยอมรับมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง แต่หลายๆ คนเป็นนักก็อปปี้ เป็นการสร้างผลงานทางลัด

 

ที่ผ่านมาเสียดายอะไรมากที่สุด

เสียดายเวลา เสียดายมากๆ ไม่ได้ทำงานอะไรสร้างสรรค์เลย เสียดายมากที่สุด เราออกมาก็จะทำอะไรให้มากขึ้นกว่าเดิมสองเท่า หมายถึงทำอะไรที่มีความสุข หรือให้เวลากับชีวิตเราเอง ไม่ใช่การแสวงหาอะไรต่ออะไร แต่เป็นเรื่องทางจิตใจ เวลาเราหายไปหนึ่งปีกว่า เราจะทำอะไรให้ตัวเราก็จะให้เป็นที่พอใจกับตัวเรามากขึ้นสองเท่า

 

คิดว่าจะไปใช้ชีวิตที่อเมริกาได้เหมือนเดิมไหม

มันก็เหมือนเดิม แต่ก็มีบาดแผลเป็นเรื่องธรรมดา คนผ่านชีวิตมาขนาดนี้ ถึงไม่ได้เข้าคุกก็มีบาดแผล เจ็บปวดหลายครั้ง แต่เราทนได้ แต่การเอาเราไปอยู่ในนั้นหนึ่งปีกว่า มันไม่ใช่การต่อสู้แฟร์ๆ  

 

อยากเขียนหนังสือหรือทำอะไรเกี่ยวกับประสบการณ์เรื่องนี้ไหม

ถ้าชีวิตลงตัวก็อาจนั่งเขียนรูป แต่งเพลงเพิ่ม ส่วนเรื่องในเมืองไทยถ้ามีคนมาขอติดต่อทำหนังก็คงจะทำ เพราะอยากให้ชาวโลกได้รู้ว่ายังมีความป่าเถื่อนในสังคม ผมคิดว่ามันป่าเถื่อนมากนะที่ทำกัน มาตรานี้มันหมดยุคสมัยไปแล้ว เอามาใช้นี่เหมือนอยู่ในยุคศตวรรษที่18 มันไม่น่ามี ไม่น่าเกิดขึ้น เป็นความน่าอับอายของระบบความยุติธรรมของประเทศไทย เอาอากงมาขังจนตายก็พยายามปฏิเสธ ไม่มีใครรับผิดชอบ หรือป๋าสุรชัย (ด่านวัฒนานุสรณ์) อายุ 70 แล้วเป็นการเอาคนแก่ที่ป่วยหลายโรคไปขังกรงไว้เพราะเขามีความคิดเห็นที่แตกต่าง เขาไม่ใช่ฆาตกร นี่แหละที่เรามองว่าเป็นความป่าเถื่อน มันแสดงว่าประเทศนี้ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ได้ ถามว่าจะมองเห็นความหวังไหม ยาก รูปธรรมสำคัญคือการปล่อยนักโทษทางความคิดออกมา

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'บารัก โอบามา' เยือนไทย พม่า กัมพูชา 17-20 พ.ย. นี้

Posted: 09 Nov 2012 01:00 AM PST

เฟซบุ๊กทางการของสถานทูตสหรัฐเผย บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะเดินทางมาไทย พม่า และกัมพูชา โดยจะเยือนสามเมืองหลักของทั้งสามประเทศคือ กรุงเทพฯ ย่างกุ้ง และพนมเปญ ในระหว่างวันที่ 17-20 พ.ย. นี้



เฟซบุ๊กทางการของสถานทูตสหรัฐเผย บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะเดินทางมาไทย พม่า และกัมพูชา โดยจะเยือนสามเมืองหลักของทั้งสามประเทศคือ กรุงเทพฯ ย่างกุ้ง และพนมเปญ ในระหว่างวันที่ 17-20 พ.ย. นี้

โดยเฟซบุ๊กของสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เผยแพร่เอกสารแถลงข่าวทางการของทำเนียบขาว ระบุว่ากำหนดการในประเทศไทยนั้น ประธานาธิบดีสหรัฐจะพบยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย เพื่อ (to mark.) ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศที่ยาวนานกว่า 180 ปี (ในโอกาส 180 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ)  และเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

สำหรับกำหนดการในการเยือนพม่านั้น บารัก โอบามาจะเข้าพบประธานาธิบดีเต็ง เส่ง นางอองซาน ซูจี และภาคประชาสังคมโดยมีเป้าหมายในการสนับสนุนพม่าในการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย

ในกัมพูชา ประธานาธิบดีสหรัฐจะเข้าร่วมการประชุมกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกและจะพบกับผู้นำในประชาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะมีการหารือในประเด็นต่างๆ รวมถึงประเด็นเศรษฐกิจและการสร้างงานผ่านการเพิ่มปริมาณการค้าและความร่วมลงทุน ประเด็นความร่วมมือด้านพลังงาน ความมั่นคง สิทธิมนุษยชน  และประเด็นอื่นๆ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก


 

ที่มา: เพจเฟซบุ๊กของสถานทูตสหรัฐฯ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รุจ ธนรักษ์

Posted: 09 Nov 2012 12:55 AM PST

"ไม่รู้จะภูมิใจไปทำไมกับคน "เชื้อชาติไทย" ที่ได้เป็น สส. อเมริกัน ในเมื่อเขาคือคนอเมริกัน รบเพื่ออเมริกา เสียขาเพื่ออเมริกา ทำงาน เสียภาษี ลงเลือกตั้ง เพื่อพัฒนาประเทศสหรัฐอเมริกา..ถ้าอเมริการบกับไทยแล้วเขาขับ ฮ. ได้ เขาก็จะต้องบินมายิง กทม. นะ อย่าเข้าใจอะไรผิดๆ..แต่เวลาไทยจะตัดสินใจเข้ารบกับใครต่อใคร "เรา" ในฐานะประชาชน มีอำนาจตัดสินใจแค่ไหน ใครมีอำนาจ "สุดท้าย" ในการฟันธง คิดแค่นี้ก็เห็นแล้วว่าใครเป็นเจ้าของประเทศตัวจริง"

8 พ.ย.55, โพสต์สถานะบนเพสบุ๊คของตัวเอง

กัญชา ความเมามาย และการท้าทายวัฒนธรรม

Posted: 08 Nov 2012 09:41 PM PST

เลือกตั้งสหรัฐครั้งที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่ในรัฐ Colorado และ Washington ลงประชามติให้กัญชาใช้ได้อย่างถูกกฏหมาย ไม่เฉพาะ medical use แต่เป็น recreational use ด้วย

ก่อนการลงประชามติในครั้งนี้ การขายกัญชาใน Colorado ก็ทำกันเป็นล่ำเป็นสันอยู่แล้ว แต่ใช้ข้ออ้างในแง่ medical use คือต้องมีใบอนุญาตจากแพทย์ จึงจะมาซื้อได้ ทว่าร้านขายกัญชาในโคโลราโด มีตั้งอยู่แทบจะในทุกมุมเมือง (อย่างในเมืองเล็กๆ อย่าง Boulder มีเกือบ 20 ร้าน) โดยสัญลักษณ์ที่สังเกตเห็นได้ก็คือ Green Cross หรือเครื่องหมายบวกสีเขียว และใช้ชื่อว่า "Dispensary" ในทางทฤษฎีมันก็ควรจะเป็นเหมือนร้านขายยาอะไรทำนองนั้น แต่การณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะบางร้านตกแต่งกันอย่างเต็มแม็กซ์ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับการสูบ เสพ ทุกชนิดให้เลือกสรรค์ มีแม้กระทั่งเสื้อยืดชื่อร้าน อาหาร เครื่องดื่ม ซีดีบ็อบ มาเลย์ ฯลฯ และเนื่องจากการแข่งขันสูง แต่ละร้านก็สรรหาของมีคุณภาพมาเอาใจลูกค้ากันแบบไม่ยั้ง ส่วนใบอนุญาตจากแพทย์นั้น ถ้าต้องการก็เซ็นกันให้ตรงนั้นเลยก็ยังได้ ในกฏหมายยังมีบอกไว้ด้วยว่า หากมีคนป่วยและแพทย์อนุญาตให้ใช้กัญชาในการรักษา ก็สามารถขอใบอนุญาต ปลูกกัญชาไว้ใช้ในครัวเรือนได้อีกด้วย ด้วยการปฏิบัติที่ไม่ตรงกับทฤษฎีในหลายๆ เรื่อง จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ชาวโคโลราโดส่วนใหญ่เห็นว่า น่าจะถึงเวลาที่กัญชาควรเป็นสิ่งถูกกฏหมายเสียที

ผลจากการผ่านกฏหมายนี้ ทำให้บุคคลอายุ 21 ปีขึ้นไป สามารถมีกัญชาไว้ครอบครองและใช้เพื่อสันทนาการได้ไม่เกินคนละ 1 ออนซ์ และสามารถปลูกเอาไว้ใช้เองที่บ้านได้ไม่เกิน 6 ต้น ส่วนร้านขายก็คงต้องมีกฏเกณฑ์ควบคุมเพิ่มเติม และถูกเรียกเก็บภาษีจากรัฐอย่างถูกต้องต่อไป

............

ในความคิดเห็นของผม ภาพที่คนอเมริกันมีต่อกัญชา แตกต่างจากภาพที่คนไทยส่วนใหญ่มีค่อนข้างมาก ในบ้านเรา กัญชาถูกนำไปผูกโยงกับเรื่องผิดศีลธรรม อาชญากรรม ความผิดบาป ความไม่รักดี ฯลฯ ทว่าในอเมริกา โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น กัญชานั้นเป็นสัญลักษณ์ของการขบถต่อกฏเกณฑ์แบบหนึ่ง (ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา) กล่าวคือ กัญชาเป็นสิ่งผิดกฏหมาย แต่ก็ไม่ได้ผิดร้ายแรง มีโทษต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ได้มีโทษมาก (ข้อมูลจากหลายแหล่งเชื่อว่า บุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าเสียอีก) ยิ่งกัญชาสูบพอประมาณแล้วทำให้อารมณ์ดี มีจินตนาการ ร่่าเริง สนุกสนาน ผ่อนคลาย ไม่เครียด จึงทำให้เป็นที่นิยมเสพของวัยรุ่นและนักศึกษามหาวิทยาลัย กัญชาเป็นพืชที่ปลูกไม่ยาก หลายคนจึงปลูกมันไว้ที่บ้านหรือแม้แต่ในอพาร์ตเมนต์ ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ทั้งเป็นยา ทำอาหาร ทำขนม และเอาไว้สูบเพื่อผ่อนคลาย และด้วยความที่มันผิดกฏหมาย มันจึงเป็นอะไรที่ "cool"

กัญชาในมิติทางสังคม ถือเป็นสัญลักษณ์ของกระแส counterculture ซึ่งดูจะเป็นอะไรที่ยากจะทำความเข้าใจสำหรับสังคมที่ยังไปไม่ถึงประชาธิปไตยอย่างบ้านเรา จุดเริ่มต้นและบุคลากรสำคัญของกระแส counterculture คือ ชาวฮิปปี้ ซึ่งกระจายตัวอยู่ตามเมืองสายลมแสงแดดต่างๆ กระแสฮิปปี้ที่เฟื่องฟูมากในยุค 60s-70s สะท้อนแนวคิดนอกกระแสที่มีลักษณะ romantic/ liberal ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต ชุมชน ดนตรี ศิลปะ ศาสนา เพศสภาพ ฯลฯ counterculture มองว่าวัฒนธรรม/ กฏเกณฑ์ต่างๆ เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ความเข้มงวด จริงจัง กล่อมเกลา ควบคุม บังคับทางสังคมทั้งหลายก็เป็นแค่อาการเมามายในอีกลักษณะหนึ่ง การท้าทายวัฒนธรม ท้าทายกฏหมายเป็นเรื่องที่ทำได้ จำเป็น และควรรวมกลุ่มทำเป็นเครือข่ายอย่างใช้สติปัญญาและมีทักษะ ซึ่งภายหลังแนวคิดนี้พัฒนาเป็นกระแสการเคลื่อนไหวสังคมอื่นๆ ของคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้า ปัญญาชน และนักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วอเมริกา ผู้มีความฝันต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม/ วัฒนธรรมอเมริกัน ให้ชิลล์ / off the grid / humanistic / eco-friendly มากขึ้น

..............

ตอนมาเรียนที่โคโลราโดปีแรกเมื่อสิบปีก่อน มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ใกล้ University of Colorado, Boulder มาก เดินขึ้นเขาไปนิดเดียวก็ถึง ราวเดือนเมษายน มีเพื่อนฝรั่งมาเคาะประตูเรียก เพื่อชวนไปดูปรากฏการณ์ที่มันบอกว่า "ยูพลาดไม่ได้" มันเน้นย้ำกับผมว่านี่คือปรากฏการณ์ระดับชาติเลยก็ว่าได้ ปรากฏการณ์นั้นมีชื่อว่า "4/20" (อ่านว่า โฟว์ ทเว็นตี้) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เราจะได้กลิ่น ก่อนจะเห็นด้วยตาตัวเอง ในวันที่ 20 เดือน 4 เวลา 4.20 PM ของทุกปี นักศึกษาและประชาชนทั่วไป หลายพันคนจะมารวมตัวกันที่สนามหญ้าในมหาวิทยาลัยโคโลราโดแห่งนี้ เพื่อสูบกัญชากลางแจ้ง ใครที่เคยได้กลิ่นกัญชาจะรู้ว่าเป็นกลิ่นที่ค่อนข้างแรง แล้วลองนึกดูว่าคนสูบกลางแจ้งพร้อมกันเป็นพันๆ คนจะขนาดไหน เรียกได้ว่าเมืองทั้งเมืองมีกลิ่นหอมอบอวนไปทั่วในวันนั้น ที่มาของ 4/20 นี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างคลุมเครือ แต่มันก็ได้กลายเป็น code ที่รู้กันโดยทั่วไปในหมู่สาวกปุ๊น ปรากฏการณ์นี้เป็นปรากฏการณ์ counterculture ที่ได้แพร่ไปยังเมืองต่างๆ โดยเฉพาะในเมืองมหาลัย และเมืองฮิปๆ ทั้งหลายทั่วสหรัฐอเมริกา 

การชุมนุมกันในมหาวิทยาลัยโคโลราโดเป็นอะไรที่มีชื่อเสียงขจรขจายมาก และนานวันก็ยิ่งมีจำนวนของผู้ชุมนุมในวันดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหยียบหลักหมื่นในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา และที่เป็นข่าวใหญ่ คือในปีล่าสุด (2012) ก่อนที่กฏหมาย legalize กัญชาจะผ่านประชามติในการเลือกตั้งครั้งนี้ มหาวิทยาลัยโคโลราโดได้ออกมาตรการหลายอย่างเพื่อปิดกั้นไม่ให้คนเข้ามาปฏิบัติการ 4/20 เป็นจำนวนมากเหมือนทุกปี เช่น การใส่ปุ๋ยสนามหญ้าเพื่อให้มีกลิ่นเหม็น การตรวจ ID ผู้ที่จะเดินเข้ามาในมหาวิทยาลัยในวันดังกล่าว ฯลฯ ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจให้นักศึกษาและประชาชนทั่วไปในเมือง Boulder เป็นอย่างมาก 

เชื่อกันว่า 4/20 ในปีหน้า น่าจะมีการประกาศชัยชนะ สถานะถูกกฏหมายของกัญชา ในมหาวิทยาลัยโคโลราโดอย่างยิ่งใหญ่แน่ๆ 
 


[ลิงก์ข่าวอันเป็นที่ฮือฮา: http://www.huffingtonpost.com/2012/04/20/marijuana-rally-in-troubl_n_1439965.html ] 

.................

ขณะที่ผู้มีอำนาจในบ้านเรา ยังสนุกกับการห้าม การแบน การเซ็นเซอร์ การเพิ่มบทลงโทษ และการยกระดับมาตรฐานศีลธรรมอันดีของเด็กและเยาวชนแบบไทยๆ ให้สูงขึ้น สูงขึ้น การลงประชามติให้กัญชาเป็นสิ่งเสพติดถูกกฏหมายโดยประชาชนในรัฐโคโลราโดและวอชิงตัน ในการเลือกตั้งสหรัฐครั้งที่ผ่านมา คงดูเป็นเรื่องที่ประหลาดและรับไม่ได้อย่างถึงที่สุด มันคือปรากฏการณ์ที่ย้อนแย้งกับความดีงามตามประเพณีอย่างไม่น่าเกิดขึ้น มันกำลังบ่งบอกถึงหายนะและความเสื่อมทรามของอำนาจตามระบอบประชาธิปไตย สะท้อนถึงความไร้อารยธรรมและความสับสนเมามายไร้ทิศทางของวัฒนธรรมตะวันตก... 

น่าคิดนะครับ

หรือไม่ คนอเมริกันส่วนใหญ่ก็โง่เกินไป และยังไม่พร้อม



ภาพประกอบ: "420" ที่ University of California, Santa Cruz ที่มา: วิกิพีเดีย ]
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น