โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

อนุกมธ.ไทย-มุสลิม วุฒิฯ เชิญทูตมาเลฯ ถก ชี้ปัญหา 'โรฮิงยา' แนวโน้มลดความรุนแรง

Posted: 20 Nov 2012 08:58 AM PST

 

20 พ.ย.55 - อนุกมธ.ติดตามสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทยกับโลกมุสลิม วุฒิฯ เชิญตัวแทนทูตมาเลเซียประชุมความร่วมมือ สานสัมพันธ์ประเทศอาเซียน ถกปัญหา 'โรฮิงยา' จากพม่า ชี้ ปัญหาชาติพันธุ์ในพม่ากำลังลดความรุนแรง อีกไม่นานคงกลับประเทศได้ ด้านภาษา เห็นร่วมกันว่าควรมีการแลกเปลี่ยนเพราะภาษา 'มลายู' จะถูกใช้อย่างแพร่หลายในภูมิภาค  

นายวรวิทย์ บารู สมาชิกวุฒิสภา เป็นประธานในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการศึกษาและติดตามสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทยกับโลกมุสลิม ณ ห้อง 113 อาคารรัฐสภา 2 ได้เชิญตัวแทนจากสถานทูตมาเลเซียมาร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางการประสานความร่วมมือกันในด้านต่างๆ โดยประเด็นแรกคือ เรื่องการแก้ไขปัญหาผู้อพยพชาวโรฮิงญาของมาเลเซียและไทยซึ่งตัวแทนจากสถานทูตมาเลเซียได้ให้ข้อมูลว่า "ในมาเลเซียนั้นมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูงจึงไม่มีมาตรการรุนแรงในการจัดการปัญหาโรฮิงญา มาเลเซียได้เปิดให้ NGOs เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และทางรัฐบาลได้มีการอนุโลมให้โรฮิงญาเข้ามาทำงานในประเทศ เพราะมองว่าเป็นประโยชน์ด้านแรงงานต่อมาเลเซีย ทั้งยังมองว่าปัญหาชาติพันธุ์ในพม่ากำลังจะลดระดับความรุนแรงลง อีกไม่นานผู้ลี้ภัยเหล่านี้ก็จะเดินทางกลับไปยังประเทศพม่าในที่สุด"  

ด้านคณะอนุกรรมาธิการฯ มีมติให้มีการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาจากมาเลเซียมาปรับใช้ในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีการหารือในด้านการศึกษาซึ่งทั้งไทยและมาเลเซียต่างมีความเห็นตรงกันว่า ควรจะมีการศึกษาแลกเปลี่ยนภาษาของกันและกัน เพราะในอนาคตภาษามาลายูจะถูกใช้อย่างแพร่หลายในภูมิภาค และถือว่าเป็นภาษาที่สำคัญในการเตรียมพร้อมสู่การเปิดประชาคมอาเซียน โดยทางรัฐบาลไทยอาจจะมีการเชิญอาจารย์สอนภาษามาลายูมาสอนในมหาวิทยาลัยหลักๆของไทยด้วย
 
ส่วนในทางเศรษฐกิจ คณะอนุกรรมาธิการฯ เสนอว่า ควรจะมีการวางแผนในการพัฒนาทางการเกษตรร่วมกันเพื่อสร้างความเข้มแข็งในด้านอาหารและเศรษฐกิจโดยการวางแผนการเปิดการผลิตอาหารฮาราลร่วมกัน ซึ่งทางตัวแทนจากสถานทูตมาเลเซียรับปากจะนำข้อเสนอเหล่านี้ไปสู้รัฐบาลมาเลเซีย โดยอาจจะต้องพิจารณาข้อจำกัดต่างๆของทั้งไทยและมาเลเซียเองด้วย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จากหน้ามือถึงฝ่าเท้า..ทิศทางป่าไม้ไทย

Posted: 20 Nov 2012 08:45 AM PST

บอกตรงๆ ว่ากำลังงงกับนโยบายด้านป่าไม้ของรัฐบาลนี้อย่างแรง ที่นอกจากจะหาอธิบดีกรมอุทยานฯ คนใหม่ไม่ได้แล้ว ยังชะลอการจับกุมผู้บุกรุกป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติออกไป ทั้งที่บางคดีมีคำสั่งศาลแล้วด้วยซ้ำ

แต่ต้องงง..มึน..ตึ๊บ..หนักไปกว่าเดิมก็กรณีที่ นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ อธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีกรมป่าไม้เตรียมแจกใบรับรองสิทธิ์ทำกิน (สทก.) ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติทั่วประเทศให้กับราษฎรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนฯ โดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ทำกิน  เบื้องต้นจำนวน 1.5 หมื่นแปลง เนื้อที่ประมาณ 3 แสนไร่ ในพื้นที่ 9 จังหวัด จากนั้นจะนำป่าสงวน (เสื่อมโทรม) แจกฟรีปีละ 1 ล้านไร่ ให้ครบ 2.5 ล้านไร่ ใน 3 ปี  ทั้งนี้ สทก.ห้ามมีการเปลี่ยนมือ แต่เป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานได้ ส่วนการทำประโยชน์ในที่ดิน สทก.นั้นไม่จำเป็นต้องมาจากการทำการเกษตรเพียงอย่างเดียว แต่จะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง ถ้าหากเป็นการสร้างรีสอร์ทที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมก็สามารถทำได้

หลายคนกล่าวกันถึงการเมืองไปแล้ว ในที่นี้จะกล่าวถึงเรื่องเก่าที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้อย่างกรณีวังน้ำเขียว และอุทยานแห่งชาติทับลาน ซึ่งมีการใช้ที่ดินผิดวัตถุประสงค์ จริงๆ แล้วการแจกป่าให้กับคนจนได้มีที่ทำกินเป็นความปรารถนาดีอย่างยิ่งยวดในการป้องกันการบุกรุก เพราะดึงให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แล้วเข้ามามีส่วนร่วม การแจกที่ดินแถบวังน้ำเขียวนั้นมี ภบท.5  และส.ป.ก.4-01 ซึ่งที่ดินทั้งสองประเภทนี้ไม่สามารถซื้อขายได้ แต่ทว่าปัจจุบันพื้นที่ที่นั่นอุดมไปด้วยรีสอร์ท บ้านพักของเศรษฐี คำถามสำคัญก็คือรัฐมีปัญญายึดคืนหรือไม่

 เพราะบ้านเรานี้แปลก ที่ดินห้ามซื้อห้ามขายก็ซื้อขายกันได้หน้าตาเฉย พื้นที่ป่าสงวนอย่างเขายายเที่ยงก็ขึ้นไปสร้างบ้านกันได้หน้าตาเฉย ต้องเข้าใจประเด็นสำคัญคือ ป่าไม้ที่ถูกทำลายแล้วอาจจะสร้างขึ้นใหม่ได้นั้นไม่ง่าย จริงอยู่ว่าต้นไม้อาจจะขึ้นเป็นต้นยืนเรียงแถวกันสวยงาม แต่ต้องไม่ลืมว่าเราได้ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ บ้านของสัตว์ป่า และสรรพประโยชน์อีกนานัปการซึ่งไม่รู้ว่าจะฟื้นตัวหรือไม่  

ยอมรับว่า นโยบายใหม่ของกรมป่าไม้เป็นนโยบายที่มองเรื่องการบริหารจัดการป่าไม้ซึ่งเป็นนโยบายเชิงรุก เช่น การยุบหน่วยป้องกันรักษาป่าทั้งประเทศ 491 หน่วย เพื่อจัดตั้งเป็นหน่วยบริหารป่าสงวนแห่งชาติแทนเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ "ไม่เน้นการป้องกัน" แต่เน้นบริหารจัดการพื้นที่ป่าโดยให้ประชาชนช่วยดูแล ในกรณีนี้ ผมรับได้ เพราะคาดหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงการทำงานให้คล่องตัวสอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที

แต่กับนโยบายแจกป่าสงวนที่บอกว่าเสื่อมโทรมเป็นล้านๆ ไร่ในไม่กี่ปี อยากให้กรมป่าไม้ย้อนกลับไปดูอดีตที่ผ่านมาว่า เกิดอะไรขึ้นกับพื้นที่ป่าไม้จากนโยบายต่างๆ ว่า ทำไมพื้นที่ต่างๆ ที่แจกไปจึงไปอยู่ในมือคนรวย หรือป่าสงวนที่ถูกบุกรุกนั้นได้จัดการยึดคืนมาหรือยัง พื้นที่อุทยานฯ ที่ถูกบุกรุกเอาคืนมาหมดหรือยัง ถ้ายังไปจัดการกับปัญหาเก่าให้เสร็จก่อนที่จะมีนโยบายใหม่ๆ เผื่อว่าจะมีแนวทางแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ และต้องไม่ลืมว่า บทเรียนมีไว้ให้ทบทวนและแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด

 จริงๆ แล้วผมไม่ได้ชื่นชอบลัทธิคลั่งฮีโร่ของสังคม เพราะเชื่อว่าคนเรามีดีและเลวปนๆ กันอยู่ แต่พอเห็นสิ่งที่กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำอยู่นั้น มันทำให้ความมึนงงเกิดขึ้นจนอดนึกถึงดำรงค์ พิเดช ไม่ได้จริงๆ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครม.ไฟเขียวขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วปท. เริ่ม ม.ค.56 ตั้ง 'กิตติรัตน์' หามาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ

Posted: 20 Nov 2012 08:21 AM PST

มติชนออนไลน์รายงานว่า วันนี้ ( 20 พ.ย.)  ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายวรวิทย์ จำปีรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบในการขึ้นค่าแรง 300 บาท ทั่วประเทศ โดยจะเริ่มในวันที่ 1 ม.ค. 2556 นี้ แล้ว พร้อมกับหามาตรการในการช่วยเหลือภาคเอกชนที่อาจจะได้รับผลกระทบจากมาตราการดังกล่าว  โดยแต่งตั้งนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการการะทรวงการคลัง เป็นประธานคณะกรรมการในการหามาตรการช่วยเหลือ ซึ่งจะมีการประชุมเพื่อหามาตราการในการเยียวยาผู้ประกอบการต่อไป

ทั้งนี้ ที่ประชุมไม่ได้มีการหารือกองทุนตั้งตัวได้ 5,000 ล้านบาท เพื่อสร้างผู้ประกอบการรายใหม่

วานนี้ (19 พ.ย.) มีการประชุมคณะกรรมการติดตามเรื่องผลกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วประเทศ ของคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) ที่เมืองทองธานี โดยนายสมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานกรรมการหอการค้า ไทย เปิดเผยผลประชุมว่า เป็นการประชุมครั้งที่สองเพื่อหาทางออกต่อปัญหาดังกล่าว โดยครั้งนี้มีมติให้แยกผลกระทบจากค่าแรงเป็น 2 เรื่อง เรื่องแรกคือหามาตรการลดภาระด้านต้นทุน แบ่งเป็น 11 ข้อ และสอง เรื่องการหามาตรการช่วยเหลือด้านการเงิน เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ พร้อมทั้งมีการจัดกลุ่มผลกระทบเป็นระดับสูงถึงต่ำ เนื่องจากแต่ละภาคธุรกิจได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน โดยรายละเอียดต่างๆ ที่ประชุมให้ 3 สถาบันหารือกับสมาชิกอีกครั้งหนึ่ง

นายสมเกียรติกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังรอภาครัฐเรียกหารือเพื่อจัดตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหา หลังจากเอกชนยื่นเสนอไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการติดต่อจากภาครัฐ มีแต่การประสานงานอย่างไม่เป็นทางการ ผ่านเวทีสัมมนาต่างๆ

นายสมเกียรติกล่าวถึงตัวอย่างมาตรการที่อยากให้ภาครัฐช่วยเหลือ เช่น มาตรการด้านต้นทุนอยากให้ลดอัตราเงินนำส่งประกันสังคมทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง มาตรการด้านการเงินอยากให้ภาครัฐสนับสนุนวงเงินกู้ 0% เป็นเวลา 3 ปี โดยให้เพิ่มวงเงินสนับสนุนจาก 20,000 ล้านบาท เป็น 50,000 ล้านบาท

ที่กระทรวงอุตสาหกรรม นายประเสริฐ บุญชัยสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ต้องเดินหน้าแน่นอน ไม่สามารถเลื่อนตามข้อเสนอของ ส.อ.ท.ได้ แต่ยืนยันว่ารัฐบาลจะมีมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบผู้ประกอบการแน่นอน โดยมอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รวบรวมผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบเพื่อออกมาตรการช่วยเหลือ ส่วนความขัดแย้งภายใน ส.อ.ท.มั่นใจว่านายพยุงศักดิ์จะสามารถแก้ไขได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปจัดการ แม้ว่าจะมีอำนาจปลดประธาน ส.อ.ท.ก็ตาม

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวยอมรับว่า วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรง ซึ่งรัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือแล้ว โดยเฉพาะมาตรการทางด้านการเงินและภาษี เช่น สินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท โครงการค้ำประกันสินเชื่อวงเงิน 2.4 พันล้านบาท โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการใหม่วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน วงเงินกู้ยืม 42,000 บาทต่อราย ในอัตราดอกเบี้ย 0.1% ต่อปี โดยมีวงเงินในโครงการทั้งหมด 570 ล้านบาท และสินเชื่อส่งเสริมการจ้างงาน จากกองทุนประกันสังคมอีก 1 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อรองรับค่าแรงสูงด้วย



ที่มา: มติชนออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ขุนนาง ‘สหภาพแรงงาน’ และ ขุนนาง 'NGO' จงช่วยอำมาตย์ ‘แช่แข็งประเทศไทย' กันเถิด?

Posted: 20 Nov 2012 07:50 AM PST

กระแสข่าวที่ออกมาว่า สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ และ NGO บางส่วนเตรียมเข้าร่วมการชุมนุมกับองค์กรพิทักษ์สยาม ที่นำโดย เสธ.อ้าย พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์

รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มิอาจปฏิเสธได้ว่า 'สหภาพแรงงาน' ภายใต้ปีกการนำของ สมศักดิ์ โกศัยสุข และสาวิทย์ แก้วหวาน เข้าร่วมพันธมิตรฯ เพื่อสร้างเงื่อนไขสู่การรัฐประหาร

ในวงการแรงงาน สมศักดิ์ โกศัยสุข นับว่าเป็นผู้มีจิตใจสนับสนุนร่วมการต่อสู้ของผู้ใช้แรงงานเพื่อความเป็นธรรมในสังคม เขาเป็นผู้มากบารมีที่ผู้ใช้แรงงานจำนวนไม่น้อยมีความศรัทธา เอาเขาเป็นแบบอย่าง เขาเป็นแกนนำสำคัญคนหนึ่งที่ต่อสู้กับเผด็จการทหารยุค รสช. สุจินดา คราประยูร ยุคพฤษภา 35

แต่การต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับเผด็จการอำมาตยาธิปไตย เขากลับอยู่ฝั่งเผด็จการอำมาตยาธิปไตย เช่นเดียวกับ สุริยะใส กตะสิลา อดีตเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย

แม้ว่าปัจจุบัน สมศักดิ์ โกสัยสุข เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ขัดแย้งจนถึงแยกทางเดินกับพันธมิตร แต่เขากลับประกาศจะเข้าร่วมชุมนุมกับ เสธ.อ้าย 'ร่วมแช่แข็งประเทศไทย' โดยนำพา 'สหภาพแรงงาน' ใต้ร่มเงาของเขาเข้าร่วม

ผู้เขียนก็มิอาจรู้ทราบได้ว่า 'สหภาพแรงงาน' ที่เขาเคยครอบงำนำพามาร่วมเหมือนช่วงพันธมิตรฯ นั้น ยังจะมีจุดยืนแบบเดิมหรือไม่ ? ยังจะมี 'สหภาพแรงงาน' สักกี่แห่งที่ยังนิยมอำมาตยาธิปไตยกันอยู่ เมื่อนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นจริงได้ทางปฏิบัติ

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยบอกให้รู้ว่า ตราบที่มีระบบประชาธิปไตย ผู้ใช้แรงงานย่อมมีเสรีภาพในการต่อสู้ของผู้ใช้แรงงานเพื่อความเป็นธรรม

หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ประชาธิปไตย เบ่งบาน ทำให้ผู้ใช้แรงงานได้รวมกลุ่ม จัดตั้งองค์กร ตั้งสหภาพแรงงานจำนวนมาก และมีกฎหมายแรงงานขึ้น

สมัยรัฐบาลชาติชาย นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง ผู้ใช้แรงงานผลักดันจนมีกฎหมายประกันสังคม

ประวัติศาสตร์การเมืองไทย บอกให้ตระหนักว่า ยุคที่ไม่มีประชาธิปไตย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง อำนาจเผด็จการครองเมือง ประชาชนไม่มีเสรีภาพ

การปราบปรามอย่างอำมหิต 6 ตุลา 2519 เป็นผลให้ผู้ใช้แรงงานกลายเป็นเพียงจักรกลของกระบวนการผลิต ไม่มีความเป็นมนุษย์ ไม่มีสิทธิเสียง และไม่มีอำนาจต่อรองแต่อย่างใด

ภายหลังการรัฐประหาร 24 กุมพาพันธ์ 2534 โดย รสช. ทำให้นายทนง โพธ์อ่าน ผู้นำแรงงานที่ประกาศกล้าต้านอำนาจนอกระบบ หายไปกลับกลีบเมฆ ปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่า 'ใครฆ่าทนง โพธิ์อ่าน'

อย่างไรก็ตาม องค์กรแรงงานหาได้มีเพียงการนำของสมศักดิ์ โกสัยสุข เพียงผู้เดียว ไม่กี่วันมานี้ สหภาพแรงงานผู้รักประชาธิปไตย เช่น สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ การตัดเย็บเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์หนังแห่งประเทศไทย (ส.พ.ท.) ได้แถลงจุดยืน คัดค้านการแช่แข็งประเทศไทย ต่อต้านการรัฐประหาร

สำหรับ สมศักดิ์ โกศัยสุข จึงเป็นเพียง 'ขุนนาง' ของสหภาพแรงงานเท่านั้นเอง

การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ประวัติศาสตร์ประชาชน เล่ากันว่า NGO จำนวนไม่น้อย หรือส่วนหนึ่ง ไม่ว่าจะได้เป็น NGO ที่รับงบประมาณจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพ( สสส.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) สถาบันพัฒนาการเมือง เครือข่ายของคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กปอพช.) ฯลฯ ได้แสดงบทบาทต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างแข็งขัน ทั้งเปิดเผยและซ่อนเร้นปิดลับ สนับสนุนพันธมิตรฯ ร่วมกันออก 'ใบอนุญาตรัฐประหาร' แม้ปากจะบอกว่าไม่ใช่ก็ตาม

พวกเขาล้วนจิตใจดี เป็น 'คนดี' ต้องการสังคมที่เป็นธรรม สิ่งแวดล้อมไม่เป็นพิษ ฝันใฝ่ให้ทุกคนมีความเสมอภาคกัน

แต่พวกเขาจำนวนมาก ชอบความคิดแบบอนุรักษ์นิยม พึ่งตนเองพอเพียง ชอบอะไรแบบไทยๆ พวกเขามักบอกความจริงไม่หมด เมื่อเขาไม่ยอมเปิดโปงว่า ใครครอบครองยึดเจ้าของทรัพยากร พวกเขาชอบแฉโครงการ แต่ไม่พูดเมื่อกระทบถึงทุนอำมาตย์ เขามักยกเว้นไว้แม้แต่กับมวลชนที่ใกล้ชิดพวกเขาเอง

พวกเขาจ่อมจมกับปัญหาเฉพาะประเด็นแบบกัดไม่ปล่อย แต่ไม่เชื่อมโยง ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์และเงื่อนไขสภาพความเป็นจริงที่ดำรงอยู่

บางทีดูเหมือนพวกเขาบูชาชาวบ้านโดยเฉพาะชนบท แต่กลับมองชาวบ้านที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการต่างๆของพวกเขาว่า โง่ ถูกซื้อ โดนนักการเมืองหลอก ไม่ทันเลห์ย์ทันเหลี่ยมของนักเลือกตั้ง บางครารัฐบาลไม่แก้ไขปัญหาที่พวกเขาเสนอ เขาก็พร้อมที่จะขับไล่รัฐบาล แม้ว่าชาวบ้านที่พวกเขาทำงานด้วยอาจจะได้ประโยชน์จากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน พักหนี้เกษตรกร

จึงอาจไม่แปลกใจแต่อย่างใด ที่พวกเขาไม่น้อยร่วมการเคลื่อนไหวกับพันธมิตรขับไล่รัฐบาลทักษิณในครั้งที่ผ่านมา

แต่ขอโทษเถิด มวลชนจำนวนมากที่แม้พวกเขาทำงานด้วยนับสิบปี ก็หาได้ร่วมมือกับพวกเขาไม่ ยกเว้นพวกแกนนำชาวบ้านที่ถูกอุปถัมป์โดยพวกเขา มิพักพูดถึงการจัดตั้งของพวกเขาที่ไม่เปิดให้เจ้าของปัญหา ยืนได้ด้วยตนเอง เจรจากับรัฐมนตรีได้ แถลงข่าวได้เอง ทั้งๆ ที่เขาจัดตั้งกันมานับสิบๆ ปี แต่ไม่ยอมให้มวลชนมีอำนาจเอง

การจัดตั้งองค์กรของพวกเขามักใช้ระบบอาวุโส ควบคุมความคิดต่างของคนรุ่นใหม่ ไม่ต่างระบบราชการที่พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์

บางทีดูเหมือน พวกเขาจำนวนไม่น้อยเกลียดทุนนิยมมากๆ ยกเว้นทุนที่ไม่สามานต์ตามความคิดของพวกเขา บางครั้งพวกเขาคัดค้านทุนต่างชาติที่จะแย่งชิงทรัพยากรจากเมืองไทยเหมือนพวกชาตินิยมสุดโต่ง แต่ใยพวกเขากลับสนับสนุนเสริมเติมอำนาจให้กับทุนผูกขาดล้าหลังอภิสิทธิ์ชนในเมืองไทยนี้กันละ?

การเข้าร่วมกับองค์กรพิทักษ์สยามของพวกเขาบางส่วนในครั้งนี้ ย่อมตอกย้ำว่า อุดมการณ์ความคิดของพวกเขานั้น ไม่เชื่อว่า 'คนเท่ากัน' ไม่ยอมรับระบบหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง ชิงชังนักการเมือง ชมชอบระบอบอำมาตยาธิปไตย

พวกเขา NGO เป็นดั่ง 'ขุนนาง' รับใช้ชนชั้นปกครองในยุคสังคมศักดินาเท่านั้นเอง 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สหภาพแรงงานรถไฟฯ ประณามคนร้ายบึ้มทางรถไฟสายใต้

Posted: 20 Nov 2012 07:37 AM PST

      
วานนี้ (19 พ.ย.) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) ออกแถลงการณ์ ประณามการลอบวางระเบิดรถไฟเส้นทางสายใต้ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้ขบวนรถไฟโดยสารท้องถิ่นที่ 453 ตกราง ระหว่างสถานีรถไฟรือเสาะ-ลาโล๊ะ จ.นราธิวาส ส่งผลให้มีผู้โดยสาร เจ้าหน้าที่รัฐ และพนักงานการรถไฟฯ เสียชีวิตจำนวน 3 ราย และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก

 


แถลงการณ์ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.)
เรื่อง ประณามการลอบวางระเบิดขบวนรถไฟในเส้นทางสายใต้

    
ตามที่ได้เกิดเหตุคนร้ายได้ลอบวางระเบิดทางรถไฟสายใต้ระหว่างสถานีรถไฟ รือเสาะ-ลาโล๊ะ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 18 พฤศจิกายน 2555 จนเป็นเหตุให้ขบวนรถไฟโดยสารท้องถิ่นที่ 453 ตกราง ตู้รถไฟที่บรรทุกผู้โดยสารถูกแรงระเบิดอย่างรุนแรง และเมื่อขบวนรถไฟตกรางแล้ว คนร้ายได้กระหน่ำยิงซ้ำขบวนรถไฟ จนเป็นเหตุให้ผู้โดยสาร และเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งพนักงานการรถไฟฯ เสียชีวิตจำนวน 3 ราย และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน โหดเหี้ยม อำมหิต โดยเฉพาะการกระทำต่อขบวนรถไฟ และประชาชนผู้บริสุทธิ์

สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต และผู้ที่ไดรับบาดเจ็บ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การรถไฟแห่งประเทศไทย พนักงาน ได้ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ในการให้ความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยภาคใต้ โดยไม่แบ่งแยกว่าจะเป็นชนชาติ เชื้อชาติ สัญชาติ ลัทธิความเชื่อ และนับถือศาสนาอะไร ภารกิจที่ยิ่งใหญ่เหนืออื่นใดคือการให้บริการ การกระทำอย่างมีเป้าหมายต่อขบวนรถไฟที่มีผู้โดยสารซึ่งเป็นประชาชน และพนักงานผู้บริสุทธิ์ถือเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม ไม่ได้เป็นการกระทำของผู้ที่มีอุดมการณ์ แต่เป็นเพียงเป็นการกระทำของผู้บ้าคลั่งนิยมความรุนแรง สร.รฟท. จึงขอประณามต่อผู้กระทำการอันป่าเถื่อนโหดเหี้ยมอำมหิตในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเป็นเหตุอันสะเทือนใจของพี่น้องประชาชน แต่ สร.รฟท.สมาชิก และพนักงานยังคงยืนยันในความพร้อมที่จะทำหน้าที่ในการให้บริการ ด้วยความตระหนักถึงความปลอดภัยของพี่น้อง ประชาชน พนักงานจึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวของด้านการคุ้มครองความปลอดภัยต่อเส้นทาง และขบวนรถไฟ ดำเนินการตามมาตรการที่ไดตกลงร่วมกันก่อนหน้านี้ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย ฝ่ายบ้านเมือง และ สร.รฟท.โดยเคร่งครัดในการป้องกันเหตุอย่างเข้มงวดเพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก

สร.รฟท.ขอเป็นกำลังใจให้แก่สมาชิก พนักงาน ขอชื่นชมในการปฏิบัติหนาที่ในพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างมีความรับผิดชอบ รวมทั้งผู้บริหารในพื้นที่ และส่วนกลาง รวมทั้งผู้ว่าการการรถไฟฯ คนใหม่ซึ่งเพียงไม่กี่วันที่เข้ารับหน้าที่แต่ก็ได้แสดงความกระตือรือร้นในการลงพื้นที่เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา และสร้างขวัญกำลังใจให้แก่พนักงาน ซึ่ง สร.รฟท.จะได้ประสานงานกับผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อความปลอดภัยในการเดินรถไฟต่อไป และยืนยันหากทุกอย่างมีความพร้อม พนักงานทุกคนมีความพร้อม และมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ในการให้บริการแก่พี่น้องประชาชนต่อไป

      
สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย
       19 พฤศจิกายน 2555
      

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

Posted: 20 Nov 2012 06:26 AM PST

"คนอย่าง เสธ.อ้าย มีนะในอเมริกา แต่มันขึ้นเป็นหน้าข่าวไม่ได้ มันจะอยู่ในข่าวท้องถิ่น ข่าวบ้าๆ บอๆ หรือในเว็บไซต์"

16 พ.ย.55, ตอบประเด็น คนอย่างเสธ.อ้ายในประชาธิปไตยแบบอเมริกันมีไหม ในเสวนาเลือกตั้งอเมริกา

ประชาชนปาเลสไตน์ชุมนุมประท้วงปฏิบัติการฉนวนกาซ่าของอิสราเอล

Posted: 20 Nov 2012 05:48 AM PST

หลังเกิดเหตุโจมตีด้วยกำลังอาวุธในฉนวนกาซ่าเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจนมีประชาชนได้รับความสูญเสียจากเหตุการณ์ ประชาชนชาวปาเลสไตน์ก็พากันออกมาชุมนุมตามที่ต่างๆ ในเขตเวสท์แบงค์ เพื่อประท้วงการโจมตีฉนวนกาซ่าของอิสราเอลรอบล่าสุด

19 พ.ย. 2012 - ชาวปาเลสไตน์ออกมาเดินขบวนตามท้องถนนของเขตเวสท์แบงค์ เพื่อประท้วงปฏิบัติการโจมตีฉนวนกาซ่าทางอากาศของอิสราเอล โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมอย่างน้อย 2 ราย
การประท้วงเกิดขึ้นที่ของเมืองฮีบรอน หลังจากที่ถูกกองกำลังรักษาความปลอดภัยของอิสราเอลผลักให้ถอยร่นไปยังใจกลางเมือง

ผู้พบเห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นผู้อาศัยในฮีบรอนเล่าว่า เขาเห็น ฮัมดี อัล-ฟาลา อายุ 17 ปี ถูกทหารฝ่ายอิสราเอลยิงเข้าใส่ 4 นัด โดยที่ในตอนนั้น ฮัมดี อัล-ฟาลา กำลังจะเข้าไปในบ้าน แต่มีการปะทะกันในละแวกใกล้เคียง และฮัมดีอาจเป็นหนึ่งในผู้ประท้วงด้วย ฮัมดีโดนยิงเข้าที่ขาหนึ่งนัด ที่แขนหนึ่งนัด ที่หน้าอกและที่หัวอีกอย่างละหนึ่งนัด

"ในตอนนี้กองกำลังของอิสราเอลอยู่ที่ใจกลางเมือง พวกเขายิงแก็สน้ำตาทั่วไปหมด ทางเข้าเมืองแทบทั้งหมดถูกปิด พวกเขายิงกระสุนเหล็กที่หุ้มด้วยยางและกระสุนปืนจริง สถานการณ์ที่นี่เริ่มปั่นป่วนแล้ว" ชาวเมืองฮีบรอนเล่าเหตุการณ์
มีวีดิโอถ่ายโดยมือสมัครเล่นแสดงให้เห็นวัยรุ่นชาวปาเลสไตน์ยิงดอกไม้ไฟที่ใจกลางเมือง กระตุ้นให้ทหารอิสราเอลตอบโต้กลับด้วยความรุนแรง

นอกจากกรณีล่าสุดนี้แล้ว ก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจปาเลสไตน์คนหนึ่งถูกยิงในที่ชุมนุมหมู่บ้าน นาบี ซาเลห์ และเสียชีวิตสองวันหลังจากถูกนำส่งโรงพยาบาล

ในหมู่บ้านอัตตารา ผู้ประท้วงหลายคนได้รับบาดเจ็บหลังจากถูกทหารอิสราเอลยิงแก็สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุม ฝ่ายผู้ชุมุนมชาวปาเลสไตน์เองก็ขว้างปาก้อนหินใส่ก่อน โดยที่มีบางส่วนถูกทหารอิสราเอลจับกุมตัวไป

ในอีกมุมหนึ่งของเขตเวสท์แบงค์ ใกล้กับชุมชนโอฟรา ชาวปาเลสไตน์และผู้ประท้วงจากต่างชาติพยายามปิดกั้นเส้นทางเข้าไปสู่ชุมชนซึ่งพาดผ่านเวสท์แบงค์

ในย่านรามัลลาห์ กลุ่มวัยรุ่นชาวปาเลสไตน์พากันตัดรั้วของค่ายทหารโอเฟอแล้วนำธงปาเลสไตน์ไปปักไว้ในค่าย ซึ่งค่ายทหารในโอเฟอยังได้ใช้เป็นเรือนจำและศาลทหารในเวสท์แบงค์ด้วย

ผู้อาศัยในเมืองโอรีฟ บอกว่ามีกลุ่มผู้มาตั้งรกรากจากชุมชนใกล้เคียงมาที่มัสยิดในเมือง ก่อนจะเทน้ำมันลงยนพรมใกล้กับประตูมัสยิดแล้วจุดไฟเผา ราว 30 นาทีก่อนการละหมาดในช่วงเช้า

หลังจากที่กองกำลังอิสราเอลออกปฏิบัติการ 'เสาหลักแห่งปราการ' (Pillar of Defense) เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปฏิบัติการทางอากาศเพื่อสังหาร อาห์เหม็ด จาบารี ผู้บัญชาการทหารของกลุ่มติดอาวุธฮามาส ทั้งกองกำลังอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธในปาเลสไตน์ตอบโต้กันด้วยกำลังอาวุธเหนือฉนวนกาซ่า เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นพลเรือนจำนวนมาก


ที่มา
Palestinians protest in the West Bank, Aljazeera, 19-11-2012

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บอร์ด สปสช. ผิดหวังหมอประดิษฐ์สั่งคลังไฟเขียวใช้ยากลูโคซามีน

Posted: 20 Nov 2012 04:29 AM PST

ตามที่ นพ.ประดิษฐ์  สินธวณรงค์  รมว. สาธารณสุข ประธานคณะกรรมการบริหารยาฯ สั่งให้กรมบัญชีกลางยกเลิกประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง ห้ามเบิกยากลูโคซามีนแก้โรคข้อเข่าเสื่อมในสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ ซึ่งมีมูลค่าปีละประมาณ 700 ล้านบาท ตามกระแสเรียกร้องของบริษัทยาและข้าราชการ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากนักวิชาการที่ชี้ว่า ยาดังกล่าวไม่มีข้อมูลทางวิชาการที่เชื่อถือได้ว่ามีประโยชน์ในการรักษาโรคดังกล่าวจริง เพราะที่อเมริกาจัดเป็นเพียงอาหารเสริมประเภทหนึ่งเท่านั้น 

20 พ.ย. 55 ต่อกรณีดังกล่าว นส.บุญยืน ศิริธรรม กรรมการหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า รู้สึกผิดหวัง เพราะเพียงยกแรก รมว.สาธารณสุข ก็สั่งข้ามกระทรวงให้กรมบัญชีกลางถอยต่อแรงกดดันยอมให้ประเทศ ต้องสูญเสียเงินงบประมาณปีละกว่า 700 ล้านบาท ทั้งๆ ที่เพิ่งประกาศนโยบายจะลดค่าใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดผลต่อสุขภาพของสวัสดิการข้าราชการที่ใช้งบประมาณค่ารักษาพยาบาลสูงกว่าผู้ป่วยบัตรทองหลายเท่าตัว

"การสั่งกระทรวงการคลังให้ถอยเรื่องยากลูโคซามีนของ รมว.สาธารณสุข อยากถามรัฐมนตรีที่เป็นหมอว่า เอาข้อมูลวิชาการจากไหนมาใช้ตัดสินใจ เป็นสัญญาณบอกชัดเจนว่า นโยบายลดความเลื่อมล้ำและปฏิรูประบบประกันสุขภาพสามกองทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นเพียงราคาคุยให้ดูดีเท่านั้น ท้ายที่สุดการกระทำจริงก็เอื้อประโยชน์บริษัทยาต่างชาติ และตัดงบเหมาจ่ายของระบบบัตรทอง ทำให้เป็นระบบอนาถา ผลักผู้ป่วยไป รพ.เอกชนเท่านั้นเอง" บอร์ด สปสช.ภาคประชาชนกล่าว

ขณะเดียวกัน นพ.วิชัย โชควิวัฒน กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวถึงนโยบายของ รมว.สาธารณสุขที่ประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ว่า จะยกเลิกกองทุนย่อยต่างๆ ของ สปสช. ว่าเป็นการถอยหลังเข้าคลองครั้งใหญ่ เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่สมัย นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ อดีตเลขาธิการ สปสช. คนแรกได้วางรากฐานให้ผู้ป่วยที่มีปัญหามากในการเข้าถึงบริการรักษาพยาบาล อาทิ ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เอดส์ หัวใจ มะเร็ง โรคเลือดออกง่ายฮีโมฟีเลีย  ต้อกระจก โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง เป็นต้น สามารถเข้าถึงการบริการได้อย่างทั่วถึงโดยอาศัยการบริหารแบบโรคเฉพาะโดยมีกองทุนย่อยต่างๆ ของ สปสช.เป็นเครื่องมือสำคัญในการจ่ายค่าชดเชยและควบคุมราคาค่าบริการไม่ให้สูงจนเป็นภาระค่าใช้จ่ายของกองทุน สปสช.ทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้ที่เคยล้มละลายจากค่าใช้จ่ายสูงสามารถเข้าถึงการบริการดังกล่าวดีกว่าผู้ป่วยสิทธิอื่นๆ

"อยากฝากคุณหมอประดิษฐ์  ให้ใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยอย่าทำให้ระบบบัตรทองกลายเป็นระบบอนาถา  เพราะจะเป็นการผลักผู้ป่วยให้ไปใช้บริการ รพ.เอกชน เหมือนในอดีต ขณะนี้สังคมกำลังจับตาว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ที่กำลังกว้านซื้อขยายธุรกิจ รพ.เอกชน หรือไม่" นพ.วิชัย โชควิวัฒน กล่าว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชาธิปไตยดีตรงไหน???

Posted: 20 Nov 2012 04:21 AM PST

"ผมไม่เคยเห็นว่าระบบประชาธิปไตยจะดีตรงไหนมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เช่น ถ้าคุณเป็นคนดีของจังหวัด แต่ไม่มีเงินลงสมัคร ส.ส. ก็ไม่ได้รับเลือก แล้วมันจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร ลองอธิบายหน่อย พอรูปแบบมันเป็นอย่างนี้ก็คิดฉ้อฉลเอาเงินงบประมาณไปใช้กันอย่างไม่โปร่งใส ออกนโยบายเพื่อประโยชน์เพื่อคนชอบ แต่ว่าบ้านเมืองเสียหายเท่าไหร่ไม่รู้ ไม่สน ขอให้ตัวเองชนะ"

จากจุดเปลี่ยน, มติชนรายวัน, 19 พ.ย.2555

 

คำถามที่เกิดจากประโยคด้านบนเกิดขึ้นหลังจากอ่านซ้ำไปซ้ำมาไม่ต่ำกว่า 3-4 รอบ คือระบอบประชาธิปไตยดีหรือไม่ดีอย่างที่ เสธ.อ้าย ว่า หากจะหาคำตอบคงต้องนึกย้อนไปในหลายยุคหลายสมัยที่เหล่ามนุษย์พยายามหาระบอบการปกครองมนุษย์ด้วยกันด้วยระบอบที่คิดว่าดีที่สุด เหล่ามนุษย์ได้ลองมาหลายวิธี เช่น การยกอำนาจสิทธิขาดให้แก่คนเพียงผู้เดียว ซึ่งต่อมาถูกแทรกแซงด้วยความศักดิ์สิทธิประหนึ่งเทพเจ้าทำให้ได้การตรวจสอบนำไปสู่การกดขี่ข่มเหงมนุษย์ด้วยกัน หรือระบอบที่ทุกคนเท่าเทียมกันทรัพยากรทุกสิ่งเป็นของรัฐ แต่ด้วยกิเลสแห่งมนุษย์ท ำให้ไม่สามารถไปถึงอุดมคติแห่งระบอบนั้น และระบอบการปกครองที่ถูกยอมรับจากมนุษย์ทั่วโลกจำนวนมากว่า เป็นระบอบที่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจระหว่างมนุษย์ผู้ปกครองกับมนุษย์ผู้อยู่ใต้ปกครองได้ดีที่สุด ระบอบนั้นเรียกว่า ประชาธิปไตย

มีผู้ให้นิยามระบอบประชาธิปไตยไว้หลากหลาย  คำว่า democracy ในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณว่า "ดีมอคระเทีย" ซึ่งหมายถึง "การปกครองโดยประชาชน" (popular government)[15] อันเป็นคำประสมระหว่างคำว่า "ดีมอส" หมายถึง ประชาชน และ "คราทอส" (หมายถึง การปกครอง หรือ พละกำลัง

ส่วนในภาษาไทย คำว่า ประชาธิปไตย ประกอบด้วยคำว่า "ประชา" ซึ่งหมายถึง "ปวงชน" และ "อธิปไตย" ซึ่งหมายถึง "ความเป็นใหญ่" เมื่อรวมกันจึงหมายถึง "ความเป็นใหญ่ของปวงชน" ส่วนพจนานุกรมของราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายว่า "แบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่"อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น มีคำกล่าวว่า ประชาธิปไตยเป็น การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน

ในประเทศไทยนับแต่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร โดยการให้อำนาจอันแท้จริงตกเป็นของราษฎรทั้งหลาย การปกครองของไทยหลังการเปลี่ยนแปลงก็เหมือนกับประเทศอื่นๆ ที่การเปลี่ยนแปลงผันผวนตามกระแสแห่งโลก บางยุคเป็นเผด็จการชาตินิยม บางยุคเป็นเผด็จการอำนาจนิยม บางยุคเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ มีการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยจนมีประชาชนในประเทศบาดเจ็บล้มตาย ประเทศไทยเรียนรู้จากการเดินทางของระบอบประชาธิปไตยเป็นเวลากว่า 80 ปี มีนักการเมืองผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าสู่อำนาจ ความคิดทางการเมืองของประชาชนถูกพัฒนาไปโดยตัวประชาชนเองนั้น รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง ถูกทางบ้างผิดทางบ้าง อยู่ที่ใครจะมองและตีความ ในภาวะความขัดแย้งทางการเมืองความคิดทางการเมืองของคนไทยเปลี่ยนไปอย่างสลับซับซ้อนแต่ไม่เคยหยุดนิ่ง

อย่างไรก็ดีระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ผ่านการออกแบบมาสำหรับการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจและการใช้อำนาจ นักการเมืองภายใต้ระบอบนี้จะทำอะไรต้องถูกจับตามองจากประชาชนอยู่เสมอ การวิพากษ์วิจารณ์กระทำได้อย่างเสรี ในทางกลับกัน ระบอบที่มีการเข้าสู่อำนาจด้วยการใช้กำลังยึดแย่งอำนาจจากประชาชน แล้วยัดเยียดคนที่อ้างว่าเป็นคนดีให้มาบริหารประเทศโดยไร้การตรวจสอบ ประหนึ่งหญิงสาวไร้เดียงสาถูกจิ้งจอกสังคมที่ฉาบหน้ามาด้วยความเป็นผู้ดีหลอกพาเธอไปย่ำยีในทางเปลี่ยว และที่เจ็บปวดกว่านั้นคือคนที่ข่มขืนเธอนั้นคือคนที่พ่อแม่เธอการันตีว่าเป็นคนดีแถมบางทีอาจเปิดโอกาศให้ด้วยซ้ำ

จากคำให้สัมภาษท์ของเสธอ้ายข้างต้นผู้เขียนเองขอประกาศเช่นกันว่า

"ผมไม่เห็นว่าการรัฐประหารจะดีตรงไหนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เช่น ถ้าคุณเกิดอารมณ์อยากมีอำนาจและคุณมีรถถังมีกำลังทหารคุณก็เป็นได้แล้วมันจะต่างอะไรกับการไปปล้นเค้ากิน ลองอธิบายหน่อย พอไร้การตรวจสอบก็คิดฉ้อฉลเงินภาษีประชาชนเอาไปใช้กัน รวยขึ้นไม่รู้เท่าไร ใครออกมาไม่เห็นด้วยก็ใส่ร้ายใส่ความเค้า เอาปืนออกมาไล่ยิงหัวกบาลเค้า ประชาชนตายห่าเท่าไรไม่สน ขอให้ตัวเองชนะ"

                                                          

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เมื่อสิงคโปร์ขาดแคลนแรงงานและ ‘แรงงานต่างชาติ’ คือคำตอบที่เลี่ยงไม่ได้

Posted: 19 Nov 2012 10:59 PM PST

 

ผลจากการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุ ทำให้สิงคโปร์ต้องการแรงงานต่างชาติในภาคสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นจาก 13,000 คนในปี ค.ศ. 2011 เป็น 28,000 คน ในปี ค.ศ. 2030 และแรงงานต่างชาติในงานภาคแม่บ้านนั้น จะเพิ่มจาก 198,000 คนในปีที่แล้ว เป็น 300,000 คนในปี ค.ศ. 2030 ด้วยเช่นกัน

 

ที่มาภาพ: NEO XIAOBIN / straitstimes.com

20 พ.ย. 55 – สิงคโปร์ต้องการแรงงานต่างชาติเพิ่มขึ้น ผลมาจากการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุ ทำให้ต้องการแรงงานต่างชาติในภาคสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้น โดยเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมารัฐบาลสิงคโปร์ได้ออกมาระบุว่าความต้องการแรงงานต่างชาติในสิงคโปร์จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคสาธารณสุข ภาคการก่อสร้าง และแม่บ้าน

สำนักงานประชากรและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (National Population and Talent Division - NPTD) ของสิงคโปร์ คาดการณ์ว่าความต้องการแรงงานในภาคสาธารณสุขจะเพิ่มจาก 50,000 คนในปี ค.ศ. 2011 เป็น 91,000 คนในปี ค.ศ. 2030

ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากประชากรสูงอายุ ซึ่งจะทำให้ความต้องการแรงงานต่างชาติในภาคสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นจาก 13,000 คนในปี ค.ศ. 2011 เป็น 28,000 คน ในปี ค.ศ. 2030 ด้วยเช่นกัน โดยการคาดการณ์ตัวเลขดังกล่าวของ NPTD มาจากสมมติฐานเกี่ยวกับแนวโน้มประชากรและความต้องการแรงงานของประเทศ

ด้านความต้องความต้องการแรงงานต่างชาติในภาคการก่อสร้างจะเพิ่มจาก 250,000 คนเมื่อปีที่แล้วเป็น 280,000 คนในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ส่วนความต้องการณ์แรงงานต่างชาติในงานภาคแม่บ้านนั้น จะเพิ่มจาก 198,000 คนในปีที่แล้ว เป็น 300,000 คนในปี ค.ศ. 2030

ทั้งนี้สิงคโปร์เองก็พึ่งบังคับใช้กฎหมายให้คนทำงานบ้านในสิงคโปร์จะมีวันหยุดสัปดาห์ละครั้ง เมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลังจากเมื่อปีที่แล้ว องค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) ได้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับสภาพการทำงานของคนทำงานบ้านในสิงคโปร์ โดยเฉลี่ยต้องทำงานวันละ 16-20 ชั่วโมง และมีสภาพการทำงานที่เลวร้าย

อนึ่งจากข้อมูลของ สำนักงานแรงงานไทยในประเทศสิงคโปร์ (อัพเดทข้อมูลเมื่อ 20 มีนาคม 2554) พบว่ามีแรงงงานไทยในประเทศสิงคโปร์ประมาณ 40,000 คน โดยส่วนใหญ่ประมาณ 33,000 คน หรือร้อยละ 83 เป็นแรงงานก่อสร้างและแรงงานในอู่ต่อเรือ / ซ่อมเรือ และคนทำงานแม่บ้าน ที่เหลือเป็นแรงงานระดับสูงและระดับบริหารที่มีใบอนุญาตทำงานแบบ E pass และ S pass ประมาณ 7,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 17 ของแรงงานไทยทั้งหมด

 

ที่มาข่าวบางส่วนเรียบเรียงจาก:

Government estimates increased foreign worker demand in 2030 (straitstimes.com, 12-11-2012)

Singapore Urged to Improve Foreign Maids' Work Conditions (thejakartaglobe.com, 19-11-2012)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลื่อนฟ้อง "สนธิ ลิ้มทองกุล" ชุมนุมทำเนียบ-สภาเป็น 20 ธ.ค.

Posted: 19 Nov 2012 09:06 PM PST

ทนายขอเลื่อนนัดเป็น 16 ม.ค. 56 เนื่องจากสนธิรักษาแผลถูกยิงที่ศีรษะ แต่อัยการอนุญาตให้เลื่อนนัดถึง 20 ธ.ค. เท่านั้น หากไม่มาพบตำรวจจะออกหมายเรียกตามตัวมาพบอัยการ ส่วนคดีชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ ทนาย พธม.เผยว่าจะหาหลักทรัพย์เตรียมไว้หากอัยการสั่งฟ้องคดี

นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (ที่มา: วิกิพีเดีย)

ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุด โดยนายประยุทธ ป.สัตยารักษ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 กล่าวถึงความคืบหน้าคดีแกนนำพันธมิตรฯ ชุมนุมหน้ารัฐสภาและบุกรุกทำเนียบรัฐบาล และรวมทั้งคดีนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ หมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายเนวิน ชิดชอบ เเกนนำพรรคภูมิใจไทย ว่าในวันที่ 20 พ.ย. นี้อัยการคดีอาญา 10 นัดส่งตัวนายสนธิยื่นฟ้องต่อศาลอาญา 3 สำนวน ประกอบด้วย 1. คดีที่นายสนธิและพวกรวม 20 คนชุมนุมที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 5-7 ต.ค. 2551 2. คดีที่นายสนธิและกับพวกรวม 6 คนบุกเข้าทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 26-31 ส.ค. 2551 และ 3. คดีที่นายสนธิหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ล่าสุดวันนี้ (20 พ.ย.) เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของนายสนธิ ได้เข้าพบ นายประยุทธ ป.สัตยารักษ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 เพื่อขอเลื่อนนัดการส่งตัวฟ้องศาลอาญา 3 คดีดังกล่าว

ทั้งนี้นายสุวัตรได้มาแจ้งขอเลื่อนนัดออกไปเป็นวันที่ 16 ม.ค. 2556 ระบุว่านายสนธิไปรักษาตัวเกี่ยวกับบาดแผลที่ถูกยิงศีรษะ อยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งจะส่งใบรับรองแพทย์ให้อัยการทราบอีกครั้งขณะที่แกนนำ พธม.คนอื่น ได้แจ้งขอเลื่อนนัดด้วย เนื่องจากยังต้องรอหาหลักทรัพย์ที่จะใช้ในการยื่นประกันตัวต่อศาลเมื่อมีการฟ้องคดี ทั้งนี้เมื่ออัยการพิจารณาแล้วจึงมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนนัดออกไปก่อน

แต่อัยการอนุญาตให้เลื่อนถึงแค่วันที่ 20 ธ.ค.นี้ เท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าการหาหลักทรัพย์ไม่น่าจะต้องใช้เวลานานที่จะนัดข้ามปี อัยการจึงนัดให้นายสนธิ และแกนนำ พธม. มาพบเพื่อส่งตัวฟ้องอีกครั้ง 20 ธ.ค.นี้ เวลา 09.00 น. ซึ่งนายสุวัตร ทนายความให้คำมั่นว่าจะไม่เลื่อนอีก อย่างไรก็ดีหากกลุ่มผู้ต้องหาไม่มาพบตามนัดโดยไม่แจ้งเหตุ อัยการต้องประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกติดตามตัวผู้ต้องหานั้นมาพบอัยการ แต่หากผู้ต้องหาไม่มาตามหมายเรียกก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ขออนุมัติหมายจับต่อไปตามขั้นตอนของกฎหมาย อย่างไรก็ดีสำหรับหากมีการฟ้องคดีแล้วอัยการจะไม่คัดค้านการประกันตัวเนื่องจากไม่ใช่คดีร้ายแรง แต่หากพบว่ามีลักษณะการประวิงเวลาก็จะต้องพิจารณาการคัดค้านประกันตัวอีกครั้ง

ส่วนคดีชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองที่มีผู้ต้องหารวม 114 ราย นายสุวัตรตอบว่ากำลังหาหลักทรัพย์ไว้เช่นกันหากพบว่าอัยการจะสั่งฟ้องคดี

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดูเลือกตั้งอเมริกัน หันมองการเมืองไทย

Posted: 19 Nov 2012 08:45 PM PST

การบรรยาย ประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ การเมืองอเมริกันกับการเมืองไทย โดย ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ คัดออกมาจากการเสวนาหัวข้อ "ข้าพเจ้า (ก็) ได้เห็นมา เลือกตั้งประธานาธิบดี เลือกทั้งพวงและอุษาคเนย์/ไทยศึกษา from New York to California" วิทยากรโดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ ศาสตราจารย์ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ดำเนินรายการโดย อ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ โดยงานนี้จัดขึ้นที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2555 ทีผ่านมา

การบรรยาย "ข้าพเจ้า (ก็) ได้เห็นมา เลือกตั้งประธานาธิบดี เลือกทั้งพวงและอุษาคเนย์/ไทยศึกษา from New York to California" โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

การบรรยาย ประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ การเมืองอเมริกันกับการเมืองไทย โดย ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

 

ประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ : การเมืองอเมริกันกับการเมืองไทย

อาจารย์ชาญวิทย์ ตั้งข้อสังเกตว่า จอร์จ วอชิงตัน ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐ รับตำแหน่งปี 1789 คนอเมริกันประกาศเอกราชจากอังกฤษในปี 1776 ช่วงไม่มีตำแหน่งประมุขแน่นอน จนกว่ารัฐธรรมนูญประกาศแล้วและเริ่มดำเนินการปกครองอย่างจริงๆ ถึงจะมีประธานาธิบดี

พอจอร์จ วอชิงตันรบชนะเสร็จแล้ว ก็เรียกประชุมสภารัฐธรรมนูญ (Constitution of convention) ปี 1787 แล้วร่างรัฐธรรมนูญ 1 ปีก็เสร็จปี 1788 แล้วก็ขอสัตยาบันจากรัฐที่มาร่วมกัน ผ่านทั้งหมดก็คือปี 1789

เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ก็มีตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีการเลือกตั้ง ผมเข้าใจว่าเป็นมติ ทุกคนเห็นชอบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคนที่ควรจะได้เป็นประธานาธิบดีคือ จอร์จ วอชิงตัน เพราะแกเป็นผู้บัญชาการ (commander) ของนักรบอเมริกันที่สู้กับอังกฤษตลอดช่วงที่ทำการปฏิวัติอยู่ เป็นแม่ทัพใหญ่ และเป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญในปี 1788 แกเป็นคนที่มีอาวุโส มีคุณสมบัติ มีบารมีมากที่สุดในอเมริกาในตอนนั้น ไม่มีใครเทียบได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเอกฉันท์เลยว่าต้องให้ตำแหน่งแก่จอร์จ วอชิงตัน เป็นประธานาธิบดีคนแรกในปี 1789

พอเริ่มรัฐบาลแรก ก็มีการคุยกันในที่ประชุมของสภา ซึ่งมี 2 สภาคือ สภาผู้แทน กับสภาสูง หรือวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่เริ่มแรกมาเลย

เรื่องที่เขาคุยกันเป็นเรื่องเล็กๆ แต่จะต้องทำให้กระจ่างก็คือว่า ตำแหน่งประมุข ที่เรียกว่า President ซึ่งเราแปลว่าประธานาธิบดี เป็นครั้งแรกในโลกที่มี ไม่มีที่ไหนที่มี ในตอนนั้นยุโรปส่วนใหญ่ก็ยังเป็นกษัตริย์อยู่ เพราะฉะนั้น ก็จะมีพระเจ้าแผ่นดินอยู่

คนธรรมดาซึ่งมาเป็นประมุขไม่เคยมี เพราะฉะนั้นเขาก็เลยถามว่าแล้วจะเรียกจอร์จ วอชิงตัน ว่าอะไร คือเวลาเราเรียกต้องมีตำแหน่ง ประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน นายประธานาธิบดี หรืออะไร หรือพระเจ้าได้ไหม เช่น คิงวอชิงตัน เหมือนกับคิงเอ็ดเวิร์ดของอังกฤษ เพราะชาวอาณานิคมที่มาก็คนอังกฤษเป็นส่วนใหญ่อพยพมาตั้งรกรากที่นี่ เพราะฉะนั้น เวลาที่เขาคิดถึงรูปแบบทางการเมือง ความคุ้นเคยก็ต้องนึกกลับไปที่อังกฤษ

เพราะฉะนั้น ถ้าเขามีประมุข ก็ต้องมีฐานะสูงส่งเหมือนกับเช่นอังกฤษ อย่าลืมว่าฝรั่งเศสก็ยังมีพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 อยู่ ยังไม่ปฏิวัติ ปี 1789 คือปีที่ฝรั่งเศสจะปฏิวัติ เพราะฉะนั้นปีนั้นจะเป็นปีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเยอะมากทั้งในยุโรปและอเมริกา

ประเด็นก็คือว่า ยังไม่มีคนเคยเรียกสามัญชนที่เป็นประมุขของรัฐให้มีฐานะดีๆ ก็มีคนเสนอให้เรียกว่าอะไรก็ตามแต่ที่เขาจะหาได้ รวมทั้งให้เรียกว่ากษัตริย์เลย หลังจากที่เถียงกันสักพักหนึ่ง ก็ตกลงว่า เรียกสามัญชนธรรมว่า "Mister"-"นาย" เพราะฉะนั้น สังเกตดูว่า เวลาเขาเรียกจะเรียก Mister President ไม่แม้แต่กระทั่งคำว่า Your Excellency อเมริกันไม่เรียกนะ ลองไปถามทูตอเมริกัน เวลาโอบามาไปเปิดงานต่างๆ Your Excellency Obama หรือ President Obama ผมคิดว่าไม่ เพราะไม่เคยทำมาก่อน ถ้าทำก็ต้องกระแดะมาก คือมันไปไม่ได้เลยกับสปิริตของอเมริกัน

ครั้งแรกชัดเจนเลยว่า ผู้นำของเขาต้องเป็น "นาย" ภรรยาของประธานาธิบดีก็เป็น Mrs.Obama เท่านั้นเอง แต่เพื่อให้มีฐานะ เขาบอกว่าประธานาธิบดีเป็นพลเมืองคนที่ 1 the first citizen of the Republic ก็จบแล้วเท่านั้นเอง แล้วคนนี้ต้องเป็นจอมทัพทุกอย่างรวมทั้งคุมกองทัพด้วย ลองสังเกตดูเวลาโอลามาพูดกับทหารของเขา นายพล 5 ดาว 4 ดาวทั้งหลาย แกขึงขังมาก ซีเรียสมาก

เมื่อปีที่แล้ว ที่รบกันหนักๆ ในอัฟกานิสถาน มีนายพลคนหนึ่ง McChrystal (Stanley Allen McChrystal) ถูกส่งไปอยู่อัฟกานิสถาน แล้วนักข่าวไปถามแกว่านโยบายที่รัฐบาลให้มาใช้ได้ไหม ด้วยความที่แกมีสติปัญญามากเกินไป แกตอบแบบไปวิจารณ์นโยบายโอบามาเรื่องหนึ่งทำนองว่า ไม่ได้เรื่อง คำเดียวเท่านั้นเอง

พอข่าวตีพิมพ์ออกไป โอบามาเรียกกลับเลย ปลดออกกลางอากาศเลย ไม่ต้องทำหน้าที่นี้แล้ว เพราะว่าละเมิดจอมทัพ บังอาจวิจารณ์จอมทัพ

ถ้าเป็นเมืองไทย ต้องมีสลิ่มออกมาฟัดโอบามา ใช้อำนาจเผด็จการรัฐสภาไปปลดเขาได้ยังไง เขาจะตายเพื่อประเทศ ในอเมริกาไม่มีสักแอะเลย อาจจะมีพวก tea party ด่าอยู่ข้างๆ ทุ่งนา แต่ไม่เป็นข่าว

คนอย่าง เสธ.อ้าย มีนะในอเมริกา แต่มันขึ้นเป็นหน้าข่าวไม่ได้ มันจะอยู่ในข่าวท้องถิ่น ข่าวบ้าๆ บอๆ หรือในเว็บไซต์

วันก่อนมีคนโพสต์ในเว็บไซต์ว่า พอรู้ว่าโอบามาได้รับเลือกตั้ง บอกว่าใครไปยิงหน่อยได้ไหม เขาไม่เอาแกขึ้นดำเนินคดี เพราะแกบอกว่าเขียนด้วยอารมณ์ ไม่ได้ตั้งใจ คนบ้าๆ มีแต่มันไม่เป็นข่าว ไม่ถูกกระแสทำให้เป็นเรื่อง เพราะฉะนั้นก็ไม่มีใครชนกับใคร อย่าไปคิดว่าในอเมริกาเรียบร้อย ไม่เรียบร้อยหรอก ประชาธิปไตยมันยุ่งๆ แบบนี้ล่ะ

จอร์จ วอชิงตัน อยู่ในตำแหน่ง 7 ปี เป็นคนแรกที่วาระไม่ 4 ปี ไม่ 8 ปี และไม่ 12 ปี จากนั้นมาการเลือกตั้งของอเมริกาจะต้องตกในปีเลขคู่ เพราะมัน 4 กับ 8 เท่านั้น

 

จิตวิญญาณการเมืองอเมริกา คือการปกครองตนเอง

ระบบการเมืองอเมริกา อาศัยการเลือกตั้งตั้งแต่วันแรกมาจนถึงวันนี้ ก็คือ 200 กว่าปีที่ผ่านมา เลือกตั้งทำกันมาจนไม่รู้ว่าจะบอกทำไม เหมือนกับกินข้าวกินแซนวิชทุกวัน ไม่ต้องบอกก็รู้

ถามว่าทำไมต้องเลือกตั้งมาก เพราะสมัยอาณานิคมตอนที่เข้าไปตั้งรกราก เพื่อที่จะสร้างชุมชนขึ้นมา เขาก็เลือกหัวหน้า แล้วก็เซ็นต์สัญญา อย่างพวกที่นั่งเรือเมย์ฟลาวเวอร์ พวก พิวริตัน บรรพบุรุษที่ไปอยู่นอร์ทนิวอิงแลนด์ในปัจจุบันนี้

พอขึ้นเรือเสร็จ John Winthrop ซึ่งเป็นหัวหน้า ก่อนลงจากเรือก็จับทุกคนมาเซ็นชื่อ แกเขียนกติกาสัญญา social compact ว่าทุกคนที่มาต้องเชื่อฟังหัวหน้า ต้องทำตาม เพราะฉะนั้น จะเรียกว่าฟรีก็ได้ เป็นเสรีภาพก็ได้ แต่อันหนึ่งก็คือ ทำให้ทุกคนอยู่ด้วยการที่รู้สึกว่าทุกคนต้องรับผิดชอบ คนที่เป็นหัวหน้าก็ต้องรับผิดชอบ เพราะคุณมาด้วยชุมชน ด้วยคนอื่นเขาเลือกขึ้นมา ทุกคนต้องรับผิดชอบซึ่งกันและกัน

เพราะฉะนั้น สปิริตของการเมืองอเมริกา ถ้าพูดสั้นๆ ก็คือ Self-Government หัวใจของการเมืองอเมริกันคือ การปกครองตนเอง ถ้าแปลออกมาก็คือการปกครองท้องถิ่น หรือ local government

local government ในอเมริกาสำคัญมาก เพราะทุกอย่างต้องดำเนินการโดยการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นของคุณเอง ตั้งแต่ระดับล่างขึ้นมา การเมืองระดับชาติ Federal government หรือรัฐบาลสหพันธรัฐ เกิดขึ้นหลังปฏิวัติ หมายความว่า หลังจากที่คนอเมริกันมาตั้งรกรากอยู่แล้วเกือบร้อยปี ถ้านับจากปี 1600 ถึงปี 1776 คือ 176 ปี

การเมืองอเมริกัน เริ่มที่ท้องถิ่น เริ่มที่ชุมชน เริ่มที่คนธรรมดา ก่อนจะมีรัฐบาลกลาง ก่อนที่จะมีประธานาธิบดี ก่อนที่จะมีเทวดาลงมาเป็นผู้นำ ตรงข้ามกับการเมืองสยาม การเมืองไทยเริ่มจากข้างบนลงมาข้างล่าง เริ่มจากเทวดาลงมาถึงไพร่

ดูการเมือง 2 ประเทศนี้แล้ว บางอย่างก็คล้ายกัน แต่โดยเนื้อหาแล้ว ผลตรงกันข้ามเลย

 

ชัยชนะของโอบามา มาจากการต่อสู้ของคนรุ่นพ่อ

ทีนี้เลือกตั้ง เขาก็มีชื่อเรียก หลักๆ ก็คือปีที่เลือกประธานาธิบดีจะเป็นปีที่การเลือกตั้งสนุกมาก แน่นอนว่ามีระดับชาติแล้ว ระดับรัฐต่างๆ ก็จะตามมาทุกรัฐ โครงสร้างของอเมริกาคือทุกรัฐจะมีสภานิติบัญญัติ ทุกรัฐจะมี สส.และ สว.จนถึงเมืองหลวง ดีซี.ก็จะมีคองเกรส มี senate ใหญ่คลุมอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น ปีที่เลือกตั้งประธานาธิบดี ทุกรัฐก็จะต้องเลือก สว. สส. ก็ต้องเลือกด้วย เป็นปีที่มีการเลือกตั้งเยอะมาก

แต่ก่อนนี้ ผมฟังการรายงานข่าวของรัฐไม่ดังเท่าไหร่ มีบางรัฐที่เพี้ยนๆ แต่ส่วนใหญ่ก็จะไปตามระบบ ใครได้ก็ได้กันไป ไม่ค่อยพลิกไม่ค่อยเปลี่ยน สื่อก็เลยบอกว่าเสียเนื้อที่กระดาษ อย่าไปเล่ามันเลย ใครอยากรู้ก็ไปอ่านของบ้านตัวเอง ก็มีหนังสือพิมพ์ประจำรัฐอยู่แล้วก็ไปอ่าน จริงๆ เราก็ไม่อยากรู้หรอกเลือกตั้งที่ศรีสะเกษใครได้

แต่ปีนี้ ผมเดาว่าจะเป็นปีที่รายงานข่าวจากอเมริกา ที่ดูจากข่าวในอเมริกา ผลการเลือกตั้งระดับ สว. สส. เขาให้ตัวอย่างอะไรต่างๆ เพราะผมเดาว่าผลการเลือกตั้งรุ่นนี้มันนำการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศขึ้นมาเลย

ยุทธศาสตร์ของเขาก็คือ เอาคะแนนเสียงคนรุ่นใหม่ เอาคะแนนประชาชนที่พูดง่ายๆ ว่า ไม่เคยได้รับการเป็นตัวแทน เสียงก็ไม่ได้ยิน หรือถูกกีดกัน ดึงพวกนี้เอามาเป็นฐานเสียง

ถ้าไปดูสถิติการเลือกตั้งอเมริกา เกือบทุกครั้งมีคนใช้สิทธิ์ 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเท่านั้นเอง

คำถามก็คือว่า ไหนว่าประเทศนี้คนสนใจการเมือง มีสิทธิเสรีภาพ แล้วเลือกตั้งแค่เกินครึ่งนิดเดียวเองเหรอ น้อยกว่าเมืองไทยนะ ของเราหลังๆ คนมาลงคะแนนเสียงเกิน 70 เปอร์เซ็นต์นะ แล้วอย่างนี้แปลว่าอะไร

คราวนี้ผมเริ่มสะดุดใจ ดูยุทธศาสตร์ของโอบามา เขาปลุกระดมคนที่ไม่ค่อยมีสิทธิมีเสียงอะไรขึ้นมา แสดงว่า 48-49 เปอร์เซ็นต์ทีไม่ได้ลงคะแนนเสียงในรอบร้อยปีที่ผ่านมา อาจจะมีสักครึ่งหนึ่งที่ขี้เกียจ อีกครึ่งหนึ่งอยากจะไป แต่ว่าถูกตัดสิทธิ์

คนผิวดำ ญาติพี่น้องโอบามาทั้งหลายถูกตัดสิทธิ์มาร้อยกว่าปี หลังจากลินคอล์นประกาศให้เสรีภาพแล้ว กฎหมายเลือกตั้งเป็นกฎหมายลูก ออกในระดับมลรัฐ เพราะฉะนั้น ถึงลินคอล์นจะประกาศเลิกทาสแล้ว ทุกคนมีฐานะพลเมือง แปลว่ามีสิทธิ์เท่ากับทุกคนที่เป็นคนผิวขาว แต่พอไปลงคะแนนเสียง ลงไม่ได้ เพราะ voting rights เป็นสิทธิ์ที่รัฐสภาแต่ละรัฐสามารถออกกฎระเบียบเพิ่มเติมได้

เพราะฉะนั้น รัฐทางภาคใต้ซึ่งคนผิวดำเยอะ วิธีง่ายที่สุดคือ ออกกฎว่าผู้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งคือ พลเมืองอเมริกันอายุ 20 ปีขึ้นไป เสร็จแล้วต้องอ่านออกเขียนได้ ต้อง literacy test

ผมเคยดูสารคดี ที่ไปถามลุงคนหนึ่งว่า แกก็ไปลงทะเบียนทุกครั้งแต่แกสอบตก literacy test แล้วนักศึกษาที่ไปช่วยจดทะเบียนให้แกก็ถาม เขาให้ลุงอ่านอะไร ลุงก็บอกว่าเขาเอากระดาษเก่าๆ มาเล่มหนึ่ง มาดูปรากฏว่าเป็นหนังสือกฎหมายที่เรียนในอังกฤษในสมัยศตวรรษที่ 18-19 มาให้ผมอ่าน ผมก็อ่านไม่รู้เรื่อง แล้วหนังสือตัวนิดเดียว ต้องใช้แว่นขยาย แกอายุตั้ง 60-70 มองไม่เห็น เจ้าหน้าที่บอกว่า ตกลุง ปีหน้ามาใหม่ แกมาทุกปีก็ไม่ได้ทุกปี นี่เป็นเรื่องเดียวนะ อย่างอื่นก็มี เช่น เรื่องไม่เสียภาษีก็เลือกตั้งไม่ได้

สรุปก็คือ เกือบร้อยปีหลังเลิกทาสแล้ว คนผิวดำไม่ได้สิทธิเลือกตั้งอย่างแท้จริง ได้ในทางกฎหมายแต่ในทางปฏิบัติไม่ได้

เพราะฉะนั้น ชัยชนะของโอบามาไม่ใช่เพราะแกเรียนเก่ง แต่เพราะว่ามาจากการต่อสู้สมัยมาร์ติน ลูเธอร์ คิง เป็นผู้นำของคนอเมริกันผิวดำที่ต่อสู้เพื่อสิทธิทางการเมือง (civil rights) ที่เดินขบวนใหญ่แล้วประกาศสุนทรพจน์ที่ว่า I Have A Dream ที่บอกว่าเขาเริ่มเห็นเสรีภาพ ปีรุ่งขึ้น 1965 รัฐบาลจอห์นสัน (Lyndon B. Johnson) ถึงยอมออกกฎหมาย voting rights act 1965 คราวนี้รัฐบาลกลางบังคับลงไปว่า ทุกรัฐต้องให้พลเมืองอเมริกันทุกคนออกเสียงได้ โดยต้องไม่กีดกัน จะมาเทสนู๋นนี่ไม่ได้แล้ว

วันแรกที่โอบามารับตำแหน่ง เขาก็ยังพูดนะว่า เขาสามารถขึ้นมาถึงวันนี้ได้เพราะการต่อสู้ของคนรุ่น มาร์ติน ลูเธอร์ คิง แล้วมีคนผิวดำอีกเยอะที่ไปช่วยสร้างกลไกเลือกตั้งในระดับชุมชนทุกที่เลย โดยเฉพาะชิคาโก้ เป็นฐานอันแรกเลยที่โอบามาลงไปเรียนทางการเมือง จนกระทั่งได้เลือกตั้งมาเป็นวุฒิสมาชิกจากชิคาโก้

 

ถ้าเลือกตั้งเสรีจริง การซื้อเสียงไม่มีความหมาย

คนที่จะขึ้นมาแข่งตำแหน่งประธานาธิบดี ต้องวัดก่อนว่า คุณสามารถเป็น สว.ได้ไหม ไม่ใช่แบบสรรหาแบบนี้นะ เลือกตั้ง สว.อเมริกายากมาก หินมาก เพราะทุกรัฐไม่ว่าใหญ่หรือเล็กเลือกได้ 2 คนเท่านั้น แล้วเลือกทั้งรัฐ หมายความว่า ถ้าคุณจะโปรยเงินต้องโปรยทั้งรัฐเป็นพันล้านเลย แต่ทำไม่ได้หรอก ต้องหาเสียงทางทีวีก็ไม่แน่ว่าจะชนะหรือเปล่า ต้องมีบทบาทมีผลงาน ต้องเก่งจริงๆ เพราะฉะนั้นการเลือกตั้ง คุณจะซื้อยังไงก็ตาม ถ้าเปิดให้เลือกอย่างเสรีจริงๆ แล้ว การซื้อไม่มีความหมาย อย่างอเมริกาชัดเลย

ผมท้าเลย นักการเมืองคนไหนที่เก่งในการซื้อ ลองไปลงดูสิครับ ไปถามแทมมี่ ดักเวิร์ธ ก็ได้ว่าหินแค่ไหน

กรณีของแทมมี่ ดักเวิร์ธ น่าสนใจมาก แกเป็น สส. สภาผู้แทนราษฎรฐานะยังต่ำกว่า สว. เพราะฉะนั้นในอเมริกาไม่เอ่ยถึงแกเลยว่าเป็น Asian American คนแรกที่ได้ แต่เขาไปยกย่อง Asian American คนแรกจากฮอนโนลูลู ฮาวาย ที่ได้รับเป็น สว.ผู้หญิงคนแรก ส่วนของแทมมี่เป็นแค่ผู้แทนราษฎรเท่านั้น

สว.ที่ดังมาก และเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของการเมืองอเมริกันก็คือ ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ รัฐที่รอมนีย์เคยเป็นผู้ว่าการเก่า คราวนี้ผู้ว่าการรีพับลิกันแพ้ แกเสียงปึ้กเลยนะ เพราะคนอยู่ในตำแหน่งย่อมได้เปรียบ แต่แพ้คนที่มาท้าชิงซึ่งเป็นผู้หญิงชื่อ Elizabeth Warren ไม่ได้เป็นดารา ไม่มีใครรู้จัก แต่ที่เขาพูดถึงแกเพราะว่า แกเป็นเอ็นจีโอใหญ่ ถ้าเทียบกับคนไทยก็คุณสาลี อ๋องสมหวัง เขาเป็นนักต่อสู้เพื่อผู้บริโภค ไม่มีฐานเสียงแต่ทำไมคว้าตำแหน่งซึ่งยากมากมาได้ เขาถึงได้เอาแกขึ้นมาไฮไลต์ให้เห็น

สส.อเมริกาไม่ได้มีวาระ 4 ปีเหมือนเมืองไทย สส. 2 ปี ประธานาธิบดี 4 ปี สว. 6 ปี เพราะฉะนั้น การเลือกตั้งในปีที่ลงท้ายด้วยเลขคู่ จะเป็นปีที่เลือกตั้งใหญ่ แต่ว่าจะมีเลขคู่ปีหนึ่งที่อยู่กลางตำแหน่งประธานาธิบดี เช่น โอบามาปีนี้ อีก 2 ปีจะมีเลือกตั้ง สส.เรียกว่า เลือกตั้งกลางปีของประธานาธิบดี (midterm election) อันนี้เป็นการเลือกตั้งสภาผู้แทน

มีเลือกตั้งอีกอันหนึ่งเรียกว่า off-year election ผมแปลว่า เลือกตั้งนอกฤดูกาลใหญ่ ก็คือเลือกตั้งพิเศษ ส่วนใหญ่จะเลือกระดับมลรัฐ ระดับเมือง เคาน์ตี้ ระดับเขตต่างๆ จะเห็นว่าคนอเมริกันจ่ายเงินซื้อเสียงไม่หมดหรอก เพราะมันเลือกแหลกเลย

รัฐธรรมนูญอเมริกาตั้งแต่ปี 1776 ตอนที่ร่างยังไม่มีประเทศไหนมีระบอบประชาธิปไตย นี่เป็นประเทศแรกที่ใช้ระบอบประชาธิปไตย ผมเข้าใจว่าผู้ร่างซึ่งเป็นคนมีการศึกษา เป็นคนชั้นสูง เป็นเจ้าที่ดิน เป็นลูกหลานขุนนางเก่า เพราะฉะนั้น เวลาพูดถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดี เขาก็ต้องสะกิดใจเหมือนกันว่า ถ้าให้ประชาชนเลือกทั้งหมด มันไว้ใจได้เหรอ อาจจะถูกซื้อเสียง ถูกหลอกลวง หรือโง่

สมัยก่อนผมคิดว่า เขาก็คิดเหมือนนักร่างรัฐธรรมนูญเมืองไทยก็คิดแบบเดียวกันว่า ชาวบ้านเชื่อไม่ได้ ชาวบ้านต้องถูกซื้อ เพราะฉะนั้นกันเหนียวด้วยการที่พอผ่าน popular vote แล้วให้มีคณะผู้เลือกตั้งเรียก electoral college (EC) ที่ทำหน้าที่ในการสกรีน มาประชุมหลังเลือกตั้งใหญ่แล้ว เดือนธันวาคมนี้คณะผู้เลือกตั้งจะประชุมในแต่ละรัฐ

EC มาจาก สส.และ สว.ของแต่ละรัฐรวมกัน แคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่ใหญ่มาก สส.ก็เยอะ บวกกับ สว.ทุกรัฐมี 2 คน แคลิฟอร์เนียมี EC 55 คน สูงที่สุด ถ้าได้แคลิฟอร์เนียแล้ว ก็โล่งใจ

ที่โอบามาชนะเร็ว เพราะทีมเวอร์คแกเก่งมาก กวาดบรรดารัฐที่มี EC เยอะๆ ก่อนหมดเลย ถ้าดูตรงกลางที่เป็นของรอมนีย์ ได้ในแง่พื้นที่ แต่มี EC 8 บ้าง 4 บ้าง วอชิงตัน ดีซี น้อยที่สุด 3 คน เพราะฉะนั้นรวมแล้วก็ได้ไม่เกิน 270 เสียง

 

ประชาธิปไตยอเมริกา อำนาจสูงสุดมาจากปวงชน

อันนี้ถือเป็นนวัตกรรมของผู้เขียนรัฐธรรมนูญอเมริกา ซึ่งยังไม้ไว้ใจเสียงประชาชนร้อยเปอร์เซ็นต์ จริงๆ ตำแหน่ง สว.ของเขาก็เหมือนเป็นพี่เลี้ยงเหมือนกัน ตอนแรกแต่งตั้ง มาตอนหลังถึงได้เลือก พัฒนาการของอเมริกันก็มาเป็นขั้นๆ เหมือนกัน คือเริ่มก็เป็นประชาธิปไตยแบบขุนนาง

ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการคือ electoral college ว่าออกเสียงให้ใคร ซึ่งก็รู้แล้วว่าเขาก็ออกไปตามรายงานที่หนังสือพิมพ์ได้ออกไปแล้ว EC เป็นสมาชิกของพรรค ก็ต้องโหวตตามพรรค แต่เขาต้องรายงานรัฐสภาเดือนมกราคม และสภาประกาศเป็นทางการอีกทีหนึ่ง วันที่ 10 ประธานาธิบดีถึงมารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เพราะฉะนั้น ต้องรอจนกว่าคณะผู้เลือกตั้งประกาศเป็นทางการแล้ว ตำแหน่งของโอบามาถึงจะถูกต้องตามกฎหมาย

สงสัยไหมว่า ถ้าจะฟ้องยุบประธานาธิบดีจะฟ้องศาลไหนในอเมริกา ฟ้องศาลสูงแต่ผมคิดว่าศาลสูงไม่รับ เพราะไม่อยู่ในอำนาจศาลสูงที่จะพิจารณา ที่ผ่านมาได้ยินคำว่า impeachment ไหม ซึ่งต้องตั้งด้วยสภาคองเกรส คองเกรสจะต้องตั้งศาลของในรัฐสภากันเอง เขาไม่มีศาลปกครอง มีศาลสูงเท่านั้นเองที่สูงสุดแล้ว ศาลอะไรก็พิพากษาตำแหน่งประธานาธิบดีไม่ได้

สภาผู้แทนราษฎรจะต้องกรรมการทำหน้าที่เป็นศาลเอง อย่างนิกสัน คดีวอเตอร์เกต เขาก็ตั้งสมาชิกในรัฐสภา หรืออาจจะเชิญผู้พิพากษามาคนหนึ่งก็ได้ แต่ว่าต้องเป็นศาลในรัฐสภา

เพราะฉะนั้น ไม่มีใครมีอำนาจสูงกว่าผู้แทนราษฎร เข้าใจตรรกะของมันไหม ถ้าคุณเป็นประชาธิปไตยมาจากปวงชน แล้วคุณให้ศาลมาพิพากษายุบมันไปเลย เอามันเข้าคุกไปเลย มันก็ศาลเตี้ย kangaroo court เท่านั้นเอง

ปัญหานี้กระจ่างมากในอเมริกา ไปดูการเลือกตั้ง การพิพากษา หรือการดำเนินการทางการเมืองของเขา มันง่าย ไม่มีนักทฤษฎีที่อธิบายทฤษฎีลึกลับเหมือนเมืองไทย งงเลย เอาทฤษฎีมาจากไหน ทฤษฎีรัฐธรรมนูญเมืองไทยยากมาก

 

ผู้แพ้ต้องยอมรับความพ่ายแพ้

คราวที่แล้วมันมีรัฐปัญหาคือ ฟลอริด้า ที่นับกันจริงๆ ถ้าไม่ผิด คะแนน popular vote ของอัล กอร์ จะชนะบุช ซึ่งก็อาจจะเปลี่ยน electoral college ของฟลอริด้าได้

เคสนี้น่าสนใจว่า พอเข้าไปตรวจสอบแล้วพบว่ามันผิดจริง เพราะเพิ่งเริ่มใช้บัตรคอมพิวเตอร์ มันก็เลยคีย์ผิด ผู้พิพากษาศาลฟลอริด้าประชุมกันแล้ว ใช้อำนาจของศาลตัดสินใจยุติการนับ เขาบอกว่าเพื่อจะไม่ให้มันวุ่นวายต่อไป เพราะถ้านับแล้วคะแนนมันกลับไปอีกข้างหนึ่ง แล้วตอนนั้นบุชเตรียมจะรับตำแหน่งแล้ว

ลองนึกถึงว่าถ้าศาลฟลอริด้าบอกว่า ผิด ต้องนับกันใหม่หมด คราวนี้เป็นฝ่ายนี้ชนะ คุณคิดว่าคนที่เขาชนะแล้วจะยอมไหม มันก็โกลาหลนะ ต้องประท้วงกันยุ่งวุ่นวาย ผมคิดว่าศาลของอเมริกาก็มีสามัญสำนึก ก็คงไปเจรจากับฝ่ายอัล กอร์ ว่าอีก 4 ปีเท่านั้นเอง คุณรอไม่ได้เหรอ ค่อยมาเลือกตั้งกันใหม่ ถ้าคุณไม่ยอมคราวนี้ มันต้องทะเลาะกันตายเลยนะ

เพราะฉะนั้นการที่ฝ่ายแพ้ ต้องออกมาประกาศว่าเรายอมรับความพ่ายแพ้ ขออวยพรให้คุณประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศต่อไป เพื่อจะให้ลูกน้อง เสธ.อ้ายทั้งหลายที่หลบอยู่ตามมิดเวสต์อย่าโผล่หัวออกมาเป็นอันขาด จบแล้ว เกมนี้ไม่เล่นแล้ว พอแล้ว แต่ของเรา หัวไม่โผล่แต่หางโผล่ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องเป็นอย่างนี้

 

ไดโนเสาร์อเมริกา และการแช่แข็งประเทศ

ประเด็นสุดท้าย ผมจะเปรียบเทียบ มันเป็นเรื่องยากที่จะเปรียบเทียบการเมืองอเมริกันกับการเมืองไทย มันคนละอย่างเลย แต่มีประเด็นน่าสนใจมาก ซึ่งผมมองจากการเมืองไทย ผมรู้สึกว่า พูดตรงๆ นะ ไม่ค่อยมีอนาคต มันจะประท้วง เดินขบวนอะไรต่างๆ อีรุงตุงนังไม่จบ

ผมเลยพยายามหาประวัติศาสตร์มา เพื่อจะบอกว่ามันมีอนาคตอยู่ มองไปที่อเมริกาก็พบว่ามีปัญหาคล้ายกับเราเหมือนกัน

เรากำลังห่วงว่าประเทศไทยกำลังถูกแช่แข็ง จะมีไดโนเสาร์เกิดขึ้น แล้วมีหลายคนยินดีจะเป็นไดโนเสาร์ ก่อน 6 ตุลา ใครถูกเรียกไดโนเสาร์ จะต้องวิ่งหนีเลยนะ โกรธมาก

สมัยก่อนนักการเมืองฝ่ายไหนที่หนังสือพิมพ์เรียกไดโนเสาร์เต่าล้านปี คุณไม่มีทางชนะเลย ตอนนั้นเลือกตั้งแพ้เด็ดขาดเลย แต่เดี๋ยวนี้ยินดีประกาศเลย ผมเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี อาจจะชนะ แปลกไหม แสดงว่าการเมืองไทยเดินถอยหลังใช่ไหม

ผมจะให้กำลังใจพวกว่า ขนาดอเมริกาซึ่งเราเชิดชูมาก เขายอดเยี่ยม ล้ำหน้า จริงๆ แล้วช่วงโอบามาขึ้นมันมีขบวนการเรียกเป็นพรรคการเมือง แต่ไม่ได้เป็นพรรคจริงๆ คือพรรคทีปาร์ตี้ (tea party)

ทีปาร์ตี้ ก็คือเหตุการณ์ก่อนปฏิวัติอเมริกา ที่พวกคนที่จะเข้าร่วมปฏิวัติอเมริกาหาทางที่จะเล่นงานอังกฤษ อังกฤษซึ่งส่งใบชาไปขายตามตลาดโลก ก็เอาใบชาจากที่อื่นๆ ผ่านมาเข้าท่าที่อเมริกาแล้วก็ส่งไปขาย รวมทั้งอาจมีใบชาจากอเมริกาด้วย

พวกผู้นำปฏิวัติก็วางแผนขึ้นไปที่เรืออังกฤษ แล้วก็ปลอมตัวเป็นอินเดียนแดง โยนความผิดให้อินเดียนแดงทั้งที่เป็นคนผิวขาว ก็เอาใบชาทิ้งทะเลหมดเลย อังกฤษโกรธมาก รัฐบาลอังกฤษก็เรียกร้องให้จับพวกนี้ ก็จับไม่ได้เพราะก็รู้ๆ กันอยู่ ก็ช่วยกันไปช่วยกันมา นี่เป็นเหคุหนึ่งให้อังกฤษส่งกำลังเข้า แล้วก็ปะทะกับชาวอาณานิคม และนำไปสู่การปฏิวัติ

ถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่มากในประวัติศาสตร์อเมริกา เขาเรียกว่า การกินน้ำชา คือทีปาร์ตี้ แต่จริงๆ ไม่ได้กิน คือการทำลายใบชา

ช่วงสมัยโอบามา บรรดาฝ่ายไดโนเสาร์ของอเมริกา ส่วนใหญ่พรรครีพับลิกัน ก็รวมตัวกันตั้งทีปาร์ตี้ คือจงใจเอาชื่อเหตุการณ์นั้นมา เพื่อที่จะปลุกระดมความรักชาติ ชาตินิยมอเมริกันก็มีเหมือนกันนะ ซึ่งเรานึกไม่ออก nationalism อเมริกาเป็นยังไง นี่ล่ะ

ก็โจมตีโอบามา ถ้าไปดูป้ายพวกนั้น ตอนขึ้นใหม่ๆ หรือตอนเลือกตั้ง โอบามาเกือบตายเลยนะ คือทำรูปโอบามาเหมือนกับลิงอุรังอุตัง เพิ่งออกมาจากป่า คนอัฟริกาก็ถูกคนอเมริกันดูถูก

โอบามาอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ยังมีคนอเมริกันบางคนเอาป้ายไปเขียนด่าแกว่า เป็นลิงเป็นค่างอยู่ตามถนน แต่ไม่ลงตามหนังสือพิมพ์เท่านั้นเอง

ขบวนการนี้คือขวนการที่หนุนหลังรอมนี่ย์ รอมนีย์ขึ้นมาได้ก็โดยพวกทีปาร์ตี้ แล้วทีปาร์ตี้ก็วางแผนจะแช่แข็งอเมริกาเหมือนกัน คือดึงอเมริกากลับไปยุคอะไรก็ไม่รู้ ถ้ารอมนีย์ชนะหวาดเสียวนะ เพราะว่าเมืองไทยก็คงจะแห่กันแช่แข็งตามกัน คงจะไปด้วยกันได้

 

คนส่วนน้อยคือฐานเสียงส่วนใหญ่ของโอบามา

การที่โอบามาชนะคราวนี้ แสดงว่าคนส่วนใหญ่เขาไม่เชื่อแล้ว คือมันหมดแล้ว แล้วคนส่วนใหญ่ที่โอบามาไปปลุกระดมขึ้นมาคือคนส่วนน้อย พวก minority โดยเฉพาะพวกคนเชื้อสายละตินอเมริกาที่มาจากเม็กซิโก เปรู หนีเข้ามาทำงานในอเมริกา

นี่เป็นนโยบายของโอบามา ออกพระราชบัญญัติ Dream Act ว่าด้วยความฝันของคนพวกนี้ ว่าถ้าคุณมาอเมริกาตั้งแต่เด็ก แล้วไม่มีเอกสาร ไม่ได้เป็นพลเมืองสักที ขอยังไงก็ไม่ได้ ไม่ต้องส่งกลับแล้ว ถ้าพิสูจน์ได้ว่ามาตั้งแต่ 2ขวบ 3 ขวบ 10 ขวบ โอบามาบอกเราจะให้เอกสารรับรองจนกระทั่งสามารถไปขอพลเมือง citizen อเมริกันได้

งานนี้บรรดาญาติพี่น้องของพวกโรบินฮุ้ดทั้งหลายในอเมริกา ซึ่งเป็นหลายล้านแห่มาลงคะแนนเสียงให้ คนที่เป็น citizen อยู่แล้ว คราวนี้ไม่นอนหลับทับสิทธิ์ ทุกคนช่วยกันออกมา หรือไปช่วยปลุกระดม เคาะประตูบ้านให้คนอื่นมาลงคะแนนเสียงให้โอบามา

งานนี้ที่อเมริกาเอาชนะไดโนเสาร์ได้ เพราะว่าประชาชนรุ่นใหม่ต้องออกมา แต่ไม่ใช่ออกมาเดินขบวนนะ ออกมาปลุกระดม ออกมาเคาะประตู ทำให้กลไกทางการเมืองรู้ว่าเขาไม่ต้องการกลับไปสู่ยุคไดโนเสาร์ เขาไม่ต้องการเต่าล้านปีแล้ว เขาต้องการโลกอันใหม่ที่ทุกคนเท่าเทียมกัน ต้องเปิดโอกาสให้กับคนที่เป็นเกย์ เป็นผู้หญิง ผิวสี อเมริกาต้องให้เขา

 

ไดโนเสาร์ไทยออกมา เพราะคนรากหญ้าตื่น

การเมืองไทยต่อไปที่ไดโนเสาร์ต้องออกมา เพราะเขารู้ว่าคนรากหญ้าเริ่มตื่นแล้ว บังเอิญเป็นสีแดง ผมก็ไม่อยากจะเชียร์สีแดง แต่ไปถามที่ไหนก็สีแดงทั้งนั้น ผมก็เลยไม่รู้จะว่ายังไงเหมือนกัน ผมไปฟังงานวิจัยมา ก็พูดตามวิจัยเลยนะ

คนพวกนี้ที่บอกว่าทำไมเขาจะไม่เลือก ก็นักการเมืองกลุ่มที่เขาเลือกจะต้องมาตอบสนองเขา เช่น นโยบายจำนำข้าว มันถูกอัดแรงมาก ขนาดนิด้า ทีดีอาร์ไอเป็นสถาบันชั้นหนึ่งของประเทศ เรียกง่ายๆ ว่ายอมโยนผ้าขาวเลย สู้ตายงานนี้ เพื่อจะเอาโครงการช่วยชาวนาออกไปเท่านั้นเอง มันสู้แบบอะไรจะขนาดนั้น

ทีรัฐบาลเอาเงินไปช่วยคนรวย ช่วยนักอุตสาหกรรมเท่าไหร่ ภาษีที่อุตสาหกรรมไม่ต้องเสียเท่าไหร่ บีโอไอให้นักลงทุนจากเมืองนอกไม่ต้องเสียภาษีตั้งเท่าไหร่ คุณบอกว่าทำให้เศรษฐกิจดี อ้าว แล้วชาวนาไม่ทำให้เศรษฐกิจดีเหรอถ้ามีกินมากขึ้น มันก็ไปจี้ที่คอร์รัปชั่น เมืองไทยมันก็คอร์รัปชั่นทั้งนั้นล่ะ แต่ปัญหาคือระยะยาวคุณจะเอาอะไร ทำอะไร

ผมไม่อยากมาดีเฟนด์ให้ใคร แต่อยากเปรียบเทียบประวัติศาสตร์ วันก่อนผมเจอทีมทีดีอาร์ไอ ก็เลยบอกว่านักเศรษฐศาสตร์ ทฤษฎีคุณน่ะแม่นแต่มันขาดประวัติศาสตร์ ถ้าคุณไม่ดูประวัติศาสตร์ชาวนาของเมืองไทย ก็จะเห็นแต่ภาพของคนที่ถูกซื้อ เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ จะไปช่วยทำไม ช่วยเงินก็เข้ากับเจ้าของโรงสี นายทุนใหญ่ๆ คือมองได้เท่านั้นเอง ผมคิดว่าภาพเปลี่ยนไปพอสมควรแล้วนะ

อันนี้ก็คือความเหมือนกันของการเมืองไดโนเสาร์อเมริกาก็มี

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เลื่อนรายงานตัว ตร.คดี112 ปฏิญญาหน้าศาลจัดกิจกรรมให้กำลังใจ

Posted: 19 Nov 2012 07:01 PM PST

สมศักดิ์ โพสต์แจ้งเลื่อนการรายงานตัวไปเดือนหน้า แกนนำปฏิญญาหน้าศาลชี้การดำเนินคดีนี้ คุกคามเสรีภาพประชาชนและเป็นสัญญาณหยุดการเคลื่อนเพื่อ ปชต. ย้ำถ้า กม.เป็นธรรมคงไม่มีใครหวาดกลัวที่จะเข้าศาล

18 พ.ย.55 ที่บริเวณบาทวิถี หน้าศาลอาญา รัชดา กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล ประมาณ 100 คน ได้จัดกิจกรรมให้กำลังใจ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พนักงานสอบสวนได้มีความเห็นสั่งฟ้องเขาด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ(ม.112)แล้ว และเดิมมีหมายให้ไปรายตัวกับพนักงานอัยการในวันอังคารที่จะถึงนี้ (20 พ.ย.) ก่อนที่ สมศักดิ์ จะได้โพสต์แจ้งผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองในเวลาต่อมา(19 พ.ย.)ว่า ได้ทำเรื่องขอเลื่อนการรายงานตัวกับ เจ้าพนักงานสอบสวน ตามหมายเรียกผู้ต้องหา ออกไปเป็นเดือนหน้าและทางเจ้าพนักงานสอบสวนก็ได้อนุญาตตกลง

การกล่าวให้กำลังใจ สมศักดิ์

สำหรับกลุ่มปฏิญญาหน้าศาลซึ่งได้จัดกิจกรรมเรียกร้องปฏิรูปศาล-ปล่อยนักโทษการเมือง บริเวณบาทวิถีหน้าศาลอาญา รัชดา มากว่า 8 เดือน แล้ว(ตั้งแต่ 5 มี.ค.) โดยกิจกรรมให้กำลังใจ สมศักดิ์ ในครั้งนี้ ดร.สุดา รังกุพันธ์ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะแกนนำกลุ่มฯ กล่าวว่า อาจารย์สมศักดิ์ เป็นผู้ที่นำเสนอความคิดอันแหลมคมเกี่ยวกับการวิเคราะห์โครงสร้างสังคมไทยและเสนอแนวทางต่างๆ เพื่อออกจากวิกฤติการเมืองไทย แต่กลับถูกกองทัพบกแจ้งความด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และล่าสุด พนักงานสอบสวนได้มีความเห็นสั่งฟ้องไปยังอัยการ ถือเป็นการคุกคามเสรีภาพประชาชนและเป็นสัญญาณหยุดการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยอย่างชัดเจน และผ่ามาคดี ม.112 หากพนักงานสอบสวนส่งฟ้องมีโอกาสที่จะเข้าสู่ศาลและถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงมีสูง โอกาสยกฟ้องเป็นไปได้ยาก

สุดา รังกุพันธ์

อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ยังมองว่านักวิชาการต้องสามารถติชมโดยสุจริตได้ ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ที่มองว่าการติชมโดยสุจริตน่าจะได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่เป็นนักวิชาการที่มีความระมัดระวังในการสื่อสาร แล้วประชาชนโอกาสในการที่จะวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาต่างๆในสังคมไทยยิ่งยากลำบาก ไม่สามรถที่จะร่วมพูดคุยถกเถียงหาทางออกร่วมกัน กระบวนการเหล่านี้ถูกจำกัดอยู่แล้วยังถูกกฎหมายมาตรานี้ปิดกันอีก ดังนั้นอาจะนำไปสู่วิกฤติมากขึ้น

การมาแสดงออกในวันนี้ก็เพื่อแสดงให้สังคม ทราบว่าเราต้องการเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และต้องการให้อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่จะแสดงทัศนะหรือความคิดเห็นจะได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล

"ถ้ากฎหมายและกระบวนการยุติธรรมมีความเป็นธรรมจริงๆ คงไม่มีใครหวาดกลัวที่จะเข้าไปพิสูจน์ตัวเองในชั้นศาล แต่ที่ผ่านมากรณีของอากง SMS กรณีของคุณหนุ่ม  ธันย์ฐวุฒิ กรณีของทุกคนที่ไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว เป็นเครื่องบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าโอกาสที่จะได้รับความเป็นธรรมในการพิสูจน์ตนเองมีโอกาสน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย" แกนนำกลุ่มปฏิญญาหน้าศาล กล่าว

อีกทั้งในช่วงนี้ที่มีการเคลื่อนไหวขององค์การพิทักษ์สยาม ที่มีข้อเรียกร้องที่สร้างการยั่วยุอ้างอิงสถาบันเป็นเครื่องมีอีกครั้ง หลังจากที่ ในปี 53 ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ได้กล่าวหาประชาชนว่ามีขบวนการล้มเจ้าจาก "ผังล้มเจ้า" ในครั้งนี้องค์การพิทักษ์สยามก็มีการนำเสนอกับสังคมเพื่อทำให้เข้าใจผิดอีก การดำเนินคดีต่อ อ.สมศักดิ์ จึงมีความสอดคล้องกัน รวมทั้งยังเป็นการคุกคามและสัญญาณที่อาจเป็นการจุดชนวนใช้ความรุนแรงโดยข้ออ้างเหล่านี้ อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในสมัย ศอฉ.

แกนนำกลุ่มปฏิญญาหน้าศาลยังฝากถึงรัฐบาลด้วยว่า ควรใช้กลไกของรัฐในการขจัดปัญหาตั้งแต่ต้นมือและจะได้ให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรม เพราะขณะนี้กระบวนการยุติธรรมมีปัญหาอย่างน้อยก็ในเรื่อง 2 มาตรฐานและไร้มาตรฐาน โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับการเมืองเพราะมีเพียงฝ่ายเสื้อแดงฝ่ายเดียวที่ไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวในขณะที่ฝ่ายอื่นไม่ถูกดำเนินคดีหรือแม้ถูกดำเนินคดีก็ได้รับการประกันตัวอย่างง่ายดาย แสดงให้เห็นว่าเรายังไม่ได้กรรมการที่เป็นกลาง ประชาชนก็ไม่อาจหวังกับกระบวนการยุติธรรมในระบบได้ จึงต้องออกมาเคลื่อนไหวที่บาทวิถีหน้าศาลอย่างนี้

 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง :

'สมศักดิ์ เจียมฯ' ถูกตำรวจส่งฟ้องม. 112 เตรียมรายงานตัวกับอัยการอังคารนี้

'สมศักดิ์ เจียมฯ' รับทราบข้อกล่าวหา 112 เบื้องต้นปฏิเสธ-พร้อมสู้คดี 

นักกิจกรรมประกาศยุติอดอาหาร เดินหน้าร้องปฏิรูปศาล-ปล่อยนักโทษการเมือง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น