ประชาไท | Prachatai3.info |
- ‘นศ.พรรคสามัญชน’ ร่วมขบวน ‘กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด’ จี้ผู้ว่าฯ ปิดเหมืองแร่ทองคำเลย
- ครม.ไฟเขียว ร่าง พ.ร.บ.ปราบสิ่งยั่วยุความรุนแรง
- ประมงพื้นบ้านท่าศาลา บุก ‘สผ.’ ค้านมติ คชก.เห็นชอบ EHIA ท่าเรือเชฟรอน
- ทุนนิยาม: ความเสมอภาค ‘ทางเพศ’ ในที่ทำงาน 'ค่าแรงเรา.. ไม่เท่ากัน'
- แนวรบข้อมูลโซเชียลมีเดียในฉนวนกาซ่า
- องค์การพิทักษ์สยาม 'เพื่อเผด็จการ' แห่งชาติ
- วีรพัฒน์ ปริยวงศ์
- แม่หละ: การจดทะเบียนเกิด ชายแดนตะวันตก-สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลง
- รถไฟความเร็วสูง : ฝันให้ได้ (ต้อง) ไปให้ถึง
- “เจ้าอู๊ด เกซี” ที่ปรึกษากฎหมาย SSA เสียชีวิตขณะเดินทางไปเจรจาพม่า
- 'Insects' ร่วม 'Shakespeare' ฟ้องศาลปกครองเร่งรัดคดี หลังพบหนังถูกปล่อยบิท
- ผลวิจัยระบุผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไทยตรวจข้อมูลเน็ตสูงอันดับต้นของโลก
- ศาล รธน.ไฟเขียว "เสธ.อ้าย" ชุมนุม ชี้ไม่ได้แช่แข็งประเทศ
- รัฐบาลประกาศใช้ "พ.ร.บ.ความมั่นคง" 22-30 พ.ย.
- คดีแจกใบปลิวหมิ่นฯ ที่ร้อยเอ็ด ศาลจำคุก 3 ปีแต่รอลงอาญา-บำเพ็ญประโยชน์ 18 ชม.
‘นศ.พรรคสามัญชน’ ร่วมขบวน ‘กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด’ จี้ผู้ว่าฯ ปิดเหมืองแร่ทองคำเลย Posted: 22 Nov 2012 11:37 AM PST นศ.เผยผลจากลงพื้นที่ ยันเหมืองทองคำกระทบชุมชน กรณีบ่อเก็บกากแร่รั่วทำไซยาไนด์ไหลลงสู่พื้นที่เกษตรกรรม-แหล่งน้ำสาธารณะ ทั้งบริษัท-หน่วยงานรัฐไม่เหลียวแลแก้ปัญหาให้ชุมชน วันที่ 22 พ.ย.55 เวลาประมาณ 8.00 น ชาวบ้าน "กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด" จาก 6 หมู่บ้าน ใน ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ประมาณ 500 คน ร่วมกับนักศึกษาในนามพรรคสามัญ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่นชน เดินขบวนรณรงค์ในตัวจังหวัดเลย เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของเหมืองแร่งทองคำที่เกิดขึ้นให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ อนึ่ง เดิมในวันดังกล่าวบริษัทฯ มีกำหนดการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียในการกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (ค.1) หรือพับลิคสโคปปิ้ง (Public scoping) ประกอบการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ในการขอประทานบัตรเลขที่ 104/2538 เพื่อขยายการทำเหมืองทองไปยังบริเวณภูเหล็ก แต่ก่อนถึงกำหนดการจัดเวที บริษัทฯ ได้ส่งหนังสือถึงนายก อบต.เขาหลวงขอเลื่อนการจัดเวทีไปเป็นวันที่ 21 ธ.ค.55 ซึ่งการเลื่อนเวทีพับลิคสโคปปิ้งในครั้งนี้ เป็นการเลื่อนครั้งที่ 5 นับจากเดือน มิ.ย.55 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลาประมาณ 11.00 น ขบวนรณรงค์ได้มาหยุดที่หน้าศาลากลางจังหวัด เพื่อขอเข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดเลย โดยมีข้อเรียกร้องให้เร่งดำเนินการปิดเหมืองทันทีตามคำสั่งของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเลยเมื่อวันที่ 5 พ.ย.55 เพื่อแก้ปัญหาเหตุบ่อเก็บหางแร่ซึ่งปนเปื้อนไซยาไนด์และโลหะหนักอื่นๆ ที่รั่วไหลอยู่ในขณะนี้ อีกทั้งให้หยุดการดำเนินการอันไม่ชอบธรรมเพื่อขยายเหมืองทองดังกล่าว ระหว่างรอการเจรจากับผู้ว่าฯ กลุ่มชาวบ้านมีการปราศรัยให้ข้อมูลปัญหาของการทำเหมืองในพื้นที่เป็นระยะ กระทั่งมีการแจ้งว่าผู้ว่าฯ ติดภารกิจที่กรุงเทพฯ โดยปลัดจังหวัด และตัวแทนสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดลงมาทำหน้าที่พูดคุยกับชาวบ้านแทน ประเด็นที่ชาวบ้านเรียกร้อง ประกอบด้วย 1.กรณีรายงานไต่สวนประกอบการขอประทานบัตรเป็นเท็จ เรียกร้องให้จังหวัดเข้ามาตรวจสอบและจัดทำรายงานใหม่ให้ถูกต้องก่อนจัดเวที public scoping ยังไม่ได้รับคำตอบจากปลัดอย่างชัดเจนในการดำเนินการ 2.เมื่อบริษัทยังไม่ได้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีแม้แต่ข้อเดียว การประกอบกิจการเหมืองแร่รวมทั้งการต่อประทานบัตรจะต้องหยุดดำเนินการก่อน ซึ่งหากบริษัทยังจะจัดเวทีในวันที่ 21 ธ.ค.อีก ย่อมถือเป็นการจัดทำ EHIA ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้ทางจังหวัดและอุตสาหกรรมจังหวัดทำหนังสือคัดค้านการจัดเวทีอย่างเป็นทางการไปยังกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และทางกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดจะส่งหนังสือตามไปอีกครั้งหนึ่ง ต่อข้อเรียกร้องดังกล่าว ตัวแทนจากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด แสดงความเห็นว่า บริษัทมีสิทธิดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 ในการจัดให้มีเวทีรับฟังความคิดเห็นได้ โดยมีหลักเกณฑ์ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำได้เพียงเข้าไปสังเกตการณ์ แต่หน่วยงานรัฐจะมีความเห็นในการพิจารณาไม่แตกต่างจาก มติ ครม. ทั้งนี้ มติ ครม.เมื่อวันที่ 8 ก.พ.54 กำหนดอย่างชัดเจนให้กระทรวงอุตสาหกรรมชะลอการขยายพื้นที่หรือการขอประทานบัตรของบริษัทดังกล่าว จนกว่าจะได้ข้อสรุปสาเหตุการปนเปื้อน ผลการประเมินความคุ้มค่าของฐานทรัพยากรธรรมชาติและค่าภาคหลวงแร่กับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และผลการประเมินผลด้านสุขภาพหรือ HIA แต่จนถึงขณะนี้บริษัทและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้ดำเนินการแต่อย่างใด 3. กรณีสันเขื่อนบ่อเก็บกากแร่ในพื้นที่โครงการพังทลาย ทางอุตสาหกรรมจังหวัดรับว่าจะเข้าไปในพื้นที่เพื่อกันเขตพื้นที่ปนเปื้อนก่อน ส่วนปริมาณสารพิษในไร่นาและแหล่งน้ำต้องรอผลการตรวจจากกรมควบคุมมลพิษ 4. เรื่องใบอนุญาตประกอบโลหะกรรมซึ่งสิ้นอายุ เมื่อวันที่ 12 ส.ค.55 ชาวบ้านแสดงเจตนาคัดค้านการต่ออายุการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ และไม่ให้ต่ออายุประทานบัตรแปลงใหม่ โดยจะทำหนังสืออย่างเป็นทางการต่อไป ต่อข้อเรียกร้องดังกล่าว ตัวแทนจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชี้แจงกับชาวบ้านว่า โรงงานประกอบโลหะกรรม ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดไม่มีอำนาจ ซึ่งตาม พ.ร.บ.แร่ กำหนดให้ขณะยื่นต่ออายุ ยังดำเนินการได้อยู่ ทางด้านปลัดจังหวัดตอบเพียงว่าได้มอบหมายให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดแจ้งคำคัดค้านของชาวบ้านไปยังกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และจะดำเนินตอบข้อเรียกร้องของชาวบ้านให้เร็วที่สุด ภายหลังการเสร็จสิ้นการเจรจา ตัวแทนชาวบ้านได้มอบหนังสือร้องเรียนต่อปลัดจังหวัดเพื่อให้ภาครัฐดำเนินตามข้อเสนอของชาวบ้าน ส่วนกลุ่มคาราวานนักศึกษาภายใต้ชื่อพรรคสามัญชนก็ได้มอบต้นสักทองและขนมทองม้วนให้แก่ปลัดจังหวัด นายสมานฉันท์ พุทธจักร หนึ่งในคาราวานนักศึกษาอธิบายความหมายของการมอบต้นสักทองและขนมของม้วน ว่า มันเป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าในเมื่อเหมืองอยากได้ทองมากเราจึงให้ต้นสักทองเพราะมันก็เป็นทองเหมือนกันแถมยังไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย แต่มันกำลังสื่อถึงสิ่งแวดล้อมที่จะโดนทำลาย ส่วนทองม้วนนั้นมันก็เป็นทองและยังเป็นทองที่กินได้ ไม่เป็นมลพิษเหมือนสารเคมีจากเหมือง นศ.เผยผลจากลงพื้นที่ ยันเหมืองทองคำกระทบชุมชน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา คาราวานโบกรถรณรงค์คัดค้านเหมืองแร่ทองคำของนักศึกษาพรรคสามัญชน ได้เดินทางถึงพื้นที่การทำเหมืองแร่ทองคำในบ้านนาหนองบง ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย และได้ลงพื้นที่สำรวจสภาพปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงในชุมชน จากกรณีที่ชาวบ้านในพื้นที่มีการร้องเรียนว่า เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สันเขื่อนบ่อเก็บกากแร่ในพื้นที่โครงการพังทลาย ทำให้สารไซยาไนด์รั่วไหลลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะและที่นาของชาวบ้าน และต่อมาสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเลยได้มีคำสั่งด่วนเมื่อวันที่ 5 พ.ย.55 ให้บริษัทฯ หยุดการทำเหมืองทันทีและแก้ไขปัญหาจนกว่าจะยุติ แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างที่บริษัทฯ อุทธรณ์ต่อคำสั่งดังกล่าว กลุ่มนักศึกษาระบุว่า ได้เห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงจากกระบวนการทำเหมืองที่ไม่มีมาตรการป้องกันอย่างเพียงพอ ซึ่งทำให้สภาพสิ่งแวดล้อม พื้นที่ทำกินของชาวบ้านไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตรที่เสียหายอย่างหนัก ปัญหาดังกล่าวเกิดจากบ่อกักเก็บไซยาไนด์แตก เนื่องจากวิธีการทำบ่อเก็บไม่ได้มาตรฐานโดยใช้เพียงคันดินกั้นบ่อไว้ ทำให้สารไซยาไนด์รั่วไหลลงสู่พื้นที่เกษตรกรรมและแหล่งน้ำสาธารณะของชาวบ้านจนไม่สามารถนำไปอุปโภคบริโภคได้ดั้งเดิม และมีผลต่อเนื่องทำให้วิถีชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่เปลี่ยนไป ขณะที่บริษัท ทุ่งคำ จำกัด เจ้าของเหมืองยังไม่ได้มีมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแต่อย่างใดให้แก่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ แม้ว่าผู้ได้รับความเดือดร้อนจะต่อสู้เพื่อคัดค้านเหมืองหลายครั้งแล้วก็ตาม นางมล คุณนา ตัวแทนชาวบ้านซึ่งพานักศึกษาลงพื้นที่สำรวจรอบเหมือง กล่าวว่า พื้นที่รอบเหมืองนั้นเคยเป็นพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน บริเวณดังกล่าวจะมีน้ำซับน้ำซึมตามฤดูกาล แต่เมื่อมีเหมืองทำให้บริเวณดังกล่าวแห้งแล้งไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เช่นเดิม และต่อมาปรากฏว่ามีน้ำซึมขึ้นมา ชาวบ้านจึงลงสำรวจและพบว่าน้ำที่ไหลออกมานั้นมีสารไซยาไนด์ปนเปื้อน ซึ่งเป็นสารที่รั่วไหลออกมาจากเหมือง แต่ทางเหมืองก็ไม่ได้มีการออกมาชี้แจงว่าจะดำเนินการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด ด้านนางสาววศินี บุญทีตัวแทนกลุ่มนักศึกษา กล่าวว่า จากการได้ลงพื้นที่ และพูดคุยกับชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน ทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว และชาวบ้านก็พยายามขอความช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นจากทางบริษัท ทุ่งคำ จำกัด เจ้าของเหมืองเพื่อให้แก้ปัญหาดังกล่าว หรือจากทางหน่วยงานของรัฐก็ไม่มีหน่วยงานใดให้ความสนใจ หรือเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง ทำให้เกิดปัญหาที่ส่งผลกระทบรุนแรงโดยไม่มีที่สิ้นสุด
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ครม.ไฟเขียว ร่าง พ.ร.บ.ปราบสิ่งยั่วยุความรุนแรง Posted: 22 Nov 2012 09:37 AM PST ครม.เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ปราบปรามสิ่งของยั่วยุให้เกิดพฤติกรรมความรุนแรง ให้อำนาจ จนท.ค้นบ้าน-คอมฯ นักวิชาการด้านเทคโนดิจิทัล ชี้ กม.นิยามความผิดกว้างและไม่ชัดเจน 20 พ.ย.55 ทำเนียบรัฐบาล ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามสิ่งยั่วยุพฤติกรรมอันตราย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยไทยรัฐออนไลน์รายงานด้วยว่า นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.ได้เห็นชอบตามที่ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามสิ่งยั่วยุพฤติกรรมอันตราย เพื่อให้มีกฎหมายในการป้องกันและปราบปรามเกี่ยวกับการกระทำผิดเกี่ยวกับวัตถุลามก รวมถึงสื่อที่ส่งเสริมและยั่วยุพฤติกรรมต่างๆ ที่ร้ายแรงไม่น้อยกว่าวัตถุลามก ขณะที่เรื่องนี้ได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และครั้งนี้เป็นการยืนยันร่างเดิมไม่มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว เว็บไซต์สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้สรุปไว้ดังนี้ 1. กำหนดความหมายของสิ่งยั่วยุพฤติกรรมอันตรายและลักษณะการกระทำที่เป็นพฤติกรรมอันตราย ซึ่งรวมถึงการกระทำวิปริตทางเพศ การกระทำทารุณกรรมต่อเด็ก การฆ่าตัวตายของเด็กหรือเป็นหมู่คณะ การใช้ยาเสพติด การกระทำความผิดต่อชีวิตและความผิดต่อทรัพย์ และขยายความหมายของคำว่า "เด็ก" ให้ครอบคลุมถึงตัวแสดงที่ปรากฏอยู่ในสิ่งยั่วยุพฤติกรรมอันตรายซึ่งมีลักษณะที่ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นเด็กด้วย 2. กำหนดให้พระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบกระเทือนถึงอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่อื่นตามกฎหมายอื่นที่มีลักษณะหรือเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งยั่วยุพฤติกรรมอันตราย และกำหนดให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจในการวินิจฉัยและการวางระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการและการประสานงาน 3. กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีของกระทรวงที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นรัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมาย และให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของตนเท่านั้น 4. กำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามสิ่งยั่วยุพฤติกรรมอันตราย ซึ่งประกอบด้วยกรรมการโดยตำแหน่งและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ 5. กำหนดให้สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชนผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ 6. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจในการเข้าไปตรวจค้นในสถานที่หรือเคหสถานของบุคคล ค้นบุคคลหรือยานพาหนะ เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีสิ่งยั่วยุพฤติกรรมอันตรายหรือทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือจะใช้ในการกระทำความผิดซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ ยึดหรืออายัดสิ่งยั่วยุพฤติกรรมอันตรายหรือพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด รวมทั้งมีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดในพัสดุภัณฑ์จดหมาย ตู้ไปรษณีย์ ระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ฯลฯ เมื่อปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าจะได้ข้อมูลที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ทั้งนี้ จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลและต้องรายงานผลการดำเนินการให้ศาลทราบด้วย และให้เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา 7. กำหนดความผิดและบทกำหนดโทษสำหรับการกระทำความผิดเกี่ยวกับสิ่งยั่วยุพฤติกรรมอันตราย นายอธิป จิตตฤกษ์ นักวิชาการอิสระด้านเทคโนโลยีดิจิทัลกับศิลปวัฒนธรรม มอง ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ว่า นิยามความผิดกว้างไป ทั้งขอบเขตของสิ่งยั่วยุความรุนแรง เขียนคลุมสื่อกระตุ้นความรุนแรงเกือบหมด และตัวคำว่า "ยั่วยุ" เอง มันไม่ชัดเจน(Clear)มันถูกละเมิด(Abuse)ได้ง่าย จริงๆ มันควรจะเป็นกฎหมายปราบปรามสิ่งลามกอนาจารเด็ก (Child Porn) แต่กลับใส่อะไรมาเต็มเลย เหมือนแถม จึงคิดว่าควรจะตัดส่วนที่แถมมาออกให้หมด เหลือกฎหมายปราบปรามสิ่งลามกอนาจารเด็กพอ อย่างไรก็ตาม อธิป กล่าวย้ำสำหรับกฎหมายปราบปรามสิ่งลามกอนาจารเด็กด้วยว่า แม้จะให้ตัดเหลือแต่ส่วนนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตนเองจะเห็นด้วยเห็นด้วยหรือไม่กับกฎหมายปราบปรามสิ่งลามกอนาจารเด็ก เพราะตอนนี้มันมีดีเบตในต่างประเทศจำนวนมากเรื่องนี้ ว่าจะคุมยังไงไม่ให้การปราบปรามมันไปละเลย เสรีภาพในการแสดงความเห็น(Free Speech) และสิทธิพลเมืองในแง่อื่นๆ นักวิชาการอิสระ ยังกล่าวอีกว่าทุกวันนี้กฎหมายสอดส่องอินเทอร์เน็ตในต่างประเทศมันผ่านก็เพราะอ้างว่าจะปราบปรามสิ่งลามกอนาจารเด็ก หากอ้างเรื่องลิขสิทธิ์แรงต่อต้านมันเยอะแล้ว อย่างเช่นแบบที่ SOPA หรือ ร่างรัฐบัญญัติหยุดยั้งการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ (Stop Online Piracy Act) ตกไปในอเมริกา ACTA ตกไปในสภายุโรป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ประมงพื้นบ้านท่าศาลา บุก ‘สผ.’ ค้านมติ คชก.เห็นชอบ EHIA ท่าเรือเชฟรอน Posted: 22 Nov 2012 08:03 AM PST ชี้ประเด็นความบกพร่องของมติ คชก.อาจนำมาซึ่งการสูญสลายของทะเล แหล่งอาหาร วิถีประมง และชีวิตของประมงชายฝั่งท่าศาลา ด้าน เลขาธิการ สผ.ยืนยัน คชก.พิจารณารายงานรอบคอบแล้วในทุกด้าน วันนี้ (22 พ.ย.55) เวลา 13.00 น.สมาคมเครือข่ายประมงพื้นบ้านอ่าวท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เดินทางมายังสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เข้ายื่นหนังสือคัดค้านมติความเห็นชอบของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพ (EHIA) กรณี "โครงการก่อสร้างศูนย์สนับสนุนการปฏิบัติงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย" ของ บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด พร้อมเรียกร้องให้ทบทวนและเพิกถอนมติให้ความเห็นชอบ รวมทั้งในระหว่างการดำเนินการ ให้มีหนังสือถึงกรมเจ้าท่า และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อระงับไม่ให้มีการนำรายงาน EHIA ดังกล่าว ไปพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาต สมาคมเครือข่ายประมงพื้นบ้านอ่าวท่าศาลา ให้เหตุผลการคัดค้านว่า กระบวนการพิจารณาและการให้ความเห็นชอบโครงการไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายผังเมือง ดังนี้ 1.การกำหนดขอบเขตพื้นที่ศึกษาเพื่อประเมินผลกระทบของโครงการ ไม่ครอบคลุมพื้นที่ และผู้ได้รับผลกระทบที่แท้จริง 2.การดำเนินโครงการอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศเฉพาะของพื้นที่ที่เป็นสาระสำคัญของการดำรงอยู่ของชุมชนประมง อันจะนำไปสู่การล่มสลายของชุมชนประมง 3.การเลือกพื้นที่ตั้งโครงการ ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ 4.การพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ มีข้อบกพร่องในหลักการความสมบูรณ์ครอบคลุมของการระบุผลกระทบของโครงการ และ 5.การพิจารณาเห็นชอบโครงการ ขาดข้อมูลการกำหนดการใช้ประโยชน์พื้นที่ และขัดต่อเจตนารมณ์ตามร่างกฎกระทรวงบังคับใช้ผังเมืองรวมจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งกำหนดให้บริเวณพื้นที่ตั้งโครงการเป็นพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม ห้ามมิให้มีอุตสาหกรรม กิจกรรมการเก็บ ลำเลียงวัตถุอันตราย หลังการเข้ายื่นหนังสือ นายสันติ บุญประคับ เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ยืนยันว่า คชก. ได้พิจารณารายงานโดยรอบคอบแล้วในทุกด้าน ตามรายงานและข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมด ณ ขณะที่พิจารณา อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีนักวิชาการหลายกลุ่มออกมาให้ความเห็นว่ายังมีข้อมูลและข้อเท็จจริงสำคัญอื่นๆ ของพื้นที่อีกจำนวนมาก ที่ คชก.ไม่นำมาประกอบการพิจารณาให้ความเห็นชอบรายงาน EHIA ของโครงการ ด้าน นายสุพร โต๊ะเสน นายกสมาคมประมงพื้นบ้านอ่าวท่าศาลา กล่าวถึงความเห็นร่วมของเครือข่ายฯ ต่อการตอบคำถามของเลขาธิการ สผ.ว่า แนวทางการต่อสู้ด้วยการนำเสนอข้อมูลวิชาการของพื้นที่ที่ผ่านมา ไม่เพียงพอที่จะทำให้ สผ. หันมารับฟังได้ และไม่เพียงพอที่จะปกป้องพื้นที่ผลิตอาหารอ่าวท่าศาลา ดังนั้นแนวทางการเคลื่อนไหวต่อไปของสมาคมและเครือข่ายอื่นๆ จะใช้บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิชุมชนปกป้องทรัพยากร วิถีชีวิต และเศรษฐกิจชุมชน รวมพลังเพื่อการยืนยันเจตนารมณ์รักษาอ่าวท่าศาลาไว้เป็นพื้นที่ผลิตอาหาร ขณะที่ นายประสิทธิชัย หนูนวล เครือข่ายรักษ์บ้านเกิดท่าศาลา กล่าวกับ สผ.ว่า ภารกิจในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เพื่อปกป้องคนท่าศาลาเท่านั้น แต่เป็นการปกป้องแหล่งอาหารให้กับคนทั้งประเทศ สอดคล้องกับวิกฤติอาหารและวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก การทำหน้าที่ของคนท่าศาลาจึงเป็นการทำหน้าที่เพื่อคนไทยทุกคน "เราไม่ควรทำลายศักยภาพของเราเอง คือความเป็นผู้มั่งคั่งด้านการผลิตอาหาร ในกรณีนี้ สผ.มีสิทธิที่จะดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของสหประชาชาติ หรือจะสนองเจตนารมณ์ของบริษัทข้ามชาติที่ทำลายสิ่งแวดล้อมมาแล้วทั่วโลกก็ทำได้ แต่ท้ายที่สุดเลขา สผ.ก็ตอบประชาชนว่าเลือกที่จะยืนอยู่ข้างบริษัทเชฟรอน ชุมชนจึงต้องใช้แนวทางอื่นในการต่อสู้ต่อไป" นายประสิทธิชัยกล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ทุนนิยาม: ความเสมอภาค ‘ทางเพศ’ ในที่ทำงาน 'ค่าแรงเรา.. ไม่เท่ากัน' Posted: 22 Nov 2012 07:57 AM PST ดู 'แรงเงา' แล้วมาย้อนดูเรื่อง 'ค่าแรง' ของคุณ 'ผู้หญิง' ในที่ทำงาน .. ถึงแม้จะมีลักษณะงานและอายุงานที่ไม่ต่างกัน แต่ในสหรัฐอเมริกายังพบสถิติที่ว่าผู้หญิงมักจะได้รับค่าตอบแทนจากการทำงานน้อยกว่าผู้ชาย แต่กระนั้นหากจะร้องเรียน กลับเป็นบริษัทนายความที่หยับชิ้นปลามันไปเสีย (และทนายความส่วนใหญ่เป็นผู้ชายด้วยมัง ;-) รวมถึงประเทศพัฒนาอื่นๆ พบว่าช่องว่างค่าแรงหญิงชายยังคงห่างกัน ค่าแรงที่ไม่เท่ากันในสหรัฐอเมริกา "ฉันไม่ต่างกับภรรยาที่แอบสะสมความกังวลที่เพิ่มขึ้นทุกวันว่า สามีกำลังแอบนอกใจฉัน"นี่ไม่ใช่บทพูดในละครหลังข่าวอย่าง "แรงเงา" ที่กำลังฮ๊อตฮิตในบ้านเราอยู่ขณะนี้ แต่เป็นการเปรียบเปรยของ Lilly Ledbetter ในหนังสือที่ชื่อว่า "Grace and Grit: My Fight for Equal Pay and Fairness at Goodyear and Beyond" (สง่างามและทรหด: การต่อสู้เพื่อค่าแรงที่เสมอภาคและเป็นธรรม ณ กู้ดเยียร์) Ledbetter บันทึกไว้ว่าในช่วงฤดูใยไม้ผลิปี ค.ศ. 1998 ระหว่างเปลี่ยนกะกลางคืน เธอได้รับข้อมูลที่ชัดเจนมาว่าเธอได้รับค่าจ้างน้อยเกินไปในตำแหน่งผู้จัดการโรงงานผลิตยาง Goodyear สาขาเมือง Gadsden รัฐอลาบามา โดยข้อมูลนี้เธอได้รับจากจดหมายจากบุคคลนิรนามที่ช่วยเทียบเคียงเงินเดือนของเธอกับพนักงานชายอีกสามคนที่เริ่มงานในปีเดียวกันและมีลักษณะงานเหมือนกัน "หัวใจฉันถูกกระตุก เหมือนกับว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวฉัน" Ledbetter กล่าว ถึงแม้กฎหมายว่าด้วยการจ่ายค่าจ้างอย่างเสมอภาค (The Equal Pay Act) ที่ประธานาธิบดี Kennedy ได้ลงนามไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ซึ่งได้ห้ามการเลือกปฏิบัติทางเพศในการจ่ายค่าจ้างไว้ แต่ในความเป็นจริงแม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมานานก็พบว่าข้อห้ามนี้มักจะถูกละเลยจากนายจ้างเสมอ ในช่วงไตรมาสแรกของปี ค.ศ. 2012 พบว่าผู้หญิงอเมริกันยังคงมีรายเป็นสัดส่วนเพียง 82.2% ของรายได้ที่ผู้ชายได้รับจากการทำงาน เมื่อเทียบจากรายได้เฉลี่ยรายสัปดาห์ แต่ถ้าเทียบเป็นรายได้ตลอดทั้งปีนั้น การสำรวจในปี ค.ศ. 2010 พบว่าพนักงานประจำผู้หญิงมีรายได้เป็นสัดส่วนแค่ 77% ของรายได้ที่พนักงานชายได้รับ สัดส่วนช่องว่างค่าตอบแทน (เป็น%) ของผู้หญิงต่อผู้ชายในปี ค.ศ. 2010 ของอาชีพต่างๆ ในสหรัฐฯ (ที่มาภาพ: businessweek.com) ช่องว่างค่าตอบแทนระหว่างเพศจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด จาก 40 เซนต์ต่อดอลลาร์ในยุค 1960 และเหลือเพียง 4 เซ็นต์ในยุค 1990 และน้อยกว่า 1 เซ็นต์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 และถึงแม้ว่าผู้หญิงรุ่นใหม่จะไล่ทันและแซงหน้าผู้ชายไปในเรื่องการศึกษาแล้วก็ตาม แต่ก็อาจจะไม่เป็นเสมอไปตามนั้น เมื่อ Catherine Hill หัวหน้านักวิจัยจาก American Association of University Women ระบุว่าความห่างของค่าแรงของชายหญิงในหมู่ปัญญาชนที่จบจากมหาวิทยาลัยจะมี 10 เซ็นต์ต่อดอลลาร์ ในหนึ่งปีหลังจบการศึกษา แต่ถ้าคุณมางานเลี้ยงรุ่นปีที่สิบจะพบว่าช่องว่างนี้ห่างไปถึง 31 เซ็นต์ต่อดอลลาร์ ประเด็นนี้เราไม่ได้พูดถึงงานที่มีลักษณะเดียวกัน ปัจจัยที่ทำให้ความห่างระหว่างเงินเดือนนั้นมักจะเป็นเรื่องอาชีพที่การไต่เต้าทางหน้าที่การงานต่างกัน นอกจากเรื่องการเลือกปฏิบัติทางเพศในที่ทำงานแล้ว พบว่าผู้ชายมักจะแข่งขันกันสูงในอาชีพที่มีรายได้สูงเช่นวิศวะกร แต่ผู้หญิงมักจะทำงานในสาขาที่ได้รับค่าตอบแทนต่ำกว่า เช่น นักการศึกษาและนักสังคมสงเคราะห์ ความหลากหลายในการเลือกสายอาชีพของผู้หญิงลดลงเรื่อยๆ หากเทียบกับผู้ชาย เมื่อเธอต้องลาคลอด หรือเลือกเวลาทำงานให้เหมาะกับการที่จะต้องใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้นเพื่อดูแลลูกๆ แต่สำหรับคุณพ่อก็แทบจะดูว่าไม่เป็นปัญหาใดๆ เลย ถึงแม้จะมีงานวิชาการหลายชิ้นที่ยังไม่สามารถยืนยันว่าเรื่อง 'เพศ' จะเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าทางรายได้ของผู้หญิง เช่น จากรายงานของ Department of Labor, Consad Research of Pittsburgh ในปี ค.ศ. 2009 พบว่านอกจากช่องว่างค่าแรง 5 – 7 เซ็นต์แล้ว ยังสามารถอธิบายด้วยปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องการเลือกปฏิบัติทางเพศ แต่บางชิ้นก็กล้าระบุไปตรงๆ เช่น บทความในปี ค.ศ. 2007 ของวารสารการบริหารจัดการ 'Perspectives' ของฝ่ายเศรษฐศาสตร์แรงงาน มหาวิทยาลัย Cornell โดย Francine Blau และ Lawrence Kahn ระบุว่าแม้จะปรับรายได้ตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ หรือเชื้อชาติ ในตลาดการจ้างงานตามอุตสาหกรรมแล้วก็ตาม ผู้หญิงก็ยังคงมีสัดส่วนรายได้เพียง 91% เมื่อเทียบสัดส่วนกับผู้ชาย "ถึงแม้มีหลักฐานว่าการเลือกปฏิบัติทางเพศลดน้อยลงในตลาดแรงงาน แต่การเลือกปฏิบัติบางอย่างยังคงดำรงอยู่" Blau และ Kahn ระบุ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของผู้หญิงมีมากกว่าแค่จะถูกจ้างงานเป็นลูกจ้างธรรมดาๆ ในสหรัฐมีผู้หญิงเพียง 3% ที่ดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทที่มีการจัดอันดับโดยนิตยสาร Fortune 500 อันดับ ในปี ค.ศ. 2009 ว่ามีบริษัทเพียง 38 แห่ง จาก 400 แห่ง ที่บริหารงานโดยผู้หญิง
การเปิดเผยข้อมูลและอุปสรรคในการใช้กลไกกฎหมาย ย้อนกลับไปที่เรื่องของ Lilly Ledbetter เธอใช้กลไกกฎหมายในการฟ้องร้อง และการที่จะชนะคดีต่างหากที่เป็นปัญหา คณะลูกขุนเพียงแต่ชี้ว่า "แนวโน้มที่เป็นไปได้อย่างมาก" ว่าเธอถูกเลือกปฏิบัติในการจ่ายค่าตอบแทนจากการทำงาน แต่ศาลฎีกาปฎิเสธคำร้องของเธอเพราะเธอไม่ได้ร้องเรียนภายใน 180 วันนับจากวันแรกที่เธอได้รับค่าตอบแทนที่น้อยเกินไป ถึงแม้ชื่อของเธอจะได้รับเกียรติให้ใช้เป็นชื่อกฎหมายการฟื้นฟูการตอบแทนค่าแรง 'The Lilly Ledbetter Fair Pay Restoration Act' ซึ่งประธานาธิบดี Obama ได้ลงนามเป็นฉบับแรกเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งในสมัยแรกเมื่อ ค.ศ. 2009 มีการกำหนดวิธีพิจารณาคดีการจ่ายค่าแรงน้อยเกินกว่าที่จะเป็น ให้เป็นการกระทำที่มีโทษเหมือนพึ่งเกิดขึ้นในกรณีที่มีผู้ร้องทุกข์ในอนาคต แต่ปัญหาของเรื่องนี้อยู่ที่ ผู้หญิงคนอื่นๆ อาจจะไม่โชคดีที่มีบุคคลนิรนามส่งโพยเปรียบเทียบเงินเดือนแบบที่ Ledbetter ได้รับ เพราะหากไม่มีข้อมูลแบบนั้น ผู้หญิงก็จะไม่รู้ว่าเงินเดือนของเธอเท่ากับผู้ชายคนอื่นๆ ที่ทำงานในลักษณะเดียวกัน อายุงานเหมือนๆ กันได้ ซึ่งการขาดข้อมูลที่โปร่งใสในที่ทำงานก็ยังคงเป็นอุปสรรคสำหรับความเสมอภาคในที่ทำงาน ถึงแม้ 'The Lilly Ledbetter Fair Pay Restoration Act' จะผ่านสภาผู้แทนราษฎรในปี ค.ศ. 2009 จะเอื้อให้บริษัทแก้ไขเรื่องข้อบกพร่องในการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว โดยป้องกันไม่ให้บริษัทคุกคามหรือตอบโต้พนักงานที่สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับความห่างของค่าตอบแทนพนักงานในสถานประกอบการ และยังเรียกร้องให้บริษัทส่งข้อมูลเกี่ยวกับค่าจ้างเพื่อการตรวจสอบว่ามีการเลือกปฏิบัติหรือไม่ – แต่ในทางปฎิบัติสิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะต้องใช้กลไกในการร้องสิทธิพอสมควร โดยเฉพาะการผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ในการอภิปรายเพื่อยืดเวลาการลงมติรับร่างกฎหมายเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2009 วุฒิสมาชิก Marco Rubio จากพรรค Republican ระบุว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่มีทางที่จะบรรลุผล "สำหรับผมแล้ว นี่เป็นเพียงโครงการสวิสดิการสำหรับทนายความเท่านั้น" Rubio กล่าว
สถานการณ์โลก เมื่อวันสตรีสากลในปี ค.ศ. 2010 Organization for Economic Cooperation and Development (OECD) ได้ออกรายงาน Gender Brief ซึ่งได้ระบุถึงความไม่เท่าเทียมเรื่องรายได้ระหว่างชายกับหญิงไว้อย่างน่าสนใจ โดยในรายงานระบุว่าแม้กระทั่งในประเทศที่ร่ำรวย ผู้หญิงก็ยังถูกกดค่าแรงให้น้อยกว่าผู้ชาย (โดยเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ชายประมาณ 1 ใน 5) ในขณะที่ผู้หญิงต้องมีหน้าที่ในการดูแลครอบครัว นอกเหนือจากการการทำงานนอกบ้าน ทั้งนี้นายจ้างมักเห็นว่าการที่ผู้หญิงต้องหยุดงานประท้วง หรือเอาเวลาที่ควรมาทุ่มเทให้กิจการไปดูแลครอบครัว เป็นอุปสรรคในการเพิ่มค่าแรง หรือค่าตอบแทนพิเศษอื่นๆ จากการปฏิบัติงาน รวมทั้งนายจ้างมักที่จะไม่เปิดโอกาสผู้หญิงในการพัฒนาศักยภาพของตนเองสักเท่าไรนัก ผู้หญิงในเกือบทุกประเทศในการสำรวจของ OECD พบว่าพวกเธอมักจะมีภาระในการดูแลเด็กๆ และครอบครัวมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า ทำให้ผู้หญิงไม่อาจขยายเวลาทำงานมากกว่าเดิมได้ นอกจากนี้รายงานยังระบุว่า 25% ของผู้หญิงที่ทำงานนอกบ้าน ต้องปฏิเสธโอกาสในการทำงานพิเศษนอกเวลา เพื่อกลับหน้าที่ดูแลครอบครัว ในขณะที่ผู้ชายมีตัวเลขเพียง 6% เท่านั้น ในรายงานของ OECD ระบุว่าช่องว่างระหว่างค่าแรงเห็นได้ชัดในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่ผู้ชายจะได้ค่าแรงมากกว่าผู้หญิงประมาณ 30% ส่วนประเทศอื่นๆ ที่ช่องว่างระหว่างค่าแรงชายหญิงห่างกันอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่ เยอรมัน แคนาดา และอังกฤษ ซึ่งมีตัวเลขความแตกต่างห่างกัน 20% จากค่าเฉลี่ยของ OECD ที่ระบุไว้ไม่เกิน 17.6% ในขณะที่เบลเยี่ยมและนิวซีแลนด์ เป็น 2 ประเทศที่มีความต่างระหว่างค่าแรงชาย-หญิง น้อยกว่า 10% มาดูกรณีศึกษาความพยายามลดช่องว่างนี้ของประเทศนิวซีแลนด์ เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่รัฐบาลนิวซีแลนด์เองก็ไม่ได้มีข้อมูลที่ชัดแจ้งเกี่ยวกับเรื่องความแตกต่างของเงินเดือนนั้น ว่ามีมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นในปี ค.ศ. 2002 นายกรัฐมนตรีหญิงเฮเลน คล็าก (Helen Clark) ได้จัดตั้ง Pay and Employment Equity Unit (PEEU) ซึ่งขึ้นตรงกับกระทรวงแรงงาน เพื่อดูแลความเท่าเทียมกันในเรื่องของการจ่ายเงินและการจ้างงานในหน่วยงานภาครัฐทั้งหมด ทั้งนี้ PEEU สำรวจทั้งหมด 38 หน่วยงานหลักๆ ของภาครัฐ พบว่ามี 21 หน่วยงานด้วยกันที่ผู้หญิงและผู้ชายในระดับคอปกขาวทำงานเหมือนกัน แต่ได้ค่าจ้างต่างกัน ซึ่งความแตกต่างของรายได้นั้นมีตั้งแต่ 3% ไปจนถึง 35% เมื่อเริ่มต้นทำงานผู้หญิงจะได้เงินเดือนน้อยกว่า ผู้ชาย และช่องว่างของเงินเดือนนี้จะยิ่งขยายออกกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนมากที่สุดเมื่อทำงานในระดับอาวุโส จากข้อมูลของ PEEU พบว่าปัญหาความแตกต่างของเงินเดือนยังคงมีมากอยู่ในนิวซีแลนด์ และไม่มีทีท่าว่า PEEU จะทำให้ช่องว่างนี้ลดลงได้ ในปี ค.ศ.2008 สำนักงานสถิติแห่งชาติของนิวซีแลนด์ได้ออกมายืนยันว่า ผู้หญิงจะได้ค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยขั้นต่ำต่อหนึ่งอาทิตย์ประมาณ 354 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ ขณะที่ผู้ชายจะได้อยู่ที่ประมาณ 562 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ ซึ่งรายได้นี้มีความแตกต่างกันอยู่ถึง 37.1% จากการเปิดเผยข้อมูลในครั้งนี้ ทำให้นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) John Key ที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ได้ประกาศยุบหน่วยงาน PEEU เนื่องจากเห็นว่าความต่างของรายได้มีมากขึ้นกว่าตอนที่จะมีการก่อตั้ง PEEU ขึ้นมาเสียอีก
บทส่งท้าย สำหรับประเทศไทยนั้นถึงแม้ดูเหมือนว่า 'ผู้หญิง' ได้รับโอกาสมากขึ้น ตามวิถีของสังคมทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา โดยจากข้อมูลของธนาคารโลกปี ค.ศ. 2012 พบว่าสัดส่วนผู้หญิงเทียบกับผู้ชายในทุกระดับการศึกษา มีมากกว่าผู้ชายตั้งแต่ 9-24 % ซึ่งนับเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก รวมถึงการไต่เต้าขึ้นไปสู่ระดับผู้บริหารที่หญิงไทยมีสัดส่วนประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก จากการสำรวจของ Grant Thornton เมื่อปี ค.ศ. 2011 พบว่าผู้หญิงไทยติดอันดับหนึ่งในการดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงจากทั่วโลก หรือคิดเป็น 45% โดยเฉพาะตำแหน่งผู้บริหารด้านการเงิน แต่สำหรับแรงงานระดับกลางลงไป นอกเหนือจากเรื่องล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงานแล้ว ก็ยังพบปัญหาเรื่องรายได้ในที่ทำงานที่ยังมีความเหลื่อมล้ำระหว่างหญิงชายด้วยเหมือนกัน โดยในกลุ่มแรงงานโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม (ที่มีสัดส่วนแรงงานหญิงสูงถึง 70 %) กลับพบว่าค่าแรงเฉลี่ยต่ำกว่าผู้ชายแม้ในลักษณะงานเดียวกัน … ถึงเวลาบรรจุเรื่องมันส์ๆ เหล่านี้ไว้ในบทละครรึยังครับ ผู้จัดละครหลังข่าวทั้งหลาย ;p
ประกอบการเขียน: Gender Brief (oecd.org, March 2010) Shortchanged: Why Women Get Paid Less Than Men (businessweek.com, 21-6-2012) ผลสำรวจหญิงไทยครองแชมป์ ผู้บริหารระดับสูงจากทั่วโลก (ไทยโพสต์, 9-3-2011) เวิล์ดแบงก์แนะเพิ่มค่าแรงหญิงเท่าชาย (ครอบครัวข่าว, 18-6-2012) หนังสือ "ผู้หญิง การทำงาน การเมือง สังคมและวัฒนธรรม" (โครงการณรงค์เพื่อแรงงานไทย, ธันวาคม 2553) ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
แนวรบข้อมูลโซเชียลมีเดียในฉนวนกาซ่า Posted: 22 Nov 2012 07:44 AM PST
ในช่วงที่การโจมตีฉนวนกาซ่าดำเนินอยู่นั้น ทั้งฝ่ายอิสราเอล ฮามาส และประชาชนผู้ไม่มีฝ่าย ต่างก็อยู่ในสงครามแย่งชิงพื้นที่การนำเสนอข้อมูล เมื่อพื้นที่โซเชียลมีเดียกลายเป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์สำคัญของการโฆษณาชวนเชื่อและการใช้ข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม จิลเลียน ซี ยอร์ค ผู้อำนวยการสาขาเสรีภาพในการแสดงความเห็นนานาชาติจากองค์กร Electronic Frontier Foundation ในซานฟรานซิสโก เขียนบทความถึงการที่รัฐบาลอิสราเอลใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย ในการสร้างอิทธิพลต่อความเห็นของประชาชน โดยก่อนหน้านี้อิสราเอลก็เคยใช้วิธีการเดียวกันใน 'ปฏิบัติการคาสท์ลีด' (Operation Cast Lead) เมื่อ 4 ปีที่แล้ว โดยอาศัย Twitter และ Youtube จิลเลียนกล่าวว่า ขณะเดียวกันก็มีปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มที่ใช้โซเชียลมีเดียในการแสดงการสนับสนุนปาเลสไตน์ เช่นโครงการณ์รณรงค์ด้วยการ 'บริจาค' หนึ่งสเตตัสใน Facebook เพื่อทำให้แฮซแท็ค #Gaza กลายเป็นที่นิยมใน Twitter ซึ่งตั้งแต่ปี 2008 เหล่านักกิจกรรมก็ทำให้ #Gaza กลายเป็นคำฮิตทุกครั้งที่ครบรอบปี และที่สำคัญคือพวกเขาพัฒนาเทคนิคนี้ท่ามกลางการถูกปิดกั้นช่องทางโดยอิสราเอล แต่หลังจากนั้นสี่ปีก็เกิดความเปลี่ยนแปลง ยูเซฟ มูนเนเยร์ จาก ปาเลสไตน์เซ็นเตอร์ ได้ให้สัมภาษณ์ต่ออัลจาซีร่าเมื่อไม่นานมานี้ว่า ในช่วงที่ฉนวนกาซ่าถูกโจมตีในปี 2008-2009 เป็นเรื่องยากมากที่นำเสนอภาพออกมาได้ แต่ด้วยเครื่องมืออย่าง Twitter, Facebook และ YouTube ผลที่เกิดตามมาคือประชาชนธรรมดาทั่วไปสามารถมีสิทธิมีเสียงในการร่วมถกเถียงประเด็นใหญ่โดยอาศัยเครื่องมือนี้ อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของโซเชียลมีเดียที่คนทั่วไปใช้สื่อสารเรื่องราวของตนได้ ซึ่งเคยสร้างพลังในเหตุการณ์ลุกฮือในตูนีเซีย, อียิปต์, และในประเทศอื่นๆแถบภูมิภาค ก็ทำให้ฝ่ายผู้มีอำนาจต้องใช้กลยุทธใหม่ จากเดิมที่เป็นการแทรงแซงโดยรัฐบาล ก็กลายเป็นวิธีการ 'โทรล' (Trolling คือการกลั่นแกล้งอย่างหนึ่งทางอินเตอร์เน็ต มีเป้าหมายหลอกล่อเพื่อทำให้อีกฝ่ายโกรธและแสดงการโต้ตอบที่ไม่เหมาะสมออกมา บางครั้งหมายรวมถึงการหลอกล่อด้วยข้อมูลเท็จด้วย) จิลเลียนบอกว่า ในกรณีที่เกิดขึ้นในซีเรียแสดงให้เห็นปัญหาท้าทายใหญ่หลวงในการเป็นนักข่าวพลเมือง ซึ่งทำให้เกิดความไม่เชื่อถือในตัวโซเชียลมีเดีย ที่น่ายกตัวอย่างคือการเพิ่มขึ้นของกลุ่มคน 'นิรนาม' (Anonymous) ที่เป็นเสมือนเงาคุกคามของรัฐบาล สร้างความกังวลในเรื่อง 'สงครามไซเบอร์' สงครามจิตวิทยาข่มขวัญ ไม่เพียงแค่ฝ่ายอิสราเอลเท่านั้น มีบทวิเคราะห์อีกฉบับหนึ่งเขียนโดยผู้สื่อข่าว ซาฟา จูเดห์ ก็กล่าวว่ากลุ่มติดอาวุธฮามาสก็ใช้โทรทัศน์ช่อง อัล-กุดส์ ในการแสดงแสนยานุภาพในช่วงที่อิสราเอลประกาศโจมตีฉนวนกาซ่า ทั้งจากการอัพเดทการยิงจรวดขีปนาวุธใส่ฝ่ายอิสราเอลนาทีต่อนาที และการแสดงภาพกลุ่มนักรบคลุมหน้าเดินขบวนหลายร้อยคน รวมถึงมีการนำภาพนักรบฝ่ายตนเองกำลังโจมตีฝ่ายอิสราเอลนำมาฉายซ้ำๆ บทวิเคราะห์กล่าวอีกว่า 'การประชาสัมพันธ์' ของฮามาส มีเป้าหมายอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือการสื่อกับประชาชนในกาซ่า อีกเป้าหมายหนึ่งคือต้องการแสดงให้ผู้มีอำนาจของอิสราเอลได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกำลังการรบและโครงสร้างองค์กรที่เป็นปึกแผ่น อันเป็นที่ยอมรับและมีอำนาจในหมู่ประชาชนของกาซ่า ขณะที่อิสราเอลเป็นกลุ่มที่ประชาชนจะไม่ยอมรับพวกเขา วิพากษ์บทบาทของเอกชนผู้ให้พื้นที่โซเชียลมีเดีย จิลเลียนกล่าวในบทความว่า เธอรู้สึกกังวลในเรื่องที่บริษัทให้บริการสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์กเองไม่ได้ปกป้องผู้ใช้จากคำข่มขู่ของฝ่ายรัฐบาล เช่นกรณีของ Youtube ที่เคยปิดกั้นการเข้าชมวีดิโอล้อเลียนศาสนาอิสลามในอียิปต์และลิเบีย แม้จะไม่มีคำขอจากรัฐบาลหรือคำสั่งศาล แต่ในขณะเดียวกันกลับปฏิเสธที่จะนำวีดิโอการสังหารผู้นำกลุ่มฮามาสที่โพสท์โดยกองทัพอิสราเอลออก แม้ว่าตัววีดิโอเองจะละเมิดกฏการให้บริการในเรื่องการมีภาพความรุนแรง ส่วนกรณีของ Twitter ก็ถูกตั้งคำถามว่าทำไมถึงยังปล่อยให้คำกล่าวเชิงข่มขู่ของ @IDFSpokesperson (ซึ่งแสดงตัวเป็นโฆษกของกองทัพอิสราเอล) ยังคงอยู่ในเว็บได้ ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือว่าอิสราเอลทำการปิดกั้นโครงข่ายการสื่อสารในกาซ่าแบบเดียวกับที่อดีตปธน.มูบารัคของอียิปต์เคยทำเมื่อช่วงที่มีการประท้วงปี 2011 ขณะที่โครงข่ายของโทรศัพท์มือถือยังคงใช้งานได้ แต่ระบบไฟฟ้าของกาซ่าใช้งานไม่ได้ ทำให้นักกิจกรรม Telecomix เผยแพร่วิธีการส่งข้อมูลด้วยวิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตวิธีอื่น เช่น การใช้ Text Message เพื่อเขียนข้อความใน Twitter การใช้ซิมการ์ดของอียิปต์ หรือใช้หมายเลข Dial up ของ Telecomix เมื่อนักข่าวพลเมืองในพื้นที่สร้างผลสะเทือนมากกว่า การขาดแคลนรายงานข่าวที่เป็นทางการจากพื้นที่ ทำให้โซเชียลมีเดียมีบทบาทในการนำเสนอข้อมูลมากยิ่งขึ้น เมื่อปี 2009 มีบทความในวารสาร Arab Media & Society ที่กล่าวว่าการไม่อนุญาตให้นักข่าวเข้าไปในพื้นที่ช่วงที่มีปฏิบัติการคาสท์ลีด ทำให้คนภายนอกต้องอาศัยสื่อตัวกลางอิสระที่ก้าวข้ามไปมาระหว่างสื่อแบบเดิมกับสื่อโซเชียลมีเดียโดยไม่มีการกลั่นกรอง และในสงครามปี 2012 แม้จะไม่มีการห้ามนักข่าวแบบเดิม แต่เนื่องจากการอาศัยเครื่องมือโซเชียลมีเดียจากทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายนักกิจกรรมที่นำเสนอไปแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้โซเชียลมีเดียยังคงมีบทบาทสำคัญ ซาฟากล่าวว่ากลุ่มฮามาสมีทักษะในการประชาสัมพันธ์ตนเองมากขึ้น แต่สิ่งที่มีอำนาจในการเปลี่ยนแนวคิดวาทกรรมความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ จริงๆ คือวัยรุ่นหนุ่มสาวนักกิจกรรมชาวปาเลสไตน์ในยุคที่โซเชียลมีเดียกำลังบูม ไมค์ กิกโล ผู้สื่อข่าว Newsweek กล่าวว่า "แม้กลุ่มฮามาสจะยังไม่ชำนาญในการพยายามใช้โซเชียลมีเดีย แต่เป็นกลุ่มนักกิจกรรมอิสระที่ควบคุมอำนาจการเล่าเรื่องของฝ่ายปาเลสไตน์ จากการที่คนในกาซ่าเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อถ่ายทำและอัพโหลดรูปกับวีดิโอของการนองเลือด" จากการที่ภาพบางภาพกลายเป็นสัญลักษณ์ของการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของอิสราเอล แสดงให้เห็นว่าเนื้อหาจากนักข่าวพลเมืองชาวปาเลสไตน์ส่งผลสะเทือนมากกว่าการรณรงค์ของฝ่ายอิสราเอลที่อาศัยเหล่าอาสาสมัครทั้งจากอิสราเอลและสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นบล็อกเกอร์หรือผู้ใช้สื่อโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ และคนเหล่านี้ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อเนื้อหาที่มาจากพื้นที่กาซ่าโดยตรง "พวกเราต้องแยกแยะระหว่างสื่อที่เป็นปากเป็นเสียงให้ทางการซึ่งปนอยู่ในโซเชียลมีเดีย ไม่ว่ามันจะเป็นของรัฐบาลอิสราเอลหรือฝ่ายใดๆ ก็ตามในกาซ่า กับสื่อที่มาจากประชาชน และผมคิดว่าสิ่งที่พวกเราสามารถกระทำได้แบบที่ไม่เคยทำมาก่อนคือ การเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ได้โดยทันที ซึ่งเป็นประชาชนที่ไม่มีฝ่าย ไม่ใช่รัฐบาล หรือกลุ่มใดๆ และสามารถรับฟังพวกเขาได้โดยตรงว่าเกิดอะไรขึ้น" ยูเซฟ มูนเนเยร์ กล่าวให้สัมภาษณ์กับอัลจาซีร่า จิลเลียน ยอร์ค กล่าวว่าเหตุการณ์ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ทำให้พวกเราเท่าทันกับสื่อออนไลน์มากขึ้น และในขณะที่สงครามข้อมูลในโลกดิจิตอลเกิดขึ้นพร้อมๆ กับสงครามในพื้นที่ ก็มีการเฝ้าระวังไม่ให้มีเพียงสื่อตัวกลางของรัฐเท่านั้นที่จะมีบทบาทในโซเชียลมีเดีย เรียบเรียงจาก Gaza unplugged?, Jillian C. York, Aljazeera, 19-11-2012 Analysis: Media war escalates in Gaza, Safa Joudeh, Aljazeera, 19-11-2012
วิธีการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตในกาซ่า ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
องค์การพิทักษ์สยาม 'เพื่อเผด็จการ' แห่งชาติ Posted: 22 Nov 2012 06:48 AM PST การเคลื่อนไหวระดมมวลชนเพื่อชุมนุมใหญ่ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "องค์การพิทักษ์สยาม" ประกาศเป้าหมายอย่างชัดเจนว่า ต้องการโค่นล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยกเลิกระบบการเมืองแบบรัฐสภาและการเลือกตั้ง แทนที่ด้วยระบอบการปกครองแบบแต่งตั้งเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี ที่เรียกว่า "แช่แข็งประเทศไทย" สื่อมวลชนกระแสหลักก็ช่วยกันประโคมโหมข่าว ทำให้การเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ดูเหมึอนยิ่งใหญ่ ทรงพลัง และน่าหวาดหวั่น ราวกระทั่งว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยคงจะเหลือเวลาอยู่รอดได้อีกเพียงไม่กี่วัน แม้แต่แกนนำรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็ยังแสดงความวิตกอย่างเห็นได้ชัด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า หลังจากผ่านความขัดแย้งยาวนาน ทุกฝ่ายทุกคนต่าง "รู้เช่นเห็นชาติ" กันหมดแล้วว่า ความขัดแย้งอันยืดเยื้อในวันนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างสองพลังหลักในสังคมไทยคือ เผด็จการจารีตนิยมกับพลังประชาธิปไตยเสรีนิยม เป็นการต่อสู้กันระหว่างสองระบอบการเมืองคือ ระบอบจารีตนิยมที่ครอบงำรัฐไทยมาตั้งแต่รัฐประหาร 2500 กับระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง สิ่งที่เหลืออยู่ก็เพียงแต่ว่า ใครจะเลือกข้างฝ่ายไหน เท่านั้น แต่ทว่า เนื้อในของกลุ่มคนที่เข้าร่วม "องค์การพิทักษ์สยาม" นั้นไม่มีอะไรใหม่เลย ก็คือบรรดากลุ่มคนที่อยู่เบี้องหลังรัฐประหาร 2549 และการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 โค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและรัฐบาลพรรคพลังประชาชนมาแล้วนั่นเอง ตั้งแต่ "กลุ่มสี่เสา" กลุ่มประชาธิปัตย์ นักวิชาการและพวกคนเดือนตุลาที่หันไปรับใช้เผด็จการ กลุ่มผู้นำสหภาพแรงงานขวาจัด กลุ่มลัทธิสันติอโศก ไปจนถึงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การเคลื่อนไหวขององค์กรพิทักษ์สยามก็คือ การรุกใหญ่ครั้งใหม่ล่าสุดของคนพวกนี้ หลังจากที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อ 3 กรกฎาคม 2555 และหลังจากที่การรุกใหญ่ครั้งสุดท้ายเมื่อมิถุนายน-กรกฎาคม 2555 กรณีศาลรัฐธรรมนูญรับตีความการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ได้สะดุดกลางคันไปเสียก่อน การรุกครั้งนี้ดูเหมือนซ้ำรอยกับการเคลื่อนไหวทุกครั้งในช่วงหกปีมานี้ การโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยปี 2549 และการโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชนปี 2551 คือการใช้ "สี่ขาหยั่ง" ประสานกันอย่างเป็นขั้นตอน เริ่มต้นจากการใช้มวลชนจัดตั้งออกมาชุมนุมขับไล่ ให้กลุ่มอันธพาลการเมืองติดอาวุธก่อความรุนแรงบนท้องถนน ให้พรรคประชาธิปัตย์ขัดขวาง ก่อความวุ่นวายไร้ระเบียบในสภา ให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญใช้กฎหมายทำร้ายนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ท้ายสุดคือ ใช้ทหารเข้าแทรกแซงทั้งโดยวิธีแฝงเร้นหรือรัฐประหารอย่างเปิดเผย ตามมาด้วยการจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นพียงหุ่นเชิดของพวกจารีตนิยม คนพวกนี้เติบโต สั่งสมประสบการณ์ และครองอำนาจอยู่ในยุคเทคโนโลยีอนาล็อกที่มีโครงสร้างเครือข่ายลักษณะศูนย์เดี่ยวและเป็นเส้นตรง ทำให้รัฐสามารถรวมศูนย์ทรัพยากร ขุมกำลังการเมือง ทหาร เศรษฐกิจ และข้อมูลข่าวสาร แต่โลกในศตวรรษที่ 21 ได้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ที่มีลักษณะตรงข้ามคึอเป็นเทคโนโลยีดิจิตอล ที่มีโครงสร้างเครือข่ายแบบหลายศูนย์และเป็นวงกลม พวกจารีตนิยมไม่สามารถรวมศูนย์ผูกขาดข่าวสารข้อมูลได้อีกต่อไป และไม่สามารถควบคุมความคิดของประชาชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ ความพยายามขององค์การพิทักษ์สยามสะท้อน "ภาวะอับจนและร้อนรน" ของพวกจารีตนิยมอย่างชัดเจน ที่ไม่อาจปล่อยให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอยู่บริหารประเทศต่อไปได้ ด้วยตระหนักว่า ความเข้มแข็งและภาวะผู้นำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของนายกรัฐมนตรี ตลอดจนความนิยมทั้งในประเทศและในประชาคมโลก เกิดขึ้นพร้อมกับความเสื่อมในสถานะครอบงำทางการเมืองและอุดมการณ์ของพวกเขา ความอับจนดังกล่าวสะท้อนออกหลายด้าน ประการแรก รัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรียังคงได้รับความนิยมอย่างสูงมากและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ฝ่ายต่อต้านไม่มีความชอบธรรมใด ๆ ในการขับไล่รัฐบาล ทั้งแกนนำและมวลชนจึงมีแต่พวกปฏิกิริยาสุดขั้ว มีสถานะโดดเดี่ยว และไม่ได้รับการสนับสนุนแม้แต่จากคนชั้นกลางในเมืองที่ไม่นิยมพรรคเพื่อไทย ประการที่สอง แกนนำในการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการเปิดเผย "แก่นแกนที่แท้จริง" ของฝ่ายเผด็จการ คนกลุ่มนี้เคย "ซุ่มซ่อน" อยู่ข้างหลังขบวนการล้มรัฐบาลตลอดมา แต่วันนี้ ถึงคราวต้องแสดงตนในที่แจ้ง คือ นำโดย "กลุ่มสี่เสา" หนุนช่วยด้วยแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ และตามด้วยมวลชนสามส่วนคือ มวลชนจัดตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มลัทธิสันติอโศก และกลุ่มเสื้อเหลือง โดยมีกองกำลังติดอาวุธนอกระบบของกลุ่มเหล่านี้สนธิกำลังกัน ประการที่สาม คนพวกนี้ยังคงใช้วิธีการเดิม ๆ ที่เคยได้ผลเลิศทุกครั้ง ซึ่งก็คือ การสร้างสถานการณ์ที่ทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่มาวันนี้ วิธีการนี้กลับไร้ซึ่งพลานุภาพใด ๆ อีกแล้ว ประการที่สี่ เป็นครั้งแรกที่คนพวกนี้ประกาศเป้าหมายทางการเมืองของตนออกมาอย่างเปิดเผย ไม่เป็น "อีแอบ" อีกต่อไปคือ ต้องการยกเลิกระบบรัฐสภาและการเมืองแบบเลือกตั้งทั้งหมด แทนที่ด้วยระบอบ "คุณธรรมแต่งตั้ง" ซึ่งก็คือระบอบเผด็จการที่ปกครองด้วย "คนดี" ที่แต่งตั้งมาจากพวกจารีตนิยมนั่นเอง ประการที่ห้า พวกเขาปฏิเสธการเมืองแบบเลือกตั้งและมุ่งฟื้นการปกครองแบบเผด็จการเต็มรูป นี่เป็นการฝืนกระแสโลกาภิวัฒน์และกระแสประชาธิปไตยในสากลโดยสิ้นเชิง ถึงวันนี้ ประชาคมโลกได้เรียนรู้แล้วว่า ต้นตอแห่งปัญหาความขัดแย้งในประเทศไทยคืออะไร ต้นเหตุอยู่ที่ไหน ใครคือผู้บงการที่แท้จริง ในปัจจุบัน คนพวกนี้จึงอยู่ในสถานะ "เปลือยล่อนจ้อน" ต่อหน้าสายตาชาวโลก พวกเขาจึงอยู่ในสถานะโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก ทั้งหมดนี้ทำให้การพยายามโค่นล้มรัฐบาลในคราวนี้ เป็นการเคลื่อนไหวในเงื่อนไขแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยและไม่เป็นคุณอย่างยิ่งต่อพวกจารีตนิยม การที่พวกเขาตัดสินใจฝืนกระแสประชาธิปไตยในประเทศและต่างประเทศ ดื้อดึงก่อการเคลื่อนไหวในครั้งนี้จึงสะท้อนถึงสถานการณ์อับจนที่แท้จริงของพวกเขา ขุมพลังของฝ่ายเผด็จการยังคงเข้มแข็ง พวกเขาอาจโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยลงได้สำเร็จ เหมือนสองครั้งที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้ พวกเขาจะเผชิญกับการต่อต้านที่รุนแรงและยืดเยื้อยาวนานยิ่งกว่า ทั้งจากพลังประชาธิปไตยในประเทศและจากประชาคมโลก เขาอาจได้รัฐบาลและอำนาจบริหารกลับคืนไป แต่ก็เพื่อที่จะ "สูญเสียทุกสิ่งที่อย่างที่เขามี" ในที่สุด นักปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า "ประวัติศาสตร์เกิดซ้ำสอง เหตุการณ์ครั้งแรกเป็นโศกนาฎกรรม แต่ครั้งที่สองเป็นละครน้ำเน่า" ในแง่นี้ รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็เป็นโศกนาฏกรรมอย่างแท้จริง แต่รัฐประหารครั้งที่สองปี 2555-56 จะเป็นละครน้ำเน่า ที่ผู้ชมเบื่อหน่าย สะอิดสะเอียน ที่จะนำไปสู่จุดจบของผู้สร้างและผู้เขียนเรื่องทั้งหมด ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
Posted: 22 Nov 2012 06:44 AM PST | |
แม่หละ: การจดทะเบียนเกิด ชายแดนตะวันตก-สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลง Posted: 22 Nov 2012 06:32 AM PST "รู้มั้ยเมื่อกี้เราไปไหนมา" ข้าพเจ้าลองเอ่ยถามคนขับรถตู้ที่เช่ามาสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ "รัฐอิสระ เป็นแนวกันชนพม่า พวกกัน(เพื่อน)ที่ขับรถทัวร์เขาว่างั้น" ชายหนุ่มนักขับ กล่าวตอบเสียงดังชัดเจนขณะรถเลี้ยวออกมาจากพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ เมื่อมานึกย้อนอีกครั้งภาพของผู้คนที่นั่นจริงๆแล้วก็อาจจะเป็นเหมือนที่เขาตอบ เพราะที่นั่นคือดินแดนที่คนภายนอกไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปหรือรับรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นหากไม่ได้บัตรผ่านเข้า-ออก (Camp pass) จากกระทรวงมหาดไทย เจ้าภาพหลักที่ดูแลอยู่[1] ข้าพเจ้าหวนนึกถึงบางถ้อยคำเมื่อครั้งไปเยือน "ค่ายผู้ลี้ภัยแม่หละ" หรือ พื้นที่พักพิงชั่วคราวแม่หละเมื่อปี 2549 ตลอดแนวถนนในระยะทางหลายกิโลเมตร กระท่อมหลังเล็กหลังน้อยที่เรียงรายอยู่ค่อนข้างหนาแน่น แม้เพียงระยะสายตามอง เรื่องราวภายในชุมชนแห่งนี้ก็ยังคงไม่แจ่มชัดนักสำหรับคนภายนอกทั่วไป สายของวันที่ 26 ตุลาคม 2555 ข้าพเจ้ามีโอกาสเดินทางมาเยือนพื้นที่พักพิงฯแม่หละอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวาน ได้มีโอกาสรับฟังข้อมูลบางส่วนจาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ในประเด็น "สถานการณ์การจดทะเบียนการเกิดกรณีเกิดนอกสถานพยาบาล" การสำรวจสถานการณ์ข้อเท็จจริงของการจดทะเบียนการเกิดในพื้นที่พักพิงฯ ครั้งที่ 2 ในครั้งนี้จึงเป็นการสำรวจสถานการณ์ข้อเท็จจริงของการจดทะเบียนการเกิดในพื้นที่พักพิงฯ ครั้งที่ 2 ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 9 แห่ง บนตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ข้อมูลจากนายสันติ ศิริธีราเจษฏ์ เจ้าหน้าที่สำนักงานองค์การข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ให้ภาพรวมว่า ปัญหาที่พบโดยรวมในหลายพื้นที่ ได้แก่ ข้อจำกัดในด้านทรัพยากรบุคลากร งบประมาณ เนื่องจากในพื้นที่พักพิงฯมีจำนวนประชากรจำนวนมาก ซึ่งทาง UNHCR ได้เข้ามาสนับสนุนในด้านงบประมาณประจำปี จำนวน 6-7 คน/พื้นที่พักพิง ความพร้อมของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งแนวทางปฏิบัติที่มีความแตกต่างกันในแต่พื้นที่พักพิงฯ สถานการณ์การจดทะเบียนการเกิดในพื้นที่พักพิงฯ ในพื้นที่อ.แม่สอด อ.ท่าสองยางนั้น การจดทะเบียนการเกิดนับตั้งแต่ปลายปี 2554 ที่ผ่านมามีความคืบหน้าและมีความชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดหวังให้เกิดกับพื้นที่พักพิงอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มของผู้หนีภัยที่เป็นผู้ลักลอบอาศัย[3] ในหลายพื้นที่พักพิงเจ้าหน้าที่ยังมีความไม่มั่นใจในการดำเนินการจดทะเบียนการเกิดให้กับบุตรของคนกลุ่มนี้ แม้ว่าจะมีการเชิญเจ้าหน้าที่จากกระทรวงมหาดไทยส่วนกลางมาชี้แจงทำความเข้าใจต่อแนวทางปฏิบัติแล้วก็ตาม ทั้งนี้ในส่วนของ พื้นที่พักพิงฯแม่หละ ปลัดปรีดา ตระกูลชัย ในฐานะหัวหน้าพื้นที่พักพิงฯ ให้ข้อมูลว่าตั้งแต่ ม.ค.2553-ปัจจุบัน มีเด็กที่ได้รับการแจ้งเกิดแล้ว 1,272 คน การดำเนินการในปีนี้ ข้อมูลเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2555 มีจำนวนเด็กที่รอการแจ้งเกิดย้อนหลังอยู่ 138 ราย และดำเนินการไปแล้ว ยังเหลืออยู่ 65 ราย ในส่วนขั้นตอนการจดทะเบียนการเกิดนั้น เราพบว่าก่อนหน้านี้แม้จะมีแนวปฏิบัติที่ออกมาโดยหนังสือสั่งการหลายฉบับ แต่ในทางปฏิบัติในแต่ละพื้นที่พักพิงฯจะมีแนวทางที่แตกต่างกันและไม่ชัดเจนนัก จากคำอธิบายของปลัดปรีชา กรณีของพื้นที่พักพิงฯแม่หละมีขั้นตอนการดำเนินการจดทะเบียนการเกิดกรณีเกิดนอกสถานพยาบาล[4] มีลักษณะคล้ายกันกับพื้นที่พักพิงฯนุโพ[5] คือ เมื่อมีการคลอดที่สถานพยาบาล หรือโรงพยาบาลในพื้นที่พักพิงฯ จะมีการออกหนังสือรับรองการเกิด(แบบฟอร์มคล้ายคลึง ท.ร.1/1) ให้กับคนที่มาคลอด จากนั้นจึงนำหนังสือรับรองการเกิดมาการแจ้งการเกิดกับปลัด แต่ในบางกรณีทางปลัดมีการยืดหยุ่นให้ใช้เอกสารใบฉีดวัคซีนของหน่วยวิจัยมาลาเรียโซโกร -Shoklo Malaria Research Unit (SMRU) เป็นหลักฐานแทนหนังสือรับรองการเกิด เนื่องจากพบว่ามีผู้หนีภัยส่วนใหญ่มาทำคลอดที่นี่เพราะมีบริการฉีดวัคซีนให้เด็กฟรีด้วย แต่เนื่องจากแม่ที่คลอดส่วนใหญ่จะมาแจ้งการเกิดกับทางปลัดค่อนข้างช้า(เกิน 15 วัน) ซึ่งปลัดให้ความเห็นว่าปัญหาเกิดจากทางผู้หนีภัยยังไม่เห็นความสำคัญในการมาจดทะเบียนการเกิด ดังนั้นปลัดจึงออกใบรับแจ้งการเกิด (ท.ร.100)[6] และมีการสอบ ป.ค. 14 เพื่อป้องกันการสวมตัว โดยทางปลัดจะรวบรวมเอกสารไว้บันทึกข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ ประมาณ 1 สัปดาห์ จึงจะส่งเอกสารให้แก่ปลัดฝ่ายทะเบียนแต่ละครั้งเพื่อดำเนินการออกสูติบัตร (ท.ร.031) และเพิ่มชื่อใน ท.ร.38 ก ในกรณีแจ้งเกิดย้อนหลังเกิน 1 ปี จะต้องมีคณะกรรมการหมู่บ้านในพื้นที่พักพิงฯมารับรองด้วย ทั้งนี้แนวปฏิบัติในเรื่องของป.ค.14 นั้น มีการตั้งข้อสังเกตในการสร้างภาระเกินความจำเป็นหรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนว่ากลายเป็นแนวปฏิบัติมาโดยตลอดเช่นกัน ซึ่งทางนายวิโรจน์ ศรีสุวรรณ ผอ.สำนักบริการการทะเบียน และปลัดปรีดา ชี้แจงว่าขั้นตอนดังกล่าวนั้นเป็นการสร้างความมั่นใจ ป้องกันการสวมตัว และไม่ได้สร้างภาระมากเกินไป สำหรับมุมมองของเจ้าหน้าที่ ในขณะที่ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนจิตรา สายสุนทร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ. เสนอว่าปลัดอำเภอในฐานะหัวหน้าพื้นที่พักพิง ควรจะใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 ออกใบรับรองการเกิด ท.ร. 1 ตอนหน้าแทน (เช่นเดียวกับกรณีเด็กเกิดนอกสถานพยาบาล แล้วออกโดยผู้ใหญ่บ้าน) ซึ่งเป็นการรับแจ้งการคลอดไม่ใช่ไปรับรองการคลอดในลักษณะที่ดำเนินการอยู่ เนื่องจากปลัดไม่ใช่แพทย์ผู้ทำคลอด นอกจากนี้รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ ยังเสนอว่าการพัฒนาแบบฟอร์มหนังสือรับรองการเกิดเป็นภาษาอื่นสำหรับกรณีพื้นที่พักพิงก็ควรมีการพิจารณาดำเนินการต่อไป ซึ่งที่ตนเคยเสนอมาก่อนหน้านี้แล้ว ในระยะเวลาอันจำกัดในการลงพื้นที่จากการรับฟังเรื่องราวผ่านผู้ปฏิบัติในพื้นที่ ในระยะเวลาช่วง 2 วัน และเข้าไปในพื้นที่พักพิงฯบางส่วนเท่าที่เราได้รับอนุญาติ ทำให้เห็นว่าแม้ว่าภาพรวมการจดทะเบียนการเกิดในพื้นที่พักพิงฯ แม่หละ ในปัจจุบันจะมีมีความชัดเจนในทางปฏิบัติและมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับกรณีการแจ้งเกิดย้อนหลังให้กับอดีตเด็กที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนการเกิด รวมทั้งกลุ่มเด็กที่เป็นลูกของกรณีผู้หนีภัยที่ลักลอบอาศัยก็ยังเป็นโจทย์ที่ต้องมีการดำเนินการต่อไป เพื่อให้สิทธิที่จะได้รับการจดทะเบียนการเกิดตาม พ.ร.บ. การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2551 ได้คุ้มครองเด็กทุกคนที่เกิดในประเทศไทยอย่างแท้จริง รวมทั้งการสร้างความเข้าใจเรื่องการจดทะเบียนการเกิด และการสร้างแนวปฏิบัติที่ชัดเจนร่วมกันก็ยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายและดูเหมือนยังไม่มีคำตอบในอีกหลายพื้นที่พักพิงฯ ข่าวคราวจากอีกฟากฝั่งที่ดูเหมือนสถานการณ์จะคลี่คลายไปเช่นกัน วันนี้เราได้รับคำตอบชัดถ้อยชัดคำจากปลัดปรีชาว่ายังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนมาถึงที่นี่ว่าจะมีการปิดพื้นที่พักพิงฯใน 3 ปีนี้ ตามที่มีข่าว ขณะที่การจดทะเบียนการเกิด ณ ชายแดนตะวันตก-สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้ว อย่างไรก็ตามโจทย์ที่ยังค้างคาทำให้เรายังต้องติดตามตอนต่อไป รวมทั้งพื้นที่พักพิงอื่นๆที่ยังรอการไปเยือน
[1] ปิ่นแก้ว อุ่นแก้ว ,"ที่ทางความยุติธรรมของ "คนพลัดถิ่นข้ามแดน"....ตอน 2" ส่วนหนึ่งของงานวิจัย เรื่อง "กระบวนการยุติธรรมทางอาญาในพื้นที่พักพิงฯ" สนับสนุนโดย UNHCR, ธันวาคม 2549 , http://www.gotoknow.org/blogs/posts/102962 [2]ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล, "(เฉพาะ) เด็กเกิดใหม่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยนุโพ ได้รับการแจ้งเกิดแล้ว 215 คน" , 20 มีนาคม 2555 http://www.statelesswatch.org/autopagev4/show_page.php?topic_id=554&auto_id=2&TopicPk= [3] ทั้งนี้มีการแบ่งผู้หนีภัยเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ผู้หนีภัยการสู้รบที่คณะกรรมการของอำเภอและจังหวัดมีมติรับสถานะเป็น ผู้หนีภัยจากการสู้รบ และได้จัดทำทะเบียนร่วมกับ UNHCR 2. กลุ่มที่ขึ้นทะเบียนคัดกรอง pre screening (กึ่งขึ้นทะเบียน) 3.กลุ่มที่ลักลอบอาศัย [4]โรงพยาบาลในพื้นที่พักพิงไม่ถือเป็นสถานพยาบาล ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 [5]ดูแผนภาพประกอบ ,อ้างแล้ว ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล 20 มีนาคม 2555, "(เฉพาะ) เด็กเกิดใหม่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยนุโพ ได้รับการแจ้งเกิดแล้ว 215 คน" [6]ระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2551 ข้อ 57 และระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร พ.ศ.2535 ข้อ 58 กรณีแจ้งการเกิดเกินกำหนด( เกิน 15 วัน) กำหนดให้ออกใบรับแจ้งการเกิด( ท.ร.100) ให้กับผู้แจ้งการเกิด
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
รถไฟความเร็วสูง : ฝันให้ได้ (ต้อง) ไปให้ถึง Posted: 22 Nov 2012 06:22 AM PST นับวันความสามารถทางการแข่งขันด้านต่างๆ ของประเทศไทยจะทยอยหมดลงไปอย่างมาก ทรัพยากรและแร่ธาตุที่เคยเป็นแรงดึงดูดใจและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลายภาคส่วนตั้งแต่ช่วงอาณานิคม จนถึงราวทศวรรษ 1970 ได้ร่อยหรอลง ในทางเดียวกัน ข้อได้เปรียบด้านแรงงานและค่าแรง (ทั้งก่อนและหลังการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท) ดูจะลดลง พร้อมกับการเปิดประเทศและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุนของหลายประเทศในภูมิภาค ปัญหาสำคัญที่ควรตั้งคำถามทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า คือเราจะสามารถอยู่รอดภายใต้สถานการณ์เช่นที่ว่านี้ได้อย่างไร? แม้ประเทศไทยจะมีจุดแข็งหลายด้าน อาทิ การมีภาคธุรกิจจำนวนหนึ่งที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์สามารถรับมือกับความไร้เสถียรภาพด้านๆ ต่างในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี แต่จุดแข็งที่สำคัญที่สุดของประเทศตั้งแต่อดีตอันไกลโพ้นจนถึงปัจจุบัน และยากที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคตก็คือ "จุดแข็งทางภูมิศาสตร์" ในการเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเมืองท่า และศูนย์กลางต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในแนวตะวันออก/ตะวันตก และเหนือ/ใต้ โดยที่สภาพและการเชื่อมต่อดังกล่าวเป็นสิ่งที่ปรากฏและดำเนินมาตั้งแต่อดีตเหมือนหลายพันปีก่อนจนถึงปัจจุบัน เราจะเพิ่มศักยภาพของ "จุดแข็ง" ดังกล่าวนี้ได้อย่างไร? ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา "โครงการรถไฟความเร็วสูง" (High Speed Train) ได้รับการพูดถึงอย่างหนาหูขึ้นทุกวัน ซึ่งในความเห็นของผู้เขียนแล้ว โครงการดังกล่าวนี้จะเป็นตัวช่วยอย่างสำคัญในการผลักดันและเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทย แปรจุด "จุดแข็ง" ทางภูมิศาสตร์ของไทยให้กลายเป็น "ศักยภาพ" ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมถึงสังคมและวิถีของผู้คน การพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงจะทำให้เกิดการแปรเปลี่ยนและเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญของประเทศไทยดังต่อไปนี้ ประการแรก ดังที่กล่าวมาแล้ว "จุดแข็ง" ทางภูมิศาสตร์ของไทยจะแปรเปลี่ยนเป็น "ศักยภาพ" สำคัญในการ "เชื่อมโยง" ศูนย์กลางแต่ละภูมิภาคของไทยและประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และลุ่มแม่น้ำโขง ด้วยความเร็วในการเดินทางที่สั้นลงอย่างมาก อันจะส่งผลให้เกิดการไหลเวียนที่รวดเร็วของผู้คน สินค้า และทุน รวมถึงกระชับแหล่งวัตถุดิบให้แนบแน่นกับแหล่งผลิต และแหล่งผลิตกับตลาดสินค้าให้แนบแน่นขึ้นด้วย "ต้นทุน" การเชื่อมโยงที่ถูกกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบถนน ประการที่สอง "กรุงเทพฯ" จะลดความแออัดและกระจุกตัวของประชากรที่เป็นสาเหตุของปัญหาสังคมและการจราจร พร้อมกับการขยายตัวของ "เมืองหลัก" และ "เมืองบริวาร" ตามเส้นทางรถไฟในระยะเดินทางประมาณ ½ - 2 ชั่วโมงด้วยรถไฟจากกรุงเทพฯ อันหมายถึงคุณภาพชีวิตของผู้คนจะมีแนวโน้มทีดีขึ้นและไม่ต้องมีการแย่งชิงทรัพยากรในเมืองศูนย์กลางมากนัก ประการที่สาม "เมืองหลัก" และ "เมืองรอง" ตามภูมิภาคที่เดินทางโดยสะดวกจากกรุงเทพฯ และดินแดนตอนในของประเทศจะเกิดการเติบโตอย่างมีสเถียรภาพ เกิดธุรกิจใหม่ๆ อาทิ ธุรกิจในภาคบริการ การขนส่ง อุตสาหกรรม และธุรกิจสร้างสรรค์ต่างๆ ที่นอกเหนือจากภาคเกษตรกรรมมากขึ้น เนื่องจากทรัพยากร บุคลากร และทุนสามารถไหลเวียนได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น โดยที่ "เมืองหลัก" และ "เมืองรอง" จำนวนหนึ่งจะแปรสภาพตัวเองกลายเป็น "ศูนย์รวม" (Hub) ในการกระจายสินค้าสู่พื้นที่ต่างๆ ในภูมิภาคและประเทศเพื่อนบ้าน ในทางเดียวกับเป็นที่รวบรวมสินค้าจากพื้นที่เหล่านั้นเพื่อส่งต่อและกระจายในพื้นที่อื่น ในลักษณะเดียวกับที่กรุงเทพมหานครเป็นอยู่ในปัจจุบัน ประการสุดท้าย "กรุงเทพฯ" จากปัจจุบันที่เป็นศูนย์กลางในแทบทุกเรื่องจะแปรสภาพตัวเองจากที่อยู่ประจำของคนจำนวนมากเป็น "จุดเชื่อมต่อ" และปฏิสังสรรค์ของผู้คน ทรัพยากร และทุน ที่จะเคลื่อนย้าย (ด้วยความเร็วสูง) จากภูมิภาคและประเทศเพื่อนบ้าน จนกลายเป็นเมืองที่มีความหลากหลายของผู้คนและชีวิตทางสังคม (Cosmopolitan city) เฉกเช่นเดียวกับที่ปรากฏในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก ฮ่องกง และสิงคโปร์ จากที่กล่าวมารถไฟความเร็วสูงจึงเป็นกลไกสำคัญหนึ่งในการเพิ่มศักยภาพของประเทศที่ความสามารถและศักยภาพทางการแข่งขันในหลายด้านเริ่มถดถอยลง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนย้ายของภาคเกษตรกรรมสู่ภาคการผลิตและการบริการที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงการแปรสภาพของ "ต่างจังหวัด" ให้กลายเป็น "ศูนย์กลาง" ด้านต่างๆ ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และลุ่มน้ำโขงอันยากที่จะหนีพ้น
........................... ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
“เจ้าอู๊ด เกซี” ที่ปรึกษากฎหมาย SSA เสียชีวิตขณะเดินทางไปเจรจาพม่า Posted: 22 Nov 2012 06:15 AM PST "เจ้าอู๊ด เกซี" เชื้อสายเจ้าฟ้าไทใหญ่ "หนองบอน" ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย RCSS / SSA ถึงแก่กรรมกะทันหันด้วยโรคหัวใจ ขณะเดินทางไปเจรจากับรัฐบาลพม่ แฟ้มภาพเจ้าอู๊ด เกซี ที่ปรึกษาสภากอบกู้รัฐฉาน/กองทัพรัฐฉาน ถ่ายเมื่อปี 2550 ล่าสุดเจ้าอู๊ด เกซี เสียชีวิตเมื่อวานนี้ (21 พ.ย.) ระหว่างร่วมคณะเจรจาสันติภาพของสภากอบกู้รัฐฉาน/กองทัพรัฐฉาน ไปเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลพม่าระดับสหภาพ ซึ่งมีกำหนดหารือเรื่องการปราบปรามยาเสพย์ติด (แฟ้มภาพ/ประชาไท) มีรายงานว่า เมื่อเวลา 21.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นพม่าวานนี้ (21 พ.ย.) เจ้าอู๊ด เกซี หรือ เจ้าหน่อคำอู๋ อายุ 65 ปี ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของสภากอบกู้รัฐฉาน RCSSกองทัพรัฐฉาน SSA ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจล้ ประวัติเจ้าอู๊ด เกซี เกิดเมื่อ 19 ก.ค. 2490 ในวังเจ้าฟ้าเมืองเกซี บิดาชื่อ เจ้าจิ่ง มารดาชื่อ เจ้าจี่ น้องเจ้าฟ้าทุนเหย่น เจ้าฟ้าเมืองหนองบอน มีพี่น้องรวม 11 คน ชาย 7 หญิง 4 เป็นบุตรคนที่ 8 เจ้าอู๊ด สมรสกับนางเมียะจิ่ง อยู่ จ.แม่ฮ่องสอน มีบุตร 2 คน ชาย 1 คน หญิง 1 คน เจ้าอู๊ด เกซี จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้ มีรายงานว่า ศพของเจ้าอู๊ด เกซี ได้รับการประกอบพิธีฌาปนกิจในบ่
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ "คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
'Insects' ร่วม 'Shakespeare' ฟ้องศาลปกครองเร่งรัดคดี หลังพบหนังถูกปล่อยบิท Posted: 22 Nov 2012 06:01 AM PST 22 พ.ย.55 ธัญญ์วาริน สุขะพิศิษฐ์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง 'Insects in the Backyard' ร่วมกับมานิต ศรีวานิชภูมิผู้อำนวยการสร้าง และสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง 'เชคสเปียร์ต้องตาย' เข้าแจ้งความต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เหตุถูกเว็บไซต์เถื่อน ขโมยหนังไปจำหน่ายและเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต ก่อนหน้านี้คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์มีมติไม่อนุญาตให้ฉายภาพยนตร์ เรื่อง 'เชคสเปียร์ต้องตาย' โดยให้เหตุผลว่า ภาพยนตร์มีเนื้อหาที่อาจก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ส่วนภาพยนตร์เรื่อง 'Insects in the Backyard' ให้เหตุผลว่า ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน มานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย ได้กล่าวถึงการแจ้งความการละเมิดลิขสิทธิ์ครั้งนี้ ว่า เหมือนถูกกระทำซ้ำสอง หลังจากที่ภาพยนตร์ถูกคำสั่งห้ามเผยแพร่มาครั้งหนึ่งแล้ว 'มันแย่มากๆ หลังจากหนักโดนแบนไปก็ยังมีคนมาละเมิด เอาไปขายต่อ มันแย่มากๆ มันเหมือนโดนข่มขืนซ้ำสอง' มานิตกล่าว หลังจากนั้น ทีมผู้สร้าง-ผู้กำกับและทีมทนายความจากหนังทั้งสองเรื่อง ได้เดินทางต่อไปยัง 'ศาลปกครอง' เพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลเร่งรัดการพิจารณาคดีในกรณีการขอให้เพิกถอนคำสั่งไม่อนุญาตให้ฉายภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกัน ความเสียหายและผลกระทบอันจะเกิดขึ้นเพราะเหตุที่มีผู้นำหนังทั้งสองเรื่องไปเผยแพร่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้ผู้ผลิตหนังได้รับความเสียหายและสูญเสียรายได้ที่อาจจะได้รับจากการจัดฉายหลังศาลมีคำพิพากษา โดยในกรณีของเรื่อง 'Insects in the Backyard' นั้น ได้ดำเนินการฟ้องร้องไปแล้วเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2554 แต่ยังไม่มีความคืบหน้าในคดี เช่นเดียวกับในกรณีของ 'เชคสเปียร์ต้องตาย' ซึ่งได้ฟ้องร้องไปเมื่อ 9 สิงหาคม 2555 ก็ไม่มีความคืบหน้าเช่นกัน ด้านธัญญ์วาริน สุขะพิศิษฐ์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง 'Insects in the Backyard' ได้แสดงความเห็นต่อระบบการพิจารณาคดีว่า เป็นไปด้วยความล่าช้า และไม่ทันการณ์ 'มันน่าจะเร็วกว่านี้ มันก็เป็นสินค้า มีระยะเวลาของมัน ไม่ใช่เมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าล้าสมัยไปก็เสียหาย'
ทีมภาพยนตร์รอเข้าแจ้งความต่อ "กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี" (ปอท.) [ซ้ายไปขวา] "สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์" ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง "เชคสเปียร์ต้องตาย", "มานิต ศรีวานิชภูมิ" ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย", "ธัญญ์วาริน สุขะพิศิษฐ์" ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง "Insects in the Backyard" [ซ้ายไปขวา] "พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชร หนูทอง" ตำแหน่ง พงส. (สบ3) กก.3 บก.ปอท. ผู้รับฟ้อง, "มานิต ศรีวานิชภูมิ", "ธัญญ์วาริน สุขะพิศิษฐ์" กลุ่มทีมภาพยนตร์ที่ถูกแบน [ซ้ายไปขวา] "วสันต์ พานิช" ทนายความจากทีมภาพยนตร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย", "มานิต ศรีวานิชภูมิ" ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ "เชคสเปียร์ต้องตาย", "วริทธิ์พล จิวะสุรัตน์" ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ "Insect in the Backyard" ,"ยิ่งชีพ อัชฌานนท์" ทนายความจากเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ผลวิจัยระบุผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไทยตรวจข้อมูลเน็ตสูงอันดับต้นของโลก Posted: 22 Nov 2012 05:14 AM PST คณะนักวิจัยนานาชาติพบการตรวจข้ ฮาดี อัสการี หนึ่งในคณะนักวิจัยให้สัมภาษณ์ ในงานประชุม Global Internet Governance Academic Network (GigaNet) ครั้งที่ 7 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นงานประชุมวิชาการด้ ส่วนสมมติฐานที่ว่าประเทศที่มี ข้อมูลดิบในการศึกษานี้ ประเทศไทยติดอันดับประเทศที่มี
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ศาล รธน.ไฟเขียว "เสธ.อ้าย" ชุมนุม ชี้ไม่ได้แช่แข็งประเทศ Posted: 22 Nov 2012 03:11 AM PST ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องวินิจฉัย กรณีการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามล้มล้างการปกครองฯ ชี้คำร้องไม่ปรากฏมูลเหตุ พล.อ.บุญเลิศ ไม่ได้มีการกล่าวเกี่ยวกับแนวคิดปิดประเทศหรือแช่แข็งประเทศ แต่แช่เพียงนักการเมืองเลว 22 พ.ย. 55 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่ผลการพิจารณามีคำสั่งไม่รับคำร้องกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ และนายสิงห์ทอง บัวชุม ยื่นคำร้อง ขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่า พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ได้กระทำการโดยใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ผลการพิจารณาจากการสอบถามผู้แทนพลเอกบุญเลิศ และผู้แทนพลอากาศโท วัชระ ฤทธาคนีแล้ว ยืนยันว่า ไม่ได้มีการกล่าวเกี่ยวกับการแนวคิดการปิดประเทศหรือแช่แข็งประเทศ แต่หมายความว่า เป็นการแช่แข็งนักการเมืองเลว นักการเมืองชั่ว ไว้สักระยะ 5 ปี เพื่อป้องกันมิให้เข้ามากอบโกยหาผลประโยชน์ และตามคำชี้แจงได้ความว่าการนัดชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย.55 เป็นการชุมนุมเพื่อแสดงพลังขับไล่รัฐบาล หากไม่เป็นผลก็จะยุติการชุมนุม และตามคำร้องยังไม่ปรากฏมูลเหตุว่า จะมีการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 วรรคหนึ่ง ศาลจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องทั้ง 3 ไว้พิจารณา "เสธ.อ้าย" พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม แนวหน้าออนไลน์ รายงานด้วยว่า นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต สว.สรรหา นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย และนายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ ทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม รวม 3 คำร้อง ตามมาตรา 68 กล่าวหาว่า พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม และพล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี โฆษก อพส. กระทำการตามสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างระบอบการปกครอง อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า พล.อ.บุญเลิศ และพล.อ.ท.วัชระ ไม่ได้มีการกล่าวเกี่ยวกับแนวคิดปิดประเทศ หรือแช่แข็งประเทศ แต่หมายว่าเป็นการแช่แข็งนักการเมืองเลว นักการเมืองชั่วไว้ระยะเวลา 5 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้เข้ามากอบโกยหาผลประโยชน์ อีกทั้งการชุมนุมในวันที่ 24-25 พ.ย.นี้ เป็นการชุมนุมเพื่อแสดงพลังขับไล่รัฐบาล หากขับไล่แล้วไม่เป็นผลก็จะยุติการชุมนุม และไม่ได้มีเจตนาเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยมิชอบจากการชุมนุมในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ตามคำร้องยังไม่ปรากฏมูลเหตุว่า จะมีการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครอง หรือให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศ ที่ไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง นายพิมล กล่าวอีกว่า องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับทราบเหตุผลของการชุมนุมทางสื่อมวลชนแล้ว อีกทั้ง มีการส่งตัวแทนมาชี้แจงต่อศาลจึงไม่จำเป็นต้องสั่งให้พล.อ.บุญเลิศ เข้าจี้แจงด้วยตัวเอง ทั้งนี้ หากการชุมนุมที่เกิดขึ้นเข้าข่ายมาตรา 68 ผู้ร้องสามารถยื่นเรื่องได้ตลอดตามขั้นตอน แต่ขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญจะใช้ดุลพินิจอย่างไรต่อจากนี้ ASTVผู้จัดการออนไลน์ รายงานถึงก่อนการไต่สวน นายประยงศ์ ไชยศรี ทนายความองค์การพิทักษ์สยาม ได้กล่าวว่าในวันนี้จะเป็นการชี้แจงข้อซักถามต่อคณะตุลาการ เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะรับคำร้องของผู้ถูกร้องไว้พิจารณาหรือไม่ โดยยืนยันว่าการชุมนุมขององค์กรพิทักษ์สยามเป็นการชุมนุมภายใต้สิทธิ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ และประชาชนเองมีสิทธิ์ที่จะแสดงออกเพื่อปกป้องประเทศชาติ ตามที่เห็นพ้องร่วมกันใน 3 ข้อที่เคยประกาศไว้ในเรื่องการปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ การบริหารราชการไม่มีประสิทธิภาพ เป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ และการปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ทนายความองค์การพิทักษ์สยามยังกล่าวอีกว่า ในการชุมนุมได้มีการประเมินมวลชนไว้ต่อเนื่อง และมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมมวลชนได้ ไม่มีการก่อเหตุรุนแรงจากผู้ชุมนุม ยืนยันว่าจะไม่มีการเคลื่อนมวลชนปิดล้อมรัฐสภา พร้อมมองว่า การที่รัฐบาลจะออก พ.ร.บ.ความมั่นคง ควบคุมการชุมนุม จะไม่สามารถยับยั้งเจตนาของประชาชนที่ทนไม่ไหวกับการบริหารราชการของรัฐบาล ซึ่งการมาชี้แจงในวันนี้จะมีผลต่อการชุมนุมหรือไม่นั้น ต้องรอคำสั่งศาลว่าจะออกมาอย่างไร แต่ในเรื่องมือที่ 3 ที่มีกระแสข่าวว่าจะก่อเหตุความรุนแรง ก็เป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องดูแล ขณะเดียวกัน การไต่ส่วนในวันนี้ ฝ่ายผู้ร้อง ทั้งนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย และนายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ ทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม ได้เข้าชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วย โดยยืนยันว่าการชุมนุมของกลุ่มองค์การ พิทักษ์สยามเข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 อย่างไรก็ตามในการไต่สวนของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้เวลาไต่สวนประมาณ 15 นาทีเท่านั้น โดยมีการซักถามจากนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับแนวทางของ พล.อ.บุญเลิศ ในการแช่แข็งประเทศไทย และมีเจตนาล้มล้างรัฐบาลเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ นอกวิถีทางรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยนายประยงศ์ ไชยศรี ทนายความองค์การพิทักษ์สยาม ชี้แจงว่า แนวคิดการแช่แข็งประเทศไทย เป็นแนวคิดของ พล.อ.บุญเลิศ ที่ระบุว่า เป็นการแช่แข็งนักการเมืองเลวเป็นเวลา 5 ปี ไม่ได้มีเจตนาที่จะแช่แข็งประเทศ เพื่อหยุดระบบและการบริหารแผ่นดิน พร้อมยืนยันว่าการชุมนุมเป็นไปตามสิทธิ์ภายใต้รัฐธรรมนูญเพื่อขับไล่รัฐบาล โดยไม่มีการข่มขู่ใช้กำลัง และไม่ได้มีความต้องการให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยวิธีนอกรัฐธรรมนูญ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
รัฐบาลประกาศใช้ "พ.ร.บ.ความมั่นคง" 22-30 พ.ย. Posted: 21 Nov 2012 10:16 PM PST ครม.ประชุมร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง ก่อนประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในเขตดุสิต พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย ระหว่าง 22-30 พ.ย. ช่วงที่องค์การพิทักษ์สยามจัดชุมนุม นสพ.ข่าวสด รายงานเมื่อเวลา 12.30 น. วันนี้ (22 พ.ย.) ระบุว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุม ครม. ว่า ครม.ย่อยมีมติให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ใน 3 เขตพื้นที่คือ ดุสิต พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย ระหว่างวันที่ 22-30 พ.ย. ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผบ.ตร. เสนอ โดยก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุม ครม.กลุ่มย่อย ซึ่งประกอบด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง 9 คน เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านความมั่นคงเข้าร่วม ประกอบด้วย ตัวแทนเหล่าทัพ กอ.รมน.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือใน ได้แก่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผบ.ตร. พล.อ.อุดมเดช ศรีตบุตร เสนาธิการทหารบก พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช. นายอัชพร จารุจินดา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อเตรียมพร้อมมาตรการรักษาความปลอดภัยสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) และพิจารณาการใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพื่อดูแลความปลอดภัยโดยรอบพื้นที่การชุมนุม ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
คดีแจกใบปลิวหมิ่นฯ ที่ร้อยเอ็ด ศาลจำคุก 3 ปีแต่รอลงอาญา-บำเพ็ญประโยชน์ 18 ชม. Posted: 21 Nov 2012 09:36 PM PST ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดจริง แต่ขณะเกิดเหตุปี 52 มีการชุมนุม จำเลยย่อมได้ข้อมูลหลายทาง และจำเลยประพฤติเรียบร้อย-ไม่เคยเป็นปฏิปักษ์การปกครอง จึงให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี วันนี้ (22 พ.ย.) ศาล จ.ร้อยเอ็ด มีคำพิพากษาคดีที่นายอุทัย (สงวนนามสกุล) ถูกกล่าวหาว่าแจกใบปลิวที่มีข้อความหมิ่นพระราชินีและรัชทายาทให้กับผู้อื่น เหตุเกิดที่ อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด โดยการสืบพยานในคดีทั้งพยานฝ่ายโจทก์และจำเลยในวันที่ 21, 29 สิงหาคม และ 24 กันยายน 2555 และมีกำหนดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 22 พ.ย. ดังกล่าว โดยศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดนำใบปลิวไปให้ผู้อื่นอ่านจริง ลงโทษจำคุก 3 ปี พิเคราะห์แล้วขณะเกิดเหตุปี 52 มีการชุมนุม มีความขัดแย้งหลายกลุ่มจำเลยย่อมได้รับข้อมูลหลายทาง อีกทั้งความเห็นของคณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของตำรวจก็มีความเห็นว่าจำเลยกระทำความผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ประกอบกับจำเลยมีความประพฤติเรียบร้อย ไม่เคยมีประวัติเป็นปฏิปักษ์กับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่พบหลักฐานว่าจำเลยทำใบปลิวขึ้นมา จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี และให้รายงานตัวกับพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ 18 ชม. ภายใน 1 ปี ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น